WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, February 21, 2009

พท.ฮึ่มยืนสอบ"มาร์ค" ซุกรถหรู เมียกรณ์แจง-เป๋า1.4ล

ที่มา ข่าวสด

ยืนยันแจ้งกับปปช.แล้ว แกนนำเพื่อไทย-นปช.คึก บินพบ"ทักษิณ"ที่ฮ่องกง




เยือนอิเหนา - ประธานาธิบดีสุสีโล บัมบัง ยุทโธโยโน นำนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ระหว่างผู้นำไทยเยือนประเทศอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 ก.พ. โดยป?ญหาโรฮิงยาเป็นประเด็นสำคัญในการหารือ

เพื่อไทยฮึ่มยื่นสอบ"มาร์ค" สงสัยจงใจซุกรถฮอนด้า โอดิสซี่ย์ที่เคยแจ้งกับป.ป.ช. ตอนสมัยเป็นส.ส. แต่พอมาเป็นนายกฯกลับไม่มีแจ้ง นอกจากนี้ยังสอบผู้ถือครองรถคันเดียวกันนี้ก็พบว่าไม่ปรากฏในสารบบว่าใครเป็นเจ้า ของ ด้านเมียกรณ์ จาติกวณิชแจงยื่นแจ้งทรัพย์สินกระเป๋าแอร์เมสใบละ 1.4 ล้านต่อป.ป.ช.แล้ว ส่วนที่ไม่ได้แจ้งอาจเป็นของแม่ ด้านเทพไทอ้างโทร.คุยนายกฯแล้ว พร้อมชี้แจงกรณีซุกรถหลังกลับจากเยือนชวา ส่วน ส.ส.เพื่อไทย-แกนนำนปช.แห่บินไปพบแม้วที่ฮ่องกง "สาก"เผยแค่ไปเยี่ยม-พูดคุยธรรมดา "อภิสิทธิ์"เผยคุยประธานวิปฝ่ายค้าน-ประธานรัฐสภาแล้ว เตรียมให้ สถาบันพระปกเกล้าเป็นเจ้าภาพถกปฏิรูปการเมือง

พท.ยื่นหลักฐานเพิ่มเอาผิดบุญจง

เวลา 10.45 น.วันที่ 20 ก.พ. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้มายื่นซีดีและเอกสารเป็นหลักฐานเพิ่มเติม กรณีกล่าวหานายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย แจก เงินงบประมาณของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) พร้อมแนบนามบัตรของตัวเอง ให้กับคณะกรรมการป.ป.ช. ผ่านนายวิทยา อาคมพิทักษ์ ผอ.สำนักการข่าวและประเมินผล สำนัก งานป.ป.ช. โดยนายพร้อมพงศ์กล่าวว่าพรรคได้ยื่นหลักฐานเพิ่มเติมมายื่นต่อคณะอนุกรรมการป.ป.ช. โดยหลักฐานที่นำมายื่นครั้งนี้เป็นวีซีดีที่มีความชัดเจน ซึ่งมั่นใจได้ ชนิดไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอหรือพิสูจน์เสียง เพราะมีความชัดเจนมากว่านายบุญจงแจกเงิน เป็นการกระทำผิดกฎหมายตามมาตรา 157 ในฐานะใช้อำนาจโดยมิชอบ และเป็นการหาเสียงเลือกตั้งล่วงหน้า

เมื่อถามว่าการมายื่นหลักฐานเพิ่มเติมหลายครั้ง เพราะต้องการกดดันการทำงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ใช่หรือไม่ นายพร้อมพงศ์กล่าวว่าไม่ได้กดดัน แต่มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่คณะอนุกรรมการไต่สวน และสอบถามความคืบหน้าของคดี โดยพรรคได้ติด ตามทุกเรื่องที่ร้องเรียนไป และจะติดตามไปเรื่อยๆจน กว่าจะมีการชี้มูลตัดสิน เมื่อถามว่าการมาติดตามเรื่องบ่อยครั้ง เพราะไม่มั่นใจการทำหน้าที่ของป.ป.ช. ใช่หรือไม่ นายพร้อมพงศ์กล่าวว่าการนำหลักฐานเพิ่มเติมมายื่นให้กับป.ป.ช. ถือว่าช่วยงานป.ป.ช. ไม่ใช่การกดดัน

สงสัยอภิสิทธิ์ซุกรถ-ไม่แจ้งปปช.

นายคารม พลทะกลาง ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เพื่อขอให้ตรวจสอบทะเบียนรถและชื่อผู้ครอบครอง หรือผู้ถือกรรมสิทธิ์ เนื่องจากตรวจสอบพบว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯอาจจงใจปกปิดการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ซึ่งตนได้ตรวจสอบการแสดงบัญชีทรัพย์สินฯของนายอภิสิทธิ์ที่ยื่นไว้ตอนรับตำแหน่งส.ส.เมื่อวันที่ 22 ม.ค.2551 ซึ่งยื่นต่อป.ป.ช. เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2551 พบว่านายอภิสิทธิ์เป็นเจ้าของรถยนต์ 2 คัน คือรถยนต์ฮอนด้า ซีอาร์-วี หมายเลขทะเบียน วณ 4533 กทม. และรถยนต์ฮอนด้าโอดีสซี่ย์ หมายเลขทะเบียน 9ฬ-2733 กทม. แต่เมื่อตรวจสอบการแสดงบัญชีทรัพย์สินฯครั้งรับตำแหน่งนายกฯเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2551 และได้ยื่นต่อป.ป.ช. เมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา พบว่ามีการแสดงทรัพย์สินรถยนต์ไว้ 2 คันคือ รถยนต์ฮอนด้า ซีอาร์-วี หมายเลขทะเบียน วณ 4533 กทม. กับรถยนต์มิตซูบิชิ สเปซวากอน หมาย เลขทะเบียน ฌง 5317 กทม. จึงน่าแปลกใจว่าทำไมจึงไม่ยื่นรายการรถยนต์ฮอนด้าโอดีสซี่ย์

นายคารมกล่าวว่า ตนจึงตรวจสอบทะเบียนรถ ชื่อผู้ครอบครองและผู้ถือกรรมสิทธิ์คันดังกล่าว พบว่าไม่ปรากฏอยู่ในสารบบว่าใครเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครอง แสดงว่าเป็นรถนินจา จึงอาจเป็นไปได้ว่านายอภิสิทธิ์ไม่แสดงรายการบัญชีทรัพย์สินรถยนต์คันดังกล่าว หรืออาจถือได้ว่านายอภิสิทธิ์ จงใจแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินฯอันเป็นเท็จต่อป.ป.ช. เมื่อตนยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังอธิบดีกรมการขนส่งทางบกแล้ว หากมีหลักฐานเพิ่มเติมชัดเจนมากขึ้นกว่านี้ จะนำมายื่นร้องเรียนต่อป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ต่อไป

เมียกรณ์ยันแจ้งแล้วกระเป๋า1.4ล.

วันเดียวกัน นางวรกร จาติกวณิช ภริยานายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวถึงกระแสข่าวแจ้งรายการบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช.ไม่ครบ โดยเฉพาะกระเป๋ายี่ห้อแอร์เมสจำนวน 2 ใบๆละ 1.4 ล้านว่า ทำไมจะไม่แจ้ง มิเช่นนั้นข่าวจะออกมาได้อย่างไรว่ามีกระเป๋าดังกล่าว แต่ไม่ได้มี 2 ใบอย่างที่กล่าวหา ตนมีเพียงใบเดียวเท่านั้น โดยสามีเป็นผู้ซื้อให้ ถ้าคนอื่นเห็นว่ามีหลายใบ ขอเรียนว่าไม่ใช่ของตน อาจเป็นของคุณแม่ ถ้าวันใดแม่ตนยกให้จะรีบไปแจ้งต่อป.ป.ช. เรื่องนี้สามารถไปตรวจสอบที่ป.ป.ช.ได้ ยืนยันว่าการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน ตนปฏิบัติตามกฎหมายป.ป.ช.ทุกประการ ทรัพย์สินใดที่ราคาเกิน 2 แสนบาทจะแจ้งทุกชิ้น มีรูปถ่ายเป็นหลักฐานแสดงไปด้วย แต่บางครั้งข่าวก็มั่ว สินค้ายี่ห้อนี้บางชิ้น เช่น รองเท้า กางเกง ราคาต่อชิ้นไม่ถึง 2 แสน ไม่มีความจำเป็นต้องแจ้ง แต่กลับไปเสนอข่าวว่าตนจงใจปกปิดข้อมูล แย่มากๆ สิ่งที่เกิดขึ้นเลยกลายเป็นว่าคนแจ้งมีปัญหา แต่คนไม่แจ้งกลับถือครองได้สบาย ที่ผ่านมาภรรยารัฐมนตรีหลายคนใช้กระเป๋ายี่ห้อนี้ เช่น คุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภรรยาพ.ต.ท.ทักษิณก็สะพายจนโดนโจรฉกในห้างสรรพสินค้ามาแล้ว ถามว่าเคยแจ้งต่อป.ป.ช.เหมือนตนบ้างหรือเปล่า

"เป็นเรื่องตลกสิ้นดี ไม่มีอะไรจะทำกันแล้วหรือถึงต้องเพ่งเล็งมาที่ดิฉันด้วย แต่คงห้ามปากเขาไม่ได้ การเมืองวันนี้แม้จะมีความพยายามดิสเครดิตคุณกรณ์ แต่จะไม่ทำให้ดิฉันและสามีท้อแท้เด็ดขาด เพราะเชื่อมั่นว่าเราทำในสิ่งถูกต้อง ปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่าง" นางวรกรกล่าว

"เทพไท"จี้3หน่วยงานตามจับ"แม้ว"

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงส.ส. พรรคเพื่อไทยจะไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เกาะฮ่องกงว่า ประเทศจีนมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนมายังประเทศไทย จึงเป็นหน้าที่ของ 3 หน่วยงาน คือสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องประสานอัยการสูงสุด(อสส.) และกระทรวงการต่างประเทศ แต่จากการสอบถามสตช.พบว่ายังไม่มีการขอตัวพ.ต.ท. ทักษิณ กลับประเทศไทยเลย และขอเรียกร้องพ.ต.ท. ทักษิณ ว่าขอให้ยุติการอยู่เบื้องหลังของกลุ่มที่เคลื่อน ไหว หากกลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนไหวในช่วงนี้ จะสร้างความเสียหายต่อประเทศโดยเฉพาะการประชุมอาเซียนซัมมิต ที่สื่อต่างชาติจะเดินทางมาไทยจำนวนมากเพื่อรายงานความเคลื่อนไหว กระจายข่าวไปทั่วโลก

นายเทพไทกล่าวถึงร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ระบุร่วมกินข้าวกับแกนนำพรรคประชาธิปัตย์โดยเสนอพร้อมเปลี่ยนขั้วจัดตั้งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเพราะไม่พอใจพรรคร่วมรัฐบาลว่า จากการสอบถามนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เลขาธิการพรรค และแกนนำพรรคหลายคน รวมถึงสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ต่างปฏิเสธไม่เคยร่วมรับประทานอาหารกับร.ต.ท.เชาวริน จึงถือเป็นการกุข่าวให้เกิดความแตกแยกในพรรคร่วม เป็นกระบวนการที่ร.ต.ท.เชาวรินถนัด ตั้งแต่การสร้างตำนานขุดทองที่ถ้ำลิเจีย หลอกคนทั้งประเทศ ซึ่งไม่มีใครเชื่อ มีแต่พ.ต.ท.ทักษิณที่เชื่อถึงขนาดจะเอาดาวเทียมไปสำรวจดูการกระทำของร.ต.ท.เชาวรินเป็นการสร้างละครหลอกพ.ต.ท.ทักษินอีกครั้งหนึ่ง

"ยืนยันว่าประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาลมีความเหนี่ยวแน่น มีความสุขในรัฐบาล ทำงานร่วมกันเป็นทีม ไม่มีวี่แววความแตกแยก ดังนั้น การสร้างข่าวของ ร.ต.ท.เชาวรินจึงเป็นเพียงฝันกลางวันของคนสติเฟื่อง" นายเทพไทกล่าว

เผย"มาร์ค"เตรียมชี้แจงซุกรถเอง

นายเทพไทกล่าวว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากฝ่ายค้านพาดพิงบุคคลอื่นให้เกิดความเสียหาย อาจถูกบุคคลภายนอกฟ้องร้องได้ แต่ถ้าพาดพิงรัฐมนตรีและส.ส.ในสภา ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องอะไรก็ตาม เชื่อว่าทุกคนจะชี้แจงได้ ทั้งนี้ พรรคจะไม่ตั้งทีมงานรวบรวมข้อมูลของฝ่ายค้าน เพื่อแฉกลับฝ่ายค้านกลางสภา ส่วนที่ระบุว่าการอภิปรายครั้งนี้จะน็อกรัฐ บาลได้ทันทีนั้น ขอให้ฝ่ายค้านไปสร้างเอกภาพและหาตัวผู้อภิปรายใน 5 ประเด็นให้ได้ก่อน

เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตถึงนายสุเทพแจ้งบัญชีทรัพย์สิน โดยระบุสถานะเป็นม่าย ขณะที่มีภรรยาอยู่ จึงเกรงว่าจะเป็นช่องทางปกปิดบัญชีทรัพย์สินหรือไม่ นายเทพไทกล่าวว่าการแจ้งสถานะทางสังคมถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่หากเกรงว่าจะมีการถ่ายเททรัพย์สินก็ใช้กระบวนการของป.ป.ช.ตรวจสอบได้อยู่แล้ว

นายเทพไทยังกล่าวถึงพรรคเพื่อไทยเตรียมยื่น ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบทรัพย์สินนายอภิสิทธิ์ว่า ไม่มีปัญหาอะไร นายกฯเป็นคนรอบคอบ น่าจะแสดงบัญชีทรัพย์สินครบถ้วน อีกทั้งตั้งแต่นายอภิสิทธิ์เล่นการ เมืองมา เป็นส.ส.ธรรมดาจนถึงมีตำแหน่งนายกฯก็ผ่านการแสดงบัญชีทรัพย์สินมาโดยตลอด จึงคิดว่าไม่น่ามีปัญหา ตนโทรศัพท์พูดคุยประเด็นนี้กับนายกฯแล้ว นายกฯระบุว่าหลังจากกลับจากประเทศอินโดนีเซียจะขอชี้แจงประเด็นนี้ด้วยตัวเอง

