WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, October 15, 2011

"หมอเลี้ยบ" อ่านไพ่ในมือ "ปู" ผ่าตัดจุดอ่อน "รบ.เพื่อไทย"..เตือน "บางเรื่องไม่มีโอกาสแก้ตัว"

ที่มา มติชน



สัมภาษณ์ โดย พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์

การเมือง/สัมภาษณ์ (ที่มา มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 15 ตุลาคม 2554)



เคยมีส่วนร่วมคิดนโยบายของ "พรรคไทยรักไทย" จนเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองไทย จากสู้ด้วย "น้ำลาย" มาเป็น "นโยบาย"

เคยนำ "พรรคพลังประชาชน" สู้ศึกเลือกตั้ง จนชนะพรรคคู่แข่งท่วมท้น ทั้งที่ถูกเตะสกัดทุกทาง ท่ามกลางยุคทหารครองเมือง

วินาที หนึ่ง ยังเคยถูกเสนอชื่อให้เป็น "นายกรัฐมนตรีคนที่ 26" หลังเกิดอุบัติเหตุกับ "สมัคร สุนเทรเวช" ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยปาก "ปฏิเสธข้อเสนอ" ไป

ด้วยประสบการณ์โชกโชน ทั้งบู๊-บุ๋นนี้ ทำให้ "หมอเลี้ยบ" นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี สามารถอ่านจุดอ่อน-จุดแข็งรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ได้ทะลุปรุโปร่ง ยิ่งในยามที่เกิด "มหาอุทกภัย" ที่ถึงกับทำให้นายกฯนารีหลั่งน้ำตาด้วยแล้ว จึงถือโอกาสส่งคำเตือนไปยังรัฐบาลในฐานะกัลยาณมิตร หวังใช้เป็น "ยา" รักษาโรค "มือไม่ถึง" ที่เริ่มแสดงอาการให้เห็น...

"ผมไม่เคยทำงาน กับคุณยิ่งลักษณ์ แต่ได้ยินคนรอบข้างบอกว่า จุดแข็งของท่านคือผ่านงานธุรกิจมา จึงบริหารคน จัดการเชิงระบบได้ แต่จุดอ่อนคือท่านไม่เคยมีประสบการณ์บริหารงานการเมือง ในฐานะผู้กำหนดนโยบายมาก่อน การมาเป็นนายกฯทันทีโดยไม่เคยเป็นรัฐมนตรี จึงเป็นความท้าทายและทำให้เกิดอุปสรรค เช่น 1.มองว่างานยากเพราะไม่รู้ทำอะไรได้บ้าง 2.อ่านไพ่ในมือได้น้อย และไม่รู้จะใช้ใคร อย่างไร"

"หมอเลี้ยบ" ยกตัวอย่างว่า สมัยที่รับตำแหน่ง รมช.สาธารณสุขใหม่ๆ จะรู้จักเฉพาะคนคุ้นเคย แต่ไม่รู้เลยว่า เลขาธิการสภาพัฒน์ ผอ.สำนักงบประมาณ เลขาธิการ ก.พ. เลขาธิการ ครม. หรือปลัดกระทรวงอื่นๆ กลับไม่รู้จัก ทำให้ไม่รู้จะประสานงานอย่างไร

"ต่างกับสมัยที่ผมเป็น รมว.คลัง ที่รู้ว่าแต่ละคนมีบทบาทอย่างไร ทำให้เวลาต้องการผลักดันเรื่องใด หรือเจอปัญหาใด เราอ่านไพ่ในมือได้เลยว่า เรื่องนี้ต้องคุยกับใคร ประสานใคร เรื่องยากๆ แบบนี้ ใครเก่ง และใครเป็นคนทำ"

เขาบอกว่า คนเป็นรัฐมนตรีจะมีคุณสมบัติ "3 เก่ง" คือ 1.เก่งจัดการ 2.เก่งคิด หาโอกาสเรียนรู้และคิดสร้างสรรค์อยู่ตลอด และ 3.เก่งคน อ่านคนออก รู้ไพ่ในมือทั้งหมด เช่นรู้ว่าเมื่อน้ำท่วมต้องการการทำงานที่ฉับไว คนไหนจะเหมาะ สิ่งเหล่านี้ไม่มีทางเรียนรู้ได้ในระยะเวลาอันสั้น

ส่วน ข้อสงสัยคลางแคลงใจเรื่อง "นายกฯยิ่งลักษณ์" เป็น "โคลนนิ่ง" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้เป็นพี่ชาย เลยทำให้ไม่ได้เลือกไพ่เอง นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า เป็นปัญหารองลงไป เพราะถึงเวลา "นายกฯคนที่ 28" จะต้องชี้ได้เองว่า ไพ่ที่คนอื่นเสนอมานั้น ใบไหนใช่ ใบไหนไม่ใช่ แต่กว่าจะเลือกได้ ก็ต้องได้ลอง-เรียนรู้ก่อน ซึ่งระยะเวลาเพียง 1 เดือนเศษนั้น ถือว่ายังน้อยเกินไป

แม้จะปลอบใจให้คะแนนความตั้งใจนารีวัย 44 ด้วย "เกรด A" ก็ตาม แต่ก็ไม่วายข้อคิดไว้น่าฟัง

"เทียบ กับรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ปี 2544 เป็นรัฐบาล 1 เดือน ถ้าเจอปัญหาเดียวกัน ผมคิดว่ารัฐบาลนั้นก็รับมือไม่ได้ดีกว่ารัฐบาลนี้มากนัก ที่เรารับมือสึนามิในปี 2547 ได้ เพราะผ่านประสบการณ์มาแล้ว ผ่านการทำงานมาเยอะ อ่านไพ่ในมือได้หมด รู้ว่าในทีมเราไหนเหมาะเป็นทีมรับ คนไหนเหมาะเป็นทีมรุก แม้จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นระยะๆ แต่แกนกลางยังเป็นทีมที่ทำงานร่วมกัน 3-4 ปี ทำให้รับมือได้ดีพอสมควร"

อดีต แพทย์มหิดลฯ ยังกล่าวว่า ปัญหาน้ำท่วมคราวนี้ ไม่ใช่การรักษาปกติ แต่ต้องเข้าห้องฉุกเฉิน จึงต้องมีการรักษาถึง 3 ขั้นตอน "ห้องฉุกเฉิน" ป้องกันความเสียหาย ลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน จากนั้นให้นำเข้า "ห้องผู้ป่วยใน" เพราะน้ำท่วมไม่จบใน 5 วัน 7 วัน แต่นานเป็นเดือน จึงต้องจัดการเรื่องศูนย์อพยพ โรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ ซึ่งทีมงานทั้ง 2 ห้องนี้จะต้องทำคู่ขนาน ปิดท้าย "ทีมกายภาพบำบัด" ต้องเข้ามาฟื้นฟูหลังน้ำลด ทั้ง 3 ทีม 3 เรื่อง จะต้องมีคนทำ จึงต้องอ่านไพ่ในมือว่า ใครเหมาะกับเรื่องอะไร

เมื่อถามว่าแล้ว "สมาชิกบ้านเลขที่ 111 และฝ่ายค้าน" เป็นไพ่อะไร?

หมอ เลี้ยบบอกว่า เรื่องคนไทยรักไทยนั้น บางทีไพ่ในมือไม่พอก็ต้องยืมไพ่สำรับคนอื่นมาเล่น ถ้าเล่นแล้วไม่ผิดกติกาก็ไม่เสียหายอะไร เพราะเป้าหมายไม่ใช่เล่นให้ชนะ แต่เล่นให้วงไม่แตก แต่เรื่องพรรคประชาธิปัตย์นั้น เขาตอบแบบเทียบเคียงให้วิเคราะห์เอง

"ย้อนไปสมัยสึนามิ แม้จะเป็นช่วงเลือกตั้ง พอพรรคไทยรักไทยหยุดหาเสียง พรรคประชาธิปัตย์ก็หยุดเช่นกัน แล้ว ส.ส.ทุกพรรคมาช่วยกันหมด ภารกิจวันนี้ก็เช่นกัน การชิงไหวพริบทางการเมืองเป็นเรื่องรอง การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นเรื่องหลัก ผลที่ตามมาคือได้รับการชื่นชมจากทุกฝ่าย ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ"

นพ.สุรพงษ์พักจิบน้ำ ก่อนตะลุยตีแตก "จุดอ่อน" ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

"รัฐบาล นี้มีปัญหาเรื่องการเตรียมการ เหมือนที่คุณปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ ยอมรับว่าประเมินสถานการณ์น้ำท่วมที่ จ.พระนครสรีอยุธยา ว่ารุนแรงน้อยกว่าที่เป็นจริง ขนาด จ.นครสวรรค์ เตรียมการมาหลายเดือน ทำพนังกั้นน้ำ 2 ชั้น มีการติดซีซีทีวีรายงานสถานการณ์น้ำ สุดท้ายพนังก็ยังแตกเพราะมีเรือชน"

เขากล่าวว่า ปัญหาของรัฐบาล คือมี "จุดโฟกัส" มากไป จนน้ำท่วมกลายเป็น "เรื่องรอง"

ทำให้เห็นปัญหาที่ใหญ่กว่า คือ "การมองปัญหา-การคาดการณ์" ของรัฐบาลชุดนี้ ที่ "ไม่ได้มาตรฐาน"

"สิ่ง ที่คุณทักษิณพูดเสมอ คือคำของแอนดรูว์ โกรฟ อดีตซีอีโอ บ.อินเทลฯ ที่ว่า Only the Paranoid Survive (คนขี้ระแวงเท่านั้นที่จะอยู่รอด) คือให้มองแง่ร้ายไว้ก่อน คาดว่าร้ายที่สุดจะเกิดอะไรขึ้น แล้วจะเตรียมรับมืออย่างไร ที่ย้ำอยู่ตลอดว่า กทม.จะไม่ท่วม ถ้าพูดในเชิงบริหารจัดการต้องบอกว่า ให้เตรียมใจไว่ก่อนว่าจะท่วม แล้วคุณยกของขึ้นไปไว้ชั้นสองหรือยัง หน้าบ้านคุณเตรียมพร้อมหรือยัง เพราะวันนี้ข่าวลือมันเยอะมาก ถามว่าคนเชื่อไหมว่า กทม.ไม่ท่วม ถึงวันนี้คนเริ่มไม่เชื่อแล้วนะ ในทางจิตวิทยาถ้าบอกว่า กทม.จะท่วม แล้วสุดท้ายไม่ท่วม หรือท่วมน้อยกว่า เราก็จะบอกได้ว่า นี่ไง...เพราะเราเตรียมการดี

"อีกคำพูดคือ Under Promise, Over Deliver (สัญญาให้น้อย, ทำให้มากกว่า) คือถ้าคุณสัญญาไว้น้อย แต่ทำได้มากกว่า คนก็จะบอกว่าคุณทำดี"

เมื่อ ถูกถามเรื่องการเมือง ที่กรณีพรรคประชาธิปัตย์ออกมาทำตัวเป็นโหรการเมือง ทำนายว่า รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์จะอายุสั้นแค่ 6 เดือน คิดว่ามาจากปัจจัยอะไร อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชาชนทายว่า พรรคประชาธิปัตย์คงเข้าใจว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยนายสมัคร สมัครสุนทรเวช ซึ่งเป็นข้อเตือนใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า ต้องระมัดระวัง เพราะข้อหาคุณสมัครในปี 2551 ครั้งนั้นในพรรคพลังประชาชนก็ไม่ได้คาดคิด และอุบัติเหตุไม่มีทางจะรู้ล่วงหน้าได้

"ยอมรับว่าไม่รู้ว่าจะเกิด เรื่องไม่คาดคิดขึ้นในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เพราะบางอย่างอยู่เหนือจินตนาการ ที่ทำได้ดีที่สุดให้เอาหลังพิงประชาชน อะไรที่สุ่มเสี่ยงไม่ได้ยึดผลประโยชน์ประชาชน ให้พิจารณาว่าควรทำหรือไม่ ควรทำเวลานี้หรือไม่"

เมื่อโฟกัสลงในประเด็นระหว่าง "นายกฯยิ่งลักษณ์ กับ คนเสื้อแดง" อะไรจะเป็น "ปัจจัยเสี่ยง" มากกว่ากัน หมอเลี้ยบอธิบายว่า..

"ความ เสี่ยงในประวัติศาสตร์มาจากความสุดโต่ง ศัพท์ทางธุรกิจคือ High Risk, High Return (ความเสี่ยงสูง, ผลตอบแทนสูง) ยิ่งสุดโต่งยิ่งเสี่ยงมากขึ้น คนที่ไม่มีอะไรเสียก็สุดโต่งได้ แต่คนที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าถ้าเดินไปแล้วสุ่มเสี่ยง ทำให้ตัวเองหรือเพื่อนร่วมงานเสียหาย ก็ต้องระมัดระวัง ไม่สุดโต่ง ซึ่งไม่ได้หมายถึงไม่ทำอะไรเลย แต่ทำให้เหมาะสม สอดคล้อง รู้จักประมาณตน และประมาณสถานการณ์"

หมอเลี้ยบแย้งความเห็นที่โยนมาในวงสนทนาที่ว่า เพราะรัฐบาลคุณสมัคร-คุณสมชายไม่สุดโต่ง จึงทำอะไรไม่สำเร็จ "รัฐบาลปู" จึงต้องทำตรงกันข้าม

โดยบอกว่า สถานการณ์ปีนี้ ไม่เหมือนในปี 2551 ที่เพิ่งผ่านรัฐประหารมาแค่ปีกว่า ยังไม่มีเรื่องสองมาตรฐานหรือความรุนแรง ปี 2551 แค่พูดเรื่องแก้รัฐธรรมนูญหน่อยเดียว ก็มีเสียงค้านแล้ว แต่วันนี้การแก้รัฐธรรมนูญจะมีเสียงตอบรับมากขึ้น ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ในปีนั้นยังไม่มีตัวเปรียบเทียบเหมือนปีนี้ ที่คนได้เห็นการทำงานของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์แล้ว

"ในปี 2551 คนไม่น้อยอยากเห็นคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) เป็นนายกฯ เพราะเชื่อว่าจะบริหารประเทศได้ดี ถึงวันนี้ทุกคนรู้แล้วว่าคุณอภิสิทธิ์บริหารประเทศแล้วเป็นอย่างไร ดีไม่ดี ดีเบตกันได้ แต่ได้เห็นฝีมือแล้ว ดังนั้นรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์จะไม่ได้เทียบกับรัฐบาลไทยรักไทยเหมือนรัฐบาลคุณ สมัคร หรือรัฐบาลคุณสมชาย แต่จะเทียบกับรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ด้วย การมี Comparative Study อย่างนี้เป็นตัวช่วยให้คนเห็นภาพมากขึ้น และมันทำให้อะไรที่เคยเสนอไม่ได้ เสนอได้ง่ายขึ้น"

นพ.สุรพงษ์สรุปว่า ความสุดโต่งไม่ได้อยู่ "เนื้อหา" ของข้อเสนอ แต่อยู่ที่ "ความสอดคล้อง" กับการรับรู้ของผู้คนหรือไม่

มี คนโยนคำถามตูมกลางวงสนทนาว่า "แต่คุณทักษิณอาจมองว่าไม่มีอะไรเสียแล้ว เลยต้องสุดโต่ง เพราะบ้านก็ยังไม่ได้กลับซักที?" ทำให้หมอเลี้ยบต้องตอบว่า "ผมไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเป็นความคิดคุณทักษิณหรือเปล่า เพราะหลายอย่างที่ถูกอ้าง ในอดีตก็พิสูจน์ว่าเป็นแค่ข้ออ้าง บางทีคุณทักษิณอาจเกรงใจบอกว่า "ให้ไปปรึกษากันดู" ซึ่งแปลว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย แต่คนไปตีความว่าเห็นด้วย ทั้งที่ถ้าเห็นด้วยจะบอกว่า ทำเลย เอาเลย"

วันนี้ แม้พรรคเพื่อไทยจะมีมวลชน 15.7 ล้านคนหนุนหลัง แต่การจะเดินหน้าอะไร หมอเลี้ยบเน้นว่า รัฐบาลก็ยังต้องระดมคนหมู่มากให้มาเห็นด้วย ไม่ว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ แก้ พ.ร.บ.กลาโหม ฯลฯ

สำหรับคำถามสุดท้ายที่ถามว่า พรรคเพื่อไทยมีโอกาสถูก "อำนาจนอกระบบ" เตะออกนอกกระดานอีกครั้งหรือไม่ นพ.สุรพงษ์บอกว่า บทเรียนรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ตลอดเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมาสอนว่า การจะทำอะไรโดยไม่ฟังความเห็นอย่างรอบคอบ สุดท้ายก็ต้องมาแก้ บางเรื่องแก้ไม่ยาก แต่บางเรื่องไม่มีโอกาสได้แก้...

