WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, September 25, 2010

5 ห่วงตัวแม่(พ่อ)

ที่มา มติชน


สมศักดิ์ เทพสุทิน

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์

เห็นพฤติกรรมของผู้มีอำนาจและผู้ที่เกี่ยวข้องในการอนุมัติขายข้าวสาร และมันเส้นในสต็อกรัฐบาลหมูลค่าเกือบ 20,000 ล้านบาทแล้ว บอกได้คำเดียวว่า เป็น "5ห่วงตัวแม่(พ่อ)"จริงๆ

เพราะขนาดถูก(หนังสือพิมพ์)จับได้คาหนัง คาเขา คาปากว่า บริษัท ที่เสนอซื้อเป็นบริษัทในเครือข่ายของที่ปรึกษานางพรทิวา นาคาสัย รัฐมนตรีพาณิชย์และเครือข่ายของครอบครัว"เทพสุทิน"ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่มวังน้ำยม (พรรคภูมิใจไทย)ต้นสังกัดของนายพรทิวา ซึ่งเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน(conflict of interest)ชัดเจน ยังแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่า ไม่ทราบ(ไม่สนใจ?)ว่า บริษัทที่ได้รับการอนุมัติให้ซื้อข้าวสารแอละมันสำปะหลังเส้น ใครเป็นใครหรือเกี่ยวโยงกับใคร โดยอ้างว่า เป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง และให้ราคาดี


นอกจากนั้นยังมีคำพูดเก๋ๆให้ดูดีว่า


"การ ค้าเสรี เราปิดกั้นไม่ได้ ใครจะมาซื้อมาขาย หลักๆ เป็นแบบนี้ ใครมาตามกระบวนการ ก็ต้องขาย ไม่ใช่เผด็จการ จะทำแบบนั้นไม่ได้ แล้วคนซื้อจะเป็นใคร เกี่ยวโยงกับใคร เราไม่รู้..."


ทั้งๆที่ถ้า เป็นการค้าเสรีจริงๆ กระบวนการซื้อขายต้องโปร่งใส การแข่งขันต้องเป็นธรรม และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเพราะเป็นช่องทางที่อาจทำให้เล่นพรรคเล่นพวกหรือ ใช้อิทธิพลแทรกแซงการประมูลได้ หรือถ้ามีผลประโยชน์ทับซ้อนจริงก็ต้องเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ก่อน


มิ ใช่ทำแบบลับๆล่อๆอย่างทุกวันนี้โดยอ้างว่า เป็นความลับทางการค้า แต่ความจริงเป็นการปิดประตูตีแมวเพราะขนาดอนุมัติให้ขายให้บริษัทใดแล้ว ยังอ้างว่า ไม่ยอมเปิดเผยชื่อบริษัทเนื่องจาก กลัวถูกขุดคุ้ยว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อน


นอกจากนั้น การปกปิดข้อมูลดังกล่าวยังเป็นขัดต่อ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการซึ่งนายกรัฐมนตรีมักพูดในที่ต่างๆว่าให้ความ สำคัญกับกฎหมายฉบับนี้

มาดูกันว่า ผลประโยชน์ทับซ้อนในการขายข้าวสารและมันเส้นในสต็อกรัฐลเป็นอย่างไร


หนึ่ง ปัจจุบันคาดกันว่า สต็อกข้าวสารของรัฐ(ทั้งในโกดังขององค์การคลังสินค้า-อ.ค.ส. และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร-อ.ต.ก.)มีรวมกันประมาณ 5.6 ล้านตัน


ปรากฏ ว่า ในการขายข้าวที่ฝากไว้กับ อ.ต.ก. 1.5 ล้านตัน มูลค่าเกือบ 20,000 ล้านบาท เมื่อสิงหาคม 2553 คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร ซึ่งมีนายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นประธาน คัดเลือกผู้เสนอซื้อ 4 ราย ได้แก่ บริษัท ไชยพร บริษัท นครหลวงค้าข้าว และบริษัท เอเชียโกลเด้นท์ไรซ์ ซึ่งทั้ง 3 รายเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ได้ข้าวไปเพียง 4 แสนตัน


ขณะอีกหนึ่งบริษัทโนเนมคือ เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ตั้งเมื่อ 20 เมษายน 2551 ได้ข้าวไปถึง 1.1 ล้านตัน มูลค่าไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท

จากการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า บริษัท เอ็มทีฯ มี น.ส.ภาวินี จารุมนต์ เป็นหนึ่งในกรรมการผู้มีอำนาจ และถือหุ้นใหญ่โดยบริษัท เม้งไต๋ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่เพิ่งก่อตั้งเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2552 มีน.ส.ภาวีนีเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ด้วย


น.ส.ภา วินีและครอบครัว"จารุมนต์"ยังเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัท ในกลุ่มของครอบครัว"เทพสุทิน"หลายแห่ง เช่น บริษัท ดี แลนด์ เพอร์เฟคที่ นายเทิดไท-น.ส.ณัฐธิดาบุตรของนายสมศักดิ์ เป็นผู้ถือหุ้น


บริษัท เมก้า แลนด์ มีนายเทิดไท เทพสุทินและ นายภเชศ จารุมนต์ เป็นกรรมการผู้อำนาจ มี นายเทิดไท-น.ส.ณัฐธิดา-นางพร เทพสุทิน เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ร่วมกับน.ส.ธราพัน -นายภเชศ จารมนต์


สอง การประมูลมันเส้นกว่า 250,251 ตัน มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาทจากโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52 เมื่อมิถุนายน 2553


บริษัท ที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะทำงานดำเนินการระบายผลิตภัณฑ์มัน สำปะหลังที่มีนายมนัส สร้อยพลอย เป็นประธานคณะทำงาน(อีกแล้ว)คือ กาญจนาพันธ์ ฟาร์ม หนองลังกาฟาร์ม และ ไพรสะเดาฟาร์ม ในเครือของบริษัท กาญจนาฟาร์ม มีนายวิวัฒน์-นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีพาณิชย์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจและผู้ถือหุ้นใหญ่


สำหรับนางบุญยิ่งนั้น ครม.เมื่อ 13 มกราคม 2553 มีมติแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีพาณิชย์


สามี นางบุญยิ่งคือ นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา เป็นอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย จ.ราชบุรี(ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง) สังกัดกลุ่มวังน้ำยมที่มีนายสมศักดิ์ เป็นหัวหน้า

ดัง นั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่นางบุญยิ่ง ภรรยานายวิวัฒน์ได้รับแต่งตั้งเป็นกุนซือของนางพรทิวา (ดู "เปิดหลักฐานเครือข่ายกลุ่มวังน้ำยมเร่งสะสมทุน กินรวบประมูลข้าว -มันเส้นกิน มูลค่า15,000 ล้าน" http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1284900686&grpid=10&catid=no)


พยาน หลักฐานเอกสารที่เชื่อมโยงบริษัทดังกล่าวเข้ากับกลุ่มวังน้ำยม และที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ แม้มิได้บ่งบอกถึงการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบโดยตรง


แต่พฤติการณ์ดังกล่าวขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองพ.ศ. 2551 อย่างชัดแจ้ง อันเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้รักษาการตามระเบียบต้องดำเนินการ


ถ้านายกฯเพิกเฉย ผู้ตรวจการแผ่นดินต้องเข้ามาสอบสวน ถ้าพบว่าเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงต้องส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวน


ถ้ายังไม่มีใครทำอะไรอีก ก็เอาระเบียบที่ว่าไปเช็ดก้นยังมีประโยชน์กว่า

"บลูไดมอนด์"บลูส์ ขับขานคลอสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ

ที่มา มติชน


โดย ปิยมิตร ปัญญา piyamitara@gmail.com

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเรื่องแปลกนะครับ ผู้รู้เคยบอกเอาไว้ว่า นี่เป็นเรื่องที่สร้างยาก แต่ถ้าอยากทำลายน่ะ ง่ายนิดเดียว!

