1_ขอคืนพื้นที่ความจริงตอน14.flv
รายงานพิเศษขอคืนพื้นที่ความจริงเมษา - พฤษภา 53 ตอนที่ 14 วันนี้ เป็นความสูญเสียจากเหตุปะทะระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับกองกำลังทหารในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
10_Flashforword010853_WEB.flv
นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย คณะทำงานติดตามตรวจสอบการถือครองที่ดินกรณีเขาแพง แถลงที่พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ว่า จากการตรวจสอบการยึดครองที่ดินเขาแพง ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มีความคืบหน้ามาก โดยพบว่ามีทั้งนักการเมืองและผู้มีอิทธิพล ใช้ทุกวิถีทางเพื่อเข้าไปยึดครองที่ดินบนเขาแพง ล่าสุด จากการตรวจสอบจากเอกสารที่กรมที่ดินส่งมาให้ ปรากฏว่า ส.ค.1 บางฉบับและเป็นฉบับที่สำคัญ คือ ฉบับที่ 97 ที่เจ้าของที่แท้จริง คือ นายเชื่อม ศรีแผ้ว ซึ่งจากหลักฐานที่กรมที่ดินส่งมาแสดงให้เห็นว่า ส.ค.1 เลขที่ดังกล่าว ได้นำไปออกเป็น น.ส.3 ก. เลขที่ 84 แล้ว เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2519 แต่นายจำลอง โพธิ์เพชร หัวหน้าสำนักงานที่ดินสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ว่าที่ดินแปลงของ ส.ค.1 เลขที่ 97 ได้นำไปออก น.ส.3 ก. ให้นายแทน เทือกสุบรรณ บุตรนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นแปลงที่อยู่ตรงกลางของผืนใหญ่ทั้งหมด ส่วนเอกสารการออกเอกสารสิทธิและ ส.ค.1 ได้หายไปจากสารบบ คำชี้แจงของนายจำลองคือพิรุธสำคัญที่หาไม่เจอ เพราะเอาไปออก น.ส.3 ก. เลขที่ 84 ให้นายเชื่อมแล้วใช่หรือไม่ โดยในการประชุม กมธ.สัปดาห์นี้ จะได้ตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป
นายประเกียรติกล่าวว่า นอกจากนี้ สำหรับวิธีการพลิกแพลงให้นายทุนเข้าครอบครองที่ดินกรณีของนายแทนยังพบว่า ตามปกติแล้วขั้นตอนการออก น.ส.3 ก. ที่นำ ส.ค.1 มาออกนั้น จะระบุเนื้อที่ของที่ดินตั้งต้นจาก ส.ค.1 ไว้ ว่ามีกี่ไร่ แต่กรณีของนายแทน จากเอกสารทะเบียนการครอบครองที่ดินที่กรมที่ดินส่งมา พบว่าในการออก น.ส.3 ก. เลขที่ 1894, 1895 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2544 ซึ่งออกจาก ส.ค.1 ได้เนื้อที่ในขั้นออก น.ส.3 ก. จำนวน 83 ไร่ ซึ่งทั้งหมดได้ตัดแบ่งให้นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในภายหลัง ซึ่งพบว่ามีการลบเนื้อที่ตั้งต้นออก ถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ภาษาราชการเรียกว่า ปลอมแปลงเอกสาร (ดูภาพประกอบ) ดังนั้น เมื่อพบการกระทำความผิดชัดเจนเช่นนี้ ขอเรียกร้องไปยังอธิบดีกรมที่ดิน ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวทั้งหมดภายใน 7 วัน ไม่เช่นนั้นคณะทำงานจะทำเรื่องเสนอเป็นขั้นตอนนำสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และกองปราบ
ด้านนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร คณะทำงานติดตามตรวจสอบการถือครองที่ดินเขาแพง กล่าวว่า ในเมื่อเอกสาร ส.ค.1 เลขที่ 97 ได้นำไปออก น.ส.3 ก. เลขที่ 84 แล้ว ดังนั้น ที่ดินของนายแทนเอา ส.ค.1 ที่ไหนมาออกได้อีก ขอให้อธิบดีกรมที่ดินดำเนินการเพิกถอน ไม่เช่นนั้นจะถูกร้องต่อ ป.ป.ช.และกองปราบแน่นอน พรรคเพื่อไทยได้เอกสารที่มีการเซ็นรับรองจากกรมที่ดินชัดเจนและอ้างอิงได้ ดังนั้น เมื่อ ส.ค.1 มิชอบ แสดงว่าออกโฉนดมิชอบด้วย
