Friday, August 20, 2010
Asia Updat TV DNN 19-8-53
สรุปข่าวในรอบวัน 19-08-53
นักวิชาการชี้ ไทยไม่มีขบวนการทางสังคม
เชื่อรัฐบาลอยู่เบื้องหลังเผาเซ็นทรัลเวิลด์
“เฉลิม”ชี้อัยการสูงสุดดึงคดียุบ ปชป.
“สมชาย”ชี้ เพื่อไทยเป็นที่นิยมของประชาชน
เพื่อไทย ถือฤกษ์ 9.59 น.ย้ายที่ทำการ
ฝ่ายค้าน อัด กรมประชาฯทำแตกแยก
ถกงบฯรอบดึกผ่านรวดเดียว5มาตรา เสียงรบ.แข็งกว่า พท.สุดต้านจบตีสองครึ่ง ปธ.สภาฯนัดประชุมใหม่9โมง
พท. รุมชู “แม้ว” มือหนึ่งศก.ตัวจริง อัด รบ.ชวน-มาร์ค ทำหนี้สาธารณะพุ่ง ซัดกู้มาโกง
ต่อมาเวลา 20.40 น. ที่ประชุมเริ่มพิจารณามาตรา 7 งบประมาณของกระทรวงการคลังและหน่วยงานในกำกับ วงเงิน 208,895,905,200 บาท น.พ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทยอภิปราบเทียบเคียงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โดยระบุสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ บริหารเศรษฐกิจดี ประชาชนมีรายได้ ต่างจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่ตั้งแต่รัฐบาลชวน 2 ที่หนี้สาธารณะต่อจีดีพีเริ่มสูงขึ้น และรัฐบาลปัจจุบันกู้เงินมาทุจริต นอกจากนี้ นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายโจมตีนโยบายประกันรายได้เกษตรกรที่ดำเนินการแบบสองมาตรฐษนและไม่ทั่วถึง ทำให้เกษตรกรขัดแย้งกันเอง ต่างจากรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีโครงการต่างๆที่เป็นประโยชน์แก่เกษตรกร ทำให้เกษตรกรมีรายได้ในมือมากกว่าในปัจจุบัน
“กรณ์” ปัด ไม่เคยพูดจะซื้อไทยคม โบ้ยหุ้นพุ่งก่อนตัวเองให้ข่าว
จากนั้นนายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย อภิปรายโจมตีนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลังกรณีให้ข่าวปั่นหุ้นไทยคม ทำให้นายกรณ์ต้องใช้สิทธิพาดพิง ชี้แจงว่า เรื่องนี้เริ่มที่มีนักข่าวมาถามตนเกี่ยวกับแนวคิดในการซื้อดาวเทียมไทยคมคืนว่ารัฐบาลมีแนวคิดดังกล่าวหรือไม่หลังจากพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ขายทรัพย์สินของชาติให้สิงคโปร์ เมื่อนักข่าวถาม ตนมีทางเลือกสองอย่างคือ กล่าวเท็จและไม่กล่าวอะไรเลย ตนจึงตอบว่า ไปสิงคโปร์จริง เพื่อสอบถามเบื้องต้น ว่าแนวทางของสิงคโปร์จะถือครองต่อไปหรือไม่ ยืนยันว่า ตนไม่เคยพูดเลยว่า จะซื้อ และราคาหุ้นที่ขึ้นนั้น ขึ้นก่อนที่ตนออกมาพูดแล้ว
หวิดป่วน! ฝ่ายค้าเสนอพักประชุมหวังลากยาวหลายวัน วิปรบ.ไม่ยอมหักคอลงมติ
อ่านรายละเอียดทั้งหมดคลิ้ก มติชน
ทำบุญครบ3เดือน อุทิศ91ศพ
3 เดือน - พะเยาว์ อัคฮาด วางกุหลาบแดงระลึกถึงน.ส.กมนเกด ลูกสาว 1 ใน 6 ศพที่ถูกยิงเสียชีวิตในเขตอภัยทาน ระหว่างทำบุญครบ 3 เดือนการล้อมปราบผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ที่วัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 ส.ค. |
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 19 ส.ค. กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์รัฐบาลสั่งการให้ใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชา ธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพื่อกระชับและขอคืนพื้นที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก รวมตัวกันทำบุญถวายภัตตาหารเพล แด่พระสงค์วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าว โดยเฉพาะผู้เสียชีวิต 6 ศพที่ถูกยิงจากมุมสูงภายในเขตอภัยทานวัดปทุมวนารามฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คนเสื้อแดงต่างทยอยกันเข้าร่วมงาน อาทิ นางพะเยาว์ อัคฮาด อายุ 45 ปี มารดาของน.ส.กมนเกด หรือเกด อัคฮาด อาสาพยาบาลหนึ่งในผู้เสียชีวิต นายวสันต์ สายรัศมี หน่วยกู้ภัยที่ร้องเรียนขอความเป็นธรรมกรณีเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยกู้ชีพและอาสาพยาบาล 4 คนต้องสูญเสียชีวิต จนถูกหมายเรียกจากศอฉ. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
นอกจากนี้ยังมี นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด นักเคลื่อนไหวที่ถูกจับกุมเนื่องจากฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินจากการนำผ้าแดงไปผูกที่บริเวณป้ายแยกราชประสงค์ นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ หนึ่งในแกนนำ นปช. เป็นต้น โดยในงานมีคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งเข้าร่วมทำบุญด้วย เนื่องจากมีบางส่วนแยกตัวไปร่วมงานทำบุญในโอกาสย้ายที่ทำการใหม่พรรคเพื่อไทย
