
ที่จริงไม่อยากจะหยิบยกกฎหมายโจรปล้นประชาธิปไตยมาอ้าง เพราะมันไม่มีสภาพใช้บังคับ แต่กำลังชี้ให้เห็นว่า คตส. กำลังหยิบมีดมาเสียบพุง แดดิ้นตาย! ด้วยน้ำมือตัวเอง เพราะ คตส. เป็นผลผลิตจากกระบวนการโจรปล้นประชาธิปไตย ที่ทำคลอดออกมาแบบไม่สมประกอบนี้
การพิจารณาส่งฟ้องกรณี “หวยบนดิน” เป็นที่ฮือฮา สื่อบางสำนักพาดหัวราวกับว่าเป็นผู้พิพากษาตัดสินความให้ผู้ถูกกล่าวหาไปเรียบร้อย ตั้งแต่ยังไม่พิจารณาเรื่อง จนมาถึงวันนี้พฤติกรรมไม่เปลี่ยนแปลง หลับหูหลับตา เชลียร์คณะปฏิวัติรัฐประหารเช้ายันค่ำ จงใจสร้างกระแสให้สังคมเข้าใจผิดๆ ไป มีความจงใจที่จะปิดข่าวบางด้าน เพื่อผลให้เกิดอีกบางด้าน ไล่ตั้งแต่ระดับนักข่าวและหัวหน้าข่าว ทำตัวเป็นผู้ตัดสินกันหมด
ทั้งที่เรื่องยังไม่ใช่กระบวนการที่จะส่งฟ้องได้เลย คตส. ส่งเรื่องนี้ไปให้อัยการ อัยการสูงสุดท่านยังไม่มีมติใดๆ ออกมา เพียงแต่ว่าให้ไปสอบเพิ่มเติมในบางประเด็น ซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบการตั้งคณะทำงานร่วมกัน แต่ทาง คตส. กลับไม่ยอม และมีมติว่าจะนำเรื่องไปฟ้องร้องศาลกันเอง
อยากถามความรู้สึกชาวบ้านร้านตลาดว่า คตส. มีพฤติกรรมในการสอบสวนเอนเอียงอย่างชัดแจ้ง เลือกเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร แม้แต่กรณีรถและเรือดับเพลิง กทม. ก็ไม่มีชื่อ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เข้ามาเป็นผู้ทำให้รัฐเสียหาย
มันดูจงใจอย่างไรชอบกลไหมล่ะท่านพี่น้องประชาชน?
มากรณีหวยบนดิน คตส. จะฟ้องเองได้หรือไม่ เป็นคำถามที่คาใจคนทั้งบ้านทั้งเมือง ในเมื่อ อัยการสูงสุด ในฐานะทนายแผ่นดิน บอกว่า ยังไม่มีมติเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง อยากจะให้ไปทำสำนวนให้รัดกุมรอบคอบกว่านี้ เอาเงินขายหวยไปทำประโยชน์ให้สถาบันการศึกษา ทำประโยชน์ให้กับคนในชาติบ้านเมือง
หาก คตส. ไม่ต้องฟังอัยการได้จริงๆ
ในประกาศ คปค. ฉบับที่ 30 จะมีการเขียนให้นำสำนวนไปให้อัยการสูงสุดไว้ทำไม
อัยการสูงสุด ในสายตา คตส. กลายเป็นอะไรกันแน่
บ้านเมืองเรามีความลักลั่นได้ขนาดนี้เลยหรือ
ถ้าอย่างนั้นขอเสนอให้มีการตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบการปฏิวัติรัฐประหารที่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย สักคณะได้หรือไม่ ขอใช้มาตรฐาน บรรทัดฐานเดียวกันกับ คตส. นี่แหละ
รับรอง ได้คนขึ้นเขียงเยอะแยะทีเดียว
ประเด็นอยู่ที่ความสมบูรณ์ของการฟ้องร้องในครั้งนี้ก็ดูจะเป็นปัญหาเสียแล้ว มินับรวมการนำเงินหวยไปให้ทุนการศึกษา ซึ่งทุกประเทศทั่วโลกเขาทำกันนั้น มันจะผิดอย่างไร ก็ยังยากจะอธิบายให้เข้าใจ แล้วถ้าผิดมันก็ผิดที่นโยบาย คนที่เป็นรัฐมนตรี คนที่เป็นปลัดกระทรวง คนที่เป็นอธิบดี มันจะผิดอะไรด้วยยังมองไม่ออก แล้วยิ่งมองไม่ออกใหญ่ว่า เมื่อผิดด้านนโยบายมันไม่ใช่แค่ความรับผิดชอบทางการเมืองหรือ มันไม่ใช่เอาเงิน “เข้าพก เข้าห่อ” แบบที่ไปจ้างบริษัทที่เช่าบ้านตัวเองมาทำการอบรมสัมมนาในสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเสียหน่อย อันนั้นแหละน่าจะเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน
หากศาลเห็นคนละด้านกับ คตส. แล้ว ไม่เท่ากับว่า คตส. จะต้องแสดงความรับผิดชอบกันทั้งคณะเลยหรือ หากไม่ยอมรับผิดชอบ คงไม่พ้นที่ประชาชนจะต้องออกมาขับไล่ไสส่งไปลงนรกซะเถิด
นี่ไงที่ว่า คตส. กำลัง “ฮาราคีรี” ตัวเอง