Tuesday, December 8, 2009

บทเรียนสอนใจเหตุเพราะ"สิ้นหวัง"

ที่มา มติชน

คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12

โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ



คล้ายกับว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเปลี่ยนพรรคแกนนำรัฐบาลจากพรรคประชาธิปัตย์ไปเป็นพรรคอื่น เพราะถ้าไม่ใช่ประชาธิปัตย์ก็ต้องเป็นพรรคเพื่อไทย ซึ่งการเมืองก็จะวุ่นวายอยู่ดี

แม้ว่าประชาชนส่วนหนึ่งจะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย แต่ฝ่ายต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเมืองไทยไม่เห็นตาม การต่อต้านช่องทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมามีอำนาจยังดำเนินการอย่างจริงจัง และไม่ยอมถอย

อย่างไรเสียหากต้องการความสงบทางการเมือง พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำยังอำนวยให้เกิดขึ้นได้มากกว่าพรรคเพื่อไทย

ทุกพรรคยังมีความสุขกับมีอำนาจบริหารประเทศ ไม่มีใครอยากพ้นจากอำนาจ

ดูเหมือนว่าความเปลี่ยนแปลงไม่ควรจะเกิดขึ้น

คำถามก็คือว่า ทั้งที่แทบมองไม่เห็นเหตุผลอะไรที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่ทำไมกระแสเสียงที่เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะๆ และนับวันจะแรงขึ้นทุกขณะ จนเชื่อกันไปแล้วว่าน่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีในเร็ววันนี้

นั่นเป็นคำถามที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีวันเข้าใจเด็ดขาด หากมองในทางปกป้องตัวเอง

นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์เองยังทำเหมือนไม่เข้าใจ เพราะเชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทุ่มเทและมากด้วยผลงาน

เช่นเดียวกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ไม่มีทางเข้าใจ เมื่อมองเห็นแต่ด้านบวกของนายอภิสิทธิ์

จะเข้าใจได้อย่างไรในเสียงเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลง หากมองว่าทำงานกันดีอยู่แล้ว

จะเข้าใจได้ต้องมองอีกมุมหนึ่ง โดยตั้งคำถามว่า ที่มาของเสียงเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงนั้นเกิดจากอะไร

ตัดเสียงของฝ่ายตรงกันข้ามที่เชื่อว่าเสนอด้วยอคติออกไปเลยก็ได้ ดูกันเฉพาะเสียงที่เห็นว่าน่าจะเป็นเสียงสะท้อนที่บริสุทธิ์ อย่างเช่นเสียงของนักธุรกิจ หรือกลุ่มประชาชนที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ว่าทำไมถึงได้เปลี่ยนไปในวันนี้

มองให้ดีแล้วจะเห็นว่ามันมีคำตอบบางอย่างอยู่

ผลงานที่ไม่มีอะไรเป็นไปตามความคาดหวังคือสาเหตุของเสียงที่เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลง

ต่างคนต่างรู้ว่าการเมืองเป็นต้นเหตุของความยุ่งยากทั้งหมด มีความคาดหวังว่าเมื่อพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นแกนนำรัฐบาลจะเร่งแก้ไขปัญหานี้ให้หมดไป

แน่นอนทุกคนเข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคลี่คลาย เพราะความแตกแยกของคนในชาตินั้นถูกกระทำให้ขยายทั้งในด้านกว้างและลึก

ที่ต้องการเห็นคือความพยายามของรัฐบาลที่จะทุ่มเทแก้ไข

ทว่าช่วงที่ผ่านมา นอกจากไม่เห็นความพยายามในเรื่องนี้แล้วกลับกลายเป็นพรรคประชาธิปัตย์เองกลับเข้าไปแสดงบทบาทขยายความขัดแย้งเสียเอง

จากผู้มีหน้าที่ต้องเชื่อมประสานให้ความแตกแยกเบาบางลง กลับทำตัวเป็นคู่กรณี คู่ขัดแย้งเสียเอง

ความเบื่อหน่ายของประชาชนต่อการเมืองที่เป็นปัญหาของทุกเรื่องราวสะท้อนออกมาในเสียงเรียกร้องให้มีการปลี่ยนแปลงในรัฐบาล

สะท้อนให้เห็นความผิดหวัง

หมดหวังที่รอพรรคประชาธิปัตย์ในการคลี่คลายความขัดแย้ง

ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปรับเปลี่ยนรัฐบาล เพราะไม่ว่าใครมาเป็นก็ไม่มีอะไรดีกว่านี้

แต่หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่พิจารณาตัวเอง ว่าทำไมจึงทำให้ประชาชนเลิกคาดหวัง

แม้ยังมองไม่เห็นทางเลือกอื่น ประชาชนก็อยากจะเปลี่ยน

เปลี่ยนเพราะหมดหวังกับพรรคประชาธิปัตย์