ขณะเดียวกันบริเวณทางเข้าวัดปทุมวนารามฯ มีคนเสื้อแดงทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ด้วยการสวมชุดนักโทษ บนตัวเสื้อเขียนข้อความว่า "หยุดให้ร้าย ตาย 90 ศพ เจ็บ 1,000 กว่า ล่าจับแกนนำ กระสุนจริงทั้งนั้น" พร้อมล่ามโซ่ตัวเอง นั่งอยู่ใต้ร่มที่แขวนไว้ด้วยปืนพลาสติก ด้านข้างมีหุ่นที่แทนศพผู้เสียชีวิตโดยมีรถถังวางทับไว้นอนอยู่ ผู้ร่วมงานต่างพากันมุงดูด้วยความสนใจและจับกลุ่มพูดคุยถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ 19 พ.ค. โดยส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าเหตุการณ์ที่โหดร้ายดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริง
นางพะเยาว์กล่าวว่า จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเกี่ยวกับการเสียชีวิตของลูกสาว และรัฐบาลพยายามทำคล้ายว่าลืมเรื่องดังกล่าวไปแล้ว นอกจากนั้นยังคอยให้ร้าย การรวมตัวกันทำบุญเพื่อผู้เสียชีวิต เช่นกรณีการทำบุญครบรอบวันเสียชีวิต 50 วัน นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมากล่าวหาว่าเป็นเพียงการทำบุญบังหน้า เพื่อหาพื้นที่ชุมนุมของคนเสื้อแดงเท่านั้น ดังนั้นในโอกาสครบรอบการเสียชีวิตของลูกสาว จะไปจัดงานที่บ้านพักในวันที่ 28 ส.ค. จะขอรอดูว่ารัฐบาลจะกล่าวหาอะไรอีก พร้อมประกาศเชิญประชาชนทุกคนเข้าร่วมในวันดังกล่าวด้วย นอกจากนั้นยังระบุอีกว่า ในการประชุมสภาเมื่อวันที่ 18 ส.ค. ที่ผ่านมา ยังมีการใส่ร้ายอีกว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นการยิงกันเองของผู้ชุมนุม ทำให้รู้สึกว่ารัฐบาลไม่ยอมที่จะหาความจริงในเรื่องสาเหตุการเสียชีวิตของลูกสาว เมื่อรัฐบาลพยายามทำให้เรื่องดังกล่าวเงียบไป กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจะร่วมกันทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อไม่ให้สังคมลืมเลือนความจริงที่เกิดขึ้นต่อไป
นัดหมาย - นายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ผูกผ้าแดงป้ายแยกราชประสงค์ เนื่องในวันครบ 3 เดือนการล้อมปราบผู้ชุมนุม เมื่อ 19 ส.ค. พร้อมกับนัดหมายมารวมตัวกัน 19 ก.ย. วันครบ 4 ปีปฏิวัติ |
ด้านนายวสันต์ กล่าวว่า ทุกวันนี้ยังถูกรังควานไม่หยุดหย่อน มีคนคอยสะกดรอยตามอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไรอยู่ หลายครั้งเคยโทร.บอกให้เพื่อนขับรถคอยตามผู้ที่สะกดรอยเพื่อจับตัวมาถามว่าเป็นใครและตามเพื่ออะไร แต่กลุ่มคนเหล่านั้นมักรู้ตัวและหลบหนีไปได้ก่อน ขนาดถูกตามเข้าบ้านพักและให้เพื่อนดักหัวซอยท้ายซอยยังไม่เคยจับตัวได้สักครั้ง ส่วนกิจกรรมหลังร่วมพิธีทำบุญให้ผู้เสียชีวิตแล้ว คาดว่าในช่วงบ่ายจะไปงานเสวนาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนื่องจากมีอาจารย์คณะนิติศาสตร์เชิญให้ไปพูดเกี่ยวกับเรื่องการละเมิดพ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพื่อให้บอกเล่าว่า ที่ผ่านมาถูกกระทำอะไรบ้างที่เป็นการละเมิดสิทธิ์ และการใช้ชีวิตปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเสร็จสิ้นพิธีสงฆ์แล้ว นายสมบัติพร้อมคนเสื้อแดงอีก 2-3 คน เดินเท้าจากวัดปทุมวนารามฯ ไปยังบริเวณสี่แยกราชประสงค์ เพื่อทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ด้วยการผูกผ้าแดงและปักดอกกุหลาบสีแดงที่ป้ายชื่อแยกราชประสงค์ พร้อมชูเศษกระดาษที่เขียนข้อความด้วยลายมือว่า "พบกัน 19 ก.ย. ราชประสงค์" พร้อมระบุเชิญชวนให้คนไทยทั่วประเทศและทั่วโลกร่วมกันทำกิจกรรม เนื่องในวันครบรอบ 4 ปี รัฐประหาร 4 เดือนราชประ สงค์ ด้วยการสวมเสื้อแดงและทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์พร้อมกันทั่วโลก โดยพื้นที่ กทม. มีกิจกรรมสวมเสื้อสีแดงขี่รถจักรยานออกจากบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วนรอบพื้นที่ทุกแห่งที่มีการสูญเสีย ไปจบที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ผู้ที่จะเข้าร่วมให้เตรียมสวมเสื้อสีแดง ผ้าแดง และเทียนแดง มาให้พร้อมเพื่อร่วมกิจกรรมให้แดงทั่วราชประสงค์ ส่วนผู้ที่ไม่สะดวกในการเข้าร่วมให้สวมเสื้อสีแดงอยู่บ้านเพื่อเป็นการร่วมใจกัน พร้อมประกาศว่า ตราบใดที่รัฐบาลทำเป็นแกล้งลืมเรื่องคนตายจากเหตุการณ์ใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามดังกล่าว จะรวมตัวกันทำกิจกรรมทุกเดือน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 26 ส.ค. วันครบรอบการเสียชีวิต 100 วัน นอกจากการ ทำบุญแล้วยังจะมีการจัดกิจกรรมเดินจากวัดปทุมวนารามฯ ไปยังสี่แยกศาลาแดงเพื่อจูบแผ่นดินบริเวณดังกล่าวเป็นการรำลึกถึงผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากเหตุการณ์รุนแรงดังกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้มีเสียงร่ำลือกันในหมู่ผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทยว่า ไม่มีผู้สื่อข่าวคนไหนกล้าที่จะติดตามทวงถามความคืบหน้าเรื่องสื่อมวลชนต่างประเทศที่เสียชีวิต จากการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมตั้งแต่วันที่ 10-19 พ.ค. เนื่องจากถูกคำขู่จากกลุ่มบุคลที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ จนตกอยู่ในอาการหวาดผวา แต่ทั้งหมดยังยืนยันว่า แม้ระยะนี้จะไม่สามารถ ขยับตัวได้ แต่จะไม่ยอมให้เรื่องดังกล่าวเงียบหายไป เมื่อมีโอกาสจะหาทางเปิด โปงข้อเท็จจริงทั้งหมดให้ปรากฏต่อสังคม