ผม เชื่อว่ามีไม่น้อยที่คิดว่าเรื่องราวที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย กับซาอุดีอาระเบียตกอยู่ในสภาพต่ำเตี้ยเรี่ยดินมายาวนานร่วมๆ 2 ทศวรรษเข้าให้นี่แล้ว เป็นเรื่อง "ง่ายๆ" แล้วพาลไม่เข้าใจว่าด้วยเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ตั้งแง่ตั้งเงื่อนปมไว้มากมาย ถึงขนาดนั้น

มีกังขาขึ้นมาเช่นกันว่าซาอุดีอาระเบียกำลัง แทรกแซงกิจการภายในของไทย -ใช่หรือไม่? ในขณะที่อีกบางคนอาจเห็นว่าเรื่องนี้ "เล็กๆ" ไม่แยแสเสียเลยก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมากมายไปกว่าที่เคยเป็นมา

ความรู้สึกเช่นนี้ ทำนองนี้เกิดขึ้นได้ครับ แต่หากใคร่ครวญกันด้วยเหตุและผล ยึดถือเอาสารัตถะของเรื่องเป็นที่ตั้งแล้ว

ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเข้าใจทางการซาอุดีอาระเบีย เข้าใจว่าทำไมต้อง "แสดงออกถึงความไม่พอใจ" ในหลายๆ เรื่องหลายๆ ครั้ง

การ แสดงออกทางการทูตของซาอุดีอาระเบียอันเกี่ยว เนื่องกับกรณีนี้ทั้งหมด ไม่ใช่เป็นการแสดงออกถึง "ความรู้สึก" หากแต่เป็นการแสดงออกถึง "ความไม่เข้าใจ" และ "ความคับข้องใจ" ต่อเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ ซึ่งยิ่งนับวันยิ่งทวีมากขึ้นทุกที สั่งสมจนกระทั่งกลายเป็นเหตุแห่งความไม่พอใจและร้องขอ "ข้อเท็จจริง" เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้

เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้น วันใดวันหนึ่ง เวลาใดเวลาหนึ่งระหว่างวันที่ 20 มิถุนายน และ 8 สิงหาคม เมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ ไม่เพียงส่งผลกระทบหลายต่อหลายด้านกับประเทศไทย ยังส่งผลสะเทือนต่อซาอุดีอาระเบียด้วยเช่นเดียวกัน

หากเลือกได้ ซาอุดีอาระเบียเองอยากเลือกที่จะฟื้นสัมพันธ์ขั้นปกติขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่ จนกระทั่งถึงวันนี้ คำถามหลายคำถามยังไม่มีคำตอบ ข้อเท็จจริงหลายประการยังไม่กระจ่าง อัญมณีสำคัญยังไม่ได้กลับคืน สภาวะอึดอัดคับข้องใจซึ่งกันและกันยังต้องดำเนินต่อไป

เพลงเศร้ายังคงขับขานคลอขนานไปกับสัมพันธ์ระหว่างกันต่อไป

--------------

เกรียงไกร เตชะโม่ง เคยให้สัมภาษณ์ไว้ครั้งหนึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่งว่า หากรู้ล่วงหน้าว่าทุกอย่างจะเป็นเช่นนี้ เขาคงไม่มีวันลงมือขโมย "เพชรซาอุฯ" ในวันนั้นแน่นอน


เกรียงไกรพ้นโทษกลับไปทำ นาอยู่อย่างสมถะที่บ้านใน อ.เถิน จ.ลำปาง ในสภาพมือเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้มาจากทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ของตนเองจากการตัดสินใจใน วันนั้น มลายหายไปอย่างรวดเร็ว-หมดจด

เขาคงคาดเดาได้ว่า สักวันคงมีผู้รู้เรื่องการปล้นในวันนั้นและโทษทัณฑ์จะตามมาถึง แต่ต่อให้คาดคิดอย่างไร เกรียงไกรไม่มีวันคาดหมายได้เด็ดขาดว่าการกระทำของตนเองจะก่อให้เกิดการสูญ เสียมากมายมหาศาล คร่าชีวิตคนที่ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องคนแล้วคนเล่า และกลายเป็นอาถรรพ์ที่สิงสู่อยู่คู่กับความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯเรื่อยมาจนถึง บัดนี้

คืนนั้นเขา ลอบปีนหน้าต่างชั้นสองของพระราชวังที่ ประทับเจ้าชายไฟซาล บิน อัลดุล ราอิช ในกรุงริยาดห์ กวาดเอาอัญมณี เครื่องประดับ เพชรพลอยและข้าวของมีค่าจากเซฟในห้องนอนของเจ้าชาย คิดเป็นมูลค่าราว 502 ล้านบาท

จัดการส่งข้าวของทั้งหมดกลับมา ก่อนที่จะลาออกจากการทำหน้าที่พ่อบ้านเดินทางกลับประเทศไทย

หนึ่ง ในจำนวนอัญมณีที่เกรียงไกรลักลอบขโมยออกมา จากวังเจ้าชายแห่งริยาดห์คือ "บลูไดมอนด์" เพชรหายากน้ำหนัก 50 กะรัต มูลค่าของมันมิอาจประเมินได้ เนื่องจากนี่คือมรดกตกทอดสำหรับทายาทสืบตระกูลเท่านั้น

น้ำหนัก ของข้าวของล้ำค่าที่เขาลักลอบนำเข้าประเทศมาด้วยหนนั้นรวมกันแล้ว ถึง 90 กิโลกรัม! จัดแบ่งใส่กระเป๋าเจมส์บอนด์ 3 ใบ ส่งทางเครื่องบินกลับมายังประเทศไทย

เกรียงไกรขโมยเพชรเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2532 เขาถูกจับกุมพร้อมของกลางส่วนที่เหลือเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2533 ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก

เรื่องราวน่าจะลงเอยด้วยดีหลังจากนั้น แต่การจับกุมเกรียงไกรกลายเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของมหากาพย์เรื่องนี้

สิ่ง ที่เกิดขึ้นตามมาในช่วงระยะเวลาเพียงไม่ถึง 5 สัปดาห์หลังจากนั้น ก็คือการหายตัวไปของบุคคลถือสัญชาติซาอุดีอาระเบีย 4 คน 3 คน ในจำนวนนั้นเป็นบุคคลระดับเจ้าหน้าที่ทูต บุคคลในระดับที่สมควรได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองทางการทูต อีกหนึ่งคนเป็นนักธุรกิจ

การหายตัวไปกลายเป็นการอุ้ม-ฆ่า

เท่า นั้นยังไม่พอ มีนาคม 2533 ทางการไทยส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงเดินทางไปส่งมอบอัญมณีของกลางคืนถึง พระราชวังเจ้าชายไฟซาล หนึ่งเดือนให้หลัง โมฮัมเหม็ด ซาอิด โคจา อุปทูตซาอุดีอาระเบีย ส่งจดหมายอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลซาอุดีอาระเบียถึง พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น

ข้อความบ่งบอกว่า ไม่เพียงไม่มี "บลูไดมอนด์" แล้ว 70 เปอร์เซ็นต์ ของเพชรของกลางที่ถูกส่งคืนไปนั้น

ยังเป็นเพชรปลอม!

-----------------------

อับดุลลาห์ อัลเบซรี่, ฟาฮัด อัลบานี่ และ อาเหม็ด อัลซาอิฟ คือเจ้าหน้าที่ทูตประจำสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบีย ที่กรุงเทพฯ ซึ่งถูกสังหารด้วยอาวุธปืนในท่วงทำนองของการ "ประหาร" แยกกันเป็น 2 เหตุการณ์ในกรุงเทพฯ ในวันเดียวกันคือ 1 กุมภาพันธ์ 2533

มูฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจผู้ถือหุ้นในบริษัทจัดหาแรงงานระหว่างประเทศชื่อ "ซินเซียร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รีครูทเมนท์" ที่เชื่อกันว่าอยู่ในรถคันหนึ่งซึ่งนักการทูตรายหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อกระสุน หายตัวไปในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ถัดมา เชื่อว่าเสียชีวิตแล้ว

ผม เคยเข้าไปนั่งพูดคุยกับ โมฮัมเหม็ด ซาอิด โคจา เขาชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคดีทั้งสองคดีกับคดีเพชร ชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลของเรื่องทั้งหมด ชี้ให้เห็นถึงความพยายามบางอย่างจากคนบางกลุ่มเพื่อ "อำพราง" ความจริงทั้งหมด

