ที่มา ประชาไท
Mon, 2012-11-05 14:47
เพราะรัฐบาลกำลังทำอะไรที่มีความสำคัญสุดยอดในการเปลี่ยนประเทศไทย หนทางย่อมไม่ราบรื่นเป็นธรรมดา
ผมไม่มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวด้วยราคาสูงของรัฐบาลมา
นาน เพราะยอมรับว่ายังไม่สู้เข้าใจผลกระทบถ่องแท้นัก
จึงได้สดับตรับฟังและตามอ่านความเห็นของคนอื่นตลอดมา
บัดนี้ ผมคิดว่าผมพอจะบรรลุความเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว
ผู้
ที่คัดค้านเห็นว่าโครงการนี้มีปัญหามาก
และปัญหาเหล่านั้นก็เริ่มปรากฏให้เห็นบ้างแล้ว
ผมขอแบ่งปัญหาที่กล่าวถึงออกเป็นสองอย่าง
คือปัญหาเชิงหลักการกับปัญหาเชิงปฏิบัติ
ในด้านหลักการ
ราคาที่รับจำนำนั้นเห็นว่าสูงเกินความเป็นจริง
หรือเกินขีดความสามารถของรัฐบาลไทย (ทุกชุด) จะจัดการได้
เริ่มตั้งแต่ไม่มีทางระบายข้าวออกไปได้
เพราะราคาที่รับซื้อสูงเกินราคาตลาดโลกมาก
นอกจากยอมระบายออกในราคาที่ขาดทุน เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ
ยิ่งกว่านี้บางคนยังบอกว่า มีส่วนดึงราคาข้าวภายในประเทศให้สูงขึ้นด้วย
ซึ่งจะทำความเดือดร้อนแก่คนชั้นกลางระดับล่างในเขตเมือง แต่จนถึงทุกวันนี้
ผลกระทบด้านนี้ยังไม่ปรากฏให้เห็น
ค่าครองชีพที่สูงขึ้นนั้นมีส่วนจากราคาข้าวน้อยมาก
ผลกระทบต่อไปก็
คือ ชาวนาย่อมจะลงทุนปลูกข้าวมากขึ้น
ซึ่งจะทำให้จำนวนข้าวที่ไหลเข้าสู่โครงการเพิ่มขึ้นด้วย
การขยายการปลูกข้าวเพราะแรงกระตุ้นของโครงการ จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
เช่น ราคาปุ๋ยและยาฆ่าแมลง ตลอดจนราคาเช่าที่ดิน ค่าขนส่ง, แรงงาน ฯลฯ
บางส่วนของต้นทุนการผลิตก็มีราคาสูงขึ้นจริงในฤดูการผลิตใหม่นี้ เช่น
ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง และค่าเช่าที่ดิน เป็นต้น
แต่ก็น่าจะเป็นการขึ้นราคาชั่วคราว
ในช่วงที่อุปสงค์และอุปทานไม่สมดุลกันเท่านั้น
ดังนั้น
ผู้คัดค้านโครงการจึงเสนอว่า สิ่งที่รัฐบาลน่าจะทำในการช่วยชาวนามากกว่า
คือการพัฒนาการเกษตรในเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่รับจำนำผลผลิตด้วยราคาสูง เช่น
ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ฯลฯ เป็นต้น
ปัญหา
ในด้านเชิงปฏิบัติ
ผู้คัดค้านเห็นว่าโครงการนี้ผู้ที่ได้รับประโยชน์คือชาวนากลางขึ้นไป
กับโรงสี ส่วนชาวนาเล็กที่ "ยากจน" (คำนี้มีปัญหาในตัวของมันเองมากนะครับ)
เงินไม่ตกถึงมือ เท่าที่ผมทราบ ความเห็นนี้ไม่ได้มาจากการวิจัย
แต่เป็นการประมาณเท่านั้น
เพราะในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับในตัวเลขว่าทั้งมอเตอร์ไซค์, รถปิกอัพ
และวัสดุก่อสร้างขายดีขึ้นในเขตชนบท
ซึ่งตลาดของชาวนากลางอย่างเดียวไม่เพียงพอจะอธิบายได้
อีกทั้งความกระตือรือร้นของชาวนาที่จะขยายการเพาะปลูก
ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า ชาวนาจำนวนมาก (ทั้งกลางและเล็ก)