"มาร์ค"ได้ช่องทางปฏิรูปการเมือง

เวลา 07.10 น. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนไปเยือนประเทศอินโดนีเซีย ถึงความคืบหน้าการปฏิรูปการเมืองว่า เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ได้คุยกับนายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน และนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ถึงการปฏิรูปการเมืองซึ่งมีความคืบหน้า รัฐบาลจะทำหนังสือถึงสถาบันพระปกเกล้า เพื่อให้สภา สถาบันพระปกเกล้าเป็นแกนปฏิรูปการเมือง ให้พิจารณาว่าจะทำงานนี้ได้หรือไม่ ถ้าทำแล้วจะทำในรูปแบบใด ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ รวมถึงมีประเด็นใดบ้างที่คิดว่าครอบคลุม ซึ่งประธานวิปฝ่ายค้านเห็นว่าน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสม จึงถือว่ามีความคืบหน้า ซึ่งการปฏิรูปการเมืองจะช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้นในฝ่ายต่างๆ

เมื่อถามว่าพ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะไม่มีการเสนอเข้ามาแล้วใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่าตนคุยกับฝ่ายค้านว่าให้ใช้ช่องทางนี้นำเสนอความคิดต่างๆ ถ้าสภา สถาบันพระปกเกล้าฯ รับเป็นแกนนำดำเนินการ จะต้องเชิญฝ่ายต่างๆเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าได้บอกในระหว่างการหารือ ว่าถ้าจะทำก็ต้องให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านคงไปพูดคุยกันภายใน ถ้าเห็นว่าแนว ทางนี้เหมาะสมเรื่องนี้จะเป็นหลักแก้ปัญหาขัดแย้งทางการเมืองได้

ต่อข้อถามว่าฝ่ายค้านให้ความมั่นใจหรือไม่ว่าจะไปเคลียร์กันได้ นายกฯกล่าวว่าต้องรอการประชุมของสภาสถาบันพระปกเกล้าก่อน เพราะประธานและเลขาธิการของสถาบันบอกว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับคณะกรรมการว่าพร้อมจะทำงานนี้หรือไม่ ถ้าพร้อมก็จะทำข้อเสนอมา ตนจะเชิญฝ่ายค้านมาคุยอีกครั้งหนึ่งว่าข้อเสนอดังกล่าวดีที่สุดหรือยัง ถ้าคิดว่าต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงค่อยมาว่ากันอีกครั้ง

รองปธ.วุฒิฯมั่นใจประชาชนตอบรับ

เมื่อถามว่าถ้าตกลงกันได้จะทำเป็นประกาศหรือสัญญาร่วมกันระหว่างรัฐบาลและฝ่ายค้านในการเดินหน้าปฏิรูปการเมืองหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้าตกลงทุกอย่างกันได้คงไม่ต้องทำอะไร การพูดจาต่อสาธารณะแล้วน่าจะเพียงพอ ไม่น่ามีปัญหา เป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ส่วนที่ฝ่ายวิชาการศึกษาเรื่องเดียวกันในรูปของการปฏิรูปประเทศไทยนั้น ตนก็ติดตามอยู่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสถาบันพระปกเกล้าจะพิจารณาว่าประเด็นมีความครอบคลุมมากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าทำหลายเรื่องมากและใช้เวลานานเกินไปอาจเป็นอุปสรรคที่จะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ส่วนจะใช้เวลาเท่าไหร่ได้ขอให้ไปพิจารณากันเอง ตนจะไม่เข้าไปชี้นำใดๆ ต้องการให้เรื่องนี้เป็นเรื่องขององค์กรที่มีความเป็นกลางจริงๆ โดยเชิญทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม และต้องทำให้สำเร็จในรัฐบาลชุดนี้

นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 กล่าวถึงนายกฯจะให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นตัว กลางปฏิรูปการเมืองว่า ก่อนหน้านี้มีการประชุมร่วม 4 ฝ่ายเพื่อผลักดันให้สภาพัฒนาการเมืองเป็นตัวกลาง แต่ได้รับการปฏิเสธ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แล้ว ไปให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นตัวกลางแทน เชื่อว่าคงได้รับการยอมรับ ขึ้นอยู่กับทุกฝ่ายจะต้องเปิดใจยอม รับ อยู่ที่เหตุและผล หากใช้องค์กรที่ไม่มีส่วนได้เสียมาเป็นตัวกลางแล้วยังไม่ได้รับการยอมรับ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่เชื่อว่าการมอบหมายให้สถาบันพระปก เกล้าน่าจะเป็นไปได้ แต่ทุกฝ่ายต้องเปิดใจให้กว้าง หาก ทั้งกลุ่มพันธมิตรหรือกลุ่มนปช.ให้การยอมรับก็น่าจะดี

"ชัย"เตรียมถกบอร์ดพระปกเกล้า

เวลา 14.30 น. ที่รัฐสภา นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงนายกฯระบุให้สถาบันพระปกเกล้า เป็นตัวกลางปฏิรูปการเมืองว่า ยังไม่เห็นเรื่อง ในฐานะที่ตนเป็นประธานคณะกรรมการสถาบันพระปกเกล้า หากรัฐบาลส่งเรื่องไปยังสถาบันพระปกเกล้าแล้ว ตนจะนำเข้าที่ประชุมบอร์ด ในวันที่ 9 มี.ค. ว่าจะรับเรื่องนี้ไว้พิจารณาหรือไม่ หากรับก็จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งในบอร์ดนี้ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากด้านต่างๆจำนวนมาก ทั้งอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ อดีตผู้ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 อดีตนายทหาร อดีตนักการเมือง และนักวิชาการที่ได้รับการยอมรับในสังคม และมีทั้งเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงรวมอยู่ด้วย หากทุกฝ่ายมีมติอย่างไรจะนำไปพิจารณาร่วมกัน เพราะทำเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่ทำเพื่อคนใดคนหนึ่ง รวมถึงสื่อถ้าช่วยก็ไปรอด

ประธานสภากล่าวว่า การปฏิรูปการเมืองที่จะเกิดขึ้น จะพิจารณาครอบคลุมทั้งหมด ไม่ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่วันนี้โพลระบุว่าประชาชนร้อยละ 49 เห็นว่าควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรอให้ถึงร้อยละ 51 ก็แก้ไขได้ ซึ่งถ้าแก้ต้องดูทั้งฉบับ ดูถึงฐานรากของปัญหา หรือปัญหาความแตกแยกที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งจะมีเหมือนกับการประชุมร่วมกัน 4 ฝ่ายที่รัฐสภาเคยดำเนินการไปแล้ว เพราะตอนนั้นมุ่งแก้รัฐธรรมนูญอย่างเดียว สำหรับกรอบระยะเวลาปฏิรูปการเมือง ต้องรอให้บอร์ดประชุมร่วมกันก่อน แต่เรื่องนี้ต้องทำอย่างเร็วที่สุด คงไม่ใช่เวลาเนิ่นนานเป็นปี

เมื่อถามว่าจะเชิญคนนอกที่สังคมยอมรับเข้ามาร่วมปฏิรูปการเมืองด้วยหรือไม่ นายชัยกล่าวว่าต้องเชิญคนเหล่านี้เข้ามา เอาคนที่เป็นกลางจริงๆ มาช่วยกันทำงาน ส่วนผู้ที่จะมาเป็นประธานการปฏิรูปการเมืองครั้งนี้ ตนยังไม่ได้คิด ขอหารือกันก่อน ทำอย่างไรก็ได้ให้บ้านเมืองดีขึ้น และสภาต้องอยู่ เพราะกฎหมายต้องออกมาจากระบบรัฐสภา

พร้อมตัดเกมถ้าอภิปรายเรื่อง"กิ๊ก"

นายชัยกล่าวถึงฝ่ายค้านจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ยังไม่มีใครยื่นมา เห็นแต่ตีกลองกันอยู่ข้างนอกสภาดังตู้มๆ ส่วนปัญหาที่พรรคเพื่อไทยยังไม่มีผู้นำฝ่ายค้านจะทำให้การยื่นญัตติอภิปรายมีปัญหาหรือไม่นั้น ประธานสภากล่าวว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามไว้ ถือเป็นเอกสิทธิ์ของส.ส.สามารถยื่นได้

เมื่อถามว่าฝ่ายค้านระบุว่าจะอภิปรายเรื่องส่วนตัวของรัฐมนตรีบางคนด้วย นายชัยกล่าวว่า ถ้ามีการอภิปรายในเรื่องที่นอกเหนือจากญัตติอภิปราย ประธาน สภามีหน้าที่สั่งระงับการประชุม หรือไม่ให้อภิปรายในเรื่องนั้น เพราะทำผิดข้อบังคับที่ประธานมีหน้าที่ขอร้องได้

เมื่อถามว่าหากอภิปรายเรื่องส.ส.รัฐบาลหรือรัฐ มนตรีมี"กิ๊ก"จะทำอย่างไร นายชัยกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า "แสดงว่าเขามีความสามารถ ความจริงต้องยกย่องเขา อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อยู่ที่จริยธรรมของผู้อภิปราย และเป็นเรื่องจริยธรรมของผู้ที่ถูกกล่าวหา" เมื่อถามว่าประธานมีกิ๊กบ้างหรือไม่ นายชัยหัวเราะก่อนกล่าวว่า "จะไปมีกิ๊กที่ไหน ผมเป็นคนรักเดียวใจเดียว มีแต่ลูกๆหลานๆ"

นายชัยกล่าวว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 25 ก.พ. ตนจะนำร่างพ.ร.บ.ผู้สูงอายุ ที่เสนอเข้ามาใหม่ทั้ง 5 ฉบับ ซึ่งนายกฯลงนามรับรองแล้วมาพิจารณา ซึ่งจะตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภา พิจารณา 3 วาระรวด โดยตนได้พูดคุยกับวิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้านแล้ว ทั้งนี้ไม่ได้เร่งพิจารณา เพราะต้องทำให้ทันการจ่ายเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุในเดือนเม.ย. ยืนยันเป็นการพิจารณาเพื่อประโยชน์ในอนาคต

"บุญจง"ยันภูมิใจไทยยังปึ้กปชป.

เวลา 09.30 น. ที่จ.นครราชสีมา นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงร.ต.ท.เชาวริน ระบุพรรคประชาธิปัตย์เริ่มอึดอัดในการทำงานร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยว่า ประเด็น นี้ต้องถามร.ต.ท.เชาวริน แต่ตนยืนยันว่าวันนี้รัฐบาลซึ่งเป็นรัฐบาลผสมยังคงร่วมมือกันทำงานเป็นอย่างดี มีเป้าหมายช่วยกันแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง ความเดือนร้อนของประชาชน ไม่มีความขัดแย้งใดๆ ไม่มีการระแวงซึ่งกันและกัน เพราะตอนนี้พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคตั้งใจช่วยกันทำงาน และมีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

นายบุญจงกล่าวถึงฝ่ายค้านนำวิดีโอบันทึกภาพกล่าวหาซื้อเสียง ตั้งกระทู้ในสภาว่า ในเรื่องนี้ไม่กังวล หรือวิตกใดๆ สิ่งนี้เป็นกระบวนการตรวจสอบตามระบอบประชาธิปไตย เมื่อมีการตั้งคำถามมาต้องตอบกลับไป เป็นเรื่องธรรมชาติในระบบของสภา

ภูมิใจไทยใช้อำเภอรับสมัครสมาชิก

เมื่อเวลา 12.30 น. ที่ว่าการอำเภอวังสามหมอ จ.อุดรธานี นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย พร้อมนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เป็นประธานเปิดกิจกรรมปกป้องสถาบันสำคัญของชาติ และเปิดที่ว่าการอำเภอวังสามหมอหลังใหม่ โดยมีนักการเมืองในพื้นที่มาร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ นายธีระชัย แสนแก้ว อดีตรมช.เกษตรฯ นายอุทัย แสนแก้ว ที่ปรึกษารมว. คมนาคม นายเชิดชัย วิเชียรวรรณ ส.ส.อุดรธานี พรรคภูมิไทย นายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ นายวิเชียร ขาวขำ นายอนันต์ ศรีพันธ์ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย นอก จากนี้ยังมีนายขวัญชัย ไพรพนา มาร่วมงานด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในบริเวณที่ว่าการอำเภอ ได้จัดเป็นศูนย์บริการประชาชน อาทิ ทำบัตรประจำตัวประชาชน จัดคลินิกเกษตร แจกพันธุ์ไม้ นอกจากนี้ยังมีซุ้มรับสมัครสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ซึ่งใครที่สมัครสมาชิกจะได้รับเสื้อยืดสีน้ำเงิน เขียนว่าพรรคภูมิใจไทยคนละ 1 ตัว

นายชวรัตน์กล่าวถึงการรับสมัครสมาชิกพรรคว่า ตนไม่ทราบว่ามีการดำเนินการเช่นนี้เกิดขึ้น ซึ่งเห็นว่าไม่สมควร และไม่เห็นด้วยที่จะรับสมัครสมาชิกพรรคในที่ว่าการอำเภอ เพราะเป็นงานของกระทรวงมหาด ไทย ไม่ใช่งานของพรรค แต่เมื่อทราบเช่นนี้จะสั่งให้ยุติการรับสมัคร และให้ถือว่าใบสมัครเหล่านั้นเป็นโมฆะไป ต่อไปจะเน้นย้ำว่าไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก

ผู้สื่อข่าวถามถึงส.ส.พรรคเพื่อไทยจะเดินทางไปพบกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯที่ฮ่องกง นายชวรัตน์กล่าวว่าคงเป็นเรื่องของความคิดถึงนายเก่า แต่คงไม่ใช่จะไปรับนโยบายเคลื่อนไหวอะไร เพราะยุคนี้ส่งอีเมล์สั่งการก็ได้ ง่ายนิดเดียว

อีโต้-น้องชายโผซบก๊วนเนวินแล้ว

ด้านนายธีระชัยกล่าวถึงการรับสมัครสมาชิกพรรคภูมิใจไทยในที่ว่าการอำเภอว่า เป็นเรื่องที่ดำเนินการในพื้นที่ เพราะนายชวรัตน์ได้ให้นโยบายตั้งแต่ประชุมพรรควันที่ 14 ก.พ. ว่าให้ส.ส.ในแต่ละพื้นที่หาสมาชิกพรรค เพราะเมื่อพรรคถูกยุบ ตั้งพรรคใหม่แล้วต้องหาสมาชิก เป็นเรื่องปกติ และการรับสมัครก็ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย ทุกพรรคทำได้ และคิดว่าไม่เป็นประเด็นเรื่องการเมืองที่ฝ่ายค้านจะนำไปขยายความ เพราะทุกพรรคต้องหาสมาชิก และวันนี้ส.ส.เพื่อไทยก็มาร่วมงานด้วย ไม่ได้มีปัญหา

