WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, October 24, 2009

แม่นไหมไม่ทราบ ประจำวันที่ 24-30 ตุลาคม 2552

ที่มา ประชาไท

โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

วันนี้น้องอองก็เข้าไปชวนพี่โด้เล่นเหมือนเคย

แต่พี่โด้ไม่ค่อยมีอารมณ์ขัน (เหมือนเคยอีก)

ก็ได้ ต่างคนต่างอยู่นะ

งั้นน้องอองไปเที่ยวแล้วนะ

อ้ะ ป้านึ้งนั่งหลับ

ตื่นแล้ว!! (น่ากลัวจัง) กลับไปหาพี่โด้ดีกว่า

อ้าววว!!

พี่โด้!! น้องอองไม่อยู่แป้บเดียว ตกที่นั่งลำบากเลยเหรอออ (บอกแล้วต้องมีอารมณ์ขัน อิอิ)
หมายเหตุจากมามี้ : พี่โด้เล่นซนในถุงใส่ของที่บ้านป้า O เลยถูกจับแขวนประจาน
หมายเหตุ 2 ; ภาพพี่โด้ในถุง โดย โอ ไม้จัตวา ค่ะ

ราศีเมษ Aries (13 เมย.-13 พค.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ Ace of Cups การเริ่มต้นของความสัมพันธ์ครั้งใหม่ การคืนดี การพบรัก พบคนที่ทำให้คุณรู้สึกสดชื่น มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
ความรัก ความสัมพันธ์ Five of Wands แต่แม้ไพ่ใบแรกจะแสดงสถานการณ์ที่ดีอย่างไร สำหรับคู่รัก หรือคนที่คุณเพิ่งพบ-คบหากัน อย่ามองข้ามทัศนคติขั้นพื้นฐานที่อาจนำความขัดแย้งมาให้ในระยะยาว รวมถึงช่วงเวลาทะเลาะเบาะแว้งกันที่มีบ่อยขึ้นๆ
สถานการณ์การเงิน Temperance การจัดสมดุลทางบัญชี การรับ การจ่าย ที่ต้องคำนึงถึงความจริงมากขึ้น อาจต้องลดค่าใช้จ่ายส่วนที่เกินความจำเป็น ปรับตัวให้เข้ากับสภาวะเศรษฐกิจ ต้องหาทางอยู่รอดโดยไม่ลำบากเกินไป
ธุรกิจ การงาน Knight of Swords ยังมีเรื่องหนักๆ รอคุณอยู่ หรืออาจต้องทำงานร่วมกับคนที่สร้างปัญหาอยู่ในที ไม่ใช่เวลาราบรื่นนัก
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น Judgement คำเตือนหรือข้อมูลสำคัญบางอย่างที่ประกาศออกมาแล้วแต่คุณไม่ใส่ใจ ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมตัวเองได้รับผลนั้นๆ

คำแนะนำพิเศษ Queen of Wands คุณเป็นคนมีความสามารถ เป็นผู้นำทีมได้ดี หรือหากคุณเพิ่งได้รับโอกาสดังกล่าว ทำให้ดีที่สุด จะมีคนคอยสนับสนุนเพราะเล็งเห็นศักยภาพคุณอยู่

ราศีพฤษภ Taurus (14 พค.-13 มิย.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ Queen of Swords ความกดดันที่ทำให้คุณต้องพยายามรักษาสถานภาพตนเอง หรือสู้ยิบตากับอุปสรรคต่างๆ การร่วมงานกับคนที่เก่งแต่ก็ไม่สู้จะชอบพอกันนัก
ความรัก ความสัมพันธ์ Four of Cups มีสิ่งที่คุณกำลังลังเลบ้างไหม ไพ่แสดงถึงจิตใจที่ไม่แน่นอน ข้อตกลงหรือเงื่อนไขซึ่งไม่น่าพึงพอใจ ความคิดกลับไปกลับมาเกี่ยวกับบุคคลภายในใจ
สถานการณ์การเงิน Knight of Cups ไม่มีอะไรน่าห่วงค่ะ ถึงไม่หวือหวาแต่คุณก็จะมีความเป็นอยู่ที่มั่นคง มีรายได้สม่ำเสมอ หรืออาจเป็นเจ้าของกิจการที่ก่อตั้งมาแล้วระดับหนึ่ง มีรายได้ดี
ธุรกิจ การงาน The Magician อาจมีงานที่คุณไม่เคยทำมาก่อนเข้ามาให้กระโจนลงไป แล้วก็พบว่าตัวเองทำได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ บางคนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เป็นช่วงใช้ความคิดสร้างสรรค์มากๆ และขอให้เชื่อในสัญชาตญาณตัวเอง
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น Nine of Swords ช่วงจิตตก อ่อนแอ คิดกังวลแต่ทางร้ายๆ หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง

คำแนะนำพิเศษ The Hierophant อาจมีคนเข้ามาตักเตือนหรือให้คำแนะนำแก่คุณ บางทีดูเหมือนล้าสมัย ไม่อยู่ในความสนใจมาก่อน แต่ถ้าคัดกรองดีๆ จะได้ในสิ่งที่มีประโยชน์มาก

ราศีเมถุน Gemini (14 มิย.-14 กค.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ Three of Wands การขยายขอบเขตงานออกไป ร่วมงานกับคนใหม่ๆ มีโครงการขยับขยายไปจากเดิม ได้รับแรงสนับสนุนที่ดี มีโอกาสที่ต่อยอดมาจากงานเดิม
ความรัก ความสัมพันธ์ Three of Cups รื่นรมย์สมหวัง พบความสุข ได้รับของขวัญของฝาก หรือเปิดตัวคนรักให้เพื่อนๆ รู้จัก มีเดท มีปาร์ตี้ เป็นเวลาดีของคู่รัก
สถานการณ์การเงิน Ten of Swords อาจเจอเรื่องแย่ๆ โถมทับเข้ามาแม้จะเตรียมตัวไว้ดีแค่ไหน อาจได้เงินก้อนใหญ่แต่ก็จะหมดไปเร็วเช่นกัน มีรายจ่ายเกี่ยวกับครอบครัว ญาติมิตร การซ่อมแซมบ้านเรือนที่อยู่อาศัย
ธุรกิจ การงาน Ace of Swords คุณจะมีการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว ต้องลุยไปข้างหน้า งานใดๆ ไม่ง่ายแต่ก็ประสบความสำเร็จได้ถ้าคุณมีความมุ่งมั่นแน่วแน่
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น The Star มิตรภาพที่ลวงตา ความหวังที่ดูสวยหรู ดูใกล้ความจริงเข้ามา แต่กลายเป็นแค่เงาสะท้อนในน้ำ

คำแนะนำพิเศษ King of Pentacles คุณอาจไร้ระบบเรื่องการเงิน หรือจัดการทรัพย์สินได้ไม่ดีพอ ไพ่มักให้คำแนะนำในการจัดสรรสิ่งต่างๆ เพื่อประโยชน์ทั้งปวงของตัวคุณนั่นเอง

ราศีกรกฎ Cancer (15 กค.-16 สค.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ King of Swords การอยู่ในตำแหน่งสูงแต่ก็มีความกดดันมาก รวมถึงการทำงานสำคัญ ร่วมงานกับคนที่เฉียบขาด เก่ง แต่ก็เย็นชาเกินกว่าจะเป็นเพื่อนกันได้
ความรัก ความสัมพันธ์ Two of Wands ไพ่ใบนี้มักแสดงถึงคำแนะนำมากกว่า ให้คุณมองหาคนที่จะเข้ามาแบ่งเบาการงาน หรือเป็นคู่คิด เป็นหุ้นส่วนชีวิตที่ช่วยเหลือกันได้มากกว่าแค่เรื่องอารมณ์ความรู้สึก
สถานการณ์การเงิน Eight of Wands การเงินสัมพันธ์กับการงาน คุณจะมีจังหวะขยายงาน มีผู้ว่าจ้างหรือออเดอร์เพิ่มมากขึ้น รายได้ก็ดีขึ้นเป็นเงาตามตัว อีกนัยหนึ่งหมายถึงค่าตอบแทนจากงานที่มีมีลักษณะเฉพาะ ที่คุณมีความชำนาญกว่าใคร
ธุรกิจ การงาน The Tower อาจมีเหตุพลิกผันบางประการเกิดขึ้น แต่อย่างที่บอกเสมอ ไพ่ใบนี้มักหมายถึงการรื้อก่อนสร้าง การทำลายเพื่อเริ่มต้นใหม่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นหรืออาจเกิดแล้วเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ของคุณ
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น Nine of Cups ดูแลชีวิตส่วนตัวหรือเรื่องส่วนตัวให้ดี หากไม่ต้องการให้มันเป็นประเด็นในที่สาธารณะ

คำแนะนำพิเศษ The Fool มีประตูบานใหม่กำลังเปิดออก ท้าทายให้คุณก้าวออกไป ลองเสี่ยงโชคดูไหมล่ะ

ราศีสิงห์ Leo (17 สค.-16 กย.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ Page of Pentacles ข่าวดีด้านการเงิน กระแสเงินก้อนเล็กๆ แต่เริ่มต้นด้วยดี โอกาสใหม่ทางธุรกิจ การได้เด็กหรือคนอายุน้อยกว่าเข้ามาช่วยงาน เพิ่มโชคลาภ
ความรัก ความสัมพันธ์ Ten of Cups ความสุขและความรื่นรมย์ โดยเฉพาะคนที่มีครอบครัวแล้ว หรือกำลังมองหาคู่รักคู่ครอง อาจมีข้อตกลงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ปลูกเรือนหอ เข้าร่วมอยู่กินกัน ย้ายเข้าบ้านใหม่
สถานการณ์การเงิน Two of Pentacles ระวังเงินสดขาดมือ หรือโยกหมุนไปมาเสียจนอลเวงในที่สุด การเงินไม่ค่อยเสถียร ทำอะไรให้เผื่อขาดเผื่อเหลือไว้ด้วย
ธุรกิจ การงาน Death อาจมีงานหรือโครงการบางอย่างสิ้นสุดลง สิ้นสุดความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน มีข่าวไม่ค่อยดี ยกเว้นแต่คุณจะทำงานที่เกี่ยวกับผู้ป่วย ผู้ตาย งานการกุศลสำหรับผู้เดือดร้อนต่างๆ ถือว่าเป็นช่วงได้รับความสำเร็จด้วยดี
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น King of Cups การสัมพันธ์กับบุคคลที่ไม่มีความแน่นอน อารมณ์หรือจิตใจปรวนแปร อ่อนไหวไปตามสถานการณ์รอบตัว

คำแนะนำพิเศษ Ace of Pentacles การเริ่มต้นใหม่ทางบัญชี การเงิน การลงทุนใดๆ ที่ดูเหมือนจะมีแนวโน้มที่ดี หรือเพิ่งได้แหล่งทุนใหม่ๆ อย่าเพิ่งโถมลงไปเต็มที่

ราศีกันย์ Virgo (17 กย.-16 ตค.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ Six of Pentacles หากคุณมีปัญหาทางการเงิน จะได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่มีความเมตตา หรือยื่นมือเข้ามาด้วยความเต็มใจ การขอเครดิตทางการเงิน การกู้ยืมต่างๆ จะประสบความสำเร็จ
ความรัก ความสัมพันธ์ Nine of Wands มีความไม่พึงพอใจนักในชีวิตรักหรือความเป็นอยู่ มีสิ่งที่ต้องการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้มากในเวลานี้ บางคนคิดจะเปลี่ยนแฟนละสิ :-)
สถานการณ์การเงิน Four of Wands จะมีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น หรือได้งานประจำ ออกมาทำธุรกิจส่วนตัว มีนิมิตหมายที่ดีไปข้างหน้า แม้ว่าตอนนี้จะยังเหน็ดเหนื่อยพอสมควร
ธุรกิจ การงาน Justice การทำงานกับภาครัฐ หน่วยงานราชการต่างๆ ราบรื่นดี คุณจะได้รับความเป็นธรรมทุกประการ แต่ถ้ามีเรื่องเกี่ยวกับเอกสารสำคัญ การลงนามต่างๆ ขอให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญให้ดี
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น Queen of Cups ความเหงาที่แฝงอยู่อย่างลึกซึ้ง

คำแนะนำพิเศษ Six of Swords หากคุณเคยประสบปัญหาเกี่ยวกับความล่าช้าต่างๆ จากนี้ไปสิ่งต่างๆ จะเริ่มดีขึ้นและดีขึ้น อุปสรรคกำลังคลี่คลาย อดใจรออีกนิด คุณจะไปถึงจุดหมาย

ราศีตุลย์ Libra (17 ตค.-15 พย.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ Two of Swords การสื่อสารผิดพลาด ความไม่เข้าใจกันระหว่างคนที่กำลังพยายามปรับตัวปรับใจเข้าหากันแท้ๆ ระวังอุปกรณ์การทำงานต่างๆ เสียหายด้วย
ความรัก ความสัมพันธ์ Eight of Cups อาจมีช่วงที่ต้องพลัดพรากจากกัน หรือแม้อยู่ใกล้ กลับรู้สึกห่างเหิน บางคนเหมือนตกอยู่ในที่ทุรกันดาร แห้งแล้ง หนาวใจ
สถานการณ์การเงิน The Empress มีพื้นฐานทางการเงินที่ดี มีทรัพย์สินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่า คู่รักคู่ครองมักสนับสนุนให้การอุปถัมภ์
ธุรกิจ การงาน The Devil คุณอาจทำงานอย่างไม่เป็นสุขนัก ยึดติดอยู่กับความรู้สึกบางอย่างที่เป็นแง่ลบ บั่นทอนจิตใจ หรือไปรับเงื่อนไขที่สร้างพันธนาการแก่ตนเอง ในบางคนทำงานด้วยความโลภ ความโกรธ อารมณ์ด้านลบมากกว่าด้านดี
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น The World การไม่ยอมรับสิ่งที่ถึงปลายทางของมัน วงจรชีวิตที่มีเกิดมีดับ เข้าไม่ถึงสัจธรรมใดๆ เหมือนคนตกอยู่ในกองขยะแต่ไม่รู้ว่าทำไมอ้ายกองนี้มันเหม็น

