Sunday, December 5, 2010

อุ้มอภิสิทธิ์ค่าใช้จ่ายพุ่ง

ที่มา ข่าวสด


ค่าใช้จ่ายพุ่งสูงขึ้นทุกวัน


แลกกับการอยู่รอดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์


ล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญถึงกับยอมปิดเกมคดียุบพรรค กรณีนำเงินกองทุน 29 ล้านบาทของกกต.ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์


ด้วยเหตุผลการยกคำร้องเพราะคดีขาดอายุความ


เรียก เสียงโห่ฮาดังสนั่นไปทั่วทุกมุมเมือง ตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดานักกฎหมาย นักนิติศาสตร์ที่ออกมาชี้ปมน่าเคลือบ แคลงไว้มากมาย


คำวินิจฉัยที่ออกมา 4 ต่อ 2 เสียง ยังสะท้อนมุมมองคดีของตุลาการฯ ที่แบ่งออกเป็น 2 ขั้ว


ยิ่งกว่านั้นใน 4 เสียงข้างมากก็ยังแบ่งออกเป็น 2 ความเห็น สร้างความสับสนมากกว่าเดิม


ตาม ข้อชี้แจงของนายจรัญ ภักดีธนากุล คือ 3 เสียง ให้เหตุผลว่านายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่มีความเห็นว่ามีการกระทำผิดและควร ให้ยุบพรรค


มีเพียง 1 เสียงเห็นว่าคดีขาดอายุความ 15 วัน


คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เหมือนฉุดประชาธิปัตย์ขึ้นจากหลุม


ยังทำให้สังคมย้อนฉุกคิดไปถึง�คลิป� ที่ระดมปล่อยออกมาทางเว็บ ยูทูบก่อนหน้าไม่กี่สัปดาห์


มีส่วนเกี่ยวข้องกับมติศาลรัฐธรรม นูญครั้งนี้ขนาดไหน


ลำพังแค่ปมเรื่องคลิปยังเคลียร์ไม่ออก ยังต้องมาเจอกับข้อกังขาสังคมในการหักมุมปิดคดียุบพรรค


สรุปว่าศาลรัฐธรรมนูญเปลืองตัวไปมากกับเกมประคองนายกฯอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ให้อยู่ในอำนาจต่อไป


แม้แต่กกต.เองกระแสก็ยังก้ำกึ่ง


สังคมไม่รู้ว่าจะเชื่อดีหรือไม่เชื่อดีกับการออกมาปฏิเสธข้อสงสัยว่าแอบเหยียบตีนกับศาลรัฐธรรมนูญ


ถ่วงเวลาช่วยประชาธิปัตย์รอดจากการโดนยุบ


ว่าไปแล้วกกต.เองก็ถือว่ามีพิรุธเยอะ โดย เฉพาะนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต.ที่สวมหมวกอีกใบเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง


เล่นเกมยื้อคดีมาตั้งแต่ต้นทาง


ดังนั้น เมื่อคดี�ตกม้าตาย�ปลายทาง คำถามที่หนีไม่พ้นคือนายอภิชาต รวมไปถึงกกต.ทั้งหมด ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วยหรือไม่


นั่นเท่ากับว่า สภาพกกต.ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากศาลรัฐธรรมนูญเท่าไหร่นัก


ต้องยอมรับว่าตลอดระยะเวลา 2 ปีที่เข้ามา บริหารประเทศ


รัฐบาลอภิสิทธิ์ ใช้ต้นทุนสิ้นเปลืองไปมาก โดยเฉพาะหมดสิ้นไปกับเหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดงเดือนเม.ย.-พ.ค. ที่ผ่านมา


ที่มีคนตายกว่า 90 ศพ บาดเจ็บอีกประมาณ 2,000 คน


แต่อย่างที่รู้กัน ถึงแม้รัฐบาลอภิสิทธิ์ จะกระเสือกกระสนเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้โดยนายกฯ ไม่ต้องลาออกหรือยุบสภา


แต่กลุ่มอำนาจที่อยู่เหนือรัฐบาลก็ต้องเปลืองเรี่ยวแรงไปไม่น้อย


รวมถึงกองทัพซึ่งเป็นกำลังหลักของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือศอฉ.