"หลายเรื่องต้องประเมินกันจริงๆ จังๆ ว่า มันเป็นคำตอบหรือไม่ บางเรื่องเหมาะจะทำในอนาคต แต่ไม่เหมาะจะทำตอนนี้" นพ.สุรพงษ์ทิ้งท้าย
.....

หมอเลี้ยบ-ชูธงเชียร์ "นิติราษฎร์" ทำนายอุบัติเหตุการเมือง "ยิ่งลักษณ์" ..คลิกอ่าน

พิธีราษฎร์ฌาปนกิจศพ6วีรชนไพร่10เมษา53พรุ่งนี้

ที่มา Thai E-News




(บน)งานแถลงข่าวฌาปนกิจศพ 6 วีรชน 10 เมษา 53 ในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ ที่วัดบำเพ็ญเหนือ เขตมีนบุรี จนถึงเวลานี้บริเวณจัดงานไม่ได้ประสบปัญหาน้ำท่วมแต่อย่างใด (ล่าง)คลิปข่าวคนเสื้อแดงนั่งขวางรถถังที่เคลื่อนเข้าล้อมปราบในเหตุการณ์ 10 เมษา 53

โดย ทีมข่่าวไทยอีนิวส์
15 ตุลาคม 2554

16ตุลาคม นายกฯเป็นประธานฌาปนกิจ6วีรชนเสื้อแดง


(บน)สถานที่ฌาปนกิจศพ 6 วีรชน 10 เมษา 53 (ล่าง)ภาพเมื่อครั้งคนเสื้อแดงไปร่วมงานฌาปนกิจศพวีรชนเสื้อแดงที่สมุทรปราการ

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานคณะกรรมการประสานงานภาค กทม. พรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดง นำญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่สี่แยกคอกวัว ร่วมแถลงข่าวการจัดงานฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ราย ว่าญาติผู้เสียชีวิตอยากให้มีการจัดงานฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตที่เหลืออยู่ 6 ราย หลังจากที่มีการชันสูตรศพเรียบร้อยแล้ว ในฐานะ ส.ส.กทม.และกลุ่ม นปช. เห็นตรงกันว่าจะจัดงานฌาปนกิจศพในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ ที่วัดบำเพ็ญเหนือ เขตมีนบุรี

นอกจากนั้นได้จัดทำหนังสือวีรชนประชาธิปไตยในราคาเล่มละ 300 บาทเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายงานศพครั้งนี้และเป็นการอุทิศให้แก่วีรชนผู้เสีย ชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว

โดย ในวันที่ 15 ตุลาคมนี้จะเป็นพิธีทำบุญ และในวันที่ 16 ตุลาคม จะเป็นพิธีฌาปนกิจศพ โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน

สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ราย ประกอบด้วย นายบุญธรรม ทองผุย, นายจรูญ ฉายแม้น, นายสวาท วางาม, นายสยาม วัฒนนุกูล, นายทศชัย เมฆงามฟ้า และนายมนต์ชัย แซ่จอง

จากการตรวจสอบถึงเวลานี้บริเวณจัดงานฌาปนกิจศพยังไม่ประสบปัญหาน้ำท่วมแต่อย่างใด





(บน)พิธีแห่ศพ 6 วีรชนรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก่อนจะฌาปนกิจในวันที่ 16 ต.ค. (ล่าง) สำราญ วางาม บิดาของสวาท วางาม 1 ใน 6 วีรชนเล่าเหตุการณ์ตอนเอาเสื้อห่อมันสมองลูกชาย ในวันที่ 10 เมษา 53 ด้วยน้ำตานองหน้า และคลิปข่าวลูกของสวาทที่เสียพ่อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จากVOICE TV(ภาพ:facebook ป๋าจอมตั๊บฯ)

ลูก11ขวบวีรชนหยุดพูดหลังสูญเสียพ่ิอ ครอบครัวไม่เคยได้หลับตราบเท่าที่ฆาตกรลอยนวล


พี่สาวสยาม วัฒนนุกูล พบน้องชายในที่ชุมนุมก่อนจากพรากตลอดกาล


ครอบครัวฉายแม้นเปิดใจ ยังร้องไห้ทุกคืน


เปิดใจภรรยาหม้ายวีรชนของบุญธรรม ทองผุย



เส้นทางการต่อสู้ของบุญธรรม ทองผุย พ่อของลูกสองคนที่สุดท้ายต้องจบชีวิตลงในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 ต้องทิ้งให้ภรรยาและลูกเผชิญชะตากรรมที่โหดร้ายเพียงลำพัง

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวทองผุยส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อ สมาชิกในครอบครัวเป็นอย่างมากหลังจากที่นายบุญธรรม ทองผุยหัวหน้าครอบครัวผู้เป็น สามีและพ่อของลูกสองคนต้องจากพวกเขาไปหลังถูกยิงเสียชีวิตในเหตุการณ์สลาย การชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่10เมษายน2553 บริเวณสี่แยกคอกวัว

พี่แดง นางสุภารัตน์ ทองผุย ภรรยา นายบุญธรรมเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกว่า1ปี6เดือนที่ผ่านมาแต่แววตาและ ความรู้สึกที่บรรยายออกมาเหมือนดั่งว่าเหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ความรู้สึกที่ต้องขาดเสาหลักของบ้านไปคงไม่สามาถอธิบายผ่านคำพูดได้ทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถสะท้อนความรู้สึกของพี่แดงได้เป็นอย่างดีคือแววตาที่ ล่องลอย ไม่รู้ว่าชะตากรรมของครอบครัวนี้ใครเป็นผู้กำหนดแต่เมื่อทุกอย่างเป็นเช่น นี้พวกเขาต้องต่อสู้กับความเลวร้ายที่สุดในชีวิตเนื่องจากทุกวันนี้พี่แดง ไม่มีรายได้เลยในแต่ละวัน เขาอาศัยเงินเหยียวยาที่ได้รับใ ช้ในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝันร้ายที่ตื่นมาแล้วทุกอย่างจะจบลงแต่เหตุการณ์ ที่พวกเขาเจอคือความจริงเนื่องจากวันนี้หน้าที่หัวหน้าครอบครัวตกเป็นของเธอ แล้ว เธอต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นที่พึ่งของลูกทั้ง2คนให้ได้และจะทำหน้าที่แม่ให้ดี ที่สุด จะส่งลูกให้ถึงฝั่งรอดูวันที่พวกเขาประสบความสำเร็จ

สิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวทองผุย พี่แดงรู้สึกโกรธแค้นคนที่กระทำ อยากให้เขาได้รู้สึกถึงความสูญเสียที่เธอได้รับ

แม้วันนี้สามีของเธอต้องเสียชีวิตแต่เธอรู้สึกภูมิใจที่เขาได้ทำในสิ่งที่ เขารัก หากเลือกได้คงไม่มีใครอยากประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้ แต่ในชะตากรรมของพวกเขาถูกลิขิตให้เป็นเช่นนี้แล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือสร้างภูมิคุ้มกันให้พวกเขาทั้ง3คนเข้มแข็งและก้าวผ่าน ความเลวร้ายครั้งนี้ไปได้โดยเร็ว



"บ้านเลขที่ 111 - เสื้อแดง" เสริมทัพ "ยิ่งลักษณ์" แก้น้ำท่วม ศปภ.

ที่มา thaifreenews

โดย bozo

เขียนโดย JJ_Sathon



14ต.ค.2554 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
การทำของศปภ.ซึ่งมีพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรมเป็นผอ.ศูนย์
ซึ่งเปิดดำเนินการมากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วนั้น
การทำงานของหน่วยงานต่างๆเพิ่งจะจัดระบบได้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันอดีตรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลไทยรักไทยและพลังประชาชน
ก็มาช่วยระดมความคิดและแนะนำการทำงานให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์กันพร้อมหน้าอาทิ


นายจาตุรนต์ ฉายแสง

นายภูมิธรรม เวชยชัย

นายวราเทพ รัตนากร

พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิต

พล.ต.ท.จำลอง เอี่ยมแจ้งพันธุ์

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช

นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ

นายนพดล ปัทมะ

นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง

นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์


เพราะบุคลากรเหล่านี้หลายคนมีประสบการณ์การทำงานที่มากกว่าครม.ยิ่งลักษณ์
และหลายคนเคยไปช่วยแก้สถานการณ์สึนามิเมื่อปลายปี2547-ต้นปี2548ด้วย
โดยบุคลากรเหล่านี้กระจายตัวไปช่วยแนะนำและทำงานในด้านต่างๆเช่น

นายสุรนันทน์ดูแลเรื่องการให้ข่าวและเผยแพร่ข่าวกับสื่อมวลชนเป็นต้น

ส่วนนายวิม รุ่งวัฒนะจินดา โฆษกศปภ.นั้นทำหน้าที่แถลงข่าว
ดูแลข้อมูลเรื่องต่างๆที่จะเสนอนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีโดยตรง

ส่วนคนเสื้อแดงนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเป็นกำลังหลัก
ในการดูแลสิ่งของบริจาคและการกระจายการช่วยเหลือไปยังจุดต่างๆเช่น

นายสมบัติ บุญงามอนงค์หรือบก.ลายจุดที่เคยทำงานในมูลนิธิกระจกเงา

นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทยที่เป็นผอ.ศูนย์รับบริจาคดอนเมือง

หรือ

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำนปช.ที่มาช่วยงานศปภ.
และขึ้นตรงกับนางสาวยิ่งลักษณ์ โดยตรง
ก็มาประสานงานด้านมวลชนและดูแลสื่อในสังกัดรัฐบาลเช่น
วิทยุแห่งประเทศไทย และสถานีโทรทัศน์ช่อง11(เอ็นบีที)
กรมประชาสัมพันธ์ในการเผยแพร่ข่าวและเชิญบุคคลมาเข้ารายการ

ขณะเดียวกันก็มีทีมเฉพาะกิจซึ่งแต่งตั้งโดยพล.ต.อ.ประชา
ที่เรียกว่า คณะทำงานชุดเฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
ประกอบด้วยลูกหลานของแกนนำรัฐบาลชุดนี้ อาทิ

นายจารุวงศ์ เรืองสุวรรณ เป็นหัวหน้าคณะทำงานชุดเฉพาะกิจ

นายวัน อยู่บำรุง เป็นรองหัวหน้าคณะ

โดยหน้าที่ของทีมนี้คือช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามคำสั่งนายกฯ
ให้เป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพในพื้นที่ที่ยังเข้าไปไม่ถึง
ซึ่งทีมนี้เข้าไปช่วยเหลือประชาชนในหลายพื้นที่แล้วและออกทำงานทุกวัน



ขอขอบคุณ คมชัดลึก และ

ภาพจากเฟรซบุ๊ค

Nipaporn Freedom
http://www.facebook.com/nipapornfreedom


http://www.go6tv.com/2011/10/111.html

INN ช่วยแฉเหตุ! "กรมชลฯ มัวแต่จัดเลี้ยงปาร์ตี้เกษียณ-ใส่เกียร์ว่าง"

ที่มา thaifreenews

โดย bozo

เขียนโดย JJ_Sathon



ยามนี้ ถ้าไม่พูดถึงสถานการณ์น้ำท่วมเมืองสยาม คงต้องตกยุคตกสมัยเป็นแน่แท้

โดนกันอย่างทั่วหน้าทุกภูมิภาคของประเทศไทย
หนักที่สุดตอนนี้คงต้องยกให้กับภาคกลาง
ไล่มาตั้งแต่ "จ.นครสวรรค์ อุทัยธานี ลพบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี
และ นนทบุรี" ส่วนทางภาคตะวันตก อย่าง จ.สุพรรณบุรี และ นครปฐม ก็โดน แต่ยังไม่มากนัก

เหตุที่ทางภาคตะวันตกยังประสบปัญหาน้ำท่วมไม่หนักนั้น
ไม่รู้ว่าจะชื่นชม "บิ๊กเติ้ง บรรหาร ศิลปอาชา" ดีหรือเปล่า
มันก็ดีหรอกนะที่น้ำไม่ท่วมบ้านตัวเอง แต่มันจะดีจริงเหรอที่น้ำไปทะลักเข้าบ้านคนอื่น
ทั้งๆ ที่ช่วยได้ แต่ก็ไม่ช่วยกันแบ่งเบา ก็แล้วแต่นานาทัศนะกับกรณีนี้

เรื่องความเสียหายคงไม่ต้องพูดถึง
เพราะความเสียหายครั้งนี้ไม่ได้น้อยไปกว่าที่ประเทศญี่ปุ่น
ประสบกับ "โศกนาฏกรรมสึนามิ " เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ที่ผ่านมา
ภาพที่เห็นไม่ได้น่ากลัวและรุนแรงอย่างคลื่นยักษ์
แต่น้ำที่หลากหรือล้นตลิ่ง มันก็เคลื่อนตัวทำลายล้างทุกสิ่งได้เช่นกัน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเสียหายใดก็ไม่เท่ากับความเสียหายที่เกิดจากความแตกแยก
ของพี่น้องคนไทยด้วยกัน

ภาพพี่น้องคนไทยต่างฝ่ายต่างโต้เถียง ด่าท่อใส่กันตามแนวคันกั้นน้ำ
ภาพการเข้าพังกระสอบทราย
ภาพของการถือมีดวิ่งไล่ฟันผู้ประสบภัยด้วยกัน อันเนื่องมาจากความเครียด
ภาพเหล่านี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับสังคมไทยและสังคมชนบทเลย
แม้แต่นิด

อย่างที่เรารู้กัน น้ำที่ท่วมภาคกลางนั้นลงมาจากภาคเหนือ "แม่น้ำปิง วัง ยม และน่าน"
ไหลมารวมกันที่ปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ ก่อนไหลเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ลงสู่อ่าวไทย จ.สมุทรปราการ

น้ำจำนวนมหาศาลก้อนนี้ "กรมชลประทาน" เป็นผู้ที่น่าจะรู้ดีที่สุด
คิดกันง่ายๆ ไม่ต้องคิดมาก คือ
กรมชลฯ รู้ทั้งรู้ว่าจะมีน้ำก้อนใหญ่ไหลมาจากภาคเหนือ
มันก็เกิดคำถามว่า ทำไมกรมชลฯ ไม่รีบผันน้ำที่มีอยู่แล้วออกอ่าวไทยให้เร็วที่สุด
เพื่อที่แม่น้ำแต่ละสายจะได้มีพื้นที่รองรับน้ำ
เพราะอาจจะทำให้หนักเป็นเบาได้
ทำไมไม่ใช้ประตูระบายน้ำแต่ละประตูให้เกิดประโยชน์ เมื่อไม่ใช้แล้วจะสร้างขึ้นมาทำไม

คงไม่กล้ากล่าวโทษกรมชลฯ ที่เป็นผู้ทำให้เกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรงอยู่ขณะนี้
ถ้าไม่เคยประสบกับเหตุที่กรมชลฯ เคยทำผิดพลาดมา
ขอย้อนกลับไปเมื่อปี 2549 ณ บ้านเกิด "จ.นครปฐม" ประสบกับปัญหาน้ำท่วมอย่างหนัก
อันเพราะเกิดจากกรมชลฯ ไม่ระบายน้ำจากแม่น้ำสุพรรณบุรี เข้าสู่แม่น้ำท่าจีน
เมื่อไม่ระบายก็เกิดการอั้น จนในที่สุด ประตูน้ำไม่สามารถรองรับน้ำได้อีก
จึงตัดสินใจเปิดประตูน้ำกลางดึกตูมเดียว
เข้าแม่น้ำท่าจีน ต.บางหลวง อ.บางเลน จมน้ำก่อนใคร พื้นที่ไร่นา บ้านเรือนอยู่ใต้น้ำ
เจ้าของสวนกล้วยไม้บางรายถึงกับหมดตัว

ถ้ากรมชลฯ มีแผนการทำงานที่ดีกว่านี้ ความเสียหายครั้งนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น.!!!

ครั้งนี้ก็เช่นกัน กรมชลฯ รู้สึกตัวช้าเกินไป
หรือกรณี "ประตูระบายน้ำบางโฉมศรี พัง" ยังคงต้องใช้เวลาอันยาวนานในการซ่อมแซม
นี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่กันแน่ แล้วอย่างนี้ ประชาชนตาดำๆ เขาจะอยู่กันอย่างไร

"ไม่รู้ว่าเหตุที่กรมชลฯ รู้สึกตัวช้า
เพราะมัวแต่เตรียมจัดงานเลี้ยงให้กับข้าราชการที่เกษียณอายุราช
รวมถึงข้าราชการที่จะเกษียณอายุก็ปลดเกียร์ว่างตั้งแต่ 2 เดือนก่อนหรือเปล่า...."