ตอบสนองต่อโครงการด้วยความยินดี
ในส่วนโรงสีได้กำไรนั้น
ผมยังมองไม่เห็นว่าจะได้อย่างไร นอกจากยอมรับซื้อข้าวในราคาสูงขึ้น
ทั้งนี้ไม่พูดถึงการทุจริตเช่นสวมสิทธิจำนำข้าวและอื่นๆ นะครับ
ที่พอจะมองเห็นกำไรแน่ๆ ก็คือรับสีข้าวที่รัฐบาลรับจำนำไว้ตันละ 500 บาท
ซึ่งก็ไม่ใช่ราคาที่สูงกว่าปกติ
แต่มีข้อได้เปรียบคือมีข้าวป้อนให้สีได้มั่นคงขึ้น
โดยตัวเองไม่ต้องเสี่ยงทางธุรกิจคือรับซื้อเท่านั้น
อีกข้อหนึ่งที่
พูดกันมากคือการทุจริตทั้งของชาวนาเอง (ขายส่วนต่างของสิทธิการจำนำข้าว),
นายทุนผู้รับซื้อส่วนต่างนี้, ข้าราชการ
และเจ้าหน้าที่ทั้งขององค์กรของรัฐและบริษัทเซอร์เวย์เยอร์
เรื่องนี้จริงแน่นอนโดยไม่ต้องทำวิจัยเลยก็ได้
โครงการใช้เงินเป็นแสนล้านโดยไม่มีการโกงเลย
จะเกิดขึ้นได้ที่ไหนในโลกล่ะครับ แต่ที่น่าสนใจกว่าก็คือ
โกงมากกว่าโครงการจำนำข้าวที่ผ่านมาหรือโครงการประกันราคามากน้อยแค่ไหน
และโกงได้อย่างไรหรือมีช่องโหว่ตรงไหนบ้าง และควรอุดอย่างไร
น่าเสียดายที่ไม่มีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในการคัดค้าน
ยังมี
เสียงคัดค้านเชิงอุดมการณ์จากจุดยืนจารีตนิยม
ที่รังเกียจรัฐสวัสดิการทุกรูปแบบ
เพราะเชื่อว่าจะทำให้คนขี้เกียจไม่รับผิดชอบและไม่ทำหน้าที่ของตนเอง
คอยแต่จะแบมือรับความช่วยเหลือจากรัฐตลอดไป ข้อนี้ผมจะไม่พูดถึงล่ะครับ
เพราะน่าสงสารเกินไป
แม้เสียงคัดค้านเหล่านี้มีส่วนจริงหรือมีส่วน
เป็นไปได้บางเรื่อง
แต่เป็นการมองโครงการในแง่ความเป็นไปได้ทางการตลาดเท่านั้น
ผมคิดว่ารัฐบาลต้องชัด (กว่านี้)
ว่าโครงการรับจำนำข้าวด้วยราคาสูงคือการปฏิรูปสังคม
ไม่ใช่โครงการรับจำนำข้าวอย่างที่ผ่านมา
ซึ่งมีเป้าหมายเพียงช่วยพยุงราคาข้าวของชาวนาให้ใกล้เคียงกับราคาตลาดโลกมาก
ขึ้น และต้องไม่ขาดทุน
ตรงกันข้ามเลยครับ
รัฐบาลตั้งใจจะขาดทุนมาแต่ต้น และด้วยเหตุดังนั้น
จึงต้องวางแผนการระบายข้าวให้ดีโดยไม่ต้องนั่งรอราคาสูงสุดอย่างเดียว
แต่จะระบายไปตามจังหวะเพื่อรักษาตลาดข้าวของไทยด้วยและเพื่อให้การระบายข้าว
ทั้งหมดที่รับจำนำมานั้นขาดทุนน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันก็ลงทุนเพิ่มมูลค่า
เช่น การแพคเกจจิ้ง ไปจนถึงผ่านกระบวนการรักษาคุณภาพให้คงทน เป็นต้น
เท่ากับโครงการรับจำนำช่วยเปิดตลาดข้าวระดับสูงไปพร้อมกัน
(แน่นอนโดยร่วมมือกับผู้ส่งออกเอกชน)
จะขาดทุนบักโกรกแค่ไหน
ผมไม่ทราบ แต่มีนักเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่งประมาณว่าไม่น่าจะเกิน 50,000
ล้านบาท ซึ่งยังน้อยกว่าเงินที่รัฐบาลต้องจ่ายออกไปในการประกันราคา
(ซึ่งรั่วไหลมากกว่าเสียอีก)... แต่ตัวเลขนี้จะเชื่อได้แค่ไหนผมไม่ทราบ
สมมุติ
ว่านักเศรษฐศาสตร์ประเมินต่ำไป 100% ก็ขาดทุนแค่ 100,000 ล้านบาท เงิน
100,000 ล้านจากงบประมาณแผ่นดินหลายล้านล้านบาท
เพื่อช่วยชาวนาซึ่งมีจำนวนประมาณ 40% ของประเทศ จะเป็นไรไปเล่าครับ
