ต่อจากเมื่อวันเสาร์
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าในอดีตนั้น บิ๊กจิ๋วได้ชื่อเป็นนายทหารลูกรักป๋า เพราะทำผลงานเข้าตาทั้งเรื่องนโยบาย 66/2523 ดึงให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยออกจากป่าเข้าสู่เมืองเพื่อร่วมพัฒนา ชาติไทยริเริ่มโครงการอีสานเขียว และโครงการฮารับบันลารูดับไฟใต้
จนถึง เมื่อคราวที่ พล.อ.เปรม หักกับ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก พล.อ.เปรม จึงได้ผลักดันขุนพลข้างกาย อย่าง พล.อ.ชวลิต ขึ้นเป็น ผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้บิ๊กจิ๋ว ขยายบารมีวางรากฐานไปสู่การกระโดดลงสู่ถนนการเมือง จนสามารถก้าวขึ้นสู่การนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ในท้ายที่สุด
หรือ แม้แต่เมื่อครั้งรวมพลัง " ทหารแก่ไม่เคยตาย " ที่เจ้าตัวโดนกระทุ้งหนักๆว่า บ้านเมืองกำลังย่ำแย่ยังทนอยู่เฉยอยู่ได้ยังไง ยังต้องลุกขึ้นมาร่วมสวมชุดทหารแสดงพลังสู้กับคนไกล เมื่อครั้งก่อนเกิดเหตุการณ์ 19 ก.ย.49
เมื่อสายสัมพันธ์ที่มีต่อกันมายาวนานนี้ทำให้ไม่น่าแปลกใจเลยว่า บรรดาคนใกล้ชิด โดยเฉพาะนายทหารลูกป๋า จึงพยายามออกมาหย่าศึก ไม่ให้ลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้ เพราะหากยิ่งสองเสือเปิดศึกใส่กันมากเท่าใด ฝ่ายคนจรัลสนิทวงศ์ที่เคยถึงขั้นไปนั่งปอกมะม่วงให้บิ๊กจิ๋วกินกับข้าว เหนียวถึงบ้านปิ่นประภาคม มาแล้ว ก็ยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่องกันไปเท่านั้น
เห็น ได้จากเมื่อลองไปถามอดีตนายพลผู้ใกล้ชิดคนบ้านจรัลสนิทวงศ์เพราะอยากลองฟัง ความเห็นเรื่องนี้หน่อย ถึงกับออกปากหัวเราะอย่าอารมณ์ดี ก่อนพูดเพียงไม่รู้สิเห็นเค้าเคยรับใช้กันมาก่อนแต่ไปทำอีท่าไหนกันล่ะถึง ได้เป็นอย่างนี้ได้ ...
ด้าน พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรี คนใกล้ชิด พล.อ.เปรม และมีความสนิทชิดเชื้อกับบิ๊กจิ๋ว ที่มักจะทำหน้าที่เป็นโอเปอร์เรเตอร์ต่อสายเชื่อมสัมพันธ์ให้ทั้งสองคนอยู่ บ่อย ๆ ออกมาห้ามทัพเป็นคนแรก โดยกล่าวว่า " เรื่องนี้ขอให้จบได้แล้ว เอาเป็นว่าเรื่องนี้มีความเข้าใจผิดกัน อย่าไปสาวความกันอีกเลย ขอให้จบได้แล้ว บ้านเมืองจะได้เดินต่อไปได้ " พร้อมสำทับว่า พล.อ.เปรม ไม่มีอะไร หลังอ่านบทสัมภาษณ์โต้กลับของ บิ๊กจิ๋ว อีกด้วย
ทีนี้ ลองมาส่องพลังทางทหารของพรรคเพื่อไทย หลัง บิ๊กจิ๋ว และนายทหารเตรียมรุ่น 10 ล็อตใหญ่ มาเสริมกำลังกับ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี จะเห็นได้ว่าคอนเนกชั่นระดับนี้ ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะคนอย่าง บิ๊กจิ๋ว และ พล.อ.พัลลภ สามารถต่อสายตรงถึงบรรดานายทหารน้อยใหญ่ในกองทัพได้จำนวนมาก ยิ่งเมื่อมาบวกกับพลังทางการเงินของนายใหญ่แล้ว ยิ่งทำให้พลังดูดระดับนี้น่ากลัวไม่น้อย
ต้องไม่ลืมว่าในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็น นายกรัฐมนตรี นั้น แม้เจ้าตัวจะไม่ค่อยสัมพันธ์กับนายทหารน้อยใหญ่เว้นเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 และ ขุมกำลังสำคัญในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่การเดินหน้าสร้างขุมพลังของตัวเองผ่านเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 จนสามารถบีบขุนทหารมาล้อมหน้าล้อมหลังจนสามารถสร้างแรงกระเพื่อมในกองทัพ ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมักจะขึ้นตรงต่อสี่เสาเทเวศร์