ในทรรศนะของโคจา นักการทูตเหล่านั้นถูกสังหารเพราะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการขโมยและการปกปิด ปลอมแปลงเพชร ในขณะที่อัลรูไวลี่ ซึ่งสนิทสนมกับนักการทูตเหล่านี้ดี ถูกสังหารอาจจะเพราะล่วงรู้ทั้ง "ความลับแห่งอัญมณี" และล่วงรู้ถึงการสังหารในครั้งนั้น

อัลรูไวลี่จึงต้องตายตามไปด้วย

ในความรู้สึกของคนอย่าง โมฮัมเหม็ด ซาอิด โคจา เหตุการณ์ทั้งหมด ไม่เพียงเป็นขโมยซ้อนขโมย ปล้นซ้อนปล้นเท่านั้น

ยังเป็นการปล้นแล้วกลับไปตบหน้าซ้ำเป็นการหยามกันชนิดถึงขีดสุดด้วยการส่งเพชรปลอมกลับคืนด้วยอีกต่างหาก

-----------------

นับ เนื่องตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา การสร้างความกระจ่างให้กับคดีทั้งหมดเหล่านี้ คือภารกิจที่มีลำดับความสำคัญสูงสุดของสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบีย ประจำประเทศไทย

นาบิล ฮุสเซน อัสชรี ก็เป็นเช่นเดียวกับ โมฮัมเหม็ด ซาอิด โคจา มีคุณสมบัติพร้อมเพียงพอต่อการไปรับตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ ประเทศหนึ่งประเทศใดได้สบายๆ แต่ต้องมารับเพียงตำแหน่ง "อุปทูต" ในเมืองไทย

นา บิล อัสชรี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านการประชาสัมพันธ์ ทำปริญญาเอกด้านรัฐศาสตร์ ก่อนหน้าจะเข้ามาอยู่ในแวดวงการทูต เคยเป็นทั้งผู้สื่อข่าว ทั้งคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือพิมพ์ชั้นนำของซาอุดีอาระเบียอย่าง อัล บิลัด และ อัลจาซีร่า

ในด้านการทูตเคยขึ้นไปดำรงตำแหน่งเป็นถึง อัครราชทูตที่ปรึกษาประจำกระทรวงต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นนักการทูตซาอุดีอาระเบียผู้หนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วยุโรป จากบทบาททั้งใน องค์การพลังานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) และ ในฐานะตัวแทนของซาอุดีฯในสหภาพยุโรป

ถ้าไม่เอาดีทางการทูต นาบิล อัสชรี ไปเอาดีทางด้านกีฬาได้สบายๆ เพราะนี่คือ แชมป์เทกวนโด ระดับสายดำ ดั้ง 4 (สามารถเป็นผู้ฝึกสอนเทกวนโดได้) ที่ได้รับจากสมาพันธ์เทกวนโดโลกแห่งเกาหลีใต้ ตั้งแต่เมื่อปี 1982

แต่ เมื่ออายุความของหลายคดีที่เกี่ยวเนื่องกับเพชรและการสังหารนักการทูต ซาอุดีอาระเบียกำลังคืบคลานใกล้เข้ามา และรัฐบาลไทยรัฐบาลแล้วรัฐบาลเล่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิงที่จะตอบคำถาม สร้างความกระจ่างให้กับคดีทั้งหมด คนอย่าง นาบิล ฮุสเซน อัสชรี ก็จำเป็นต้องเดินทางมารับตำแหน่งในไทย

"ไพรออ ริตี้" ยังเหมือนเดิม คำถามยังเหมือนเดิม "บลูไดมอนด์" อยู่ที่ไหน เพชรส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ที่ใคร? ใครคือผู้สังหารนักการทูตทั้ง 3 ราย? ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังในการจัดการให้เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างเป็นขั้น เป็นตอน? ใครกันหนอพยายามปกปิด? และปกปิดอะไรกัน?

นา บิล ฮุสเซน อัสซรี คาดหวังว่า ตนเองจะประสบความสำเร็จใดๆ บ้างเมื่อสามารถผลักดันจนทำให้มีการคดีฟ้องร้องและศาลประทับรับฟ้องได้ในที่ สุด

ทุกอย่างกำลังขยับขยายไปในทางที่ดี แล้วก็ให้บังเกิดมีชื่อ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมา

ผม หวนนึกถึงความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า ถูกหยามของ โมฮัมเหม็ด ซาอิด โคจา ในครั้งนั้น และภาวนาอยู่ในใจขออย่าให้ นาบิล อัสซรี รู้สึกอย่างเดียวกัน

ประเดี๋ยวจะร่ำลือกันไปใหญ่ว่า อาถรรพ์บลูไดมอนด์ เป็นจริง!!!

"พระปราโมทย์"ไม่ตอบเรื่องฉาว ทีมงานพาทัวร์ดูกุฎิแม่ชีอรนุช อ้างเรียก"ลูก"เพราะ"ฐิตินาถ"ขอเอง

ที่มา มติชน


สวน สันติธรรมออกโรงแจงข้อเท็จจริงถูกร้องเรียน พาสื่อมวลชนกว่า 50 คนร่วมฟังธรรมหลวงพ่อ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช พร้อมทั้งเดินสำรวจทั่วพื้นที่ให้คลายสงสัย ทนายแจงอยากให้เรื่องสงบ เผยไม่ต้องการฟ้องร้อง

เมื่อ วันที่ 25 กันยายน ที่สำนักปฏิบัติธรรมสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ได้มีสื่อมวลชนทยอยเดินไปรายงานข่าวกว่า 50 คน ช่วงที่ลงทะเบียนได้มีการแจกเอกสารแถลงข้อเท็จจริงกรณีหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช และอุบาสิกาอรนุช สันตยากร เมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา กรณีที่มีกุฎิอยู่ใกล้กัน รวมทั้งเนื่องจากคำสอนธรรมะ ผลการสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และเรื่องการลาออกของคณะกรรมการสวนสันติธรรม รวมทั้งเรื่องบัญชีในธนาคารต่างของสวนสันติธรรมอีกด้วย นอกจากนี้ยังได้มีการแจกภาพถ่ายทางอากาศเกี่ยวกับที่ตั้งของสวนสันติธรรม เพื่อยืนยันเกี่ยวกับจุดตั้งของกุฎิสงฆ์ และกุฎิของผู้ปฏิบัติธรรม นอกจากนี้ยังให้สื่อมวลชนรวมทั้งญาติธรรมของพระปราโมทย์ ปาโมชฺโช ประมาณ 600 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนกรุงเทพฯและต่างจังหวัดเข้าร่วมการฟังธรรมในครั้งนี้ ด้วย

พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช จะแสดงธรรมโดยให้ผู้ที่เข้ารับฟังธรรมแสดงตัวเลขที่ตนเองถืออยู่ หลังจากนั้นพระปราโมทย์ ปาโมชฺโชจะเรียกหมายเลขที่ต้องการให้ถาม ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรมตามที่ได้รับการแนะนำไป โดยห้ามไม่ให้ถามในเรื่องที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ โดยอ้างถึงกาละเทศะ โดยพระปราโมทย์ ปาโมชฺโช ได้ตอบคำถามที่บรรดาผู้ที่เข้ารับฟังธรรมในครั้งนี้ อาทิ ทำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นทุกข์ ต้องมีการพัฒนาจิตวิญญาณให้เป็นไปตามลำดับ หากจิตเครียดจะเป็นอกุศลจิต ภาวนาให้เป็นจะไม่เป็นบ้า ซึ่งคำแนะนำของพระปราโมทย์ จะเน้นในเรื่องของการพัฒนาจิตเป็นส่วนใหญ่ เกี่ยวกับการปฏิบัติสมาธิ โดยใช้เวลานานประมาณ 30 นาที ก่อนที่หยุดการตอบปัญหาธรรมะ ได้กล่าวว่า

"อยากพาทุกคนไปทัวร์รอบวัด แต่เกรงว่าหากใครพกพายาบ้ามาด้วย เดี๋ยวอาตมาโดนอีกข้อหาพระยาบ้า"