ด้านนายธนู แนบเนียน รองเลขาธิการสมัชชาองค์กรพัฒนาเอกชนด้านการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ผู้อำนวยการองค์ความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูทรัพยากร ธรรมชาติอันดามัน เปิดเผยว่า เครือข่ายได้มองเห็นปัญหากรณีของเขาแพง อ.เกาะสมุย แล้ว หวั่นวิตกว่าพื้นที่ชายฝั่งอันดามัน โดยเฉพาะพื้นที่ไข่แดงของการท่องเที่ยวทั้งใน จ.ภูเก็ต และพังงา จะมีสภาพเหมือนเขาแพง กล่าวคือ มีการก่อสร้างบนพื้นที่ที่มีความลาดชันสูงและมีความสูงมากกว่า 80 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ทั้งนี้ พื้นที่ จ.ภูเก็ต จะประกาศใช้ผังเมืองใหม่ และมีกฎหมายทางด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้น ยังมีประเด็นการขออนุญาตก่อสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ คือ การก่อสร้างท่าเทียบเรือสำราญส่วนตัว ซึ่งปัจจุบันมีท่าเทียบเรือในพื้นที่ จ.ภูเก็ต และพังงา จำนวน 16 แห่ง และมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามนโยบายแผนการพัฒนายุทธศาสตร์จังหวัดทางด้านการท่องเที่ยวทางทะเลกลุ่มจังหวัดอันดามัน ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เช่น แหล่งปะการัง แหล่งหญ้าทะเล รวมทั้งพื้นที่วางไข่ของเต่าทะเล เป็นต้น
"ในส่วน จ.พังงา มีประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหลังจากที่เกิดภัยธรรมชาติสึนามิแล้ว แต่เนื่องจากจะหมดอายุลงจึงเป็นห่วงว่าจะไม่แตกต่างจาก จ.ภูเก็ตŽ นายธนูกล่าว และว่า ชาวบ้านภูเก็ตและพังงา ยังมีความคาดหวังในตัวนายกรัฐมนตรีว่าน่าจะเป็นผู้ที่มีจิตใจอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชาวบ้านจึงยื่นหนังสือเรียกร้อง 6 ข้อไปแล้ว และแกนนำชาวบ้านก็ติดตามต่อไปว่านายกรัฐมนตรีรับปากชาวบ้านแล้วจะจริงจังจริงใจหรือไม่อย่างไร" นายธนูกล่าว
สมัชชาแนะ"ปชป."แบ่งเลือดใหม่-เก่า
สำหรับบรรยากาศการประชุมสัมมนาพรรคประชาธิปัตย์ หัวข้อ"รวมพลังแก้ไขวิกฤตชาติ" ซึ่งเป็นการสัมมนาวันที่สอง ที่โรงแรมเมอร์ลิน บีช รีสอร์ต จ.ภูเก็ต เริ่มต้นในเวลา 09.00 น. วันที่ 1 สิงหาคม โดยจัดกิจกรรมในหัวข้อ "รวมพลังสร้างภูเก็ต" โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด กำนันผู้ใหญ่บ้าน ตัวแทนพ่อค้าแม่ค้า กลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ชาวประมง ผู้ใช้แรงงานภาคท่องเที่ยว ฯลฯ กว่า 100 คนเข้าร่วม โดยมีรัฐมนตรี กรรมการบริหาร และ ส.ส.ปชป.อาทิ นายชวน หลีกภัย ประธานสภา ปชป. นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี สังเกตการณ์อยู่โดยรอบ เพื่อเป็นต้นแบบในการนำไปทำให้สาขา ปชป.ในแต่ละจังหวัดเข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยนายชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ กรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวนำการประชุม
ช่วงแรกทีมงานนายชัยวัฒน์เล่าถึงประสบการณ์ในการจัดสมัชชา เนื้อหาส่วนใหญ่ เน้นพูดคุย แลกเปลี่ยนความเห็น ไม่สนใจสีเสื้อ ให้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม โดยเอ็นจีโอรายหนึ่งระบุว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการ ปชป.สั่งให้ ส.ส.ทุกคนไปจัดสมัชชาทั่วประเทศ เพราะหวังจะให้ ปชป.หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมวลชน แต่ตนพบว่า ขณะนี้มีปัญหา 2 ลักษณะ หนึ่ง มวลชนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ปชป.มีที่นั่งแข็งแรง แต่คนรุ่นใหม่ที่หันมาสนใจการเมืองมากขึ้น ปชป.ยังแปลกแยกอยู่พอสมควร ปชป.จึงต้องหาคนที่มีความสามารถในการคุย ไปทำให้ชาวบ้านฝันร่วมกันให้ได้ โดยให้ทำตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับชาติ
"สุเทพ"ซัดเองปชป.เก่งด่าเพื่อน
ต่อมาเวลา 11.15 น. นายสุเทพกล่าวปิดการสัมมนาเป็นภาษาใต้ว่า การประชุมสัมมนา ปชป.ทุกครั้งที่มาถึงก็มีแต่คนพูดๆ แต่วันนี้เชิญวิทยากรมานำเสนอแนวทาง วิธีการในการระดมความคิดในเชิงบวก เพื่อให้สมาชิกทั้งหลายได้นำไปฝึก ไปปฏิบัติ ถึงจะเห็นว่าเป็นวิธีการที่ได้ผล ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะการเมืองในวันนี้และวันต่อไปข้างหน้า เป็นการเมืองที่ต้องระดมความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆ เข้ามาด้วยกัน แล้วต้องเอาเรื่องที่ดีและสร้างสรรค์ พวกเรา ปชป.มีความสามารถอยู่เรื่องหนึ่ง คือ ด่าเพื่อน ทั้งในที่ประชุมพรรค และที่ประชุมสภา เรื่องด่าเพื่อนไม่มีแพ้ใครเลย จนทำให้เราลืมสิ่งดีๆ วิธีการพูดดีๆ ชักชวนให้เดินไปกับเราดีๆ เราลืม เราขาด เราเลยติดวิธีการแบบนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้า ปชป.ทำเป็นประจำ
บอกให้หยุดด่า-ชวนเพื่อนมีส่วนร่วม
นายสุเทพกล่าวว่า ปชป.ต้องพัฒนากันใหม่ จะไปชวนให้คนอื่นพัฒนาประเทศไทย เราต้องปฏิรูปตัวเองก่อน ต้องหยุดด่าเพื่อน และชวนเพื่อนคุย คิดไปในทางที่ดี ทางที่บวก ทางที่สร้างสรรค์ปชป.อยู่มาได้ถึง 65 ปี เป็นพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่อยู่ในประเทศไทย ที่อยู่มาได้ไม่ใช่เพราะตัวหัวหน้าพรรค แต่เพราะประชาชน พวกหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค ส.ส.ปชป.อย่าไปไว้ใจมักมาก เพราะเลขาธิการพรรคกว่า 90% ออกจากพรรคทั้งหมด ตั้งแต่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ มาจนถึง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ และอดีตหัวหน้า ปชป.บางคนออกไปแล้วด่าพรรคไม่หยุดก็มี เมื่อมาถึงเวลานี้ที่สถานการณ์โลกเปลี่ยนไป การเมืองเป็นการเมืองภาคประชาชน ดังนั้นเราต้องชวนคนเข้ามามีส่วนร่วม
ใบ้การเมืองหวาดเสียวให้รีบทำงาน
"เราไม่มีเวลานาน ต้องรีบทำ เพราะสถานการณ์บ้านเมืองหวาดเสียวเหลือเกิน ผมมีประสบการณ์ใน 1-2 ปี เป็นเวลาที่ทุกข์ยากที่สุดในชีวิตการเมือง สถาบันถูกเอามาโจมตี ระบบประชาธิปไตยเกือบจะอยู่ไม่ได้ เกือบจะไปไม่รอด บ้านเมืองเกือบจะเกิดสงครามกลางเมือง กลียุค อันตรายมาก ชาวภูเก็ตทั้งหลายเป็นประชาชนรุ่นปฏิรูปรุ่นแรก และเราจะไปทำทุกจังหวัด จะยกระดับให้สมาชิก ปชป.มาเป็นผู้นำการเมือง ผู้นำมวลชน ผมอยากบอกกับสมาชิก ปชป.ทั้งหลายว่านายกรัฐมนตรีได้ประกาศนโยบายปรองดองสมานฉันท์ เพราะถ้าไม่ปรองดองสมานฉันท์ เราจะเป็นเหมือนอิรัก หรือหลายประเทศที่รบกันอยู่" นายสุเทพกล่าว
เลขาธิการ ปชป.กล่าวว่า เราต้องไม่สร้างศัตรูเพิ่ม ที่เคยด่าเพื่อนหยุดไว้ก่อน ให้ฝึกความชำนาญเรื่องอื่น ต้องเลิกทำตัวเป็นศัตรูกับข้าราชการ และมีความเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน แต่ต้องดึงทุกคนเข้ามาร่วมงาน มาเป็นพวก มาสนับสนุน และตั้งเป้าไว้ว่าใน 12 เดือนข้างหน้า ส.ส.ทุกคนต้องสร้างให้ได้ถึง 3,000 คน ให้ทำหน้าที่เหมือน ส.ส. คือ 1.พูดกับประชาชน ให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ทันสมัย ทันเหตุการณ์ เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ของพรรคในแต่ละพื้นที่ และ 2.ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นผู้นำของชุมชน มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับเพื่อน ข้อสำคัญสมาชิก ปชป.ต้องจ่ายค่าบำรุงพรรคทุกคน จะชักดาบไม่ได้แล้ว เพราะ ปชป.จะอยู่ไม่ได้
แจกซีดีเคลียร์ปม"รบ.ฆ่าปชช."