เวลา 15.00 น. ที่ห้องจิตติ ติงศภัทิย์ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เครือข่ายสันติประชาธรรม ได้แก่ นายอนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ นายชัยธวัช ตุลาธน อาสาสมัครศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม กรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) และน.ส.ขวัญระวี วังอุดม อาสาสมัครศูนย์ ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้าภายหลังการทำงานครบ 1 เดือน
นายชัยธวัช เปิดเผยว่า ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์การจับกุมคนเสื้อแดง ภายหลังรัฐบาลประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ภาคอีสาน 5 จังหวัด ได้แก่ จ.อุบลราชธานี จ.ขอนแก่น จ.มุกดาหาร จ.อุดรธานี และ จ.มหาสารคาม สภาพปัญหาที่พบคือ การแจ้งข้อกล่าวหาและการออกหมายจับแบบเหวี่ยงแห และหลักฐานในการแจ้งจับไม่ชัดเจน ยกตัวอย่าง ชาวบ้านใน อ.สว่างวีรวงศ์ จ.อุบล ราชธานี จำนวนกว่าครึ่งถูกออกหมายจับ โดยหลักฐานที่ใช้เป็นเพียงภาพถ่าย ซึ่งเห็นใบหน้าของผู้ถูกออกหมายจับไม่ชัดเจน บางรายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมแล้วนำรูปมาให้ชี้ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่รูปตนเองเลยต้องปล่อยตัว
นายชัยธวัชกล่าว ส่วนจ.อุดรธานี ผู้ถูกจับกุมข้อหาวางเพลิงเผาศาลากลางรายหนึ่งบอกกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์ว่า แวะไปดูเพราะอยากรู้ว่าบ้านเมืองเป็นอย่างไรเท่านั้น แต่พบมีการสลายชุมนุม เขาไม่รู้จะวิ่งไปทางไหน เพราะเจ้าหน้าที่ทหารตะโกนว่าใครไม่ได้ทำผิดอย่าหนี จึงนั่งนิ่งๆ ที่เดิม สุดท้ายกลับถูกจับในที่สุด นอกจากนี้ยังพบปัญหาในเรื่อง ผู้ถูกออกหมายจับไม่ทราบว่าตนเองถูกออกหมาย เพราะประชาชนที่ถูกออกหมายจับในหลายจังหวัดไม่ทราบว่าตนเองถูกออกหมาย กระทั่งถูกจับกุม บางรายไปร่วมชุมนุม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเผาศาลากลาง แต่กลับถูกแจ้งว่าเผาศาลากลาง ที่สำคัญบางรายไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุมแต่อย่างใดแต่ในวันเกิดเหตุ ได้เข้าไปยืนสังเกต การณ์ เดินผ่าน ห้ามปราม หรือจอดรถไว้บริเวณ ใกล้เคียง กลับตกเป็นผู้ต้องสงสัยและถูกออกหมายจับ
"มีผู้ต้องหาจากมุกดาหารเล่าว่าถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกายตีศีรษะแตกก่อนจับกุมตัว โดยที่เขาไม่ได้ต่อสู้ขัดขวางใดๆ เลย ขณะที่บางรายถูกเตะด้วยร้องเท้าคอมแบตจนเลือดไหลออกจมูก ทำให้ปวดหัวมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดเป็นการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะใช้กำลังทำร้ายขณะจับกุมและควบคุมตัว ขณะที่ผู้ต้องหาอีกจังหวัดถูกทหารทำร้ายร่างกายด้วยวิธีเอาปืนจ่อหัว ถีบที่ใบหน้า 4-5 ครั้ง จนกรามขวาหักและหมดสติ นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการพูดจูงใจ ขู่ หรือใช้กำลังบังคับ เพื่อให้ให้รับสารภาพ"
นายชัยธวัชกล่าวว่า จากการทำงานมาระยะเวลาหนึ่งพบว่าผู้ต้องหายังไม่ได้รับสิทธิในการเข้าถึงทนายความ หรือจำนวนทนายความไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ที่ถูกจับกุม สิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เพราะศาลเกรงว่าจะหลบหนี แม้บางคดีศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว แต่ผู้ต้องหามีฐานะยากจนจึงไม่มีหลักทรัพย์มายื่นประกัน เพราะต้องใช้เงินประกันตั้งแต่ 1-5 แสนบาท นอกจากนี้ยังเกิดผลกระทบทางครอบครัว เนื่องจากผู้ต้องหาส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จึงขาดเสาหลักในการทำมาหากิน และโรคประจำตัวหรือได้รับบาดเจ็บจากการชุมนุม ผลสำรวจพบว่าทั้ง 5 จังหวัด ที่กล่าวมามีผู้ต้องขังที่ป่วยเป็นโรคประจำตัว เช่น ที่เรือนจำ จ.อุดร ธานี ผู้ป่วยเป็นโรครูมาตอยด์ และโรคไต ที่เรือนจำ จ.อุบลราชธานี มีผู้ต้องขังที่มีโรคประจำตัว จำนวน 23 ราย จากทั้งหมด 45 ราย อาทิ ลมชัก เบาหวาน เลือดจาง ความดันสูง ไทรอยด์ และมีปัญหาทางจิต