**************
นรภัทร ตรีแดงน้อย ..รายงาน

Link : http://www.innnews.co.th/น้ำท่วมนั้นเพราะใครกัน--312739_34.html


http://www.go6tv.com/2011/10/inn_14.html

คนดีของคนกลุ่มโน้น..{บทความของ คุณทวดเอง..จากพันทิปราชดำเนิน}

ที่มา thaifreenews

โดย ป้าพลอย

คนดีของคนกลุ่มโน้น

คนดีอย่างคุณสุรยุทธ์ที่ยอมเป็นนายกฯเพื่อชาติ แต่ก็รุกที่ป่าสงวนอย่างไม่เจตนา

คนดีอย่างคุณจารุวรรณที่แม้เกษียณ แต่ก็ไม่ยอมลุกจากเก้าอี้ เพราะยังอยากทำงานเพื่อชาติต่อไป

คนดีอย่างหญิงเป็ดที่คอยตรวจสอบเงินแผ่นดิน แต่กลับถูก ปปช.ชี้มูลความผิดฐานเบิกงบสัมมนาเท็จ

คนดีอย่างคุณพรทิพย์ ที่พิสูจน์แล้วว่า แก๊สน้ำตาทำให้คนตายได้ จีที200 ใช้งานได้ แม้จะไม่รู้ว่าใช้งานอย่างไรก็ตาม

คนดีอย่างคุณสนธิที่ทำรัฐประหารเพราะรัฐบาลที่คอรัปชั่น แต่กลับมีทรัพย์สินเกือบร้อยล้าน ทั้งๆที่มีอาชีพแค่รับราชการอย่างเดียว

คนดีอย่างคุณอนุพงศ์ ปิดสนามบินต้องแก้ด้วยการเมือง ปิดราชประสงค์ต้องถล่มด้วยกองทัพ

คนดีอย่างคุณประยุทธ ที่มองประชาชนที่เสียภาษีให้กับกองทัพเป็นลูกน้องมากกว่านายจ้าง

คนดีอย่างคุณอมรา ที่มองว่าการตายของคนมือเปล่าที่เรียกร้องให้ยุบสภา ไม่ได้ละเมิดสิทธิมนุษยชน

คนดีอย่างคุณสรรเสริญ สุดฮอตเพราะได้แถลงข่าวออกทีวีเพียงด้านเดียว

คนดีอย่างคุณธาริต ที่พร้อมจะเปลี่ยนจุดยืนไปตามรัฐบาลที่เปลี่ยนไป

คนดีอย่างคุณประเวศ ที่ไม่เคยออกมาต่อต้านกับการทำรัฐประหาร

คนดีอย่างคุณสนธิที่ต่อสู้กับการโกงกิน แต่กลับมีปัญหากันกับเงินบริจาค

คนดีอย่างคุณกษิต ได้เป็น รมต. เพราะในสนามบินมีอาหารอร่อย ดนตรีไพเราะ

คนดีอย่างคุณจำลองที่เคยอดข้าวเพื่อประชาธิปไตย แต่ได้เป็น สนช.เพราะรัฐประหาร

คนดีอย่างคุณอานัน มักจะมีบทบาททุกครั้งที่เผด็จการครองเมือง

คนดีอย่างคุณจรัล ที่ตีความทำกับข้าวเป็นลูกจ้าง แต่รับเงินมหาลัยเป็นการให้ความรู้

คนดีอย่างคุณสดสี ที่มีหน้าที่ดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างยุติธรรม กลับเรียกหาปฏิวัติ

คนดีอย่างคุณอภิชาต ที่ไม่แสดงความคิดเห็นอีกทั้งปล่อยให้คดีสำคัญอย่างการยุบพรรคหมดอายุความ โดยไม่แสดงความรับผิดชอบ

คนดีอย่างคุณแก้วสรร ได้เป็น คตส. เพราะเกลียดทักษิณ จนได้รับการแต่งตั้งจากรัฐประหาร

คนดีอย่างคุณสัก ที่เห็นว่ารัฐประหารดีกว่าโกงกิน

คนดีอย่างคุณสมชาย ได้เป็น ส.ว.ลากตั้งก็มาจากผลพวงของรัฐธรรมนูญปี 50

คนดีอย่างคุณสุรพล เรียกร้องให้มีนายกฯมาตราเจ็ด ทั้งๆที่เป็นถึงอธิการธรรมศาสตร์

คนดีอย่างคุณสมคิด ที่ยังเข้าใจว่าการทำปฏิวัติของคุณปรีดีกับพวกยึดอำนาจรัฐบาลเป็นคนกลุ่มเดียวกัน

คนดีอย่างคุณวิชัย ที่ลงความเห็นสื่อฯเลือกข้างด้วยการนับรูปและพื้นที่ข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์

คนดีอย่างคุณตุลย์ตรวจสอบเรื่องคอรัปชั่นก็แต่เรื่องของคุณทักษิณเพียงคนเดียว

คนดีอย่างคุณวิรัช ที่ไม่รู้ไปคุยอะไรกับเลขาฯศาลที่ปรากฏอยู่ในคลิป

คน ดีอย่างคุณสุขุมพันธ์ ไม่เคยออกมาพูดถึงเรื่องกล่องเปล่าจะช่วยประชาชนให้ปลอดภัยได้อย่างไร นอกจากหลอกประชาชนให้เข้าใจว่า ทั้งชีวิตได้รับการดูแล

คนดีอย่างคุณสุเทพหอบเอกสารไปแอบคุยเรื่องผลประโยชน์ทางทะเลกับฮุนเซน

คนดีอย่างคุณชวน หาเสียงด้วยการบอกว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเองโดยไม่ต้องมีหลักฐาน

คนดีอย่างคุณอภิสิทธิ์ที่มีผู้เสียชีวิตมากมายแล้วยังรักษาตำแหน่งนายกฯเอาไว้ได้

คนดีอย่างคุณประพันธ์ หนึ่งในนักศึกษาที่ต้องเข้าป่าหลัง 6 ตุลา แต่กลับมาได้เป็น สนช.ในยุคเผด็จการครองเมือง

คนดีอย่างคุณคำนูณ ก็เป็นหนึ่งในนักศึกษา ตุลาวิปโยค ที่เรียกร้องประชาธิปไตย แต่กลับได้เป็นทั้ง สนช.และวุฒิสภาลากตั้งในคณะปฏิวัติ

คน ดีอย่างคุณธีรยุทธ อดีตเคยเป็นสมาชิกเรียกร้องรัฐธรรมนูญ เคยเป็นผู้นำนักศึกษาเรียกหาประชาธิปไตย ปัจจุบันทนเห็นคนเรียกร้องประชาธิปไตยถูกเข่นฆ่ากลางเมืองกรุงโดยไม่ปริปาก

คนดีอย่างคุณศรัญญู สร้างหนังตัวเองด้วยเงินภาษีของประชาชน

คนดีอย่างคุณสรยุทธ ที่เสนอข่าวแต่ช่อง 3 ช่วยน้ำท่วม คนอื่นไม่เกี่ยว

คนดีอย่างคุณเปลว ที่ตลอด 5 ปี ทำหน้าที่สื่อฯแค่ด่าทักษิณ เชียร์อภิสิทธิ์ ชื่นชมทหาร

คนดีอย่างคุณเสรี ที่ด่าคุณทักษิณจนได้รายการของสื่อฯรัฐไว้ทำมาหากิน

สุด ท้ายพรรคที่ดีอย่างพรรคประชาธิปัตย์รอดพ้นจากการถูกยุบพรรคถึง 2 ครั้ง เพราะนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ได้แสดงความคิดเห็น และยังเป็นพรรคการเมืองที่อาศัยเงินสนับสนุนพรรคการเมืองแต่กลับไม่เคยต่อ ต้านการเกิดปฏิวัติ

เมื่อมองในภาพกว้าง เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดก็คือ คนดีๆเหล่านี้บ้างก็เป็นผู้ก่อการเสียเอง บ้างก็ได้ดิบได้ดี บ้างก็ยอมสยบกับอำนาจปืน ของคณะรัฐประหารทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยนะครับ ที่คนดีๆเหล่านี้จะออกมาต่อต้านกับข้อเสนอเพื่อความปรองดองของคณะนิติราษฎร์ และยังต่อต้านการแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม เพราะถ้าไม่มีทหารเป็นตัวช่วย เหล่าคนดีทั้งหลายคงจะมีโอกาสได้ในสิ่งที่หวังอย่างนั้นหรือ?

ปล.หนึ่ง ปัจจุบัน พอผมได้ยินคำว่าคนดีศรีสังคมเมื่อไหร่ ผมจะรู้สึกผะอึดผะอม ท้องอึดท้องเฟ้อเรอเปรี้ยวขึ้นมาทันที เพราะผมมีความรู้สึกว่า ประเทศไทยที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเรามีคนดีมากมายเกินไปนั่นเอง

ปล.สอง เมื่อผมมาดูผลงานของเหล่าคนดีทั้งหลายรวมกัน ผมยังคงมองว่า ไม่ได้เท่าหนึ่งในสิบของหนึ่งคนเลวอย่างคุณทักษิณเสียอีก อย่างนี้แล้วจะให้ผมชื่นชมคนดีเหล่านี้ได้อย่างไร ชิมิ ชิมิ

จากคุณ : ทวดเอง

การเมืองในน้ำท่วม

ที่มา มติชน



โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 14 ตุลาคม 2554)


ไม่มีเรื่องอะไร ในลมหายใจประชาชนคนไทยเวลานี้ที่ใหญ่ไปกว่าภัยน้ำท่วมอีกแล้ว เพราะเป็นอุทกภัยครั้งรุนแรงอย่างมาก หลังจากหลายจังหวัดใหญ่ๆ จมหายไปทั้งเมือง ความหวาดผวาจึงปกคลุมไปทั่วเมืองหลวงซึ่งกำลังจะถึงคิวต้องรับกับปริมาณน้ำ มหึมาที่เคลื่อนตัวลงมาจากภาคเหนือในวันสองวันนี้

ห้างและร้านค้าทั่วเมืองกรุง เนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่มุ่งกักตุนน้ำดื่ม อาหาร ไปจนถึงถุงทราย และการแสวงหาสถานที่จอดรถปลอดพ้นน้ำ

เป็นเรื่องเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะภาพข่าวบ้านเรือนรถราเหลือแค่หลังคา จากหลายๆ จังหวัด ทำให้คน กทม.นอนไม่หลับ

แม้วันนี้รัฐบาลและ กทม.จะพยายามปลอบว่า น่าจะป้องกันเอาไว้ได้ แต่คงหาคนเชื่อได้ยาก

เพราะบ้านเราไม่เคยมีระบบบริหารจัดการกับมหันตภัยน้ำท่วมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

แล้ว ต้องยอมรับว่า ที่ทำอยู่ในเวลานี้ไม่ค่อยถูกจุดนัก เป็นระบบที่ผิดพลาดมายาวนาน รัฐบาลนี้เข้ามารับหน้าที่ก็ทำไปตามแผนปฏิบัติอันผิดๆ นั้นไป

ระบบที่มุ่งเข้าไปควบคุมปริมาณและทิศทางน้ำ โดยไม่อิงกับธรรมชาติ ไม่อาศัยความเป็นจริงตามธรรมชาติ ลงเอยจึงพังครืน

กระนั้นก็ตาม เชื่อว่าโอกาสที่พื้นที่เศรษฐกิจของ กทม.หรือจะเรียกว่าเขตชั้นในของกรุงเทพฯ จะรอดพ้นวิกฤตไปได้มีอยู่สูง

เพราะได้รับการวางแนวปกป้องอย่างเต็มกำลัง

ในวันสองวันนี้คงได้รู้ชัดถึงประสิทธิภาพนั้น

แม้ภัยน้ำท่วมจะครอบครองอารมณ์ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่เอาไว้ แต่ใช่ว่าความเคลื่อนไหวในภาคอื่นๆ จะหยุดนิ่งไปด้วย

การเมืองในท่ามกลางน้ำท่วมก็ยังดำเนินไป โดยอาศัยน้ำนี่แหละเป็นเครื่องมือ

ภายหลังนายกฯเงาเดินทางไป ศปภ.เพื่อแสดงความจริงใจในการร่วมมือกับนายกฯจริง

เกิดเสียงชื่นชมตามมามากมาย แต่ไปไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็กลับ เกิดอะไรตามมาหรือไม่

ฝ่าย ค้านตั้งกระทู้ในสภาให้นายกฯมาตอบ ก็โดนสวนจากฝ่ายรัฐบาล ว่านายกฯกำลังใช้เวลาลงพื้นที่ช่วยประชาชน จะเดือดร้อนอะไรนักหนากับเรื่องกระทู้

ในทางกลับกัน พรรครัฐบาลเคลื่อนไหวแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม ก็โดนอีกพรรคหยิบมาโจมตีว่า มัวแต่วุ่นวายกับเรื่องอำนาจ ไม่ได้สนใจช่วยประชาชนที่ทุกข์ร้อน

ทหารก็กำลังช่วยน้ำท่วมอยู่แท้ๆ แต่จะมาแก้กฎหมายการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร อะไรทำนองนั้น

แม้แต่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความ นปช. บินมาจากต่างประเทศเพื่อเร่งคดี 91 ศพ ก็ไม่วายโดนประชาธิปัตย์งัดวิกฤตน้ำท่วมขึ้นมาสาดใส่

ก็เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะสิ่งที่ทนายความคนนี้กำลังดำเนินการก็คือ เอาผิดกับผู้นำของประชาธิปัตย์

แต่ ที่น่าสนใจคือข้อเสนอจากประชาธิปัตย์ให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อ้างว่านี่เป็นสถานการณ์ถึงขั้นต้องประกาศสงครามกับภัยธรรมชาติแล้ว

คำตอบจากรัฐบาลคือไม่จำเป็น

หลายเสียงมองว่า ถ้ารัฐบาลนี้ยอมใช้ ก็จะทำให้มีภาพใกล้เคียงกับยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่ชอบเหลือเกินกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนี้

ใช้เสียจนทนายโรเบิร์ตต้องบินเข้ามาเร่งคดีในเวลานี้ไง

"ยิ่งลักษณ์" ควงลูกชาย ร่วมบรรจุสิ่งของไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม

ที่มา มติชน



น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือ น้องไปป์ บุตรชาย ร่วมกับอาสาสมัครบรรจุสิ่งของ เพื่อนำไปมอบให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง

สามีนายกฯ เผย “ยิ่งลักษณ์” เริ่มยิ้มออก ชม ผบ.ทบ. ช่วยเหลือน้ำท่วม

ที่มา ข่าวสด


วันที่ 14 ต.ค. นายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายกิจกรรม เฉลิมพระเกียรติโดยคู่สมรสคณะรัฐมนตรี ว่าที่ประชุมมีมติจัดกิจกรรมซ่อมแซมสถานที่สาธารณะ เช่น โรงเรียน วัด สถานีอนามัย ที่ประสบอุทกภัยและต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ทางคู่สมรสครม.จะเข้าไปดำเนินการซ่อมแซมปรับปรุงเป็นการเร่งด่วน โดยจะให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 1 ธ.ค. เพื่อเป็นถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

สำหรับงบประมาณในส่วนของคู่สมรสครม.ที่มีอยู่ 3 ส่วน คือ จากเงินรับบริจาคประมาณ 20 ล้าน เงินส่วนตัวของคู่สมรสครม. และงบประมาณจากรัฐบาล 5 ล้าน

ในการจัดกิจกรรมช่วยหลือผู้ประสบภัยของคู่สมรสครม.นั้นได้มีการหารือกับ นายกรัฐมนตรีและครม.อยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้งานซ้ำซ้อน ตอนนี้รู้สึกว่านายกรัฐมนตรีผ่นคลายขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รับพระกระแสรับสั่ง และเดินแนวทางแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น ช่วงนี้เริ่มมีข่าวดี น้ำลด ซ่อมแซมประตูน้ำสำเร็จ และนายกรัฐมนตรียังเอ่ยปากชม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ว่าให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ในหลายพื้นที่ได้ทหารเข้ามาให้ความช่วยเหลือ

นายอนุสรณ์กล่าว อีกว่านายกรัฐมนตรีไม่เคยมีปัญหากับกองทัพอยู่แล้ว เห็นร่วมกันทำงานวางแผนร่วมกัน ตอนนี้ไม่มีใครว่าฝั่งไหนเป็นฝั่งไหน ทุกคนร่วมมือกันดี แต่ละหน่วยงานเขาก็ไม่คำนึงเลยว่าเป็นหน่วยงานไหน กทม.ก็ส่งตัวแทนมาร่วมประชุมด้วย

เอะอะก็"พ.ร.ก."