"เราต้องยืนหยัดด้วยลำแข้งของเขา ถ้าต้องไปกราบไหว้ขอเงินเป็นหนี้บุญคุณเขา วันข้างหน้าจะทำงานอย่างตรงไปตรงมาสาขาพรรค ต้องปรับปรุงใหม่ให้เข้มแข็ง เรื่องที่หนักใจมากที่สุดวันนี้ ในสถานการณ์อย่างนี้ คนอื่นรู้ว่า ปชป.มีจุดแข็งอย่างไร ก็มาทำแบบเรา แต่ทำวิธีทางลัด มาจัดทำใบสมัครให้ แล้วบอกว่าตอนนี้เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยแล้ว ทำให้เกิดปัญหาภายหลัง เขาแยกเราออกจากมวลชน พยายามทำให้ ปชป.เป็นจำเลย สิ่งดีงามที่เคยทำ จึงอยากให้สมาชิก ปชป.นำซีดีอธิบายว่ารัฐบาลไม่ได้สั่งฆ่าประชาชนไปอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ"นายสุเทพกล่าว
สั่งส.ส.ลงพ.ท.แจงทำงานเพื่อชาติ
จากนั้นนายสุเทพเปิดซีดีสรุปเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งแต่มีนาคมถึงพฤษภาคม 2553 ที่มีความยาวประมาณ 30 นาที ให้ผู้เข้าร่วมประชุมสัมมนาได้ดู ก่อนกล่าวสรุปว่า ขณะนี้เรากำลังดำเนินการตามนโยบายปรองดอง ที่นำซีดีนี้มาเปิด และให้นำไปเผยแพร่ เพียงเพื่อต้องการให้นำความจริงไปอธิบายประชาชน ข้อเท็จจริงในซีดีจะเห็นได้ว่าไม่มีการใช้กำลังทหารปราบปรามประชาชน แต่ฝ่ายของเขาใช้อาวุธ สร้างสถานการณ์ ทำให้เกิดสงครามกลาง ว่ารัฐบาลอยู่ไม่ได้ ให้นายกรัฐมนตรีลาออก อยากให้ ส.ส.นำไปฉาย เพื่ออธิบายกับประชาชน ตนกับนายกรัฐมนตรีทำงานเพื่อรักษาบ้านเมือง โดยนึกถึงพระเจ้าอยู่หัว นึกถึงประเทศชาติ คิดว่าเสร็จเรื่องนี้ ไม่ว่าจะสีอะไร แต่คนไทยต้องอยู่ด้วยกัน
"ครั้งหนึ่งคุณชวน (หลีกภัย) เคยสอนผมว่า เราเป็นนักการเมืองมารับใช้ประชาชน ก่อนที่เราจะวางมือ ต้องสร้างพรรคให้เข้มแข็ง วันนี้ผมโชคดี ได้เป็นเลขาธิการพรรค ก่อนที่จะวางมือ ต้องสร้างพรรคให้แข็งแรง แต่จะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่สมาชิกพรรคทุกคน ถ้าท่านทั้งหลายเอาด้วย พรรคก็จะเข้มแข็ง เพราะคิดว่ามีแต่พรรคการเมืองที่เข้มแข็งเท่านั้น ถึงจะรักษาบ้านเมืองได้ วันนี้ใส่หัวเชื้อไปแล้ว ขอให้ทุกคนเอาไปขยาย ทั้งระดับหมู่บ้าน ตำบล ขอให้อุดมการณ์ ปณิธานของเรา นับวันจะยิ่งใหญ่ไพศาล สามารถสร้างพรรคของเราให้เป็นที่พึ่งของประชาชน เหมือนที่คนรุ่นปู่รุ่นย่าเราเคยคาดหวังเอาไว้" นายสุเทพกล่าว
รมว.กห.ชี้ยึดเอ็มโอยู43ไร้ปัญหา
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ถึงสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา ภายหลังกัมพูชามีท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมรับผลการตัดสินให้เลื่อนการพิจารณาปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกไปในปี 2554 ว่า สถานการณ์ขณะนี้ไม่มีอะไร ทางกัมพูชาไม่เพิ่มเราก็ไม่เพิ่ม ขั้นตอนขณะนี้เป็นการดำเนินการตามเอ็มโอยูที่ทั้งสองประเทศลงนามร่วมกันเมื่อปี 2543 และเป็นการทำตามข้อตกลงที่สมัยนายเตช บุญนาค เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งขั้นตอนต่อไปคงเป็นการหารือพูดคุยกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร
เมื่อถามว่า การหารือระดับจีบีซีระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมไทยกับรัมนตรีกลาโหมกัมพูชาจะหารือกันเรื่องเขตแดนหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลา ซึ่งการประชุมจีบีซีจะมีประมาณเดือนตุลาคมนี้ที่เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ซึ่งกรอบการหารือจะต้องมีฝ่ายเลขานุการในการเตรียมข้อหารือ ทั้งนี้ ประเด็นส่วนใหญ่จะเป็นการหารือในเรื่องชายแดน ยาเสพติด แรงงานเถื่อน ส่วนการหารือประเด็นเขตแดนก็คงต้องรอดูข้อพิจารณา