หลัง จากนั้นได้มีเจ้าหน้าที่ของสวนสันติธรรมได้พา สื่อมวลชนเดินชมรอบบริเวณวัด โดยเริ่มตั้งแต่ศาลาปฏิบัติธรรม โรงอาหาร กุฎิของผู้ปฏิบัติธรรม 6 หลัง ซึ่งจะมีผู้มาปฏิบัติธรรมครั้งละ 6 คน มีช่วงวันจันทร์ถึงพฤหัสบดี และวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ ขณะนี้มีผู้สั่งจองมาปฏิบัติธรรมกว่า 1,000 คน รวมทั้งกุฎิสงฆ์ทั้งหมด 6 หลัง รวมทั้งกุฏิของพระปราโมทย์ ปาโมชฺโช และกุฎิของอุบาสิกาอรนุช สันตยากร ซึ่งอยู่ห่างกันมากประมาณ 120-130 เมตร โดยมีป่าปกคลุมจนมองกันไม่เห็น ได้รับการชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ของสวนสันติธรรมว่า หากเป็นพระป่าแล้วต้องการความสงบ เพื่อปลีกวิเวกจึงต้องมีการปลูกต้นไม้หนาทึบ และให้ระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะมีงูเต็มไปหมด

ต่อ มาที่ศาลาแสดงธรรม นายธนเดธ พ่วงพูล ทนายความซึ่งได้รับมอบอำนาจจากพระปราโมทย์ นายสุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา ลูกศิษย์พระปราโมทย์ ร่วมกันแถลงข่าวและตอบข้อซักถามของสื่อมวลชน

นาย ธนเดธ พ่วงพูล ทนายความกล่าวว่า กรณีการลาออกของคณะกรรมการสวนสันติธรรมนั้น ปกติจะมีกรรมการทั้งหมด 30 คน ได้ลาออกทั้งหมด 6 คน รวมทั้งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ซึ่งผู้ที่ลาออกทั้งหมดได้ไปลาหลวงพ่อปราโมทย์ทุกคน ส่วนใหญ่จะอ้างว่าติดภารกิจไม่สามารถช่วยเหลืองานของสวนสันติธรรมได้ ส่วนที่เหลืออีก 24 คนยืนยันที่จะช่วยเหลือกันต่อไป โดยมีความเชื่อในปฏิปทาหลวงพ่อปราโมทย์ ส่วนในเรื่องของบัญชีของสวนสันติธรรมได้แจกจ่ายให้ทราบกันแล้ว ทางสวนสันติธรรมมีเงินเหลืออยู่ในขณะนี้ทั้งหมด 21,154,992.10 บาท

"ส่วน การสอบสวนทางราชการ กรมสืบสวนคดีพิเศษ รวมทั้งสำนักพุทธศาสนา ก็ยืนยันมาแล้วว่าไม่มีความผิดแต่อย่างใด" นายธนเดธกล่าวและว่า ส่วนการฟ้องร้องนั้น ในฐานะทนายความก็อยากจะดำเนินการฟ้องร้อง แต่หลวงพ่อมีเจตนาไม่ต้องการฟ้องใคร ส่วนการจะให้สวนสันติธรรมเป็นวัดนั้น รอการอนุมัติ หลังจากนั้นจะปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไป

นาย สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา ลูกศิษย์กล่าวว่า ในแนวคำสอนของ หลวงพ่อปราโมทย์นั้นฝึกให้ทุกคนมีสติ รู้กาย รู้ใจเป็นหลัก บางคนใช้เวลา 10-20 นาที เน้นรูปแบบการปฏิบัติภาวนา รู้ลมหายใจ ฝึกสติ จิตสงบ ผู้ที่เข้ามาฝึกปฏิบัติก็แล้วแต่จริตของแต่ละคน หากไม่ถูกจริตถือว่าปกติ ส่วนใหญ่จะชี้แนะและนำไปปฏิบัติเอง

"ส่วน กรณีที่หลวงพ่อปราโมทย์เขียนจดหมายและใช้คำ ว่าลูก เนื่องจาก นางฐิตินาถ ณ พัทลุง ได้มาขอกราบให้รับหลวงพ่อรับเป็นลูกสาว ในเนื้อความของจดหมายจึงใช้คำว่าลูก การที่เขียนจดหมายต้องการให้เกิดความมานะพากเพียรปฏิบัติ เพื่อให้พ้นทุกข์ตามหลักสอนของศาสนาพุทธ" นายสุรวัฒน์กล่าวและว่า การกล่าวร้ายหลวงพ่อปราโมทย์หากตรวจสอบทุกประเด็นแล้วไม่มีความจริงอะไรเลย ในการนำเสนอข่าวอยากให้มีการพิจารณาให้ดี เพราะจะส่งผลกระทบต่อพุทธศาสนา

วันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7240 ข่าวสดรายวัน ส้วมอยู่ไหน

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน




รัฐบาลสร้างปัญหาขึ้นมาเองแท้ๆ แต่ดันให้ข้าราชการ รับผิดชอบ

ภายหลังพล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภาค 5 ประกาศไม่ขอรับตำแหน่งผู้ช่วยผบ.ตร.

เรื่องสปิริต หรือเสียสละก็ว่ากันไป

สิ่งน่าสนใจ และน่าห่วงใยต่อจากนี้มีสาระกว่า

พล.ต.ท.สมคิดได้รับแต่งตั้งจากก.ตร. ที่มีกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์กำกับบังคับ

คำถามคือ พล.ต.ท.สมคิดปฏิเสธการแต่งตั้งของ ก.ตร. ได้หรือ?

องค์กรตำรวจ ไม่ได้มีเฉพาะกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์กำกับบังคับเท่านั้น

ยังมีเรื่องวินัยควบคุมอีกชั้น

ข้าราชการตำรวจอีก 2 แสนกว่านาย จะปฏิเสธคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายเหมือนอย่างพล.ต.ท.สมคิด ได้หรือไม่?

ประธานก.ตร.ที่ชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องตอบ??

คำถามต่อมา ภายหลังก.ตร.แต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิดขึ้นเป็นผู้ช่วยผบ.ตร.

ทั้งรัฐบาลไล่มาตั้งแต่ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ รองนายกฯ สุเทพ รัฐมนตรี และสารพัดโฆษก ต่างยืนยันหนักแน่นครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่งตั้งทุกคน ทุกตำแหน่ง ถูกต้อง เหมาะสม

อุปทูตซาอุดีอาระเบีย ประจำประเทศไทย ท้วงติง ถึงขนาดออกแถลงการณ์ 4 ฉบับ ติดๆ กัน

ตามหลักการทูตสากลทั่วโลก ถือว่า ไม่ปกติธรรมดา

มากๆ!

ทว่าทุกเสียงจากรัฐบาลก็ยังยืนยัน หนักแน่น แข็งกร้าว

ไม่พิจารณา ไม่ทบทวน ไม่แก้ไข

แต่แล้วทุกเสียงที่เพิ่งยืนยัน หนักแน่น แข็งกร้าวอยู่แหม็บๆ

กลับเห็นดี เห็นด้วยกับการไม่ขอรับตำแหน่งผู้ช่วยผบ.ตร.ของพล.ต.ท.สมคิด

ราวกับว่า การแต่งตั้ง การพูด การแสดงออกก่อนหน้านี้ ไม่เคยมี ไม่เคยเกิด

ทำเหมือนรัฐบาลเป็นสวนสนุก ก.ตร.เป็นสนาม เด็กเล่น

ไม่มีหลักการ หลักเกณฑ์

ไร้ความสามารถ วุฒิภาวะ

หมดสภาพ โมเม มั่วซั่ว เอาดีใส่ตัว เอาตัวรอด ไปวันๆ!!

กรณีวิกฤตการณ์ซาอุฯ รอบใหม่นี้ เปรียบไปก็เหมือน อภิสิทธิ์กับสุเทพ ท้องผูก

แต่ดันให้สมคิดเข้าส้วม!?

วันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7240 ข่าวสดรายวัน จดหมายจาก'อัมสเตอร์ดัม'ฉบับ3 ร้องยูเอ็น-จี้'มาร์ค'เร่งคดี91ศพ

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ รายงานพิเศษ




นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม สำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์ ทนาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ทำจดหมายเปิดผนึกฉบับที่ 3 "การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของรัฐบาลไทย" ถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 ก.ย.

เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งสอบสวนคดี 91 ศพ ที่ยังไม่ คืบหน้า

เนื่องจากการสืบสวนสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไม่ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ไม่ยุติธรรมและขาดอิสระ

เตือนให้รัฐบาลรู้ว่ายังมีกฎหมายอาญาระหว่างประเทศอยู่

พร้อมกันนี้ได้ส่งจดหมายดังกล่าว ไปยังสำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ในวันเดียวกัน

จดหมายมีเนื้อหา ดังนี้

เรา เขียนจดหมายฉบับนี้ถึงท่านในฐานะที่ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และในฐานะที่ท่านเป็นบุคคลที่มีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอาญา ระหว่างประเทศ

เราได้ส่งจดหมายเพื่อย้ำเตือนรัฐบาลของท่านถึงสอง ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2553 และครั้งล่าสุดในวันที่ 6 สิงหาคม 2553

เนื้อหาจดหมายได้ย้ำเตือนรัฐบาลไทยถึงพันธกรณีที่มี ต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) โดยต้องมีการจัดการสอบ สวนถึงสาเหตุของการเสียชีวิตของพลเรือนกว่า 80 ราย ที่ถูกสังหารในระหว่างการชุมนุม

และยังระบุถึงหน้าที่ที่รัฐบาลที่ จะต้องให้โอกาสแก่ทีมทนายของผู้ถูกกล่าวหา และทางสำนักงานกฎหมายของเราในการเข้าถึงพยานหลักฐาน แต่จนถึงบัดนี้ท่านไม่ได้ตอบสนองถึงข้อเรียกร้องดังกล่าวของเรา

เป็น ที่ปรากฏชัดว่า แทนที่คณะรัฐบาลของคุณจะปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ แต่กลับพยายามปกปิดอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่กองทัพไทยกระทำต่อผู้ชุมนุมที่ ปราศจากอาวุธระหว่างการชุมนุม

โดยในวันที่ 20 เมษายน 2553 รัฐบาลของท่านได้ถอนเจ้าหน้าที่ตำรวจออกจากหน้าที่ในการสอบสวนเหตุการณ์การ สังหารประชาชน มอบหมายหน้าที่ดังกล่าวให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ

แต่ในสี่เดือนที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ ไม่ได้ดำเนินการสอบสวนการสังหารดังกล่าวแต่อย่างใด

จาก พยานหลักฐานนี่รัฐบาลมีอยู่มากมาย อาทิ รูปพรรณสัณฐานผู้กระทำการ และหลักฐานที่ระบุว่าการกระทำดังกล่าวสมควรแก่เหตุหรือไม่ จึงไม่เป็นเรื่องยากแต่อย่างใดที่รัฐบาลจะดำเนินการสอบสวนคดีตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญา

หลักของศาลไทย ระบุว่าจะต้องมีการระบุและแสดงรูปพรรณสัณฐานผู้กระทำความผิดในการสังหาร ประชาชน (อ้างอิงจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแห่งประเทศไทย บทที่ 2 มาตรา 148)

อย่างไรก็ตาม คณะรัฐบาลของท่านได้จับกุมและกล่าวหาแกนนำนปช. ว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง และต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา ในปัจจุบันแกนนำนปช.ทั้ง 19 คน ยังคงถูกรัฐบาลคุมขังตามอำเภอใจ

ในวันที่ 28 สิงหาคม 2553 เป็นเวลา 4 เดือนกว่าหลังการสังหารประชาชนในระหว่างการชุมนุม ท่านได้ตอบสนองข้อเรียกร้องสาธารณชนโดยให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว

กรมสอบสวนคดี พิเศษนั้นไม่ได้มีความเป็นธรรม หรือเป็นอิสระ เพราะคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขสถาน การณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นในวันที่ 7 เมษายน 2553 ภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ได้ กล่าวหาแกนนำเสื้อแดงหลายครั้งว่าสมรู้ ร่วมคิดในการล้มล้างระบอบกษัตริย์ และยังมีการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แม้ว่าสถานการณ์ส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะกลับสู่ปกติแล้วก็ตาม ดังนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่เอื้อต่อการสอบสวนที่มีความเป็นอิสระและเป็นธรรม อย่างแท้จริง

การที่คณะรัฐบาลของท่านปฏิเสธจะยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และเพิกถอนอำนาจหน้าที่ในการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลของท่านพยายามปกปิดข้อเท็จจริง แม้จะมีพยานที่อยู่ในเหตุการณ์และวิดีโอบันทึกเหตุ การณ์จำนวนมากที่ระบุว่ากองทัพไทยมีส่วนรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของพลเรือน ทั้ง 80 รายก็ตาม

การที่ศอฉ. ถอดถอนอำนาจหน้าที่ของกรมตำรวจ ในการสอบสวนคดีดังกล่าวในวันที่ 20 เมษายน 2553 ทำให้กระบวนการสอบสวนคดีเกิดความล่าช้า กรมสอบ สวนคดีพิเศษ มีผลการชันสูตรพลิกศพของผู้เสียชีวิตทั้งหมด

แต่ทางทีมทนายของผู้ ถูกกล่าวหาและญาติของผู้เสียชีวิตไม่ได้รับผลการชันสูตรดังกล่าว หรือวิดีโอบันทึกเหตุการณ์การสลายชุมนุมแต่อย่างใด

แม้ว่าจะมีหลัก ฐานที่เป็นภาพถ่าย หรือวิดีโอมาก มายที่ระบุรูปพรรณสัณฐานทหารที่ยิงอาวุธใส่กลุ่มผู้ชุมนุม แต่ยังไม่มีการจับกุม หรือสอบสวนสมาชิกกองทัพไทยแม้แต่คนเดียว

กรม สอบสวนคดีพิเศษไม่ได้ดำเนินการสอบสวนพยานในเหตุการณ์ดังกล่าว เช่น ไม่มีการเรียกผู้บริหารอาคารที่กลุ่มทหารมือปืนลอบสังหารใช้เป็นที่ซุ่มยิง ประชาชน มาสอบสวนว่ากลุ่มคนเหล่านั้นเข้ามาใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นที่ซุ่มยิงได้ อย่างไร

หรือเรียกกลุ่มบริษัทคมนาคมขนส่งกรุงเทพมหานคร มาระบุรูปพรรณสัณฐานบุคคลที่อยู่ในรางรถไฟฟ้าในวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ปรากฏในวิดีโอ

ความล่าช้าของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้นส่งผลให้หลักฐานเหล่านั้นเน่าเปื่อย ผุพัง และสร้างความยากลำบากในการระบุพยาน

และ ยังเป็นที่แน่ชัดว่ารัฐบาลได้สร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวในประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้พยานเกิดความหวาดกลัวที่จะให้ข้อมูลอันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ และการคงพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังทำให้เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจอย่างล้นเหลือในการคุกคามผู้ต้องสงสัย สร้างความหวาดกลัวไปทั่ว อย่างน้อยที่สุดคือ การ์ดนปช. 3 ราย เสียชีวิตจากสาเหตุอันผิดธรรมชาติหลังจากการชุมนุม

นอกจากนี้ ศอฉ.ยังใช้อำนาจยึดทรัพย์สินของบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ของกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้เกิดความหวาดกลัวว่าจะมีการล้างแค้นโดยการสอบสวนทรัพย์สิน และมีการใส่ร้ายกลุ่มคนเสื้อแดงผ่านสื่อที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาล ว่าเสื้อแดงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การยิงและลอบวางระเบิดเอ็ม 79 โดยไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด

ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเพิกเฉยต่อข้อ กล่าวหาอันมีมูลในเรื่องการทุจริตทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกระดับ สูงของพรรคประชาธิปัตย์

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสองมาตรฐานที่ใช้ทำลายการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างต่อเนื่อง

และ สิ่งเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นว่าคณะรัฐบาลของท่านปราศจากความน่าเชื่อถือที่จะ ดำเนินการสอบสวนคดีเกี่ยวกับการสังหารประชาชนอย่างเป็นอิสระหรือเป็นธรรม

ในขณะเดียวกันรัฐบาลยังโยนความรับผิดชอบต่อการตายของประชาชนทั้งหมดให้กับแกนนำนปช.