หากยังจำกันได้ ช่วง พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งเด้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ คนสายตรงเข้มข้นจากบ้านสี่เสาจากผู้บัญชาการทหารบกไปแขวนบนหิ้งในตำแหน่งผู้ บัญชาการทหารสูงสุด ด้วยวลีคลาสสิก " พี่จะปฎิวัติผมหรือ " พล.อ.สุรยุทธ์ ในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรงออกคำเตือนไปยัง บรรดา นายทหารเตรียมรุ่น 10 ที่ในขณะนั้นคุมขุมกำลังหลักของกองทัพปิดล็อกการปฎิวัติได้เ กือบทั้งหมด ไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหวยุ่งเกี่ยวทางการเมืองแต่เพียงคล้อยหลัง บรรดานายทหารเหล่านั้นกลับตบเท้าไปให้กำลังใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ทันที
ต้องคอยจับตาดูกันไปว่า พรรคเพื่อไทยขุมกำลังนายใหญ่จะสามารถเดินเกมดูดขุนทหารมาเป็นพวกกันได้มาก น้อยเพียงใดเพราะการประเดิมเปิดตัวขุนทหารเตรียมรุ่น 10 เข้าสังกัดกว่า 49 คนนั้น ไม่น่าถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นตกใจนักเพราะนายทหารที่มาร่วมนั้นส่วนใหญ่ถูก พิษการเมืองเด้งไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ได้คุมขุมกำลังหลักของกองทัพ หรือไม่ก็เกษียณอายุราชการไปแล้ว
ที่น่าสังเกตคือไร้เงาขุนทหาร เตรียมรุ่น 10 ที่ถือเป็นระดับแกนนำ เช่น พล.อ.พรชัย กรานเลิศคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยวางตัวให้เป็นผู้บัญชาการทหารบกหรือ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัตรวมทั้ง พล.ท.พฤณฑ์ สุวรรณทัต และ พล.ท.ศานิต พรหมมาศ ที่เคยคุมขุมกำลังป้องกันการปฎิวัติกลับไม่มาปรากฎตัวสมัครเข้าพรรคเพื่อไทย เพื่อเปิดหน้าเล่นการเมืองบนดินแต่อย่างใด
ขณะที่การเปิดเกม รุกทางการเมืองหลังบิ๊กจิ๋วเข้าทำหน้าที่เป็นประธานพรรคเพื่อไทย ยกแรกได้สร้างเสียงฮือฮาเป็นอย่างยิ่งเมื่อเจ้าตัวพร้อมนายทหารคนสนิทตัดสิน ใจเดินทางไปพบกับนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ของกัมพูชาของแสลงรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า กำลังหงุดหงิดกับท่าทีของรัฐบาลไทย เรื่องประเด็นปัญหาเรื่องชายแดนเขาพระวิหาร และประเด็นผลประโยชน์ทางทะเลทั้งแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย จนถึงกับออกมาแสดงอาการไม่พอใจผ่านสื่อต่างประเทศครั้งแล้วครั้งเล่า แม้กระทั่งก่อนหน้าที่จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเพียงวันเดียว จนมีเสียงไล่หลังจากกระทรวงต่างประเทศไทยเตือนบิ๊กจิ๋วไม่ใหเปิดเผยข้อมูล ลับของทางราชการ รวมทั้งไม่ให้ไปพูดถึงเรื่องข้อมูลใด ๆ ที่อาจจะไม่ตรงกับข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศ ให้ผู้นำกัมพูชาเข้าใจผิด พร้อมกับย้ำว่าคำพูดของบิ๊กจิ๋วไม่มีภาระผูกพันใด ๆ กับ รัฐบาล
แต่ ดูเหมือนเสียงเตือนจากกระทรวงต่างประเทศ จะไร้ผลเพราะเมื่อ พล.อ.