นายธีระชัยกล่าวว่าวันนี้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ถ้าครบ 5 ปีหรือมีนิรโทษกรรมจะกลับมาอีกครั้ง และที่ไปสนับสนุนพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้หมายความว่าจะทรยศพรรคไทยรักไทย เพราะนโยบายของพรรคภูมิใจไทยเอามาจากพรรคไทยรักไทยทั้งนั้น แต่เมื่อพรรคถูกยุบ แต่ละคนต้องไปสังกัดพรรคกันใหม่ ถ้าประชาชนเลือกก็ได้เป็นส.ส. ถ้าไม่เลือกก็ไม่ได้เป็น

ด้านนายอุทัยกล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ร่วมต่อสู้เพื่อแก้ ไขรัฐธรรมนูญโจร แต่สุดท้ายก็สู้ไม่ได้ เราถูกรังแกมาตลอด ตั้งแต่ยุคพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชา ชน จึงต้องเปลี่ยนทิศทางสู้ เพราะสู้แบบเดิมก็มีแต่แพ้ ตนจึงต้องมาใส่เสื้อสีน้ำเงิน แต่หัวใจยังเป็นสีแดง

พท.ลุยยื่นศาลฎีกาเอาผิด"มาร์ค"

เวลา 10.30 น. ที่รัฐสภา นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวถึงกกต.ยกคำร้องกรณีกล่าวหานายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์ ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ว่า แม้กกต.จะยกคำร้องแต่ตนจะไม่ยุติการดำเนินการในเรื่องนี้ แต่จะยื่นเรื่องนี้ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป เพราะเรื่องนี้เคยมีการตัดสินคดีไว้แล้วว่าผู้ที่ถูกเพิกถอนทางการเมืองนั้นไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น

นายสุรพงษ์ กล่าวถึงพรรคเพื่อไทยจะยื่นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีและต้องยื่นบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกฯ ว่า ขณะนี้ส.ส.พรรคเพื่อไทยกว่ากึ่งหนึ่ง พร้อมสนับสนุนร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน เป็นนายกฯ แทนนายอภิสิทธิ์ เพราะเท่าที่คุยกันภายในพรรคเห็นตรงกันว่าไม่มีใครเหมาะสมเท่าร.ต.อ.เฉลิม เชื่อว่าข้อมูลที่พรรคมีจะอภิปรายนายอภิสิทธิ์หลุดจากตำแหน่ง แม้ฝ่ายค้านจะแพ้โหวต แต่กระแสสังคมจะกดดันจนทำให้นายอภิสิทธิ์ อยู่ไม่ได้ เพราะนายอภิสิทธิ์เป็นคนหน้าบาง นอกจากนี้ ฝ่ายค้านยังเตรียมข้อมูลเรื่องโครงการทุจริตแอร์พอร์ตลิงก์ในสนามบินสุวรรณภูมิของรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่แล้ว และยังมาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จากข้อ มูลเบื้องต้นพบว่ามีการทุจริตกันอย่างต่อเนื่อง วันนี้บ้านเมืองเสียหายไปเยอะ เราไม่ลงโทษไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคนผิดจะลอยนวล ส่วนที่นายสุธรรม นทีทอง เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ ออกมาเปิดเผยนมโรง เรียนมีการล็อกสเป๊กของ 68 บริษัทนั้น ตนอยากให้เอาความจริงมาพูดกัน และหากมีหลักฐานว่ามีบริษัทใดบ้าง ขอให้นำออกมาเปิดเผย

นายสุรพงษ์ กล่าวถึงกรณีที่ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป.ป.ช.ตีความกรณีนายอภิสิทธิ์ได้ส่งข้อความทางโทรศัพท์ไปยังประชาชนและให้ตอบกลับมายังเครือข่ายทรูว่า ป.ป.ช.ทำงานล่าช้า ตนจึงทำหนังสือไปยังผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภาให้พิจารณาว่านายอภิสิทธิ์ ขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลกฎ หมายจริยธรรมทางการเมืองและรัฐธรรมนูญมาตรา 279 หรือไม่ ซึ่งตนได้ร่างหนังสือเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะยื่นได้ในเร็วๆ นี้ หากเปรียบกับคดีของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เจ๊แดงนำทีมส.ส.บินไปพบทักษิณ

นายสุรพงษ์ กล่าวถึงนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ จะนำคณะส.ส.พรรคเพื่อไทยเดินทางไปพบอดีตนายกฯ ที่เกาะฮ่องกงว่า ทราบข่าวว่าจะมีส.ส.บางคนเดินทางไป แต่ตนไม่ได้ไปด้วยจึงไม่ทราบรายละเอียด และยังไม่ได้ติดต่อกับนางเยาวภาเพราะเพิ่งกลับจาก จ.เชียงใหม่ เมื่อถามว่ามีการวิจารณ์พิธีสืบดวงชะตาของอดีตนายกฯ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า พิธีสืบชะตาเป็นเรื่องปกติของชาวเชียงใหม่ เมื่อเห็นว่าผู้ที่เคารพรักป่วยไข้ไม่สบาย เป็นการสืบชะตาต่ออายุ ส่วนที่นำคนทรงเข้าไปร่วมพิธีด้วยถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ไม่ขอให้ความเห็นเพราะไม่มีความเชื่อเรื่องนี้ การนำคนทรงเข้าไปในพิธีด้วยอาจมาจากความหวังดี เป็นห่วงผู้ที่สืบชะตาให้ ถือเป็นการแสดงออกจากความรักความผูกพันที่มีต่อผู้นั้น หากคนที่รักและเคารพป่วย จะทำพิธีสืบชะตาให้ เช่น นายสมัคร สุนทรเวช อย่างไรก็ดี พิธีที่เกิดขึ้นมีผู้ไม่ประสงค์ดีพยายามนำไปผูกโยงในทางที่ไม่สร้างสรรค์

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่ต่างประเทศว่า ส.ส.ทุกคนมีเอกสิทธิ์และมีความรักใคร่ชอบพอ ศรัทธาส่วนตัวต่อพ.ต.ท. ทักษิณ ไม่เกี่ยวกับพรรค ดังนั้น มีสิทธิ์ไปเยี่ยมกันได้ ส่วนที่วิจารณ์ว่าไปหาเงินทุนก่อนการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น คงไม่ใช่ เท่าที่ตนสัมผัสกับกลุ่มคนเสื้อแดง ต้องยอมรับว่ากลุ่มคนเสื้อแดงมาจากกระบวนการจัดตั้งโดยธรรมชาติของประชาชนที่รวมตัวกันมาเอง เพื่อเรียกร้องสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ยึดหลักตามรัฐธรรมนูญ ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ

"สาก"ระบุแค่ไปเยี่ยมเยียน-พูดคุย

วันเดียวกัน ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัด ส่วน พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า วันเดียวกันนี้ ตนพร้อมส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่ฮ่องกงเป็นชุดที่ 2 เพื่อเยี่ยมเยียน เพราะไม่ได้พบกันนาน เท่าที่ทราบพ.ต.ท.ทักษิณบินจากสาธารณรัฐนิการากัวมายังสิงคโปร์ แล้วบินต่อมาถึงฮ่องกงในวันที่ 19 ก.พ. จากนั้นจะเดินทางไปเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เหตุที่ส.ส.รวมตัวกันไปหลายคนเพื่อความสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องขอวีซ่า ที่ผ่านมาพ.ต.ท.ทักษิณจำเป็นต้องหลบซ่อนตัวไปในหลายๆ ประเทศ เพราะเกรงจะถูกลอบสังหาร ทราบว่าต้องกบดานอยู่ที่นิการากัวก่อนจะเดินทางมาฮ่องกง การนัดพบครั้งนี้จึงไม่สามารถบอกสถาน ที่ให้ทราบได้ อาจมีกลุ่มลอบสังหารพ.ต.ท.ทักษิณตามไปทำร้าย ทั้งนี้ส.ส.จะขอหารือถึงการ เตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ไม่ได้คุยเรื่องหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่อย่างที่มีข่าวเพราะไม่มีความจำเป็น

นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มอีสานพัฒนา กล่าวว่า ส.ส.อีสานที่เตรียมบินไปพบพ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ได้เดินทางไป รอการประสานอยู่ว่าจะให้พบเมื่อไหร่ ส่วนคณะส.ส.ที่บินไปพบช่วงนี้ ตนไม่ทราบเพราะไม่ได้รับการประสาน

ทั้ง"เหลิม-วีระ"นัดไปพร้อมกัน

รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยเผยว่า คณะส.ส.ของพรรคที่เดินทางไปพบพ.ต.ท.ทักษิณมี 2 ชุด ชุดแรกนำโดยร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ประธานส.ส. และหัวหน้าทีมอภิปราย พล.ท.มะ โพธิ์งาม ส.ส. กาญจนบุรี พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราช สีมา ฯลฯ คาดว่าจะนำหลักฐานข้อมูลเด็ดในการยื่นอภิปรายครั้งนี้ไปให้พ.ต.ท.ทักษิณดู เพื่อให้ความมั่นใจการทำหน้าที่ฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาล นอก จากนี้ ยังมีนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำนปช.ร่วมเดินทางไปด้วย สำหรับชุดที่ 2 ส.ส.อีกกลุ่มหนึ่งเดินทางวันที่ 20 ก.พ. เพื่อตามไปสมทบและเข้าพบพ.ต.ท. ทักษิณพร้อมกัน

ประชาคุยมีข้อมูลเด็ดน็อกรัฐบาล

นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเตรียมพร้อมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า พรรคเตรียมความพร้อมเกือบสมบูรณ์แล้ว ข้อมูลเด็ดกว่ากรณีเงิน 250 ล้านบาทที่เป็นแค่ประตูรั้ว แต่ข้อมูลล่าสุดที่พรรคได้รับจะเป็นทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เป็นการจงใจกระทำความผิด เหมือนไปจับปลาที่เป็นของหลวง เรื่องนี้หากเปิดเผยออกมา ฟันธงว่าจะกระทบต่อสถานภาพของนายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกฯ พรรคประชาธิปัตย์อาจถูกยุบพรรคได้

"หากยกตัวอย่างก็เหมือนกรณีองค์กรหนึ่ง เวลาไปขอรับทุนก็อ้างว่าจะนำเงินไปทำนั้นทำนี้ แต่พอรับเงินมาแล้ว ไม่ได้นำเงินไปทำตามที่บอกไว้ แล้วมีการไปทำเอกสารปลอม ตรงนี้หัวหน้าพรรคจะมาปฏิเสธไม่รู้ไม่ได้ ข้อมูลส่วนหนึ่งก็ได้รับมาจากคนในพรรค ประชาธิปัตย์เอง ตรงนี้ถือเป็นแรงกระเพื่อมในพรรค เป็นเรื่องดี ทำให้การหาข้อมูลของฝ่ายค้านได้ง่ายขึ้น" นายประชากล่าว

กกต.แจงยกคำร้องคดี"มาร์ค-เนวิน"

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึงกกต.มีมติเสียงข้างมากให้ยกคำร้องคดีนายอภิสิทธิ์ เดินสายพบนายเนวินที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และผู้ถูกเพิกถอนสิทธิที่เป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคคนอื่น อาจขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่า ตามกฎหมายให้ใช้มติเสียงข้างมาก ซึ่งไม่มีปัญหา อนุ กรรมการสอบสวนแล้วเห็นว่าไม่มีการกระทำที่ถือ ว่าขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ อีกทั้งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 ห้ามผู้ถูกเพิกถอนสิทธิใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้งหรือกรรมการบริหารพรรคที่พรรคถูกยุบห้ามเป็นหัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหารพรรคที่จัดตั้งขึ้น ซึ่งกรณีดังกล่าวพบว่าไม่เข้าข่ายขัดกฎหมาย

นายประพันธ์ กล่าวว่า ในสมัยที่ยกร่างพ.ร.บ. พรรคการเมือง ในร่างแรกเขียนยกร่างไว้ว่า ห้ามกรรม การบริหารพรรคของพรรคที่ถูกยุบดำเนินกิจกรรมการทางการเมือง ตอนแรกเขียนแบบนี้ ถ้ามีถ้อยคำนี้จะเข้าข่ายความผิด แต่ปรากฏว่ามีการพิจารณาแล้วว่าจะขัดรัฐธรรมนูญ จึงตัดถ้อยคำนี้ออก ทำให้ไม่มีคำนี้อยู่ ส่งผลให้กรณีนี้ไม่ครอบคลุมถึงในข้อกฎหมาย ส่วนที่ตนต้องการให้สอบเพิ่มนั้น เนื่องจากเห็นว่ามีบางส่วนควรสอบสวนให้ครบถ้วน

"คำวินิจฉัยของกกต.ครั้งนี้จะเป็นบรรทัดฐานให้อดีตกรรมการบริหารพรรคที่ถูกเพิกถอนสิทธิไปดำเนินการทางการเมือง เรื่องนี้ไม่มีเสียงแตกในที่ประชุม เพราะที่มีเสียงให้สอบเพิ่มอีกนั้น เพียงแค่พยานบุคคล ยืนยันว่าไม่มีปัญหา เนื่องจากใช้มติเสียงข้างมาก ซึ่งความจริงต้องการให้สอบเพิ่มก็ไม่ได้เป็นไปในทางใดทางหนึ่ง เพียงแค่ต้องการให้ไปดูข้อเท็จจริงเพิ่ม ไม่ได้มีปัญหา ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายอยู่แล้ว" นายประพันธ์กล่าวและว่ากกต.ไม่อุ้มใครและช่วยใคร เราพิจารณาตามหลักฐานและข้อกฎหมายทั้งหมด

ด้านนายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวว่า อนุกรรมการไต่สวนที่สอบสวนเรื่องดังกล่าว พบว่าไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการพูดคุยในเชิงการเป็นกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ มีเพียงแค่ภาพถ่ายและข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้น ยืนยันว่า 5 กกต.ไม่ได้ไปอุ้มใครทั้งสิ้น และกกต. 3 เสียงที่เห็นควรยุติเรื่องก็เสนอว่า ได้สอบเรื่องดังกล่าวน่าจะเพียงพอแล้ว จะให้ไปสอบเพิ่มเติมอีกได้อย่างไร

"อภิชาต"ระบุว่าไปตามข้อกฎหมาย

ที่ จ.เชียงใหม่ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. กล่าวในงานสัมมนากกต.จังหวัดภาคเหนือ ตอนหนึ่งถึงกรณีดังกล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ไปห้ามทุกอย่าง ซึ่งต้องทำตามถ้อยคำในกฎ หมาย เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญสั่งแค่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถไปเลือกตั้งหรือลงเลือกตั้งได้ เราจึงต้องไม่มองให้เกิดผลร้ายเกินไป ไม่ใช่ตีความให้เสียสิทธิเสรีภาพในความเป็นประชาชน

นายอภิชาต กล่าวภายหลังว่า การที่กกต.มีมติให้ยกคำร้องกรณีดังกล่าว เนื่องจากไม่สามารถไปจำกัดอะไรได้ คนที่คิดถึงไปหากัน ไม่ใช่เรื่องต้องไปห้าม ขอแค่ทำให้อยู่ในกรอบกฎหมายเป็นใช้ได้ ไม่เคยคิดว่าต้องไปจำกัดคนไม่ให้มีเสรีภาพ เนื่องจากการแสดงออกทางการพูด เป็นการแสดงความเห็นที่ทำได้ อีกทั้งคำวินิจฉัยของศาลเพียงแค่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น แต่เรื่องชีวิตประจำวัน การที่ใครจะไปพบใครเพื่อจัดรัฐบาลนั้น กกต.วินิจิฉัยว่า การกระทำดังกล่าวไม่ได้ชัดเจนว่าจะเป็นการช่วยเหลืออะไร

"การตัดสินของกกต.ที่มองว่าจะเป็นบรรทัดฐานต่อไปนั้น ผมคิดว่าอะไรที่อยู่กลางๆก็ใช้ได้ อะไรที่กฎหมายไม่ห้ามก็ทำได้ แต่หากห้ามก็ทำไม่ได้ อาทิ การที่ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไปตั้งพรรคใหม่ หากต้องการเอาผิดกรณีนี้ได้ จะต้องแก้กฎหมายให้รัดกุมกว่านี้ จึงจะทำได้ อีกทั้งตราบใดที่ให้ผมไปทำเรื่องที่ไม่มีกฎหมายรองรับ ผมยืนยันว่าจะไม่ทำ เพราะอาจติดคุกได้" นายอภิชาตกล่าว

"สดศรี"ย้ำพร้อมสอบเงิน 250 ล.