พท.โต้"มาร์ค"อย่าโยนขี้ใส่"นพดล"
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกมีมติเลื่อนการพิจารณาแผนพัฒนาประสาทประวิหารของกัมพูชาออกไป 1 ปี ว่า ทำให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ตีปี๊บดีใจกันยกใหญ่ ทั้งที่การเลื่อนแบบนี้เหมือนกับศาลที่เลื่อนการพิจารณาคดี ไม่ได้หมายความว่าใครแพ้ใครชนะ และเห็นด้วยกับนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ระบุว่าไม่ใช่การแพ้ชนะ แต่เป็นการซื้อเวลาออกไป ทั้งนี้ ประเด็นปราสาทพระวิหาร และประเด็นไทยกัมพูชา เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะมีนักการเมืองมาจุดกระแสคลั่งชาติ และล่าสุดนายอภิสิทธิ์ยังออกมาโยนประเด็นว่า เพราะนายนพดลเป็นคนไปทำสัญญาจนทำให้เกิดปัญหา
"ยืนยันว่าไม่มีรัฐบาลพรรคใดที่ต้องการให้เกิดปัญหาแก่ประเทศชาติ การพูดของนายอภิสิทธ์เป็นการพูดแบบเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นตามมาตรฐานรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ คณะทำงานพรรคเพื่อไทยที่ติดตามเรื่องนี้ยังไม่พบแนวทางการแก้ปัญหาที่ชัดเจนของรัฐบาลจนบัดนี้ แต่เห็นด้วยกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่าการแก้ปัญหาเรื่องนี้ต้องมีการพูดคุยกันเท่านั้น" นายพร้อมพงศ์กล่าว
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เรื่องปัญหาความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้าน พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ตั้งกรรมการระดับชาติ แล้วกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ โดยกำหนดประเด็นรวบรวมข้อคิดเห็นเหมือนกับคณะกรรมการชุดของนายอานันท์ ปันยารชุน ที่กำหนดวาระทำงาน 3 ปี ให้เป็นการระดมความคิดเห็นโดยไม่แบ่งแยก เพื่อประโยชน์ชาติอย่างแท้จริง ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล ก็ต้องนำไปใช้ เพราะพรรคเพื่อไทยคิดว่าในอีก 1 ปีข้างหน้า พรรคเพื่อไทยก็ต้องกลับไปเป็นรัฐบาลอีก ก็ต้องมาแก้ปัญหานี้อีก
ชายแดน"ไทย-เขมร" คึกคัก
สำหรับบรรยาการที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชาช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นวันที่เปิดให้มีตลาดนัดไทย-กัมพูชาที่บริเวณตลาดไทยในเขตแดนไทย ปรากฏว่าบรรยากาศเป็นอย่างคึกคักมาก เพราะชาวกัมพูชาทั้งพลเรือนและทหารพากันแห่เข้ามาหาซื้อสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภคจำนวนมาก ทั้งนี้ เนื่องจากว่าชาวกัมพูชาไม่กล้าเข้ามาหาซื้อสินค้าในเขตแดนไทยเป็นเวลานานหลายวันแล้ว
ด้าน พ.ต.อ.ชัชวาลย์ แก้วจันทร์ดี ผกก.สภ.กันทรลักษ์ กล่าวถึงกรณีที่เกิดเหตุวัยรุ่นซิ่งรถจักรยานยนต์ 3 คัน บุกขว้างระเบิดถล่มเวทีปราศรัยของกลุ่มทวงคืนแผ่นดินไทยเขาพระวิหาร ขณะปราศรัยบริเวณข้างศาลหลักเมืองกันทรลักษ์ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทำให้มีคนบาดเจ็บเล็กน้อย 1 ราย ว่า สอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้วพบว่าความจริงแล้วไม่ใช่ระเบิดแต่เป็นดอกไม้เพลิง ซึ่งกลุ่มวัยรุ่นป่วนเมืองเจตนาเข้ามาก่อกวน โดยขว้างลงกับพื้นแล้วดอกไม้เพลิงกระเด็นไปโดนหน้าแข้งของสามล้อรับจ้างคนหนึ่งที่มาฟังการปราศรัยทำให้ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลเล็กน้อย ตนติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อคลี่คลายคดีให้ได้โดยเร็วแล้ว