ชวลิต เดินทางกลับ ได้มีการแถลงถึงผลการเข้าพบกับผู้นำกัมพูชา โดยย้ำถึงความสนิมสนมระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และ นายกรัฐมนตรีฮุนเซน ผ่านสื่ออย่างโจ่งแจ้ง โดยระบุว่า " ผู้นำกัมพูชา มีความสัมพันธ์กับ อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะเพื่อน มีความรักความผูกพันกันมาตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักธุรกิจจนกระทั่งลงมาเล่นการเมืองก่อนก้าวเป็นนายกรัฐมนตรี ความสัมพันธ์ของทั้งสองยังผูกพันเหมือนเดิมทุกอย่าง ในฐานะเพื่อนมีความรู้สึกว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้รับความเป็นธรรมทางการเมือง ประสบเคราะห์กรรม แต่นายกฯฮุนเซน กับ ทักษิณก็ยังเป็นเพื่อนกัน ในฐานะที่ทำประโยชน์ให้ประเทศมานาน แต่ทำไมวันนี้ถึงไม่มีแผ่นดินจะอยู่ มีความรู้สึกเจ็บปวดในเรื่องนี้ ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนไทย ตนเองและคนในครอบครัวได้รับรู้เรื่องนี้ ภรรยาถึงกับร้องไห้ และจะสร้างบ้านให้ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในกรุงพนมเปญ ในฐานะเพื่อน อย่างมีเกียรติ "
พร้อมกับได้มีการเผยแพร่ภาพวีที อาร์ ที่แสดงถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดชนิดโอบกอดกันอย่างรักใคร่ ของเพื่อนรักระหว่าง บิ๊กจิ๋ว และ นายกรัฐมนตรีฮุนเซน รวมทั้งภาพที่ บิ๊กจิ๋ว โทรศัพท์สายตรงถึง พ.ต.ท.ทักษิณ เล่ารายละเอียดการเข้าพบกับผู้นำกัมพูชาผ่านสื่อมวลชนอย่างเอิกเกริก ชนิดไม่เกรงใจรัฐบาลที่กำลังมีภาพลบเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านอยู่ แม้แต่น้อย
อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าสังเกตุว่าภาระกิจที่บิ๊กจิ๋ว ได้รับมอบหมายทั้งในเรื่อง การบินไปพบกับผู้นำกัมพูชาและในอนาคตจะต้องบินไปพบกับผู้นำพม่า ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของแสลงของรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน และยังสุ่มเสี่ยงต่ออันตรายสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ นั้น ไม่ต่างจากที่ พล.อ.พัลลภ เคยได้รับการทดสอบเรื่องความจริงใจช่วงพลิกขั้วมาร่วมด้วยใหม่ ๆ เพราะ พล.อ.พัลลภ ก็ถูกบททดสอบให้ออกมาเปิดเผยเรื่องเบื้องหลังการปฎิวัติ ในช่วงที่นายใหญ่ กำลังเดินหน้าผลักดันกลุ่มเสื้อแดงเต็มสูบ ในช่วงก่อนเหตุการณ์สงกรานต์เลือด เพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ เช่นกัน
แต่ สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตุอีกเช่นกันก็คือ การออกมาแถลงของบิ๊กจิ๋ว ถึงเรื่องการไปพบกับนายกรัฐมนตรีฮุนเซน โดยเฉพาะเรื่องข้อเสนอเรื่องบ้านพักในกรุงพนมเปญ ในครั้งนี้ ค่อนข้างขัดกับสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ปฎิเสธข้อกล่าวหาของฝ่ายตรงข้ามมาโดยตลอดในช่วงที่มีการโฟนอินถี่ยิบ เพื่อเรียกพลังกลุ่มเสื้อแดง ตอนช่วงสงกรานต์เลือด ว่า ไม่เคยเดินทางไปเข้าไปประเทศกัมพูชาเพื่อใช้เป็นฐานทัพจัดกำลังพล ตามที่ถูกกล่าวหา
ซึ่งทำให้ไม่น่าแปลกใจว่าเพราะเหตุใดบรรดาคน ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ เช่น พล.อ.ชัยสิทธิ ชินวัตร ถึงกับออกมาปฎิเสธ ด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนักว่า ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ และเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงจะไม่รับข้อเสนอดังกล่าว เพราะอยู่ใกล้กับประเทศไทยมากเกินไป จนอาจจะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ เพราะต้องไม่ลืมว่า ทั้งไทยและกัมพูชา นั้น มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกันอยู่ ....
ทั้งสองฝ่ายกำลังเล่นอะไรเกมนี้เพื่อใคร.......
Sunday, October 25, 2009
จิ๋วดับเครื่องชน ป๋า เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด เกมนี้เพื่อใคร ??(ต่อ)
ที่มา ไทยรัฐ