คำแนะนำพิเศษ Eight of Swords คุณอาจพบปัญหากดดันหลายเรื่อง ที่อยู่ดีๆ ก็มีแต่เรื่องซวยซ้ำซาก เป็นการยากที่จะพาตัวเองไปให้พ้นปัญหาต่างๆ แต่มีทางหนึ่งที่คุณจะพอผ่อนหนักเป็นเบาคือ มีสติ ทำใจดีๆ ไว้

ราศีพิจิก Scorpio (16 พย.-15 ธค.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ Five of Swords การยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเสียไม่ได้ เหมือนคนที่ผ่านช่วงผิดหวังมาแล้ว แต่ก็ยังมองไม่เห็นโอกาสที่จะดีกว่านี้ อยู่บนหัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องตัดสินใจ
ความรัก ความสัมพันธ์ Knight of Wands มีความกระตือรือร้นต่อเรื่องการงานมากกว่าความรักใคร่ แต่ถ้ามีคู่ เซ็กซ์ไลฟ์ก็ยังตื่นเต้นหวือหวาดีอยู่ บางคนมีเกณฑ์เดินทาง พบรักกับคนที่อยู่ห่างไกล
สถานการณ์การเงิน Strength ถือว่าเป็นคนที่พึ่งพาตัวเองได้ดี มีรายได้เป็นของตัวเอง หรือแม้ยามคับขันก็หาวิธีเอาตัวรอดได้เสมอ แต่คุณอาจมีสิ่งที่กำลังกดดันตัวเองมากไป อ้อ แถมไปกดดันคนอื่นอีกด้วย
ธุรกิจ การงาน Six of Wands ไม่ว่าคุณกำลังทำงานใด หากเคยล่าช้าอืดเนือยมาก่อนหน้านี้ เร่งจังหวะอีกนิด ชัยชนะกำลังใกล้เข้ามา การสอบการแข่งขันต่างๆ ถือว่าให้ผลดี
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น Ten of Wands ภาระความรับผิดชอบที่เพิ่มเข้ามาอีกจนจะรับมือไม่ไหว ทำงานกับคนกลุ่มใหญ่ที่ต่างคนก็แบกปัญหามาเพียบ

คำแนะนำพิเศษ Eight of Pentacles เป็นไพ่ของคนขยันหมั่นเพียร ช่วงน้ำขึ้นให้รีบตัก การพัฒนาตนเอง การสู้เต็มที่แม้จะเหน็ดเหนื่อย เพราะคุณเองก็มองเห็นผลตอบแทนอยู่เต็มตา

ราศีธนู Sagittarius (16 ธค.-13 มค.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ Ten of Pentacles การเงินในครอบครัว เป็นได้ทั้งรับหรือจ่าย บางคนเข้าร่วมในกิจการของครอบครัว พ่อแม่ญาติมิตรให้การสนับสนุน
ความรัก ความสัมพันธ์ The Hanged Man อาจมีความสูญเสียเกิดขึ้น หรือมีความร้าวฉานที่ฝังอยู่ลึกเต็มที มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มีสิ่งที่จำยอมเสียสละหรือยอมรับการแลกเปลี่ยน มีเรื่องเสียใจ
สถานการณ์การเงิน Ace of Wands การเงินสัมพันธ์กับการงาน จึงหมายถึงเงินที่มากับโอกาสใหม่ๆ โครงการใหม่ การเริ่มต้นทำงานที่ก่อให้เกิดรายได้อีกครั้ง
ธุรกิจ การงาน Knight of Pentacles มีโอกาสได้งานที่มีค่าตอบแทนสูง หรือได้ข้อเสนอดีๆ เข้ามา แต่ในบางคนแสดงถึงความคิดที่กำลังมองหาโอกาสทางผลประโยชน์
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น Five of Cups เรื่องผิดหวัง เหตุที่ทำให้เสียความรู้สึก เกิดเรื่องทำให้เสียดาย

คำแนะนำพิเศษ King of Wands คุณมีความสามารถในการนำทีม เป็นผู้นำ หรือทำงานให้ประสบความสำเร็จได้ ขอให้เชื่อมั่นในตนเอง แต่ในกรณีที่คุณรู้สึกว่าตรงกันข้าม ก็คือคำแนะนำให้ลองฝึกฝนพัฒนาตนเอง คุณทำได้

ราศีมังกร Capricorn (14 มค.-12 กพ.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ The Sun ช่วงเวลาที่น่ายินดี ข่าวดี ความเบิกบานใจ อาจได้ไปท่องเที่ยวหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมสดใส ไม่ว่ามีปัญหาใดๆ จะได้รับการปัดเป่าคลี่คลาย
ความรัก ความสัมพันธ์ Seven of Swords อาจมีความคิดแผลงๆ บางอย่าง มีความคิดนอกใจ หรือปกปิดความรู้สึกบางอย่างแม้กับคนใกล้ตัว มีเรื่องที่พยายามพลิกแพลงแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว
สถานการณ์การเงิน Eight of Wands หากค้าขายหรือมีธุรกิจส่วนตัว โดยเฉพาะงานทำมือต่างๆ ถือว่าจะให้ผลดีมากในช่วงนี้ มีคำสั่งซื้อ มีโอกาสขยายงาน แต่ก็จะไม่ได้รับเป็นเงินสดเสียทีเดียว ส่วนลูกจ้างพนักงานองค์กร คุณอาจได้ทำงานมากกว่าค่าตอบแทน
ธุรกิจ การงาน Four of Pentacles การทำงานของคุณอาจมั่นคงจนน่าเบื่อ หรือยึดงานเอาไว้ด้วยเหตุผลส่วนตัว มีความกลัวอยู่ลึกๆ เกี่ยวกับสถานภาพหรือตำแหน่งงาน
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น The High Priestess ความเปราะบางทางอารมณ์ สัญชาตญาณมืด ความคิดสองขั้วที่ขัดแย้งกันเองอย่างรุนแรง

คำแนะนำพิเศษ Five of Pentacles คุณอาจรู้สึกว่าตัวเองพึ่งพาใครไม่ได้ หรือเจอปัญหาจุกจิกตลอดเวลา แต่ก็จะแก้ปัญหาเด็ดขาดไม่ได้หากคุณหาไม่เจอต้นตอนั้นๆ ลองเสาะหารูรั่วที่ว่าให้ดี

ราศีกุมภ์ Aquarius (13 กพ.-13 มีค.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ Page of Cups ความคิดที่เกี่ยวพันกับศิลปะ อารมณ์อ่อนไหว การเริ่มต้นใหม่ในเรื่องดีๆ สิ่งที่ตัวเองรักตัวเองชอบ การทำงานอดิเรกหรือกิจกรรมที่มีความสุข
ความรัก ความสัมพันธ์ Wheel of Fortune มีช่วงเวลาที่ดีอีกครั้งหนึ่ง อาจได้พบคนรักเก่า เพื่อนเก่า มีวงจรความสัมพันธ์ที่กลับมาเกี่ยวข้องกันอีก ในบางคนแสดงถึงคู่ครองที่มีฐานะ อยู่กินกันแล้วมีความมั่งคั่งรุ่งเรือง และยังแสดงถึงการกลับมาคืนดีกันด้วย
สถานการณ์การเงิน Queen of Pentacles ไพ่ที่ดีด้านการเงิน อาจได้รับค่าตอบแทนก้อนใหญ่ มีรายได้งามๆ เข้ามา มีผู้สนับสนุนหรือเอื้อผลประโยชน์ให้
ธุรกิจ การงาน Nine of Pentacles จะมีงานที่นำความมั่งคั่งมาให้คุณ หรือช่วยเติมกระเป๋าให้ตุงยิ่งขึ้น หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาก่อนหน้านี้ จะได้ค่าตอบแทนน่าชื่นใจ
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น Six of Cups ปัญหาจากผู้คนในอดีต หรือจากคนใกล้ชิดที่หมกมุ่นอยู่กับความหลัง เรื่องเก่าๆ ส่วนตัว

คำแนะนำพิเศษ Four of Swords การหยุดพักจะให้ผลดีแก่คุณ อาจเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าคุณเหน็ดเหนื่อยมากไปแล้ว ชาร์ตแบตเสียบ้าง หรือแนะนำให้ใช้ประโยชน์จากเวลาว่างๆ

ราศีมีน Pisces (14 มี ค.-12 เมย.)

เรื่องสำคัญของคุณในสัปดาห์นี้ The Hermit การใคร่ครวญเกี่ยวกับความปรารถนาภายในของตัวเอง การแสวงหาความรู้ความเข้าใจในเรื่องชีวิต การเรียนการศึกษา ข้อสงสัยในเชิงปรัชญา
ความรัก ความสัมพันธ์ The Emperor มักเป็นความสัมพันธ์ที่มั่นคง แต่ก็มีความกดดันในที ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจใช้ความเข้มงวดปกครองกัน มีลักษณะผู้ใหญ่กับผู้น้อย หรือพ่อแม่กับลูกเต้า ระวังความอึดอัดที่ค่อยๆ เกิดจะไปปะทุเอาภายหลัง
สถานการณ์การเงิน Page of Wands อาจมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานใหม่ๆ ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือช่วยเหลือบุตรหลานบริวาร ในบางคนแสดงถึงช่วงเวลาที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน ยังไม่เห็นดอกผลอะไรนัก
ธุรกิจ การงาน Page of Swords จะเจอช่วงปรวนแปรอลหม่าน อาจเป็นสภาพแวดล้อมหรือเพื่อนร่วมงาน คนจิตตกคุยกัน เอาข่าวร้ายๆ มาเล่าสู่กันฟังอยู่เรื่อยๆ
คำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น The Lovers การพบกับสิ่งที่ต้องเลือกหรือตัดสินใจ ปัญหาคือคุณไม่รู้จะเลือกอะไรดีนะสิ

คำแนะนำพิเศษ Seven of Cups ระวังการหลงไปในภาพลวงตา แม้แต่ความปรารถนา ความอยาก ที่ดูเหมือนจะตอบสนองคุณได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว เอาเข้าจริงๆ ก็มานึกเสียดายภายหลัง การใช้จ่ายต่างๆ รอบคอบไว้ให้มาก

รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ควรเป็นอย่างไร ตอน 6 (จบ) : ประชามติ - กฎหมายกร่อนหมดแล้ว

ที่มา Thai E-News


โดย รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์
ที่มา เวบไซต์ thaipost
24 ตุลาคม 2552

รัฐธรรมนุญที่เป็นประชาธิปไตย ควรเป็นอย่างไร

ตอน 1 : ล้างคราบเผด็จการ
ตอน 2 : หมวดพระมหากษัตริย์
ตอน 3 : โครงสร้างระบบ
ตอน 4 : ระบบเลือกตั้ง
ตอน 5 : สนธิสัญญา-ยุบพรรค

ตอน 6(จบ) : ประชามติ-กฎหมายกร่อนหมดแล้ว

"ถามว่าเรื่องไหนควรจะต้องแก้ ความจริงมีประเด็นในทางเทคนิคอีกหลายเรื่อง ซึ่งอธิบายความไป ก็จะเห็นถึงความไม่รับกันในทางระบบของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เช่น การโฆษณาว่า ประชาชนมีรัฐธรรมนูญ ประกันสิทธิเสรีภาพที่ดี เพราะประชาชนสามารถจะไปฟ้องร้องศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ในมาตรา 212 ก็เป็นการเขียนที่ผิดพลาดในทางระบบ จริงๆ ทำไม่ได้หรอก เพราะโดยกลไกรัฐธรรมนูญเขียนมา ก็ไม่มีที่ใช้ วันนี้คุณไปฟ้องสิ ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำฟ้อง บอกไม่เข้าเงื่อนไข คุณเขียนล็อกเอาไว้เอง"

"หรือกระบวนการตรวจสอบความชอบรัฐธรรมนูญของกฎหมาย ที่คุณมีทั้งระบบตรวจสอบก่อนและหลังประกาศใช้กฎหมาย มันก็ซ้ำซ้อนกัน มีประเด็นปัญหาที่ถามกัน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญซึ่งบังคับให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องตรวจสอบทุกฉบับ ศาลรัฐธรรมนูญตรวจแล้ว บอกไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ครั้นเอามาใช้แล้ว มีคนเห็นว่าขัด ถามว่า จะฟ้องศาลรัฐธรรมนูญได้อีกไหม เป็นฟ้องซ้ำหรือเปล่า นี่ก็ยุ่งอีก"

"พวกนี้เป็นปัญหาในทางเทคนิคที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญปี 2550 แน่นอนรัฐธรรมนูญ 2540 ที่วิพากษ์วิจารณ์กัน ก็มีบางเรื่องที่แก้ เช่น ข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องวิธีพิจารณา ผมเคยวิจารณ์มานานแล้วว่า ให้ศาลทำเองไม่ได้ อันนี้เขาก็เขียนให้สภาเป็นคนทำ ก็ถูกต้องตามหลัก แต่มันมีเรื่องอื่นๆ ที่ทำเข้ามาใหม่ อาจจะด้วยความหวังดีของคนทำรัฐธรรมนูญ แต่พอทำเข้ามาแล้ว โดยเหตุที่ไม่ได้ศึกษากันอย่างรอบคอบ ก็เกิดเป็นปัญหาทางเทคนิคตามมา มันก็ทำให้กฎหมายตอนนี้วุ่นวาย สอนกฎหมายก็สอนยาก มันต้องสอนในแง่ของการชี้ให้เห็นหลัก และก็ดูว่า รัฐธรรมนูญของเราเป็นอย่างไร มากกว่าที่จะสอนรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นคุณค่าเป็นพื้นฐาน ที่ทุกคนยอมรับนับถือ"

** ที่น่าคิดคือปัญหาทางเทคนิคเหล่านี้ เวลาเอาไปทำประชามติ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วย

"ประชามติคราวที่แล้ว นับว่าเป็นประชามติอย่างไร นี่ไม่ใช่เพราะผมแพ้นะ ผมเห็นแล้วโดยบรรยากาศ มันไม่ชนะ มันแพ้แหงๆ อยู่แล้ว แต่อย่างน้อย ก็ได้พยายามชี้ให้เห็นว่าเป็นอย่างไร คนที่บอกว่า รับๆ ไปก่อนแล้วค่อยแก้ วันนี้เป็นอย่างไรกันบ้างล่ะ แต่ละคน"