"มาร์ค"ขอบคุณปชช.ป้องแผ่นดิน
เวลา 09.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ใช้เวลาประมาณ 30 นาที อธิบายที่มาที่ไปของการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว พร้อมชี้แจงการดำเนินการของรัฐบาลเพื่อกดดันและคัดค้านที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก (ยูเนสโก) ที่ประเทศบราซิล ไม่ให้รับแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามข้อเสนอของกัมพูชา ผ่านรายการ
"เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 (สทท.11) โดยมีใจความสำคัญว่า ขอขอบคุณประชาชนที่ออกมาแสดงความหวงแหนอธิปไตย และการปกป้องผืนแผ่นดินไทย ถือเป็นสิ่งที่มีความหมายและมีความสำคัญ เพราะนอกจากจะเป็นการเตือนรัฐบาลและคนไทยให้เห็นความสำคัญเรื่องนี้แล้ว ความเคลื่อนไหวต่างๆ ยังอยู่ในสายตาของชาวโลกและองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งมีส่วนช่วยให้เกิดความเข้าใจต่อมุมมองของคนไทย และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การประชุมของคณะกรรมการมรดกโลกต้องตัดสินใจเลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการรอบปราสาทพระวิหาร ตามข้อเสนอของทางกัมพูชาออกไปในปีหน้า
"ขณะนี้มีความสับสนในบางเรื่อง ผมไม่สบายใจที่มีการกล่าวหากันไปกันมา หรือพูดจาแสดงความคิดเห็นกันที่ขัดแย้งกันเองในฝ่ายไทย เพราะจะไปเป็นประโยชน์กับทางฝ่ายกัมพูชาเปล่าๆ จึงพยายามจะจัดเวทีให้มีการพูดคุยกันเพื่อไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนต่อการดำเนินการของรัฐบาล ในการปกป้องอธิปไตยและดินแดนไทย" นายอภิสิทธิ์กล่าว
อัด"นพดล"ต้นเหตุทำไทยเสียเปรียบ
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการที่นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาในปี 2551 ซึ่งเสมือนเป็นการยอมรับให้กัมพูชาเดินหน้าในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวได้ ขณะนั้นตนซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาแสดงท่าทีคัดค้านอย่างชัดเจน เพราะคิดว่าจะทำให้เกิดปัญหา และทำให้กัมพูชานำแผนที่ หรือแผนผังต่างๆ ยื่นให้ประชาคมระหว่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศรับรอง จึงถือว่าเป็นจุดที่ทำให้เกิดความเสียเปรียบเป็นอย่างยิ่ง แม้ตอนหลังจะยกเลิกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว และศาลตัดสินว่าเป็นโมฆะ แต่การดำเนินการในขณะนั้นเป็นผลให้ทางคณะกรรมการมรดกโลกรับรองมติที่กัมพูชาเสนอขึ้นไป และนำมาสู่การจัดทำแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร เมื่อรัฐบาลเข้ามาบริหารก็พยายามที่จะสกัดกั้นไม่ให้ปัญหาลุกลาม
"ซึ่งในปี 2552 ก็ประสบความสำเร็จในการไม่ให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาเรื่องนี้ และเลื่อนมาเป็นปี 2553 ซึ่งตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปดำเนินการล็อบบี้ทำความเข้าใจและคัดค้านการเดินหน้าของคณะกรรมการมรดกโลกอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าเดินหน้าต่อมีแต่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง เกิดความรุนแรง นำไปสู่ปัญหาในเชิงข้อกฎหมาย และมีผลกระทบกับอธิปไตยของประเทศไทย" นายอภิสิทธิ์กล่าว
ลั่นอีก 1 ปีต้องทำงานหนัก
