Friday, December 18, 2009

ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ รบ.สอบตกสร้างสมานฉันท์

ที่มา ข่าวสด

สัมภาษณ์พิเศษ




หลังจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้รับโปรดเกล้าฯ รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อ 17 ธ.ค.2551 และฟอร์มคณะรัฐมนตรี และเริ่มต้นทำงานเมื่อ 21 ธ.ค.2551

ภาพ ครม.ที่ออกมาถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการมากมาย

นายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยระบุว่า ครม.อภิสิทธิ์ทำให้เห็นว่าระบบการจัดสรรตำแหน่งยังเหมือนเดิม เกิดข้อกังขาในเรื่องจริยธรรมคุณธรรมที่พรรคประชาธิปัตย์เคยอ้าง เมื่อเข้าสู่อำนาจกลับติดกับดักเดิม ทั้งการทะเลาะเบาะแว้งแย่งตำแหน่ง ส.ส.อกหักผิดหวัง เกิดแรงกระเพื่อม มีคลื่นใต้น้ำ

สิ่งที่ประชาธิปัตย์เคยวิจารณ์รัฐบาลก่อนหน้านี้ ยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว เพราะมีนอมินีในรัฐบาล แม้ตัวเองไม่เป็น แต่ก็เป็นมือใหม่ นายกฯ แม้เคยเป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ แต่ผ่านมาแล้ว 8 ปี

ครม.โดยรวมดูแล้วไม่ค่อยสง่างาม โฉมหน้าไม่น่าประทับใจ ตำแหน่งใน ครม.กระจัดกระจาย แม้นายกฯ คุมทีมเศรษฐกิจเองแต่หลายกระทรวงอยู่ในมือพรรคร่วม

อย่างไรก็ตามหลังจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ใกล้บริหารบ้านเมืองครบ 1 ปี สำนักข่าวเอเอฟพีนำเสนอบทวิเคราะห์รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ว่า ระยะเวลา 1 ปีที่ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ ยังไม่ประสบความสำเร็จทั้งในประเทศและบนเวทีระดับภูมิภาค

รวมทั้งยังล้มเหลวในการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยที่เกิดการแบ่งแยกอย่างลึกซึ้งรุนแรงในขณะนี้

เอเอฟพีอ้างคำให้สัมภาษณ์ของนายฐิตินันท์ ว่า ประเทศไทยแตกแยกมากขึ้นอีก มีการแบ่งขั้วกันชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในคำปราศรัยหลังจากรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าจะเป็นนายกฯ ของทุกคน แต่ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เข้าถึงกลุ่มที่อยู่อีกขั้วหนึ่ง

นับตั้งแต่นายอภิสิทธิ์เข้ารับตำแหน่งมักจะประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เมื่อต้องเผชิญกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ขณะที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อเหลืองไม่เคยมีการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ

จากบทวิเคราะห์ดังกล่าว ทำให้นายอภิสิทธิ์ออกมาตอบโต้ว่า เป็นความคิดเห็นของนักวิชาการคนหนึ่งที่วิจารณ์ในลักษณะนี้มาตลอด รัฐบาลอยากให้วิเคราะห์ให้ชัดว่าสิ่งที่รัฐบาลทำในช่วงที่ผ่านมา ทั้งเรื่องการเคารพสิทธิของทุกฝ่าย การบังคับใช้กฎหมาย และการสมานฉันท์ในกระบวนการของรัฐสภานั้นได้ดำเนินการจริงๆ

แต่ความสมานฉันท์เกิดขึ้นจากฝ่ายเดียวไม่ได้ จึงต้องดูว่าทำอย่างไรจะให้ฝ่ายอื่นเข้ามาร่วม ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ได้พอใจที่สภาพความขัดแย้งยังคงอยู่ แต่การแก้ปัญหานั้นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย

นายอภิสิทธิ์ยังระบุถึงการใช้พ.ร.บความมั่นคงว่า การจะใช้หรือไม่ใช้ไม่ได้อยู่ที่สีเสื้อ แต่อยู่ที่การประกาศวัตถุประสงค์ในการชุมนุม รัฐบาลไม่ได้ประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.เพราะไม่มีข่าวบอกว่าจะมีปัญหา

นี่เป็นบทพิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลไม่ได้เลือกปฏิบัติ

และในโอกาสที่รัฐบาลจะแถลงผลงาน 1 ปี ในวันที่ 23 ธ.ค. โดยบุคคลในรัฐบาลต่างออกมาพูดแสดงความมั่นใจในการบริหารงานของตัวเองอย่างมาก

นายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้ออกมาวิจารณ์ผลงานรัฐบาลอีกครั้งว่า

เราต้องดูตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาทำหน้าที่ว่าได้ประกาศจุดยืนและจุดประสงค์ นโยบายอะไรไปบ้าง อีกทั้งต้องดูบริบทการเมืองในขณะนั้น

ตอนที่รัฐบาลเข้ามารับหน้าที่บริหารประเทศได้ประกาศหน้าที่หลักไว้ 2 ข้อ คือ 1.ต้องสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในประเทศ 2.ต้องปฏิรูปการเมืองเพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้

