"ผมเห็นด้วยกับการซื้อมากกว่าการเช่า แต่ก็มีข้อกังวลว่าหากซื้อแล้ว การซ่อมบำรุงการรักษารถยังคงเป็นอย่างในปัจจุบันมันก็ลำบาก เพราะช่วงเริ่มต้นการซื้อมันถูกกว่าแน่นอน แต่ถ้าค่าซ่อมเป็นอย่างที่เป็นอยู่นั้น กว่าจะถึง 10 ปี ตามอายุการเช่าก็อาจจะแพงกว่า จึงจำเป็นต้องไปดูให้ชัดเจนว่าวิธีไหนจะดีที่สุด"
ในลีลานิ่มๆ เสียงหล่อๆของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
เคลียร์ประเด็นเป๊ะๆ สั้นกระชับ จับใจความง่าย
มันก็น่าสนใจ ถ้าหากบิ๊กโปรเจกต์รถเมล์เช่าเอ็นจีวี 4,000 คัน เป็นผลงาน
การสร้างสรรค์ของพรรคประชาธิปัตย์
และได้ยี่ห้อ "อภิสิทธิ์" เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์โครงการให้
กระแสต้านจะดังอื้ออึงอย่างที่เห็นหรือเปล่า
เอาเป็นว่า ในภาพที่มันขัดอารมณ์ตั้งแต่เริ่มต้น โดยสถานะของนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ผู้แทนราษฎรจากจังหวัดบุรีรัมย์
เคยชินแต่รถบัส บขส. มาชงบิ๊กโปรเจกต์ให้รถเมล์ ขสมก.
พูดไปมันก็ไร้น้ำหนัก
แต่ทั้งหมดทั้งปวง โดยต้นทุนทางสังคมยี่ห้อ "เพื่อนเนวิน" ที่ถูกสังคมพิพากษา ประทับตรา "มัวหมอง" ไปแล้ว
ล้างคราบยังไงก็เคลียร์ไม่ออก
สรุปว่า ในสภาพต้นทุนต่ำ โดยลำพังพรรคภูมิใจไทยยี่ห้อเพื่อนเนวินจะดันทุรังขายโปรเจกต์ทำกำไรสูง มันยากที่จะสำเร็จ
ต้องเปิดให้พรรคประชาธิปัตย์มาร่วมทุน ลงหุ้นลม
แบ่งอมยิ้มกันไป
ภายใต้เงื่อนไขที่เชื่อขนมกินล่วงหน้าได้ อย่างไรเสีย โครงการรถเมล์เอ็นจีวีก็ต้องล้อหมุนแน่ เพื่อความจำเป็นในการยกเครื่อง ขสมก. จากสภาวะการขาดทุนสะสมหลายหมื่นล้านบาท ด้วยสภาพรถเมล์รุ่นเก่าบุโรทั่งควันดำเป็นพิษกับอากาศ ยังไม่นับเล่ห์เหลี่ยมของเจ้าของรถร่วมบริการที่ซิกแซ็กสวมทะเบียนรถในสัมปทาน ฟันค่าตั๋ว
มั่วนิ่ม เละเทะกันมานาน
แน่นอน ในมุมของการบริหาร งานนี้ถ้าทำสำเร็จแก้ปัญหาหมักหมมใน ขสมก. ยกระดับการให้บริการได้ ก็จะเป็นความพอใจของประชาชนคน กทม.
ซึ่งจะมีผลไปถึงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
นี่คือคำตอบว่า ทำไมถึงได้มีเสียงยุจากคนในพรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ว.ในเครือข่าย อาศัยลูกมั่วในช่วงชุลมุน ลุ้นให้โอนโปรเจกต์รถเมล์ เอ็นจีวีไปให้กรุงเทพมหานครในการกำกับของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. คนของพรรคประชาธิปัตย์ เข้ามาเสียบแทน
กะรวบทั้งเค้กทั้งกล่อง
นั่นก็เพราะโครงการรถเมล์เอ็นจีวี จะได้คะแนนจากคนกทม.เป็นกอบเป็นกำ
ก็อย่างที่เห็นในการส่งทีมออกมาเล่นกระแส ทีมของพรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายชนินทร์ รุ่งแสง ส.ส.กทม. ส่วนฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทย ก็นำขบวนโดยนายวิชาญ มีนชัยนันทน์ แกนนำทีม ส.ส.กทม.
เทกแอ็กชั่นให้คนเมืองหลวงเห็น
ชิงพื้นที่ข่าว ขอมีส่วนร่วมแจมโปรเจกต์รถเมล์เอ็นจีวีกันแบบช็อตต่อช็อต
หาเสียง ตีกินล่วงหน้า
ลืมกันไปเลยว่า จริงๆแล้วพรรคภูมิใจไทยคือเจ้าของลิขสิทธิ์เจ้าแรก
และเหมือนจะตั้งหลักได้ ล่าสุดโดยคำสั่งของ "เนวิน ชิดชอบ" มอบหมายหน้าที่ให้ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รองโฆษกพรรคภูมิใจไทย ในฐานะหัวหอกทีม กทม. ทำหน้าที่เป็นโฆษกโครงการรถเมล์เอ็นจีวี
เคลียร์ข่าวกันอย่างเป็นระบบ
ถึงจะพลาดท่าแพ้เกมเล่นกระแส ต้นทุนทางสังคมสู้ไม่ได้ ในเรื่องใสสะอาด แต่ในฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์โปรเจกต์รถเมล์เอ็นจีวี ที่ออกแรงดันกันมา 3-4 รัฐบาล
ภูมิใจไทยก็หวังได้กล่องจากคนกรุงบ้าง.
"ทีมข่าวการเมือง" รายงาน
Saturday, June 6, 2009
ฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์
THAI RED NEWSฉบับปฐมฤกษ์ลงแผงวันแรกเกลี้ยง เร่งปั๊มเพิ่มวันนี้อีกเท่าดับกระหายข่าวชาวเสื้อแดง
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์
6 มิถุนายน 2552
ไทยรัฐรายงานข่าวว่า วานนี้(5 มิ.ย.)หนังสือพิมพ์เดอะเรดนิวส์ ได้วางแผงจำหน่ายในชื่อ 'ไทยเรดนิวส์' อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ช่วงเช้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแผงตามร้านหนังสือขนาดใหญ่ โดยจัดจำหน่ายในราคาฉบับละ 20 บาท ซึ่งปรากฏว่า ได้รับความสนใจจากประชาชนที่ส่วนใหญ่กลุ่มคนเสื้อแดง และสมาชิกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อย่างมาก จนทำให้หนังสือเริ่มขาดตลาดเนื่องจากมียอดพิมพ์เพียง 15,000 ฉบับต่อสัปดาห์ ทำให้เอเยนต์หนังสือในกทม.ได้เรียกร้องให้ทางนายวิบูลย์ แช่มชื่น อดีต สว.กาฬสินธุ์ ประธานผู้บริหารหนังสือพิมพ์ ไทยเรดนิวส์ เพิ่มยอดพิมพ์ด่วน
ต่อมาเมื่อเวลา 17.00 น.วานนี้ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ในฐานะบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ 'ไทย เรดส์ นิวส์' เปิดเผยว่า ในวันนี้ ที่เป็นการวางแผงไทยเรดนิวส์ในเขตกรุงเทพมหานครครั้งแรก จำนวน 1 หมื่นฉบับขายหมดภายวันเดียว ชี้ให้เห็นว่าประชาชนมีความคิดเห็นอย่างไร ภายในวันที่ 6 มิ.ย. จะพิมพ์หนังสือพิมพ์ ไทยเรดส์นิวส์ เพิ่ม จำนวนเป็น 2 หมื่นฉบับ เพื่อวางแผงกระจายไปยังเขตต่างจังหวัด หวังว่ารัฐบาลจะไม่ใช้อำนาจรัฐเข้ามาขัดขวางแทรกแซงสิทธิเสรีภาพสื่อ
นายสมยศกล่าวว่า Thai Red News เกลี้ยงแผงแล้ว ด้วยยอดจำหน่ายในกทม. 10000 ฉบับ หายวับทันที ส่วนต่างจังหวัดถึงแผงวันเสาร์ แน่นอน คาดว่าจะหมดเกลี้ยงภายในไม่กี่ชั่วโมง คนเสื้อแดงจำนวนมากผิดหวัง ไม่ได้ซื้อเป็นเจ้าของ Thai Red News
ฉบับแรก ถล่มปชป.ยับ หากยื้อเวลาพาชาติล่มแน่ พร้อมด้วยบทสัมภาษณ์เปิดใจจั กรภพ เพ็ญแข กับ อนาคตของคนเสื้อแดง และกองทัพนักเขียนชื่อดังขึ้นทุกหน้ากระดาษอาทิเช่น เหวง โตจิราการ อดิศร เพียงเกษ สุนัย จุลพงษ์ศธร วิบูลย์ แช่มชื่น สุนิษา เลิศภควัตร ฯลฯ
นายสมยศ แถลงว่า ประเมินความต้องการตลาดต่ำไปหน่อย จึงผลิตมาแค่ 20,000 แต่เล่มต่อไปจะเพิ่มยอดผลิตถึง 40000 ฉบับ ต้องขอกราบขอบพระคุณคนเสื้อแดงที่รวมพลังต่อสู้ เพื่อประชาธิปไตย ด้วยการอุดหนุน Thai Red News เป็นความหวังก้าวต่อไปที่จะสร้างสรรค์ประชาธิปไตยต่อไป
สำหรับท่านที่ต้องการสมัครสมาชิกติดต่อ 02-9349388
การสมัครเป็นสมาชิก Thai Red News
สมาชิก 6 เดือน 26 ฉบับ เป็นเงิน 800 บาท
สมาชิก 12 เดือน 52 ฉบับ เป็นเงิน 1500 บาท
กรุณาโอนเงินเข้าบัญชี สุพิชฌาย์ พัฒนะพันธุ์ ธนาคารกรุงไทย สาขาแจ้งวัฒนะ เลขที่ 096-0-12882-4
เมื่อโอนเงินแล้วกรุณาแฟ็กซ์สำเนาใบโอนเงินไปที่ โทร.02-934 9388
หรือติดต่อได้ที่ อาคารอิมพีเรียลเวิล์ด ลาดพร้าว ชั้น 5 โทร. 02-934 9388
ปฏิรูปสื่อ?
พาดหัวข่าว สาทิตย์เดินหน้าปฏิรูปสื่อ มีรายละเอียดบางตอนว่า รัฐบาลมองว่า ลูกจ้างแรงงานของบริษัทสื่อสารมวลชน ยังไม่มีบทบัญญัติมาคุ้มครองแรงงานด้านนี้
จึงต้องทำกฎหมายมารองรับให้เป็นรูปธรรม เช่น กรณีขบถไอทีวี เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ไม่สามารถไปร้องเรียนที่ไหนได้
ไอทีวีที่เคยเป็นของแบงก์ไทยพาณิชย์ แล้วทักษิณไปซื้อหนี้ต่อ จนถูกยึดจอดำไปนั่นล่ะ
แต่ รมต.ท่านคงเข้าใจผิด เพราะขบถไอทีวีไปฟ้องที่ ศาลแรงงาน และชนะคดี ศาลมีคำสั่งให้ไอทีวีรับขบถเข้าทำงาน รวมทั้ง ต้องจ่ายชดเชยย้อนหลังด้วย ที่บอกว่าไม่รู้จะไปร้องเรียนที่ไหน
จึงไม่จริง ที่หยิบเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง คงเพื่อจงใจชี้ให้เห็นว่า แม้วครอบงำสื่อ มากกว่า
ท่านรัฐมนตรียังบอกว่า จะมีการออก พ.ร.บ.ลงโทษนักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่แทรกแซงสื่อ...
แต่ที่ฟังแล้ว ตื่นตาตื่นใจ คือ จะต้องมีการเปิดเผยงบโฆษณาของหน่วยงานรัฐที่จัดสรรแก่สื่อต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้หน่วยงานรัฐใช้งบประมาณต่อรองและมีอำนาจเหนือสื่อ
และ จะให้มีการตั้งสหภาพแรงงาน ด้วย
ประเด็นแรก ดี จะได้รู้สื่อไหน ได้งบฯ โฆษณาอะไรบ้างจากรัฐ เท่าไหร่ เพื่อความโปร่งใส ส่วนประเด็นหลัง บอกได้เลย ยากมาก-มาก ชาติหน้าก็คงไม่สำเร็จ โดยเฉพาะในสื่อสิ่งพิมพ์
คนที่ยกร่างตอนนี้ ช่วยไปทำในองค์กรตัวเองให้เป็นตัวอย่างก่อนเถอะ รู้อยู่แก่ใจ ทำไม่ได้ แล้วจะเขียนไว้ทำไม ให้ดูเท่หรือ ยอมรับความจริงเถอะ !?!