** ตอนนี้ก็เถียงกันว่า จะทำประชามติหรือจะแก้โดยสภ

"ภายใต้บรรยากาศแบบนี้ มันไม่แก้ปัญหาอะไรเลย มันก็เป็นการเล่นการเมืองกันไป มันเป็นปัญหาเรื่องอุดมการณ์ในระดับพื้นฐานของเรา มันไม่แก้ปัญหาอะไร ผมถึงบอกว่า ผมขี้เกียจให้สัมภาษณ์เรื่องนี้"

** คือจะแก้ 6 ประเด็น จะทำประชามติหรือไม่ ก็ไม่ได้ช่วย

"ไม่ได้ช่วยอะไรอย่างที่ควรจะช่วย ก็จะเสียเงิน ก็ทำไปเหอะ ผมไม่คิดว่า มันจะช่วยอะไร

คือประชามติ ไม่ใช่ทำเป็นเรื่องเล่นๆ มันเป็นเรื่องซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดแล้วของปวงชน เวลาทำ มันไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือทำกันเล่นๆ แต่ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ ให้มีหลักมีฐาน ให้เขามีทางเลือก ให้เขาได้ตัดสินใจ ทำแล้วก็จะได้ยอมรับกติกานั้น แต่มันจะต้องผ่านเรื่องหลักการมาก่อน อาจจะเถียงกันในเรื่องความเห็นที่แตกต่าง แต่หลักเหมือนกัน

เช่น เคารพหลักประชาธิปไตยเหมือนกัน ระบบเลือกตั้งอาจจะเหลื่อมกันนิดหน่อยว่า จะเอาแบบไหน อันนี้อาจจะต่างกันได้ แต่วันนี้ ผมไม่คิดว่า เราผ่านในลักษณะแบบนั้น เพราะความคิดพื้นฐานไม่ตรงกัน"

"วันนี้นักการเมืองของเรา ถูกทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับด้วย แน่นอน นักการเมืองก็มีส่วน ผมไม่ได้ปฏิเสธบทบาทตัวนักการเมือง แต่ปัญหาที่ผมเห็นและคิดว่ามันยุ่งยาก คือนักการเมืองด้วยกันเอง ไม่ทำให้ตัวสถาบันนักการเมืองดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน คุณต้องคิดพ้นไปจากพรรคของตัว แต่คิดถึงตัวคุณค่าที่เป็นพื้นฐานในทางประชาธิปไตย พอไปถึงตรงนั้นแล้ว คุณต้องทิ้งเรื่องของพรรค คุณต้องมายืนอยู่ในจุดนั้น ตรงจุดเดียวกันทุกพรรค ถ้ามีอะไรที่มันเป็นนอกระบบมา คุณต้องปฏิเสธ และคุณก็สู้กันในเชิงระบบ แต่ไม่ใช่คุณฉวยเอาตรงนั้นมา และใช้ในทางการเมืองเป็นประโยชน์ของตัวเอง"

** มองอีกอย่าง การให้ทำประชามติก็ไม่แฟร์ เพราะตอนแรกที่ตั้งกรรมการสมานฉันท์ ก็จะให้ร่างเพื่อแก้ไขในสภาไม่กี่ประเด็น

"เรื่องประชามติ ถ้าพูดกันในทางตัวรัฐธรรมนูญเองก็เป็นปัญหา เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยกลไกของมัน ซึ่งผ่านการออกเสียงประชามติมาแล้วนะ ถ้าจะเอาอันนี้กลับไปยัน เขากำหนดกระบวนการแก้ไขไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็ตอนทำประชามติ คุณก็เขียนเอาไว้ว่า จะแก้ไขได้ด้วยวิธีการอะไร แล้วทำไมเวลาจะแก้ไข คุณไม่ทำตามวิธีการที่เขียนเอาไว้ ซึ่งผ่านประชามติแล้วล่ะ

ถ้าพูดแบบนี้ก็พูดได้เหมือนกัน เพียงแต่ประชามติครั้งที่แล้ว ในทางคุณค่าไม่ได้สูงส่งอะไรมากมาย ผมถึงไม่ค่อยอยากเอาเหตุผลนี้มาแย้ง"

"มิหนำซ้ำ ตอนที่จะรับร่างรัฐธรรมนูญ คนที่ร่างรัฐธรรมนูญยังบอกอีกว่า รับไปก่อน หลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญ คมช. แล้วพอรับไปแล้ว ก็ใช้ไป และก็แก้ และก็กำหนดกระบวนการแก้เอาไว้ พอครั้นเขาจะแก้ตามกระบวนการที่คุณกำหนดเอาไว้ คุณบอกห้ามแก้ ถ้าแก้ต้องลงประชามติ มันก็กลับไปกลับมา หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้เลยบ้านเมือง"

** ถ้าจะลงประชามติ ก็ควรร่างใหม่ทั้งฉบับใช่ไหม

"ถ้าลงประชามติ ก็ทำมาทั้งฉบับเลย และมาเทียบกับ 2550 ให้เขาเลือก คุณจะเอาอันนี้หรือเอาที่ยกร่างขึ้นมาใหม่"

** บางคนบอกให้เทียบ 2540

"ก็แล้วแต่ แต่ผมคิดว่า 2540 ก็ควรจะปรับ ฉะนั้นก็ทำกันอีกฉบับเลย และวัดกันเลยคุณจะเอาฉบับไหน"

"แต่เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ มันกลายเป็นปัญหาที่ชิงไหวชิงพริบในทางการเมืองกันไปแล้ว แม้แต่ตอนที่พลังประชาชนชนะการเลือกตั้งมาตอนแรกๆ การผลักประเด็นพวกนี้ ก็ไม่ได้ทำกันจริงจัง คือเขาพยายามทำแล้วก็มีแรงต้าน เลยไม่ทำต่อ

แต่คราวนี้ ผมจะบอกว่า ถ้ายังยืนอยู่อย่างนี้ สังคมไทยก็จะมาถึงจุดซึ่งหลีกเลี่ยงการปะทะกันลำบาก มันจะชนกันโดยรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่จะต้องชน ผมเคยพูดเอาไว้ตอนที่มีการดีเบตรัฐธรรมนูญ ว่ารัฐธรรมนูญ 2550 จะนำพาประเทศไปสู่ทางตัน ถ้ารับ เพราะมันจะเป็นปัญหา

คือตัวกติกาแบบนี้จะไม่เป็นที่ยอมรับ และที่สุดมันจะต้องแก้ และมันก็จะมีคนที่ไม่อยากให้แก้ พอรับมาแล้วจะเป็นแบบนี้ ซึ่งตอนนี้มันเป็นอย่างนั้นแล้ว คุณจะกลับได้สติกันไหมล่ะ ซึ่งผมเห็นว่ายังไม่ได้นะ"

** 6 ประเด็นก็ไม่มีประโยชน์ และจะเป็นชนวนรบกัน

"ถูกต้อง ผลที่จะได้ไม่ได้อะไร แต่มันจะทำให้คนรบกัน"

"ตอนนี้ก็มีคนบอกว่า นักการเมืองทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง และจะไปล่ารายชื่อแก้รัฐธรรมนูญประโยชน์ทับซ้อน ผมถามว่า ถ้าอย่างนั้นที่รัฐธรรมนูญเขาให้ ส.ส. สว.แก้รัฐธรรมนูญ คือจะทำไม่ได้เลยใช่ไหม

แปลว่ารัฐธรรมนูญแก้ไม่ได้หรือ ตีความอย่างนั้นหรือ ส่วนได้เสียนี่ตีความกันเลอะไปหมด ไม่รู้เลยว่า หลักการนี้ เมื่อใช้กับฝ่ายนิติบัญญัติไม่เหมือนกับคนที่เป็นฝ่ายบริหารกับฝ่ายตุลาการ คุณไม่เข้าใจ เวลาที่ ส.ส.เขาออกกฎหมาย ถ้าบอกว่า เรื่องที่ตัวเองมีส่วนได้เสียแล้วออกไม่ได้ ส.ส.ก็เป็นประชาชนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย

อย่างออกกฎหมายเรื่องภาษี ก็ได้เสีย แต่อันนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนได้เสีย เพราะนี่เป็นการออกกฎเกณฑ์ที่มีผลทั่วไป วิธีคิดมันอีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้มันมั่วกันมาก หยิบเอาทุกเรื่องทุกราวมาเป็นประเด็นและต่อสู้ทางการเมืองได้หมด ไม่ต้องศึกษา ไม่ต้องหาความรู้กัน ใช้ความคิดความรู้สึกของตัวตลอด

ผมจึงขำมากที่บอกว่า แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ เพราะมีส่วนได้เสีย ฉะนั้น รัฐธรรมนูญฉบับนี้แก้ไม่ได้ใช่ไหมเนี่ย แล้ววันหนึ่ง สมมติคนที่เคลื่อนไหววันนี้ อยากจะแก้ มีมาตราหนึ่งในอนาคต แต่อีกข้างเขาบอกว่า อย่าแก้นะเพราะมีส่วนได้เสีย มันไม่เจ๊งหรือประเทศ ทำกันเป็นเรื่องเด็กเล่นเลยนะ"

** ในทางวิชาการ เรื่องทางเทคนิคบางเรื่อง ไม่ควรต้องทำประชามติถามประชาชนใช่ไหม สมมติเช่นการให้ตุลาการเกษียณอายุ 60 หรือ 70

"ใช่ มันเป็นเรื่องยาก ปกติเขาจะถามการตัดสินใจที่กระทบโดยตรง คือประชามติ อาจจะเป็นไปได้ว่า บางเรื่องกระทบกับเขาโดยตรง เป็นกรณีที่กระทบสิทธิของเขา เวลาที่เราพูดถึงสิทธิมีส่วนร่วมในการปกครอง มันก็กว้าง คือทุกเรื่องมันก็เป็นส่วนร่วมในการปกครองหมด ถามว่า เรื่องไหนทำประชามติได้ไม่ได้ มันก็แทบจะไม่มีข้อจำกัด เว้นแต่ว่าประชามติที่มันเกี่ยวกับเรื่องของตัวคน"

"ถ้าเป็นเรื่องเทคนิค สภาพของเรื่องมันทำประชามติไม่ได้ ผู้เชี่ยวชาญต้องเป็นคนบอก แต่ถามหลักการได้ เป็นการตัดสินใจในทางหลักการ เช่น เรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ถามหลักการทั่วไปได้ เราต้องคิดว่า เวลาทำประชามติ ในประชามติที่เป็นสากลมันต้องมีการรณรงค์ 2 ฝ่าย แล้วประชาชนจะได้เรียนรู้จากการรณรงค์ว่าตัวเองเห็นไปในทิศทางไหน และตัดสินใจ เรื่องเล็กๆ น้อย เรื่องทางเทคนิค ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปถามประชาชน เพราะว่าความชอบธรรมทางการปกครอง สามารถผ่านตัวแทนได้ ผู้แทนเขาก็ทำได้ แต่ถามว่า มีการห้ามเอาไว้ไหม ไม่มี ก็เป็นเรื่องดุลยพินิจ"

"แต่อย่างที่บอกว่า ประชามติครั้งนี้ เป็นเรื่องทางการเมือง มันปฏิเสธไม่ได้ มันหมายถึงเรื่องระยะเวลาในการอยู่ในตำแหน่งของรัฐบาล หลายเรื่องพันกันอยู่

แต่คำถามคือ ถ้าเราพยายามเอาตัวเองออกมาจากความขัดแย้ง แล้วมองว่า ตกลงได้อะไร ถามว่า มันจะยุติความขัดแย้งไหม เพราะประเด็นที่ขัดแย้งกัน ไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ ในสังคมไทยวันนี้ มันลึกไปกว่านั้น มันก็ได้แต่เคลื่อนเวลาความขัดแย้งเรื่อยๆ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า จะรอวันที่ไปแตกหักกันเมื่อไหร่ ในเหตุปัจจัยอะไร แต่ว่ามันกำลังเดินไปสู่ทิศทางแบบนั้น ถ้ายังสัมผัสกับสภาพสังคมไทยอยู่บ้างทุกคนก็เห็น"

"ผมเคยเสนอ พอเลือกตั้งจบแล้ว ให้เริ่มกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญเสีย จะได้สลัดคราบของ คมช.ไปให้หมด คราบของการรัฐประหารที่เกาะรัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่ออกไป แต่ในทางปฏิบัติก็ยาก เพราะอย่างที่บอก รัฐประหารไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรเลย มันมีแต่ทำให้ความร้าวฉานลึกลงไปอีกในสังคมไทย

เราใช้วิธีที่ผิดในเชิงการแก้ปัญหา แต่ตอนนี้ หลายคนก็ยังยืนยันว่า ที่ทำมามันถูก ถ้าถูกมันไม่เป็นแบบนี้หรอก เราคงไม่มายืนอยู่ในจุดที่ไม่รู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นในวันต่อไปอย่างนี้หรอก มันคงจบไปแล้ว นี่เพราะมันผิด"

** การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ คงเป็นไปไม่ได้ กฎหมายช่วยอะไรไม่ได้แล้วใช่ไหม

"ผมคิดว่าช่วยไม่ได้ มันเลยไปแล้ว อาจจะมีความรู้สึกว่า เป็นนักกฎหมายทำไมพูดอย่างนี้ แต่เราสร้างปมขึ้นมา ขมวดกันจนยุ่งเหยิงขนาดนี้ ผมเห็นว่า เลยมาแล้ว ผมก็นั่งดูแล้วครับตอนนี้ ผมไม่คิดว่า จะเปลี่ยนอะไรกันได้ หลังจากที่เห็นมาช่วง 2 ปี การวินิจฉัยขององค์กรต่างๆ"

** ต่อให้แก้รัฐธรรมนูญแบบไหนก็ช่วยไม่ได้

"มันก็จะไปไม่ได้ เพราะมันยังแตกกันอยู่แบบนี้ แปลว่าเราอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่า จะหักเลี้ยวออกไปทางไหนอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือในสภาพสังคมที่มันมีกำลังกันอยู่แบบนี้ ทั้ง 2 ทาง และภายใต้ความคิดพื้นฐานที่ต่างกันอย่างนี้ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ"

** กฎหมายแก้ปัญหาประเทศไทยวันนี้ไม่ได้แล้ว?

"มันถูกใช้จนมันสึกกร่อนไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็ดูไป เว้นแต่จะมีปาฏิหาริย์ว่า กลุ่มผลประโยชน์ยอมถอย กลับมาคิดว่า ทิศทางของแต่ละสถาบัน แต่ละองค์กรที่ควรจะอยู่ คิดกันได้เอง ก็เป็นไปได้ แต่ผมยังมองไม่เห็นทางเลย เพราะว่าประโยชน์มันเยอะ มันมหาศาล ไม่มีใครยอมใคร".

รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ควรเป็นอย่างไร ตอน 5 : สนธิสัญญา-ยุบพรรค

ที่มา Thai E-News


โดย รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์
ที่มา เวบไซต์ thaipost
24 ตุลาคม 2552

รัฐธรรมนุญที่เป็นประชาธิปไตย ควรเป็นอย่างไร
ตอน 1 : ล้างคราบเผด็จการ
ตอน 2 : หมวดพระมหากษัตริย์
ตอน 3 : โครงสร้างระบบ

ตอน 4 : ระบบเลือกตั้ง

ตอน 5 : สนธิสัญญา-ยุบพรรค

** มาตรา 190 เหมือนคณะกรรมการสมานฉันท์ก็ไม่ได้แตะอะไรเลย

"เขาขอให้มีการปรับเรื่องประเภทสัญญา ซึ่งก็โอเค คือ 190 ถ้าจะบัญญัติ คุณต้องทำให้ชัดว่า อะไรเป็นหลัก อะไรเป็นข้อยกเว้น ข้อยกเว้นมันไม่ควรกว้างเป็นทะเล คุณเอาให้ชัดว่า อำนาจในการทำสนธิสัญญาอยู่กับใคร ต้องเขียนจากหลักตรงนี้ก่อน มันอยู่ที่ฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติ พอบอกแล้วว่าอยู่กับใครเป็นหลัก มันมีเรื่องอะไรบ้างที่เป็นเรื่องสำคัญ และต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ถ้าไม่เริ่มจากตรงนี้ ก็เขียนกันไปเรื่อย และก็กลายเป็นเครื่องไม้เครื่องมือในการตีความยุ่งยากกันไปอีก"

** บางคนแย้งว่า แค่ออกกฎหมายลูกก็พอ

"ไม่ใช่แต่เรื่องการออกกฎหมายลูกหรอกครับ แต่เป็นประเด็นว่า ตัวถ้อยคำ คือผมอาจจะเห็นต่างจากพวก FTA WATCH ว่า ถ้อยคำมีปัญหา ถ้อยคำแบบนี้ ทำให้ฝ่ายบริหาร ถ้าผมเป็นรัฐมนตรี ผมจะสับสนมากเลยว่า สัญญาแบบไหนที่ผมต้องเอาเข้าสภา สัญญาแบบไหนไม่ต้อง

คือเราต้องเห็นใจคนที่เขาทำงานด้วย คุณต้องเขียนให้ชัด ที่กำหนดในกฎหมายลูก มันเป็นการกำหนดกระบวนการขั้นตอนในการรับฟังความคิดเห็นต่างๆ แต่ตัวประเภทของสัญญา มันเขียนในรัฐธรรมนูญ และถ้อยคำที่ใช้กว้างจะตาย แล้วก็ขึ้นอยู่กับจะตีความ

ผมทำไปแล้ว ก็ฝ่ายกฎหมาย กรมสนธิสัญญาเขาบอกว่า ไม่เข้า แต่ไปตีความว่า มันเข้า แล้วผมจะไปรู้ได้อย่างไรว่า มันเข้าหรือไม่เข้า มันก็เป็นความเห็นที่แตกต่างกันใช่ไหมครับ

ในแง่ของการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ถ้าอย่างนั้นศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว ศาลอุทธรณ์กลับเพราะเห็นต่าง ข้อกฎหมาย มันต้องติดคุกหรือ มันกลับกันไม่ได้หรือ ลักษณะแบบเดียวกันเลย รัฐบาลเห็นแบบนี้ ผมเป็นรัฐมนตรี ผมเห็นแบบนี้ ผมเห็นโดยบริสุทธิ์ใจแบบนี้ คุณเห็นอย่างนั้น ผมก็เคารพของคุณ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องเข้าคุก"

** อาจารย์เห็นว่าเป็นที่ตัวเนื้อรัฐธรรมนูญ

"สำหรับผม 190 คือตัวเนื้อรัฐธรรมนูญ ประเภทของสัญญา คุณจะเอาอะไร ผมเข้าใจพวกที่เคลื่อนไหว เขาก็กลัวว่า ถ้ารัฐบาลมีอำนาจเยอะ เดี๋ยวไปตกลงทำความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาผูกมัดประเทศไทย กระทบตรงนั้นตรงนี้ แต่นี่เป็นปัญหาพื้นฐานเรื่องประชาธิปไตยอยู่เหมือนกัน ก็ผมหาเสียงเอาไว้ ผมมีนโยบายอันหนึ่ง มันตัดสินกันในระดับหนึ่งแล้วในตอนที่เลือกตั้ง และผมจะบังคับตามนโยบายผม บางเรื่อง แน่นอน มันมีคนได้คนเสีย คนที่เสียก็ถูกเยียวยาไปตามระบบของเขา แต่ว่าถ้าทำอย่างนี้ หลักมันเพี้ยนไป และมันถูกเอาไปตีความเล่นการเมืองกัน คนทำงานก็จะทำงานลำบาก ลองไปถามคนที่เขาอยู่กระทรวงการต่างประเทศสิ"

** กษิตยังกระดิกไม่ได้เลย

"ถามคุณกษิตก็ได้ คุณกษิตจะตอบได้ดีมากเลย พอเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ จะรู้แล้วว่ามันอย่างไร ทำไมท่าทีคุณกษิตถึงเปลี่ยนไปล่ะ เพราะว่าได้มาทำงานเองแล้ว คนไม่ได้ทำงาน พูดอย่างไรก็พูดได้นี่ ว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนี้ คือผมพยายามมองให้มันเหมือนกัน อย่าไปทาสีเขา เพราะวันหนึ่ง คุณอาจจะต้องเข้าไปทำงานเองก็ได้"

** พรรคประชาธิปัตย์ก็อยากแก้ 190

"พอเป็นรัฐบาลเขาเห็นว่ามีปัญหาอย่างไร แต่คนที่ไม่อยากให้แก้ คือคนที่เขาต่อสู้เคลื่อนไหวเรื่องนี้มา พวกเอ็นจีโอ พวก FTA WATCH เขาบอกต้องเอาเข้าสภา

อันที่จริงเอาเข้าสภาในยามที่ฝ่ายบริหารเขามีเสียงในสภา มันไม่มีปัญหาหรอก มันอาจจะทำให้ช้าไปหน่อย ถ้าเขาคุมเสียงในสภาได้ มันก็ผ่าน แต่โอเคมันอาจจะเป็นประเด็นสาธารณะขึ้นมา แต่มันผ่านการชั่งน้ำหนักตอนรัฐธรรมนูญมาแล้วว่า เรื่องแบบนี้เป็นอำนาจในทางบริหาร ซึ่งเขาก็มีความชอบธรรมในเชิงการปกครอง เพราะเขามาจากสภา แต่ว่าระดับความสำคัญไม่ถึงขั้นไปขอความเห็นชอบจากผู้แทนปวงชน ต้องดูประเภทของสัญญา และต้องเขียนให้ชัดพอสมควร"

** ถ้าเป็นเรื่องใหญ่อย่าง FTA ทุกคนคงไม่ขัดข้องว่า ต้องเอาเข้าสภา แต่ตอนนี้งงไปหมดว่า อะไรต้องเข้าสภาบ้าง

"ถูกต้อง ต้องทำให้มันชัดในระดับหนึ่ง ชัดเจน 100% เป็นไปไม่ได้ อาจจะต้องมีส่วนที่ต้องตีความบ้าง แต่ไม่ใช่แบบนี้ ที่เปิดตีความกว้างมาก ตามหลักวิชาเรื่องการใช้การตีความกฎหมาย มีความเห็นของนักนิติศาสตร์สำคัญๆ บางท่านมองว่า การที่กฎหมายหรือผู้ร่างกฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญก็ตาม บัญญัติถ้อยคำที่มีความหมายไม่เฉพาะเจาะจงเอาไว้ มันเท่ากับเปิดเป็นช่องว่างให้องค์กรที่ใช้กฎหมาย มีอำนาจตีความและตีความได้มากด้วย และเขาอุดช่องว่างเอง ซึ่งจะขาดความน่าเชื่อถือ ทำให้คนที่ทำงานเป็นปัญหา

เพราะฉะนั้นในทางรัฐธรรมนูญ เรื่องสำคัญอย่างนี้จะต้องชัด และไม่ว่าอย่างไร การตีความต่างกัน ต้องไม่เป็นความผิดทางอาญา แต่ในบ้านเราเป็นอย่างนี้ เพราะมันขยายต่อเนื่อง ผมถึงบอกว่า เพื่อไม่ให้ลดทอนตรงนี้ และให้คนที่ทำงานเขามั่นใจในการทำงาน ต้องเอาให้ชัด"

** คนผิด หรือ รธน.ผิด มาตรา 237 วรเจตน์ยืนยันตลอดมาว่าไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว

"หลักของผมง่ายๆ คนที่ไม่ได้ทำความผิด ไม่ควรถูกลงโทษ คือเรื่องยุบพรรค ก็คงเข้าใจตรงกันแล้วมั้งว่าไม่แก้ปัญหาอะไร มันฝืนกับหลักสากล เพราะฉะนั้น ก็กลับสู่หลักปกติ ถ้าคุณกระทำความผิด คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับการกระทำความผิด คุณต้องโดน คนที่ไม่เกี่ยวก็ไม่โดน ถ้าอย่างนั้นก็โอเค"

** กลไกนี้พิการไปแล้วด้วย เพราะทุกวันนี้เราก็เห็นเนวิน บรรหาร เล่นการเมืองอยู่

"ใช่ ก็เลยทำให้ระบบเพี้ยนไปหมด แต่ปัญหาสำคัญมันไปสร้างอำนาจมหาศาลให้กับศาลรัฐธรรมนูญ ให้กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตัวกฎหมายแบบนี้ไม่ได้มองในทางกฎหมายเท่านั้น แต่มองในทางการเมือง

มันทำให้ให้ชะตากรรมของรัฐบาล แขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะถ้ามีการร้องเรียนแล้ว พรรคนั้นไปตั้งรัฐบาล ตัวกรรมการบริหารพรรคเป็นนายกฯ ถูกยุบพรรค ก็คือถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง ทำให้พรรคแตกกระจัดกระจาย

มันถึงเกิดการประท้วงอยู่ว่า คนที่ย้ายพรรคไม่เคารพเจตจำนงคนในพื้นที่ที่เลือกมา คือผลในทางการเมืองมีอยู่

ต่อไปเวลาที่คุณยุบพรรค ในระหว่างที่เลือกตั้งมาแล้ว และ ส.ส.แตกไป เขาบอกว่า ตอนเลือกเพราะคุณอยู่พรรคนี้ ถึงเลือกคุณ มันก็มีปัญหา และอย่าคิดว่าอันนี้เป็นปัญหาเฉพาะประเทศไทยนะ

ส.ส.เปลี่ยนพรรคขณะอยู่ในสมัยสภา ในอังกฤษก็มี ส.ส.ออกจากพรรคไปเข้าอีกพรรค คนประท้วงนะ ในเขตเลือกตั้งว่า ตอนที่เขาเลือกเพราะคุณอยู่พรรคนี้"

"ตัวระบบอย่างนี้ มันอธิบายไม่ได้หลายอย่าง และมันทำลายพัฒนาการทางการเมือง มันทำให้กติกาในทางการเมืองที่จะสู้กัน ถูกแทรกโดยอำนาจอย่างอื่น ถ้ามีการกระทำความผิด ก็ว่ากันไปตามตัวคน แต่เอาให้จริงจัง เราไม่ค่อยลงโทษจริงจังตรงนี้"

** บางคนเขาอธิบายว่า การที่รัฐธรรมนูญไปกำหนดอะไรเยอะแยะ มันไม่ได้เป็นความผิดรัฐธรรมนูญ แต่เป็นที่ตัวคนเอาไปใช้

"ก็เป็นปัญหาเริ่มโทษกัน ผมเห็นคำพูดแบบนี้เยอะว่า อยู่ที่คนไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ และพูดเป็นสโลแกนไปแล้ว รัฐธรรมนูญไม่ได้ผิดอะไร

ทำไมจะไม่ผิด กติกาที่ไปวางเอาไว้โดยไม่อยู่บนหลักการที่ถูกต้อง มันเป็นปัญหาอยู่แล้วในตัวของมัน

คือขึ้นชื่อว่าคน มีปัญหาหมดในทุกๆ หน่วย คนมีปัญหาทั้งนั้น ไม่ใช่แต่นักการเมือง ตอนนี้เวลาพูดว่า นักการเมือง ผมจะพูดในความหมายที่กว้าง เพราะทุกวันนี้ เราพูดถึงนักการเมืองในความหมายที่แคบ หลายคนพูดถึงนักการเมืองในระบบที่ผ่านการเลือกตั้ง

ผมอยากให้เราจินตนาการในมิติที่กว้างขึ้นไปหน่อย ก็คือนักการเมืองซึ่งไม่ได้เล่นการเมืองในเชิงระบบ คือคนที่วิ่งล็อบนี้ คนที่อยู่ในองค์กรอิสระพวกนั้น พวกนี้ คุณก็มีผลประโยชน์ของคุณ คุณมีอำนาจของคุณ แต่บอกว่า คุณไม่ใช่นักการเมือง คนพวกนี้ไม่ใช่นักการเมืองหรือ คนพวกนี้ก็ต้องนับเป็นนักการเมืองด้วย จึงจะพูดถึงเชิงผลประโยชน์ เชิงการเมืองได้ถูกต้อง ไม่ใช่ว่านักการเมืองมีแต่กลุ่มนี้ เพราะเขาอยู่ในเวทีที่เห็นภาพชัด สื่อก็คุ้ย แต่อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นนักการเมืองในความหมายที่กว้าง คุณอาจจะนั่งเป็นผู้ทรงคุณธรรมอยู่ในที่ต่างๆ แต่คุณเล่นการเมืองตลอดเวลา ถ้าบอกว่าไม่มีการเมืองผมก็ไม่เชื่อ แล้วทำไม ผบ.ตร.ตั้งไม่ได้ นี่คือสภาพที่ปรากฏชัด"