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน
มันฯ มือเสือ



นึกไปนึกมาก็แปลก

เรื่องที่พรรคเพื่อไทยออกมาจุดพลุเสนอแก้ไขพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม

ปรากฏ ว่าพลุที่จุดทำให้พรรคการเมือบางพรรคออกอาการเดือดเนื้อร้อนใจ ทั้งหล่อใหญ่ หล่อไม่ใหญ่ รวมถึงหล่อไม่เสร็จ ต่างเรียงหน้าออกมาปกป้องกฎหมาย"ผลไม้พิษ"

ชนิดกองทัพเองยังไม่"เว่อร์"เท่า

แต่นักการเมืองย่อมดูกันออกว่า การออกมาปกป้อง"ผลไม้พิษ" ไม่มีอะไรมากกว่าต้องการ"เสี้ยม"ให้รัฐบาลแตกคอกับผู้นำทหาร

อย่าง เช่นตอนนี้จะเห็นฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสขณะประเทศประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ ประโคมข่าวผ่านสื่อในเครือข่ายว่ารัฐบาลเพื่อไทยมุ่งแต่เรื่องแก้พ.ร.บ. กลาโหม

มากกว่าเรื่องแก้น้ำท่วม

ไม่ก็ในทำนองว่า ขณะที่กองทัพส่งกำลังพล อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือออกไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนผู้เดือด ร้อน แต่รัฐบาลเพื่อไทยกลับจ้องหาจังหวะ

เข้ามายึดอำนาจกองทัพ

หนำ ซ้ำล่าสุดยังได้เสนอให้รัฐบาลประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ประสบภัย พิบัติ โดยรู้อยู่แล้วว่าถึงอย่างไรรัฐบาลเพื่อไทยไม่ทำตามข้อเสนอนี้แน่

เมื่อ รัฐบาลไม่ทำตามก็นำเรื่องไปขยายผลทันทีว่า รัฐบาลไม่ยอมประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินทั้งที่เห็นตำตาว่าประชาชนและประเทศชาติ กำลังตกอยู่ในภาวะฉุกเฉิน

ก็เพราะหวาดระแวงทหารจะฉวยโอกาสคิดร้ายต่อรัฐบาล

ว่าเข้าไปนั่น

ทั้งๆ ที่นายกฯยิ่งลักษณ์และรัฐบาลชี้แจงชัดเจนแล้วว่า ถึงสถานการณ์น้ำท่วมจะหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็ไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

เพราะอำนาจ ตามพ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่นายกฯ และรัฐบาลใช้อยู่ตอนนี้ รวมถึงการตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย หรือศปภ. เพื่อแก้ปัญหาแบบบูรณาการครบวงจร

น่าจะ"พอดี"กับสถานการณ์มากกว่า

อีก ทั้งภาพที่ออกมาทุกวันนี้ เหล่าทัพก็ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอย่างดี ไม่มีอิดออด รัฐบาลก็ไม่ได้หวาดระแวงทหารที่ออกมาช่วยน้ำท่วม เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วพ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงเป็นเรื่องเกินความจำเป็น

สมควรปล่อยให้คนเสพติด"อำนาจพิเศษ"จนเคยตัว

บ้าน้ำลายไปคนเดียว

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย 15/10/54 น้ำใจไทย...สู้ภัยน้ำท่วม

ที่มา blablabla

โดย

ภาพถ่ายของฉัน



ยามเมื่อเกิด ภัยพิบัติ ซัดกระหน่ำ
สิ่งต้องทำ คือ"รัก" "สมัครสมาน"
เพื่อความสุข สวัสดี ที่ยืนนาน
ร่วมผสาน ใจเป็นหนึ่ง ได้พึ่งพา....


ไม่แบ่งแยก แตกสี ให้มีสอง
ไม่จดจ้อง ด่าทอ คิดครหา
ไม่สาดโคลน เย้ยหยัน เหมือนผ่านมา
ไม่สรรหา เรื่องร้าย ทำลายกัน....


รวมพลัง ผนึกใจ ให้ผ่านพ้น
เลิกสับสน มุ่งสู่ทาง ที่สร้างสรรค์
ลบรอยร้าว บาดหมาง จากทางตัน
แล้วฝ่าฟัน ร่วมสู้ ช่วยกู้ภัย....


กำลังใจ แสนงาม ที่ตามหา
บรรจงคว้า ด้วยรัก ไม่ผลักใส
สมลือนาม สยามชน ของ"คนไทย"
หล่อหลอมใจ สุดซึ้ง เป็นหนึ่งเดียว....


เติมรอยยิ้ม ผูกพัน วันฟ้าสวย
อบอวลด้วย สิ่งงาม ตามแลเหลียว
ขอให้เกิด ความสุขสม จากกลมเกลียว
ผ่านน้ำเชี่ยว..ด้วยดวงใจ..ไทยทุกดวง.....


ขอให้กำลังใจพี่น้องทุกๆ คนครับ


๓ บลา / ๑๕ ต.ค.๕๔

นิวยอร์กไทมส์: น้ำท่วมไทยเกิดจากฝีมือมนุษย์

ที่มา ประชาไท

เซธ เมย์เดนส์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติของไทย ชี้อุทกภัยที่เกิดขึ้นและลามไปหลายพื้นที่ในเวลานี้ ไม่ได้มาจากปริมาณน้ำฝนที่มากผิดปกติ หากแต่เป็นเพราะการวางแผนการจัดการน้ำและผังเมืองที่ไร้ประสิทธิภาพ

กรุงเทพ - ท่ามกลางอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศไทย ที่ส่งผลให้จังหวัดต่างๆ และนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงโบราณสถานกลายเป็นเมืองบาดาลอยู่ใต้น้ำ ผู้เชี่ยวชาญในการจัดการน้ำชี้ว่า สาเหตุของหายนะครั้งนี้ เป็นผลมาจากฝีมือของมนุษย์

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ปัจจัยหลักๆ ของอุทกภัยในครั้งนี้ คือการตัดไม้ทำลายป่า การปลูกสิ่งก่อสร้างที่มากเกินไปในเขตพื้นที่รับน้ำ การสร้างเขื่อนและการหันเหธารน้ำธรรมชาติ การเจริญเติบโตของเมืองที่กระจัดกระจาย รวมถึงคูคลองในเมืองที่เริ่มอุดตันและการขาดการวางแผน เขาชี้ว่า เขาเคยเตือนทางการไปแล้วหลายครั้งในเรื่องนี้ หากแต่ก็ไม่มีผล

“ผมได้พยายามจะบอกทางการไม่รู้กี่ครั้งกี่หน แต่เขาบอกผมว่าผมน่ะบ้าไปเอง” ดร. สมิทธ ธรรมสโรช อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ผู้ซึ่งโด่งดังจากการคาดการณ์ภัยพิบัติสึนามิหลายปีก่อนที่คลื่นยักษ์จะเข้า ถล่มชายฝั่งในพ.ศ. 2547

ฤดูพายุร้อนในปีนี้ นำหายนะมาสู่กัมพูชา ฟิลลิปินส์ เวียดนามและไทย ซึ่งมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตแล้ว 283 คน

ในฟิลิปปินส์ มีหลายพันคนที่ต้องอพยพเนื่องจากพายุไต้ฝุ่นที่เข้าถล่มประเทศ ส่วนนาข้าวขั้นบันไดขนาfใหญ่ที่เมืองบานาวของฟิลลิปินส์ ก็ถูกโคลนถล่มทำลายเสียหายย่อยยับ

เช่นเดียวกับในกัมพูชา มีรายงานว่าที่กรุงเสียมราฐ เมืองหลวงของกัมพูชา ระดับน้ำก็สูงขึ้นมาระดับเข่า และกระแสน้ำเริ่มท่วมนครวัดแล้ว

ทางการไทยได้แจ้งเตือนว่า ในไม่อีกกี่วันนี้ กรุงเทพฯ จะถูกน้ำท่วมด้วยน้ำหลากจากภาคเหนือ น้ำหนุนและน้ำฝนจากพายุฤดูร้อน ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ก็ได้เริ่มขนกระสอบทรายมากั้นไว้เพื่อเตรียมความพร้อม และกว้านซื้ออาหารแห้ง น้ำดืม แบตเตอรี่ และเทียนไขมากักตุน

ส่วนการเตรียมการในกรุงเทพฯ ก็เป็นที่วุ่นวายมากทีเดียว กระสอบทรายเรียงรายกันยาวกว่า 45 ไมล์ ถูกวางกั้นตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนแนวกั้นนำและคูคลองก็กำลังสร้างขึ้นมารองรับกระแสน้ำ และประชาชนก็ได้รับคำเตือนจากทางการให้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ

ในขณะที่น้ำไหลบ่าลงจากทิศใต้จากจังหวัดนครสวรรคและอยุธยา ทำให้โบราณสถานจมอยู่ใต้น้ำ สื่อท้องถิ่นรายงานว่าทหารก็ได้เตรียมขนย้ายกระสอบทรายกว่า 150,000 ถุง ไล่ลงตามกระแสน้ำจากที่ที่ประสบความเสียหายแห่งหนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งมีความเสี่ยงต่อไป

ในขณะที่รัฐบาลพยายามปกป้องพื้นที่ในตัวเมืองและพื้นที่อุตสาหกรรมโดยการ หันเหน้ำไปทางอื่นเท่าที่จะทำได้ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นต้องเผชิญกับการตัดสินใจว่าจะเลือกช่วยเมืองไหน และเมืองไหนที่จะต้องเสียสละ

ในอยุธยา มีรายงานว่ามีชาวบ้านสองกลุ่มที่เกิดการทะเลาะวิวาทเรื่องทำนบที่กั้นน้ำจาก ฝั่งหนึ่ง ไม่ให้ไหลเข้าไปอีกฝั่งหนึ่ง ชาวบ้านฝั่งที่โชคร้ายรับน้ำท่วมเกิดความไม่พอใจ ได้ขุดรูตรงคันกั้นน้ำเพื่อปล่อยน้ำให้ไหลไปยังอีกฝั่งหนึ่ง จึงเกิดการยิงต่อสู้กัน ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ ในบางพื้นที่ ยังมีรายงานว่า ทหารได้ถูกส่งไปยังคันกั้นน้ำในบริเวณต่างๆ เพื่อเฝ้าระวังคันกั้นน้ำด้วย

เอวา นาร์คีวิกซ์ ผู้อำนวยการด้านการสื่อสารองค์กร Elephantstay ซึ่งเป็นองค์กรไม่หวังผลกำไรที่ดูแลช้างสูงอายุ ให้ข้อมูลว่า มีช้างราว 15 ตัวในอยุธยาที่ถูกปล่อยเกาะ โดยพวกมันหนีเอาตัวรอดโดยการปีนขึ้นหนีน้ำบนกำแพงยอดสูง ช้างโขลงนั้นประกอบด้วยแม่ช้างเจ็ดตัว และลูกๆของมัน ในจำนวนนั้น ยังรวมถึงช้างอายุ 9 ปีตัวหนึ่งที่มีชื่อเสียงระดับโลกด้วยทักษะการวาดภาพด้วยงวง

“ถ้าหากความช่วยเหลือที่เหมาะสมยังไม่มาถึงเร็วๆ นี้ แม่และลูกช้างจะอยู่ในอยู่ในอันตรายมาก” นาร์คีวิกซ์กล่าว เธอเสริมว่า ช้างแต่ละตัวบริโภคอาหารมากถึง 440 ปอนด์ (ราว 200 กิโลกรัม) ต่อวัน แต่เรือที่อาจใช้ขนส่งกล้วย สับปะรดและอ้อย จำเป็นต้องกู้ภัยและช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ตามที่ต่างๆ

นายสมิทธ นักอุตุนิยมวิทยากล่าวว่า สถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้ถูกทำให้เลวร้ายกว่าเดิม เป็นเพราะแผนการจัดการน้ำที่ไม่ดี

“พวกเขาคำนวณระดับน้ำผิดไป และไม่ได้ปล่อยน้ำออกจากเขื่อนให้เร็วพอในฤดูฝน” เขากล่าว “และตอนนี้ระดับน้ำในเขื่อนก็เกือบจะเต็มหมดแล้ว พอเมื่อเขาปล่อยน้ำในเวลานี้ น้ำก็ไหลลงมายังพื้นที่ราบต่ำ”

เขากล่าวว่า พื้นที่ดังกล่าวได้กลายเป็นอุปสรรคต่อกระแสการไหลของน้ำ เนื่องจากนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลายยังคงดำเนินการการปลูกสร้างต่อไป ไม่หยุดหย่อน

“พวกเขาสร้างอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ที่ควรจะเป็นอ่างเก็บน้ำ” เขากล่าว “และเมื่อพวกเขาสร้างเขื่อนหรือทำนบกั้นน้ำตรงนั้นขึ้นมา มันก็จะปิดกั้นการไหลของกระแสน้ำ ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นทางผ่านของน้ำในฤดูฝน”

เมื่อกระแสน้ำท่วมไหลบ่าเข้ามายังกรุงเทพฯ มันก็จะไหลเข้ามายังมหานครที่สูญเสียปราการกั้นน้ำตามธรรมชาติไปแล้ว กล่าวคือ คูคลองต่างๆ ที่ควรจะรองรับน้ำ ได้อุดตันไปด้วยเศษขยะต่างๆ ที่มาพร้อมกับประชากรที่อยู่อาศัยอย่างหนาแน่นในเมือง

“การวางผังเมืองของเรานั้นไร้ประสิทธิภาพ” นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์

“ฤดูกาลมิได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่หรอก” เขากล่าว “เรามักจะมีน้ำเยอะมากเป็นพิเศษในฤดูฝน แต่ถ้าหากเรายังไม่มีแผนการจัดการน้ำที่ดี เราก็จะเผชิญกับปัญหานี้อีกในปีหน้า”

เขากล่าวต่อว่า มนุษย์และธรรมชาติเริ่มขัดแย้งกันมากขึ้นเรื่อยๆ และการอยู่ร่วมกันก็กลายเป็นสมรภูมิขนาดย่อย “นี่เป็นสัญญานที่เตือนให้เรารู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะอนุรักษ์ผืนป่า... เราทำลายธรรมชาติไปมากพอแล้ว และตอนนี้ ก็เสมือนว่าเป็นเวลาที่ธรรมชาติจะขอเอาคืน”

ที่มา

แปลและเรียบเรียงจาก Seth Mydans. As Thailand Floods Spread, Experts Blame Officials, Not Rains. New York Times. 13/10/54
http://www.nytimes.com/2011/10/14/world/asia/a-natural-disaster-in-thailand-guided-by-human-hand.html

หมายเหตุ: ประชาไทได้แก้ไขข้อความและสำนวนตามคำท้วงติงจากผู้อ่านเพื่อความถูกต้องและสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 54 เวลา 7.50 น.