กลับมาที่ท่านรัฐมนตรี ที่บอกว่า จะมีการออกกฎหมายลงโทษนักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่แทรกแซงสื่อ ก็อยากเรียนท่านว่า มีการกระทำเช่นนั้นแล้ว
มีการสั่งตำรวจไปปิดวิทยุชุมชนที่เป็นปฏิปักษ์กับตัวเองทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีการสั่งตำรวจเอาค้อนกับคีมไปตัดโซ่คล้องประตูถึงห้องส่งทีวีที่เป็นปฏิปักษ์กับตัวเอง
แล้วจัดแจงยึดเครื่องส่งจากสถานีไปหน้าตาเฉย อ้างมีการปลุกระดมให้ประชาชนแตกแยก
ขนาดยุคเผด็จการ ท็อปบู๊ตครองเมือง เค้ายังไม่คุกคามสื่อขนาดนี้เลย !!!
แต่กับวิทยุชุมชน และ ทีวี ที่ล้างสมอง และปลุกระดมให้คนแตกแยก ทั้งวันทั้งคืน เพียงแต่บังเอิญเป็นแนวร่วมกำจัดศัตรูคนเดียวกัน เลยทำ หูหนวก ตาบอด ไม่กล้าแตะสักแอะ
ยังไม่นับตอนสงกรานต์เลือด ทีวีทุกช่องแทบจะกลายเป็นสื่อข้อมูลด้านเดียว คือด้านรัฐบาล ยังไม่นับสื่อสิ่งพิมพ์ ที่ก็มีเรื่องถูกคุกคาม แบบไม่น่าเชื่อในยุคนี้
ไม่มีอะไรหรอก เบื่อโคตร-โคตร พวกมือถือสาก ปากถือศีล เอาดีใส่ตัว โยนชั่วให้คนอื่น น่ะ
ท่านรมต.สาทิตย์ ที่คุมสื่อเบ็ดเสร็จตอนนี้ ช่วยลงโทษ “นักการเมืองคนนั้น” ให้เป็นตัวอย่างหน่อยได้ไหม คนนี้แหละ คุกคามสื่อ....ตัวจริง ทำได้ ก็เท่ากับ ได้ปฏิรูปสื่อไปครึ่งค่อนทางแล้ว.
ดาวประกายพรึก
โวยห้างค้าปลีก เอนทรานช์ฟีโหด สินค้าละ1ล้านบาท
ผู้ผลิตสินค้าร้องห้างค้าปลีกโขกค่าเอนทรานช์ ฟี สินค้าละ 1 ล้านบาท จากเดิมไม่กี่แสน ขณะที่ ค่าเมล์ก็ขึ้น 1 ล้านบาท/เมล์/15วัน จี้ตรวจสอบสินค้าเฮาส์แบรนด์ ขายราคาต่ำกว่าทุน พาณิชย์ เตรียมดูสัญญา ห้างเอาเปรียบหรือไม่ ก่อนเรียกทั้งห้าง-ผู้ผลิตหารือทางออก...
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ว่า ผู้ผลิตสินค้าร้องเรียนกระทรวงพาณิชย์ให้ตรวจสอบพฤติกรรมห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ว่าเข้าข่าย ผิดมาตรา 29 พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้าพ.ศ.2542 หรือไม่ โดยเรียกเก็บค่าแรกเข้าสินค้า (เอนทรานช์ ฟี) มากถึงชนิดสินค้าละ 1 ล้านบาท จากเดิมเพียงไม่กี่แสนบาท นอกจากนี้ ห้างยังขอขึ้นราคาขายสินค้าบางชนิดอีก 10-20% โดยราคาส่วนที่เพิ่มขึ้น ผู้ผลิตไม่ได้รับส่วนแบ่งด้วย แต่ห้างจะเอาไปเองทั้งหมด
ขณะเดียวกัน ยังเรียกเก็บค่าลงโฆษณาสินค้าในแผ่นพับ (ค่าเมล์) อีกสินค้าละ 1 ล้านบาทต่อเมล์ต่อ 15 วัน จากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เก็บในอัตรา 10,000 บาทต่อเมล์เท่านั้น ถือว่าไม่เป็นธรรม และเอาเปรียบผู้ผลิตอย่างมาก พร้อมเสนอให้ตรวจสอบต้นทุนการขายสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ ของแต่ละห้างด้วย เพราะพบว่า ขายในราคาต่ำกว่าทุน และต่ำกว่าสินค้าชนิดเดียวกันของผู้ผลิตรายอื่นมาก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการตรวจสอบสัญญาของผู้ผลิตและห้างค้าปลีกว่าเข้า ข่ายมีความผิดมาตรา 29 หรือไม่ จากนั้นจะเชิญทั้ง 2 ฝ่ายมาหารือเพื่อหาทางออกต่อไป
อริสมันต์แจ้งกองปราบกล่าวโทษนายกฯ
นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง
กับพวกอยู่เบื้องหลังเสื้อน้ำเงินที่พัทยา ลั่นต้องการวัดใจตร.ให้ปฏิบัติมาตรฐานเดียวกันกับที่ทำกับทุกฝ่าย กร้าวหากตร.รักษากม.ไม่ได้ก็ไม่รักษาเช่นกัน...
เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (5 มิ.ย.) ที่ บก.ป. นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปช. กับพวกอีก 13 คน ซึ่งตกเป็นจำเลยศาลจังหวัดพัทยาคดีมั่วสุมเกินกว่า 10 คน กีดขวางทางจราจร และบุกรุกทำให้เสียทรัพย์ กรณีนำมวลชนไปชุมนุมที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีช รีสอร์ท พัทยา สถานที่จัดการประ ชุมอาเซียนบวกประเทศคู่เจรจา เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี ผกก.2 บก.ป. เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงหมาดไทย นายเนวิน ชิดชอบ นายประมวล เอมเปีย ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กับพวก ในข้อหา เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และข้อหาอื่นที่เกี่ยวข้อง กรณีเป็นตัวการหรือสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกองกำลังเสื้อน้ำเงินกว่าพันคน โดยบางส่วนนำอาวุธปืน มีด ไม้ ระเบิด ตะปูเรือใบ และอาวุธอื่นๆมาทำร้าย และพยายามฆ่ากลุ่มผู้ชุมนุม นปช.บริเวณโรงแรมรอยัลคลิฟบีช รีสอร์ท พัทยา เมื่อวันที่ 10-11 เม.ย.ที่ผ่านมา
นายอริสมันต์ กล่าวว่า ตนเชื่อว่ากลุ่มคนเสื้อน้ำเงินนั้นเป็นกองกำลังที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเนื่องจากกลุ่มคนเหล่านั้นอยู่แนวหลังตำรวจและทหาร รวมทั้งสามารถใช้อาวุธต่างๆได้โดยไม่มีการสกัดกั้นจากเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้หลังเกิดเหตุ ผู้นำ และส.ส.ฝ่ายรัฐบาลหลายคนได้ให้สัมภาษณ์และอภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรถึงเหตุการณ์ดังกล่าว โดยยอมรับว่า กลุ่มคนเสื้อน้ำเงินเป็นอาสาสมัคร เป็นคนของพรรคภูมิใจไทย หรือเป็นผู้นำกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินไป ซึ่งประเด็นเหล่านี้พวกตนจะได้นำภาพถ่าย วีซีดี ผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บกว่า 10 ราย รวมทั้งเอกสารการอภิปรายในสภา รายงานสรุปจากคณะกรรมการกลาง และภาพข่าวจากสื่อมวลชนมาเป็นหลักฐานสนับสนุน
แกนำ นปช.นายอริสมันต์ กล่าวต่อว่า นอกจากนายอภิสิทธิ์ กับพวกแล้ว ตนยังได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ตำรวจภูธรภาค 2 และเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ที่เกี่ยวข้องในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกรณีที่ปล่อยให้กลุ่มคนเสื้อน้ำเงินยิงปืน และปาระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุม นปช.
นายอริสมันต์ กล่าวด้วยว่า การที่พวกตนมาร้องทุกข์กล่าวโทษ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ นายเนวิน กับพวกในครั้งนี้เป็นการวัดใจตำรวจให้ปฏิบัติด้วยมาตรฐานเดียวกันกับที่ปฏิบัติกับพวกตนซึ่งถูกดำเนินคดีอย่างรวดเร็วทั้งที่มีการร้องขอให้สอบพยานฝ่ายพวกตนหลายร้อยปากแต่กลับสอบสวนตนเพียงคนเดียว ดังนั้นหากเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายกันไม่ได้พวกเราก็จะไม่รักษากฎหมายเช่นกัน
“สังคมโลกรู้กันหมดแล้วว่าการบังคับใช้กฎหมายของไทยนั้นมีปัญหาร้ายแรงมาก และในวันที่ 27 มิ.ย.นี้จะมากันอีกไม่ต่ำกว่าแสนคน ถ้าบ้านเมืองนี้รักษากฎหมายไม่ได้ เราก็จะไม่รักษากฎหมายเช่นกัน และพวกเราจะรักษาสิทธิด้วยตัวเอง” แกนนำนปช. กล่าว
เบื้องต้น พ.ต.อ.สุพิศาล มอบหมายให้ พ.ต.อ.อัคราเดช และพนักงานสอบสวนรับเรื่องร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ ก่อนจะพิจารณาในข้อกฎหมายอีกครั้งเนื่องจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระบุว่า หากมีการร้องทุกข์กล่าวโทษนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้น ผู้เสียหายต้องไปร้องทุกข์ต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติโดยตรง
ยิ่งดับยิ่งโหมไฟใต้
สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ช่วงนี้ได้กลับมา“โหมกระพือ” ให้ร้อนแรงอีกครั้ง ทั้งเหตุการณ์ฆ่ารายวัน ทั้งประชาชนผู้บริสุทธิ์หรือแม้แต่ “ครู” ที่ไม่มีทางสู้ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในพื้นที่อย่างต่อเนื่องเมื่อมองจากสถานการณ์ที่กลับมารุนแรงในช่วงนี้ น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งว่าเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด ปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายและสามารถยึดอาวุธ เสบียง ของผู้ก่อความไม่สงบขณะเดียวกันสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ คือ การก่อเหตุในระยะหลังเป็นการตอบโต้มาตรการปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบ ที่มีบรรดาแม่ทัพนายกอง หรือแม้แต่รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ลงพื้นที่สั่งการด้วยตนเองเพื่อหวังจะลดความรุนแรงลงแต่เหตุการณ์ก็ย้อนกลับ การก่อเหตุเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ผู้เกี่ยวข้องต่างออกมารายงานตัวเลขในรายงานจากหน่วยในพื้นที่ว่า สถานการณ์ภาพรวมดีขึ้นแม้ว่าฝ่ายความมั่นคงจะมั่นใจในสถานการณ์โดยรวมเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ในภาคใต้จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ในสายตาประชาชนโดยเฉพาะครูยังคงหวาดระแวงกับเหตุการณ์ความไม่สงบ ที่ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นกับตัวพวกเขาอีกเมื่อไหร่แม้ว่าตำรวจ ทหาร จะปรับแผนคุ้มครองครู แต่การเดินทางไปสอนหนังสือยังเป็นการเดินทางบนความเสี่ยง ที่ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าจะมีเหตุร้ายหรือไม่ขณะที่นายกรัฐมนตรี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เรียกหน่วยงานด้านความมั่นคงเข้าหารือ เพื่อปรับแผนและยุทธวิธีในการควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบ ทันทีที่ข่าวความไม่สงบเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาเช่นเดียวกับรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง “สุเทพเทือกสุบรรณ” ที่เตรียมเดินทางลงพื้นที่ภาคใต้อีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งลงพื้นที่ไปเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาต้องจับตาดูว่าการลงพื้นที่บ่อยครั้งของรองนายกฯด้านความมั่นคง จะสามารถลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้หรือไม่อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมายังมีสถิติตัวเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบเดือนเมษายนที่มา ซึ่งพอจะบอกได้ว่ามาตรการต่างๆ ที่ลงไปใช้ได้ผลหรือไม่เดือนเมษายนความรุนแรงยังคงปรากฏอย่างต่อเนื่อง จำนวนเหตุร้ายมากขึ้นกว่าเดือนมีนาคมเล็กน้อย แต่ยอดผู้เสียชีวิตลดลงอยู่ที่ 29 รายทั้งนี้ หากนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปล้นปืนจากกองพันพัฒนาที่4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ต.