ปัญหามาอยู่ที่ว่าช่วยแล้วได้ผลอะไรและอย่างไรต่างหาก เช่น
หากชาวนามั่นใจว่ารายได้ของตนจะสูงขึ้น
เขาเอาไปลงทุนในอะไรอีกบ้างที่จะให้ผลดีแก่เขาในระยะยาว
ส่วนการที่
จำนวนหนึ่งนำไปซื้อมอเตอร์ไซค์และปิกอัพหรือต่อเติมบ้านเรือนนั้น
อย่าได้คิดว่าเขาเอาเงินที่ได้มาไปใช้ในทางฟุ่มเฟือยเป็นอันขาด
เพราะทั้งสามอย่างนี้เป็นการลงทุนทางธุรกิจไปพร้อมกับการเลื่อนสถานภาพทาง
สังคม
เรื่องนี้ต้องเข้าใจชีวิตของชาวนาไทยให้ดี
"ชาวนา"
ที่ทำนาขนาดเล็กด้วยกำลังครอบ ครัวของตนเพื่อยังชีพนั้น
ปัจจุบันแทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว
ส่วนใหญ่ของรายได้ของครอบครัวชาวนามาจากงานนอกภาคการเกษตร
และเป็นเช่นนี้มาหลายสิบปีแล้วด้วย ฉะนั้นรายได้ของครอบครัวชาวนาจึงสูงขึ้น
แต่ไม่ใช่จากการทำนาหากมาจากการรับจ้างหลากหลายประเภท
แม้กระนั้นการทำนาก็ยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญแก่คนอีกมาก
ในขณะที่หลุดออกไปจากภาคเกษตรโดยสิ้นเชิงก็มีจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน
ฉะนั้นถ้าถือเส้นความยากจนตามที่สำนักงานสถิติใช้ในการหาข้อมูล
ชาวนาส่วนใหญ่ไม่ใช่คนจน
การที่ชาวนาหลุดออกไปเป็นแรงงานประเภทต่างๆ
นั้น เป็นปรากฏการณ์ปกติที่เกิดขึ้นในการพัฒนาของทุกประเทศ
แต่ไทยมีปัญหาเฉพาะก็คือ อัตราการเปลี่ยนอาชีพของชาวนาไทยเกิดขึ้นช้ามาก
จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีคนที่ทำนา (หรือเกษตรอย่างอื่น) ตกค้างอยู่ถึงเกือบ
40% ของประชากร แม้ว่ารายได้ส่วนใหญ่ของเขาไม่ได้มาจากภาคเกษตรก็ตาม
รถ
ปิกอัพ, บ้านเรือน และมอเตอร์ไซค์
มีส่วนในการทำให้รายได้นอกภาคเกษตรของเขาเพิ่มขึ้น (เช่น
มีมอเตอร์ไซค์ก็ทำให้หางานจ้างได้กว้างขึ้นกว่าจักรยานหรือเดินเท้า)
การไปซื้อสินค้าเหล่านี้เมื่อมั่นใจว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต
จึงเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง
เป็นไปได้หรือไม่ว่า
หากเขามีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาวแล้ว
ชาวนาจะหันไปทำอาชีพอื่นๆ มากกว่าทำนา เพราะราคาจำนำ 15,000
บาทต่อข้าวหนึ่งตันนั้น ใช่ว่าจะทำให้รายได้เพิ่มสูงขึ้นมากนัก
หากเปรียบกับการมีงานจ้างประจำทั้งปี
หรือมีโอกาสค้าขายอย่างเป็นกอบเป็นกำมากขึ้น
โครงการรับจำนำข้าวจึงอาจเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่จะทำให้ชาวนาจำนวนหนึ่งหัน
ไปสู่อาชีพอื่น ในขณะที่ผู้ยังอยู่ในอาชีพทำนา
ก็จะมีโอกาสพัฒนาผลิตภาพของตนเพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น
ในกระบวนการนี้
เขาจะลงทุนกับการศึกษาของลูกหลานเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ หลังจากจบ ม.3
ซึ่งทำให้หางานโรงงานทำได้นั้น เขาจะส่งลูกหลานเรียนต่อไปหรือไม่
อันนี้ผมเดาไม่ถูก
แต่ก็เชื่อว่าอย่างน้อยจำนวนหนึ่งก็น่าจะลงทุนด้านการศึกษาต่อไป