TCIJ: ชาวบ้านประจวบฯ ยืนหนังสือขอบคุณเรือนจำฯ เอาใจใส่ “จินตนา แก้วขาว”

ที่มา ประชาไท

รายงานโดย: เครือข่ายพันธมิตรเพื่อสิ่งแวดล้อม จ.ประจวบคีรีขันธ์

เครือข่ายพันธมิตรเพื่อสิ่งแวดล้อม จ.ประจวบคีรีขันธ์ หวั่นความปลอดภัย “จินตนา แก้วขาว” แต่เบาใจเรือนจำฯ เอาใจใส่ดี เขายื่นหนังสือขอบคุณ แต่ยังต้องจัดเวรยามดูแลความปลอดภัยตลอด 4 เดือน

วันที่ 13 ต.ค.54 เวลาประมาณ 13.30 น. ที่เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ นักกฎหมายจากสภาทนายความ และนายพิชัย ศรีใส กรรมการบริหาร สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ พร้อมด้วยเครือข่ายพันธมิตรเพื่อสิ่งแวดล้อม จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวนกว่า 200 คน เดินทางเข้ายื่นหนังสือขอบคุณแก่ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ดูแลนางจินตนา แก้วขาว ประธานกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด ซึ่งได้รับโทษจำคุกจากคดีการต่อสู้คัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค.54 โดยมีนายนายวีรศักดิ์ ระเบียบธรรม รองผู้บัญชาการเรือนจำฯ ลงมารับหนังสือ
จากรณี นางจินตนา ถูกศาลฎีกาพิพากษาตัดสินให้จำคุกเป็นระยะเวลา 4 เดือน ในคดีบุกรุก รบกวนการครอบครองที่ดิน ของ บริษัท ยูเนี่ยน เพาเวอร์ ดีเวลลอบเม้นท์ จำกัด เจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินบ้านกรูด จากเหตุการณ์ล้มโต๊ะจีนของบริษัทฯ
หนังสือดังกล่าวมีเนื้อหาระบุถึง ประเด็นสำคัญซึ่งทางเครือข่ายฯ มีความห่วงใย คือ สวัสดิภาพและความปลอดภัยของนางจินตนา ในระหว่างที่ต้องรับโทษในเรือนจำฯ แต่จากที่ทางเครือข่ายฯ ได้เข้าเยี่ยมนางจินตนาใน 3 วันที่ผ่านมา ทางเรือนจำฯ ได้ปฏิบัติและดูแลนางจินตนาเป็นอย่างดี ทำให้เครือข่ายพันธมิตรฯ คลายความวิตกกังวลไปได้บ้าง
ต่อมาเวลาประมาณ 14.00 น.ทางเครือข่ายฯ ได้มีการประชุมหารือ เรื่องการจัดเวรยามการดูแลความปลอดภัย โดยจะมีตัวแทนของเครือข่ายพันธมิตร ทั้ง 8 เครือข่ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดระยะเวลา 4 เดือนที่นางจินตนาต้องโทษ นอกจากนั้น ยังมีการหารือร่วมกันเรื่องการรับรู้ของสังคมและกิจกรรมการเปิดเวทีเมื่อครบ รอบ 1 เดือนของการต้องโทษ ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2554 นี้ เพื่อสรุปสถานการณ์ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น และร่วมเป็นกำลังให้กับนางจินตนา โดยจะเชิญนักวิชาการ เพื่อนมิตร ฯลฯ

รายงานสถานการณ์น้ำ 15 ต.ค. 54

ที่มา Thai E-News

ศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน



สภาวะระดับน้ำในแม่น้ำ เจ้าพระยา โดยกองทัพเรือ


++++++++++++++++++++++++++++++++++



ไทยอีนิวส์โพลล์:หนุนรัฐบาลปูให้สัตยาบันกรุงโรม นำฆาตกรสังหารหมู่ขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ

ที่มา Thai E-News


โดย ทีมข่า่วไทยอีนิวส์
15 ตุลาคม 2554

ไทยอีนิวส์ได้จัดทำแบบสำรวจหัวข้อเรื่อง "รัฐบาลควรให้สัตยาบัน เพื่อนำฆาตกรสังหารหมู่ขึ้นศาลระหว่างประเทศหรือไม่"

มีท่านผู้อ่าน ตอบแบบสำรวจทั้งสิ้น 2.768 ท่าน ผลสำรวจเป็นดังนี้
-ควร เพราะไม่เชื่อถือศาลไทย 1,634 ท่าน (59%)

-ควร เพื่อเคารพกติกาสากล 1,085 ท่าน (39%)

-ไม่ควร เพราะทักษิณอาจโดนคดีกรือเซะ-ตากใบ-ปราบผู้ค้ายาด้วย 28 ท่าน (1%)

-ไม่ควร เป็นการดึงต่างชาติแทรกแซง 17 ท่าน (0%)

-อื่นๆ 4 ท่าน (0%)




นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความชาวแคนาดา ซึ่งทำงานรวบรวมพยานหลักฐานเหตุปราบปรามคนเสื้อแดงช่วงปี 2553 จนมีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บเกือบ 2 พันราย ส่งขึ้นสู่กระบวนการพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศ กล่าวในระหว่างเดินทางมารวบรวมหลักฐานในประเทศไทยช่วงนี้ว่า รู้สึกดีใจที่ได้มาพบกับพี่น้องเสื้อแดง ถือเป็นเกียรติอย่างมากที่กลับมาประเทศไทยอีกครั้ง

แม้ขณะนี้จะมี ปัญหาน้ำท่วม และพี่น้องหลายๆ คนคงจดจ่ออยู่กับการช่วยเหลือ สิ่งนี้ทำให้ตนได้เห็นความสามัคคีของคนไทย และการทำงานของแกนนำนปช. ต้องบอกว่าประทับใจในความเข้มแข็งและอุดมการณ์ที่จริงจัง ตั้งแต่ช่วงต่อสู้กับความเป็นความตายในเหตุสังหารหมู่เมื่อปี 2553 และแน่นอนว่า เราจะเดินหน้าค้นหาหลักฐานข้อมูลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญคือเราต้องยึดมั่นในการค้นหาความจริง ไม่เช่นนั้นทั้งความยุติธรรมและประชาธิปไตยไม่อาจเกิดขึ้นในไทย

ลั่นเอาผิด"คนบงการ"ฆ่าแดง

นาย โรเบิร์ตแถลงว่า คนผิดควรได้รับโทษ ไม่ใช่ทหารชั้นผู้น้อยที่ทำตามคำสั่ง แต่ต้องเป็น ผู้บงการตัวจริง เช่นเดียวกับกฎหมายอนุญาตการทำรัฐประหาร ควรจะหมดไปจากประเทศไทยเสียที สิ่งที่เรียกว่ารัฐประหารและอำนาจมืดนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับพี่น้องคนไทยเพียงที่เดียว วันนี้ตนนำข้อมูลทางคดีซึ่งคล้ายคลึงกันมากจากฟิจิ แคนาดา เกรนาดา และอีกหลายประเทศว่าด้วยเรื่องของกฎหมายและความน่าจะเป็นของกฎหมายที่ดี นำมาปรึกษากับทีมทนายความนปช. ในการร่วมมือหาทางออกของอนาคต

"ทุก วันนี้ประเทศในแถบละตินอเมริกาครั้งหนึ่งเคยถูกอำนาจมืด และอิทธิพลทางการเมืองครอบงำได้กลายเป็นประเทศแถวหน้าของระบอบประชาธิปไตย ผมมั่นใจว่าเราเองก็ทำได้ อนาคตของประเทศไทยต้องไม่มีทหารออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมือง" ทนายชื่อดังชาวแคนาดา กล่าว

แย้มมีหลักฐาน"กองกำลังลับ"

นาย โรเบิร์ตกล่าวว่า จากการที่ตนไปเยี่ยม กลุ่มนปช. ที่ตกเป็นนักโทษทางการเมือง รู้สึกสลดใจว่าพี่น้องเสื้อแดงถูกปฏิบัติไม่เป็นธรรม เราต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อรับประกันอิสรภาพของพี่น้องที่โดนใส่ร้าย หนึ่งคำถามจากตนในฐานะคนต่างชาติคือเหตุใดกลุ่มอำมาตย์ชอบบงการเรื่องความ มั่นคงของประเทศ มีใครกันหรือที่ทำร้ายประเทศไทย และด้วยเหตุใดคนเสื้อแดงจึงถูกคุมขังเพื่อความมั่นคงของประเทศ

"เป็น เวลากว่าหนึ่งปี ที่ผมได้รวบรวมหลักฐาน ยิ่งเก็บเพิ่มเติมยิ่งเห็นความจริงที่ถูกปกปิด และเห็นว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ คิดผิดทั้งหมด เพราะคนเสื้อแดงไม่ได้วิ่งเข้าหากระสุนเอง ผมพูดได้เลยว่า เรามีข้อมูลชัดถึงคำสั่งสังหารประชาชน เรารู้ว่าใครเป็นคนสั่งให้กองกำลังลับขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกยิงถล่มคนเสื้อแดง" นายโรเบิร์ตระบุ

เผยพี่"ฟาบิโอ"จะมาไทยอีก

นอกจากนั้น นายโรเบิร์ตเผยด้วยว่า เร็วๆ นี้น.ส.เอลิซาเบตตา โปเลงกี พี่สาวนายฟาบิโอ โปเลงกี ช่างภาพอิสระผู้เสียชีวิตในเหตุสังหารเสื้อแดง 91 ศพ จะเดินทางมาประเทศไทย โดยทีมทนายและบรรดาญาติของผู้เสียชีวิตจะร่วมตรวจสอบความจริงในสถานที่เกิด เหตุอีกครั้ง เพราะเราไม่ยอมรับคำโกหกของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสิ่งผิดๆ ที่ผู้นำกองทัพพยายามบอก

********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:นานาชาติบีบไทยให้สัตยาบันกรุงโรม เปิดทางลากคอฆาตกรสังหารหมู่ขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ

นายกฯขำภาพร้องไห้บนเฮลิคอปเตอร์ แจงแค่แกะสายไมค์ไม่ได้

ที่มา Thai E-News



ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

จากกรณีที่ประชาชาติธุรกิจออนไลน์นำเสนอภาพน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงสีหน้าราวกับจะร้องไห้หรือเกิดอะไรขึ้นจึงทำให้นายกรัฐมนตรีหญิงมีสี หน้าเช่นนั้น ระหว่างที่เพิ่งขึ้นเฮลิคอปเตอร์กองบินปีกหมุนที่ 9 เพื่อเดินทางไปตรวจน้ำท่วมทางด้านภาคกลางตอนเหนือ เมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมาทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในแวดวงโซเชียลมีเดียนั้น

ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ได้สอบถามผู้ติดตามใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้นำภาพดังกล่าวให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ดูและถามนายกฯว่าเกิดอะไรขึ้นจึงทำสี หน้าเหมือนจะร้องไห้ ซึ่งทางน.ส.ยิ่งลักษณ์เมื่อได้ดูภาพแล้วขำขึ้นมา โดยยืนยันว่าไม่ได้ร้องไห้ หรือมีเรื่องอะไร

ทั้งนี้แหล่งข่าวใกล้ชิดระบุว่านายกฯบอกว่าจำไม่ได้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงทำสีหน้าเช่นนั้น แต่น่าจะมาจากสาเหตุที่พยายามจะแกะสายไมโครโฟนไวร์เลส (wireless)ของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งที่ติดมากับตัวหลังออกทีวีพูล ขณะที่นายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามในเฮลิคอปเตอร์ลำเดียวกันก็ยืนยันเช่นกันว่านายกฯ ไม่ได้ร้องไห้และไม่มีเรื่องอะไร

หมายเหตุไทยอีนิวส์:ภาพข่าวที่แพร่สะพัดออกไปว่านายกฯยิ่งลักษณ์ทำ ท่าเหมือนร้องไห้นั้น เป็นภาพข่าวต่อเนื่องจากรองนายกฯกิตติรัตน์ร่ำไห้ปลอบใจนักลงทุนชาวญี่ปุ่น ที่นิคมอุตสาหกรรมในอยุธยาจมน้ำ และผู้ว่าปทุมธานีร่ำไห้เพราะถูกชาวบ้านประท้วงให้รื้อคันกั้นน้ำ ทำให้คนที่ดูภาพของนายกฯยิ่งลักษณ์ทำหน้าเหมือนร้องไห้นั้น ดูให้น้ำหนักเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น

Friday, October 14, 2011

แก้"พ.ร.บ.กลาโหม" ทุบ"กล่องดวงใจ"เหล่าทัพ

ที่มา มติชน


(ที่มา : มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 14 ตุลาคม 2554 น.11)



คำสัมภาษณ์ของ "ศักดา คงเพชร" ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ที่พูดถึงพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 ว่าคลอดออกมาจาก "มดลูก" เผด็จการ เป็นการเปิดหน้าชนโดยตรงต่อกองทัพที่ได้อานิสงส์จากการมี พ.ร.บ.ฉบับนี้อยู่

โดยเฉพาะจาก "มาตรา 25" ที่กำหนดว่า การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ให้ดำเนินการโดยคณะกรรมการ อันประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (เป็นประธาน) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นกรรมการ ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นกรรมการและเลขานุการ

หมากเกมแรก ขับเคลื่อนโดย "ประชา ประสพดี" ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่เตรียมชงผลการบังคับใช้ พ.ร.บ.ดังกล่าวให้ กมธ.พิจารณาศึกษาข้อดี-ข้อเสีย เป็นการเปิดทางสู่กระบวนการถัดๆ ไป

แต่ท่าทีดังกล่าว สวนกับท่าทีของ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี "พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือแม้แต่ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รองนายกรัฐมนตรีที่ยังแบ่งรับแบ่งสู้

เพราะ "เซียนการเมือง" ย่อมรู้ดีว่า เป็น "ของร้อน" หากบุ่มบ่ามแตะไป รังแต่จะแตกหักก่อนเวลา

เพราะ ด้วยโดยเนื้อแท้แล้ว รัฐบาลปัจจุบัน กับ กองทัพ เป็นคนละเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว เพียงแต่ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่ "พรรคเพื่อไทย" ชนะอย่างท่วมท้น ทำให้ทหารไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆ ในทางการเมือง

แต่ทว่า มีเงื่อนไขในใจว่า "การเมือง" ก็อย่ามายุ่งกับ "ทหาร"

การ บริหารจัดการบุคลากรภาครัฐ กับการแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายราชการ มีมาแต่ในอดีต ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่ายุคสมัยใด ย่อมเข้ามาจัดวางพวกวางคนของตัวทั้งสิ้น

เป็นเหตุแห่งที่มาของคณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่เร่งวางภูมิคุ้มกัน "โรคแทรกแซง" เอาไว้ใน พ.ร.บ.ดังกล่าว

จริง อยู่ที่ "มาตรา 25" ตรึงอำนาจของ รมว.กลาโหมไว้ เพราะมีเพียง 1 เสียง และไม่มี รมช.กลาโหมมาช่วยอีก 1 เสียง แต่กระนั้นถ้าแก้ไขแล้ว ก็ไม่มีเครื่องการันตีทิศทางการแต่งตั้งโยกย้ายระดับนายพล

แม้ข้อ เสนอทางวิชาการที่บอกให้ตั้งเป็นคณะกรรมการหมือนคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (กตช.) ก็ไม่สามารถ "การันตี" ถึงความปลอดภัยได้ เพราะกรรมการโดยตำแหน่งส่วนใหญ่มาจากฝ่ายประจำ เช่น ปลัดกระทรวง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ฝ่ายประจำจะกล้าโหวตสวนทางกับ รมว.กลาโหม

และ หากฝ่ายบริหาร เข้ามาแต่งตั้ง 500 กว่านายพลได้จริง จะวุ่นวายหรือไม่ จะมีมาตรการกันบรรดานักการเมืองตัวดีคือบรรดา ส.ส. ที่จะเข้ามาฝากฝังคน หรือใช้อำนาจใช้งานอย่างไร จะซ้ำรอยผู้ว่าฯ นายอำเภอ ที่ถูกการเมืองใช้งานชี้นิ้ว เพื่อประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่

ต่อไปนายทหารตัวเล็กๆ จะต้องเดินตามนัการเมืองหรือไม่ เพื่อให้ได้เติบโตทางการงาน ซึ่งเกิดมาแล้วกับองค์กรตำรวจ ตามที่รู้กัน

หาก จำได้ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ภาพกองทัพถูกแทรกแซงจากการเมืองอย่างหนัก ดั่งภาพ ตท.10 เพื่อนร่วมรุ่น "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญจำนวนมาก ภาพของ ผบ.หน่วยทหารที่ต้องเดินตาม "พ.ต.ท.ทักษิณ" ไปทัวร์นกขมิ้น คอยรับคำสั่งเจียดงบประมาณและส่งกำลังซ่อมแซมสาธารณูปโภคตามจังหวัดต่างๆ ที่ส่งผลต่อคะแนนนิยมพรรคการเมือง ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนาหู

แล้วจะหาจุดสมดุลได้อย่างไร ที่ไม่ให้กองทัพกังวลจนต้องตั้ง "รัฐอิสระ" และไม่ให้การเมืองเข้า "ล้วงลูก" อย่างน่าเกลียด

สำหรับ กองทัพ เคยมีอดีตนายทหารทำการวิจัยศึกษาการแต่งตั้งโยกย้ายเทียบเคียงกรณีต่าง ประเทศ ซึ่งสมดุลที่คิดคือ ฝ่ายการเมืองควรแต่งตั้งในระดับผู้บัญชาการทหาร อาทิ ผบ.สส. ผบ.ทบ. ผบ.ทร. ผบ.ทอ. ได้เนื่องจากต้องทำงานสอดรับประสานงานกับฝ่ายบริหารโดยตรง

ส่วนนายพล ระดับล่าง ตั้งแต่ ผบ.กรม ผบ.กองพลขึ้นมา ควรให้ทหารตั้งกันเอง เพราะทหารมีวัฒนธรรมการเลือกใช้คนที่ไว้ใจ สั่งให้ไปตายแทนกันได้ในยามศึกสงคราม บางครั้งจึงสะท้อนภาพของการขึ้นยกแผงของรุ่นเดียวกันนั่นเอง

เมื่ออยากแตะ "ของร้อน" ก็ต้องใส่ถุงมือ และมีลีลาชั้นเชิงมากกว่านี้

อาการ บุ่มบ่ามกระหายใคร่แก้จาก ส.ส.เพื่อไทยและกลุ่มเสื้อแดง ที่มุ่งแต่ประเด็นเดียว คือ อำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร ย่อมบีบให้เดินสู่ "ความหมางใจ"

หัวอกชายชาติทหารอย่าง "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ผบ.ทบ. ที่เหลืออายุราชการถึงปี 2557 ย่อมหวาดระแวงเป็นธรรมดา หากถูก "ย้าย" หรือ "ปลด" กลางอากาศ

และ "กองทัพ" ยังจำได้ถึงอำนาจของนายกฯ ตามมาตรา 11 พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ที่สามารถสั่งให้ข้าราชการสังกัดกระทรวง ทบวง กรม มาช่วยราชการสำนักนายกฯได้

นั่นคือการ "ปลด" กลางอากาศ ทั้งในยามปกติ และในยามต่อสู้กันทางการเมือง เช่นการทำ "รัฐประหาร"

อย่า ลืมเหตุการณ์สำคัญ คืนวันที่ 19 กันยายน 2549 "พ.ต.ท.ทักษิณ" พยายามใช้อำนาจดังกล่าว "ปลด" "พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน" พ้น ผบ.ทบ. แต่ไม่สำเร็จ

หรือย้อนไปไกลกว่านั้น "พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ" อดีตนายกฯเคยพยายามหาเหตุปลด "พล.อ.สุจินดา คราประยูร" อดีต ผบ.ทบ. แต่ถูกรัฐประหารเสียก่อน

ทั้งหมดคือเหตุผลที่พูดกันว่า "ของร้อน" นี้ แตะไม่ดี อาจเจอ "รถถังและกระบอกปืน" กันอีกรอบ..