ปิเหล็ง อ.เจาะไอร้องจ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 จนถึงสิ้นเดือนเมษายน2552 ยอดผู้เสียชีวิตรวมพุ่งสูงถึง 3,550 รายแล้วสำหรับเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นตลอดเดือนเมษายน 2552 มีทั้งสิ้น 89 เหตุการณ์ แยกตามพื้นที่ในระดับอำเภอและจังหวัดได้ดังนี้ปัตตานี เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทั้งสิ้น 36 เหตุการณ์แยกเป็นที่ อ.ยะรัง 9 เหตุการณ์ อ.สายบุรี 8 เหตุการณ์อ.หนองจิก 6 เหตุการณ์ อ.เมือง โคกโพธิ์ ยะหริ่ง มายอทุ่งยางแดง และกะพ้อ อำเภอละ 2 เหตุการณ์ และ อ.ปะนาเระ1 เหตุการณ์ยะลา เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทั้งสิ้น 21 เหตุการณ์แยกเป็น อ.เมือง 8 เหตุการณ์ อ.ยะหา 4 เหตุการณ์อ.รามัน 3 เหตุการณ์ อ.บันนังสตา กรงปินัง และธารโตอำเภอละ 2 เหตุการณ์นราธิวาส เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทั้งสิ้น 32เหตุการณ์ แยกเป็น อ.รือเสาะ 8 เหตุการณ์ อ.บาเจาะ6 เหตุการณ์ อ.ระแงะ 5 เหตุการณ์ อ.จะแนะ และเจาะไอร้องอำเภอละ 3 เหตุการณ์ อ.แว้งและสุไหงโก-ลก อำเภอละ 2เหตุการณ์ อ.ตากใบ สุไหงปาดี และศรีสาคร อำเภอละ 1
เหตุการณ์หากแบ่งตามลักษณะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและพื้นที่เกิดเหตุสามารถแบ่งได้ดังนี้ลอบยิงรายวัน เกิดขึ้นทั้งหมด 60 เหตุการณ์ แยกเป็นพื้นที่ปัตตานี 26 เหตุการณ์ ยะลา 16 เหตุการณ์ และนราธิวาส 18 เหตุการณ์ลอบวางระเบิด เกิดขึ้นทั้งหมด 13 เหตุการณ์ แยกเป็นพื้นที่ปัตตานี 2 เหตุการณ์ ยะลา 2 เหตุการณ์ และนราธิวาส 9 เหตุการณ์ลอบวางเพลิง เกิดขึ้นทั้งหมด 16 เหตุการณ์ แยกเป็นพื้นที่ปัตตานี 8 เหตุการณ์ ยะลา 1 เหตุการณ์ และนราธิวาส 7 เหตุการณ์ด้านเหยื่อความรุนแรงจากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นทั้งเสียชีวิตและบาดเจ็บรวมทั้งสิ้น 100 ราย แยกเป็นเสียชีวิต 29 ราย บาดเจ็บ 71 ราย แบ่งตามจังหวัด กลุ่ม และอาการของเหยื่อความรุนแรงได้ดังนี้ปัตตานี มีเหยื่อความรุนแรง 41 ราย แยกเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาดเจ็บ 14 ราย ประชาชนเสียชีวิต 13 ราย บาดเจ็บ 12ราย ผู้ก่อความไม่สงบเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 1 รายยะลา มีเหยื่อความรุนแรง 37 ราย แยกเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 13 ราย ประชาชนเสียชีวิต 10 รายบาดเจ็บ 11 รายนราธิวาส มีเหยื่อความรุนแรง 22 ราย แยกเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาดเจ็บ 8 ราย ประชาชนเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ12 ราย ผู้ก่อความไม่สงบเสียชีวิต 1 รายเป็นภาพรวมที่แสดงให้เห็นว่า ความสงบที่คนไทยคาดหวังจะเห็นจากฝีมือรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงห่างไกลจากความเป็นจริง จึงเป็นภาระที่รัฐบาลต้องแสดงให้คนไทยได้เห็นว่า “ไฟใต้” ต้องมาก่อน “ไฟการเมือง” ■
4,000 คัน ยางไม่แตก!
เห็นแล้วใช่ไหม “มาร์ค” หักหน้า “เนวิน” กันชัดๆกรณี รถเมล์ 4,000 คัน...ยางแตก ไม่ผ่านมติ“อนุมัติ” ครม.เรื่องนี้อย่าเพิ่งยึดติดคิดเป็นเรื่องใหญ่ “ตกอกตกใจ” เพราะไม่มีวันที่บุคคลทั้งสองจะยอมหักกันถึงขั้น “มองหน้าไม่ติด”ทั้ง 2 ฝ่าย ยังต้องพึ่งพาอาศัย “ซึ่งกันและกัน”โดยเฉพาะเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น “นักการเมือง” ย่อมมีความสามารถพิเศษ เปลี่ยนจาก มิตรเป็นศัตรู และศัตรูเป็นมิตร ได้ทุกวินาทีแล้วกับเรื่อง “รถเมล์ 4,000 คัน” จะเป็นเรื่องใหญ่อะไร!ในเมื่อสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า ผู้ให้ กับ ผู้รับ ต่างบรรลุเป้าหมายจากกลยุทธ์ Win-Win ด้วยกันทั้งสิ้นสังเกตและจับตาดูให้ดีนับจากนี้ 1 เดือนที่มติ ครม. สั่งให้ทางคณะกรรมการ“สภาพัฒน์” เป็นผู้ศึกษาโครงการเช่าและจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันผลสรุปที่ได้จะออกมาเป็นอย่างไร?เพราะเรื่องที่เห็นผ่านทางช่องการ “สื่อสาร” ต่างๆนั้น เป็นเพียง “ละคร” ฉากหนึ่งเพื่อความน่าเชื่อถือฉากสั้นๆสาเหตุน่ะหรือ?แว่วว่าตอนนี้ในหน่วยงานหรือกรมแห่งหนึ่งย่าน“จตุจักร” ได้มีการเปลี่ยนแปลงคนระดับ “หัวหน้างาน”เพื่อรองรับคำสั่งจากบุคคลซึ่งมีระดับเป็นถึง“บิ๊กนักการเมือง” แต่จะเกี่ยวข้องกับรถเมล์เจ้าปัญหานี้หรือไม่...เป็นเรื่องที่น่าติดตามแน่นอนว่า “ความเชื่อมั่น” ส่วนตัวมีเกินร้อย...ยังไงก็ “ผ่านฉลุย”แต่สิ่งที่ต้องนำกลับมาคิดและทบทวนอีกครั้งของรัฐบาลชุดนี้ คือ หากโครงการนี้ผ่าน...แล้วมันจะมี“ผลกระทบ” อะไรกับประชาชน “หาเช้ากินค่ำ”โดยเฉพาะในสภาพเศรษฐกิจที่ต้องทำงาน“อาบเหงื่อต่างน้ำ” แต่ผลตอบแทนที่ได้รับกลับน้อย“ไม่มีความมั่นคง”เพราะทันทีที่โครงการนี้ได้รับ “อนุมัติ” ปุ๊บ!เกรงว่าภายใน 2-3 เดือนให้หลัง...โครงการ“รถเมล์ฟรี...จากภาษีของประชาชน” ในยุค“น้าหมัก” จะหายวับไปกับตาเพราะดูตาม “สัญชาติ” ของคนบางพวกแล้วมันไม่น่าไว้วางใจ...เตรียมเอามือลูบกระเป๋ากันได้แล้วนะชาวเรา! ■
ซื้อดีกว่าเช่า
ความจำเป็นที่จะต้องมีรถเมล์ใหม่..มาบริการประชาชนนั้น..จำเป็นแน่นอนรถเมล์ใหม่..จะต้องเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากแก๊สเอ็นจีวี..นั่น..เป็นเรื่องต้องดำเนินการเพราะในปัจจุบันราคาน้ำมันมีความไม่แน่นอนและนับวันแต่จะแพงขึ้นแต่ 10 ปีที่ทำให้รถเมล์คันละ 4 ล้านบาทกลายเป็นรถเมล์คันละ 17 ล้านบาทนั้น..มันน่าตกใจ..ตกใจเพราะว่า..รถเมล์ 4,000 คันราคาประมาณ 4-5 ล้านบาทนั้น..หากจะซื้อเอามาใช้ก็จะต้องจ่ายแค่ 16,000-20,000 ล้านบาทแค่นั้นเอามาใช้กันแค่ 2 ปีครึ่ง หรือ 30 เดือนแล้วซื้อคันใหม่มาใช้..ในเวลา 10 ปี..เราจะซื้อรถเมล์รวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง..เราจะได้รถเมล์มา 16,000 คัน โดยที่เราจะใช้เงินเท่ากับที่ต้องจับจ่ายให้กับโครงการนี้..แต่ในทุกๆ 30 เดือน..เราจะมีรถเก่าค่อนข้างใหม่..ไว้ขายงวดละ 4,000 คัน..หรือหากไม่ขายเราจะมี
รถเมล์ที่ใช้งานมาแล้ว 10 ปี 4,000 คัน ใช้งานมาแล้ว 7 ปีกว่า 4,000 คัน ใช้งานมาแล้ว 5 ปี4,000 คัน และใช้งานมาแล้ว 30 เดือน 4,000คัน..ขายพร้อมกันเหมาราคาที่ครึ่งเดียว..เราจะได้เงินคืนมา..32,000 ล้านบาท..รถเมล์ที่ทำด้วยเหล็กและวิ่งบนเส้นทางราบเรียบเป็นรถประจำทางนั้น..หากเอามาใช้งานแค่รุ่นละ 30 เดือนแล้ว..การบำรุงรักษาจะมีค่าเกือบเท่ากับศูนย์..เพราะแทบจะไม่มีการซ่อมใหญ่..ประชาชนไม่มีใครค้าน..การจะต้องมีรถเมล์ใช้แก๊สมาบริการประชาชน..รัฐบาล..เอารถแก๊สมาใช้เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย..แต่ประชาชนคนโดยสารรถเมล์ต้องเสียค่าโดยสารเพิ่มขึ้นจาก 7-8 บาทในปัจจุบัน..เป็น 30 บาทต่อครั้งนั้น..มันสมควรหรือ..ยิ่งในวันที่รัฐบาลวิ่งกู้เงินมาแจกให้กับประชาชนฟรีๆ..ถ้าค่าใช้จ่ายของขนส่งมวลชน..มันลดลง..ทำไมประชาชนต้องใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโครงการนี้เกิดขึ้นมาก่อนในรัฐบาลก่อนหน้า..แต่ทุกๆ รัฐบาลก็มีปัญหาเดียวกัน คือไม่กล้าตัดสินใจ..โยนกลองกันไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า..แม้แต่ในรัฐบาลปฏิวัติของ คมช.เพราะอะไร..เพราะเป็นโครงการใหญ่..มีงบประมาณมหึมาเป็นโครงการที่ง่ายมากที่จะถูกจับผิดกล่าวหาว่ามีการทุจริต..และลำบากมากที่จะอธิบายให้โปร่งใส..เพราะในธุรกิจที่ต้องมีกำไรให้กับเอกชนผู้ประกอบการนั้น..มันถูกชี้อย่างไรก็ได้..ว่า เอื้อประโยชน์ให้กับผู้เกี่ยวข้องดังนั้น เพื่อตัดปัญหา..ซื้อเอามาใช้นั่นแหละ..ปลอดภัยที่สุด ■
R3..‘เหวย จี’!!