ด้านนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรค การเมือง กล่าวถึงเงินบริจาค 250 ล้านบาทให้พรรคประชาธิปัตย์ว่า ข้อมูลของกกต.พบว่า ตั้งแต่ปี 2541-50 กองทุนพัฒนาพรรคการเมืองได้สนับสนุนเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์ 800 กว่าล้านบาท ซึ่งปี 2548 ที่เป็นปัญหาขณะนี้ กกต.ให้เงินสนับสนุนไป 38 ล้านบาท โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงรายการใช้จ่ายอย่างถูกต้องเข้ามา ทั้งนี้ หากกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)เห็นว่ากรณีดังกล่าวมีปัญหา ต้องการให้กกต. ตรวจสอบตามพ.ร.บ.พรรคการเมืองก็ยื่นเรื่องมาให้กกต.ตรวจสอบได้ เนื่องจากในช่วงปี 2548 การตรวจสอบงบการเงินของพรรคการเมือง กกต.ยังให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ แต่ขณะนี้พ.ร.บ.พรรคการเมืองกำหนดให้ 4 หน่วยงานประกอบด้วย กรมสรรพากร สตง. กรมบัญชีกลาง ปปง. เข้ามาช่วยตรวจสอบแล้ว

นางสดศรี กล่าวว่า ส่วนข้อมูลว่ามีการโอนเงินให้กับบุคคลใกล้ชิดพรรคประชาธิปัตย์ หากยื่นเรื่องมาให้กกต.ตรวจสอบ คิดว่าตรวจสอบได้ เนื่องจากตามกฎ หมายกำหนดให้กกต.มีหน้าที่ตรวจสอบทั้งงบดุลและงบการเงิน ซึ่งต้องดูว่าเงินดังกล่าวโอนมาจากใครและถูกใช้ทำเรื่องอะไร อาทิ ถ้าหากใช้เรื่องเลือกตั้ง ต้องดูว่าที่กกต.กำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายให้กับส.ส.นั้น เงินที่อ้างว่ามีการโอนมานั้น นำไปสมทบเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งให้กับส.ส และมีการแสดงบัญชีค่าใช้จ่ายต่อกกต.หรือไม่

รับเห็นหลักฐานเช็คจ่ายเมซไซอะ

"ถ้ามีการร้องเรียนเข้ามาว่าบริษัทเมซไซอะฯเป็นบริษัทเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นมาเพื่อผ่านเงินให้กับประชาธิปัตย์ ไม่ได้รับงานประชาสัมพันธ์จริง คงต้องตั้งอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ เท่าที่ทราบบริษัทนี้ได้ปิดตัวไปแล้ว แต่ขณะนี้ที่กกต.มีข้อมูลคือพรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้เงินกองทุนเมื่อปี 2548 ไปจ้างบริษัทเมซไซอะฯ ทำประชาสัมพันธ์ ซึ่งต้องดูเหมือนกันว่ามีการใช้เงินนั้นไปทำประชาสัมพันธ์จริงหรือไม่ เพราะจากข้อ มูลที่กกต.ให้กับดีเอสไอไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสำเนาเช็คของพรรคประชาธิปัตย์สั่งจ่ายให้บริษัทเมซไซอะฯ แต่ยังไม่เห็นสัญญาว่าจ้าง โดยดีเอสไอเองสามารถนำหลักฐานมายื่นให้กกต.ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวได้ "นางสดศรีกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคเพื่อไทยอ้างว่ามีสำเนาแฟกซ์เป็นหลักฐานการโอนเงินให้บุคคลใกล้ชิดพรรคประชาธิปัตย์ส่งไปยังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ นางสดศรี กล่าวว่า กกต.ต้องขอหลักฐานไปยังพรรคเพื่อไทยตามที่อ้าง แต่จากที่กกต.ตรวจสอบการแสดงบัญชีการเงินอย่างเปิดเผยของพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่พบความผิดปกติ

รายงานข่าวแจ้งว่า กรณีดังกล่าวหากการตรวจสอบแล้วพบหลักฐานที่โยงให้เห็นว่าเงินบริษัทเมซไซอะโอนไปยังบุคคลใกล้ชิดพรรคประชาธิปัตย์ ถูกนำไปใช้สู้ศึกเลือกตั้งและพิสูจน์ได้ว่าเงินที่พรรคใช้จ่ายในการเลือกตั้งนั้นเกินกว่าที่กกต.กำหนด อาจทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาว่ากระทำการให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ประกอบมาตรา 94,95, 96 ของพ.ร.บ.พรรคการเมือง เป็นเหตุให้ถูกยุบพรรคได้

เพื่อไทยปูดชื่อ"ศ.-ณ.-ด."กิ๊กรมต.

เย็นวันเดียวกัน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเปิดรายชื่อกิ๊กรัฐมนตรีว่า เหตุที่ต้องออกมาเปิดเผยข้อมูลรัฐมนตรีที่มีเรื่องชู้สาวทั้งที่ความจริงไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องส่วนตัว แต่เนื่องจากเกี่ยวข้องกับเรื่องผลประโยชน์ของรัฐมนตรีที่อาจไม่ชอบธรรม เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้มีรัฐมนตรีที่ปกปิดและนำทรัพย์สินไปซุกไว้กับกิ๊กหรือคนใกล้ชิดจำนวนมาก สัปดาห์หน้าตนอาจเปิดชื่อรัฐมนตรีที่มีกิ๊ก 4-5 คน เบื้องต้นอักษรย่อของกิ๊กรัฐมนตรีได้แก่ ศ. ณ. ด.

เวลา 17.30 น. พรรคเพื่อไทยจัดงานผู้บริหารพบสื่อมวลชนครั้งแรก ผู้เข้าร่วมประกอบด้วยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค นางสุนีย์ เหลืองวิจิตร เลขาธิ การพรรค นายกมล บันไดเพชร นายทะเบียนพรรค ส่วนส.ส.ได้แก่ นางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีแกนนำคนสำคัญและเครือญาติตระกูลชินวัตรเข้าร่วม เนื่องจากแกนนำและส.ส.จำนวนหนึ่งเดินทางไปพบพ.ต.ท. ทักษิณที่ฮ่องกง



"มาร์ค"เยือนชวา-ย้ำรบ.เร่งสมานฉันท์

เมื่อเวลา 07.10 น. วันที่ 20 ก.พ. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการว่า จะหารือเรื่องการประชุมอาเซียนซัมมิต เรื่องเศรษฐกิจโดยเฉพาะประมง รวมถึงปัญหาชายแดนภาคใต้ที่เราต้องการให้อินโดนีเซียช่วยทำความเข้าใจกับกลุ่มประเทศมุสลิม ซึ่งอินโดนีเซียได้ช่วยเรามาตลอด ส่วนเรื่องผู้อพยพชาวโรฮิงยา ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้ไปคุยแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อถามว่าอินโดนีเซียเห็นด้วยหรือไม่ที่จะนำเรื่องผู้อพยพชาวโรฮิงยาไปคุยในการประชุมอาเซียนซัมมิต นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทั้งอาเซียนและกระบวนการบาหลีที่ทำเรื่องปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งเขาเห็นด้วย

ต่อมาเวลา 11.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น นายอภิสิทธิ์ และคณะประกอบด้วยนายกษิตย์ ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เวลา 13.00 น. นายกฯได้พบปะกับทีมประเทศไทยในอินโดนีเซีย ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท กรุงจาการ์ตา ซึ่งเป็นโรงแรมที่พัก โดยนายกฯกล่าวให้นโยบายตอนหนึ่งว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลดำเนินการเพื่อแก้ปัญหา นำพาประเทศกลับสู่ภาวะสงบและปกติ ซึ่งผลเป็นที่น่าพอใจ สภาวะต่างๆ คลี่คลายไปในทางที่ดีมากขึ้น

นายกฯ กล่าวว่า การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน จะยิ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกลับสู่ภาวะปกติแล้ว อย่างไรก็ตามรัฐบาลจะเดินหน้าสร้างความสมานฉันท์ต่อไป เช่น การปฏิรูปการเมืองซึ่งคืบหน้าไปมาก และอีกไม่นานนี้ จะมีการแถลงถึงความคืบหน้าคดีต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ ภารกิจที่สำคัญอีกด้านหนึ่งคือการแก้ปัญหาและการรับมือวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยรัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านต่างๆ และยอมรับว่าต้องทบทวนตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น พยายามให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด

จากนั้นเวลา 14.00 น. นายกฯและคณะเดินทางไปยังทำเนียบประธานาธิบดี เพื่อร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ และตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ ต่อมาเวลา 14.00 น. นายกฯเข้าเยี่ยมคารวะประธานาธิบดีอินโดนีเซีย และหารือข้อราชการเต็มคณะร่วมกัน และเวลา 19.00 น. ประธานาธิบดีอินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบประธานาธิบดี

หน้าตาประเทศ

ที่มา ข่าวสด

เหล็กใน




การย้ายสถานที่ประชุมครม.จากทำเนียบรัฐบาลไปยังหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์

ไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลจะอ้างเหตุผลใด ก็คงไม่พ้นข้อสงสัยหนีม็อบ

ในเมื่อม็อบสีแดงนัดไว้ล่วงหน้าข้ามเดือน

อังคารที่ 24 ก.พ.ชุมนุมใหญ่สนามหลวง ก่อนเคลื่อนขบวนบุกทำเนียบ

เพื่อทวงคำตอบที่ตั้งคำถามไว้?

ในความเป็นรัฐบาลย่อมเข้าใจได้ ต้องทำทุกวิถีทางให้การประชุมอาเซียนซัมมิต ที่หัวหิน ปลายก.พ.ต่อต้นมี.ค.ผ่านไปด้วยดี

การย้ายสถานที่ประชุมครม.จึงเป็นทางเลี่ยงอย่างหนึ่ง

ช่วงเวลานั้นไม่เพียง 10 ผู้นำชาติอาเซียน

บวกกับ 3 ผู้นำ(หรือผู้แทน)ยักษ์ใหญ่เอเชียอย่างจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จะมาเยือนไทย

กองทัพสื่อมวลชนนานาสำนักจากทั่วโลกก็มาปักหลักทำข่าวด้วย

หน้าตาของประเทศจำเป็นต้องดูแลรักษาเป็นพิเศษ!

ความรับผิดชอบย่อมตกลงบนบ่านายกฯอภิสิทธิ์ ในฐานะผู้นำประเทศเจ้าภาพ

อดีตไม่ไกลนักหน้าตาของประเทศเสียหายยับเยิน

จากเหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย.49

ประชาคมโลก โดยเฉพาะมหาอำนาจหยุดคบค้าสมาคมทั้งทางตรง ทางอ้อม

นายกฯสุรยุทธ์ กับครม.ขิงแก่ รู้ซึ้งดีกว่าใคร?

อดีตอันใกล้เสียหายหนักหน่วงรุนแรงอีกครั้ง

จากการยึดทำเนียบ และปิดสนามบินของม็อบพันธมิตร

ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม การส่งออก การท่องเที่ยว พังพินาศมาจนถึงทุกวันนี้!

เวลานั้นรับรู้กันถึงความไม่ปกติธรรมดาของม็อบพันธมิตร

ถึงขนาดรมต.บางคนขนานนาม "ม็อบมีเส้น"?

แต่ต้องไม่ลืมความไร้ประสิทธิภาพของผู้รับผิดชอบด้วยเช่นกัน

ผู้นำประเทศขณะนั้นไม่สามารถบริหารจัดการปัญหาได้

ปล่อยทำเนียบถูกยึด ปล่อยสนามบินถูกปิด!!

บ้านเมืองมีกฎหมายก็เหมือนไม่มี มีพนักงานเจ้าหน้าที่ก็เหมือนไม่มี

ใครใคร่บุก-บุก ใครใคร่ยึด-ยึด ใครใคร่ปิด-ปิด

วันนี้เมื่ออำนาจเปลี่ยนขั้ว ความรับผิดชอบเปลี่ยนมือ

รัฐบาลใหม่ตั้งนายกษิต ภิรมย์ พระเอกเวทีพันธมิตร เป็นรมว.ต่างประเทศ

ทำหน้าที่แม่งานใหญ่อาเซียนซัมมิต

กอบกู้หน้าตาประเทศ

ด้วยอาหารดี ดนตรีไพเราะ!?