"ยิ่งลักษณ์"ตรวจแนวป้องกันน้ำคลองรังสิต มั่นใจไม่ทะลักเข้า กทม. "ธีระ"เผยอาจปิดประตูคลอง 1 ระบายน้ำไปคลอง 6

ที่มา มติชน

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 14 ตุลาคม ที่ประตูแนวป้องกันน้ำท่วม เทศบาลตำบลหลักหก อ.เมือง จ.ปทุมธานี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการทำงานของเจ้าหน้าที่ โดยมี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ผอ.ศปภ. นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผวจ.ปทุมธานี และ พล.ท.ยอดยุทธ์ บุญญาธิการ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก (นปอ.) รอต้อนรับ ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า วันนี้มาตรวจเพื่อให้เกิดความมั่นใจและความสบายใจต่อพี่น้องประชาชนในการทำ งานสัมพันธ์ระหว่าง ศปภ.กับ กทม. และขณะนี้ตนเห็นว่าทุกฝ่ายทำงานอย่างเต็มที่อยากให้ประชาชนมีความมั่นใจ ทางกรมชลประทานได้รายงานสถานการณ์ว่าน้ำมีความคงที่และมีแนวโน้มที่จะลดลง


พล.ต.อ.ประชากล่าวว่า ขณะนี้แนวคันกั้นน้ำระหว่างคลองเปรมประชากรกับคลองรังสิตสูงกว่าระดับน้ำ 50 เซนติเมตร แต่เรายังไม่วางใจในสถานการณ์ ซึ่งที่จริงเราต้องการให้เพิ่มจำนวนกระสอบทรายสูงขึ้นอีก 50 เซนติเมตร แต่หากต้องการความเร็วเราสามารถเพิ่มได้แค่ 30 เซนติเมตรไปก่อนเพื่อเป็นการสนับสนุนการป้องกันน้ำที่จะไหลทะลักเข้าคลอง เปรมประชากรซึ่งจะเป็นด่านแรกของ กทม.


ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าวว่า ตนได้ลงตรวจพื้นที่รอยต่อปทุมธานีกับ กทม.หลายรอบแล้ว และมีการเสริมคันกั้นน้ำตลอดแนวคลองรังสิต คิดว่าหากเพิ่มขึ้นสูงอีก 30 เซนติเมตรจะสามารถกันได้อยู่เพราะว่ามีแนวคันดินของชาวบ้านอีกชั้นอยู่หลัง แนวกระสอบทราย เพื่อเป็นแนวกั้นที่สามารถถ่วงเวลาให้เราเสริมกระสอบทรายหากมีจุดใดพังทลาย ลง และใช้เครื่องสูบน้ำออกได้ อย่างไรก็ตาม ตนยังมีความมั่นใจว่าจะสามารถกั้นน้ำไม่ให้เข้าตัว กทม.ได้ แต่ขอให้ ศปภ.จัดเวรยามดูแลแนวกระสอบทรายตลอด 24 ชั่วโมง


นายธีระกล่าวว่า เรามีปัญหาอีกจุดหนึ่งที่น้ำเหนือเอ่อล้นมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา ที่จะไหลผ่านคลองที่ 26 มายังคลองรังสิต 1 ซึ่งชาวบ้านไม่พอใจมีการพังแนวกั้นน้ำ ตนจึงอยากให้ปิดประตูระบายน้ำคลอง 1 ตามที่ ผวจ.ปทุมธานีเสนอเพื่อให้น้ำไปไหลลงทางคลองรังสิต 6

ล่าคนสั่งการ

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน
สมิงสามผลัด



ก้าวคืบไปอีกขั้นสำหรับคดีสลายม็อบ 91 ศพ

หลัง นางพะเยาว์ อัคฮาด แม่น้องเกด 1 ใน 6 ศพเหยื่อสังหารหมู่ในวัดปทุมวนาราม เข้าพบ พล.ต.ต. อนุชัย เล็กบำรุง หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีเจ้าหน้าที่รัฐฆ่า 13 ศพ

เรียกร้องให้นำคดีน้องเกดไปรวมกับคดี 13 ศพด้วย

เพราะมีพยานหลักฐานแน่นหนาว่าเสียชีวิตจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐเหมือนกัน

ก่อน หน้านี้ไม่กี่วัน นายวสันต์ หรือ เก่ง สายรัศมี เจ้าหน้าที่กู้ภัยและอาสาพยาบาลฯ เข้าพบตำรวจสน.บางรัก เพื่อเป็นพยานในคดี 6 ศพวัดปทุมฯ

พร้อมทั้งนำพนักงานสอบสวนไปชี้จุดที่เหยื่อทั้ง 6 ศพถูกยิงตาย ยืนยันว่าเห็นเจ้าหน้าที่เล็งปืนมาจากบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส

ทั้งหมดไม่ใช่แค่คำให้การเพียงลำพัง เพราะมีพยานอีกหลายคนที่เห็นเหตุการณ์

มีหลักฐานทั้งภาพถ่ายและคลิปประกอบสำนวน

ตรงนี้ถือเป็นช่องทางสำคัญในการรื้อคดี 6 ศพวัดปทุมฯขึ้นมาใหม่ หลังจากโดน "ดอง" อยู่นานเกือบ 2 ปี

การดำเนิน 91 ศพในกระบวนการสอบสวนของไทยได้ฤกษ์เดินหน้ากันแล้ว

การดำเนินคดี 91 ศพในศาลอาญาระหว่างประเทศก็กำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้าเช่นกัน

ล่า สุด นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความคนเสื้อแดง พร้อมด้วยทีมทนายความต่างชาติรวม 5 คน เข้าเยี่ยมกลุ่มนักโทษทางการเมืองที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง ลาดยาว

นายอัมสเตอร์ดัมมีโปรแกรมอยู่ในเมืองไทย 2 สัปดาห์พบปะกับญาติพี่น้องเหยื่อ 91 ศพ

เพื่อเก็บข้อมูลเป็นหลักฐานใหม่ นำไปใช้ประกอบสำนวนที่ยื่นฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศไปก่อนหน้าแล้ว

โดยยืนยันว่าไม่ได้มุ่งเอาผิดแก่ทหารชั้นผู้น้อย ซึ่งทำตามคำสั่งของผู้บัญชาการ

หากจะมีใครต้องรับผิดชอบ นั่นคือตัว "ผู้สั่งการ" ต่างหาก !?

นายอัมสเตอร์ดัมยังวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความแปลกใจว่าผู้เกี่ยวข้องกับคดีสังหารหมู่ประชาชน ยังมีหน้าที่และตำแหน่งในการบริหารบ้านเมือง

ไทยคงเป็นเพียงประเทศเดียวในโลกที่เป็นแบบนี้ !??

นายอัมสเตอร์ดัมต้องรอนานถึงเกือบ 2 ปีถึงจะได้เดินทางเข้าเมืองไทย

รวบรวมพยานหลักฐานยื่นศาลโลก เอาผิดคนสั่งการสังหารหมู่ 91 ศพใจกลางกรุงเทพฯ

จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอำนาจรัฐในยุคก่อน

ถึงสั่งห้ามนายอัมสเตอร์ดัมเข้าเมืองไทย

แก้"พ.ร.บ.กลาโหม" ทุบ"กล่องดวงใจ"เหล่าทัพ

ที่มา ประชาไท

(หนึ่ง) เมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าว "รำลึก 100 ปีปฏิวัติซินไห่ ปธน.จีน เรียกร้องรวมชาติจีน-ไต้หวัน" (http://www.prachatai.com/journal/2011/10/37313)

ดังรายละเอียดนี้ "ประธานาธิบดีจีน กล่าวสุนทรพจน์ในโอกาสครบรอบ 100 ปี การเปลี่ยนแปลงการปกครองจีน เป็นระบอบสาธารณรัฐ ชี้สองชาติจีน-ไต้หวัน ต้องยุติการเป็นปรปักษ์ เยียวยาความเจ็บปวดในอดีต และร่วมมือกัน พร้อมยกคำพูด “ซุนยัดเซ็น” การรวมชาติเป็นความหวังของชาวจีนทุกคน
พิธีรำลึกครบรอบ 100 ปีการปฏิ วัติซินไห่ ที่ศาลามหาประชาชน กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อ 9 ต.ค. 54 (ที่มา: สำนักข่าวซินหัว)





ข่าวพิธีรำลึกครบรอบ 100 ปีการปฏิวัติซินไห่ ทางสถานีโทรทัศน์ CCTV ของจีน (ที่มา: TheChineseNews/Youtube)
ปักกิ่ง - สำนักข่าวซินหัว รายงานวันนี้ (9 ต.ค.) ว่า ที่ศาลามหาประชาชน กรุงปักกิ่ง ประธานาธิบดีหูจิ่นเทา แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้กล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันครบรอบ 100 ปี การปฏิวัติซินไห่ ปี 1911 (พ.ศ. 2454) โดยนายหูจิ่นเทา กล่าวว่า ความพยายามที่จะทำให้ความเห็นพื้นฐานร่วมทางการเมืองในการคัดค้าน “เอกราช ของไต้หวัน” มีความจำเป็น และจะต้องชูฉันทามติ “1992”
“เรา ควรยุติการเป็นปฏิปักษ์ต่อกันระหว่างสองฟากฝั่ง เยียวยาความเจ็บปวดในอดีต และทำงานร่วมกันเพื่อการฟื้นฟูพลังอันยิ่งใหญ่ของชาติจีน” นายหูจิ่นเทากล่าว
นโยบายฟื้นฟูจีน (Rejuvenating China ) เป็นนโยบายสำคัญของ ดร.ซุนยัดเซ็น และผู้ร่วมการปฏิวัติในปี 1911 นี้
.........
ทั้งนี้ การปฏิวัติในปี 1911 เริ่มต้นในวันที่ 10 ตุลาคมปี 1911 เป็นการต่อสู้ด้วย กำลังอาวุธ และสิ้นสุดโดยทำให้การปกครองระบบจักรพรรดิกว่า2,000 ปีของจีนและราชวงศ์ ชิง (1644-1911) ต้องยุติลง และทำให้จีนกลายเป็นรัฐบาลสาธารณรัฐแห่งแรกของทวีปเอเชีย
ปาฐกถาในวันอาทิตย์ของนายหูจิ่นเทา เขาได้ยกคำพูดของ ดร.ซุนยัดเซ็นที่ว่า “การรวมชาติเป็นความหวังของชาวจีนทุกคน ถ้าการรวมชาติประสบผลสำเร็จ ประชาชนจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่ถ้าไม่ ประชาชนก็จะได้รับผลกระทบ”
นายหูจิ่นเทา กล่าวด้วยว่า “การรวมชาติโดยสันติวิธี คือ วิธีรับใช้ผลประโยชน์พื้นฐานของประชาชนชาวจีนทุกคน รวมทั้งเพื่อนร่วมชาติที่ไต้หวัน” นายหูจิ่นเทากล่าว...."
สอง) เมื่อไม่นานนี้ ดาราฮ่องกงดังคับโลก "เฉินหลง" (Jackie Chan) สร้างหนังยิ่งใหญ่ เรื่อง
"1911 Revolution" เนื่องในโอกาส 100 ปี ปฏิวัติ "เก็กเหม็ง" ของจีน ลงทุนหลายร้อยล้าน เฉินหลงเล่นเป็นคนสนิทของ ดร.ซุนยัตเซ็น และก็เป็น รมต. กระทรวงทหารบก หนังเรื่องนี้ฉายทั่วโลก เปิดตัวเมื่อต้นเดือนตุลา
ในหนังยิงกันทั้งเรื่อง ดูแล้วเหนื่อย แต่มันสสสส... กับประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ที่จบลงด้วย ฮองไทเฮา (พระพันปีหลวง องค์ที่เป็นต่อจากซูสีไทเฮา) ประกาศสละราชสมบัติ ในนาม Little Emperor: Puyi ดร.ซุนยัตเซ็น กลายเป็นประธาธิบดีคนแรก ก่อนที่จะถูก ยวนซีไข ทรยศ แล้วเมืองจีนก็ออกจาก "ยุคศักดินา" เข้า "ยุคขุนศึก" และ "สงครามกลางเมือง" ยาว ก่อนชัยชนะของเหมาเจ๋อตุง และการสร้างชาติใหม่ (http://www.mediaasia.com/1911/english/e_home.html)
สาม) ประวัติศาสตร์ปฏิวัติจีน 1911 (2454) มีปฏิสัมพันธ์กับ "ปฏิวัติสยาม" หรือ "กบฏ ร.ศ.130" (ค.ศ. 1912 พ.ศ.2454/55) อย่างน่าพิศวง เพียง 4 เดือน จากวันที่ 10 เดือนตุลา (ของปฏิวัติจีน) ถึงวันที่ 27 เดือนกุมภา (ของเหตุการณ์ในสยามประเทศไทย ซึ่งยังนับการขึ้นปีใหม่แบบเก่า คือ 1 เมษา ไม่ใช่ 1 มกรา) ก็มีการรวมตัวของบรรดาทหารหนุ่มรุ่นแรกเพื่อทำการปฏิวัติยึดอำนาจ เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองใน "สยาม" และก็ตรงกับสมัยต้นรัชกาลที่ 6 (ครองราชย์มาได้เพียง 15 เดือน หลังจากการสวรรคตของรัชกาลที่ 5 เมื่อ 23 ตุลา 2453/1910)
"ผู้ก่อการ" ของ "ร.ศ. 130" คือนายทหารหนุ่มจำนวนถึง 91 คน ถูกจับเสียก่อนลงมือปฏิบัติการณ์
-3 คน ถูกตัดสิน ประหารชีวิต (ลดโทษเป็นจำคุก)
-20 คน จำคุกตลอดชีวิต
-32 คน จำคุก 20 ปี
-6 คน จำคุก 15 ปี
-30 คน จำคุก 12 ปี
หัวหน้า "กบฏ ร.ศ. 130" คือ นพ.ร.อ. เหล็ง ศรีจันทร์ (หรือหมอเหล็ง) กับ ร.ท.จรูญ ณ บางช้าง และ ร.ต.เจือ ศิลาอาสน์ นายทหารหนุ่มมากๆ รุ่นนั้นส่วนใหญ่อายุ 20 ปี ต้นๆ การก่อการในสยามประเทศครั้งนั้น บ้างก็เรียก "กบฏหมอเหล็ง" (เพราะหัวหน้า เป็นหมอทหาร ชื่อเหล็ง) บ้างก็เรียก "กบฏเก็กเหม็ง" (เป็นคำยืมจากสำเนียงจีนแต้จิ๋ว) รายละเอียดดู http://politicalbase.in.th/index.php/กบฎ ร.ศ.130
ความพยายาม "ปฏิวัติประชาธิปไตย" ของสยาม จะมาสำเร็จใน "ระดับหนึ่ง" ก็อีก 20 ปีต่อมา คือ เมื่อ 24 มิถุนา 2475 (1932) โดย "คณะราษฎร"(อ่านว่า คะ-นะ-ราด-สะ-ดอน) แต่เส้นทางเดินของ "ประชาธิปไตยไทยสยาม" ก็ลดเลี้ยวเคี้ยวคด ถ้านับแต่ครั้งแรก คือ จาก ร.ศ.130 (พ.ศ.2454/55) ก็เกือบ 100 ปี มาแล้ว ต้องต่อสู้กันอีกหลายครั้งหลายคราว ไม่ว่าจะเป็น ตุลา/ตุลา (2516-2519 หรือ 1973-1976) หรือ พฤษภา/พฤษภา (2535-2553 หรือ 1992-2010)
สี่) "อดีต ปัจจุบัน และอนาคต" ดูเหมือนจะอยู่ใน "กาลานุกรม" (time line) เดียวกัน
เมื่อถึงปีเดือนกุมภาหน้า ค.ศ.2012 หรือ พ.ศ.2555 ก็จะครบรอบ "กบฏ ร.ศ. 130" น่าที่เราจะต้องจัดการศึกษาวิจัย ประเมินเหตุและผลทางประวัติศาสตร์/การเมือง ของสยามประเทศไทยกันเสียทีว่า เรามาจากไหนกัน และ "เราจะไป (กัน) ทางไหน" ครับ Thailand-Siam: Quo Va Dis

เสวนาเดือนตุลา : ความรุนแรง สันติวิธี และการต่อสู้ทางวัฒนธรรม

ที่มา Thai E-News

การปราบจลาจล ทำไมต่างประเทศประท้วงบ่อย แต่ไม่มีคนตาย ทำไมประเทศเราจึงมีคนตาย ..?