เคยรู้บ้างหรือไม่ว่า…ผักสด ดอกไม้สวย ที่ “ตลาดไท”มีแหล่งที่มาจากที่ใด??ผักปวยเล้งยาวๆ อวบๆ..กะหล่ำปลีอ้วนๆ ขาวๆใหญ่ๆ..ดอกเบญจมาศ ดอกกุหลาบ ฯลฯ หลากหลายสีสันมีที่มาจากแดนไกล“ผมไปคุนหมิงเพิ่งกลับมา ดอกกุหลาบใหญ่หยวนเดียวเท่ากับ 5 บาท แต่ดอกกุหลาบดอกเดียวมันวิ่งมาไกลถึง 2,000 กิโลเมตร จากคุนหมิงไปถึงกรุงเทพฯ 2,000กิโลเมตร”คำบอกเล่าจากประสบการณ์ตรงตามสายงานของ“สมเกียรติ พิสุทธิ์เจริญพงศ์” นายด่านศุลกากรเชียงของอ.เชียงของ จ.เชียงรายนับตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา ที่เริ่มมีการนำร่องเส้นทางเศรษฐกิจกรุงเทพฯ–คุนหมิง หรือ R3 เป็นเวลาเพียงไม่นานเส้นทางดังกล่าวแม้จะยังไม่ราบเรียบสะดวกโยธิน แต่ก็เรียกได้ว่าเสร็จสิ้นใช้งานได้ตลอดระยะทาง 2,000 กิโลเมตรแล้วเมื่อปี 2550 ที่ผ่านมา“มันปลูกเป็นมุ้ง ขาวไปทั้งหมดเลย คือ เป็นพลาสติกคลุม เราเห็นแล้วรู้เลยว่าตายแล้ว ถ้าของมันมาเราเสร็จแน่นอนสมมติการเดินทางไปเส้นทาง R3a จากห้วยทราย ไป228 กิโลเมตร เราเรียกว่าบ่อเต็น (ลาว) พอจากบ่อเต็นข้ามไปฝั่งนู้นเรียกว่าบ่อหาน (ลาว) จากบ่อหานข้ามไปฝั่งโน้น เขาทั้งลูกเขียวหมดเลย มันปลูกยางหมดคนงานไทยเราจะลมใส่ เพราะที่คุณเคยคิดว่าเป็นหนึ่งในเรื่องยางพารา คุณเสร็จจีนแล้วยางในจีนตั้งแต่บ่อหานเข้าไปถึงสิบสองปันนา (จีน)เป็นยางหมด ผมเข้าไปท่าเรือกวนเหล่ยก็มีแต่ยางล่องเรือมาเห็นได้เลยว่าเขาใช้พื้นที่ปลูกยางหมด ไม่มีเขาหัวโล้นครับ แล้วยางพาราปลูกในจีนได้ คือ ที่สิบสองปันนากับเกาะไหหลำเท่านั้น อย่างอื่นปลูกไม่ได้ถามว่าตกใจหรือไม่ ถ้าคุณปลูกยางพาราคุณต้องตกใจและกลับมาต้องคิดใหม่แล้วจะทำอย่างไร เขาปลูกยางเยอะจริงๆ”สดับตรับฟังผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพืชเศรษฐกิจไทย แค่เพียงชนิดเดียวก็ถึงกับต้องอ้าปากค้าง มือเท้าคางคิดหนัก“ผักคะน้า ถั่วลันเตา ของเขาอร่อยและถูกกว่าไทย
แต่ละวันจะมีผักมาผ่านด่านเป็นรถคอนเทนเนอร์ คันนึงราว 10 ตัน ตกวันละ 100 ตัน มาที่นี่มาโดยรถ มันเร็วและผักไม่ช้ำ ผักทั้งหมดถูกส่งไปตลาดไทถ้าอยากรู้ว่า R3a ทำให้การขนส่งประหยัดเวลาเร็วขึ้นกว่าเดิมแค่ไหน ให้เปรียบเทียบกับสินค้าบางประเภทที่ไปออกอีสานถ้ามาทางนี้ย่นระยะเวลาได้เป็นวัน”อาจจะคิดหนักกว่าเดิมเมื่อได้รู้ว่า “สินค้าเกษตร” ทั้งหลายที่ว่ามาศุลกากรไทยไม่สามารถจัดเก็บภาษีเข้ารัฐได้ตามที่ควรได้“การจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าเพราะอากรลดลง แม้มูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น แต่ส่วนมากเป็นสินค้าที่ลดภาษี 7 ใน 10 ลำดับ ได้รับการยกเว้นภาษีเพราะฉะนั้น 85 เปอร์เซ็นต์ ผมยกเว้นแล้วเหลือ 15เปอร์เซ็นต์ จะให้ผมไปเก็บกับใคร เป้าที่ตั้งให้ผมมา ผมเก็บไม่ได้หรอกครับ อัตราอากร ก็ลดๆๆ แถมบางอันก็ฟรีหมดเลย”สิ่งที่ “นายด่านสมเกียรติ” กำลังพูดถึง คือ สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่เป็นการตกลงก่อสร้างร่วมกันระหว่างไทย–จีน ภายใต้งบประมาณรวม 31.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยแบ่งการสนับสนุนฝ่ายละ 50 เปอร์เซ็นต์โดยคาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างได้ในสิ้นปี 2552 และจะแล้วเสร็จได้ภายใน 30 เดือน“มีคนถามว่าสร้างสะพานแล้วไทยจะได้อะไร เพราะต้องไม่ใช่จีนอย่างเดียวที่ได้ประโยชน์ ทีนี้ควรจะคิดว่าเมื่อทางสะดวกแล้วเราจะคิดสินค้าอะไรไปตีเขา ผมบอกเลยว่า เรามีผลไม้ไทย ที่เราต้องคิดว่าเราจะเอาอะไรดีไปตีเขามังคุดเขา 18 หยวนต่อครึ่งกิโล คือ 90 บาท กิโลกรัมละ180 บาท แล้วที่บ้านเรากิโลกรัมละ 20 บาท คุณสมควรเอามังคุดไปตีเขามั้ย ที่นี่ผลไม้เป็นฤดู มีมะม่วง ชมพู่ เราต้องคิดบุกเต็มที่ กระทรวงพาณิชย์ต้องคิดบุกเต็มที่เรารู้แล้วว่ามังคุดที่จีนกิโลกรัมละ 180 บาท อยู่ที่นี่ 20 บาท
เราส่งคนเข้าไปลุยเลย หาตลาดแล้วลุย เราโชคดีตรงที่มังคุดจีนปลูกไม่ได้ ทุเรียนจีนปลูกได้ อย่างอื่นปลูกได้หมด แต่มังคุดเขาปลูกไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาต้องซื้อเราและเขาชอบกินถ้ามัวแต่คิดอย่างเดียวว่าจีนลงมาเราสู้เขาไม่ได้ก็เท่านั้นแต่เราก็คิดขึ้นไปสิ อย่างมังคุด เขาชอบแน่ๆ แล้วบ้านเขามันแพง”ได้ฟังคร่าวๆ เหมือนจะมีความหวัง แต่ก็ยังหดหู่อยู่ตะหงิดๆเพราะหนทางที่สินค้าเกษตรของไทยจะถูกโจมตี ดูท่าว่าจะเป็นไปได้สูงในเวลานี้ ถ้าหากรัฐบาลยังไม่มีการวางแผนเตรียมการให้ดี“ผลประโยชน์ที่ได้กับรัฐบาลไทย คือ มีการลงทุน มันก็ไปต่อยอดกับธุรกิจ แค่นั้นก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว”มุมมองความเห็นอีกด้านจากภาคธุรกิจโดย “จิรพล กาญจนกามล”ผู้จัดการ บ.ขุดค้นถ่านหินเวียงภูคา สาขาบ่อแก้ว ประเทศลาวนับได้ว่าเป็น 1 ในบริษัทคนไทยจำนวนไม่มากที่ไปดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง และเป็นล่ำเป็นสันที่ลาว“เส้นทางเสร็จหมดแล้ว R3 ตอนนี้สามารถขับรถเก๋งมาได้เป็นถนน 2 เลน จากบ่อเต็นเข้าบ่อหาน เดิม 230 กิโลเมตรเหลือ 170 กิโลเมตร จากที่วิ่งเป็นวันเหลือเพียง 2 ชั่วโมงR3 เป็นเส้นทางหลักที่ขนสินค้าจากจีนมาลาว ส่วนจะได้ประโยชน์มากกว่าการข้ามผ่านแม่น้ำโขงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเส้นทางบางทีของที่ลงจากเชียงรุ้ง ผ่านแม่น้ำโขงมันเร็วกว่า แล้วก็ความคุ้มค่า ถ้ามีสะพานมันจะเวิร์กกว่านี้”สำหรับสภาพภูมิประเทศลาวในปัจจุบัน ได้รับคำบอกเล่าที่เชื่อถือได้จาก “พรสวรรค์ บุญทัน” ผู้ใหญ่บ้านห้วยลึก ต.ม่วงยายอ.เวียงแก่น จ.เชียงราย“ผมอยู่ชายแดนจะไม่ให้มีเรื่องกระทบกระทั่งกัน เพราะเป็นธรรมดาของชาวบ้านก็มีบ้าง ก็รีบไปคุยกับผู้ใหญ่ก่อนไม่ให้มี
เรื่องใหญ่ขึ้น ก็รีบไปคุยก่อนแก้ไขกัน ทุกปีจะมีกีฬาเชื่อมสัมพันธ์เล่นกันไม่จริงจัง คือ เราไม่อยากให้ทะเลาะกัน มันไม่สนุก”แต่ความเป็นบ้านพี่เมืองน้องหรือบ้านใกล้เรือนเคียง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าบริเวณชายแดน...แน่นอนว่า “ของถูก” ย่อมได้เปรียบเสมอ...!!“สินค้าลาว อาทิ พวกเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เอามาจากจีนหมด ตอนนี้เราไปที่ไหน ตลาดจีนจะอยู่ทั่วทั้งลาวแล้วร้านคนลาวจะน้อยเต็มที เพราะมีการขนสินค้าผ่านทางเส้นทาง R3 มานานแล้ว”เพียงคร่าวๆ ของการตามรอยเส้นทาง R3a ที่เสร็จสิ้นนี้ก็ได้เห็นอะไรต่อมิอะไรที่ล้วนเป็นผลกระทบต่อไทยในทุกด้านแล้วแลนั่นดูจะไม่ใช่ข่าวดีเลย สำหรับเส้นทางเศรษฐกิจสายใหม่ที่กำลังต่อตรงเข้าทางเหนือไทยแต่..ในวิกฤติย่อมมีโอกาส!!คำว่า “วิกฤติ” ในภาษาจีนออกเสียงว่า “เหวย จี”ตัวอักษรได้มาจากคำ 2 คำเหวย = “เหวยเสี่ยน” แปลว่า...อันตรายจี = “จีฮุ่ย” แปลว่า...โอกาสดังนั้น คำว่า “วิกฤติ” ในภาษาจีน คือ “อันตราย”และ “โอกาส” ในเวลาเดียวกันเส้นทางสายนี้..แม้จะดู “อันตราย” เพราะการรุกเข้ามาของสินค้าจากประเทศมหาอำนาจในเอเชีย แต่ขณะเดียวกันน่าจะถือว่าเป็น “โอกาส” ที่ดีมาก สำหรับพ่อค้าไทยใจกล้าที่จะลงทุนเปิดตลาดจีนตอนใต้ ถิ่นที่ตั้งที่มีประชากรอยู่ราวหลักหลายร้อยล้านคนถ้าทำได้..ก็มีแต่..คุ้มกับคุ้ม!! ■
สมัชชาคนจนบุกพบนายกฯ ตั้งกรรมการแก้ปัญหาด่วน 11 มิ.ย. ชาวบ้านเขื่อนหัวนา-ราศีฯ ปักหลักสันเขื่อนต่อ
ตัวแทนสมัชชาคนจนเกือบร้อยคนบุกทำเนียบฯ เข้าพบ ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ นำเสนอปัญหาเรื้อรังของ 7 เครือข่าย ด้านนายกฯ มอบหมาย ‘สาทิตย์ – คุณหญิงสุพัตรา’ ตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาด่วน 16 ประเด็น วันที่ 11 มิ.ย.นี้ ขณะที่ด้านสมัชชาคนจนเขื่อนหัวนา-ราศีไศลกว่า 2,000 คนปักหลักชุมนุมสันเขื่อนวันที่ 2 ฟังตัวแทนเจรจานายกฯ สดผ่านโทรศัพท์ ยังยืนยันจะปักหลักจนกว่าจะแก้ปัญหาเสร็จสิ้น
5 มิ.ย.52 - ที่ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มตัวแทนสมัชชาคนจนราว 70 คน เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอปัญหาของ 7 เครือข่ายหลักทั่วประเทศประกอบด้วย เครือข่ายเขื่อน, เครือข่ายป่าไม้ 4 ภาค, เครือข่ายผู้ป่วยจากการทำงาน, เครือข่ายประมงพื้นบ้าน เครือข่ายเกษตรทางเลือก, เครือข่ายที่ดิน และเครือข่ายสลัม 4 ภาค โดยหลังจากหารือกันราว 1 ชั่วโมง นายกรัฐมนตรีได้รับปากในการแก้ปัญหา โดยมอบหมายให้นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ที่ปรึกษานายกฯ เป็นหลักในการตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหา และจะประชุมนัดแรกเพื่อจัดลำดับประเด็นปัญหาต่างๆ ของสมัชชาคนจน ในวันที่ 11 มิถุนายน เวลา 09.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อพิจารณาปัญหาโดยจำแนกเป็นปัญหาเร่งด่วน 16 เรื่องที่จะเชิญหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับปัญหาด้านต่างๆ มาประชุมร่วมกับตัวแทนกลุ่มสมัชชาด้วย นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่ต้องเร่งรัดให้มีการแก้ไข 14 เรื่อง รวมถึงการสร้างกลไกแก้ปัญหาเพิ่มเติมใน 4 เรื่อง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวในการเจรจาว่า ปัญหาของสมัชชาคนจนมีมาตั้งแต่ปี 2538 แล้ว เป็นปัญหาที่สะสมมานาน บางปัญหาก็เป็นปัญหามาก่อนหน้านั้นอีก อยากบอกกันตามความเป็นจริง จะไม่มาหลอกกัน ปัญหาเหล่านี่ไม่ใช่แก้ไขง่าย ๆ ถ้าทำได้ง่ายคงไม่ต้องมาถึงรัฐบาลของตน แต่บางเรื่องก็เชื่อว่าทำได้ แต่บางเรื่องคิดว่าคงต้องรอรัฐบาลที่ 9 หรือ 10