"ผมอยากย้ำว่าเราประสบความสำเร็จในการสกัดกั้นไม่ให้กัมพูชารุกคืบเข้ามา เพื่อจะนำไปสู่การอ้างสิทธิในบริเวณรอบปราสาท และอาจจะมีผลต่อไปในอนาคตที่มากระทบกระเทือนอธิปไตยและดินแดนของเรา แต่เราไม่ได้นิ่งนอนใจ ใน 1 ปีข้างหน้า จำเป็นที่จะต้องทำงานกันอย่างหนัก แต่อย่างน้อยง่ายขึ้นเพราะได้เห็นเอกสารของทางกัมพูชาแล้ว เรามีเวลา 1 ปีในการลงไปในรายละเอียดและทักท้วงว่าสิ่งที่กัมพูชากำลังจะทำนั้นจะสร้างความเสียหาย หรือกระทบกระเทือนต่อสิทธิของเราอย่างไร ซึ่งนอกจากทางภาครัฐแล้ว ผมขอเชิญชวนประชาชนที่สนใจและอยากแสดงออกในเรื่องนี้มาร่วมกันศึกษาหาข้อมูล แล้วนำความคิดเห็นของคนไทยถ่ายทอดไปยังบรรดาประเทศสมาชิกของมรดกโลกและยูเนสโก" นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ส่วนในพื้นที่ที่ยังมีปัญหาทั้งเรื่องของการวางกำลัง และเรื่องของชุมชน ไทยจะมีมาตรการรักษาสิทธิ ซึ่งโดยหลักต้องเริ่มต้นจากวิธีการทางการทูต ขณะนี้ในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้มอบหมายให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศไปเตรียมขั้นตอนวิธีการดำเนินการแล้ว
นางสาวขัตติยา สวัสดิผล
เมื่อวันที่ 1 ส.ค. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล หรือ "เดียร์" บุตรสาวของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ "เสธ.แดง" ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวว่า รู้สึกไม่สบายใจกับหลายเหตุการณ์ที่ตำรวจพูดว่า เหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของเครือข่ายเสธ.แดง ทั้งๆ ที่บิดาได้เสียชีวิตไปแล้ว ตำรวจมีหลักฐานเชื่อมโยงอะไร ผู้ต้องสงสัยทำงานอยู่กับบิดาหรือไม่ ไม่ใช่มาปรักปรำบิดาแบบนี้ พล.ต.ขัตติยะ เก่งขนาดนั้นเลยหรือ
น.ส.ขัตติยา กล่าวอีกว่า ถือเป็นเรื่องไร้สาระ ตำรวจชักไปกันใหญ่ อะไรๆ ก็โยงเป็นความผิดของพ่อของตนเอง เป็นการให้ข่าวผิดว่าคนๆ นี้เป็นคนของเสธ.แดง ทั้งที่ตนเองไม่เคยรู้จักกับคนที่ตำรวจบอกมาหรือจับมาได้ มีข่าวร้ายให้พ่อแบบนี้ สภาพจิตใจของตนก็ยิ่งแย่ลงไปอีก พ่อตนเองก็เสียชีวิตไปแล้ว น่าจะปล่อยไปได้แล้ว เขาหลุดโลกนี้ไปแล้ว อยากให้ไปด้วยดี
ใกล้เคียง ห่างกันก็ไม่กี่เดือน
ทางหนึ่งเวทีสัมมนาพรรคประชาธิปัตย์ที่จังหวัดภูเก็ตล่าสุด "เทพเทือก" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ผู้จัดการใหญ่รัฐบาล ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กระตุ้นลูกทีมเป็นทำนอง ได้ ซักซ้อมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องการเวลาที่จะสร้างความเข้มแข็งและความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
โดยให้ ส.ส.ตั้งสมมติฐานไว้ที่เวลา 12 เดือน
ตามธงที่ตั้งไว้ รัฐบาลอยู่ยาวถึงเดือนสิงหาคมปีหน้า
อีกทางหนึ่ง คิวเดินสายภาคเหนือของพรรคเพื่อไทยที่จังหวัดลำปาง "สารวัตรเหลิม" ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย อ่านหมากฟันธง รัฐบาลชุดนี้จะอยู่รอดปลอดภัยถึงเดือนเมษายนปี 2554
เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างหนุนรัฐบาลอยู่ รวมถึงการประชุมสภาสมัยหน้าเป็นการประชุมสมัยนิติบัญญัติ พรรคฝ่ายค้านไม่สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้
สรุปว่า ต้องวางเกมข้ามช็อต ร.ต.อ.เฉลิมเชื่อมั่น หลังเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยโกยเสียงจัดตั้งรัฐบาล พรรคเดียวได้ หรือได้เสียงเป็นอันดับหนึ่ง ก็จะต่อสายล็อกพรรคชาติไทยพัฒนาของ "บิ๊กเติ้ง" นายบรรหาร ศิลปอาชา และพรรครวมชาติพัฒนาของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ผูกเสี่ยวเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