น.ส.ขวัญระวี กล่าวว่า ยกตัวอย่างนาย ประยุทธ มูลสาร อายุ 54 ปี ผู้ถูกออกหมายจับ ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ระยะสุดท้าย แต่ไม่กล้าไปรายงานตัว เพราะกลัวไม่ได้รับสิทธิในการรักษาตัว เพราะแพทย์ให้ทำคีโม 9 ครั้ง แต่ทำไปได้เพียง 7 ครั้ง ก็มีการชุมนุมใหญ่ที่กทม. จึงตัดสินใจนำชาวบ้านเข้ามาร่วมชุมนุมอีกครั้ง เพราะคิดว่าร่างกายยังไหวอยู่ กระทั่งวันที่ 5 พ.ค. อาการป่วยกำเริบหนัก จึงตัดสินใจเดินทางกลับไปรักษาที่บ้านเกิดอีกครั้ง และตั้งเวทีขึ้นบริเวณข้างศาลากลางจังหวัดเพื่อชุมนุมปราศรัยเป็นประจำทุกวัน กระทั่งวันที่ 20 พ.ค. ที่มีการเผาศาลากลาง นายประยุทธยืนยันว่าไม่รู้เรื่องและไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หลังจากนั้นจึงถูกออกหมายจับในข้อหายั่วยุ ฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และปลุกระดมผ่านวิทยุชุมนุม เขาจึงหลบหนีไปตามจังหวัดต่างๆ และไม่กล้าไปรายงานตัวเพราะถ้าถูกจับ กลัวจะไม่ได้รับการรักษา อาศัยกินยาแก้ปวด วันละ 4 เม็ด เพื่อบรรเทาอาการ
ส่วนนายอนุสรณ์ กล่าวว่า เครือข่ายสันติประชาธรรมขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลทั้งหมด 5 ข้อ คือ 1.รัฐบาลต้องเปิดเผยรายชื่อผู้ที่ถูกออกหมายจับและถูกจับกุม ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองเดือนเม.ย.และพ.ค.ที่ผ่านมา 2.ด้านสิทธิในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ เหมาะสม เนื่องจากการบริการด้านการแพทย์ของเรือนจำมีเฉพาะยารักษาโรคพื้นฐานและไม่มีแพทย์เฉพาะทาง ดังนั้นหากผู้ต้องหามีความจำเป็นที่จะได้รับการรักษาพยาบาลที่เกินกว่าเรือนจำจะสามารถให้บริการได้ พวกเขาควรได้รับสิทธิในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่เหมาะสมซึ่งอาจหมายรวมถึง การได้รับการประกันตัวเพื่อออกมารักษาตัวภายนอก 3.คดีที่สืบเนื่องจากการชุมนุมเป็นคดีการเมือง ประกอบกับมีการประกาศจับผู้ต้องหาอย่างเหวี่ยงแหและคลุมเครือซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ดังนั้นสมควรพิจารณากระบวนการออกหมายจับ โดยให้หาหลักฐานให้พร้อม สามารถฟ้องคดีได้ทันทีก่อนออกหมายจับ เมื่อจับมาแล้วให้ส่งฟ้องทันทีโดยไม่ต้องฝากขังอีก 84 วัน 4.การประกันตัว 1-5 แสนบาทต่อราย แต่เนื่องจากผู้ต้องหาส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ไม่มีหลักทรัพย์หรือเงินประกันตัว ดังนั้นควรสั่งปล่อยชั่วคราวโดยไม่ต้องอาศัยหลักประกัน และ 5.ควรปฏิบัติตามหลักสากลว่าต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าผิด ดังนั้นรัฐต้องทบทวนกระบวนปฏิบัติต่อผู้ต้องหาหรือจำเลยเฉกเช่นผู้บริสุทธิ์ เช่น เรื่องการฝากขัง ควรยกเลิกการฝากขังทั้งหมด การออกหมายจับ ให้ออกหมายจับได้เมื่อมีหลักฐานพร้อมฟ้องคดีเท่านั้น ไม่ใช่จับตัวมาก่อนแล้วค่อยหาหลักฐานฟ้อง
วันเดียวกัน น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีกลุ่มนิสิตจุฬาฯ ถูกยึดป้ายและขัดขวางไม่ให้ยื่นจดหมายถึงนายกรัฐมนตรี ขณะเดินทางมาบรรยายในงานคณะรัฐศาสตร์ ว่า การออกมาขัดขวางกลุ่มนักศึกษากลุ่มนี้เพื่อไม่ให้แสดงออกทางการเมืองนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากทุกคนมีสิทธิเสรีภาพที่สามารถแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกทางการเมืองได้ตามกรอบรัฐธรรมนูญ และนักศึกษากลุ่มนี้ก็เพียงต้องการที่จะสื่อสารข้อมูลให้กับผู้ที่เขาต้องการจะสื่อด้วยรับรู้ รับทราบถึงปัญหาบ้านเมืองที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ควรที่จะรับฟัง และควรปล่อยให้เขาแสดงออกมาเต็มที่ ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ที่กลุ่มนักศึกษาและนักเรียน จ.เชียงราย ถูกจับกุมในข้อหาละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งก็เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพเช่นกัน
น.พ.นิรันดร์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้รัฐบาลได้มีการประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในหลายๆจังหวัด อาทิ เชียงใหม่ เชียงราย และอุบล ราชธานี ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีและจะทำให้สถานการณ์การเมืองที่ร้อนแรงอยู่ตอนนี้เบาบางลง ลดความกดดันลงไปได้มาก
แดนสนธยาล้าหลัง
นโยบายโคตรประชานิยมที่รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประเคนลงไปจนถึงชาวไร่ชาวนา จะเป็นสวัสดิการโบนัสทำให้ คุณภาพชีวิตของคนยากคนจนดีขึ้น ชาวนา 17 ล้านคนต่อไปนี้จะอยู่ดีกินดี หรือสุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรกับนโยบายไทยเข้มแข็ง ชาวบ้านตาดำๆถูกจับเป็นตัวประกันดูดแต่ไม้ไอติมตามเดิม