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า กลไกที่เกิดขึ้นมา จะทำงานใกล้ชิดกับตน และคอยรายงานความคืบหน้าของการแก้ปัญหาให้ตนทราบตลอด และยินดีที่จะได้ทำงานคลี่คลายปัญหาร่วมกัน
สมัชชาคนจน “หัวนา-ราษีฯ” ชุมนุมต่อ
ด้านสมัชชาคนจน เขื่อนหัวนา-ราษีไศล ชุมนุมที่สันเขื่อนราษีไศล อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ ต่อเป็นวันที่ 2 โดยชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีฯ-หัวนา กว่า 2,000 คนให้กำลังใจตัวแทนที่เข้าพบนายกฯ พร้อมทั้งรับฟังการถ่ายทอดสดการเจรจาผ่านทางโทรศัพท์ในที่ชุมนุมที่สันเขื่อนด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าชาวบ้านได้สร้างเพิงพักเต็มบริเวณสันเขื่อนและประกาศจะอยู่ที่นี่ต่อไปจนกว่าการแก้ไขปัญหาจะสำเร็จลุล่วง โดยในเวลา 09.09 น.ได้มีพิธีบอกกล่าวต่อเจ้าที่ แม่ธรณี รุกขเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ปกปักรักษา
ก่อนเข้าพบนายกรัฐมนตรีเล็กน้อย นายพุฒิ บุญเต็ม แกนนำชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล ตัวแทนที่ไปทำเนียบฯ กล่าวว่า ตอนนี้ตนกำลังอยู่ที่หน้าทางเข้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งการเจรจาวันนี้ก็มีความกังวลพอสมควร เพราะที่ผ่านมาก็มีบทเรียนว่า นายกฯให้เราไปฟังนโยบายของรัฐบาลมากกว่า ส่วนการแก้ไขปัญหาก็จะโยนให้ข้าราชการประจำไปดำเนินการตามขั้นตอน ให้แต่ละจังหวัดดำเนินการ ซึ่งในวันนี้ทางสมัชชาคนจนก็จะผลักดันให้มีการเจรจาให้ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาลงมาพูดคุยเจรจาในระดับพื้นที่ โดยให้นายกฯมีการสั่งการภายใน 3 วัน
ด้านนายสมบัติ โนนสังข์ ตัวแทนชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อนหัวนา กล่าวว่า กรณีปัญหาของพี่น้องเขื่อนหัวนานั้นต้องผลักดันให้มีการรับรองทรัพย์สิน ให้มีการยุติการถมลำมูนเดิมจนกว่าจะมีการศึกษาผลกระทบเสร็จสิ้น และจากปัญหาที่จังหวัดมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจหน้าที่อนุกรรมการระดับอำเภอนั้นต้องให้มีการชี้แจงเรื่องนี้
ขณะที่ นายสนั่น ชูสกุล ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน ได้รายงานสถานการณ์ในบริเวณทำเนียบรัฐบาลว่า ตนรู้สึกเกร็งๆ อยู่ว่าการนัดเจรจาครั้งนี้จะเป็นการให้มารับฟังนโยบายของรัฐบาล เหมือนรัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมา ซึ่งเราก็ยืนยันว่าเรามาเพื่อจะเจรจาให้มีการแก้ไขปัญหา แต่ว่า“ที่นี่ไม่มีตีน” หมายความว่า พวกเรามาทำเนียบฯ โดยที่ไม่มีพี่น้องมาให้กำลังใจด้วย ฉะนั้น อำนาจต่อรองที่จะคุยกับรัฐบาลอย่างสง่าผ่าเผยก็ไม่เต็มที่นัก ซึ่งการพูดคุยจะได้ผลหรือไม่ ตนก็ไม่แน่ใจ
กษิต ภิรมย์ ชู “จริยธรรม” ไม่กระโดดย้ายพรรค เล็งเจรจายื้อลูกแพนด้าช่วงเยือนจีน

ที่กระทรวงการต่างประเทศวานนี้ (5 มิ.ย.) นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีแกนนำพันธมิตรฯ ยื่นขอจดจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ว่า เป็นขบวนการเข้ามาร่วมกระบวนการประชาธิปไตยในระบอบรัฐสภาที่ต้องมีพรรคการเมือง มีการเลือกตั้ง ทำให้การเมืองของไทยมีความหลากหลาย มีการแข่งขันกันก็เป็นสิ่งที่ดี
“ทางฝ่ายพรรคพันธมิตรฯ หรือพรรคการเมืองใหม่นั้น ก็จะมาเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการเมืองใหม่ ซึ่งตามความเข้าใจของผมก็หมายความว่า อยากจะให้การเมืองมีความโปร่งใส มีธรรมาภิบาลและตอบสนองความต้องการของประชาชน มันก็เป็นสิ่งที่ดีถ้าเราจะช่วยกันจรรโลงให้ประชาธิปไตยของเรานั้นเป็นไปอย่างที่เราคิดว่ามันควรจะเป็น มันก็เป็นสิ่งที่ดีและก็พร้อมที่จะแข่งขันกับพรรคพันธมิตรฯ เพราะผมมาอยู่พรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องสู้กัน
ส่วนการร่วมงาน ผมคิดว่ามีอุดมการณ์คล้ายเคียงกันเพราะทั้ง 2 พรรคมีความมุ่งหวังที่จะให้มีสังคมประชาธิปไตยที่ดี ส่วนถ้ามีการเลือกตั้งในอนาคต ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะร่วมมือกันอย่างไรและรูปแบบการเมืองของไทยนั้น ที่พรรคเดียวจะมีเสียงข้างมากมันค่อนข้างจะลำบาก โดยประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแล้วมักจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เป็นเรื่องการมาแชร์ มาดูว่าแนวนโยบายที่เรียกว่าเป็นแพลทฟอร์มของแต่ละพรรคมันคล้ายกันหรือไม่ ร่วมกันได้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องอนาคต”นายกษิตกล่าว
เมื่อถามว่าพรรคการเมืองใหม่จะสามารถพลิกโฉมเมืองไทยได้หรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า ไม่ทราบครับ จะเป็นพรรคเดียวหรือคนเดียวไม่ได้ทั้งนั้น เป็นเรื่องของทุกๆ พรรคการเมืองที่จะต้องพัฒนาประชาธิปไตยของเรา และอย่างน้อยต้องเป็นพรรคการเมืองที่มีเป้าหมายอุดมการณ์ รู้ความเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่เป็นพรรคการเมืองเฉพาะกิจเฉพาะคนที่ใครมีสตางค์ใครเคยมีอำนาจก็มาตั้งพรรคการเมือง อันนี้เป็นเรื่องพรรคการเมืองแบบเก่าๆ แต่ต้องเป็นพรรคการเมืองของสมาชิกพรรคและเป็นพรรคที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน ตรงนี้ต่างหากที่จะต้องทำให้ทุกพรรคการเมืองเหมือนพรรคในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย มีการพัฒนาเพื่อตอบสนองอุดมการณ์เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักและไม่ใช่มาตอบสนองท่านเจ้าของพรรคคนหนึ่งคนใด
เมื่อถามว่าพรรคการเมืองใหม่ได้มาทาบทามหรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า ไม่ครับ ผมอยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ผมได้พูดไปชัดแล้ว และโดยจริยธรรมก็ไม่ควรทำสิ่งต่างๆเหล่านั้น ส่วนเสียงกลองเสียงลือเสียงเล่าอ้างต่างๆ ที่มีมากมายนั้น อะไรที่เป็นเหตุเป็นผลเป็นความถูกต้อง ก็เป็นเรื่องความเป็นมนุษย์ เป็นศักดิ์ศรี เป็นสิ่งที่ต้องทำ
“ไอ้เรื่องที่จะกระโดดไปกระโดดมาอย่างนั้น ไม่ทำ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร ผมคิดว่าเพื่อนๆ ที่พันธมิตรฯ ก็รู้สถานะผมดีและมีความเข้าใจ แต่ว่าความเป็นมิตรเป็นเพื่อนที่ได้ต่อสู้ร่วมกันมา ได้ต่อต้านคอรัปชั่น ต่อต้านระบอบทักษิณ เป็นยังไงมายังไง ความสัมพันธ์ส่วนตัวก็ยังมีความเอื้ออาทร ความรักใคร่ต่อกันก็มี แต่ทีนี้อยู่คนละพรรค ก็สู้กันไปตามระบอบ ครรลองของประชาธิปไตย
คำว่าสู้ ไม่ใช่สู้รบ แต่เป็นสู้ตามวิถีทางกติกาของรัฐธรรมนูญ ของกฎหมายเลือกตั้ง” นายกษิตกล่าวและว่า ตนยังไม่ได้คุยกับนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ และส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เพียงแต่เจอกันที่พรรค ไม่ได้มีปัญหาและโดยมารยาทก็พูดไม่ได้ ทุกอย่างก็ต้องทำให้ถูกต้อง ไม่มีอะไรที่คลุมเครือ
ส่วนกรณีเสียชีวิตของนายเดวิด คาราดีน ดาราดังฮอลลีวู้ด ในประเทศไทย นายกษิตตอบว่า สถานทูตอเมริกาประจำประเทศไทย ยังไม่ได้ร้องขออะไรเป็นพิเศษ แต่ถ้าร้องขอมาเราก็พร้อมให้ความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามสถานทูตได้ดำเนินการตามขั้นตอนอยู่แล้ว เพื่อดูแลประชาชนของเขา
ส่วนกรณีหลายฝ่ายต้องการขอให้ลูกหมีแพนด้าอยู่ในประเทศไทยต่อนั้น นายกษิตให้ความเห็นว่า ทางสถานทูตจีนน่าจะทราบความต้องการที่อยู่ในใจของประเทศไทยที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการเดินทางเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 10-11 มิถุนายนนี้ ก็จะไปเน้นย้ำให้ทราบถึงความต้องการของคนไทย ซึ่งจะได้หรือไม่อยู่ที่ประเทศจีนพิจารณา ในฐานะที่เป็นมิตรที่ดีต่อกัน
แม่นไหมไม่ทราบ ประจำวันที่ 6-12 มิ.ย. 2552
ห้าเดือนผ่านไป ใครได้อะไร ... ทำไมต้องเป็น ประชาธิปัตย์ ?