เรา ขอย้ำเตือนให้ท่านเห็นถึงความล้มเหลวของท่านในการเยียวยาเหยื่อของอาชญากรรม อันทารุณ อาทิ การสังหารประชาชนโดยใช้ศาลเตี้ยหรืออำนาจมืด ซึ่งเป็นการละเมิดต่อสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิ พลเรือนและสิทธิทางการเมือง

รวมถึงบทบัญญัติกรุงโรม ซึ่งเป็นรากฐานของศาลอาญาระหว่างประเทศ ที่บัญญัติให้ทหารหรือพลเรือนผู้มีอำนาจเหนือประชาชน ที่ล้มเหลวในการดำเนินการสอบสวนดำเนินคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ต้องรับผิดชอบ หากปรากฏชัดว่ากลุ่มคนดังกล่าวจงใจเพิกเฉยต่อข้อมูลที่ระบุชัดแจ้ง ว่าผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมดังกล่าว

ซึ่ง ได้ระบุไว้ในบทบัญญัติกรุงโรม มาตรา 28 (b) (III) หลักการดังกล่าวยังเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่สามารถนำไปปรับใช้กับ ประเทศไทยได้

จากการกระทำของรัฐบาลที่ได้กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความไม่เต็มใจและความไร้สมรรถภาพของรัฐบาลในการดำเนินการการ สอบสวนคดีอาชญา กรรมต่อมนุษยชาติอย่างเป็นอิสระ

เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องดังกล่าว

'เสธ.อู้'จี้กองทัพคุมเข้ม อาวุธในคลังแสง

ที่มา ไทยรัฐ

Pic_113981

"พล.อ. เลิศรัตน์" จี้กองทัพหามาตรการป้องกันอาวุธในคลังแสง รับเวรยาม การตรวจนับ ไร้ประสิทธิภาพ ขอมาตรการป้องกันให้มีกุญแจหรือประตูสองถึงสามชั้นและ ให้มีการตรวจสอบอาวุธที่อยู่ในคลังแสงมากขึ้น...

เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ที่โรงแรม กะตะ บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา จ.ภูเก็ต พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา กล่าวถึงกรณีที่มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยขโมยอาวุธสงครามอาร์พีจีจากคลัง จ.ลพบุรีว่า เรื่องนี้น่าจะมีการดำเนินการของขบวนการค้าอาวุธ ไม่เกี่ยวกับการก่อความไม่สงบโดยมีเจ้าหน้าที่ในกองทัพเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะกระสุนปืนอาร์พีจี 39 นัด ได้รับใบสั่งจากขบวนการค้าอาวุธนอกประเทศ เพราะขณะนี้บริเวณแถวตะเข็บชายแดนมีความต้องการใช้อาวุธทั้งของชนกลุ่มน้อย และขบวนการค้ายาเสพติด

ทั้งนี้ พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวต่อว่า ใบสั่งต้องการอาวุธสงครามจะมีอยู่ตลอดเวลา จะเห็นว่าเมื่อตรวจสอบอาวุธเหล่านี้จะพบว่าจะเป็นของกองทัพไทยทั้งสิ้น ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะขบวนการเหล่านี้อาศัยช่องว่างเนื่องจากเวรยาม การตรวจนับ ไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งในช่วงฝึกภาคสนามจะมีการเบิกออกมาแต่ใช้ไม่หมดแล้วมีการลักลอบนำไป ขายโดยผู้บังคับบัญชาไม่ทราบ ถือเป็นความเลินเล่อของระบบการบริหาร คนที่ไม่ดีก็มักอาศัยช่องว่าง ดังนั้นจึงอยากให้มีการมาตรการป้องกันให้มีกุญแจหรือประตูสองถึงสามชั้นและ ให้มีการตรวจสอบอาวุธที่อยู่ในคลังแสงมากขึ้นจากเดิมเพราะหากมีปัญหาก็จะ ตรวจสอบได้ทันที.

การ์ตูน เซีย 25/09/53

ที่มา ไทยรัฐ


การ์ตูน เซีย 25/09/53

โอบาม่าเดินผ่านอะไรก็ไม่รู้แว้บๆ เสื้อแดงนิวยอร์ครวมพลังตะโกนใส่หน้าไอ้ฆาตกรGo to hell-ลงนรก

ที่มา Thai E-News





โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
25 กันยายน 2553

รอยเตอร์เสนอ ภาพข่าวช็อตเด็ดบารัค โอบาม่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯเดินผ่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ราวกับอภิสิทธิ์ไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนั้น และเดินผ่านไปยืนถ่ายรูปกับผู้นำชาติASEAN ในการประชุมนอกรอบระหว่างASEAN-USAในที่ประชุมUN นครนิวยอร์ค

อภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์มาเมืองไทยกับโทรทัศน์เครือเนชั่นเช้านี้ด้วยน้ำ เสียงอ้ำอึ้ง เมื่อถูกถามว่ามีโอกาสได้สนทนาอะไรกับโอบาม่าบ้างไหม? โดยเขากล่าวตอบว่า"ก็..เป็นการประชุมหารือระหว่างสหรัฐฯกับอาเซียน ท่านประธานาธิบดีได้ทักทายผมว่า เอ้าคุณอภิสิทธิ์ได้มาประชุมที่นิวยอร์คกับเขาด้วย เพราะท่านก็ทราบดีว่าสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยเราก็ตึงเครียดอย่างที่ รู้ๆกัน"

อภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่าเขาได้พบชุมชนคนไทยในนิวยอร์กด้วย แต่ไม่ได้ระบุว่า เขาถูกคนไทยที่สนับสนุนประชาธิปไตยตามไปประท้วงหรือไม่ที่นั่น โดยแสดงน้ำเสียงไม่สู้จะดีนัก โดยก่อนหน้านั้นกลุ่มเสื้อแดงนิวยอร์คนัดรวมตัวกันต้อนรับอภิสิทธิ์ให้ถึงใจ

เสื้อแดงนิวยอร์กต้อนรับมาร์คระยะห่าง10ฟุต


มี คนเสื้อแดงในนิวยอร์คและอเมริการาว 30 คนไปรวมกลุ่มประท้วงอภิสิทธิ์หน้าโรงแรมพลาซ่าแอทธินี ที่พักของอภิสิทธิ์ โดยร่วมกันตะโกนด่าในระยะประชิดไม่เกิน 10ฟูต ด้วยปากเปล่า เพราะไม่ได้ขออนุญาตใช้เครืองขยายเสียง โดยผู้ชุมนุมเสื้อแดงได้ตะโกนใส่นายอภิสิทธิ์ขณะเดินขึ้นรถว่า"ไอ้ฆาตกรๆๆๆ Go to hell(ไปลงนรก) ไอ้2มาตรฐาน โกงชาติ"

คลิ้กดูคลิปวิดิโอ
พร้อมชูป้ายโจมตี ข้อความต่างๆเช่น

-Thai prime minister you can't fool the world 91 killed(นายกฯไทยคุณไม่สามารถหลอกลวงชาวโลกได้ที่คุณสังหาร 91ศพ) บนป้ายที่ทำเป็นรอยเลือดไหล

-Free all political prisoners (ปลดปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมด)

-Abisit-murderer shame! you stoop lying the world(ภิสิทธิ์-ฆาตกร อายซะมั่ง หยุดหลอกชาวโลกได้แล้ว)

-นายกฯทรราชย์ ไม่รู้จะด่ายังไงแล้ว พร้อมกับวาดรูปตีนประกอบ

ทั้งนี้มีนักข่าวโทรทัศน์ในอเมริกามาทำข่าวทั้งCNNและFOXNEWS (ชมภาพชุด)

ชม คลิปเสื้อแดงไทยนิวยอร์ครวมพลังต้อนรับมาร์คถึงใจ โดยในคลิปนี้ผู้ชุมนุมเสื้อแดงได้ตะโกนใส่นายอภิสิทธิ์ขณะเดินขึ้นรถว่า"ไอ้ ฆาตกรๆๆๆ Go to hell(ไปลงนรก) ไอ้2มาตรฐาน โกงชาติ"

http://www.4shared.com/video/8BKY9HNz/MOV02191.htmlhttp://

http://www.4shared.com/video/y1Zc0LBx/MOV02198.html /////

http://www.4shared.com/video/8BKY9HNz/MOV02191.html //

http://www.4shared.com/video/y1Zc0LBx/MOV02198.html

บทความ: ข้อสังเกตบางประการในการทำความเข้าใจ “สลิ่ม”