ได้รับแรงเสียดทานจากสังคมมากกว่าใครตั้งแต่ต้นจนจบเหตุการณ์


กระทั่งปัจจุบันเหตุการณ์ล่วงเลยมา 7-8 เดือน


ความรู้สึกโดยรวมของสังคมที่มีต่อกองทัพ ก็ยัง มีแนวโน้มออกไปในทางลบ มากกว่าในทางบวก


จาก เดิมภาพกองทัพคือรั้วของชาติ แต่หลังการปฏิวัติ 19 กันยาฯ 2549 โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือคมช. กองทัพก็ถูกมองว่าเป็น�มดลูก�รัฐบาลประชาธิปัตย์


ล่วงเลยถึงปัจจุบันกองทัพถูกลดเกรดเป็นเพียง�นั่งร้าน� ค้ำยันรัฐบาลเท่านั้น


ทั้งยังต้องคอยจัดกองกำลังอารักขานายกฯ ทุกฝีก้าว จนประชาชนหาเช้ากินค่ำเดือดร้อน


แน่นอนว่ากองทัพอาจจะได้ผลประโยชน์ตอบแทนจากรัฐบาลชุดนี้ไม่น้อย


ทั้งในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายเพื่อกระชับอำนาจกันเองในกองทัพ หรือในรูปแบบงบประมาณจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์


แต่จะคุ้มกับต้นทุนที่สูญเสียไปเพื่อความอยู่รอดของรัฐบาลอภิสิทธิ์หรือไม่


ยังเป็นเรื่องที่หลายคนตั้งข้อสงสัย


ขณะที่ตัวนายกฯอภิสิทธิ์เองและรัฐบาลแทบไม่ได้ลงทุนอะไรมาก แต่กลับได้รับผลกำไรตอบแทนมหาศาล


คดียุบพรรคประชาธิปัตย์แทบจะไม่มีความหมายอะไรหากเทียบกับเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา


อย่าว่าแต่หลายคนอ่านเกมออกตั้งแต่แรก


ถึงอย่างไรกลุ่มอำนาจพิเศษคงไม่ยอมให้ประชาธิปัตย์ถูกยุบพรรคง่ายๆ แน่


แม้ต้องแลกด้วยเกียรติภูมิของศาลรัฐธรรมนูญ และกกต.ที่ต้องตกเป็นจำเลยของสังคมก็ตาม


ในทางการเมืองยังต้องจับตากันต่อไป


คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ปิดฉากลงในแบบสังคมส่วนใหญ่ยังค้างคาใจ


จะส่งผลต่อการเมืองในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี้อย่างไร


โดยเฉพาะ�โรดแม็ป�ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ที่นายกฯอภิสิทธิ์ กำหนดคร่าวๆ ไว้ประมาณต้นปีหน้าเดือน ก.พ.-เม.ย.


บนเงื่อนไขว่าต้องไม่มีม็อบสีไหนออกมาเคลื่อนไหวก่อความรุนแรงในบ้านเมือง


พรรคประชาธิปัตย์ดูเหมือนมีความมั่นใจมากขึ้นหลังฝ่าด่านคดี 29 ล้านบาทมาได้


ก็ ต้องรอดูช็อตต่อไปในคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ที่ศาลรัฐ ธรรมนูญนัดพร้อมคู่ความวันที่ 9 ธ.ค. ว่าผลสุดท้ายออกมาอย่างไร จะซ้ำรอยคดีแรกหรือไม่


ส่วนที่ยังแกว่งอยู่คือพรรคเพื่อไทย ตอนแรกหวังเกาะกระแสความคลางแคลงของสังคมขย่มซ้ำประเด็น 2 มาตรฐาน


เปรียบเทียบกับคดียุบพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชนให้เห็นกันชัดๆ


แต่ผลในมุมกลับของคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้สมาชิกเพื่อไทยเกิดความหวั่นไหว


ถ้ายังฝากชีวิตทางการเมืองไว้กับนายใหญ่ที่อยู่ต่างประเทศต่อไป อาจไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิดทางการเมือง


เพราะการที่ประชาธิปัตย์รอดพ้นจากถูกยุบพรรคมาได้


คือเครื่องยืนยันว่า�ตัวช่วย�ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นยังพร้อมอุ้มชูอภิสิทธิ์�ต่อไป


ในความหมายเดียวกันหัวเด็ดตีนขาดต้องไม่ให้�ทักษิณ�ได้กลับคืนสู่อำนาจ


ไม่ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นอีกเพียงใดก็ตาม