ฝ่ายค้านก็ทำได้แค่ประคองเกม รอจังหวะกันไป
ในเหลี่ยมของ "เทพเทือก-สารวัตรเหลิม" กางปฏิทินนับเดือนกันคร่าวๆตามหมากการเมือง อ่านจังหวะไปลุ้นเดิมพันได้เสียกันในสนาม
ตามเกมของนักเลือกตั้งอาชีพ
โดยไม่มี "หมายเหตุ" ต้องลุ้นอุบัติเหตุระหว่างทาง
ทั้งๆที่ในรายการเดียวกันเลย โฟกัสที่เวทีพรรคประชาธิปัตย์ที่จังหวัดภูเก็ต ในอารมณ์คึกคัก แต่ก็ แฝงไปด้วยอาการวิตกกังวลกับคิวที่นายกฯอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้าพรรค พูดเปิดอกกับลูกทีมช่วงหนึ่งถึงคดียุบพรรคประชาธิปัตย์
บ่งบอกเบื้องลึกในจิตใจ "ไม่ชัวร์"
ในช่วง 4 เดือนข้างหน้ามีความสำคัญ ไม่เฉพาะต่อประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่สำหรับบ้านเมืองด้วย เพราะมีคดียุบพรรคประชาธิปัตย์อยู่ 2 คดี ซึ่งสำคัญคืออนาคตของพรรคการเมืองที่เป็นหลักของระบอบประชาธิปไตยมาเป็นเวลาช้านาน
การต่อสู้ในศาลรัฐธรรมนูญต้องใช้ความพยายามทุ่มเทมาก
"อภิสิทธิ์" ฟันธงเลยว่า ไม่เกินสิ้นปีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมาได้ กรณีการใช้เงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ ที่ศาลได้ตัดพยานฝ่ายผู้ร้องเหลือ 15 คน ซึ่งพยานฝ่ายประชาธิปัตย์ก็น่าจะพอกัน
ระทึกคิวพลิกคว่ำพลิกหงายคดียุบพรรค
ชะตาของ "อภิสิทธิ์" บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี จะทันข้ามปีหรือไม่
อารมณ์เดียวกันกับเวทีพรรคเพื่อไทยที่จังหวัดกำแพงเพชร ตามคิวปั่นกระแสเร้าฉากระทึก นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน ในฐานะแกนนำ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ก็ไปตีปี๊บปูดข่าว
มีความพยายามที่จะใช้กำลังทหารเพื่อล้มกระดานไม่ให้เกิดการเลือกตั้ง
เพราะผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนของหน่วยความมั่นคงทุกครั้ง ล้วนพบว่าพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ
ตามฉากที่โยงไปถึงขั้นที่ว่า เวลานี้กำลังมีการตกเบ็ดซื้อตัว ส.ส.จากพรรคการเมืองที่ดำนาไม่เหมือนใคร ในราคาหัวละ 50 ล้านบาท โดยมัดจำก่อน 20 ล้านบาท และหลังเลือกตั้งเอาไปอีก 30 ล้านบาท
แต่ถ้ากระบวนการซื้อตัว ส.ส.พรรคเพื่อไทยไม่สำเร็จ ก็จะล้มกระดาน เพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้ง ปิดทางพรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาล
เป็นการยินยอมพร้อมใจ เพราะประชาธิปัตย์ก็กำลังติดบ่วงคดียุบพรรค
สอดรับกรณีที่นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหร คมช.ทำนาย นายกฯคนใหม่ อักษรย่อ "ป" ซึ่งไม่ใช่คำทำนาย แต่เป็นการล็อกสเปก เพราะในบรรดาหัวหน้า พรรคการเมือง ไม่มีใครอักษรย่อ "ป"
ยี่ห้อ "จตุพร" เขียนบท อ้างโยงกันได้เป็นฉากๆ
แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อกันตรงๆ แค่ปล่อยของกันลอยๆ แต่คนที่ฟังแล้วหูผึ่งก็น่าจะเป็น "เนวิน ชิดชอบ" ครูใหญ่ค่ายภูมิใจไทย ที่กอดคอกันแน่นอยู่กับพี่น้อง "บูรพาพยัคฆ์" ของพี่ใหญ่อย่าง "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม
เพราะตามจังหวะ ถ้าประชาธิปัตย์ติดบ่วงยุบพรรค โดนล้มโต๊ะ
คนที่ได้สิทธิ์รับไม้ต่อก่อนใคร ก็พวกจ่อแถวสองในฝ่ายถืออำนาจนั่นแหละ .
ทีมข่าวการเมือง
สุรพศ ทวีศักดิ์