โดย อานนท์ ตันติวิวัฒน์
ที่มา สำนักข่าวประชาธรรม
ภาพประกอบ Manit Sriwanichpoom



เมื่อวันพุธที่ 12 ตุลาคม 2554 ณ ห้องแลคเชอร์ ชั้น 2 อาคารมีเดีย อาร์ต แอนด์ ดีไซน์ หอศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีการจัดเสวนา "เดือนตุลา : ความรุนแรง สันติวิธี และ การต่อสู้ทางวัฒนธรรม" โดยมีวิทยากรที่ร่วมเสวนาประกอบด้วย ภัควดี ไม่มีนามสกุล นักเขียนและนักแปลอิสระ ชัชวาล บุญปัน อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมิตร ใจอินทร์ ศิลปินอิสระในสาขาทัศนศิลป์ โดยมีณัฐกร วิทิตานนท์ เป็นผู้ดำเนินรายการ

ชัชวาล บุญปัน กล่าวว่า ความรุนแรงเกิดขึ้นในสังคมไทยมายาวนาน สิ่งที่จะแก้ไขความรุนแรงได้คือการเปิดเผยความจริง ซึ่งการเปิดเผยความจริงคือสันติวิธีที่ทำให้สังคมเป็นปกติ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการปิดกั้นไม่ให้มีการแสวงหาความจริง เป็นการสร้างความรุนแรงให้สังคม

เพราะความจริงจะทำให้สังคมร่วมกันตัดสินใจได้ ในประวัติศาสตร์สังคมที่ผ่านมา มันล่มสลายเพราะสังคมไม่รู้ว่าอะไรคือความจริง เช่น สังคมของชนเผ่ามายา ที่แข่งกันสลักรูปหินใหญ่ ทำลายสิ่งแวดล้อม จนสุดท้ายนำมาสู่การล่มสลายของชนเผ่า

หรือสังคมที่รู้ว่าความจริงมันคืออะไร แต่คิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว สังคมก็ล่มสลายอย่างเรื่อง อุทกภัย โลกร้อน เป็นต้น

หรือสังคมรู้ว่าความจริงคืออะไร แต่ไม่แก้ไขเพราะติดปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ผลประโยชน์ อำนาจ ฯลฯ สังคมก็อาจล่มสลาย

ชัชวาล กล่าวต่อว่า มนุษย์มีธรรมชาติในการแสวงหาความจริง แม้ว่าผู้ปกครองจะปิดกั้น ข่มขู่ไม่ให้คนแสวงหาความจริง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าสมัยไหนก็ทำไม่สำเร็จ

เช่น สมัยของกาลิเลโอที่จะอธิบายความจริงเกี่ยวกับโลก ก็มีการวิวาทะระหว่างโลกเก่ากับโลกใหม่ สันตะปาปาพยายามทำให้หนังสือของกาลิเลโอเป็นหนังสือต้องห้าม ไม่ได้รับการเผยแพร่ แม้ในกรุงโรมจะไม่ได้อ่าน แต่นอกกรุงโรมนั้นได้อ่านหมด

กรณีประเทศไทย แอนดรูว์ มาร์แชล รู้เรื่องเกี่ยวกับประเทศไทยจากเอกสารวิกิลีกส์ประมาณ 3-4 พันฉบับ เขาไม่สามารถเขียนให้คนไทยอ่านได้ แต่เขาสามารถเขียนเป็นภาษาต่างประเทศและเผยแพร่ไปทั่วโลก นี่ก็แสดงให้เห็นว่าความจริงไม่สามารถปิดกั้นได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกสมัย ใหม่


นอกจากนี้ ชัชวาล อ้างบทสัมภาษณ์ของแอนดรูว์ มาร์แชล ว่า
มัน น่าแปลกที่ในยุคโลกาภิวัฒน์ คนไทยไม่สามารถพูดถึงประเด็นใจกลางที่เป็นอนาคตของลูกหลานตัวเองได้ มันไม่สามารถหาทางออกได้หากยังไม่มีใครยอมรับว่าใครทำอะไรลงไป มันจะเป็นวงจรอุบาทว์ต่อไป
ซึ่งแอนด์ดรูว์เห็นว่า การยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 จะทำให้สังคมไทยสามารถพูดในสิ่งที่ไม่สามารถพูดถึงได้

"มีคนกล่าวว่าสังคมไทยขาดจิตวิญญาณที่จะพูดความจริง แต่คิดว่าไม่จริง เพราะหลังรัฐประหารปี 49 นั้นมีคนแบบกาลิเลโอเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก

เกิดการตั้งคำถามว่า คนไทยทำไมถึงถูกห้ามไม่ให้พูด เขียน หรืออ่านหนังสือบางเล่มที่คนทั้งโลกได้อ่านทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ

ตรงกันข้ามสื่อกระแสหลักไม่ส่งเสริมให้คนไทยเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างเปิด เผย เพื่อที่จะทำให้คนไทยประเมินความจริงแบบรอบด้าน และรู้เท่าทัน เพราะนี่คือพลังที่จะทำให้สังคมไทยไม่ไปสู่ความล่มสลาย

แต่เครือข่ายอำนาจที่ไม่มีจิตวิญาณที่จะยอมรับความจริง พยายามจะอนุรักษ์ความรุนแรงเพื่อเป็นเครื่องมือปกปิดความจริง" อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าว

ชัชวาล ตั้งคำถามต่อไปว่า ทำไมต้องปกปิดข้อมูลข่าวสารอย่าง วิกิลิกส์ นั่นเป็นเพราะข้อมูลนั้นมีพลังการอธิบายสูง คือมันมากกว่าคำอธิบายเดิมที่หมดพลังไป ในโลกแบบอริสโตเติ้ลไม่สามารถอธิบายได้อย่างที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้ว เพราะมีคำอธิบายใหม่ๆเกิดขึ้นและดีกว่าเดิม เมื่อใดก็ตามที่มีคำอธิบายใหม่และมีพลังอธิบายมากกว่า คำอธิบายนั้นจะยั่งยืนมั่นคงมากกว่า จนกว่าจะมีคำอธิบายใหม่มาคัดค้านมันให้ตกไป

"ขอเปรียบเทียบในเชิงวิทยาศาสตร์ คำอธิบายของวิกิลีกส์อาจจะเทียบได้กับปรากฏการณ์ "photo reactive effect" หมายความว่าปรากฏการณ์นี้มันเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสของโลกทัศน์กลศาสตร์คลา สสิค ซึ่งมันมีพลังในการอธิบายมาก

จนกระทั่งมีเหตุการณ์เล็กๆเกิดขึ้น คือ มีแสงตกกระทบแผ่นโลหะแล้วมีกระแสไฟฟ้าไหล ก็คิดว่าจะอธิบายด้วยแนวคิดกลศาสตร์นิวตันแบบเดิม แต่ปรากฏว่าทำอย่างไรก็อธิบายไม่ได้ จนกระทั่งต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เกี่ยวกับพลังงาน ซึ่งทฤษฎีโปรตอนของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ อธิบายเรื่องนี้ได้ กลายเป็นว่าทฤษฎีนี้ มีพลังในการอธิบายปรากฏการณ์ได้มากขึ้น

เปรียบได้กับวิกิลีกส์ที่ทำให้เราสามารถอธิบายการเมือง และปรากฏการณ์ทางสังคมได้มากกว่าเดิม การได้อ่านข้อมูลมากขึ้นย่อมทำให้ประเมินปรากฏการณ์ได้มากขึ้นกว่าเดิม

กรณีดังกล่าวก็ทำให้เราพบว่าความงอกงามทางปัญญาจะเกิดขึ้นจากอิสรภาพ เสรีภาพในการแสดงออกความคิดเห็นอย่างเต็มที่และยืนยันว่าผลมันเกิดขึ้นอย่าง ไรจริงๆ" ชัชวาล กล่าว

ชัชวาล สรุปว่า ในโลกปัจจุบันข้อมูลข่าวสารมากขึ้น และไม่สามารถสกัดกั้นได้ พลังการอธิบายโลกแบบเดิมมันลดลง เครื่องมือของสังคมไทยในการปกป้องพลังอธิบายเดิมคือ พลังรัฐประหาร ในโลกวิทยาศาสตร์ เราพูดถึงหลักการอนุรักษ์พลังงาน พลังงานมันไม่เคยหายไปไหน มันแค่เปลี่ยนรูปแบบ

เมื่อเทียบกับสังคมไทย ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะมีการปฏิวัติรัฐประหารกี่ครั้ง สิ่งที่ประชาชนทำ สะท้อนให้เห็นว่า มันยังคงมีพลังของประชาธิปไตยอยู่ ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็สะท้อนว่าพลังประชาธิปไตยนั้นยังคงอยู่

การจำคุก เข่นฆ่า ไม่ได้ทำให้หายไป การต่อสู้ทางวัฒนธรรมก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะรักษาพลังประชาธิปไตยไว้ ที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นสามัญชนกับการเปลี่ยนโลกเพื่อตั้งคำถามว่าวิถีชีวิต แบบไหนแน่ที่คนไทยต้องการ คำถามนี้คือ การยืนยันว่าวิธีที่จะทำให้สังคมกลับไปสู่ความปกติ ก็คือวิถีชีวิตที่ต้องการสิทธิเสรีภาพนั่นเอง

ภัควดี ไม่มีนามสกุล เริ่มต้นกล่าวถึงความสนใจเรื่องการปราบจลาจลว่า ทำไมต่างประเทศประท้วงบ่อย แต่ไม่มีคนตาย ทำไมประเทศเราจึงมีคนตาย

ดังนั้น จากความสนใจในประเด็นเรื่องการปราบจลาจลของตน จึงนำมาสู่เรื่องที่จะนำมาเล่าอยู่สองเรื่องคือหนึ่ง เรื่องความรุนแรงของรัฐ ในเมืองไทยมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการปราบจลาจล

ซึ่งในภาษาอังกฤษมีอยู่สองอย่าง อย่างแรกเรียก "Counterinsurgency" ภาษาไทยเรียกว่าการปราบปรามการก่อความไม่สงบ (ซึ่งคิดว่ายังแปลไม่ถูกและยังไม่รู้ว่าจะแปลอย่างไรจึงขอเรียกเป็นภาษา อังกฤษ-ภัควดี)

อีกอย่างคือ Riot control หรือการควบคุมการจลาจล

เมืองไทยไม่มีการแยกสองอย่างนี้ ฉะนั้นทุกครั้งที่เกิดปัญหาประชาชนประท้วงในเหตุการณ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลา 6 ตุลา พฤษภา 35 กรือเซะ ตากใบ เมษายน 52 เราจะใช้วิธีการเดียวกันคือการเอาอาวุธหนักออกมาปราบ

วิธีการที่รัฐไทยทำคือ "counterinsurgency" ซึ่งจริงๆแล้ววิธีนี้ใช้ใน 3 กรณี หนึ่ง ใช้ในการสงคราม สอง การรุกรานเพื่อการยึดครอง และสามการปราบปรามกบฏติดอาวุธ

ภัควดี กล่าวต่อว่า ในสงครามเวียดนาม เวลาทหารสหรัฐเข้าไปปราบปรามคนเวียดนาม เขาจะฆ่ามั่ว ฆ่าชาวบ้านด้วย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเป็นเรื่องยากที่เขายากจะแยกแยะว่าใครเป็นใคร ก็เลยฆ่าหมด เป็นวิธีการเหมารวม

สิ่งที่อยากจะบอกคือรัฐไทยอยู่ในชุดความคิดนี้ไม่เคยเปลี่ยน การปราบประชาชนก็ปราบแบบ "counterinsurgency" ตลอดเวลา

ฉะนั้นเราจะเห็นว่า ตอนพฤษภา 53 ทำไมพยาบาลตาย ทำไมสื่อมวลชนตาย นั่นก็เป็นเพราะทหารไทยปราบหมด ฆ่าตายหมด นี่คือชุดความคิดของรัฐไทยที่มีต่อประชาชนไทย

ทำไมรัฐไทยจึงคิดแบบนี้ ทั้งที่ประเทศอื่นเขาก้าวหน้าไปหมดแล้ว บทความอาจารย์ธงชัยในหนังสือฟ้าเดียวกันเล่มล่าสุดตอบคำถามนี้ได้ดี โดยบอกว่ารัฐไทยในช่วงรัชกาลที่ 5 ไปรับเอาความคิดแบบอาณานิคมเข้ามา ขณะเดียวกันกรุงเทพฯที่เป็นศูนย์กลางก็มองพื้นที่ต่างจังหวัดเป็นอาณานิคม ด้วย

อธิปไตยของรัฐไทยในสายตาผู้ปกครอง คือ การมีอำนาจเหนือดินแดน สิ่งสำคัญคือดินแดน ไมใช่คน เพราะฉะนั้นรัฐไทยจึงไม่ใช่รัฐประชาชาติ คือไม่ได้มองว่าชีวิตมนุษย์ประชาชนสำคัญต่อรัฐ ดังนั้นเมื่อต้องการปราบปรามประชาชน คือ การปราบปรามให้หมดสิ้น เหมือนปราบปรามประเทศในอาณานิคม

นอกจากนี้ นักเขียนและนักแปลอิสระ กล่าวเพิ่มเติมว่
า วิธีคิดของรัฐและศาล ยังมีวิธีคิดเป็นชนเผ่าอยู่ แนวคิดสมัยใหม่ศาลต้องมองมนุษย์เป็นปัจเจกบุคคล ใครทำผิดก็หาหลักฐานเป็นบุคคล แต่ศาลและรัฐกลับมีแนวคิดคล้ายช่างกลตีกัน คือ ตีหมดทุกคน โดยไม่มองว่าคนนี้เป็นอริหรือไม่ เห็นหัวเข็มขัดก็ตีไว้ก่อน ศาลไทยก็คิดแบบนี้ เวลาจับคนเสื้อแดง แค่ใส่เสื้อแดงก็ผิดหมด ไม่มีการพิสูจน์เป็นรายปัจเจกบุคคล วิธีคิดนี้ครอบงำรัฐไทยมาตลอด

ส่วนวิธีปราบจลาจลแบบ Riot control โดยปกติประเทศโลกที่หนึ่งจะใช้กันมาก คือ มีข้อห้ามในการใช้อาวุธที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต ได้แก่ กระบอง โล่ แก๊สน้ำตา ปืนฉีดน้ำ สเปรย์พริกไทย ใช้กระสุนยาง วิธีการนี้มีมาเป็นร้อยปี อย่างประเทศอังกฤษเขาใช้วิธีนี้มานานแล้ว

น่าสนใจว่าทำไมอังกฤษ ประเทศซึ่งเคยเป็นเจ้าอาณานิคม แต่ไม่ใช้วิธีปราบปรามรุนแรง ไม่ใช้วิธีการฆ่าให้ตายหมด วิธีการนี้เริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ อย่างไรก็ตามอังกฤษก็เลิกใช้กระสุนยางไปเมื่อ 30 กว่าปีแล้วเพราะอาจเกิดอันตรายได้

"เป็นที่น่าสังเกตว่ารัฐไทยไม่เคยใช้วิธีนี้ในการปราบปรามการจารจลในขณะที่ ประเทศอื่นๆอย่าง เยอรมันหรือมาเลเซียเองใช้วิธีนี้ในการควบคุมฝูงชนและไม่ทำให้ผู้ประท้วง เสียชีวิต ทำไมรัฐไทยไม่เปลี่ยนชุดความคิด เปลี่ยนวิธีการปราบจาลาจลใหม่" นักเขียนและนักแปลอิสระ กล่าว

ภัควดี กล่าวต่อว่า ประเด็นที่สองเรื่อง สันติวิธี การต่อสู้แบบนี้ ไม่ใช่เป้าหมายในตัวมันเอง ถ้าเราสังเกตดูมันเกิดขึ้นในระยะหลัง อาจเรียกได้ว่า คานธีเป็นคนริเริ่ม แต่ปัญหาอยู่ที่การนิยามรุนแรง ซึ่งแต่ละคนจะคิดแตกต่างกัน