ชาวบ้าน เนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนั่ง ต้องเอากระดูกมาแขวนคอเพิ่มหนี้กันอีกบานตะไท จึงต้องพิจารณากันให้รอบคอบ เพราะงบประมาณรายจ่ายที่รัฐบาลทำออกมาทุกปี เป็นงบประมาณแบบขาดดุล งบประมาณปี 2554 ต้องใช้เงินกู้ไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้าน อัฐยายซื้อขนมยาย เอางบประมาณที่ชาวบ้านต้องแบกรับภาระมาใช้สร้างคะแนนนิยม งบประมาณที่รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อว่าจะถึงมือชาวบ้าน ก็กลายเป็นชาวบ้านที่มีอาชีพรับเหมาก่อสร้างและนักการเมืองทุกระดับแบ่งปันกันอย่างทั่วถึง
งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 อัปยศตั้งแต่ยังไม่คลอด จัดสันปันส่วนกันเรียบร้อย ตัดลดงบประมาณไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้าน เพื่อมาจัดสรรให้นักการเมืองเอาไปแสวงหาผลประโยชน์ ทั้งฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล ฮั้วกันสนุก ลดหลั่นตามลำดับความสำคัญ ระดับร้อยล้าน จนถึง 30-40 ล้าน
ถึงได้บอกว่างบประมาณปี 2554 อย่างไรเสียก็ต้องผ่าน เหตุผลคงไม่ต้องอธิบายกันให้เมื่อยตุ้ม ที่รัฐบาลชุดนี้พยายามประคับประคองสถานการณ์การเมืองมาจนถึงวันนี้ก็เพราะสองเหตุผล งบประมาณกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ เรื่องยุบสภาลาออกที่เคยพูดเพื่อเอาตัวรอดบ่อยๆ ลืมไปได้เลย
เวรกรรมของคนไทย โง่ จน เจ็บ แถมเจ็บแล้วก็ไม่รู้จักจำ งบประมาณยังไม่คลอดก็มีการชักหัวคิวกันไปเรียบร้อย หมายความว่า มีการตั้งเป้าที่จะทุจริตตั้งแต่ยังเป็นร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ไม่ผ่านสภา คิดโครงการตั้งงบกันไปเบ็ดเสร็จ
ตั้งใจจะทุจริตกันตั้งแต่เป็นวุ้น
ประเทศไทยก็ยังเป็น สองมาตรฐาน ไม่มีที่สิ้นสุด คน ส่วนน้อยเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศ คนส่วนใหญ่ ยังด้อยโอกาส เป็นพลเมืองชั้นสอง และยังไม่ได้รับความยุติธรรม อย่างเท่าเทียม
ความเป็นธรรมที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ก็ยังมีความ แตกต่าง ช่องว่างความเป็นธรรม ระหว่างชาวบ้านตาดำๆกับอภิสิทธิ์ชนกลุ่มหนึ่ง ห่างกันเหมือนฟ้ากับเหว
รัฐบาลจะมีความชอบธรรมในการบริหารประเทศต่อไปอย่างไร หรือไม่คงไม่มีตัววัด เช่นเดียวกับประเทศที่ประชาธิปไตย เจริญแล้ว ซึ่งวัดได้จากจิตสำนึกของนักการเมืองและประชาชนสำหรับประเทศด้อยพัฒนาอย่างเราๆแล้วคงไม่ต้องไปตั้งความหวังอะไรมากเกินไป ยุคนี้บ้านเราไม่ต่างอะไรจากแดนสนธยาบ้านป่าเมืองเถื่อน
อยู่ใต้เงาเผด็จการ.
หมัดเหล็ก
ข่มคนที่ข่มได้
พม่ายังตั้งธงเพื่อ “เลือกตั้ง” ในอีกสามเดือนข้างหน้า..
ใครที่อ่านเกมว่า “เมืองไทย” จะหนีการเลือกตั้งด้วยการให้มี “รัฐบาลแห่งชาติ” มาขัดตาทัพบริหารประเทศไปพลางๆ.. เลิกคิดได้เลย
เพราะผู้คนทั้งประเทศไม่รู้จะเอาหน้าซุกหนีชาวโลกไปหลบที่หีบใบไหน!!
ทุกคนอ่านเกมทลุพอๆ กัน!
“การเมืองใหม่” ภายใต้การขับเคลื่อนของ สนธิ ลิ้มทองกุล จึงเริ่ม “ตัดริบบิ้น” ด้วยการส่งผู้สมัคร สก.และ สข. เป็นการปูพื้นนำร่อง
ใช้แผน “เปิดกรงนก” เพื่อปล่อยให้นกบินสะดวก...ด้วยการ “แอ็คชั่น” โขก นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จังๆ เรื่องที่ทำ เอ็ม.โอ.ยู.ไว้กับเขมรสมัย ชวน หลีกภัย โน่น!
เป็นการสร้างรันเวย์ให้นกกระพือปีก..เพราะเช็คกระแสแล้วไม่ฮือเท่าที่ควร
เอาเป็นว่าทั้ง “พ่อยก-แม่ยก” ระหว่าง “การเมืองใหม่” กับ “ประชาธิปัตย์” ใช้หม้อหุงข้าวหม้อดียวกัน
ยุทธการ “แย่งหม้อข้าว” จึงจำเป็นต้องเกิดขึ้น!!
ในขณะที่ “ประชาธิปัตย์” รู้ทันเหลี่ยม..ทาง “วอร์รูม” จึงนำแผน “แหอำมหิต” ยัดใส่มือ “อภิสิทธิ์” เพื่อใช้เหวี่ยงออกมาครอบนกทั้งกรง
และก็ได้ผล..เมื่อ “อภิสิทธิ์” โดดขึ้นเวทีพันธมิตร เข้าคลุกวงในกอดปล้ำรัดเอวตีเข่าโดยที่คู่ต่อสู้ไม่สามารถ “ออกอาวุธ”ได้ถนัด..
วันรุ่งขึ้นยังลากศพ เอ๊ยลากคู่ต่อสู้มาที่เวทีของตนอัดไปอีกดอกทีนี้ “อยู่หมัด”
“การเมืองใหม่” รู้ทั้งรู้.. แต่ดันไปหลงเหลี่ยมโดดขึ้นเวทีศัตรู เลยโดนรังสีจาก “แหอำมหิต” เข้าเต็มเปา ได้แต่ดิ้นขลุกๆ อยู่ภายใต้บ่วงแห
ภาษิตจอมยุทธว่า ซือ อี้ เชี่ยน, จั่ง อี้ จื้อ
แปลเป็นไทยว่า “ตกหลุมครั้งหนึ่ง ฉลาดขึ้นครั้งหนึ่ง”
แม้จะฉลาดขึ้นมาบ้าง..แต่ในทาง “การเมือง” จะตกหลุมพรางใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น
อันนี้นับเป็นบทเรียนมีค่ายิ่งของ “การเมืองใหม่” ที่ได้รู้ได้เห็นฤทธิ์เดชของ “นายกฯอภิสิทธิ์” ว่าจะประมาทไม่ได้ทั้งปัจจุบันและอนาคต
คิดเอา ประชาธิปัตย์ ให้ราคา พันธมิตร และ การเมืองใหม่ แค่ไหน!!
ดูได้จาก “ศิริโชค โสภา” ในวันนั้นได้ออกมายืนแถวหน้าทันที..มีหน้าที่คอยชูป้ายให้คนอ่าน..สู้กับ “พันธมิตร” เอาแค่ “วอลเปเปอร์” ออกศึกก็เหลือเฟือแล้ว!!
