Friday, July 17, 2009

ไทยไม่แข็ง

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน




รัฐบาลเอาไม่อยู่แน่นอนแล้ว

กับปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

เริ่มมีเสียงท้าพนันขันต่อว่าระหว่างนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ในฐานะผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย กับนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข จำเลยของสังคม

ใครจะอึดกว่าใคร?

ทั้งกรณีนายกษิต และนายวิทยา

คือสิ่งยืนยันถึงความผิดพลาดอย่างมหันต์ในการวางตัวบุคคลเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี

ที่คนเป็นนายกฯ ไม่ยึดเอาความเหมาะสมและความรู้ความสามารถเป็นหลัก

นายกษิต ถึงจะเป็นอดีตทูตประจำหลายประเทศใหญ่ๆ แต่พฤติกรรมการไปร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ปิดยึดสนามบิน ขึ้นเวทีด่าทอผู้นำประเทศเพื่อนบ้านอย่างเสียๆ หายๆ

ก่อปัญหาให้กับรัฐบาลอย่างไร ก็เห็นกันอยู่

สำหรับนายวิทยา รมว.สาธารณสุขของเรานั้น เรียนจบมาทางด้านนิติศาสตร์ เคยยึดอาชีพทนายความมาช่วงหนึ่งก่อนจะเข้าสู่การเมือง มาเป็นทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์

จัดอยู่ในสายของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคและผู้จัดการรัฐบาลคนปัจจุบัน

ตรวจสอบประวัติการทำงานแล้ว นายวิทยาไม่เคยข้องแวะกับกระทรวงสาธารณสุขแต่อย่างใด

ขนาดตอนเป็นรัฐมนตรีเงา ก็เป็นรัฐมนตรีเงากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

แต่พอพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาล เป็นเพราะเกมการเมืองภายในพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลยตั้งนายวิทยาเป็นรมว.สาธารณสุข

ทั้งที่นายวิทยาไม่เคยมีความรู้ทางด้านนี้มาก่อน

พอเข้ามาเจองานยากอย่างเรื่องไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ก็เลยไปไม่เป็น

ไม่รู้จะแก้อย่างไร จับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะไม่มีความรู้พอจะมองปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

กว่าจะตั้งหลักได้ก็สายเกินไป

นี่แหละคือพิษร้ายของการตั้งรัฐมนตรีที่อิงอยู่กับระบบต่างตอบแทน เด็กเส้น เด็กฝาก เด็กใครเด็กมัน

แทนที่จะคำถึงถึงความรู้ความสามารถ

อยากฝากไว้ตรงนี้ขณะที่รัฐบาลกำลังโหมโฆษณายกใหญ่กับแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง

ปลื้มอกปลื้มใจกับพันธบัตรกู้เงินเกือบแสนล้านที่ขายหมดเกลี้ยงภายในพริบตา

ทำอย่างกับว่าประเทศไทยเข้มแข็งขึ้นแล้วจริงๆ

ทั้งที่ความจริงประเทศจะเข้มแข็งได้ก็ต่อเมื่อประชาชนในประเทศมีสุขภาพที่แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

หรืออย่างน้อย

ก็ไม่สมควรต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้หน้ากากอนามัยอย่างเช่นทุกวันนี้