"เมื่อเห็นตรงนี้ ทำไมเราไม่คิดจากฐานของตัวระบบ เพราะคนมีปัญหาหมด หลายคนที่พูดว่า รัฐธรรมนูญไม่มีปัญหา ก็เป็นคนร่าง ก็พูดอย่างนี้ ปํญหาคือกติกาที่คุณร่างมา มันไม่ได้รับการยอมรับในทางหลักพื้นฐานตั้งแต่ต้น คือแน่นอน ไม่มีหรอก กติกาที่ทุกคนจะรับกันเอกฉันท์ มันมีแต่หลักหรือคุณค่าพื้นฐานที่ตกลงกันและรับกัน อาจจะเห็นต่างกันบ้าง แต่ 2550 มีปัญหาตั้งแต่ตอนเริ่มต้น

คือคุณเริ่มต้นวางหมากเรื่องประชามติ ก็ผิดมาแล้ว อีกอย่างคือกลไกรัฐธรรมนูญ มันหยุมหยิมมาก รายละเอียดมาก มีคนบอกว่า นักการเมืองไม่เคยเจอพิษของรัฐธรรมนูญที่กำหนดเอาไว้แบบนี้ ก็เลยดิ้น

ผมบอกไม่ใช่ ถ้ากำหนดกติกาแบบนี้กับองค์กรอื่น ที่ไม่เป็นนักการเมือง มันก็ให้ผลแบบเดียวกัน กับราชการระดับสูง กับองค์กรอิสระ และก็ให้อีกฝ่ายเป็นคนตีความบ้าง ลองพลิกกลับข้างกัน มันก็เป็นปัญหาเหมือนกัน มันจึงเป็นปัญหาที่กติกา คนเป็นปัญหาอยู่ทุกสมัย ถ้าใครบอกว่าเป็นปัญหาที่คน ผมไม่เถียง แต่ของเราไม่ใช่เฉพาะแค่คนเป็นปัญหา ตัวระบบตัวกติกาเป็นปัญหาด้วย มันเลยเป็นอย่างนี้"

** บางคนอ้างว่า ศาลฎีกาก็มีอยู่ก่อนแล้ว ศาลปกครองก็มีอยู่ก่อนแล้ว กฎหมายทรัพย์สินนักการเมืองก็มีอยู่ก่อนแล้ว

"มันต้องดูบริบทสภาพการเมือง และการต่อสู้กันทางการเมืองด้วย กฎหมายฉบับหนึ่งเขียนเหมือนกัน วางอยู่ต่างระบอบกัน มันจะไม่เหมือนกัน สภาพในทางการเมืองที่แตกต่างกัน มันส่งผลต่อการวินิจฉัย

แน่นอนการสร้างความคิดเรื่องตุลาการภิวัตน์ขึ้นมาในบ้านเมืองเรา และเข้าใจกันคลาดเคลื่อนไป ก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา มันกัดเซาะตัวระบบไปทุกที คนจำนวนมาก ยังอาจจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่คนจำนวนหนึ่งเขาก็เห็น อย่างที่ผมเคยบอก เมื่อ 2-3 ปีก่อนว่า มันผิดทาง

วันนี้ประเด็นการสู้เรื่องบทบาทของศาล ในความเห็นผม ผู้พิพากษาส่วนใหญ่เขาโอเคนะ เพียงแต่ในเชิงบทบาทที่เขาจะมีต่อคดีสำคัญๆ อาจไม่มากเท่าไหร่ แต่ในเชิงระบบ มันเป็นปัญหา การสร้างความคิดแบบนี้ขึ้นมา มันชักพาให้ผิดไปจากแบบที่ควรจะเป็น และก็พยายามดิ้นอธิบาย

คนที่สนับสนุนเรื่องตุลาการภิวัตน์ พยายามเขียนบทความสร้างความชอบธรรม ว่าเป็นการตีความแบบก้าวหน้า และก็ไปยกตัวอย่างประเทศนั้นประเทศนี้มา แต่ลืมดูว่า บ้านเรามันไม่ใช่ตีความในเรื่องการส่งเสริมสิทธิ แต่เป็นการตีความที่มีผลได้เสียในทางการเมืองโดยตรงของกลุ่มผลประโยชน์ในทางการเมือง มันจึงเทียบไม่ได้

ก็ไม่เข้าใจกัน ก็มาบอกว่า เกาหลียังมีการตีความเรื่องสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร กำหนดให้คนเข้าถึงได้ ตีความก้าวหน้าแบบนี้ ผมไม่มีปัญหาเลย ผมซาบซึ้ง ยินดีสนับสนุนเลย ถ้าตีความก้าวหน้าและมีเหตุมีผล แบบที่เขาทำกันในที่ต่างๆ ถามว่า ของเรามันเป็นแบบนั้นหรือ ในบริบทของการตีความ ถามว่า คนเสนอตุลาการภิวัตน์ คุณเสนอกันมาในบริบทไหน"

** นั่นแหละที่บางคนบอกว่า รัฐธรรมนูญไม่เกี่ยว เป็นเรื่องของตุลาการภิวัตน์

"มันสัมพันธ์กัน ผมถามว่า คุณเขียนอายุเกษียณผู้พิพากษา 70 ในรัฐธรรมนูญทำไม ทำไมคุณไม่ปล่อยให้เป็นอำนาจของผู้แทนปวงชนที่มาจากการเลือกตั้ง คุณตัดสินเรื่องนี้ได้อย่างไร แล้วเวลารับรัฐธรรมนูญ ก็รับกันทั้งฉบับ มีใครพูดกันประเด็นนี้ หรือตอนรับรัฐธรรมนูญ แล้วคุณก็มาตีขลุมว่า รับรัฐธรรมนูญคือเห็นด้วย

มันไม่แฟร์ในแง่นี้ มันไม่ใช่เรื่องทุกเรื่องที่คุณจะเห็นด้วย ถ้าอย่างนั้น ผมอยากจะเขียนอะไร ผมก็เขียนลงไปแล้วก็ซ่อนๆ ลงไปในประชามติ ต้องหัดยอมรับกันบ้างว่า เขียนอะไรลงไป เรื่องนิรโทษกรรมก็ฟ้องอยู่โจ่งแจ้ง 309 ในรัฐธรรมนูญ"

** มีข้อแย้งว่า อำนาจศาลเหมือนเดิม แต่แนวคิดตุลาการภิวัตน์เข้ามา

"ตุลาการภิวัตน์ที่พยายามพูดถึงกัน มันใช้ในความหมายซึ่งหมายถึงตัวบทบาทที่แผ่ขยายออกไปของตุลาการ ไม่เฉพาะในทางคดี คุณจะปฏิเสธว่า ทางความเป็นจริง คุณหมายถึงเฉพาะในทางคดีก็ไม่เป็นไร แต่คนทั่วๆ ไปที่เขาดู sense อันนี้ เขาคิดถึงอะไรล่ะ ผู้พิพากษาไปนั่งเป็นกรรมการสรรหาตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้"

"บทบาทตรงนี้ ที่แผ่ออกไปมันไม่ได้มีเฉพาะในรัฐธรรมนูญนะ ผมจะบอกให้ วันนี้ไปดูพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน เรื่องคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม ก็เอาประธานศาลปกครองสูงสุดมานั่งเป็นประธานกรรมการสรรหา แผ่ลงไปถึงตัวพระราชบัญญัติแล้วตอนนี้"

** ศาลปกครองเกี่ยวกันตรงไหนกับข้าราชการพลเรือน

"ก็ไม่ได้เกี่ยว แต่เขาเอาประธานศาลปกครองสูงสุดมานั่งเป็นประธานคณะกรรมการสรรหา คนที่จะเป็นกรรมการพิทักษ์คุณธรรม มาพิจารณาเรื่องวินัยข้าราชการ เรากำลังใช้ตำแหน่งพวกนี้ออกไปนั่งอยู่ในที่ต่างๆ หลายๆ แห่ง

ถามว่า จุดเริ่มต้นมาจากไหน ก็มาจากรัฐธรรมนูญที่เขียนกันขึ้นมานั่นแหละ ก็เพราะคิดว่า ไม่เหลืออะไรแล้ว เหลือแต่ผู้พิพากษาตุลาการ ก็เลยต้องเอาออกมา

ศาลจำนวนหนึ่ง ผู้พิพากษาตุลาการจำนวนหนึ่ง ท่านไม่ได้สบายใจเลยที่ออกมาแบบนี้

ตอนที่ร่างรัฐธรรมนูญ ศาลก็บอกว่า ไม่ได้อยากมา แต่ดึงออกมา ถามว่า การดึงออกมาแบบนี้ มันเกิดขึ้นภายในบรรยากาศอะไร เราปฏิเสธบรรยากาศลักษณะแบบนี้ได้ไหม เพราะองค์กรตุลาการ เดิมทีก็ไม่ได้เป็นองค์กรที่อยู่ในความสนใจหรอก ก็ตัดสินไป คดีแพ่งคดีอาญา มีปัญหาอะไรก็เป็นเรื่องข้างในองค์กรเขา มันก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรในทางการเมือง แต่พอออกมาเป็นแบบนี้ มันกลายเป็นเรื่องของผลประโยชน์แล้ว ในทางตำแหน่ง คุณปฏิเสธไม่ได้นะว่า คุณเป็นตำแหน่งนี้ คุณไปนั่งตรงนั้นตรงนี้ ซึ่งผมไม่ได้จะว่าผู้พิพากษานะ แต่คนร่าง ก็ไปดึงออกมาให้เขามาทำเรื่องพวกนี้ แล้วคุณจะบอกว่า ไม่เกี่ยวหรือ คุณเขียนในรัฐธรรมนูญ"

ประเด็นไม่ให้ ส.ส.เป็นเลขา หรือที่ปรึกษารัฐมนตรี มาตรา 265 และห้ามแทรกแซงการปฏิบัติราชการตามมาตรา 266 วรเจตน์เห็นว่า เป็นประเด็นปลีกย่อย

** ปัญหาอยู่ที่การตีความ หรืออยู่ที่เขียนรัฐธรรมนูญ

"อยู่ที่รัฐธรรมนูญด้วย แต่ก็เป็นปัญหาเรื่องการตีความเหมือนกัน คุณเขียนแบบนี้ ในบรรยากาศอีกลักษณะหนึ่ง การตีความก็อาจจะเป็นอีกอย่าง ก็เป็นไปได้ แต่พอเขียนแบบนี้ คนกลัวกันหมด เพราะมันอาจจะตายน้ำตื้น"

** อย่างมาตรา 266 ถ้าทำหน้าที่ ส.ส.ไปเดินเรื่องร้องเรียนให้ชาวบ้าน ก็ไม่น่าจะถูกตีความว่าแทรกแซงการปฏิบัติราชการเพื่อผลประโยชน์ตัวเองหรือผู้อื่น

"ถูก จริงๆ มันไม่ใช่ แต่ตอนนี้ในบรรยากาศของการต่อสู้ทางการเมือง ที่เอากฎหมายเป็นเครื่องมือห้ำหั่นฟาดฟันกัน ทุกตัวอักษรถูกใช้หมด เราต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน พอถูกใช้หมด มันจึงกลายเป็นเรื่องระดับรัฐธรรมนูญ เพราะคุณเขียนรัฐธรรมนูญวางเรื่องพวกนี้เอาไว้"

รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ควรเป็นอย่างไร ตอน 4 : ระบบเลือกตั้ง

ที่มา Thai E-News


โดย รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์
ที่มา เวบไซต์ thaipost
24 ตุลาคม 2552

รัฐธรรมนุญที่เป็นประชาธิปไตย ควรเป็นอย่างไร
ตอน 1 :
ล้างคราบเผด็จการ
ตอน 2 :
หมวดพระมหากษัตริย์
ตอน 3 : โครงสร้างระบบ

ตอน 4 : ระบบเลือกตั้ง

"ผมเห็นว่าระบบเลือกตั้งแบบ 2540 ดีกว่า 2550 แต่ระบบเลือกตั้งแบบ 2540 ก็ยังให้ความสำคัญกับระบบสัดส่วนน้อยไป ถ้าเรา reform ตัวพรรคการเมืองให้มีความเป็นประชาธิปไตยในพรรค แล้วน้ำหนักหรือคะแนนที่ให้กับระบบสัดส่วน ควรจะมากขึ้น และเราอาจจะแยกระหว่างระบบสัดส่วน กับระบบเสียงข้างมากโดยเด็ดขาด เพราะมีในบางประเทศที่เขาเอาคะแนนเสียงที่ให้กับระบบสัดส่วนเป็นตัวคำนวณที่นั่งของพรรคการเมืองในสภา ซึ่งจะสอดคล้องกับหลักความยุติธรรม"

** อันนี้คือระบบของเยอรมัน

"คือถ้าพรรคไหนชนะการเลือกตั้งในเขตแล้ว คนๆ นั้นได้เป็น ส.ส.แน่ๆ แต่ให้เอาไปหักกับเก้าอี้ที่ได้จากระบบสัดส่วน สมมติมี ส.ส.ในสภา 500 คน อาจจะแบ่งเป็นระบบสัดส่วน 250 แบบแบ่งเขต 250 เวลาคนไปเลือก ก็เลือกได้ใน 2 ระบบ คือลงให้กับ ส.ส.ในเขต และก็ลงให้กับบัญชีรายชื่อที่ตัวเองเลือก พอจะคำนวณหาเก้าอี้ในสภาทั้งหมด ก็เอาคะแนนที่ลงให้กับพรรคการเมืองมาดูว่า พรรคนี้ จาก 500 เขาจะได้เก้าอี้กี่ที่นั่ง โดยเอาเฉพาะคะแนนลงให้พรรคมาคำนวณก่อน ก็จะได้เป็นตัวเลขใหญ่ขึ้นมา แล้วก็ไปดูว่า มีผู้ชนะการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งกี่เขต คนที่ชนะการเลือกตั้งในเขต เขาจะได้เก้าอี้อยู่แล้วแน่นอน ก็เอาตัวนี้มาลบกับจำนวนรวมทั้งหมด

