ที่มา ประชาไท
Mon, 2012-08-13 11:38
ตลอดระยะเวลา 8
ปีของสถานการณ์การสู้รบกันระหว่างกองทัพไทยกับกองกำลังติดอาวุธอุดมการณ์ปลด
ปล่อยปาตานี
เป็นที่ชัดเจนในตัวของมันเองแล้วว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่างจุดยืนใน
อุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างกันอย่างคู่ขนานของความเป็นปาตานีและความเป็น
กรุงเทพฯ
แต่แค่เพียงรู้ชัดเจนว่าใครกำลังสู้อยู่กับใครเท่านั้น
คงไม่เพียงพอสำหรับการที่จะมองเห็นภาพแนวทางการคลี่คลายการสู้รบที่ชายแดน
ใต้ของประเทศไทย ณ ปัจจุบัน
กล่าวคือในทุกปรากฏการณ์ความขัดแย้งในสังคมที่เกิดขึ้นนั้น
ย่อมมีสิ่งที่เรียกว่า “แรงขับ” เป็นตัวผลักให้เกิดขึ้นแทบทั้งสิ้น
กรณีของปรากฏการณ์การสู้รบกันที่ชายแดนใต้ก็เช่นเดียวกัน
ย่อมมีแรงขับให้เกิดขึ้นแน่นอน
ขึ้นอยู่กับว่าจะหาเจอหรือไม่และตั้งโจทย์ของปัญหาถูกหรือไม่ แค่นั้นเอง
แรงขับแรก เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1786 ตรงกับปี พ.ศ.2329
เกิดเหตุการณ์การก่อสงครามล่าอาณานิคมโดยอาณาจักรสยามหรือรัตนโกสินทร์หรือ
กรุงเทพฯต่ออาณาจักรปาตานี
ปรากฏว่าอาณาจักรปาตานีเป็นฝ่ายแพ้และกลายเป็นเมืองขึ้น
โดยที่อำนาจอธิปไตยยังมีอยู่
แรงขับที่สอง เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1808 ตรงกับปี พ.ศ.2351 เกิดเหตุการณ์การแบ่งแยกและปกครองอาณาจักรปาตานีเป็นเจ็ดหัวเมือง
แรงขับที่สาม เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1821 ตรงกับปี พ.ศ.2364
เกิดเหตุการณ์การโยกย้ายอพยพคนสยามนับถือศาสนาพุทธมาตั้งรกรากในพื้นที่ของ
หัวเมืองทั้งเจ็ด
แรงขับที่สี่ เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1902 ตรงกับปี พ.ศ.2445
เกิดเหตุการณ์การผนวกหัวเมืองทั้งเจ็ดเป็นส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯภายใต้โครง
สร้างแบบมณฑลเทศาภิบาล
แรงขับที่ห้า เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ.1909 ตรงกับปี พ.ศ.2452
เกิดเหตุการณ์การทำสนธิสัญญาแบ่งปันการยึดครองดินแดนอาณานิคมระหว่างสยามกับ
บรีทิช ภายใต้สัญญาที่เรียกว่า Anglo-Siamese Treaty
ถือได้ว่าแรงขับทั้งห้าข้างต้นเป็นต้นเหตุให้คนปาตานีต้องกลายเป็น “ประชาชาติที่ไร้รัฐ” จนถึงทุกวันนี้
ส่วนทางด้านอาณาจักรสยามหรือกรุงเทพฯ
เมื่อแผนการของการล่าอาณานิคมสำเร็จ
ซึ่งไม่ใช่เฉพาะปาตานีเท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อ
ล้านนาและล้านช้างก็ตกเป็นเหยื่อด้วยเหมือนกัน จึงจำเป็นที่กรุงเทพฯ
จะต้องมีแผนการใหม่ในการที่จะรักษาดินแดนอาณานิคมที่ยึดมา
ด้วยการสรรค์สร้างชุดความคิดที่เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองให้กับปวงชนที่มี
ความหลากหลายอัตลักษณ์ทางชาติพันธ์และศาสนา
ให้รู้สึกมีความเป็นเจ้าของร่วมในอธิปไตยของประเทศที่คิดค้นและสร้างขึ้นมา
ใหม่ซึ่งครอบคลุมตัวตนของปวงชนทุกคน นั่นคือ
จากชื่อประเทศเดิมว่า “สยาม”เปลี่ยนเป็น “ประเทศไทย”
ในสมัยของนายกรัฐมนตรีจอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อปี พ.ศ.2482 ตรงกับปี
ค.ศ.1939 ภายใต้ระบอบการปกครองแบบ
“ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ซึ่งแผนการดังกล่าวรวมเรียกว่า “อุดมการณ์ชาตินิยมแบบอนุรักษ์”