ไทยพาวิลเลี่ยน
ไปเซี่ยงไฮ้..มา..บอกได้คำเดียวว่า..อิจฉา
ประเทศที่เคยมากไปด้วยปัญหาและท่วมท้นไปด้วยความยากจน..วันนี้ไม่มีร่องรอยให้หลงเหลือ..เคยไปมาแล้วเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่าน แต่วันนี้..ไม่ใช่..
แต่ละพาวิลเลี่ยน..ประชาชนคนจีนแห่แหนกันเข้าไป..รอกันเป็นชั่วโมงเพื่อจะได้ดูแค่ 20 นาที
อย่างไทยพาวิลเลี่ยน..วันนี้ต้องยอมรับว่า..สามารถแก้หน้าเรื่องขายหน้า..ของเอ็กซ์โปที่เมืองญี่ปุ่น..ได้อย่างเด็ดขาด..
เนื้อที่ก็ไม่ใหญ่โต..งบประมาณก็จำกัดจำเขี่ย..แต่คนจีนแห่กันมาจองยาวเหยียดทุกวัน..จนได้รับการยอมรับว่า อยู่ในอันดับต้นๆ ของจำนวนคนดูคนชม..
รูปแบบเรือนร่างนั้น..ได้เปรียบที่ขึ้นกล้อง..ทุกมุมมองจึงเป็นหลังฉากของกลุ่มคนจีนที่มายืนเก็บภาพ
ส่วนข้างใน..ก็เป็นไปอย่างได้ความรู้สึก..ถึงจะไม่วิเศษหรูหรา..แต่ก็ให้ความเป็นไทยที่ใครๆ เห็นแล้วก็อยากจะมาท่องมาเที่ยว..เสียดายอย่างเดียว..สิ่งดีๆ ที่นำไปเสนอในไทยพาวิลเลี่ยนนั้น..มันกำลังไม่มีอยู่ในประเทศไทย
มันเคยอยู่แต่มันกำลังจากไป
เพราะ..เจอใคร..ใครก็ถาม..ถามกันว่า บ้านเมืองไทยจะเป็นอย่างไร..เขาถามมาแล้วเราก็ตอบไม่ได้..ไม่มีใครตอบได้..นี่คือคนไทยวันนี้
คนไทยที่ไม่รู้ว่า..วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
เราเอาไทยพาวิลเลี่ยนไปเชิญชวนเขามา..แล้วเราก็ให้ประเทศไทยผลักไสเขาออกไป..ด้วยวิกฤติการณ์ต่างๆ ด้วยสงครามระหว่างประชาชนกับประชาชน..
เห็นเขาแล้วมองเรา
ตอบได้คำเดียวว่า...เศร้า..
เอาแค่วันกลับด้วยการบินไทย..เพราะบินไปไม่ตรงเวลา..กว่าจะบินขึ้นมาได้ก็เสียเวลารอในเครื่องไปเกือบ 2 โมง..เพราะสนามบินในระหว่างมีเทศกาล..ย่อมไม่ว่างสำหรับ..เครื่องที่ควบคุมเวลาไม่ได้
ใครยังไม่ได้ไป..ตัดใจบินไปดูเถิด..ดูรัฐบาลดีๆ เขาบริหารประเทศกัน..แล้วมาช่วยกันมาเปลี่ยนประเทศไทย
เดิมพันงบประมาณ เดิมพันรถเมล์ 4 พันคัน
ออกอาการร้อนรนไปตามๆกัน เมื่อเจอวาทะทิ่มตรงกลางใจของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่วิจารณ์ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ยอมให้โครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคันผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะเขตเลือกตั้งจากเขตใหญ่เป็นเขตเดียวเบอร์เดียวด้วย
ถ้าเป็นสถานการณ์ที่อยู่ในช่วงฮันนีมูนทางการเมือง ประโยคคำพูดของสารวัตรเหลิม ก็คงไม่ทำให้ออกอาการกันอย่างนี้
แต่เมื่อมาเป็นคำพูดที่ออกมาในช่วงน้ำผึ้งขม ความสัมพันธ์ระหว่างแกนนำพรรครัฐบาล กับบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ค่อยจะหวานชื่นเท่าไรแล้ว โดยเฉพาะระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับ พรรคภูมิใจไทย
เลยทำให้สะดุ้งโหยงกันเป็นธรรมดา
กรณีรถเมล์เช่า 4,000 คัน ในราคาแพงระยับ ก็รู้กันอยู่ว่าประชาธิปัตย์ค้านหัวชนฝามาตั้งแต่สมัยที่เป็นฝ่ายค้าน จะให้ก้มลงกลืนน้ำลายที่คายอยู่บนพื้นโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยนั้น มันก็คงจะเกินไป... ทำให้โครงการนี้ชักตื้นติดกึก ชักลึกติดกัก มาตลอด
กลายเป็นบาดแผลทางใจที่แม้แต่อ้อมกอด และรอยยิ้มระหว่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กับเนวิน ชิดชอบ นายใหญ่ ซีอีโอ ตัวจริงเสียงจริงของภูมิใจไทย ยังช่วยสมานไม่ได้สนิท
ฉะนั้นเมื่อสารวัตรเหลิมมาพูดตรงๆ ฝ่ายที่ระแวงกันอยู่แล้ว ก็ยากจะนิ่งเฉย
ทำให้ทั้งนายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง จึงต้องออกมาแก้ต่างชนิดที่ตรงกันราวกับเตี้ยมกันมาล่วงหน้า ว่า สารวัตรเฉลิม ไม่เคยทำนายอะไรถูกเลย
นายสุชาติ ถึงขนาดกล้าฟันธงในเรื่องรถเมล์เช่าราคาแพงระยับว่า ร.ต.อ.เฉลิมทำนายผิดแน่นอน
“เรามีข้อมูลที่ชัดเจนสามารถชี้แจงได้ สิ่งที่ ครม.สงสัยมาก็สามารถชี้แจงได้หมด สามารถชี้แจงข้อสงสัยได้เคลียร์ เพราะเรื่องของโครงการไม่เกี่ยวกับเรื่องราคา แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเออร์รี่รีไทร์ ที่เราสามารถชี้แจงได้หรือไม่ หากได้ก็ถือว่าเคลียร์ ไม่น่ามีปัญหา”
แถมนายสุชาติยังเชื่อมั่นว่า ที่มีการมองกันว่าพรรคประชาธิปัตย์จะยื้อโครงการดังกล่าวไว้เพื่อต่อรองทางการเมืองกับพรรคภูมิใจไทยนั้น คงไม่มีอะไรที่ต่อรองกัน ไม่จำเป็นต้องต่อรอง
สอดรับกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเป็นปกติ ไม่มีปัญหาและพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะที่เป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ได้รักษากฎเกณฑ์ กติกาทุกอย่างที่ทำต้องทำด้วยเหตุผล
ก็คงต้องมาลุ้นกันว่า หลังจากวัดใจกัน ช่วยกันลากให้งบประมาณปี 54 สามารถผ่านการอนุมัติไปได้แล้ว จะมีการอนุมัติโครงการรถเมล์เช่า 4,000 คันให้กับพรรคภูมิใจไทยเป็นรางวัลตอบแทนหรือไม่นั้น
หรือว่าจะดึงเกมลากยาวไปจนเลือกตั้งปีหน้าโน่นเลย???