เผยผลสอบสลายกลุ่มม็อบ 7 ตุลาฯ

ที่มา เดลินิวส์

ไม่มีใบสั่งจากนักการเมืองแต่โยนบาปให้ฝ่ายปฏิบัติ

เผยผลสอบสลายม็อบ 7 ตุลา ชี้อุ้มนักการเมืองรัฐบาล"สมชาย"ไม่เกี่ยวสั่งการสลายม็อบ โยนแพะฝ่ายปฏิบัติเป็นคนสั่ง “สาทิตย์” ระบุผลสอบเป็นคนละส่วนกับข้อมูลของ ป.ป.ช. “สุริยะใส” ชี้ไม่น่าเชื่อถือ ระบุที่มากรรมการไม่ชอบ ซัดตำรวจอย่าเลือกปฏิบัติเร่งคดีพันธมิตร แต่คดี นปช.กลับเฉย “อภิสิทธิ์” ยอมรับสถานการณ์เสี่ยง ย้ำไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง เชื่อทุกฝ่ายให้โอกาสรัฐบาลแก้ไขปัญหาประเทศวอนอย่าสร้างความ รุนแรงหวั่นกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศ “ตำรวจ-ทหาร-กทม.” ประชุมร่วมรับมือม็อบเสื้อแดงบุกทำเนียบ ผบช.น.คนใหม่-คนเก่า มั่นใจคุมสถานการณ์ได้ ด้าน “อำนวย” ให้ทนาย ยื่นอุทธรณ์ คดีฟ้อง ป.ป.ช.ปฏิบัติหน้าที่มิชอบอีก เมื่อเวลา 07.10 น. วันที่ 20 ก.พ. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปเยือนประเทศอินโดนีเซีย ถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีการประเมินช่วงการชุมนุมว่าเป็น 4 วันอันตราย ว่า ในส่วนของการชุมนุมก็ขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย อย่างไรก็ตามข้อเรียกร้องบางเรื่องไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการดำเนินคดี ที่รัฐบาลได้ให้มีการรายงานเข้ามาของคดีต่าง ๆ รวมทั้งการปฏิรูปการเมืองรัฐบาลได้เดินหน้าอยู่ ส่วนประเด็นอื่น ๆ เช่น ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับตัวรัฐมนตรี หรือการตัดสินใจของ ตน ก็คงเป็นเรื่องการตัดสินใจทางการเมืองนั้น ตนได้ให้ความสำคัญกับข้อเรียกร้องต่าง ๆ ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับเรื่องการดำเนินคดี

ไม่อยากให้เกิดความรุนแรง

เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีคิดว่าจะเป็น 4 วันอันตรายอย่างที่มีการประเมินหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็คงพูดกันไป แต่ก็ต้องถือว่าเวลาที่มีสถานการณ์การชุมนุมมันก็มีความเสี่ยง ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดูแลให้เกิดความเรียบร้อย เวลามีการชุมนุมของคนจำนวนมาก ๆ เราก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการดูแลให้เกิดความสมดุล ไม่ให้เกิดความตึงเครียด สำคัญที่สุดคือไม่ให้เกิดความรุนแรง ขณะเดียวกันก็ต้องรักษากฎหมายได้ด้วย ซึ่งก็ธรรมดาว่าเป็นงานหนักสำหรับเจ้าหน้าที่ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ที่ถือเป็นภาระรับผิดชอบ แต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องบริหารจัดการให้ได้

“สิ่งที่ผมห่วงที่สุดคือไม่อยากให้มี ความรุนแรงและไม่อยากให้ประเทศเสียภาพลักษณ์ เพราะผมคิดว่าสิ่งที่เราพยายามทำมาเกือบ 2 เดือน ก็ทำให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้ ต่างประเทศก็ให้ความมั่นใจมากขึ้นดังนั้นจึงอยากขอให้ทุกฝ่ายระมัดระวัง อย่าให้ประเทศเดินถอยหลังกลับไปเป็นสถานการณ์ในช่วงปีที่แล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ขอทุกกลุ่มให้โอกาสบ้านเมือง

ผู้สื่อข่าวถามว่าแต่มีรายงานว่า ขณะนี้มีแกนนำและมีการขนประชาชนไปเตรียมการชุมนุมที่หัวหินระหว่างการประชุมอาเซียนซัมมิท นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าชุมนุมอยู่ในกรอบปกติของสังคมประชาธิปไตยก็ไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าหากมีความรุนแรงหรือการกระทำที่ไม่เหมาะสม ก็จะเกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่งตนคิดว่าขณะนี้ทุกคนก็มีความวิตกกังวลกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ตัวเลขการส่งออกก็บ่งบอกชัดว่าผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกมันรุนแรงมาก ประชาชนก็จะเริ่มมีปัญหามากขึ้นในเรื่องเศรษฐกิจ จึงอยากให้ทุกฝ่ายให้โอกาสกับ บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้บนพื้นฐานของความเชื่อมั่น เมื่อถามว่าจะมีการเจรจากับทางแกนนำกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่ได้เจาะจงไปยังกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่อยากให้ทุกกลุ่มให้โอกาสกับบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า และรัฐบาลก็จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

อาจมีบางฝ่ายต้องการรุนแรง

ต่อข้อถามว่าทางการข่าวมีรายงานหรือไม่ ว่ามีความพยายามที่จะเคลื่อนไหวให้เกิด ความรุนแรง เพื่อให้ผู้นำต่างประเทศที่จะเดินทางมาร่วมประชุมอาเซียนซัมมิทเกิดความวิตก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็อาจจะมีบางคนบางฝ่ายวางเป้าหมายไว้ แต่ตนเชื่อว่าไม่ใช่ความต้องการของคนส่วนใหญ่ ขณะนี้ทุกคนต้องการให้ทุกอย่างมีความเรียบร้อยประเทศไทยได้รับความเชื่อถือและเชื่อมั่น เดินหน้าในการแก้ไขปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามปัญหาเหล่านี้คิดว่ารัฐบาลจะสามารถดูแลได้ และขณะนี้ทุกประเทศก็ยังยืนยันที่จะเดินทางมาร่วมประชุม และตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไปก็จะมีการประชุมในระดับรัฐมนตรีตลอดทั้งสัปดาห์ อีกทั้งก็ได้มีการนัดพบปะแบบทวิภาคี ระหว่างตนกับประเทศผู้นำทุกประเทศที่ตนยัง ไม่ได้เดินทางไปเยือน หรือยังไม่มีโอกาสพบแบบทวิภาคี ก็ได้รับการยืนยันมาทั้งหมด เมื่อถามว่าแนวคิดที่จะจัดเวทีให้มีการแสดงออกของกลุ่มผู้ชุมนุม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงจะต้องดูว่ามีการเคลื่อนไหวและการชุมนุมในลักษณะใดก็จะมีการบริหารจัดการให้เหมาะสม

“สาทิตย์” ยันจัดการทำตาม ก.ม.

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 24 ก.พ. นี้ ว่า เข้าใจว่าหลายฝ่ายคงวิตกกังวลกับการชุมนุม ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงได้ประเมินสถานการณ์มาก่อนหน้านี้ว่า ในวันดังกล่าวจะมีประชาชนมาชุมนุมจำนวนมากพอสมควร ซึ่งรัฐบาลมีจุดยืนการชุมนุมถือเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าผู้ชุมนุมบุกรุกสถานที่ราชการก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย และได้เตรียมในส่วนของตำรวจและเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยพนักงานไว้เรียบร้อยแล้ว

เมื่อถามว่าถ้าผู้ชุมนุมบุกเข้าทำเนียบจะเข้าจับกุมแกนนำทันทีหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า เรื่องนี้เจ้าหน้าที่มีขั้นตอนในการทำงาน โดยจะยึดถือ 2 หลัก คือ ยึดตามคำสั่งศาลปกครอง และ ยึดตามหลักสากล ทั้งนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบด้านความมั่นคง ได้ประสานกับตนว่าจะขอพื้นที่สื่อให้ ผบช.น. ได้ชี้แจงขั้นตอนการทำงานของตำรวจถ้าจะต้องดำเนินการกับกลุ่มคนเสื้อแดงว่ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง โดยในวันนี้ตนจะประสานไปทาง บช.น.ว่าจะสามารถชี้แจงได้เมื่อไหร่ คาดว่าจะเป็นวันจันทร์ที่ 23 ก.พ. เบื้องต้นเนื้อหาจะเป็นกรอบความรับผิดชอบของตำรวจ และขั้นตอนการทำงานหากมีความจำเป็นที่ต้องจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุมจะมีขั้นตอน วิธีใดบ้าง ซึ่งลำดับแรกคือต้องใช้การเจรจาก่อนทุกครั้ง

ใช้ เอ็นบีที เป็นแกนหลักชี้แจง

ผู้สื่อข่าวถามว่ารูปแบบการชี้แจงจะเป็นการแถลงข่าวเพียงอย่างเดียวหรือออกทีวีพูล นายสาทิตย์ กล่าวว่า ตรงจุดนี้จะให้มีการแถลงข่าวและเชิญสื่อร่วมรับฟังและซักถาม จากนั้นจะประสานไปทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ในการชี้แจงเป็นหลัก ซึ่งคงไม่ถึงขั้นทีวีพูล ขั้นต้นจะแถลงข่าวก่อนปฏิบัติงานว่ามีขั้นตอนอย่างไร ที่สำคัญคือการไม่ใช้ความรุนแรงและไม่ใช้อาวุธหนัก ส่วนเหตุการณ์ต่อ ๆ ไปก็คงต้องพิจารณาไปตามขั้นตอน เมื่อถามว่าประเมินสถานการณ์ความรุนแรง และมือที่สามไว้หรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า เรื่องนี้ฝ่ายความมั่นคงได้ประเมินอยู่ตลอดเวลา ซึ่งขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณความรุนแรงอย่างที่หลายฝ่ายกังวล อย่างไรก็ตามที่มีข่าวว่าคนเสื้อแดงหลายกลุ่มจะเดินทางไปชุมนุมบริเวณใกล้เคียงกับสถานที่จัดประชุมอาเซียนซัมมิท เพื่อแสดงออกให้นานาชาติได้รับรู้ เรื่องนี้ฝ่ายความมั่นคงต้องดูความเรียบร้อยอีกครั้ง

ต่อข้อถามว่าในส่วนข้อเรียกร้องของกลุ่มคนเสื้อแดงทางรัฐบาลได้พูดในประเด็นนี้หรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้รับการติดต่อจากคนเสื้อแดงจากการทวงถามข้อเรียกร้อง 4 ข้อ แต่ทางคนเสื้อแดงจะประสานมา ทาง นายสุเทพหรือไม่ตนยังไม่ทราบ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลพยายามจะให้มีการเจรจาพูดคุยกันมากที่สุด ถ้าฝ่ายเสื้อแดงต้องการเจรจาก็สามารถยื่น ข้อเสนอมาได้ตลอดเวลา

ผลสอบสลายม็อบไปดูเองได้

เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ตึกนารีสโมสร นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงรายงานผลการสอบข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบวันที่ 7 ตุลา 2551 ว่า เนื้อหารายงานฉบับนี้เป็นการดำเนินงานในสมัยรัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็น นายกรัฐมนตรี ดังนั้นข้อเท็จจริงและความเห็นต่าง ๆ จึงเป็นความเห็นของคณะกรรมการก่อนหน้าที่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์จะเข้าไปดำเนินการ สรุปเป็นเอกสาร 3 กล่อง 11 แฟ้ม 2,289 แผ่น ซึ่งรายงานทั้งหมดจัดเก็บอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร ชั้น 2 ตึกสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ประชาชน หรือผู้สนใจสามารถติดต่อขอดูข้อมูลดังกล่าวได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ยกเว้นข้อมูล 2 ส่วน คือเอกสารที่ระบุชื่อพยาน ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการเปิดเผยข้อมูล และเอกสารที่เป็นแผนปฏิบัติการของหน่วยราชการที่ตีตราลับมาก สำหรับผู้ไม่มาให้ปากคำ จาก 199 คนมีผู้มาให้ปากคำเพียง 72 คน รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 9 คนอาทิ 1.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี 2.นายชูศักดิ์ ศิรินิล 3.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ 4.นายชัย ชิดชอบ 5. นายสุรชัย ภู่ประเสริฐ 6.นายวิทูร พุ่มหิรัญ 7.นางสุวิมล ภูมิสิงหราช และคนอื่น ๆ ส่วนข้าราชการประจำไม่พบว่า ผบ.ตร.ให้ปากคำ มีเพียง รอง ผบ.ตร.ในขณะนั้น

ไม่มีข้อสรุปเป็นการให้ปากคำ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการสรุปรายชื่อผู้สั่งการให้ใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า มีการอ้างถึงว่าเป็นการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการขณะนั้น รวมทั้งพยานจากฝ่ายตำรวจเองก็ยืนยันว่าไม่มีการสั่งการจากฝ่ายการเมือง ตอนหนึ่งในเนื้อหามีพยานระบุว่า ถ้ากระบวนการยุติธรรมจะไปสอบสวนคงต้องไปสอบสวนบนพื้นฐานข้อเท็จจริง เพราะรายงานได้กล่าวไว้เพียงเท่านี้ ซึ่งพยานได้เล่ารายละเอียดไว้ชัดเจนว่าก่อนเกิดเหตุช่วงเช้าวันที่ 7 ต.ค. ได้ชี้แจงลักษณะการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และการเตรียมยิงแก๊สน้ำตาของตำรวจ เรื่องนี้สามารถไปดูได้ในรายงาน

ต่อข้อถามว่าในรายงานได้ระบุถึงการเสียชีวิตของ พ.ต.ท.เมธา ชาติมนตรี หรือสารวัตรจ๊าบ ไว้หรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า มีการพูดถึงลักษณะ สภาพศพ สภาพรถที่ระเบิด เมื่อถามว่ามีการรายงานถึงผลการประชุมครม.นัดพิเศษในคืนวันที่ 6 ต.ค. ไว้หรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ในคืนวันดังกล่าวได้มีการระบุไว้ชัดเจนว่า ในวันประชุมดังกล่าว ครม.มีแนวทางการ หารือออกมาเป็นอย่างไร และระบุชัดว่ามอบหมายใครเป็นผู้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งบุคคลดังกล่าวได้ให้ปากคำกับกรรมการสอบสวนและเนื้อหาสอดรับผลประชุม ครม. อย่างไรก็ตามมีการตั้งประเด็นเรื่องความรับผิดชอบของฝ่ายการเมือง และเจ้าหน้าที่ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ในที่สุดจะไม่มีข้อสรุปเพราะเป็นเพียงการให้ปากคำของฝ่ายต่าง ๆ