อุดมการณ์ชาตินิยมแบบอนุรักษ์
หมายถึง “ความเป็นรัฐที่อำนาจอธิปไตยไม่ได้เป็นของปวงชนและปวงชนไม่ใช่ชาติ
และชาติในทัศนะของอุดมการณ์นี้ คือผู้นำสูงสุดหรือผู้ปกครองสูงสุด”
กรุงเทพฯ
ในปัจจุบันเป็นที่ชัดเจนว่ามีสถานะทางการเมืองที่ถูกหล่อหลอมจากอุดมการณ์
ชาตินิยมแบบอนุรักษ์อย่างมีพัฒนาการ
โดยผ่านสถิติที่ไล่เลี่ยกันของปรากฏการณ์การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดย
ประชาชนและการทำรัฐประหารเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีโดยทหาร
ซึ่งอำนาจฝ่ายบริหารคุมไม่อยู่
เมื่อการสู้รบระหว่างปาตานีกับกรุงเทพฯต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่า
ถ้าจะให้จบโดยผลลัพธ์นั้นตัวเองเป็นฝ่ายชนะ ตัวแปรสำคัญคือ “ความจริง”
เมื่อไหร่ความจริงได้ปรากฏสู่สังคมสาธารณะ เมื่อนั้นแหละการสู้รบจึงจะยุติ
แต่ในความเป็นจักรวรรดินิยมกรุงเทพฯที่มีความเป็นรัฐประชาชาติใหม่ซึ่ง
ถูกหล่อหลอมจากอุดมการณ์ชาตินิยมแบบอนุรักษ์
ความเป็นไปได้น้อยมากที่จะรู้ความจริงจากโครงสร้างการปกครองแบบ “ลับ ลวง
พราง” ซึ่งถือว่าอำนาจสูงสุด นั่นคืออำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยประชาชน
เพื่อประชาชนจริงหรือไม่ หรือจะเป็นไปตามพลพรรคคนเสื้อแดงเรียก นั่นคือ
“ประชาธิปไตยซ่อนรูปเผด็จการ”
จึงเป็นการยากที่จะรู้ความจริงจากฝ่ายขบวนการอุดมการณ์ปลดปล่อยปาตานีเหมือน
กัน ตราบใดที่ท่าทีของกรุงเทพฯ ยังใช้การลับ ลวง พราง ในการบอกว่า
“เรามาพูดคุยเพื่อสันติภาพกันนะ”
เพราะถ้าสมมติว่าขบวนการฯ เปิดเผยตัวออกมาพูดคุยเพื่อสันติภาพ
ในขณะที่โครงสร้างการปกครองของรัฐไทยโดยการนำของกรุงเทพฯ นั้น
ไม่มีความชัดเจนว่าใครคือผู้มีอำนาจสูงสุดและเป็นที่สิ้นสุดในการตัดสินใจ
นายกรัฐมนตรี หรือ ผู้บัญชาการทหารบก หรือ มือที่มองไม่เห็น
แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับขบวนการฯโดยเฉพาะตัวคนที่ออกมาเปิดเผยตัวเอง
ทางขบวนการฯ ก็เลยใช้การ “ลับ ลวง พราง” ตอบโต้อย่าง “หนามยอกเอาหนามบ่ง”
ก็เลยไม่แปลกที่จนถึงปัจจุบันทางขบวนการฯ ก็ยังไม่เปิดเผยตัวเอง
เพราะสถานการณ์ความเป็นจริงของทางกรุงเทพฯ
นั้นอยู่ในสถานะที่ไม่พร้อมจะมาพูดคุยเพื่อสันติภาพ
ที่เป็นกระแสครึกโครมว่ามีการพูดคุยกันในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียนั้น
เป็นแค่ยุทธการที่เรียกว่า “โยนหินถามทาง” และ “แหวกหญ้าให้งูตื่น”
แล้วงูก็ตกใจวิ่งหนีตกเข้าไปในบ่อที่ขุดไว้
ถ้ามองในหลักการมีความเป็นไปได้บ้างของการพูดคุยเพื่อสันติภาพแล้ว
ตัวแปรสำคัญอยู่ที่ท่าทีความจริงใจและมีความลึกซึ้งกับความหมายของคำ
ว่า “สันติภาพ” มากน้อยแค่ไหนของกรุงเทพฯ หรือรัฐไทย
มีแต่แนวทางนี้เท่านั้นจึงจะสามารถเปิดพื้นที่การพูดคุยเพื่อสันติภาพ
ที่ไม่มีการ “ขุดบ่อล่อปลา” เหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ถ้าทางกรุงเทพฯ
สามารถพิสูจน์ความจริงใจแบบนี้ได้จริง
เชื่อว่าทางฝ่ายขบวนการอุดมการณ์ปลดปล่อยปาตานีเอง
ก็คงรู้สึกว่ามันถึงเวลาของการพูดคุยเพื่อสันติภาพจริงๆ
แต่ปัญหาก็อยู่ที่ว่า “ใครหละจะกล้าการันตีว่ากรุงเทพฯ จะไม่หลอกปาตานีอีก”
ที่มา: ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้