พรรคประชาธิปัตย์ กับ พรรคภูมิใจไทยนั่นแหละลุ้นระทึกมากที่สุด
ส่วนสารวัตรเหลิม ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ช่าง แต่ตอนนี้อมยิ้มไปเรียบร้อยแล้ว
เหยื่อม็อบ-พ.ร.บ.งบฯ
คาดเชือก คาถาพัน
หากมองย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ยุ่งเหยิงนองเลือดเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา
การที่รัฐบาลนายกฯมาร์ค ยังนั่งเป็นรัฐบาล
และยังมีโอกาสนำร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 เข้าสภาได้
ถือว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่ธรรมดา
ก็อย่างที่วงสนทนาตามเว็บต่างๆ เขาสรรเสริญเยินยอว่า น้ามาร์คเขาเส้นใหญ่จริง
ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ที่มีผู้คนล้มตายมากมายเท่านั้น หากเอาผลงานการบริหาร
หรือสภาพปัญหาบ้านเมืองที่ไม่ได้รับการแก้ไขเป็นตัวตั้ง การที่นายกฯมาร์คอยู่ได้ถึงวันนี้
ยิ่งต้องบอกว่า นอกจากเส้นใหญ่แล้ว ยังมีหลายเส้นอีกต่างหาก
งบประมาณเที่ยวนี้ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท นับว่ามากมหาศาล
ถ้ามีนโยบายดีๆ มีวิธีการใช้จ่ายงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ
จะทำให้ผู้คนที่ยากจนลืมตาอ้าปากได้เป็นหลายล้านคน
ก็คงจะเป็นอย่างที่มีส.ส.อภิปรายในสภาเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า
รัฐบาลนี้มีเงินให้ถลุงมากมาย งบประมาณปี 2553 นั่นก็ไม่น้อย
แต่กลับไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน คนจนยังจนอยู่ ตัวเลขการก่อหนี้สูงลิ่ว
นี่ยังไม่พูดถึงการเบิกจ่ายใช้งบฯ กันอย่างอีลุ่ยฉุยแฉก
เพราะความเป็นรัฐบาลผสม งบหลวงมาจากภาษีอากรประชาชนแท้ๆ
แต่เวลาใช้จ่ายกลายเป็นเรื่องทางใครทางมัน กระทรวงใครกระทรวงมัน
ที่สำคัญปัญหาหลายๆ อย่าง ไม่ได้รับการแก้ไข อย่างปัญหาไฟใต้
ปัญหาความแตกแยกในสังคมที่นับวันยิ่งเลวร้าย
ที่น่าสังเกตก็คือ
การพิจารณางบประมาณในครั้งนี้ ส.ส.ฝ่ายค้านนำเอาเหตุการณ์สลายม็อบมาพูดในสภา
ทำให้เกิดการประท้วงกันวุ่นวาย นายกฯ เองก็ต้องลุกขึ้นมาชี้แจง
มองเผินๆ ก็เหมือนกับน่าเบื่อหน่าย เอาเรื่องเก่ามาพูดใหม่
แต่ความจริงการสลายม็อบยังไม่ใช่เรื่องเก่า
เหยื่อของเหตุการณ์ยังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาลอย่างจริงจัง
กรรมการ 3-4 ชุดที่ตั้งขึ้นจากเลือดเนื้อชีวิตของเหยื่อเหล่านี้
มีงบให้ใช้สบายมือหลายร้อยล้าน แต่เหยื่อตัวจริง กลับกลายเป็น "เรื่องเก่า"
ที่พูดเมื่อไหร่ ก็ต้องมีส.ส.รัฐบาลลุกขึ้นมาประท้วงเมื่อนั้น
ในอดีต วิธีการทำให้เหยื่อกลายเป็นคนที่ถูกลืมอาจจะได้ผล แต่ไม่ใช่ในยุคนี้แน่นอน
นายกฯมาร์ค อายุยังไม่เท่าไหร่
ช่วงชีวิตที่เหลือจะต้องโดนหลอนจาก "ลูกหนี้" ไปตลอด ถ้าไม่ยอมชดใช้
เส้นใหญ่ขนาดไหนก็ช่วยไม่ได้ตลอดแน่นอน
"ฮาร์วาร์ด" ซิวแชมป์มหาวิทยาลัยดีที่สุดในโลก "ไทย" ชวดไม่ติด 500 อันดับแรก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า
รายงานการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของโลกประจำปี 2010 (ARWU) ระบุว่า
มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ยังคงครองแชมป์มหาวิทยาลัยของโลก เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน
ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ
แต่ก็แสดงให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยของจีนกำลังปรับตัวดีขึ้น
รายงาน ARWU ซึ่งมีการเผยแพร่
โดยศูนย์การประเมินมหาวิทยาลัยระดับโลกของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ เจียว ถง
นับตั้งแต่ปี 2003 ระบุว่า สหรัฐฯ มีจำนวนมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับโลกมากที่สุด
โดยมีมหาวิทยาลัย 8 แห่ง ติดอันดับท็อปเท็น และอีก 54 แห่ง อยู่ใน 100 อันดับแรก
มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ที่ติด 10 อันดับแรกของมหาวิทยาลัยโลก
นอกเหนือจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้แก่ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์,
สแตนฟอร์ด, สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซ็ตต์, สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย,
พรินซ์ตัน, โคลัมเบีย และชิคาโก ส่วนมหาวิทยาลัยเยล อยู่ในอันดับที่ 11