เช่น พรรค A เอาคะแนนที่ลงให้พรรคทั้งประเทศมารวมกัน จะได้เก้าอี้ประมาณ 200 เก้าอี้ ไปดูจาก 250 เขต เขาชนะการเลือกตั้งแล้ว 120 เขต ก็เอา 120 มาหักจาก 200 เพราะฉะนั้น 120 คนได้เป็น ส.ส.แน่ๆ ส่วนอีก 80 ก็ไปให้กับบัญชีรายชื่อ มันก็จะสอดคล้องกับคะแนนที่คนเลือกพรรคนั้น มันจะไม่ผันแปรมาก อันนี้เป็นระบบที่เราอาจปรับต่อไปได้อีก"

"มีคนบอกว่า ระบบนี้ซับซ้อน ผมบอกว่า มันอาจจะซับซ้อนสำหรับประชาชน แต่ประชาชนรู้ว่า ตัวเองมี 2 คะแนนอยู่แล้ว ส่วนที่เหลือมันเป็นระบบการคำนวณ มันไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรมากมาย แต่จะสอดคล้องกับความยุติธรรมของน้ำหนักคะแนน"

** ถ้าเทียบแล้วระบบ 2540 ดีกว่า 2550 ใช่ไหม

"แน่นอน แต่มันอาจจะปรับให้ดีไปกว่านั้นได้อีก คือถ้ายังไม่พร้อมก็เอา 2540"

** เขตเล็กดีกว่าเขตใหญ่

"ผมเคยกังวลนะ ตอนแรกๆ ว่าเขตเล็กอาจจะมีปัญหา แต่เขตเล็กมีข้อดี ที่มันไม่ใหญ่มาก และก็ชัดว่าคนในทุกๆ เขตมี ส.ส.คนเดียวเท่ากัน มันไม่เหมือน 2550 ที่คนในแต่ละเขตมี ส.ส.ไม่เท่ากัน เขตใหญ่ก็มี ส.ส.ได้มาก และอาจจะต่างพรรคการเมืองกันด้วย ดังนั้นในแง่นี้ เขตละคนจะดีกว่า"

** บางคนเขากลัวว่าจะผูกขาด ซื้อเสียงได้ง่ายกว่า

"การขจัดเรื่องการซื้อเสียง ไม่สามารถที่จะใช้กลไกทางกฎหมายไปทำลายมันได้ มันเป็นเรื่องอื่น เราจะผิดฝาผิดตัวมากเลย ถ้าคิดว่า ออกแบบระบบเลือกตั้งมาทำลายเรื่องของการซื้อเสียง มันทำไม่ได้ การซื้อเสียงมันไม่สนใจระบบเลือกตั้งว่า คุณจะเลือกเขตละกี่คน มันซื้ออยู่แล้วถ้ามันจะซื้อ

เพราะฉะนั้น เราเลิกคิดตรงนี้ไปก่อนว่า การกำหนดระบบเลือกตั้ง จะไม่แก้ปัญหาการซื้อเสียง มันคนละประเด็นกัน เรื่องการซื้อเสียงมันไปพันกับวัฒนธรรมในทางการเมือง ต้องไปแก้ตรงนั้น ต้องค่อยๆ ทำ และใช้เวลา มันไม่ได้ทำได้คราวเดียว

มีคนเขาบอกว่า อย่างนี้ประเทศก็ถูกเขมือบไปหมด แต่บางทีเป็นการคิดล่วงหน้ามากเกินไป กลัวกันเกินไป ผมคิดว่าคงไม่มีใครกล้าพูดว่า คนที่ไปเลือกตั้งถูกซื้อเสียงหมด คงไม่มีใครยืนยันข้อเท็จจริงอันนี้ แต่อาจจะบอกได้ว่า การซื้อเสียงมีอยู่ในสังคมของเรา คนที่รับเงินแล้วไปเลือกคนที่ให้เงินก็คงมี คนที่รับเงินแล้ว ไม่เลือกก็คงมี คนที่ไม่รับเงินก็คงมี ส.ส. ซึ่งมาจากการเลือกตั้งที่ไม่ใช้เงินโดยผิดกฎหมายก็คงมี คือมันไม่สามารถเอาเป็นเกณฑ์ได้ ผมจึงบอกว่า มันขึ้นอยู่กับว่าเรายอมรับตรงนี้ไหม"

"ผมคิดในทางกลับกันว่า สังคมของเราจะต้องส่งเสริมเรื่องของการยอมรับการเลือกตั้ง คือเราทำผิดทิศ ที่เรากำลังทำกันอยู่ทั้งหมด ก็คือใช้กลไกเรื่องของการซื้อเสียง ใช้ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ทำลายจิตสำนึกของเรา ในเรื่องของการเคารพการเลือกตั้ง มันเป็นการทำลายประชาธิปไตยถึงฐานราก คนก็ไม่เชื่อถือ

ทุกคราว คุณก็ออกข่าวว่า ซื้อเสียงตรงนั้น ซื้อเสียงตรงนี้ ผมไม่ได้บอกว่า ออกข่าวไม่ได้นะ แต่ในด้านหนึ่งต้องยอมรับว่า คนที่เขาผ่านการเลือกตั้งมาโดยถูกต้องสุจริต ก็มีอยู่

การต่อสู้กันในทางนโยบายพรรคการเมือง นำเสนอนโยบายให้คนเลือก มันก็มีอยู่ นี่คือด้านที่ต้องเน้น เพื่อจะปลูกฝังสำนึกในเรื่องการเคารพ และยอมรับหลักการประชาธิปไตย

แต่ที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้ คือการทำลายตัวหลักการประชาธิปไตยถึงฐานรากเลย แน่นอนการเลือกตั้งไม่ใช่ทั้งหมด แต่ถ้าไม่มีการเลือกตั้ง ไม่มีประชาธิปไตย คือคุณพูดว่า การเลือกตั้งไม่ใช่ทั้งหมดของประชาธิปไตย ผมไม่เถียงหรอก แต่คุณบอกได้ไหมว่า คุณมีประชาธิปไตยโดยที่ไม่มีการเลือกตั้ง มันไม่มีทาง เพราะฉะนั้นความคิดที่เสนอ 70:30 ผมจึงรับไม่ได้ เพราะมันทำลายประชาธิปไตยถึงฐานราก เป็นไปไม่ได้"

** การเลือกตั้งระบบปาร์ตี้ลิสต์แบบแบ่งโซน หรือแบบทั้งประเทศดีกว่า

"มันได้ทั้ง 2 แบบ แล้วแต่คุณจะใช้ฐานจากอะไร แต่ไม่ใช่แบบ 2550 เพราะโซนในแบบ 2550 มันเป็นโซนซึ่งไม่อธิบายเหตุผล แบ่งประเทศออกเป็น 8 กลุ่มจังหวัด และให้มี ส.ส.กลุ่มจังหวัดละ 10 คน เอาประเทศไทยทั้งประเทศ มาตัดแบ่งออกเป็น 8 ส่วน แต่ละส่วนก็มี ส.ส.10 คน หลักในรัฐธรรมนูญมีอยู่อย่างเดียว ก็คือการแบ่ง ต้องให้ได้คนในปริมาณที่ใกล้เคียงกันทั้ง 8 กลุ่ม และจังหวัดต้องติดกัน จะเอาเชียงใหม่ไปรวมกับนราธิวาสไม่ได้ อันนี้โอเค

เพียงแต่แนวคิดแบบนี้ 8 กลุ่มจังหวัดนี้ มันไม่สัมพันธ์กับความเป็นมาในทางวัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์ ผลประโยชน์ในทางการเมือง เศรษฐกิจต่างๆ เลย คุณเอาจังหวัดภาคกลางไปรวมกับจังหวัดในภาคใต้ตอนบน มันไม่ตอบคำถามอะไรเลย

ถ้าจะใช้ระบบแบบ 2550 แบ่งเป็นกลุ่มจังหวัด ใช้ 2540 แบบประเทศไปเลยดีกว่า เพราะแบบประเทศ คนทุกคนเลือกพรรคนี้เหมือนกัน ถ้าคนทั้งประเทศเห็นคนที่เป็น ส.ส.เหมือนกันหมด ไม่ว่าคุณจะอยู่จุดไหนของประเทศ พรรคทำนโยบาย และพรรคหาเสียงกับนโยบายอันเดียวกันทั้งประเทศ

หรือถ้าจะปฏิรูประบบเลือกตั้ง คุณสามารถทำให้ประเทศแบ่งเป็นโซนได้ แต่โซนนั้นดูแล้ว มันมีความสัมพันธ์กัน ในทางความคิดความอ่าน ความเป็นมา ประวัติศาสตร์ เช่น โซนภาคเหนือ อีสาน กลาง ใต้ 4 โซนใหญ่ๆ และแต่ละบัญชี จะมี ส.ส.ไม่เท่ากัน ผันแปรตามจำนวนประชาชน เช่น list ของอีสาน จะต้องใหญ่หน่อย list ของภาคใต้น้อยหน่อย เพราะประชากรน้อย ถ้าแบ่งโซนอย่างนี้ โอเค ผมรับได้"

** เขาก็จะแย้งว่าแต่ละภาคได้ ส.ส.ไม่เท่ากัน

"ไม่เท่ากันโดยสภาพอยู่แล้ว เพราะคนอีสานเยอะกว่าคนใต้ ที่สุดจะเหมือนกัน เพราะคะแนนที่ลงมันลงเท่ากัน เพียงแต่ขึ้นอยู่กับตัวของ list ใครอยู่ในนั้นบ้าง แต่ผลสุดท้ายไม่ต่างกัน มันต่างกันในแง่ที่ว่า เราจะเอาประเทศเป็นเขต ให้คนเลือกบัญชีเดียว หรือเราจะเอาตัวภาค แบ่งตามความเชื่อมโยง มาทำเป็น list บางคนบอกว่า ทำอย่างนี้ จะทำให้เราขยับเข้าใกล้ความเป็นสหพันธรัฐหรือเปล่า อันนี้ก็แล้วแต่มุมมอง"

** ต่างประเทศก็แบ่งโซนแบบนี้ใช่ไหม

"มี แต่เขาไม่ได้กำหนดแบบที่เรากำหนด ไม่จำเป็นต้องเท่ากัน 10 คนแบบเรา การแบ่งโซน คุณต้องบอกได้ว่า คุณจะเอาอะไรเป็นเครื่องบอกโซน แบ่งแบบ 2550 มันไม่ตอบคำถามว่า แบ่งทำไม แบ่งแบบนี้กับเอาทั้งประเทศมีค่าเท่ากัน เพราะว่าโซนในการแบ่งของคุณ ไม่ตอบคำถาม แต่ถ้าแบ่งโซนโดยบอกว่า มีความเป็นกลุ่มก้อน มีภูมิหลัง เวลาพรรคการเมืองทำนโยบาย เขาก็จะทำโดยพิจารณาตรงนี้ ในโซนนี้"

** เช่นภาคใต้แข่งนโยบายเรื่องราคายางพารา

"ใช่ แต่แบบที่เป็นอยู่ มันไม่ทำให้เกิดการแข่งกันในทางนโยบาย กลับไปใช้ระบบประเทศเป็นเขตก็ดีอยู่แล้ว เพียงแต่เอาระบบประเทศเป็นเขต เขากลัวการเคลมคะแนนเสียง ได้มา 19 ล้านเสียง เคลมได้ เห็นชัดว่า คนทั้งประเทศเลือก การร่างรัฐธรรมนูญบนความกลัว ก็ออกมาแบบนี้แหละ"

อ่านต่อ ตอน 5 : สนธิสัญญา - ยุบพรรค

รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ควรเป็นอย่างไร ตอน 3 : โครงสร้างระบบ

ที่มา Thai E-News


โดย รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์
ที่มา เวบไซต์ thaipost
24 ตุลาคม 2552

รัฐธรรมนุญที่เป็นประชาธิปไตย ควรเป็นอย่างไร
ตอน 1 : ล้างคราบเผด็จการ
ตอน 2 : หมวดพระมหากษัตริย์

ตอน 3 : โครงสร้างระบบ

** วรเจตน์เห็นว่า จากภาพรวมของรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นนี้แทบไม่ได้แตะอะไรเลย

"มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรในเชิงโครงสร้างรัฐธรรมนูญ จะไม่แก้ปัญหา โอเค มันอาจจะแก้ปัญหาในบางเรื่องกับฝ่ายการเมืองกับรัฐบาล แต่ในเชิงหลักการของการปกครองมันไม่ได้เปลี่ยนอะไร ไม่ได้แก้อะไรเยอะ

ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ผมไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของกรรมการสมานฉันท์ เพียงแต่ผมเห็นว่า มันน้อยไปที่จะทำให้เราได้รัฐธรรมนูญซึ่งมั่นคงถาวรสถิตสถาพรไป และก็เป็นหลักพื้นฐานในเชิงการปกครอง

แต่ผมมีความเห็นของผมอยู่ด้วยว่า เรื่องหลายอย่างที่เขียนลงในรัฐธรรมนูญ ต้องเอาออกจากรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ รัฐธรรมนูญไม่ควรจะมีข้อความที่ยาวขนาดนี้ ควรจะเอาแต่หลักๆ และเรื่องในรายละเอียดก็ไปต่อสู้กันโดยวิธีทางในทางรัฐสภา"

** โครงหลักของรัฐธรรมนูญที่คิดว่าจะต้องทำใหม่คืออะไรบ้าง

"เราคงต้องตั้งคำถามว่า เราจะอยู่ในระบบรัฐสภาไหม ซึ่งผมเข้าใจว่า เราก็คงจะอยู่ในระบบนี้แหละ ความสำคัญก็คงเป็นเรื่องของฝ่ายการเมือง เรื่องของสภาผู้แทนราษฎรกับเรื่องของคณะรัฐมนตรี หมายความว่า นายกรัฐมนตรีก็ควรจะมาจากสภาผู้แทนราษฎร เว้นแต่จะมีใครคิดว่า ให้นายกฯ มาจากการเลือกตั้งโดยตรง

แต่หลักที่ใช้กันทั่วไป และเป็นโมเดลที่เป็นสากลพอสมควร ก็คือระบบนี้ ที่เชื่อมโยงกัน มันดุลและคานอำนาจกัน ฉะนั้น โครงสร้างหลักก็มี 2 องค์กร คณะรัฐมนตรีกับสภาผู้แทนราษฎรที่ยังคงอยู่