โดย คุณ poonnook
ที่มา เวบไซต์ thaifreenews
6 พฤษภาคม 2552
เหตุผลเดียวที่เผด็จการอมาตย์ต้องการพรรคประชาธิปัตย์ และจะต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นในการปกครองประเทศ มิใช่เพราะพรรคประชาธิปัตย์สามารถบริหารประเทศเก่งกาจ และจะนำพาให้ประชาชนมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ แต่ตรงข้ามประชาธิปัตย์จะสามารถบริหารประเทศให้ประชาชน “ยากจนและไร้ความหวัง” ได้อย่างสิ้นเชิงต่างหาก และที่สำคัญประชาธิปัตย์ สามารถกระทำเรื่องดังกล่าวได้เป็นอย่างดีเสียด้วย
ต้องยอมรับอย่างจริงจังว่า พรรคประชาธิปัตย์มิใช่พรรคการเมืองสมัครเล่นหรือพรรคเฉพาะกิจ แต่เป็นพรรคการเมืองมืออาชีพอย่างแท้จริง กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ไม่มีพรรคการเมืองใดในประเทศนี้ ที่มีลูกเล่น, เล่ห์เหลี่ยม, ไหวพริบ แพรวพราวในทางการเมือง เท่ากับพรรคประชาธิปัตย์อีกแล้ว
ระยะเวลากว่า 60 ปี ที่พรรคนี้ได้สั่งสมประสบการณ์และถ่ายทอดทายาททางการเมืองออกมา จนเกือบจะเป็นพิมพ์เดียวกันในทุกๆ รุ่น เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ “มิใช่เหตุบังเอิญ” แต่เป็น “ความตั้งใจและเจตนา” จะให้เกิดขึ้นดังนั้นอย่างแท้จริง
ระยะเวลากว่า 5 เดือน ที่พรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ขึ้นมาสู่อำนาจทางการเมือง โดยอาศัย “ความหน้าด้าน, ตัวช่วย, และเล่ห์เหลี่ยม” พรรคการเมืองนี้มิได้สร้างคุณประโยชน์ใดๆ ให้กับประชาชนชาวไทยโดยรวมเลยแม้แต่น้อย
ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมือง, การแตกแยกทางความคิด, การล่มสลายทางเศรษฐกิจของชาิติ พรรคประชาธิปัตย์ มิได้ดำเนินการสิ่งใดให้เห็นได้เป็นรูปธรรมว่า มีความพยายามจะแก้ไขปัญหาสำคัญเหล่านี้ในฐานะผู้นำรัฐบาล นอกจากร่องรอยปรากฏให้เห็น แต่การ “เล่นเกมส์การเืมือง” เพื่อชิงความได้เปรียบ
การบริหารประเทศ ก็เป็นไปในลักษณะพร้อมที่จะโยนภาระให้กับรัฐบาลต่อไปและประชาชน ให้เป็นรับผิดชอบ และเป็นผู้แก้ปัญหาในอนาคต ส่วนตัวเองในรัฐบาลนี้ ก็เอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีความหวังที่ประชาชนจะลืมตาอ้าปากได้ในอนาคตอันใกล้
อาจจะเป็นไปตามแนวทาง ที่ต้องการให้ประชาชนในประเทศนี้ มีชีวิตเพียงแค่พอมีพอกินไปวันๆ ไม่มีโอกาสที่จะร่ำรวย หรือขึ้นมาแข่งขัน เป็นเจ้าของธุรกิจของตนเองได้ ไม่ว่าระดับใดก็ตาม
เพราะถ้าเป็นดังนั้นแล้ว ประชาชนผู้ที่ “คิดเป็นทำเป็น” เหล่านั้น ก็จะกลายเป็นผู้ที่ “ไม่ว่านอนสอนง่าย” เพราะเริ่มรู้จักคิด เริ่มรู้จักหาโอกาสพัฒนาตนเอง
แต่ถ้าประชาชนไม่มีโอกาสที่จะแข่งขัน ก็จะไม่มีโอกาสพัฒนาชีีวิตของตนเอง เมื่อเป็นดังนี้ ก็ตรงตามเป้าหมายที่เผด็จการอมาตย์ พยายามผลักดันให้ประเทศ และคนในประเทศนี้ มีรูปแบบในการดำเนินชีวิตในลักษณะนี้ เพื่อที่จะได้ปกครองได้ง่าย ... ประชาชนจะได้ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพัฒนามากจนเกินความจำเป็น มิฉะนั้นจะกลายเป็น “ประชากรที่หัวแข็ง”
ระยะเวลารวม 18 ปี ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เคยเป็นรัฐบาลดูแลประเทศนี้ ไม่เคยมีผลงานที่เป็นรูปธรรมเพื่อการพัฒนาประเทศและประชาชน ให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างชัดเจน หรือจริงจัง
แต่สิ่งที่ผ่านมาตลอดระยะเวลาดังกล่าว หน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์มีเพียงการ เพียรพยายามทำลายศัตรูทางการเมือง จนล้มหายตายจากไปจากประเทศไทยมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ท่านปรีดี พนมยงค์, จำลอง ศรีเมือง เป็นตัวอย่างผลงานที่ชัดเจน และไม่สามารถลบออกไปจากประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ได้
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยมีผลงานที่เป็นรูปธรรมให้จดจำในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศไทย แต่ตรงกันข้าม ความจดจำในเรื่อง “สปก. 4-01, เงินกู้มิยาซาวา, ทุจริตการค้ายาง” เหล่านี้ กลับเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่สามารถลบเลือนไปจากพรรคประชาธิปัตย์ได้เลย...
ปฏิเสธไม่ได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการสนับสนุนอย่างออกหน้าออกตา จากกลุ่มเผด็จการอมาตย์ ที่จะให้เข้ามามีอำนาจรัฐ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีศักยภาพพอในการนำพาประเทศไปสู่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และความขัดแย้งของชาติในขณะนี้ได้
แต่ทำไมเหล่าเผด็จการอมาตย์ จึงพยายามทุึกวิถีทาง ที่่จะให้พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมามีอำนาจให้ได้ น่าจะมีคำถามที่ชวนให้นำมาพิจารณากันว่า “ทำไมต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์” หรือเผด็จการอมาตย์ ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ “ทำอะไรกับประเทศนี้”
ประเด็นอยู่ที่ว่า เผด็จการอมาตย์ที่ครอบครองอำนาจอยู่ในประเทศนี้ ไม่่ต้องการให้ประชาชนได้ลืมตาอ้าปากได้มากเกินไปกว่าที่ควรจะเป็น, ไม่ต้องการให้มีความรู้สูงจนเกินไป, นโยบายขายฝันตามแนวคิดเชิง “อุดมคติ” จึงได้ถูกสร้ัางภาพให้ปรากฏขึ้นในประเทศนี้
สังคมอุดมคตินั้น เป็นสังคมที่ถูกวาดภาพให้สอดคล้องกับความเชื่อพื้นฐานของคนไทย ในเรื่องของ อาณาจักรยูโธเปีย หรือยุคศรีอารยะ แบบประเภทไม่ต้องทำงานทุกคนก็มีกิน สังคมมีแต่ความเท่าเทียมกัน ซึ่งไม่มีอยู่จริงในโลกปัจจุับัน
สิ่งเหล่านี้ เป็นกลยุทธที่แยบยล ที่ได้หลอกลวงคนไทยทั้งชาติมาหลายสิบปี เป็นแนวคิดที่ต่อต้านหรือตรงข้ามอย่างรุนแรง กับกระแสการแข่งขันในโลกแห่งความเป็นจริงในสังคมปัจจุบัน
พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคที่ตอบสนองความต้องการของเผด็จการอมาตย์ได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยการปกครองประเทศในรูปแบบที่ไม่ต้องให้มีการพัฒนาใดๆ ในเชิงคุณภาพของประชาชน นอกจากทำลายคู่ต่อสู้ หรือผู้ที่จะขึ้นมาแย่งอำนาจทางการเมืองเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ พี่น้องชาวไทยจึงมองเห็นได้ถึงความเจ้าเล่ห์, หลอกลวง, คดโกง, ทรยศหักหลัง, หรือสิ่งอื่นใดก็ตาม เท่าที่จะทำได้ ขอเพียงให้มีอำนาจขึ้นมาเท่านั้น
คำสัญญาที่พรรคประชาธิปัตย์ เคยให้เอาไว้กับประชาชนในสมัยรณรงค์หาเสียงก่อนการเลือกตั้ง กลายเป็นลมปากที่พูดไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามก็ได้ แล้วก็คอยแต่ประดิษฐ์ถ้อยคำที่ดูดีออกมาแก้ตัว เพื่อให้ดูน่าสงสาร, น่าเห็นใจ
แต่ผลสรุปก็คือ “ไม่ทำตามคำพูดที่เคยสัญญาเอาไว้นั่นเอง”
ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า แนวทางการปฏิบัติของพรรคประชาธิปัตย์ สอดรับการแนวนโยบายของเผด็จการอมาตย์ ที่ไม่ต้องการให้ประเทศมีการพัฒนาก้าวหน้าไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลก หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เผด็จการอมาตย์เป็นผู้ออกแบบพิมพ์เขียว และพรรคประชาธิปัตย์ ก็นำเอาพิมพ์เขียวนั้นมากระทำให้เป็นความจริง โดยที่ไม่สนใจเลยว่า ประชาชนในชาติกว่า 60 ล้านคนจะมีชีวิต และความเป็นอยู่อย่างไร หรือต้องผจญกับความทุกข์ยาก ที่เกิดจากการต้องแข่งขันกับประเทศต่างๆ ในโลกนี้อย่างไรบ้าง ขอเพียงให้ยังคงครองอำนาจ อยู่เหนือประชาชนต่อไปได้ ก็พอ โดยไม่สนใจว่า จะใช้วิธีใดก็ตาม
เมื่อฉายภาพออกมา และดูกันให้เห็นอย่างชัดๆ แล้ว เผด็จการอมาตย์มิได้ “รักและห่วงใย” ประชาชนในประเทศนี้อย่างจริงใจ เหมือนดังที่พยายามสร้างภาพให้ปรากฏออกมาให้เห็นในทุกๆ สื่อเลยแม้แต่น้อย แต่กลับใช้ความ ”รักและความศรัทธา” ที่ประชาชนมีให้นั้น กอบโกยและหาประโยชน์แก่ตนเอง, วงศ์ตระกูล, และพวกพ้อง โดยปล่อยให้ประชาชนทั่วทั้งแผ่นดิน ต้องดิ้นรน ต่อสู้อุปสรรคชีวิตด้วยตนเอง ซึ่งอาจจะหยิบยื่นเศษความช่วยเหลือ หรือผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ มาให้ แล้วก็ยกขึ้นมากล่าวอ้างเป็นบุญคุณต่อประชาชน อย่างใหญ่โตเกินความเป็นจริง
ด้วยเหตุนี้เหตุผลเดียว ที่เผด็จการอมาตย์ต้องการพรรคประชาธิปัตย์ และจะต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ในการปกครองประเทศ มิใช่เพราะพรรคประชาธิปัตย์สามารถบริหารประเทศเก่งกาจ และจะนำพาให้ประชาชนมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้
แต่ตรงข้าม ประชาธิปัตย์จะสามารถบริหารประเทศ ให้ประชาชน “ยากจนและไร้ความหวัง” ได้อย่างสิ้นเชิงต่างหาก และที่สำคัญประชาธิปัตย์สามารถกระทำเรื่องดังกล่าวได้เป็นอย่างดีเสียด้วย
รัฐบาลประชาธิปัตย์ก่อนหน้านี้ ก็ทำให้ประเทศไทย ต้องเป็นหนี้มหาศาล ด้วยการต้องเข้าโครงการเงินกู้ของกองทุน IMF และปล่อยให้รัฐบาลต่อมา ต้องวิ่งหาเงินมาใ้ช้หนี้
ทำนองเดียวกัน เมื่อมาถึงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยุคปัจจุบัน ก็ยังคงเป็นไปในแนวทางเดิม ประเทศชาติกำลังเป็นหนี้สินเพิ่มมากขึ้นมหาศาล โดยไม่เคยได้ยินแม้แต่ครั้งเดียวว่า รัฐบาลจะมีแนวนโยบายอย่างใด ในการหาเงินเข้าประเทศอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อจะชดใช้หนี้สินที่ก่อขึ้น
ประชาชนในประเทศนี้ คงไม่อาจจะหวังสิ่งใดได้ จากการปกครองของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปฏิบัติตามพิมพ์เขียวของเผด็จการอมาตย์ ที่คอยทำลายประชาชนในชาติอยู่เช่นนี้
ภาพที่เห็นในการบริหารทุกวันนี้ ไม่ใช่ภาพของการร่วมมือกัน เพื่อแก้ไขวิกฤติชาติ แต่กลับเป็นภาพเหมือนอะไรบางอย่างที่ รุมแย่งชิงเหยื่อก้อนใหญ่ ที่ล้มอยู่กลางท้องทุ่ง โดยมีนายพรานถือปืนที่ยิงเหยื่อจนล้มคว่ำนั้น คอยดูแลความปลอดภัยให้ เหยื่อนั้นก็คือ “ประชาชนไทยทั้งชาตินั่นเอง”
น่าสงสารและน่าเห็นใจอย่างยิ่ง
เวลานี้ เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ที่จะต้องเปิดโปงความเลวร้ายของเผด็จการอมาตย์ และกลยุทธในการทำลายชาติของพวกเขา ต้องให้คนไทยทั้งชาติเข้าใจ และมองเห็นถึงความชั่วร้ัายอย่างที่สุด ของระบอบเผด็จการอมาตย์ และพวกแนวร่วมของพวกเขาทุกๆ กลุ่ม
เพื่อในที่สุึดแล้ว พวกเิขาจะต้องไม่มีที่ยืนอยู่ในประเทศนี้อีกต่อไป
คงมีสักวัน ที่พวกเราคนไทยทั้งชาติ จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“เผด็จการจงพินาศ อมาตย์จงออกไป”
เงินปริศนา 46 ล้านในบัญชีเครือญาติ"บิ๊ก"สตง...