ในส่วนของนโยบายที่รัฐบาลประกาศว่าจะสร้างความสมานฉันท์และความปรองดองในประเทศนั้น ส่วนตัวมองว่ารัฐบาลไม่ได้ล้มเหลวในการทำหน้าที่ในส่วนนี้ แต่รัฐบาลไม่ประสบความสำเร็จ

เราต้องมองย้อนกลับไปว่าขณะนี้ประเทศของเรามีความสมานฉันท์ปรองดองมากขึ้นหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็จะพบว่าประเทศเรายังมีความแตกแยกอยู่เหมือนเดิมและมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นด้วย

แต่ถ้านายกฯ สามารถทำในส่วนนี้ได้ทุกคนก็จะยกนิ้วให้ แต่หากเราลองมองย้อนกลับไปก็จะพบอีกว่าเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น

เพราะเมื่อดูจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศหลายครั้ง อาทิ ปรากฏการณ์ก่อจลาจลของกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากมีกลุ่มคนไม่พอใจในการทำงานของรัฐบาล

ปรากฏการณ์ที่มีประชาชนมาประท้วงรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์ที่นายกฯ เดินทางลงพื้นที่ในภาคอีสานไม่ง่ายนัก

จากสิ่งที่เกิดขึ้นถ้ารัฐบาลยังบอกว่าประเทศมีความสมานฉันท์ก็จะเป็นการหลอกตัวเองและไม่ยอมรับความจริง

ความแตกแยกในสังคมไทยตอนนี้กำลังเริ่มกระจายตัวและมีความรู้สึกเป็นวงกว้าง ซึ่งล้วนมีสาเหตุมาจากบ้านเมืองมีสองมาตรฐานและไม่มีความเป็นธรรม

อาทิ เรื่องการดำเนินคดีกับกลุ่มคนเสื้อแดงในคดีต่างๆ มีการดำเนินการอย่างรวดเร็ว แต่คดีความของกลุ่มเสื้อเหลืองกลับไม่มีความคืบหน้า

เรื่องพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลถูกยุบพรรคไปถึง 2 ครั้ง แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกร้องเรียนเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียง เรื่องกับเงียบหายไป

อีกทั้งเรื่องเหตุใดจึงมีการตั้งรัฐบาลกันในกรมทหาร และเหตุใดรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้จึงไม่สามารถสั่งการทหารได้ แต่พอมาถึงรัฐบาลชุดนี้สามารถสั่งการอะไรให้ทหารทำได้หมด

ส่วนสาเหตุที่นายกฯ และรัฐบาลไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานในรอบ 1 ปี

เพราะเขาปฏิเสธแนวนโยบายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เคยทำไว้ ซึ่งนโยบายบางอย่างถือเป็นส่วนดี แต่รัฐบาลกลับปฏิเสธไม่ยอมดำเนินการต่อทั้งหมด ทำให้มีปัญหาตามมาเพราะยังมีคนที่ชอบนโยบายเหล่านี้อยู่

การที่รัฐบาลยังปฏิเสธส่วนดีบางอย่างของนโยบายในยุคพ.ต.ท.ทักษิณ อาจส่งผลทำให้สังคมหาจุดสงบและเดินหน้าต่อไปไม่ได้

ส่วนนโยบายที่รัฐบาลต้องการปฏิรูปการเมืองนั้น

หากย้อนกลับไปดูคำพูดของนายกฯ ที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะต้องมีการปฏิรูปรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ซึ่งต่อมาก็ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาวินิจฉัย ก่อนจะมีมติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญใน 6 ประเด็น และนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่

แต่ต่อมาพรรคเพื่อไทยได้ถอนตัวออกไปและไม่ยอมร่วมด้วย ซึ่งหากเรามองย้อนไปดูอีกครั้งก็จะพบมูลเหตุที่พรรคเพื่อไทยต้องถอนตัวเพราะมีสาเหตุมาจากนายกฯ และพรรคประชาธิปัตย์ตุกติก บอกว่าจะไม่มีการเลือกตั้งใหม่และจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ประเด็น

ประกอบกับรัฐบาลยังถูกกลุ่มพันธมิตรฯ กดดันด้วยการห้ามมาแตะต้องรัฐธรรมนูญปี 2550 อีก

การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้หากนายกฯ ต้องการล้างไพ่และให้ประชาชนออกเสียงใหม่ เพื่อสร้างความเป็นธรรมก็สามารถทำได้ถ้านายกฯ และรัฐบาลมีความจริงใจ แต่เขากลับมีเทคนิคและชั้นเชิงเพื่อหวังดึงเกมให้สามารถอยู่ในอำนาจต่อไปได้

อย่างไรก็ตามภาระในการแสดงถึงความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่ฉันทามติ อันดับแรกต้องมาจากกลุ่มบุคคลที่อยู่ในอำนาจ

แต่ตอนนี้เราก็ต้องตำหนิทั้ง 2 ฝ่าย

ไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลที่พยายามตุกติกหรือฝ่ายค้านที่พยายามตีรวน