ประเด็นที่ต้องพูดกันต่อคือว่า แล้วในส่วนที่เป็นรัฐสภา ควรจะมีวุฒิสภาไหม อันนี้คือประเด็นหลัก

แต่ถ้ามี ผมคิดว่าวุฒิสภาไม่ควรมาในลักษณะนี้ คือสรรหามาครึ่งหนึ่งและเลือกตั้งจากจังหวัดละคน มันผิดในเชิงของระบบ และในแง่ของความสอดคล้องในหลักการประชาธิปไตย

ถ้าไม่มีก็ไม่มีเลย ถ้ามีก็ต้องมาจากการเลือกตั้ง จะโดยอ้อมโดยอะไรก็ตาม และน่าจะมีอำนาจน้อยกว่าสภาผู้แทนราษฎร หลักควรจะเป็นแบบนั้น อาจจะทำให้ทำกิจกรรมบางอย่างบางเรื่อง เชื่อมโยงกับสภาผู้แทนราษฎร แต่สภาหลัก ก็ควรจะเป็นสภาผู้แทนราษฎรกับฝ่ายบริหาร คือคณะรัฐมนตรี นั่นก็คือโครง

"ส่วนเรื่องระบบเลือกตั้ง คงไม่มีปัญหา คุยกันได้ว่า จะเป็นระบบสัดส่วนผสมกับระบบเสียงข้างมาก อย่างที่เขาเถียงกันอยู่ ย้อนกลับไปใช้ปี 2540 ผมเห็นว่า เรายังมีหนทางทำได้ดีกว่าของปี 2540 อีก ในแง่ของความยุติธรรมในการออกเสียงลงคะแนน

แต่ถ้ายังไปถึงขั้นนั้นไม่ได้ ประนีประนอมกันก็ยังพอเป็นไปได้ แต่ต้องอธิบายได้ ไม่ใช่ระบบที่อธิบายไม่ได้แบบรัฐธรรมนูญ 2550 และจริงๆ ระบบเลือกตั้ง ถ้าว่ากันถึงที่สุดแล้ว อาจจะไม่ต้องเขียนในรัฐธรรมนูญก็ยังได้

หมายถึงรัฐธรรมนูญเขียนหลักในเรื่องของการเลือกตั้ง วางหลักเอาไว้ว่า คุณต้องเลือกตั้งโดยเสรี โดยตรง โดยลับ โดยเสมอภาค ส่วนตัวระบบการเลือกตั้ง จะเป็นระบบแบบไหน อาจจะอยู่ในพระราชบัญญัติยังได้เลย เพียงแต่ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

การต่อสู้กันเรื่องระบบเลือกตั้ง ก็ไม่ต้องต่อสู้แก้รัฐธรรมนูญ แต่ไปต่อสู้กันโดยหนทางของรัฐสภา เรื่องในทางการเมืองที่จะสู้กัน เพราะคนที่ได้รับเสียงข้างมากมา ก็ควรจะมีโอกาสที่เขาจะปรับตัวระบบเลือกตั้งในกรอบรัฐธรรมนูญกำหนด เท่าที่คุณจะเลือกตั้งโดยลับ โดยตรง โดยเสรี โดยเสมอภาค"

"อีกอันหนึ่งที่เป็นโครงใหญ่ที่จะต้องพูดกัน ก็คือเรื่ององค์กรอิสระว่า คืออะไร อำนาจเขาควรจะเป็นอย่างไร อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด วินิจฉัยได้แบบศาล ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายบริหาร มันควรจะมีไหม

ซึ่งผมคิดว่า ไม่ควรจะมี และต้องเอาให้ชัดด้วยว่า องค์กรอิสระแบบนี้ เขาใช้อำนาจที่มีลักษณะเป็นอำนาจอธิปไตยหรือเปล่า หรือเป็นอำนาจทางบริหาร ที่มีลักษณะเป็นอำนาจในทางปกครอง

ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ควรจะเป็นองค์กรตามพระราชบัญญัติ ไม่ใช่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เพราะเขาไม่ได้ใช้อำนาจที่เป็นอำนาจของปวงชนโดยตรง แต่เป็นอำนาจบังคับใช้กฎหมาย หลายองค์กรก็ต้องออกจากรัฐธรรมนูญไป กลายเป็นองค์กรที่รัฐธรรมนูญประกันให้มีเฉยๆ แต่เป็นเรื่องต้องกำหนดในพระราชบัญญัติ

ซึ่งแน่นอนว่าการ reform แบบนี้ อาจจะต้องมาเป็นแพ็กเกจ คือทำตัวรัฐธรรมนูญด้วย และทำพระราชบัญญัติไปด้วย มันควรจะเป็นแบบนั้น ถ้าเป็นระบบแบบนี้ องค์กรเหล่านี้ จะเป็นองค์กรในทางปกครองที่เป็นอิสระ และเข้าสู่ระบบการตรวจสอบอำนาจว่า ถ้าเขากระทำการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย เขาก็ถูกควบคุมได้ในทางตุลาการ"

"พอมาถึงองค์กรตุลาการ หรือศาล ก็คงจะต้องมีการพูดกัน ว่าศาลเราระบบควรจะเป็นอย่างไร ศาลรัฐธรรมนูญยังจะมีต่อไปหรือไม่ อำนาจหน้าที่ควรจะเป็นแค่ไหน อย่างไร ถ้ามี อำนาจ หน้าที่ต้องชัดเจน ที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญ ต้องเขียนให้ชัด เรื่องของคุณสมบัติต่างๆ ต้องคิดว่า จะให้เป็นเรื่องของศาล หรือบางเรื่องให้สภาเขาวินิจฉัยเอง เรื่องไหนที่เป็นเรื่องในทางการเมือง อาจจะปล่อยให้ทางฝ่ายการเมืองเขาวินิจฉัยเองได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องในทางตุลาการ

ฉะนั้น ระบบศาลจะต้องคิด และต้องคิดเลยไปอีกว่า การเข้าสู่ตำแหน่งบริหารของศาลในระบบต่างๆ ควรจะมีกฎเกณฑ์กติกาอย่างไร คนที่จะเข้าสู่ตำแหน่งในทางบริหาร ในระดับสูงของศาล บรรดาประธานศาล ควรจะมีจุดเกาะเกี่ยวกับประชาชนมากน้อยแค่ไหน คณะกรรมการตุลาการ คณะกรรมการ กศป. กำหนดแล้วพอไหม"

"ประเด็นสำคัญที่สุดที่จะต้องพูดกันเกี่ยวกับศาล ก็คือความชอบธรรมในทางประชาธิปไตยขององค์กรตุลาการ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่เคยพูดกันเลย เราพูดแต่ว่า ตุลาการต้องเป็นอิสระ แน่นอน เราต้องประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษาตุลาการ แต่ในทุกระดับของการได้มาของผู้พิพากษาตุลาการ มันต้องอธิบายและย้อนกลับไปหาประชาชนได้ด้วย

ซึ่งผมไม่ได้หมายความว่า ให้ผู้พิพากษามาจากการเลือกตั้ง แต่ผมหมายถึงในแง่ของการคัดเลือกผู้พิพากษาขึ้นสู่ตำแหน่งในระดับที่สูงขึ้น มันควรจะต้องมีจุดที่เชื่อมโยงกับประชาชนได้ ต้องกลับไปผ่านสภาหรืออะไรก็ไปว่ากัน เพื่อให้เราเห็นกระบวนการทำงานของศาลมากขึ้น เวลาที่ตัดสินมาก็จะยอมรับได้อย่างเต็มที่

องค์กรผู้พิพากษาในที่สุดแล้ว มีจุดเกาะเกี่ยวเชื่อมโยง แต่ต้องทำโดยไม่ให้เขาสูญเสียความเป็นอิสระ แต่แน่นอน เราก็ไม่ต้องให้มีการอ้างความอิสระนั้น มาทำลายระบบการตรวจสอบ แม้แต่ในทางตัวบุคคล อิสระกับเรื่องการถูกตรวจสอบเป็นคนละเรื่องกัน"

"คือวันนี้ ในหมู่ชนชั้นนำของบ้านเราสับสน 2 เรื่องนี้ คือคิดว่า อิสระก็คือใครตรวจสอบไม่ได้ เพราะถ้าเกิดถูกตรวจสอบได้ จะไม่อิสระ ผลก็คือองค์กรที่เราคาดหวังว่าจะอิสระนั้น ก็ถูกครอบงำและก็ไม่ถูกตรวจสอบ อันนี้คือจุดอ่อน

เพราะฉะนั้น ศาลก็ต้องอยู่ภายใต้กรอบอันนี้เหมือนกัน ก็ต้องทำตรงนั้นใหม่ในชั้นของรัฐธรรมนูญ ต้องคิดกันใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ แน่นอน ก็มีคนบอกว่าเสนอแบบนี้มาแล้ว มันจะได้หรือ

ผมก็บอกว่าได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายวิชาการ หรือของผม ผมเพียงแต่นำเสนอว่า ในความเห็นผมเห็นอย่างนี้ ถ้าเหตุปัจจัยมันพร้อม ก็ไปทางนี้ ถ้าเหตุปัจจัยไม่ให้ มันก็ไม่ไป

และถามว่าที่เสนอแบบนี้ ได้ดูบริบทของประเทศไทยไหม ผมก็ดู บนพื้นฐานบริบทของประเทศไทย ที่คนไทยก็เป็นมนุษย์มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รู้จักคิด ปกครองตัวเองได้ บนพื้นฐานแบบนี้นะ ซึ่งแน่นอนถ้าใครคิดว่า คนไทยยังโง่อยู่ ปกครองตัวเองไม่เป็น เขาก็ต้องคิดจากอีกฐานหนึ่ง มันก็จะปะทะกันในทางความคิดที่เป็นรากฐานอยู่แล้ว"

"ในส่วนโครงสร้างอำนาจอื่น ผมเห็นว่า รัฐสภาควรจะมีการตั้งผู้ตรวจการทหาร มีอำนาจตรวจสอบกองทัพ ในแง่ของการใช้จ่ายเงินต่างๆ และเป็นองค์กรที่รับเรื่องราวร้องทุกข์จากทหารด้วย"

"นอกจากนี้ ผมเห็นว่า การถอดถอนบุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองบางตำแหน่งที่สำคัญออกจากตำแหน่ง น่าจะให้อำนาจนี้กลับไปสู่ประชาชนโดยตรง แต่ต้องกำหนดหลักเกณฑ์ให้ดี ไม่ให้ใช้กันพร่ำเพรื่อ จนกลายเป็นเครื่องมือป่วนกันทางการเมือง"

อ่านต่อ ตอน 4 : ระบบเลือกตั้ง

รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ควรเป็นอย่างไร ตอน 2 : หมวดพระมหากษัตริย์

ที่มา Thai E-News


โดย รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์
ที่มา เวบไซต์ thaipost
24 ตุลาคม 2552

รัฐธรรมนุญที่เป็นประชาธิปไตย ควรเป็นอย่างไร
ตอน 1 : ล้างคราบเผด็จการ

ตอน 2 : หมวดพระมหากษัตริย์

** ถ้าแก้ทั้งฉบับหรือทำใหม่ นอกจาก 6 ประเด็นควรมีอะไรบ้าง

"ถ้าพูดกันโดยที่ไม่ต้องมีข้อจำกัดอะไรมากมาย ผมคิดว่า ต้องเริ่มตั้งแต่มาตราที่ 1 มาเลยทีเดียว หมายความว่า ในแง่ของการพูดถึงรัฐธรรมนูญทุกวันนี้ มีข้อจำกัด

ข้อจำกัดของการอภิปรายรัฐธรรมนูญของเรา ก็คือข้อจำกัดในเรื่องหมวดพระมหากษัตริย์

เราจะเห็นว่า ตอนที่มีการเปลี่ยนบทบัญญัติเรื่องนี้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2534 เรื่องของการสืบราชสันตติวงศ์ ที่แต่เดิม เป็นเรื่องความเห็นชอบของรัฐสภา ให้กลายมาเป็นรัฐสภารับทราบโดยที่มีการตั้งรัชทายาทเอาไว้

ประเด็นเรื่องอำนาจในการเสนอชื่อผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ประเด็นเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ เรื่องเหล่านี้ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในตอนหลัง รวมทั้งประเด็นเรื่ององคมนตรี ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการรัฐประหารของ พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ปี 2490 ซึ่งคราวนั้นคณะอภิรัฐมนตรีได้ถือกำเนิดขึ้นในรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2490 คณะอภิรัฐมนตรีนี่เอง ที่ได้กลายเป็นคณะองคมนตรีในรัฐธรรมนูญปี 2492"

"ผมคิดว่า หมวดนี้ทุกประเด็นต้องพูด การพูดถึงหมวดนี้ เป็นการพูดในแง่ที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับบริบทของสังคมไทย แต่ต้องพูด หมายถึงต้องมีการพูดกันว่า ตำแหน่งแห่งที่ของตัวองค์กรซึ่งแวดล้อมพระมหากษัตริย์ พระราชอำนาจในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาล เรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ เรื่องพวกนี้ควรจะเป็นอย่างไร

ประเด็นเกี่ยวกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หน้าที่ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ นี่เป็นประเด็นที่ต้องพูดกัน เพราะเราคงปฏิเสธไม่ได้ วันนี้ในทางข้อเท็จจริง ไม่มีใครปฏิเสธว่า ในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีนี้ การเคลื่อนไหวทางการเมือง มันนำไปสู่การตั้งคำถาม แม้อาจจะไม่ได้ตั้งคำถามถึงตัวสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง แต่สถาบันซึ่งอยู่ล้อมพระมหากษัตริย์ องคมนตรี ถูกระทบกระเทือนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

มันถึงเวลาที่เราต้องพูดถึงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา และก็อย่างจริงจัง และในที่นี้ ผมหมายรวมไปถึงเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย ในบริบทแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎมณเฑียรบาล เรื่องสืบราชสันตติวงศ์ เรื่องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ สังคมไทยควรที่จะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ และควรที่จะพูดถึงได้อย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา ภายใต้บรรยากาศของความปรารถนาดีที่มีต่อประเทศชาติเหมือนกัน

