ที่มา ประชาไท
Wed, 2012-08-08 23:23
ยันไม่เห็นด้วยกับการให้อำนาจกองทัพคุมงานด้านพลเรือนและอำนวยความยุติธรรม
สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกแถลงการณ์หลังมีมติ
เป็นเอกฉันท์ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2555
ว่าไม่เห็นด้วยการจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้”
ที่กรุงเทพฯ
ซึ่งรัฐบาลจะมีการเรียกประชุมหารือประเด็นนี้เป็นครั้งแรกในวันที่ 8
สิงหาคม 2555
โดยเนื้อหาของแถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่าการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวซึ่งเป็น
แนวคิดของรัฐบาลที่จะรวมหน่วยงาน 16
กระทรวงหลักที่เกี่ยวข้องกับงานความมั่นคงและงานการพัฒนา
โดยให้แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นผู้กำกับดูแลงานของฝ่ายพลเรือนทั้งหมด
รวมทั้งศอ.บต. ทางสภาที่ปรึกษาเห็นว่า
ตั้งข้อสังเกตว่าแม้ว่ารัฐบาลจะทุ่มเทงบประมาณจำนวนมหาศาลในการแก้ไขปัญหา
ความรุนแรงในภาคใต้ แต่ว่าก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้
และจากการฟังการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนพบว่าประชาชน
“เริ่มขาดความเชื่อมั่นต่อนโยบายของกองทัพในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาค
ใต้”
ในแถลงการณ์ดังกล่าว ยังชี้แจงเหตุผล 4 ข้อ ดังนี้ ประการที่
1 นโยบายการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2555 - 2557
ได้ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม การรับฟัง
และสะท้อนความเห็นจากภาคประชาชนกับภาครัฐ
โดยมีสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการ และเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกัน
โดยได้แยกงานระหว่างฝ่ายความมั่นคงที่มี
พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 (พ.ร.บ. ความมั่นคงฯ)
กับงานด้านการพัฒนาฝ่ายพลเรือน ที่มี
พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 (พ.ร.บ. ศอ.บต.)
ไว้อย่างชัดเจน
และดำเนินยุทธศาสตร์สอดคล้องกับนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาค
ใต้ ซึ่งคณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรได้รับทราบแล้ว จึงเห็นว่า
รัฐบาลควรบริหารราชการแผ่นดินให้สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว
ประการที่ 2 ไม่เห็นด้วยในการมอบหมายให้แม่ทัพภาค 4
เป็นผู้กำกับดูแลกิจการในพื้นที่ครอบคลุมไปถึงกิจการฝ่ายพลเรือนและการอำนวย
ความยุติธรรม โดยควรที่จะแยกงานการพัฒนาและความมั่นคงออกจากกัน
ภารกิจของกองทัพมีมากอยู่แล้วจึงควรเน้นการรักษาอธิปไตยและรักษาความปลอดภัย
ในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นหลัก
จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในอำนาจรัฐให้มากยิ่งขึ้น
ประการที่ 3
รัฐบาลควรจะใช้คณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ตาม
พ.ร.บ. ศอ.บต.
เป็นศูนย์ปฏิบัติการที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้และจะต้อง
ผลักดันให้กระทรวงต่างๆ มีความเข้มแข็ง ทั้งกำลังคน และงบประมาณ
โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย นอกจากนี้ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.
ศอ.บต. ซึ่งต้องการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมการแก้ปัญหา
รัฐบาลจึงควรรับฟังเสียงจากประชาชนเจ้าของพื้นที่
ไม่ใช่เป็นการพิจารณาและสั่งการมาจากส่วนกลางอย่างเดียว
ประการที่ 4
ในกรณีมีการกล่าวอ้างว่าการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่
ประสบความสำเร็จ เพราะมี พ.ร.บ.ศอ.บต. และ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
ซ้ำซ้อนกันอยู่ ขอเรียนว่า พ.ร.บ. ศอ.บต.
ได้ผ่านขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนมาอย่างกว้างขวางและผ่าน
ความเห็นชอบจากรัฐสภามาแล้ว เพราะฉะนั้น พ.ร.บ.ศอ.บต. จึงไม่ได้ซ้ำซ้อนกับ
พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เนื่องจาก พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
รับผิดชอบในด้านการดูแลรักษาความสงบและอธิปไตยของชาติ ส่วน พ.ร.บ. ศอ.บต.
รับผิดชอบเรื่องการเมือง การปกครอง และการพัฒนา
จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ในทางกลับกัน
ยังเป็นการหนุนเสริม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ อีกด้วย
อีกทั้งประชาชนค่อนข้างพึงพอใจกับการดำเนินการตาม พ.ร.บ. ศอ.บต.
นายปกรณ์ ปรีชาวุฒิเดช
โฆษกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สัมภาษณ์กับ
โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้เพิ่มเติมว่าศูนย์ดังกล่าวที่มีพล.อ.ยุทธศักดิ์
ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
รองนายกรัฐมนตรี และนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รมว.มหาดไทย
เป็นผู้ควบคุมเชิงนโยบายจากศูนย์กลาง และมีแม่ทัพภาค 4
เป็นประธานในการอำนวยการการแก้ไขในพื้นที่ผ่านศูนย์ดังกล่าว
ทางสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่าจะเป็นการให้อำนาจแก่ทหารมากเกินไป