ที่มา Thai E-News

โดย ทัศนะ ธีรวัฒน์ภิรมย์ / ประชาไท
เผยแพร่ครั้งแรกที่ Aofdense's Blog
24 กันยายน 2553

“สลิ่มเป็นงานอาร์ท” ศ.ดร.นพ.ทพ.โน๊ต อุด้ง



(1)

สลิ่ม: พื้นที่ศักดิ์สิทธ์ทางวิชาการหรือแค่เรื่องตลกของยุคสมัย

ท่าม กลางความสับสนและความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศเทยในช่วงที่ผ่านมา พฤติกรรม (จริงๆสิ่งที่จะกล่าวต่อไปจะเรียกว่า “พฤติกรรม” ก็ดูจะไม่ตรงนัก แต่เพื่อความสะดวกในการสื่อสาร ผู้เขียนขออนุญาตใช้คำนี้ไปพลางก่อน) ที่เรียกกันอย่างลำลองทางวิชาการว่า “สลิ่ม” (Salim) ได้ก่อตัวขึ้นและแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในหมู่ชนชั้นกลางของประเทศเทย(โดย เฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาว) มีการถกเถียงกันในวงวิชาการอย่างมากมายและกว้างขวางต่อปรากฏการณ์ที่เกิด ขึ้น บ้างก็ว่ามันเป็นอาการของโรค (disease) บ้างก็ว่าเป็นความผิดปกติทางจิต (psychological disorder) บางส่วนบอกว่าเป็นอุปทานรวมหมู่(mass hysteria) บางคนถึงกับบอกว่า “สลิ่ม” เป็นเพียงวาทกรรม(ในความหมายแบบไทยๆ)ที่เอาไว้ discredit ฝ่ายที่คิดเห็นไม่ตรงกับพวกตน

อย่างไรก็ดีแม่จะมีวิวาทะทางวิชาการ มากมายในประเด็นดังกล่าว แต่ด้วยความลักลั่นย้อนแย้ง (paradox) ความลื่นไหล ความไม่เสถียร (stable) ของพฤติกรรม “สลิ่ม” ทำให้ข้อถกเสียงเหล่านั้นไม่สามารถให้ข้อสรุปถึงนิยาม (definition) ของคำว่า “สลิ่ม” ที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้ ซึ่งสร้างปัญหาให้กับสังคมในการใช้คำว่า “สลิ่ม” มาก เพราะความหมาย (meaning) และสัญญะ (sign) ของมันขึ้นอยู่กับความเข้าใจของผู้ใช้เป็นหลัก ทำให้ผู้ที่ถูกเรียกว่า “พวกสลิ่ม” ไม่อินังขังขอบหรือเดือดเนื้อร้อนใจเมื่อถูกเรียกแบบนั้น ทั้งที่อันที่จริงแล้วคำนี้มีความหมายในเชิงประชดประชันเสียดสีอยู่มาก

จาก การทบทวนวรรณกรรมที่ผ่านมา ผู้เขียนพบว่าการศึกษาปรากฏการณ์ “สลิ่ม” เป็นไปอย่างไร้ทิศทางและกระจัดกระจาย มีการใช้กรอบวิเคราะห์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในทาง สังคมศาสตร์, รัฐศาสตร์, ปรัชญา, เศรษฐศาสตร์, หรือแม้แต่การวิเคราะห์ด้วยความตั้มฟิสิกส์ ซึ่งความหลากหลายในแนวทางการศึกษาเช่นนี้ แม้จะทำให้เราค้นพบแง่มุมใหม่ๆของคำว่า “สลิ่ม” แต่ก็ไม่สามารถให้ความหมายที่เป็นจุดร่วมของคำๆนี้ได้ ส่งผลให้ “สลิ่ม” กลายเป็นคำที่มีลักษณะนามธรรม (abstract) ลึกลับ (mysterious) หรือแม้กระทั่งดูศักดิ์สิทธิ์ (divine) กว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะเข้าถึงได้

บท ความนี้ผู้เขียนไม่มีเจตนาที่จะเสนอข้อสรุปหรือทฤษฎีที่ชี้ขาดว่า “สลิ่ม” คืออะไรกันแน่ เพียงแต่ต้องการที่จะทบทวน วิเคราะห์ เพื่อสังเคราะห์เป็นข้อสังเกตเบื้องต้นของพฤติกรรมที่เรียกว่า “สลิ่ม” ผู้เขียนพยามยามจะรวบรวมจุดร่วมของพฤติกรรมดังกล่าวที่เห็นได้อย่างชัดเจน (Obvious) ในกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าสลิ่มส่วนใหญ่ โดยมีข้อตกลงเบื้องต้นของการวิเคราะห์ว่า “สลิ่ม” ไม่ใช่ความผิดปกติ (abnormally) เพราะกลุ่มคนที่ถูกขนานนามว่าสลิ่มนั้นสามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่าง ปกติ ไม่ได้มีความบกพร่องในการใช้ชีวิตปกติแต่อย่างใด (แต่มี “ความคิด” หรือเปล่านั้นเป็นสิ่งที่ต้องอภิปรายต่อไป) โดยผู้เขียนใช้กรอบการว่าเคราะห์ “สลิ่ม” ในฐานะที่เป็นวัฒนธรรมผสม (hybrid culture) ซึ่งเกิดจากการผสมผสานของวัฒนธรรมรวมถึงอุดมคติที่หลากหลาย ทั้งวัฒนธรรมแบบชนชั้นกระฎุมภี, แนวคิดอนุรักษ์นิยมใหม่, pop culture, วัฒนธรรมแบบผู้มีการศึกษา และอาจร่วมถึงวัฒนธรรมนำเข้าอย่างกระแส k-pop

ผู้ เขียนเห็นว่าการมองสลิ่มเป็นวัฒนธรรม ทำให้เราเข้าใจถึงพฤติกรรมนี้ได้อย่างมีมิติและเป็นพลวัตรมากขึ้น เพราะกระบวนการการทำให้เป็นสลิ่ม (Salimization) ไม่ได้เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน แต่เป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นมายาวนานอย่างเป็น ระบบ ซึ่งเราอาจจะสืบย้อนกลับไปได้ถึงช่วงการเข้ามาของแนวคิดสมัยใหม่ (modernism) ในรัชสมัยรัชกาลที่ห้า หรืออย่างน้อยก็สมัยที่มีการเกิดขึ้นของชนชั้นกระฎุมภีใหม่หลังการเปลี่ยน แปลงการปกครองเมื่อพุทธศักราช 2475 ซึ่งมันมีความซับซ้อนทางประวัติศาสตร์อยู่มาก (อ่าน, สมสุข 2553) อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่ากระบวนการทำให้เป็นสลิ่มชัดเจนที่สุดในทศวรรษ 2490-2500 และมีการแสดงออกมาอย่างเป็นรูปธรรมที่สุดพร้อมๆกับการมาถึงของกลุ่มที่เรียก ตัวเองว่า “กลุ่มคนเสื้อหลากสี” (multicolor anti-democracy puppets) ในช่วงเดือนมีนาคม 2553 แต่ด้วยข้อจำกัดของความยาวของบทความผู้เขียนจะไม่อภิปรายกระบวนการทำให้เป็น สลิ่มในที่นี้ แต่จะขอตั้งข้อสังเกตลักษณะร่วมบางประการของ “สลิ่ม” เท่านั้น

(2)

สลิ่ม: ลักษณะร่วมบางประการ

จาก การทบทวนวรรณกรรม การเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม (questionnaire) การสัมภาษณ์เชิงลึก (in-depth interview) และการสนทนากลุ่ม (focus group) ผู้เขียนมีข้อสังเกตบางประการถึง “จุดร่วม” ของกลุ่มคนที่เรียกว่า “พวกสลิ่ม” ดังนี้

1. สลิ่มรักพ่อและยินดีตายเพื่อพ่อ : ข้อนี้ไม่ต้องอธิบายให้มากความ “ถ้าไม่รักพ่อก็ออกจากบ้านไป ชิ้วๆ” สลิ่มผู้ได้ชื่อว่าเป็น “ตัวพ่อ” ท่านหนึ่งกล่าวไว้อย่างภาคภูมิใจ