ไม่ควรที่จะถูกปิดปาก ไม่ควรจะบอกว่า เรื่องพวกนี้อย่าพูด เพราะแม้แต่ตอนทำรัฐธรรมนูญผมจำได้ รัฐธรรมนูญ 2550 หมวดที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ มี สสร.บางท่าน ต้องการอภิปรายและก็ถูกตัดไม่ให้อภิปราย ก็เลยไม่มีการพูด ก็รับมาต่อเนื่องกันไป เรื่องอันนี้ควรจะเป็นเรื่องที่ต้องพูดกัน"

** เรื่องพวกนี้เติมเข้ามาในช่วงปี 2534 และไม่ได้บอกประชาชนเลยใช่ไหม

"ความเป็นมาเป็นไป ถ้าไปดูรัฐธรรมนูญที่ใกล้ชิดกับเจตจำนงของประชาชน ผมคิดว่า คือ 2 ฉบับแรก บางคนอาจจะบอกว่า พระราชบัญญัติธรรมนูญปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว เป็นเรื่องของคณะราษฎรเท่านั้น แต่อย่างน้อยที่สุด รัฐธรรมนูญฉบับถัดมา มันคือความพยายามประนีประนอมกันของ 2 ฝ่าย และก็ใช้กันมาประมาณ 14-15 ปี

ผมคิดว่า ในหมวดพวกนี้ ที่เป็นผลจากการประนีประนอมกันแล้ว เราน่าจะย้อนกลับไปดู และรับเอามาใช้ให้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย อันไหนที่อยู่ในระดับที่ขัดกับหลักประชาธิปไตย ต้องตัดออกไป

และถ้าเราย้อนกลับไปดูในทางประวัติศาสตร์ คือปี 2490 เป็นต้นมา มันไม่ใช่การเขียนรัฐธรรมนูญที่คำนึงถึงหลักประชาธิปไตยเท่าที่ควรจะเป็นแล้ว การเขียนรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2490 มา มันไม่ได้เป็นเรื่องของการประนีประนอมแล้ว แต่เป็นเรื่องของการชนะกันในทางการเมือง และรวมทั้งแก้ในยุคหลัง 2517, 2534 พวกนี้"

"รัฐธรรมนูญ 2540 นี่รับมาจาก 2534 เลย แต่ตอนเปลี่ยนสำคัญ ก็คือปี 2534 ไม่มีฐานประชาชน เพราะฉะนั้น ถ้าเราพูดตรงนี้ เรื่องการมีองคมนตรี ไม่ใช่ว่าเรามีองคมนตรีมาตลอดหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองนะ

รัฐธรรมนูญ 3 ฉบับแรก ไม่ปรากฏเรื่ององคมนตรี อย่างน้อยที่สุด มันมีร่องรอยตรงนี้มา และย้อนกลับไปว่าตอนนั้นมีปัญหาอะไรไหม การมีหรือไม่มี และก็พูดกัน

สมมติว่าจะให้มี บทบาทหน้าที่ควรจะเป็นอย่างไร องคมนตรีควรจะอยู่ในฐานะแบบไหน ที่จะไม่กระทบกระเทือนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันนี้ต้องพูด

ถึงผมไม่พูดวันนี้ ในทางข้อเท็จจริงก็มีการพูดกันอยู่ ในทางเคลื่อนไหวทางการเมืองมีการพูดกันอยู่ แน่นอนอาจจะไปสัมพันธ์กับบริบทการเคลื่อนไหวของคุณทักษิณอยู่ด้วย แต่ผมไม่อยากให้เราลดทอนประเด็นในทางหลักการไปอยู่แค่เรื่องทักษิณ-ไม่ทักษิณ

วันนี้ผมคิดว่า มันต้องก้าวให้พ้นจากทักษิณ เพราะมีคนบอกอยู่เสมอว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทักษิณได้ประโยชน์ แต่ปัญหาคือ ถ้าเราคิดอย่างนี้ เราจะไม่มีทางทำรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นจากหลักการที่ถูกต้องได้ เพราะเรามองแต่เรื่องที่มันอยู่ต่อหน้าเราอย่างเดียว ไม่ได้มองไปไกลกว่านั้น"

** อาจารย์ลองลำดับหน่อยว่า หมวดพระมหากษัตริย์มีการเพิ่มอะไรมาบ้างตั้งแต่ปี 2490

"แรกสุดตอนที่เราทำรัฐธรรมนูญปี 2475 คือตอนที่เปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร ก็มีการทำพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว

ผมเองเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ -ตอนนั้นไม่มีคำว่ารัฐธรรมนูญนะ เขาใช้คำว่า ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเติมคำว่าชั่วคราวลงไป เพื่อจะทำให้เอามาคุยกันใหม่

หลังจากนั้นก็ใช้อยู่ช่วงหนึ่ง และมีการยกร่างขึ้นมาใหม่ กลายเป็นรัฐธรรมนูญถาวร เรียกว่าเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 และรัฐธรรมนูญ 2475 ก็ใช้มา 14-15 ปี ผ่านช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มา กระทั่งมีรัฐธรรมนูญปี 2489 หลังจากยุติสงครามโลกปี 2488 ก็มีการพูดกันว่ามันใช้มานานแล้ว บัดนี้ประชาชนเริ่มที่จะมีความรู้มากขึ้น ควรจะมีการปฏิรูปใหม่ เพื่อแก้ปัญหาบางประการที่เกิดขึ้น ก็เลยทำรัฐธรรมนูญ 2489 ขึ้นมา

ก็มีหลักการใหม่ๆ เช่น มีพฤฒิสภาขึ้นมาคู่กับสภาผู้แทนราษฎร แต่ให้สภาผู้แทนราษฎร มาจากการเลือกตั้งโดยตรง คือ ส.ส.มาจากการเลือกตั้งโดยตรง พฤฒิสภามาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม เรียกว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่มี 2 สภา และให้ทั้ง 2 สภามาจากการเลือกตั้งของประชาชน ก็ก้าวหน้ามากๆ

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศเมื่อเดือน พ.ค. แต่พอถึงเดือน มิ.ย.2489 ในหลวงรัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคต การเมืองก็เข้าสู่การต่อสู้กันอย่างรุนแรง และส่งผลให้เกิดรัฐประหารปี 2490"

"ปี 2490 นี่เป็นจุดตัด มันเกิดเป็นรัฐธรรมนูญปฏิวัติขึ้นมา ก็คือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ.2490 ในรัฐธรรมนูญปี 2490 ได้รื้อฟื้นสถาบันอันหนึ่งขึ้นมา เรียกว่าอภิรัฐมนตรี ซึ่งอภิรัฐมนตรีนี่แหละ 2 ปีต่อมา ก็กลายเป็นคณะองคมนตรีในปี 2492

เราอาจจะกล่าวได้ว่า องคมนตรีในรูปลักษณ์ปัจจุบัน กำเนิดขึ้นในรัฐธรรมนูญปี 2492 และนับเรื่อยมา ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับองคมนตรี ก็คืออำนาจบางประการเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งถ้าไล่แล้ว มีรายละเอียดเยอะ

จำนวนองคมนตรีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยมา ในรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ เริ่มจากไม่กี่คน ปัจจุบัน 19 คน ในอดีตเรื่ององคมนตรีก็ไม่ได้ถูกมองมากนัก อาจจะเป็นเพราะองคมนตรีในอดีต ได้ปฏิบัติตัวอยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญดีพอสมควร ในทางความเป็นจริง ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน แต่อย่างน้อยที่สุดในกรอบที่ออกมาข้างนอก ก็ไม่ได้ส่งผลให้เกิดปัญหามากนัก

จนกระทั่งมาถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งเราก็เห็นว่า ก็คงมีปัญหาระดับหนึ่ง ในส่วนองคมนตรี แรกเริ่มเดิมที ผมจำได้ว่า เคยมีคนอภิปรายตอนรัฐธรรมนูญปี 2492 แต่จำไม่ได้ว่าใคร มีการอภิปรายกันด้วยซ้ำไป ตอนที่จะตั้งองคมนตรี มีท่านหนึ่งบอกว่า จะไปขุดเอาสถาบันองคมนตรีขึ้นมาทำไม เพราะองคมนตรีเดิมทีมีอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพราะถ้ามีองคมนตรีแล้ว ต่อไปในอนาคตจะทำให้มีกษัตริย์หลายองค์ อันนี้มีการพูดกันในตอนนั้น ก็มีคนอธิบายในเรื่องนี้เอาไว้"

"ส่วนประเด็นเรื่องกฎมณเฑียรบาลก็เหมือนกัน ก็มีการเปลี่ยนแปลงมาเรื่อย แรกเริ่มเดิมที ก็มีฐานะเป็นกฎหมายธรรมดา ต่อมาก็มีฐานะเทียบเท่ารัฐธรรมนูญ การแก้ไขเพิ่มเติม ก็ทำแบบเดียวกับรัฐธรรมนูญ

ต่อมาในรัฐธรรมนูญปี 2534 เปลี่ยนหลักการไปอีก บอกว่า การแก้ไขกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันติวงศ์ ให้เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ อันนี้ก็คือไม่ผ่านสภา

การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เรื่องพวกนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไป ในช่วงที่ผ่านมา เราไม่ค่อยมีปัญหาแบบนี้ และเราก็ไม่เคยพูดกันในเรื่องของหลักการว่า อำนาจในเรื่องพวกนี้ จะกลับมาเชื่อมโยงกับอำนาจของรัฐสภาอย่างไร สภาต้องให้ความเห็นชอบไหม

การตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพราะถือเป็นประมุขของรัฐ หรือเรื่องของการขึ้นครองราชย์ เพราะในหลวงรัชกาลที่ 8 และ 9 ก็ขึ้นครองราชย์ โดยผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ประเด็นพวกนี้ เป็นประเด็นซึ่งเราไม่อยากพูดกัน แต่ผมคิดว่า ควรจะต้องพูดกันสักทีหนึ่ง"

** วรเจตน์บอกว่า ที่พูดเช่นนี้ ไม่ได้แปลว่า ต้องเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง แต่ขอให้มีการพูดกัน

"คือขอให้มีการดีเบต ขอให้มีการพูด มันควรจะต้องมีการพูดกัน ไม่ใช่อยู่ในความเงียบงันอย่างนี้ ถ้าไม่พูดกันอย่างไปตรงมา มันก็มีการพูดกันที่อื่นที่ไม่ได้เป็นที่เปิดเผยใช่ไหม"

"ในความเห็นของผม เวลาที่เราพูดเรื่องนี้ คือเรื่องทุกเรื่อง ต้องย้อนกลับไปหาหลักประชาธิปไตยให้หมด และอธิบายจากหลักการตรงนี้ว่า สอดคล้องต้องกันไหม ซึ่งแน่นอนเวลาพูดถึงเรื่องแบบนี้ ก็จะมีการเถียงกันอีกว่า เป็นประชาธิปไตยแบบไทย แต่ว่าเอาหละ จะเป็นแบบไทยหรือแบบใคร มันต้องมีการอธิบายกันถึงเหตุผล จะมีหรือไม่มี ถึงเหตุผล ถึงความรับผิดชอบในตัวระบอบ บ้านเราพูดไปพูดมา เราก็บอกว่า เรื่องนี้มีสัญญาณพิเศษ มีสัญญาณอะไรที่พิเศษกว่า แต่ปัญหาคือ ในเชิงการปกครอง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องซึ่งไม่ควรจะมี ทุกอย่างควรจะเข้ารูปเข้ารอยเป็นไปตามระบอบ"

** ในความเห็นส่วนตัว วรเจตน์เห็นว่า องคมนตรีไม่ควรกำหนดในรัฐธรรมนูญ แต่เป็นบุคคลที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย

"เป็นเรื่องที่เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือรัฐธรรมนูญรับรองให้มี ให้เป็นเรื่องส่วนพระองค์ไป และไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย"

"ในความเห็นผม องคมนตรีไม่ควรจะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ในหลวงท่านตั้งของท่าน แต่ไม่ใช่เป็นองค์กรที่ต้องถูกตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ เพราะตามหลักวิชา ดูคำอธิบายต่างๆ พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ ทรงมีที่ปรึกษาอยู่แล้ว ก็คือคณะรัฐมนตรี พระองค์มีพระราชอำนาจที่จะได้ให้คำปรึกษา ในการที่จะทรงตักเตือนให้คำแนะนำต่างๆ กับตัวคณะรัฐมนตรี

เราพูดถึงคณะรัฐมนตรีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และฝ่ายค้านในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในทางระบอบ ส่วนว่ากิจการอะไรที่เป็นส่วนพระองค์ จะต้องมีที่ปรึกษา ก็เป็นเรื่องส่วนพระองค์ไป แต่ในเชิงองค์กรก็ว่ากันไปในตัวคณะรัฐมนตรี หลักมันควรจะเป็นแบบนี้"

"มีคนถามว่า แล้วหน้าที่องคมนตรีทำอยู่ในรัฐธรรมนูญ พวกนี้ควรจะเป็นของใคร ผมคิดว่า ถ้าตอบตามระบอบก็คือ กลับไปที่รัฐสภานั่นแหละ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในทางระบอบ ก็ต้องกลับไปสู่รัฐสภา ทั้งในแง่ของการเสนอชื่อ และการให้ความเห็นชอบ เพราะผู้สำเร็จราชการใช้อำนาจในฐานะที่เป็นประมุขของรัฐ เพียงแต่ว่า ตอนนี้หลักการอันนี้ถูกเปลี่ยนไป คือให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบเท่านั้น ตอนที่เปลี่ยนหลักการนี้ ไม่เคยมีการพูดกันอย่างตรงไปตรงมา"

** เปลี่ยนปี 2534?

"อันที่จริงเรื่องผู้สำเร็จราชการนี่ เริ่มเปลี่ยนตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2492 แต่ตอน รสช.นี่ เปลี่ยนเรื่องการขึ้นครองราชย์ และการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนที่สำคัญนะ อันนี้เกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญถาวรปี 2534 และคนก็ไม่รู้ จะต้องพูดกันให้ชัดเจนเสียที และก็พูดในบริบทของหลักการพื้นฐานในการปกครองแบบประชาธิปไตย"

อ่านต่อ ตอน 3 : โครงสร้างระบบ