การประท้วงในต่างประเทศ แรกเริ่มคือนักสันติวิธีจะพยายามห้ามโน่น ห้ามนี่ จนเกิดการโต้เถียงกันในขบวนการประท้วง และมีแบ่งโซนกันประท้วงว่าโซนสีเขียว (แบบสันติวิธี) โซนสีแดง (แบบแนวหน้าชอบปะทะ ไม่ได้นั่งเฉย เช่นอาจมีการรื้อรั้ว) แต่เวลาประท้วงจริงกลับปรากฏว่าผู้ประท้วง จะเทไปอยู่ในโซนสีแดงทุกครั้ง เพราะเวลาโดนยิงแก๊สน้ำตาก็โดนหมด

ฉะนั้นความรุนแรงจึงยากที่จะนิยามได้ เพราะในบางประเทศการใช้ระเบิดขวด ถูกกล่าวหาว่ารุนแรง แต่ในประเทศแคนนาดาโซนที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส ระเบิดขวดเป็นมาตรฐานของการประท้วง ไม่ถือว่าเป็นความรุนแรงเพราะผู้ประท้วงปาระเบิดขวดหมด แล้วปรากฏว่าการระเบิดขวดก็ไม่ได้ทำให้อาคารไหม้ด้วย

การประท้วง WTO หลายครั้ง คนก็จะบอกว่าผู้ประท้วงใช้ความรุนแรง เช่นการรื้อรั้ว (แต่ไม่มีใครตาย)แต่ก็ได้ผลทำให้ที่ประชุมหยุดการประชุมชั่วคราวได้เหมือน กัน อย่างนี้เรียกว่ารุนแรงหรือไม่ ในขณะที่ทั่วโลกประท้วงสหรัฐในการทำสงครามกับอิรัก โดยใช้หลักสันติวิธี แต่สุดท้ายก็ห้ามไม่ได้ จึงเกิดคำถามขึ้นมาอีกว่าแบบนี้สันติวิธีเกินไปหรือเปล่าจึงทำให้ไม่สามารถ ยับยั้งสงครามได้ มันจึงเป็นคำถามที่ต้องหาคำตอบ

สันติวิธีในเมืองไทยมีปัญหามากกว่าในต่างประเทศ เป็นเพราะมันถูกผูกขาดหรือนิยามโดยคนกลุ่มเดียว และนักสันติวิธีในเมืองไทยไม่ใช่นักเคลื่อนไหว ใช้ทฤษฎีมากกว่าการปฏิบัติ ส่วนใหญ่เป็นนักสันติวิธีในห้องแอร์

นักสันติวิธีกลุ่มนี้มักจะเอาตัวอย่างในต่างประเทศมาโดยไม่ดูบริบท จะอ้าง คานธี หรือ เนลสัน แมนเดลา ซึ่งไม่ได้ดูว่าคานธีเคยคิดใช้อาวุธต่อสู้กับอังกฤษ แต่คิดว่าไม่ได้ผลเลยไม่ใช้ ส่วนแมนเดลาก็เคยใช้อาวุธในการต่อสู้มาก่อนเหมือนกันแต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงหันมาต่อสู้โดยสันติวิธี

"อหิงสาของคานธีที่นำมาใช้กัน อย่างการประท้วงเรื่องเกลือ เราจะเห็นภาพคนเดินให้ตำรวจตีหัวโดยไม่ตอบโต้ เป็นภาพที่น่าสะเทือนใจมาก แต่ถามว่าวิธีการนี้มันใช้ได้ทุกที่หรือเปล่า เขาบอกว่าคนอินเดียใช้วิธีการนี้ได้เพราะอินเดียมีระบบวรรณะ และวรรณะต่ำ คือ จัณฑาล ซึ่งถูกกดขี่หรือถูกทำร้ายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่วรรณะนี้จะเดินไปให้เขาตีเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นการที่วิธีการนี้จะสำเร็จในพื้นที่อื่น จะต้องสร้างระบบวรรณะขึ้นมาหรือไม่" นักเขียนและนักแปลอิสระ กล่าว

ภัควดี กล่าวอีกว่า ในสังคมไทยเป็นสังคมของเจ้าพ่อ นักเลง การใช้สันติวิธีแบบอินเดีย เช่น การเดินไปให้เขาตี อาจทำไม่ได้ การใช้สันติวิธีจึงต้องมีเงื่อนไขเฉพาะ นักสันติวิธีเมืองไทยเอาเรื่อง อหิงสามาใช้โดยไม่ดูบริบท ทำให้มีปัญหาในสังคม นอกจากนี้ยังนำสันติวิธีไปผูกติดกับศาสนา โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าคนที่คิดเรื่องจิตวิญญาณ มักจะมองคนเป็นระดับชั้น คือเมื่อเราเชื่อเรื่องจิตวิญญาณเราก็เชื่อว่ามีจิตวิญาณที่ลุ่มลึกกับจิต วิญญาณที่ตื้นเขิน ฉะนั้นจึงนับถือคนที่มีจิตวิญญาณที่ลุ่มลึก จึงทำให้คนที่คิดเรื่องนี้ยึดติดกับผู้นำที่มีบารมี สังเกตได้จากขบวนการสัตยาเคราะห์ของอินเดีย

"กระบวนการสันติวิธีในไทยนั้นแปลก เพราะในต่างประเทศสันติวิธีนั้นมีเป้าเหมายทางการเมือง เช่น คานธีต้องการเอกราชจากอังกฤษ เนลสัน แมนเดลาต้องการยกเลิกการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ มาร์ติน ลูเธอร์คิงต้องการให้คนยอมรับสิทธิคนผิวดำในอเมริกา หรือแม้กระทั่งสันติวิธีในการประท้วง WTO ก็ต่อต้านทุนนิยม

แต่ในไทยใช้สันติวิธีเฉยๆ ไม่มีเป้าหมายหรืออุดมการณ์ทางการเมืองอะไรเลย คือ ไม่เคยบอกว่าต้องการอะไรทางการเมือง ไม่เคยสร้างภาพวิสัยทัศน์การเมืองแบบที่เขาต้องการ สันติวิธีเพื่อสันติวิธีเท่านั้นเอง เป็นสันติวิธีที่ระบอบการปกครองเป็นอะไรก็ได้ ขอแต่อย่าให้มีใครตาย ถ้าสันติวิธีเป็นอย่างนี้ก็อยากให้ผู้ทำสันติวิธีนอนอุเบกขาอยู่บ้านดีกว่า" นักเขียนและนักแปลอิสระ กล่าว

ภัควดี สรุปว่า การต่อสู้ประชาชนไทยต่อไปข้างหน้า เราคงต้องมาคิดเรื่องสันติวิธีกันใหม่ มาสร้างสันติวิธีกันใหม่ที่ไม่ต้องผูกขาดโดยคนกลุ่มเดียว นอกจากนี้ทุกความเปลี่ยนแปลงไม่โรแมนติก ฉะนั้นจึงไม่ต้องยึดติดกับตัวบุคคล เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงเราจึงต้องมีการเตรียมตัว เรื่องสันติวิธีเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อความเปลี่ยนแปลงที่ได้รับความนิยม เพราะการเปลี่ยนแปลงรัฐด้วยการใช้กองกำลังอาวุธ เราต้องมีทุน อาวุธ เหมือนสมัยก่อน

แต่ปัญหาคือเมื่อไรก็ตามที่เราจัดตั้งกองทัพหนึ่งขึ้นมาเพื่อปราบอีกกองทัพ หนึ่ง มันจะสร้างอสูรกายขึ้นมากดขี่เราอีก เกิดบาดแผลจากการใช้กองกำลังอาวุธ และใช้เวลาในการเยียวยานาน เป็นไปไม่ได้ที่เราจะใช้ความเป็นเผด็จการมาสร้างประชาธิปไตย

ส่วนเรื่องการนำสันติวิธีมาใช้ ปัญหามันอยู่ที่การนิยามความรุนแรงที่ต่างกัน เพราะในเมืองไทยสันติวิธีมันถูกผูกขาดโดยคนกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนี้ได้ออกทีวี เพราะเขาบอกว่า การเทเลือดคือความรุนแรง เป็นต้น

ภัควดี กล่าวทิ้งท้ายว่า ดีใจที่คนทำงานด้านศิลปะหันมาสนใจประเด็นนี้ ซึ่งถ้าดูการประท้วงในต่างประเทศ ศิลปินมีบทบาทสูงมาก และทำให้การประท้วงมีสีสัน เช่น การประท้วงในประเทศอิตาลี กลุ่ม "ตูเต้ เบียงเช่" ที่เชื่อว่าสันติวิธีคือการประท้วงแล้วไม่เจ็บตัว เวลาประท้วงเขาจะใส่เกราะ แล้วเดินไปให้ตำรวจตี เขาก็ไม่เจ็บตัว ฉะนั้นถ้าศิลปินเข้ามาร่วมเคลื่อนไหว ก็จะทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น

ด้านมิตร ใจอินทร์ กล่าวถึงประท้วงทางวัฒนธรรมโดยการอดอาหาร ว่า รู้สึกแปลกใจ อดอาหารแต่ก็ยังมีแรงมาก ยังอยู่ได้ ทฤษฎีกาลิเลโอในปัจจุบัน เราใช้วิกิลีกส์ผ่านโลกออนไลน์ การปกปิดความจริงและความอุจาดทางความคิดวิปริตยิ่งกว่าน้ำท่วม

ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญ และกฎหมายมาตรา 112 ตนคิดว่าเป็นความรุนแรงอย่างมาก เกิดความวิปริต และเกิดอะไรขึ้นจากความจริง ความรุนแรงคือการปกปิดความจริง โดยเฉพาะเรื่องสถาบันกษัตริย์ วิธีการต่อสู้กับความวิปริตเหล่านี้แบบสามัญชน คือการเข้าถึงข้อมูล และการตรวจสอบได้

"การอดอาหารประท้วง 112 ชั่วโมง นั้นคิดมานานแล้ว เพราะรู้สึกตกใจที่ศิลปินด้วยกันที่เคยใช้แนวทางสันติวิธีมาก่อนในการต้าน รัฐประหาร กลับร่วมมือเผด็จการ โดยส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดกับอำนาจเผด็จการ "รู้ทั้งรู้ว่าชั่ว ก็ยังสมคบ" ศิลปินอิสระ กล่าว

มิตร กล่าวต่อว่า อดอาหารประท้วง เพราะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่สถาบันกษัตริย์ไม่สามารถพูดถึงได้ เพราะ มาตรา 112 และการที่คณะวิจิตรศิลป์สนใจ ทำให้ตนอยากทำเรื่องนี้ต่อ โดยจะจัดเวทีพูดเรื่องนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ อย่าลืมว่าประชาชนไทยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยมาตั้งแต่ปี 2475 แล้ว แต่การรัฐประหารทำให้อำนาจของประชาชนไทยหายไป

มิตร กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากเห็นสถานะของสถาบันกษัตริย์มีการเปลี่ยนแปลง และสามารถพูดถึง หรือตรวจสอบได้มากขึ้น บทบาท สถานะ อำนาจของสถาบันต้องพูดได้ในชีวิตประจำวัน ปัญหาของสังคมไทยที่ผ่านมาเกิดจากการสมรู้ร่วมคิดของกลุ่มต่างๆในสังคมกับ อำนาจเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน สื่อมวลชน เอ็นจีโอ ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงของการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนซักถาม นายทัศนัย เศรษฐเสรี อาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ สาขาสื่อศิลปะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมแลกเปลี่ยนในประเด็นการต่อสู้ทางวัฒนธรรมว่า สิ่งที่น่าสนใจคือสิ่งที่อยู่ระหว่างสันติวิธี และความรุนแรง เป้าหมายของวิธีการต่อสู้หรือขบวนการของพวกสังคมใหม่ มันไม่ได้มีเป้าหมายที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงจริง แต่โดยตัวของมันเอง วิธีการต่อสู้ มันเป็นวิธีการเปิดเวทีหรือเปิดพื้นที่ใหม่ ที่นำไปสู่การต่อสู้ในหลายๆรูปแบบ เช่นในอเมริกามีนักต่อสู้วัฒนธรรมร่วมกัน 2 คน ชื่อ เดอะ เยส แมน (The Yes Man)

วิธีการแบบเดอะ เยส แมน คือปลอมตัวเป็นผู้แทนของสมาคมการค้า หรือบุคคลสำคัญ เข้าไปร่วมประชุมสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็น IMF WTO เสร็จแล้วก็จะมีการ sanction เช่น ยกตัวอย่างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ผลกระทบทางเศรษฐกิจ เป็นต้น และจะปฏิเสธหรือไม่เอาด้วยกับมติที่มันจะเกิดขึ้นจาก WTO หรือ IMF จนกลายเป็นเรื่องเป็นราว

และคนกลุ่มนี้ก็เป็นคนที่วิจัยและศึกษาเรื่องนั้นๆมาก่อน และมีแถลงการณ์ออกมาก่อนว่ามติของที่ประชุมจะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างไร เป็นเรื่องที่ในที่ประชุมไม่มีทางคัดค้านได้เพราะมองในเรื่องผลกระทบ และเขาก็ใช้วิธีการแบบนี้ในเวทีเล็กอื่นๆ พอมีคนเข้าร่วมกลุ่มมากขึ้น ก็เปลี่ยนกันไปหลายเวที ต่อมาในภายหลังก็ถูกจับได้ พวกเขาทำถึงขั้นที่ว่า ทำเว็บเพจของรัฐบาลปลอมในช่วงรัฐบาล จอร์จบุช ขึ้นมา โดยมีเนื้อหาที่สนับสนุนสงครามอ่าว ทำให้รัฐบาลจอร์จบุชถูกด่าเละ โดยไม่รู้เรื่อง ทำให้เกิดข้อถกเถียงว่าอะไรคือสถานะ จอร์จบุช และนำไปสู่คำถามว่า รัฐบาลสนับสนุนสงครามจริงหรือไหม

หรืออีกกลุ่มหนึ่งที่ชื่อ กอลิล่าเกิร์ล จะประท้วงโดยการสวมชุดกอลิล่า ออกไปตามที่ต่างๆ เพื่อให้เกิดประเด็นถกเถียง ตั้งแต่เพศสภาพ เศรษฐกิจ ชาติพันธุ์และความไม่ธรรม ซึ่งปัจจุบันกอลิล่าเกิร์ลมีอยู่ทั่วอเมริกา และเนื่องจากทุกคนใส่ชุดกอลิล่า จึงทำให้ไม่รู้ว่ามันเป็นเกิร์ลหรือบอย มันจึงทำให้เกิดการประท้วงทางวัฒนธรรม และนำไปสู่การทบทวนสิ่งต่างๆในประเด็นเหล่านี้

หรือมีชายคนหนึ่งคล้ายกับกลุ่มเดอะเยสแมน คือ ปลอมตัวเป็นตัวแทนนักลงทุน จากนั้นใช้กาวตราช้างเช็คแฮนด์กับบุคคลสำคัญ วิธีการแบบนี้มันอาจจะไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในเบื้องต้น แต่มันนำไปสู่การเปิดบาดแผลของประเด็นต่างๆในประเทศที่เขาไปเยี่ยม ซึ่งตอนนี้เขาไม่ต้องทำถึงขั้นเอากาวตราช้างทามือเพื่อเช็คแฮนด์ แต่แค่ประกาศว่าจะไปที่ไหน ประเด็นปัญหาเหล่านี้ก็จะถูกเปิดโดยสื่อมวลชนทันที

การเคลื่อนไหวบางครั้งที่ถูกมองว่าไร้สาระอาจจะนำไปสู่การเปิดประเด็น หรือการพูดคุยต่อไป อาจจะไม่ต้องเป็นแบบวิชาการ หรือว่าต้องมีการเสนออะไรก่อนก็ได้ หรือไม่ต้องเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรม แบบนิติราษฎร์ทุกกลุ่มก็ได้

เพราะแต่ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน.

************
15 ตุลาคม -เชิญฟังอภิปรายเนื่องในโอกาส ครบรอบ 38 ปี 14 ตุลา 2516




หัวข้อ “14 ตุลากับเส้นทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” ผู้ร่วมอภิปราย

-วีระ มุสิกพงษ์
-จรัล ดิษฐาอภิชัย
-สมาน เลิศวงศ์รัฐ
-สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ์
(ดำเนินรายการโดย นิธินันท์ ยอแสงรัตน์)

จัดโดยกลุ่ม เครือข่ายเดือนตุลาและกลุ่มเพื่อนรัฐธรรมนูญ40 วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม 2554 เวลา 13.00 – 17.00 น. ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา (สี่แยกคอวัว)

ในงานนี้ขอเชิญนักวิชาการ นักเขียน ศิลปิน และ นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหว ทุกรุ่นทุกหมู่เหล่าเข้าร่วมแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น วิจารณ์ เส้นทางการต่อสู้ประชาธิปไตยไทย พร้อมวางพวงมาลัย ดอกไม้ต่างๆ ณ อนุสาวรีย์วีรชน 14 ตุลา