เพราะไม่มีแรงบีบให้ต้องเอาลูกออกไปทำงานโรงงาน
และถ้าเป็นอย่างนั้นในจำนวนคนส่วนใหญ่ที่เป็นชาวนาในเวลานี้
ย่อมหมายความว่า
โครงการรับจำนำนี้ช่วยเปิดช่องทางที่ชาวนาจะได้รับผลพวงของการพัฒนาเต็มเม็ด
เต็มหน่วยขึ้น
อันที่จริง การที่รัฐบาลประเทศพัฒนาแล้ว
ทุ่มงบประมาณลงไปสนับสนุน
หรือออกกฎหมายปกป้องคนในอาชีพเกษตรนั้นเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก
ในสหรัฐ, ยุโรป, เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น
แต่ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งไม่ใช่ชาวนาไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร
กลับสนับสนุนนโยบายเช่นนี้ด้วยซ้ำ
เหตุใดนโยบายทำนองเดียวกันจึงถูกคนชั้นกลางและชนชั้นนำไทยคัดค้านอย่างหนัก
ส่วน
หนึ่งของคำตอบก็คือ ในประเทศพัฒนาแล้ว ชาวนาหรือเกษตรกรมีจำนวนน้อยมาก
เฉลี่ยประมาณ 4-8% ของประชากร คนทั่วไปจึงไม่รู้สึกถึงผลกระทบของนโยบาย
แต่คนถึง 40% ที่คอยความช่วยเหลือในเมืองไทย มีจำนวนมากกว่ากันมาก
ความช่วยเหลือใดๆ ที่จะบังเกิดผลแก่เขาจริง
ต้องมีสัดส่วนพอสมควรในทรัพย์สาธารณะเป็นธรรมดา
คนไทยชั้นกลางขึ้นไปจึงอ่อนไหวต่อการช่วยชาวนามากเป็นพิเศษ
มองนโยบายเหล่านี้ด้วยความระแวง
แต่เหตุผลที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการเมือง
ส่วน
หนึ่งของชนชั้นนำไทยต้องการเก็บชาวนาไว้ภายใต้อุปถัมภ์ของตนตลอดไป
แยกชาวนาออกเป็นปัจเจกบุคคลตัวเล็กๆ ภายใต้การนำของ "ปราชญ์ชาวบ้าน"
ที่สยบยอมต่อระบบ
ส่วนที่เหลือมองไม่เห็นประโยชน์ของชาวนามากกว่าแรงงานราคาถูก
เพราะถึงอย่างไรสินค้าที่พวกเขาผลิตก็มุ่งไปที่ตลาดต่างประเทศอยู่แล้ว ใน
ทางตรงกันข้าม
ชาวนาไทยไม่มีประสบการณ์ในการรวมกลุ่มเพื่อต่อรองทางการเมืองมากนัก
(เมื่อเปรียบเทียบกับเกษตรกรในประเทศพัฒนาแล้วทั่วไป)
อันที่จริงชาวนาไทยถูก "ปราบปราม"
อย่างเหี้ยมโหดและเด็ดขาดเสียยิ่งกว่าความเคลื่อนไหวของกรรมกรเสียอีก
หากเขาพยายามรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ของเขาในนโยบายสาธารณะ
จะ
โดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม โครงการรับจำนำข้าวในราคาสูงของรัฐบาล
ย่อมมีส่วนช่วยสร้างความเข้มแข็งทางการเมืองให้แก่ชาวนาด้วย
หากทำต่อเนื่องไปอีกสักสองสามปี
จะไม่มีรัฐบาลใดกล้าเลิกโครงการนี้เป็นอันขาด
แม้ว่ารัฐบาลเดินมาถูก
ทางแล้ว (ตามทรรศนะของผม)
แต่รัฐบาลต้องยินดีและน้อมรับฟังคำวิจารณ์ของทุกฝ่าย
ส่วนหนึ่งของคำวิจารณ์นั้นอาจมาจากแรงจูงใจที่ไม่ดีทางการเมือง
แต่รัฐบาลอย่าไปสนใจแรงจูงใจดีกว่า หากควรฟังและทบทวนโครงการอยู่ตลอดเวลา
แก้ไขปรับเปลี่ยนอย่าให้เกิดรูรั่ว
แต่ก็ต้องชัดเจนในด้านเป้าหมายของโครงการ ทั้งแก่ตนเองและประชาชน
เพราะรัฐบาลกำลังทำอะไรที่มีความสำคัญสุดยอดในการเปลี่ยนประเทศไทย หนทางย่อมไม่ราบรื่นเป็นธรรมดา
ที่มา: มติชนออนไลน์