“สุริยะใส” ไม่เชื่อถือผลสอบ

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ กล่าวถึงผลการสอบสวนกรณีเหตุการณ์ 7 ตุลา โดยคณะกรรมการฯ ที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นคนแต่งตั้งและระบุว่าไม่สามารถเอาผิดใครได้นั้น ว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าสามารถระบุคนผิดได้ นายสมชายก็คงไม่ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง จุดยืนของพันธมิตรฯ ไม่ยอมรับคณะกรรมการสอบสวนชุดนี้ตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเข้าข่ายมีส่วนได้เสียเพราะผู้ลงนามคือนายสมชาย ถูกกล่าวหาว่าสั่งการให้มีการใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม ซึ่งผลสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็ยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว ดังนั้นในช่วงที่มีการสอบสวนแกนนำพันธมิตรฯ จึงไม่ไปให้การกับคณะกรรมการชุดดังกล่าว เพราะเท่ากับไปสร้างความชอบธรรมให้กับความไม่ชอบธรรม จึงไม่แปลกที่ในรายงานการสอบสวนเป็นการให้ข้อมูลจากตำรวจฝ่ายเดียว และกลุ่มบุคคลที่ไป ให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการก็ไม่รู้ว่าจัดตั้งมาหรือเปล่า ซึ่งกรรมการสอบสวนหลายคนก็รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าทำงานต่อไปไม่ได้ จึงสรุปรายงานการทำงานต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งไม่ใช่รายงานสรุปผลการสอบสวนแต่อย่างใด

จวกตำรวจอย่าเลือกปฏิบัติ

นายสุริยะใส ยังตั้งข้อสังเกตถึงการเตรียม ออกหมายจับแกนนำพันธมิตรฯ อีก 21 คนว่า คงเป็นการออกหมายจับเพิ่มเติมจาก 9 แกนนำที่โดนข้อหากบฏก่อนหน้านี้ ซึ่งทางพันธมิตรฯก็จะยื่นเรื่องคัดค้านการออกหมายจับทันที เหมือนช่วงที่ 9 แกนนำโดนมาก่อนหน้านี้ และทำไมถึงไม่มีการออกหมายเรียกจู่ ๆ ก็จะออกหมายจับ ทั้ง ๆ ที่แกนนำหรือผู้ถูกกล่าวหาหรือถูกดำเนินคดีในนามพันธมิตรฯ ไม่มีใครหลบหนีไปไหนเพราะเรายืนยันจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ทั้งนี้ตนค่อนข้างแปลกใจทำไมทางตำรวจให้ความสนใจกับคดีพันธมิตรฯฝ่ายเดียว ในขณะที่คดีที่เกี่ยวข้องกับแกนนำ นปช. และคนในเครือข่ายระบอบทักษิณไม่เห็นตำรวจรายงานให้ประชาชนทราบว่าถึงไหนแล้ว ทั้ง ๆ ที่หลายคดีเป็นคดีสำคัญร้ายแรงและก่อเหตุก่อนที่พันธมิตรฯ จะมาชุมนุมอีกด้วยซ้ำแต่กลับเงียบหายไป เช่น คดีบุกบ้านสี่เสาฯ คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ของแกนนำ นปช. หรือแม้แต่คดีที่คนของพันธมิตรฯ ถูกทำร้ายร่างกายในหลายจังหวัดและได้ไปแจ้งความไว้ตาม โรงพักต่าง ๆ กลับไม่มีความคืบหน้าเลย ซึ่งเจ้าหน้าที่อย่าได้เลือกปฏิบัติ

“เทพไท” จี้ สตช.ประสานจีน

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส. พรรคเพื่อไทยจะเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เกาะฮ่องกงว่า ประเทศจีนมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนมายังประเทศไทย จึงเป็นหน้าที่ของ 3 หน่วยงาน คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ต้องประสานไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) และกระทรวงการต่างประเทศ แต่จากการสอบถามไปยัง สตช.พบว่า ยังไม่มีการดำเนินการขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทยเลย และขอเรียกร้องไปยังพ.ต.ท.ทักษิณ ว่าขอให้ยุติการอยู่เบื้องหลังของกลุ่มที่เคลื่อนไหว ทั้งนี้การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มาอยู่ที่เกาะฮ่องกงคงเป็นเพราะสามารถสื่อสารและไปมาหาสู่กับสมาชิกพรรคเพื่อไทยได้สะดวก เพราะอยู่ใกล้กับประเทศไทย และขอให้กลุ่มเสื้อแดงเว้นวรรคความเคลื่อนไหวสักระยะ และใช้ดุลพินิจ เพราะหากเคลื่อนไหวในช่วงนี้ จะสร้างความเสียหายต่อประเทศ

ด้าน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ระบุว่ารัฐบาลไม่กล้าเปิดเผยผลสอบเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เพราะผลสอบพบมีสารซีโฟร์อยู่ในศพ น.ส.อังคนา ระดับปัญญาวุฒิ หรือน้อง โบว์ว่า ขอประณามความพยายามบิดเบือนข้อมูลเพื่อใส่ร้าย นายณัฐวุฒิ ควรระอายใจแก่ญาติและผู้เสียชีวิต เพราะที่ผ่านมามีรองโฆษก สตช.เคย ออกมาระบุว่าน้องโบว์หนีบระเบิดที่พกมา ทำให้ระเบิดใส่ตัว และได้ออกมาขอขมาญาติของน้องโบว์ไปแล้ว ดังนั้น นายณัฐวุฒิ ควรสำนึกและควรเยียวยาแก้ไขการกระทำของตัวเองด้วย

ตำรวจ-ทหาร ประชุมรับมือ

เมื่อเวลา 14.30 น. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ท. วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.คนใหม่ ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ ควบคุมสั่งการดูแลความสงบเรียบร้อยรักษาความปลอดภัยการชุมนุม เรียกประชุมนายตำรวจระดับ รอง ผบช.น. ผู้บังคับการตำรวจนครบาล (ผบก.น.1-9) ผู้บังคับการตำรวจจราจร (ผบก.จร.) ผู้บังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ (ผบก.ตปพ.) วางแนวทางปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ชี้แจงทำความเข้าใจแผนปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมประเมินสถานการณ์การเคลื่อนไหวกลุ่ม นปช.ร่วมกับผู้แทนจากกองทัพ แม่ทัพภาคที่ 1 ตัวแทนสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ตัวแทนจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ปลัด กทม.พร้อมคณะทำงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านความมั่นคงเข้าแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร อย่างพร้อมเพรียง ท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่นมี อดีต ผบช.น.และ ผบช.น.คนใหม่ นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานคู่กัน

พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวว่า ตำรวจมีมาตรการ ดำเนินการอยู่แล้ว และพร้อมปฏิบัติดูแลความสงบเรียบร้อยผู้ชุมนุมตลอดเวลา โดยเชิญ พล.ต.ท.วรพงษ์ ผบช.น. คนใหม่เข้ารับฟังแผนปฏิบัติด้วย เพื่อให้สามารถสานต่องานได้ในทันที เพราะการดูแลผู้ชุมนุมนั้น เป็นภารกิจสำคัญของตำรวจนครบาล ซึ่งในทางปฏิบัติตำรวจยังคงยืนยันไม่ใช้ความรุนแรง เน้นการเจรจา ดำเนินการไปตามขั้นตอนหลักสากล ส่วนการเปลี่ยน ผบช.น.นั้นไม่มีผลต่อการทำงาน เพราะผู้ปฏิบัติเข้าใจแผนงานอยู่แล้ว และตามมารยาทคงต้องเป็นหน้าที่ของ ผบช.น.คนใหม่ที่จะให้ข่าวต่อไป แต่หากผู้บังคับบัญชาระดับสูงเห็นควรให้ตนเองมาช่วยดูแลม็อบเสื้อแดงก็ยินดี

“อำนวย” ยื่นอุทธรณ์ฟ้อง ป.ป.ช.

ที่งานอุทธรณ์-ฎีกา ศาลอาญา พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. มอบอำนาจให้ นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความ ยื่น อุทธรณ์เพื่อให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลอาญารับฟ้องคดีไว้เพื่อไต่สวนมูลฟ้อง ในคดีที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งคณะรวม 9 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีมีมติแต่งตั้ง นายวิชา มหาคุณ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร., พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.และโจทก์ ฐานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ สั่งให้ตำรวจสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 51 ทั้งที่มีการฟ้องคดีอยู่ในศาลแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลอาญา มีคำพิพากษายกคำฟ้องไปเมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา

ศาลอาญารับคำฟ้องไว้พิจารณา เพื่อมีคำสั่งต่อไป.

นิรโทษกรรม

ที่มา เดลินิวส์

เป็นไปตามคาด พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ที่จะนิรโทษกรรมให้คนในบ้านเลขที่ 111 และบ้านเลขที่ 109 รวมทั้งผู้ที่ได้รับผลพวงจากคดีต่าง ๆ ของการ ปฏิวัติ 19 ก.ย. 49 คว่ำไม่เป็นท่า

ตั้งแต่ยังไม่ทันตั้งไข่

แค่คิดง่าย ๆ ขนาดพลังประชาชนเป็นปึกแผ่น ยังเข็นไม่ได้ แล้วแตกเละจนเป็นเพื่อไทยขณะนี้จะไปได้หรือ ยังไม่นับ ประชาธิปัตย์ กับเสื้อเหลืองขาประจำที่ต้านสุดชีวิต

ถึงจะมีความพยายามใหม่ คืนสิทธิการเมืองเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ร่วมกระทำผิด แต่ผู้ที่โดนคดีอาญาไม่เกี่ยว พูดง่าย ๆ ลอยแพนายใหญ่ ก็ยังยากอยู่ดี

เพราะนักการเมืองก๊อบปี้ 2 ก๊อบปี้ 3 ล้วนกำลังเสวยสุขกับอำนาจและบารมี เรื่องอะไรจะปลดปล่อยพวกก๊อบปี้แรก ให้กลับมาเป็นพยัคฆ์เสียบปีก แย่งเก้าอี้ตัวเองให้โง่หรือ

สำหรับแม้ว อย่างที่บอก ต้อง (กล้า ๆ) เข้ามาติดคุก หากเอาแต่ร่อนเร่ โอกาสที่จะได้กลับประเทศ คือเป็นเถ้ากระดูก จะทำพิธีสืบชะตา แก้กรรมยังไงก็ไม่หมด

กรรมหนักคือตัวเองนั่นล่ะ ยังไม่รู้ตัวอีก เอาแต่หลอกตัวเองว่า คนยังเรียกร้องให้กลับมาเป็นนายกฯ ทั้งที่เรื่องนี้จบแล้ว แต่หากอยากกลับเล่นการเมืองต่อจริงต้องมาติดคุก

อย่างน้อยยังเรียกคะแนนสงสารได้เป็นกอบเป็นกำ

แต่นั่นละ เห็น พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตแกนนำ คมช. ออกมาค้าน พ.ร.บ.นี้หัวชนฝา ยกเหตุผลหนึ่งว่า เป็นการแทรกแซงอำนาจยุติธรรมของบ้านเมืองแล้ว

บอกตรง ๆ ตลกมากเลย !!!

ถามหน่อยเหอะ ตอน คมช. ลากรถถังออกมายึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งเป็นฉบับประชาชนอย่างแท้จริง และยังเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศทิ้ง ชนิดไม่ไยดีเลยน่ะ

ไม่ได้แค่แทรกแซงอำนาจยุติธรรมนะ แต่เข้าขั้นทำลายระบบนิติธรรม นิติรัฐ กันเลย

ที่ออกมาพูด จึงเป็นการพูดเอาแต่ได้ข้างเดียว ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง แถมเป็นหนักยิ่งกว่า

เหนืออื่นใด ทำไม คมช.ยึดอำนาจเสร็จ ต้องเขียน ม.309 นิรโทษกรรมให้ตัวเองชนิดน่าเกลียดน่าชังอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ให้นิรโทษกรรมความผิดในอดีต ปัจจุบัน รวมทั้งที่จะเกิดในอนาคต

อย่างนี้ไม่แทรกแซงอำนาจยุติธรรมเลยสินะ !?!

เก่งจริง ทำไมไม่เปิดโอกาสให้มีการฟ้องร้องกลับบ้างเล่า ไปพิสูจน์ตัวกันตามกระบวนการยุติธรรมอย่างนักการเมืองบ้างสิ จะได้เป็นบรรทัดฐานว่า

คนที่ลากรถถังออกมาล้มรัฐบาลเลือกตั้ง ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง ควรจะได้รับโทษทัณฑ์ยังไงบ้าง

นักการเมืองสามานย์สมควรถูกลงโทษ แล้วพวกทำลายประชา ธิปไตยล่ะ ทำไมยังลอยนวลอยู่ได้

ความยุติธรรมมันอยู่ตรงไหน หรืออยู่ที่ใคร “มีปืน” อย่างนั้น ใช่หรือไม่ ???.