มหาวิทยาลัยของอังกฤษที่ติดอันดับที่ดีที่สุดคือ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ซึ่งหล่นจากอันดับ 4 เมื่อปีที่แล้ว มาอยู่ที่อันดับ 5 ในปีนี้
และอ็อกซ์ฟอร์ดยังคงครองอันดับ 10
ขณะที่โดยรวมแล้วมหาวิทยาลัยของอังกฤษที่ติดอันดับ 500 อันดับแรกของโลก
มีจำนวนลดลงมาอยู่ที่ 38 แห่ง จากเดิม 40 แห่ง
แต่จากการจัดอันดับดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า
มหาวิทยาลัยในเอเชียได้ติดอันดับโลกมากขึ้น โดยมีมหาวิทยาลัย 106 แห่ง
จากภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค ที่ติดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก 500 อันดับแรก
ขณะที่วิธีการจัดอันดับยังคงเหมือนเดิมนั้น
มหาวิทยาลัยของจีนที่อยู่ในกลุ่ม 500 อันดับแรก
ก็มีจำนวนสูงถึง 34 แห่งในปีนี้ ซึ่งมากกว่าเดิม 2 เท่าจากปี 2004
ซึ่งมีเพียงแค่ 16 แห่ง มหาวิทยาลัยเจียวถง ระบุในแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง
มหาวิทยาลัยของจีนที่อยู่ใน 200 อันดับแรก ได้รวมถึง มหาวิทยาลัยปักกิ่ง,
ซิงหัว และมหาวิทยาลัยไชนีส ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ ฮ่องกง
โดยมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ก็ติดใน 200 อันดับด้วย
ทั้งนี้ ARWU ได้ใช้ปัจจัยชี้วัด 6 ประการ ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก
ซึ่งรวมถึง จำนวนศิษย์เก่า และบุคลากรที่ได้รับรางวัลโนเบล,
จำนวนนักวิจัยที่มีชื่อเสียง, จำนวนบทความที่มีการเผยแพร่
และได้รับการระบุถึงในวารสารชั้นนำ
และผลการเรียนต่อคนเทียบกับขนาดของมหาวิทยาลัย
การจัดอันดับดังกล่าว
ซึ่งมีการประเมินมหาวิทยาลัยกว่า 1,000 แห่งในแต่ละปีนั้น
จะให้ความสนใจอย่างมากต่อความสำเร็จในการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์
บก.ลายจุด เตรียมจัด “4 ปีรัฐประหาร 4 เดือนราชประสงค์” ย้ำ “เราไม่ลืม”
กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงผูกผ้าแดงราชประสงค์ 19 ก.ย.ชวนเสื้อแดงทั่วโลกใส่เสื้อสีแดงรำลึกครบรอบ “4 ปีรัฐประหาร 4 เดือนราชประสงค์” บอกรัฐบาลว่า “เราไม่ลืม”
19 ส.ค.53 เวลา 11.30 น. นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ผู้ริเริ่มกิจกรรมวันอาทิตย์สีแดง พร้อมกับสมาชิกกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง นำผ้าแดงมาผูกที่เสาของป้ายแยกราชประสงค์และร่วมกันปักกุหลาบแดง และชูป้าย “พบกัน 19 ก.ย.ราชประสงค์”
นายสมบัติกล่าวว่า เนื่องจากวันที่ 19 ก.ย.2553 ตรงกับวันอาทิตย์และตรงกับวาระ “4 ปีรัฐประหาร 4 เดือนราชประสงค์” กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงจึงเตรียมจัดกิจกรรม “แดงอะราวด์เดอะเวิลด์” โดยเชิญชวนคนเสื้อแดงทั่วโลกใส่เสื้อสีแดงและร่วมกันออกแบบกิจกรรมวันอาทิตย์สีแดงในวันดังกล่าว
ส่วนกิจกรรมในวันที่ 19 ก.ย.ที่กรุงเทพฯ นายสมบัติกล่าวว่า จะจัดขบวนจักรยานปั่นจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน ตระเวนไปรอบบริเวณที่เกิดเหตุการณ์ปราบปรามประชาชน และขบวนจักรยานจะมาหยุดที่แยกราชประสงค์ในเวลา 17.00 น. จากนั้นจะเริ่มกิจกรรมวันอาทิตย์สีแดง จึงขอเชิญชวนคนเสื้อแดงร่วมรำลึกเหตุการณ์ทั้งสองในวันที่ 19 ก.ย.นี้ และเชิญชวนคนเสื้อแดงสวมเสื้อสีแดงพร้อมกันทั่วประเทศ และสำหรับผู้ที่จะเดินทางมาร่วมกิจกรรมที่ราชประสงค์ นายสมบัติได้ขอให้นำเทียนสีแดงและผ้าแดงมาด้วย
“เรานัดหมายให้คนกลับมาที่ราชประสงค์ เพื่อมารำลึกและมาถามหาความเป็นธรรมในสังคม รัฐบาลอาจจะแกล้งลืมหรือพยายามทำให้ประชาชนลืม แต่เราจะบอกว่าเราไม่ลืม ทุกเดือนเราจะมาที่นี่” นายสมบัติกล่าว
หลังจากนั้น นายสมบัติและสมาชิกกลุ่มวันอาทิตย์สีแดงได้ร่วมกันเก็บผ้าแดงและดอกกุหลาบแดงออกจากแยกราชประสงค์ โดยนายสมบัติกล่าวว่าไม่อยากให้เป็นภาระแก่เจ้าหน้าที่รักษาความสะอาดของกรุงเทพมหานคร จากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับไป
อนึ่งในตอนสายของวันเดียวกัน มีการจัดพิธีทำบุญให้แก่ผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมในวันที่ 19 พ.ค.ที่วัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน มีการถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ ผู้ที่มาทำบุญรับประทานทานอาหารกลางวันร่วมกัน โดยในวันนี้มีประชาชนเดินทางมาร่วมกันทำบุญเป็นจำนวนมาก