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
ที่มา เวบไซต์ มติชนออนไลน์
6 พฤษภาคม 2552

ข้ออ้างประการหนึ่ง เกี่ยวกับความล้มเหลวหรือความไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน ขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ อย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน คือ ถูกผู้มีอำนาจทางการเมืองแทรกแซง
แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว การออกแบบโครงสร้าง วิธีการทำงาน และบุคคลากรขององค์กรอิสระเอง เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ก่อให้เกิดความล้มเหลวดังกล่าว อาทิ
หนึ่ง การออกแบบให้องค์กรอิสระ มีอำนาจรวมศูนย์ เช่น ป.ป.ช. มีปริมาณคดีที่ต้องไต่สวน และตรวจสอบทรัพย์สินผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ มีจำนวนมหาศาลกว่า 20,000 คดี ในช่วง10 ปีที่ผ่านมา แต่สามารถชี้มูลความผิดไปได้ 4-5% เท่านั้น แม้จะมีการส่งคดีให้พนักงานสอบสวนไปดำเนินการ แต่ก็เกิดปัญหาตามมามากมาย จนคดีหมดอายุความ บางคดีเรื่องค้างนานกว่า 10 ปี
ขณะที่ กกต. ต้องจัดการและวินิจฉัยคดีเลือกตั้งทุกระดับ หลายหมื่นคดี จนคดีค้างจำนวนมหาศาล แค่คดีที่ยกคำร้องมีค้างกว่า 1,000 สำนวน มานานหลายเดือน
หรือสำนักงานตำรวจเงินแผ่นดิน ต้องตรวจบัญชีหน่วยรับตรวจ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐทั้งหมด โดยไม่มึการกระจายไปให้เอกชน (ที่ได้รับอนุญาต) แบ่งเบาภาระ ทำให้ผลการตรวจสอบไม่ทันสมัย
สอง เจ้าหน้าที่ซึ่งโอนมาจากหน่วยงานต่างๆ ไม่มีคุณภาพ เช่น กกต. เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนส่วนใหญ่โอนมาจากตำรวจ และกระทรวงมหาดไทย ที่ไม่มีความก้าวหน้าในหน่วยงานเดิม ผลก็คือ สำนวนสอบสวนไม่มีคุณภาพ สำนวนอ่อน ทำให้ศาลยกคำร้องของ กกต. กว่าร้อยละ 60
นอกจากนั้น ยังมีปัญหาในการขายสำนวน หรือเตะถ่วงส่งสำนวนที่ กกต. มีมติให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) และให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) ในการเลือกตั้งท้องถิ่น ให้กับศาลอุทธรณ์ ช้าประมาณ 6 เดือน (มีค้างอยู่ประมาณ 70-80 สำนวน) เพื่อให้นักการเมืองท้องถิ่น อยู่ในเก้าอี้นานขึ้น และมีข่าวว่า ไปเรียกเงินค่าดึงเรื่องสำนวนละ 1-2 แสนบาท
เช่นเดียวกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่บุคคลากรจำนวนหนึ่ง ไม่มีความสามารถในการไต่สวน และทำสำนวน การทำงานไม่มีระบบ ทำให้คดีล่าช้าและค้างจำนวนมาก
สาม การทำงานไม่โปร่งใส ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอ ขาดการตรวจสอบจากสาธารณะ และจากองค์กรอื่น ระบบสารสนเทศล้าหลัง
ด้วยปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผู้บริหารองค์กรอิสระบางคน ที่คิดว่า ตนเองมีอำนาจมาก จึงบิดเบือนการใช้อำนาจ และอาจถึงขั้นใช้อำนาจที่มีอยู่แ สวงหาผลประโยชน์
เร็วๆ นี้ ได้รับเอกสารหลักฐาน ที่เกี่ยวพันกับผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่ง ใน สตง. ได้ใช้เวลาพิจารณาและตรวจสอบข้อมูลอยู่ระยะหนึ่ง คิดว่า เป็นเอกสารหลักฐานที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ป.ป.ช. น่าจะเข้าไปตรวจสอบโดยเร็ว

รายการบัญชีเงินฝาก (ประจำ) ดังกล่าว มีการนำเงินมาฝาก เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2549 เป็นจำนวน 20 ล้านบาท (หลังการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ไม่นาน)
ต่อมา เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2549 ( อีกประมาณ 1 เดือน) มีการนำเงินมาฝากอีก 26 ล้านบาท รวมสองครั้ง เป็นเงิน 46 ล้านบาท
ต่อมา ในวันที่ 14 ธันวาคม 2549 (ประมาณครึ่งเดือน) มีการถอนเงิน 26 ล้าน ออกจากบัญชีนี้ โดยแบ่งส่วนหนึ่ง จำนวน 11 ล้านบาท ไปฝากบัญชีออมทรัพย์ของตนเองอีกบัญชี ในวันเดียวกัน แต่ไม่รู้ว่า อีก 15 ล้านบาท นำไปใช้ หรือเข้าบัญชีใด
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 22 ธันวาคม 2549 น้องสาว 2 คน และบุตรชายของผู้บริหารระดับสูงใน สตง. ได้ซื้อที่ดิน 3 แปลงๆ ละ 1 ไร่เศษ ย่านปากเกร็ด ในราคาเพียงไร่ละ 2 ล้านบาทเศษ รวม 6 ล้านบาทเศษ ทั้งๆ ที่ราคาประเมินไร่ละไม่น่าจะต่ำกว่า 8 ล้านบาท หรือรวมกว่า 24 ล้านบาท
ที่สำคัญ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินทั้ง 3 แปลง ทำกัน ณ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ทำให้สงสัยว่า ที่ดินทั้ง 3 แแปลง เป็นของผู้บริหารระดับสูงใน สตง. หรือของน้องสาวทั้ง 2 คน กันแน่
ประเด็นคือ ทั้งสองเหตุการณ์ คือ เงินฝากจำนวน 46 ล้านบาท ในบัญชีเงินฝากของ"สะใภ้" กับการซื้อที่ดิน 3 แปลง ของน้องสาว และบุตรชาย ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับการถอนเงิน 26 ล้านบาท เกี่ยวพันกันหรือไม่
ใครจะเป็นผู้ไขปริศนาเงินร้อนๆ 46 ล้านบาทก้อนนี้ ??? ต้องติดตามกันต่อไป
จักรภพ เพ็ญแข : อย่าเล่นเกมส์เด็ก
ที่มา คอลัมน์ ผมเป็นข้าราษฎร นสพ.รายสัปดาห์ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 1
โดย จักรภพ เพ็ญแข
6 มิถุนายน 2552

THAI RED NEWSฉบับปฐมฤกษ์สัมภาษณ์พิเศษ จักรภพ เพ็ญแข :อีก2เดือนค่อยกลัวเรา
ที่มา หนังสือพิมพ์ THAI RED NEWS ฉบับปฐมฤกษ์
5 มิถุนายน 2552
หมายเหตุไทยอีนิวส์:หนังสือพิมพ์THAI RED NEWSฉบับปฐมฤกษ์ที่ออกเผยแพร่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2552นี้ โดยวางขายฉบับปฐมฤกษ์20,000 ฉบับ วางแผงทั่วประเทศแล้ว ด้วยร้านค้าทุกจังหวัดกว่า 400 แห่ง ร้านดอกหญ้า นายอินทร์ บีทูเอส และทุกห้างสรรพสินค้าประเดิมเล่มแรกด้วยหัวข้อข่าว " ปชป.ยื้อเวลา พาชาติล่ม " พร้อมด้วยกองทัพนักเขียนชื่อดังตบเท้าทุกหน้ากระดาษ อาทิเช่น อดิศร เพียงเกษ สุนัย จุลพงษ์ศธร นพ.เหวง โตจิราการ ประทีป อึ้งทรงธรรม วิบูลย์ แช่มชื่น สุวิทย์ เลิศไกรเมธี สุนิษา เลิศภควัต จักรภพ เพ็ญแข ฯลฯ
ในฉบับนี้สมยศ พฤกษาเกษมสุข บินลัดฟ้าด้วย TG 635 จับเข่าคุยกับจักรภพ เพ็ญแข กลับมานำเสนอบทสัมภาษณ์จากใจเบื้องลึกของการตัดสินใจสู่มิติใหม่ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยจักรภพยังย่ำเท้า ร้องเพลงเดือนเพ็ญ จิบน้ำชา ดูสถานีประชาชน แจกลายเซ็นต์ เพราะเขาอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกของพวกเรานี่เอง ท่านใดหาซื้อไม่ได้ ประสงค์จะให้ไปวางจำหน่ายติดต่อ 02-9349388
ไทยอีนิวส์ขอนำเสนอซักเรื่องเป็นการเปิดตัวหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ นี่เป็นบทสัมภาษณ์พิเศษของจักรภพ เพ็ญแข แกนนำนปช.หัวเรื่อง“อีกสองเดือนค่อยกลัวเรา”
Q : อยากให้เล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมา และตอนนี้ทำอะไร อยู่ที่ไหน? เหตุผลในการหลบไป และจะกลับมาไหม?