ดาวประกายพรึก

ดึงสถาบันพระปกเกล้านำปฏิรูปการเมือง

ที่มา ไทยรัฐ

ความคืบหน้าในการปฏิรูปการเมือง เมื่อเวลา 07.30 น. วานนี้ (20 ก.พ.) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่า เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้คุยกับนายชัย ชิดชอบ ประธานสภา ผู้แทนราษฎร และนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย ประธานวิปฝ่ายค้าน ถึงความคืบหน้าในการ ปฏิรูปการเมือง โดยได้ทำหนังสือถึงสถาบันพระปกเกล้าให้สภาสถาบันพระปกเกล้าพิจารณาความเป็นไปได้ที่ จะเป็นแกนในการดำเนินกระบวนการปฏิรูปการเมือง หมายถึงกรรมการสถาบันจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะสามารถทำงานนี้ได้หรือไม่ หากทำแล้วจะทำรูปแบบใด มีกลไกกรรมการดำเนินการ ใช้เวลาเท่าไหร่ เพื่อนำข้อเสนอต่างๆ ประเด็นใดบ้างที่จะครอบคลุม ซึ่งประธานวิปฝ่ายค้านเห็นว่าน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสม คิดว่าจะช่วยทำให้เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้นระหว่างฝ่ายต่างๆ

“อภิสิทธิ์” ตั้งเป้าเสร็จในรัฐบาลนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะไม่มีการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แต่จะให้เสนอผ่านกระบวนการปฏิรูปการเมืองใช่ หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ได้คุยกับฝ่ายค้านให้ใช้ช่องทางนี้ในการนำเสนอความคิดต่างๆ เพราะหลักที่อยากเห็นคือหากสถาบันรับดำเนินการ สถาบันจะต้องเชิญฝ่ายต่างๆเข้าร่วม เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าก็ระบุว่า แนวทางดำเนินการต้องให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ถือเป็นเรื่องของฝ่ายค้านจะไปพูดคุยกันภายใน หากคิดว่าแนว ทางนี้เหมาะสม เมื่อถามว่าถ้าตกลงกันได้จะต้องประกาศหรือทำสัญญาร่วมกันระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า หากทุกอย่างตกลงกันได้ ถือว่าการพูดจาผ่านสาธารณะก็เพียงพอ ต้องให้เกียรติซึ่งกัน และกัน ส่วนที่นักวิชาการตั้งคณะกรรมการศึกษาปฏิรูปประเทศไทยคู่ขนาน อย่างคณะของ นพ.ประเวศ วะสี นักวิชาการชื่อดังนั้น ก็ได้รับทราบและติดตาม ขึ้นอยู่กับสถาบันพระปกเกล้าว่าประเด็นมากน้อยแค่ไหน หากทำหลายเรื่องมากเกินไป ใช้เวลานานเกินไป จะเป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหา เมื่อถามว่าเวลาที่เหมาะสมคือเมื่อไหร่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ให้คณะกรรมการพิจารณา พยายามไม่ไปชี้นำ และถือว่าให้องค์กรมีความเป็นกลางเชิญทุก ฝ่ายมีส่วนร่วม ต้องพยายามให้สำเร็จภายในรัฐบาลนี้

“ชัย” รับลูกพร้อมชงเข้าที่ประชุม

นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ในฐานะประธานสภาสถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงข้อเสนอของนายกฯให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นเจ้าภาพในการปฏิรูปการเมืองว่าเห็นด้วย เพราะสถาบันพระปกเกล้าประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายสาขา และมีอดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญหลายคนรวมอยู่ด้วย อาทิ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ นายวิษณุ เครืองาม และยังมีทั้งฝ่ายที่เป็น เสื้อแดงและเสื้อเหลืองร่วมด้วย หากรัฐบาลทำเรื่องขอมา ก็พร้อมจะนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการสถาบันพระปกเกล้าให้วินิจฉัยว่าจะรับเป็นผู้ดำเนินการหรือไม่ ถ้าเสนอมาเร็วก็อาจนำเข้าหารือในการประชุมคณะกรรมการสถาบันพระปกเกล้าวันที่ 9 มี.ค.นี้ทันที ส่วนการปฏิรูปการเมืองจะเป็นไปได้หรือไม่ ก็อยู่ที่สื่อช่วยกันประชาสัมพันธ์ ถ้าสื่อไม่ช่วยคงตกเหว

โอ่ผู้รู้เพียบ-ใช้เวลาไม่นาน

นายชัยกล่าวด้วยว่า หากคณะกรรมการสถาบันพระปกเกล้ามีมติรับดำเนินการ ก็คงเป็นการพิจารณาในทุกด้าน สานประโยชน์ทุกฝ่ายตั้งแต่ระดับรากหญ้า แต่น่าจะใช้เวลาไม่นาน เพราะผู้รู้แต่ละคนมีข้อมูลในมืออยู่แล้ว มองอะไรทะลุปรุโปร่ง ทั้งนี้ควรจะเชิญคนนอกที่เป็นคนกลางจริงๆมาร่วมแก้ไขปัญหาด้วย เหมือนอย่างนักศึกษาช่างกลปทุมวันและอุเทนถวายที่ขณะนี้เด็กๆเหล่านั้นจับมือกันแก้ปัญหา ดังนั้นเสื้อเหลืองเสื้อแดงก็ควรดูตัวอย่างนักศึกษาทั้งสองสถาบันนี้ด้วย

รองประธานวุฒิสภาเชื่อสังคมยอมรับ

นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา ให้ สัมภาษณ์ว่า ก่อนหน้านี้มีการประชุมร่วม 4 ฝ่าย เพื่อ ผลักดันให้สภาพัฒนาการเมืองเป็นตัวกลางแก้ปัญหาวิกฤติชาติ แต่ได้รับการปฏิเสธ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แล้วไปให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นตัวกลางแทน เชื่อว่าคงได้รับการยอมรับ แต่ขึ้นอยู่กับทุกฝ่ายต้องเปิดใจยอมรับ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเหตุและผล หากเราใช้องค์กรที่ไม่มีส่วนได้เสียมาเป็นตัวกลางแล้วยังไม่ได้รับการยอมรับ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ส่วนตัวยังเชื่อว่า การมอบหมายให้สถาบันพระปกเกล้าน่าจะเป็นไปได้ แต่ทุกฝ่ายต้องเปิดใจให้กว้าง หากทั้งกลุ่มพันธมิตรฯหรือกลุ่ม นปช. ให้การยอมรับก็น่าจะดี

กรรมใหม่

ที่มา ไทยรัฐ

นอกจาก กรรมเก่ายังล้างไม่หมด กรรมใหม่ที่ไม่ได้ก่อก็ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอๆ มันก็เลยเป็นดับเบิลกรรม...ว่างั้นเถอะ ที่เห็นและเป็นอยู่อย่างกรณีที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีต ผบ.ทบ.ญาติผู้พี่ของอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปประกอบ พิธีแก้กรรมให้ญาติผู้น้องที่เชียงใหม่นั้นเถิด

แทนที่จะทำให้สถานการณ์ต่างๆดีขึ้น กลับแย่ลงไปอีกมากกว่า

แม้จะอ้างว่าเผอิญไปเชียงใหม่กลุ่มเสื้อแดงเชิญให้ไปร่วมพิธี แต่ดูตามรูปการณ์แล้วไม่น่าจะใช่ แต่เป็นว่าพร้อมใจร่วมพิธีมากกว่า

พิธีดังกล่าวมีการให้ร่างทรงก็พวกเสื้อแดงด้วยกันนั่นแหละ...ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นอดีตชาติคือ เจ้ามูลเมืองไปทำกรรมเอาไว้กับชาวพม่าไปเข่นฆ่า ไปเอาเงินเขามา ไปเอาพระเขามา ชาตินี้จึงต้องใช้กรรมที่ก่อเอาไว้

แต่นักประวัติศาสตร์ล้านนาบอกว่า เจ้ามูลเมืองไม่มีและไม่เคยปรากฏ น่าจะยกเมฆกันขึ้นมาเองเพื่อยกย่องอดีตนายกฯมากกว่า

ขณะเดียวกัน ในพิธีก็มีการให้ผู้ร่วมพิธีเขียนชื่อบุคคลที่คิดว่าเป็นศัตรูของ พ.ต.ท.ทักษิณใส่ลงในบาตร จากนั้นก็นำไปเผา ปรากฏมีชื่อคนดังหลายคน มีชื่อประธานองคมนตรี องคมนตรี นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล และบรรดาแกนนำ

ลำพังแค่ชื่ออภิสิทธิ์ สุเทพ จำลอง สนธิ ก็พอทำเนาเพราะเป็น ศัตรูคู่แข่งทางการเมืองจะแย่งชักหักกระดูกก็ว่ากันไป

แต่ชื่อองคมนตรีที่ปรากฏมันยิ่งจะตอกยํ้ากันเข้าไปอีก

ขณะเดียวกัน พล.อ.ชัยสิทธิ์อีกแหละที่ออกมาเปิดเผยว่าเป็นการแผ่เมตตาอย่าไปคิดมาก กรวดนํ้าไม่ให้เป็นศัตรูกัน รวมถึงเจ้ากรรมนายเวร ไม่ได้ไปสาปแช่งใคร

ตอนนี้เขาลดทิฐิไปเยอะ โดยเฉพาะเกี่ยวกับสถาบันได้บอกไปว่าไม่ได้นะ เราเป็นคนไทยต้องรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกอย่างอย่าไปแตะต้องให้ระคายเคือง

ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นใครฟังแล้วดูเหมือนจะยิ่งทำให้ญาติผู้น้องลำบากเข้าไปอีก แทนที่จะช่วยให้ดีขึ้น แต่มันยิ่งไปตอกยํ้าให้ลึกเข้าไปอีก

นี่ไงที่บอกว่า กรรมใหม่ที่ไม่ได้ก่อ

ว่าที่จริงแล้ว พล.อ.ชัยสิทธิ์นั้นหลังจากเกษียณอายุราชการดูเหมือนจะเก็บตัวเงียบ ไม่เป็นข่าว นานๆทีจะออกมาแก้ต่างให้ญาติผู้น้องบ้างแล้วก็หายไป

ครั้งหนึ่งเคยบอกว่าจะเล่นการเมืองเพราะทนสภาพที่ถูกยํ่ายีไม่ไหว และดูท่าว่าต้องการจะเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อพรรคนี้เติบโตขึ้นมามีการตั้งหัวหน้าพรรค คือ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ไม่มีชื่อ พล.อ.ชัยสิทธิ์ร่วมวงศ์ไพบูลย์ด้วย

พูดง่ายๆ ไม่มีใครไปเชิญชวน

หรือแม้แต่ยามที่พรรคนี้ไม่ได้เป็นรัฐบาลต้องไปอยู่ในฐานะฝ่ายค้านและเกิดปัญหาความไม่เป็นเอกภาพมีการร้องหาหัวหน้าพรรคคนใหม่ แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องปลุกเร้าให้สู้ต่อไป จนกระทั่งมีการตั้งน้องสาวและน้องชายเข้ามาดูแลพรรค และรับผิดชอบแต่ละภาค

เรียกว่าทำให้ลูกพรรคอุ่นใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ทิ้งพรรคและยังพร้อมที่จะดูแลช่วยเหลือให้อบอุ่น แต่ก็ไม่มีชื่อ พล.อ.ชัยสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และดูเหมือนจะออกมาพูดทำนองน้อยใจว่าไม่มีใครเชิญให้เข้าไปร่วม

ก็ยังสงสัยเหมือนกันว่าทำไมอดีตนายกฯจึงไม่ให้ญาติผู้พี่คนนี้เข้ามาร่วมทำงานการเมือง ทั้งๆที่เจ้าตัวก็พร้อมและเสนอตัวแล้ว

จะเป็นเพราะท่าทีโผงผาง คิดอะไรก็พูดไปอย่างนั้นก็ไม่น่าจะใช่ เพราะของอย่างนี้มันแก้กันได้

แต่พอหลังพิธีนี้แล้วคงมีคำตอบแล้วว่าทำไม ทักษิณจึงไม่ดึงมาเล่นการเมือง.

สายล่อฟ้า

ไม่น่าลืม

ที่มา ไทยรัฐ

คอการเมืองรู้ดีว่าหวยล็อก กกต.จะออก 3-2 ตะบันยัน

แม้แต่งวดล่าสุดหวยล็อก กกต.ก็ยังออก 3-2 เหมือนเดิม

เนื่องจากมีผู้ร้องเรียน กกต.ให้ตรวจสอบกรณี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ เนวิน ชิดชอบหัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน ร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาล น่าจะเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.พรรค การเมือง ซึ่งห้ามผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์การเมือง 5 ปี เข้าไปยุ่งเกี่ยวทางการเมือง

แถมเป็นการเจรจาเปิดตัวจับมือร่วมกันตั้งรัฐบาล มีการแถลงข่าวออกทีวีกันอึกทึกครึกโครม!!

เหตุเกิดที่โรงแรมสยามซิตี เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา

โดยมีภาพ อภิสิทธิ์กอด เนวินเป็นหลักฐานยืนยัน

แต่ปรากฏว่า กกต.เสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 ลงมติว่าการที่ อภิสิทธิ์ ยกขันหมากไปสู่ขอ เนวิน ให้ย้ายขั้วไปร่วมตั้งรัฐบาลที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ

การกระทำของ อภิสิทธิ์ไม่เข้าข่ายความผิดตามที่มีผู้ร้องเรียน

สำหรับ เนวิน ถึงแม้จะถูกศาลรัฐธรรมนูญห้ามเล่นการเมือง 5 ปี แต่ในกรณีนี้เป็นเพียงการใช้สิทธิ์พื้นฐานทางการเมือง

กกต.เสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 เห็นว่า เนวิน ยังไม่มีความผิดชัดเจน

สรุปว่า อภิสิทธิ์และ เนวินหลุดพ้นข้อกล่าวหาไปได้อย่างสบายแฮ

หวยล็อก กกต.ที่ออกมาอย่างนี้ คงมีหลายคนจั๊กกระจี้จั๊กกระเดียม เพราะในการนัดพบกันครั้งนี้ มีการแถลงจับมือร่วมตั้งรัฐบาลอย่างชัดเจน

แต่เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แม่ลูกจันทร์ ขอเอาคำแถลงบางส่วนมาฉายซํ้าให้สาธุชน ร่วมกันพิจารณา

เนวิน กล่าวว่า ขอให้พรรคประชาธิปัตย์สบายใจ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนถึงวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี นี่คือสัญญาลูกผู้ชาย ฯลฯ

อภิสิทธิ์ กล่าวว่า ผมพร้อมรับข้อเสนอของคุณเนวินทุกเงื่อนไข เพราะสิ่งที่พูดมาทั้งหมดก็เป็นความตั้งใจของพรรคประชาธิปัตย์เอง ฯลฯ

ชัดเจน แจ่มแจ้ง แดงแจ๋ ไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย

แต่เอาเถอะ...ถ้าเสียงข้างมากของ กกต. 5 คน จะเห็นว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ แม่ลูกจันทร์ ก็ไม่ขัดคอ

แต่ในฐานะที่ กกต.เป็นองค์กรอิสระ ที่มีส่วนได้ส่วนเสียต่อพรรคการเมือง และนักการเมืองโดยตรง การตัดสินของ กกต.จึงต้องเที่ยงตรง โปร่งใส ไม่อคติ ไม่ลำเอียง

และต้องใช้มาตรฐานเดียวกัน!!

แม่ลูกจันทร์ เห็นว่าถ้า กกต.ไม่เป็นโรคความจำสั้น ก็ไม่ควรลืมมติของตัวเอง ที่ประกาศใช้เมื่อ 2 ปีก่อนนะคุณโยม

เพราะเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 หลังจากศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคไทยรักไทย ที่ประชุมใหญ่ กกต. ซึ่งมี อภิชาต สุขัคคานนท์ เป็นประธาน ได้ประกาศข้อห้าม 5 ประการ สำหรับอดีต กก.บริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ที่ถูกห้ามเล่นการเมือง 5 ปี

กฎเหล็ก 5 ข้อ ของ กกต.ได้แก่...

1, ห้ามขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียง หรือเป็นวิทยากร

2, ห้ามถ่ายรูปคู่กับผู้สมัคร ส.ส. และ ส.ว.

3, ห้ามเป็นที่ปรึกษาพรรคการเมือง หรือกระทำการอันมีลักษณะเหมือนกรรมการบริหารพรรคการเมือง

4, ห้ามเข้าไปมีอำนาจหน้าที่ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง

5, ห้ามเป็นสมาชิกพรรคการเมือง และห้ามจดทะเบียนตั้งพรรคการเมือง

ถ้ายึดกฎเหล็ก 5 ข้อ ของ กกต. การแถลงเปิดตัวจับมือร่วมตั้งรัฐบาลของ อภิสิทธิ์-เนวิน ก็น่าจะเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ??

แต่ถ้าจะยืนยันว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ก็ต้องยกเลิก กฎเหล็ก 5 ข้อที่ กกต.ประกาศไว้เมื่อ 16 พ.ย. 2550 ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

ขืนปล่อยคาไว้อย่างนี้...กกต.จะเสียรังวัดเอง.

แม่ลูกจันทร์

เซ่นม็อบล็อก 'ทักษิณ'

ที่มา ไทยรัฐ

โผล่แล้ว หลังหายเข้ากลีบเมฆไปหลายอึดใจ ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็บินมาปักหลักที่ฮ่องกง เปิดศูนย์บัญชาการใหญ่ให้น้องๆตระกูลชินฯ และลูกข่ายพรรคเพื่อไทย แห่ไปรับนโยบาย

และก็เป็นอะไรที่โผล่มาได้จังหวะพอดี โดยยุทธศาสตร์ที่เชื่อกันว่าจงใจ อดีตนายกฯทักษิณบินมาฮ่องกง ในจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็ม

เกมหักดิบรัฐบาลประชาธิปัตย์กำลังโหมโรง

แนวรบในสภาฯ ฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ประกาศดีเดย์ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในบัญชี ล็อกคิวเชือดในวันที่ 25-26 มีนาคม

ในขณะที่แนวรบนอกสภา แกนนำม็อบ นปช.นัดชุมนุมใหญ่ ประกาศเคลื่อนกำลังคนเสื้อแดงบุกล้อมทำเนียบรัฐบาล จุดชนวนลากยาวกันตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์

ตามรูปการณ์ที่ “นายใหญ่” โฉบมาบัญชาเกม จัดรูปขบวน

แต่อีกนัยหนึ่ง โดยการแถลงไขของ ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย เปิดเบื้องหลังอดีตนายกฯทักษิณหลบหน่วยล่าสังหารไปซุ่มกบดานอยู่ไกลถึงประเทศนิการากัว ดินแดนคอมมิวนิสต์ แถบอเมริกากลาง

หนีกันสุดล่าฟ้าเขียวเลย

และตามรายงานข่าวจาก ส.ส.ลูกข่ายที่บินไปพบ “นายใหญ่” ที่ฮ่องกง ระบุการเข้าพบ “ทักษิณ” รอบนี้ ไม่ง่ายเหมือนคิวที่ผ่านๆมา ที่ไปนั่งคุยกันตามร้านเป็ดย่าง ร้านติ่มซำ

แต่มีการจัดระดับชั้นการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ

เช็กกันละเอียดยิบถึงขนาดคนที่จะเดินทางไปหาต้องแจ้งรายชื่อล่วงหน้า และมีบุคคลระดับผู้ใหญ่ในเครือข่ายใกล้ชิด “ทักษิณ” เซ็นรับรองด้วย

เฟ้นกันเฉพาะคนวงในชัวร์ๆ

นัยว่า ป้องกันเหตุลอบสังหาร ฝ่ายตรงข้ามส่งทีมลอบทำร้าย

แต่ในอารมณ์ที่สวนทางกัน ในขณะที่ลูกข่าย “ทักษิณ” ปั่นกระแส “นายใหญ่” ต้องหลบต้องซ่อนตัว หนีการลอบฆ่า อีกด้านหนึ่งฟังจากเสียงของหน่วยเกสตาโปที่มีภารกิจตามล่าหาตัว “ทักษิณ” กลับมาชำระโทษที่เมืองไทย

พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยอมรับว่า การเคลื่อนไหวของอดีตนายกฯทักษิณ เป็นไปแบบรวดเร็ว บินไปตามสถานที่ต่างๆโดยไม่บอกกำหนดการล่วงหน้า

ถือว่าเป็นอีกวิธีที่ทำให้การจับกุมตัวเป็นเรื่องยาก

นายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีต่างประเทศ ยอมรับ ไม่สามารถประสานงานกับอัยการฮ่องกง เพื่อให้ติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยได้ เนื่องจาก 2 หน่วยงานหลัก ที่ทำหน้าที่ในการติดตามหาที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจและกระทรวงการต่างประเทศ ยังไม่สามารถแจ้งที่อยู่ที่แน่

ชัดของ พ.ต.ท. ทักษิณ มาให้กับทางอัยการ

และที่พูดกันชัดถ้อยชัดคำเลย “เทพเทือก” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ยืนยัน คงไม่ทุ่มเทเวลาของรัฐบาลไปไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ

ออกอาการทำใจ ได้แค่มอง

แต่มันก็น่าเอะใจ กับการที่ พล.ต.ท.วัชรพล แพลมไต๋ มีอีกช่องทางหนึ่งที่จะล็อกอดีตนายกฯทักษิณคือ ให้รัฐบาลประสานไปยังทางการฮ่องกง หากรู้จุดที่ พ.ต.ท.ทักษิณพัก เพื่อขอคุมตัวชั่วคราวได้ทันที

ถ้าจะบี้กันจริงๆจังๆก็ทำได้

และก็เป็นอะไรที่ฝ่าย “ทักษิณ” ต้องตามเกมกันให้ดี

กับคิวล่าสุด “เทพเทือก” นำทีมตำรวจแถลงความคืบหน้าคดีม็อบพันธมิตรฯยึดทำเนียบรัฐบาล ปิดสนามบินดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เตรียมออกหมายจับผู้กระทำผิดเพิ่มอีก 21 คน ในข้อหาร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ ยึดทำเนียบรัฐบาล

ขณะที่ พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เปิดเผย ในส่วนของคดีบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิมีความคืบหน้าไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ แล้ว เหลือเพียงสอบอธิบดีกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ เพื่อพิจารณาว่ามีการกระทำผิดเข้าข่าย พ.ร.บ.ความผิดต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2521 ซึ่งมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

โดยเกมเหวี่ยงแหจับแกนนำม็อบพันธมิตรฯ เซ่นข้อหาเลือกปฏิบัติ

หน่วยไล่ล่าปั่นกระแสความชอบธรรม โชว์บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน

ปูทางล็อก “ทักษิณ”.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน

กกต.ไม่สำนึกผิด (บาป)?

ที่มา Thai E-News

โดย คุณ ประสงค์ วิสุทธิ์
ที่มา เวบไซต์ มติชนออนไลน์
21 กุมภาพันธ์ 2552

น่าจับตาดูต่อไปว่า ศาลฎีกาจะตัดสินเรื่องนี้อย่างไร

ถ้าตัดสินให้เพิกถอนกระบวนการสรรหา จะมีผลกระทบต่อประธานศาลฎีกา ที่เป็นประธานคณะกรรมการสรรหามากน้อยแค่ไหน

ทั้งๆ ที่มีข้อมูลและหลักฐานว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) น่าดำเนินการและวินิจฉัยเรื่องราวต่างๆ ผิดพลาด (หรือเป็นความจงใจ?)

แต่ดูเหมือนว่า แทนที่จะสำนึกผิดหรือสำนึกบาป แก้ไขหรือเยียวยาให้ถูกต้อง

แต่ดูเหมือนว่า กกต.ยังคงดันทุรังกระทำการในลักษณะเดิมต่อไป

เรื่องแรก นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่ง กกต. มีมติเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2551ว่า ให้ดำเนินคดีอาญาเพียงอย่างเดียว โดยไม่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง( ใบแดง)ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550

ทั้งๆ ที่ กกต.วินิจฉัยว่า นายบุญจง ปราศรัยใส่ร้ายคู่แข่ง และแจกทรัพย์สิน ซึ่งเป็นความผิดตาม มาตรา 53 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และ การได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนรษษฎร (ส.ว.) พ.ศ.2550 ( คำวินิจฉัยสั่งการของกกต.ที่ 357/2551)

เมื่อมีการเปิดโปงเรื่องนี้ แทนที่จะแก้ไขมติให้ถูกต้อง เป็นมาตรฐานเดียวกับคดีเลือกตั้งอื่นๆ ที่กระทำผิดฐานเดียวกัน เช่น การแจกใบแดงนายธานินทร์ ใจสมุทร นายก อบจ.สตูล

กลับมีการแก้ไขร่างคำวินิจฉัยหลายครั้ง โดยอ้างว่า การสั่งให้เลือกตั้งใหม่ จากการกระทำของคู่แข่งนายบุญจงแล้ว ทำให้ความไม่สุจริตและเที่ยงธรรม (ที่เกิดการจาการกระทำของนายบุญจง) ได้รับการแก้ไขเยียวยา จึงไม่มีเหตุให้ต้องพิจารณาว่า การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ไม่ว่ากรณีใดๆ อีก (ฮาไม่ออก)

การกระทำของ กกต. เท่ากับเป็นการช่วยเหลือนายบุญจง ไม่ต้องส่งคำร้องให้ศาลฎีกา ทำให้ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.

ใครที่อ้างว่า กกต.ไม่มีเหตุที่จะช่วยเหลือนายบุญจง ให้ย้อนกลับดูกรณีการวินิจฉัยเรื่อง นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร (พ่อของนายเนวิน ชิดชอบ ลูกพี่ของนายบุญจง) ซึ่งถือประทานบัตรเหมืองแร่ ซึ่ง กกต.วินิจฉัยว่า ประทานบัตรไม่ใช่สัมปทาน ทั้งๆ ที่ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาว่า ประทานบัตรเหมืองแร่เป็นสัมปทานประภทหนึ่ง

สอง การยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาให้เพิกถอนการสรรหา ส.ว.ของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โดยอ้างว่า นิติบุคคลอาคารชุดเซ็นจูเรียนปาร์ค ที่เสนอชื่อนายเรืองไกร เป็นองค์กรที่ไม่มีสิทธิเสนอชื่อตามกฎหมายแล้ว

เมื่อพิจารณาจากคำวินิจฉัย และเอกสารอื่นๆ แล้ว ทำให้เชื่อว่า มีการจ้องเล่นงานนายเรืองไกรโดยเฉพาะ (ดูสถานีคิด เรื่อง"ขายสำนวน-เป่าคดีใน กกต." เสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552)

คำวินิจฉัยเช่นนี้ เป็นการท้าท้ายว่า ระบบการสรรหา คณะกรรมการสรรหา ซึ่งล้วนแต่เป็นบุคคลระดับสูงได้แก่ ประธานศาลฎีกา ประธาน กกต. ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธาน ป.ป.ช. ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสุงสุดว่า มีปัญหา
เพราะองค์กรที่เสนอชื่อ ส.ว.เหล่านี้ ได้รับการกลั่นกรองจากคณะอนุกรรมการที่ตั้งขึ้น ตามกฎเกณฑ์ที่คณะกรรมการสรรหากำหนด

แต่วันดีคืนดี กกต.มาเพิ่มกฎเกณฑ์ ด้วยการนิยามถ้อยคำเกี่ยวกับคุณสมบัติขององค์กรที่เสนอชื่อ ส.ว.เพิ่มเติม แล้วบอกว่า สิ่งที่คณะกรรมการสรรหาวินิจฉัยผิดพลาด ซึ่งเท่ากับเป็นการตบหน้าคณะกรรมการสรรหา

น่าจับตาดูต่อไปว่า ศาลฎีกาจะตัดสินเรื่องนี้อย่างไร ถ้าตัดสินให้เพิกถอนกระบวนการสรรหา จะมีผลกระทบต่อประธานศาลฎีกาที่เป็นประธานคณะกรรมการสรรหามากน้อยแค่ไหน

สาม กกต.มีมติเอกฉันท์ว่า นายสุรเดช จิรัฐิติเจริญ ส.ว.ปราจีนบุรี ขาดคุณสมบัติในการสมัคร ส.ว.เพราะพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ไม่ครบ 5 ปี จนถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง จึงส่งเรื่องให้ประธานวุฒิสภา ส่งเรื่องศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา นายประธานวุฒิสภา ได้ส่งเรื่องกลับไปยัง กกต.ให้พิจารณา 2 ประเด็น

ประเด็นแรก เรื่องอำนาจของประธานวุฒิสภา

เนื่องจากในคำวินิจฉัย กกต.อ้างว่า เป็นการร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งฯ และวินิจฉัยว่า เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 238,239 ซึ่งระบุว่า ต้องส่งคำร้องให้ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยตรง แต่ไปๆ มาๆ กลับให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 91

เห็นชัดว่า เรื่องง่ายๆ แค่นี้ ยังเขียนคำวินิจฉัยแบบเลอะเทอะ

ประเด็นที่สอง นายสรุเดชร้องขอความเป็นธรรม พร้อมกับส่งพยานหลักฐานใหม่ให้พิจารณา ซึ่ง กกต.นำเข้าเป็นวาระการประชุมที่ 8.5 ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์

เมื่อเห็นพยานหลักฐานใหม่ กกต.คนหนึ่งถึงกับยอมรับว่า วินิจฉัยผิดพลาด ทำให้ที่ประชุมถึงกับเงียบ แต่ในที่สุด กกต.คนหนึ่งพูดทำนองว่า ถ้ามีการทบทวนอาจถูกฟ้องร้องจากคดีอื่นๆ

หรือถ้าใครไม่ยอมรับ ให้นำเทปการประชุม กกต.มาพิสูจน์

เรื่องนี้ถ้า กกต.ไม่ดันทุรัง ยอมทบทวน อาจเยียวยาปัญหาให้เบาบางลง

แต่ถ้าไม่ยอม อย่าลืมว่า มีเรื่องนี้ร้องเรียนคาอยู่ที่ ป.ป.ช. ซึ่งจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง

สุดท้ายแว่วข่าวว่า ผลการสอบสวนเจ้าหน้าที่ปลอมลายเซ็นเอกสาร ที่ยื่นต่อศาลฎีกา ในคดีใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช อาจเป็นมวยต้นคนดู เพราะสรุปให้แค่ลงโทษผิดวินัยไม่ร้ายแรง

จะมีการอุ้มกันแบบหน้าด้านๆ หรือไม่ ติดตามดูกันต่อไป