นั่งรถไปผมก็น้ำตาไหล และใจหาย..ผมเดินทางออกไปโดยใช้เวลาราว ๓๕ ชั่วโมง ผ่านด่านทหารรวม ๖ ด่าน ใช้ทั้งรถและเรือเป็นพาหนะ จึงถือว่าเข้าเขตพื้นที่ที่ปลอดภัย

A : ในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๒ ผมได้หารือกับเพื่อนฝูงแกนนำเสื้อแดงว่า สภาพที่สื่อมวลชนไทยไม่ยอมเสนอข่าวสารอย่างเป็นกลางให้กับเราเลย เพราะเป็นเครือข่ายของระบอบเก่ามาจนไม่กล้าหือเขา เป็นเรื่องที่เสียหายต่อยุทธศาสตร์ของเรา ผมจึงต้องแหวกวงล้อมด้วยการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนต่างชาติให้มากที่สุด ท่านคงจำได้ว่าในขณะนั้นเขาวาดภาพให้มวลชนผู้รักประชาธิปไตยโดยบริสุทธิ์ใจ กลายเป็นผู้สร้างความวุ่นวายแบบอนาธิปไตย หากปล่อยไป เราอาจจะเสียการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนที่เป็นกลางและไม่รู้เรื่องจริง ผมจึงรีบเดินทางจากเวทีที่ทำเนียบรัฐบาลไปยังอาคารมณียา ใกล้พระพรหมเอราวัณ เพราะสำนักข่าวต่างประเทศเกือบทั้งหมดเขาอยู่ที่นั่น ผมได้รับความร่วมมือจากสื่อมวลชนต่างประเทศไม่ต่ำกว่า ๑๕ สำนักข่าว จนเขารู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร
ผมให้สัมภาษณ์เสร็จเกือบหกโมงเย็น จะกลับเข้าไปในที่ชุมนุม ปรากฏว่าเข้าไม่ได้แล้ว ทหารล้อมไว้แน่นหนา และมวลชนจัดตั้งที่มาแสดงละครว่าไม่พอใจคนเสื้อแดง แต่ความจริงเป็นกลุ่มคนติดอาวุธที่เตรียมจะเข้าทำร้ายประชาชนมือเปล่าที่ทำเนียบฯ ก็ฮือๆ อยู่ข้างหลังทหาร ผมจึงรีบเข้าไปยังที่ๆ ปลอดภัยเพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ระหว่างนั้นก็ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติทางโทรศัพท์อย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งตีสองของวันใหม่ จึงหลับงีบไปครู่หนึ่ง ตื่นขึ้นมารู้ว่าเขาจะเข้าปราบปรามอย่างนองเลือด ผมจึงประสานกับแกนนำบางคนว่า เมื่อผมเข้าไปไม่ได้ หากเข้าไปก็จะถูกจับโดยไม่จำเป็น ผมจึงออกเดินทางในทันที ไปตามเส้นทางที่พรรคพวกเราได้วางแผนไว้ล่วงหน้าเมื่อเกิดสภาพฉุกเฉิน โดยมุ่งมั่นว่าหากเขาสลายการชุมนุมได้ พวกเราก็ยังจะยืนระยะต่อได้โดยผมจะเป็นแกนกลางประสานงานจากเขตนอกอำนาจของฝ่ายอำนาจเก่า
นั่งรถไปผมก็น้ำตาไหล และใจหาย รู้สึกเหมือนทอดทิ้งพี่น้องประชาชนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขและต่อสู้ด้วยกันมา แต่ก็ต้องตัดใจว่าวันพระไม่ได้มีหนเดียว การต่อสู้ของประชาชนเราจะต้องยิ่งใหญ่และยาวนาน จะเสียค่าโง่เดี๋ยวนี้และวันนี้ไม่ได้ จะเป็นการทรยศต่อประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงเดินทางออกไปโดยใช้เวลาราว ๓๕ ชั่วโมง ผ่านด่านทหารรวม ๖ ด่าน ใช้ทั้งรถและเรือเป็นพาหนะ จึงถือว่าเข้าเขตพื้นที่ที่ปลอดภัย
ผมขอไม่เล่าเดี๋ยวนี้นะครับว่าผมอยู่ที่ไหน เอาเป็นว่าอยู่ในที่ปลอดภัย รับรู้ข่าวสารบ้านเมืองได้ตลอด และได้ตั้งศูนย์ทำงานขึ้นมาแล้วเรียบร้อย ติดต่อทั้งรัฐบาลต่างชาติและองค์การสหประชาชาติ และทำงานในเชิงสาระความรู้ที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการต่อสู้ของเรา เพราะวันนี้ยังมีผู้ที่ไม่สนับสนุนเราหรืออยู่ตรงข้ามกับเรา เพราะเขายังไม่รู้ความจริงทั้งหมด เขายังขาดข้อมูลและความเข้าใจ ซึ่งเราต้องช่วยให้เขาเข้าใจ ต่อไปพี่น้องเหล่านี้จะหันกลับมาช่วยเราเพื่อสู้กับศัตรูตัวจริงของระบอบประชาธิปไตยต่อไป
ฝ่ายอำนาจเก่ากำลังทุ่มเงินอย่างหนักเพื่อหลอกพวกเราว่า “หยุดทำร้ายประเทศไทย” บ้าง อะไรบ้าง ทั้งๆ ที่เขาคือผู้ทำร้ายประเทศไทยจนย่อยยับมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ เมื่อตัวได้เปรียบก็จะชวนเลิก และปั่นหัวแกนนำของเราบางคนให้คิดคดทรยศต่อพวกเรากันเอง ว่าเล่นเกมเล็กๆ เถิด อย่าไปเล่นเกมใหญ่เลย อย่างที่ชวนให้เราทะเลาะกับรัฐบาลบ้าง พรรคประชาธิปัตย์บ้าง กลุ่มพันธมิตรฯ บ้าง เพื่อจะได้ไม่ต้องเปิดศึกกับศัตรูตัวจริง เรื่องอภิสิทธิ์อยู่ในรถหรือไม่ ใครฆ่าพลทหารอภินพ เป็นเรื่องสำคัญและน่าสนใจ แต่พวกเราบางคนไปนำกระแสมวลชนมาหมกมุ่นในเรื่องแบบนี้จนลืมหัวใจของเรื่อง ต้องระวัง จับแก่นให้ได้ อย่าสนุกแต่กับกระพี้
ถ้าผมอยู่ในเมืองไทย ก็คงอยู่ในคุก หรือเขาจัดการ “เก็บ” ไปเรียบร้อยแล้ว เรื่องกลัวไม่ต้องพูดถึง เพราะถ้ากลัวก็ไม่มาทำงานนี้จนบัดนี้ แต่เกรงว่าโอกาสของขบวนการประชาธิปไตยจะลดน้อยลงไป หากเราเดินเข้าไปติดกับของเขาอย่างโง่ๆ จึงขอทำงานจนแน่ใจในชาตินี้ว่า ประชาชนต้องไม่แพ้
Q : วางแผนในอนาคตไว้อย่างไร?

A : ผมกำลังพัฒนาหน่วยปฏิบัติการเพื่อประชาธิปไตยแท้จริงขึ้นมา มีผู้คนที่มีอุดมการณ์และความสามารถมาเข้าร่วมแล้วจำนวนหนึ่ง และจะเดินทางมาจากเมืองไทยและจากต่างประเทศอีกมาก รายละเอียดมีมาก แต่ผมจะเล่าไว้เพียงเท่านี้ก่อน ไม่นานหรอกครับท่านทั้งหลายก็คงจะรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าฝ่ายตรงข้ามเขาก็ย่อมจะได้รู้ไปด้วยในโอกาสนั้น
Q : กรณีคำให้สัมภาษณ์กับ BBC (talk of the town) ที่เป็นปัญหา
A : ผมให้สัมภาษณ์ BBC ไปว่า ขบวนการประชาชนถูกทำร้ายขนาดนี้ เขาก็ย่อมจะมีสิทธิ์หมดอาลัยในกระบวนการแก้ไขปัญหาตามปกติ และบางคนอาจคิดว่าต้องพัฒนากองกำลังขึ้นสู้ เหมือนในประเทศทั้งหลายที่เราเห็นตัวอย่างมานับไม่ถ้วน ผมไม่ได้พูดเลยว่าตัวเราเองจะกระทำเช่นนั้น คำว่า “ขบวนการประชาชน” มีความกว้างขวางและใหญ่โตกว่าตัวเรามากนัก ใครก็อ้างตัวเป็นประชาชนอยู่แต่คนเดียวหรือกลุ่มเดียวไม่ได้ เขาทั้งหลายเหล่านี้เมื่อถูกรังแกเหมือนไม่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เขาก็อาจลุกขึ้นสู้ ก็เท่านั้น แต่สื่อไทยที่มีวาระซ่อนเร้นในการทำลายฝ่ายประชาธิปไตยอยู่แล้ว ก็ช่วยกันขยายเรื่องจนกลายเป็นข่าวใหญ่โต ความจริงเป็นเพียงอาการวิตกจริตของคนที่นึกว่าต้องมีอำนาจไปจนตายคาที่เท่านั้น คนอื่นๆ เขาก็ฟังเป็นปกติดี
ปัญหาคือแกนนำของพวกเราบางคนเกิดไปบ้าจี้ตามเขา รีบให้สัมภาษณ์ลนลานเกินสมควรว่า ไม่ใช้หรอกความรุนแรง ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าคำให้สัมภาษณ์จริงๆ เป็นอย่างไร ก็ขอฝากให้ใจเย็น และคิดถึงประชาชนตัวจริงที่เขาไม่ต้องรอรับคำสั่งจากแกนนำ เขารู้สิทธิ์และหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตยของเขาดี เราเองเสียอีกที่ต้องฟังและเดินตามประชาชน ไม่ใช่สนุกเพลิดเพลินกับการถือธงนำหน้าจนเผลอนึกว่าเขาเป็นลูกจ้างหรือสาวก อย่างนี้ไม่ได้
เรื่องก็มีเท่านั้นครับ ผมก็แปลกใจว่าเขากลัวเราถึงขนาดนี้เชียวหรือ คอยอีกสักสองเดือนก็แล้วกัน ค่อยมาคิดกลัวประชาชนในตอนนั้น จะมีเหตุผลกว่า
Q : สุขภาพเป็นอย่างไร?

A : ผมขอกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนผู้รักกันยิ่งกว่าญาติที่อุตส่าห์ห่วงใย สุขภาพของผมดีเยี่ยมครับ ทำงานวันละ ๗-๘ ชั่วโมง และออกกำลังกายวันละอย่างน้อยที่สุดก็ชั่วโมงหนึ่ง เตะบอลบ้าง เล่นแบต มินตันบ้าง บางทีก็ชู๊ตบาส เรื่องพรรค์นี้ผมแทบไม่ได้แตะเลยตอนอยู่บ้านเรา นึกขอบคุณฝ่ายอำนาจเก่าเขาอยู่เหมือนกัน ผมแข็งแรงกว่าเก่าในตอนนี้ น่าจะอายุยืนกว่าคนที่ทำร้ายประชาชนมาหลายยุคสมัย
อีกอย่างก็โชคดีที่มีอาหารไทยกินครับ ตอนนี้มีอดีตตำรวจคนหนึ่งจากฝั่งไทยมาสมทบ คนนี้ฝีมือทำกับข้าวชั้นหนึ่ง ทำง่ายๆ แต่อร่อย ก็ยิ่งสบายขึ้นอีก
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเตรียมกาย ใจ และจิตวิญญาณให้พร้อม ที่ผ่านมาต้องถือเป็นเรื่องเด็กๆ ครับ ก้าวต่อๆ ไปจะมีความสำคัญมากต่อประวัติศาสตร์ชาติเรา โดยเฉพาะในการพัฒนาประชาธิปไตย
Q : เหตุการณ์ที่ผ่านมาให้บทเรียน หรือประสบการณ์อะไรบ้าง?
A : บทเรียนที่สำคัญที่สุดคือคนไทยถูกทำให้เชื่อว่าประชาชนโง่เขลา อ่อนแอ และต้องพึ่งผู้ใหญ่ที่มีอำนาจกว่า ถูกเขากลุ้มรุมทำร้ายปางตายถึงขนาดนี้ บางคนยังหลงละเมออยู่ว่าเขารักเรา เพราะเกิดมาก็ถูกฝังในสมองไว้อย่างนั้น เราทราบดีว่าการสร้างเครือข่ายเพื่อทำลายรัฐบาลของประชาชนที่เริ่มมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๘ (เป็นอย่างน้อย ความจริงเขาคิดกันมาก่อนนั้นอีก) ก็ยังดำเนินอยู่ ไม่มีทางเลยครับที่ประชาธิปไตยแท้จริงจะเกิดขึ้นได้ด้วยการเลือกตั้งแบบเดิมๆ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบตื้นเขิน เว้นหมวดนั้นมาตรานี้ ละเมออยู่กับการรักษารัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยไม่คิดว่าเขาก็ใช้ฉบับนั้นแหละมาทำร้ายประชาชน
การต่อสู้จากนี้ไปต้องคำนึงถึงความจริงต่อไปนี้
๑. คนไทยยังอยู่ใน “ระบบรัฐสภา” แต่เป็นระบบรัฐสภาใน “ระบอบเผด็จการ” ไม่ใช่ระบบรัฐสภาใน “ระบอบประชาธิปไตย” ถ้าไม่อาจทำลายระบอบเผด็จการที่ว่านี้ได้ เราจะสร้างประชาธิปไตยแท้จริงไม่ได้
๒. อย่าติดยึดกับการเลือกตั้ง ถูกหลอกมา ๓ ครั้งน่าจะรู้แล้ว โดยเฉพาะคนในพรรคเพื่อไทย (ซึ่งควรจะถือว่าตนเองยังเป็นพรรคไทยรักไทยอยู่ด้วยซ้ำ) อย่าให้นักเลือกตั้งมาทำลายยุทธศาสตร์ใหญ่ของเราได้
๓. การทำความจริงในประวัติศาสตร์และเรื่องร่วมสมัยเป็นที่ประจักษ์ต่อประชาชน มีความสำคัญยิ่ง เพราะพลังในการต่อสู้และร่วมสู้จะขยายจากจุดนั้น
๔. การต่อสู้ครั้งนี้จะยาวนานแน่ เอาตัวละครสำคัญออกจากฉากไปแล้วตัวสองตัว ละครก็ยังเล่นต่อไปได้ เพราะเขาสร้างตัวแทนและนายหน้าเอาไว้มาก พวกเราอย่าใจร้อน พักผ่อนให้สบาย ทำใจให้รื่นรมย์ ให้กำลังใจกันและกัน
๕. แกนนำฝ่ายประชาธิปไตยทุกคนต้องใจกว้าง อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เลิกใช้ระบบพรรคพวก และเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนเข้าร่วมอย่างกว้างขวาง เราต้องร่วมต่อสู้แบบกฐินสามัคคีเท่านั้น งานนี้จึงจะสำเร็จได้ในยุคสมัยของเรา
ด้วยความรักและคิดถึง
จักรภพ เพ็ญแข