2. สลิ่มมีการศึกษา: จากการเก็บข้อมูลภาคสนามผู้เขียนพบว่า “พวกสลิ่ม” ส่วนใหญ่เป็นที่มีการศึกษาสูง (ส่วนใหญ่จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ) และเป็นผู้ที่ยึดมั่นในความรู้ที่ได้จากการศึกษาในระบบอย่างยิ่ง สลิ่มส่วนใหญ่รู้ดีว่าคนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต, ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก, ศิลปะวัฒนธรรมไทยมีความยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก, ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย (แบบไทยๆ), ทุนนิยมเป็นแนวคิดที่น่ารังเกียจ ,ประชาธิปไตยต้องดูกันที่เนื้อหาสาระ เป็นต้น

3. สลิ่มรักการอ่าน: ต่อคำกล่าวที่ว่า “คนไทยอ่านหนังสือปีละเจ็ดบรรทัด” เมื่อนำมาใช้อธิบายสลิ่มจะไม่สามารถใช้ได้เลย เพราะสลิ่มเป็นคนมีการศึกษา พวกเขารักในการศึกษาหาความรู้ การอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่พวกเขาทำกันเป็นกิจวัตร ซึ่งสิ่งที่ยืนยันได้ดีคือการได้รับความนิยมอย่างสูงของงานสัปดาห์ลดราคา หนังสือแห่งชาติ และยอดพิมพ์ของหนังสือที่มีสาระมากมายหลายเล่ม เช่น เข็มพิษชีวิต, เดอะท๊อปบู๊ทซีเคร็ด, หนังสือของสำนักพิมพ์แจ่มใฉ, หนังสือแปลดีๆอย่างแวมไพร์ทไวไลด์, หรือแม้กระทั่งหนังสือปรัชญาชีวิตยากๆของนักเขียนผู้ทรงภูมิอย่างกา-ลาแมร์ ด้วยความที่สลิ่มเป็นผู้ที่อ่านหนังสือเยอะนี้ ทำให้สลิ่มเป็นกลุ่มคนที่เชื่อคนยากเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาจะเชื่อก็ต่อเมื่อรัฐบาล, ศอฉ., หรือผู้นำทางความคิดที่ดูดีมีความรู้บอกเท่านั้น ส่วนสื่อทางเลือกอื่นๆ เช่น CNN, Economist, บทความวิชาการต่างๆ สลิ่มรู้ดีว่าไม่ควรให้ความใส่ใจ

4. สลิ่มมีศีลธรรมจรรยา: แหล่งที่พบสลิ่มได้อย่างหนาแน่นชุกชุมคือสถานปฏิบัติธรรมที่มีบรรยากาศ สะอาด สงบ สะดวกสบาย และดูดีมีรสนิยม ในวันหยุดสลิ่มหลายกลุ่มมักใช้เวลามาปฏิบัติธรรม-ภาวนา เพื่อสร้างบารมีตามสถานที่ดังกล่าว อีกข้อสังเกตหนึ่งของผู้เขียนก็คือ สลิ่มร้อยละเก้าสิบมีหนังสือของพระสงฆ์รุ่นใหม่ที่เป็นปราชญ์แห่งยุคสมัย อย่าง ว. วชีรเมรี ที่เขียนหนังสือธรรมะเนื้อหาลึกซึ้งออกมามากมาย ยกตัวอย่างเช่น “ธรรมนำเวร”, “ธรรมะดิลิเวทีพ”, “รักอนาไลสิส” และมีคำสอนที่ลึกซึ้งผ่านเครือข่ายทางสังคมอย่างทวิตเตอร์ออกมาเป็นประจำ เช่น “ที่ใดมีชู้ที่นั่นมีช้ำ ที่ใดมีกิ๊กที่นั่นมีกรรม”, “ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน (นะจ๊ะ) เป็นต้น

5. สลิ่มมีรสนิยมดีเยี่ยม: ในเรื่องรสนิยมในการใช้ชีวิตเป็นสิ่งที่สลิ่มมีความก้าวหน้านำสมัยอย่างยิ่ง เหตุเพราะจากเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ชนชั้น สลิ่ม 98.96% เป็นผู้ที่มีอันจะกิน และมีกำลังซื้อมากพอที่จะซื้อสินค้าและบริการที่ “เทรนดี้” เพื่อตอบสนองเป้าหมายในการมีชีวิต (purpose of live) จากกลุ่มตัวอย่าง สลิ่มส่วนใหญ่มี i-phone และ BB (บางส่วนใช้(Android), นิยมซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้าที่มีระดับ, ฟังเพลงอินดี้, ดูหนังนอกกระแส, และอ่านนิตยสารเด็กแนว….( อนึ่ง ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าข้อนี้เป็น “ความเป็นสลิ่ม” หรือ “สลิ่มที่บังเอิญมีลักษณะนี้” มีบางกลุ่มที่นิยามตัวเองว่า “แดงสลิ่ม” ซึ่งตามความเห็นของผู้เขียน กลุ่มคนเหล่านี้เป็น “สลิ่มเทียม”)

6. สลิ่มมีความรู้เรื่องการเมืองดีเยี่ยม: จากการเก็บตัวอย่างแบบสอบถามจากสลิ่มนับพันคน ทุกคนมีความรู้ในสถานการณ์และประวัติศาสตร์ทางการเมืองของประเทศเทยเป็น อย่างดี ทุกคนรู้ดีว่า ทักษิณเป็นปีศาจจากดาวอังคารที่เกิดมาเพื่อทำลายประเทศเทย ทักษิณสามารถซื้อทุกอย่างในโลกได้ไม่ว่าจะเป็น นักการเมือง, ชาวบ้าน, สื่อ, ตำรวจ, ผู้พิพากษา, CNN, BBC, FBI ,อองซานซูจี (จะมีแต่คนฉลาดและรักชาติอย่างสลิ่มเท่านั้นที่ทักษิณซื้อไม่ได้) ปัญหาทางการเมืองของประเทศเทยล้วนเกิดจากทักษิณทั้งสิ้น ถ้าเรากำจัดทักษิณได้แล้ว ปัญหาต่างๆทางการเมืองเหล่านี้จะคลี่คลายแน่นอน ดังนั้นไม่ว่าจะใช้วิธีใด เราต้องกำจัดทักษิณให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหาร,ตุลาการภิวัฒน์, การขอคืนพื้นที่-กระชับวงล้อม หรือแม้กระทั่งการไปงานศพน้องโบว์แดงแสลงใจ

7. สลิ่มมีจิตใจอ่อนไหว: นอกจากมีศีลธรรมอันดีงามแล้ว สลิ่มยังเป็นกลุ่มคนที่มีความอ่อนไหวในจิตใจสูงอย่างยิ่ง เมื่อมีสิ่งที่เร้าความรู้สึกเพียงเล็กน้อย พวกเขาพร้อมที่จะซาบซึ้ง ร้องไห้ ฟูมฟาย เป็นการแสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนของจิตใจที่จะพบได้ในเหล่าคนที่มีศ๊ล ธรรมสูงยิ่งเท่านั้น เหตุการณ์ที่ผมประทับใจในความอ่อนไหวของพวกเขามากที่สุดก็คือ พวกเขาร้องไห้เสียใจและแสดงความอาลัยรักอย่างยิ่งต่ออาคารเซ็นทรัลเวิร์ลที่ ถูกเผาไปโดยกองกำลังไม่ทราบฝ่าย แม้แต่กับสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีชีวิตพวกเขายังให้ความรัก-ความอาลัยขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงคุณค่าของชีวิตเลย สลิ่มที่ผู้เขียนไปเก็บข้อมูลกว่าครึ่งเป็นมังสวิรัต!

8. สลิ่มเห็นใจคนเสื้อแดง: เนื่องจากสลิ่มส่วนใหญ่เข้าใจการเมืองอย่างดี พวกเขาจึงรู้ว่าชาวบ้านที่มาชุมนุมกับขบวนการเสื้อแดง เป็นชาวบ้านที่บริสุทธิ์ เพียงแต่หลงผิดเพราะทักษิณ สลิ่มจึงมีความเห็นใจต่อชาวบ้านเสื้อแดงเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงมักจะบอกกับชาวเสื้อแดงเสมอๆด้วยข้อธรรมะดีๆว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม(นะคะ)” และพร้อมที่จะให้อภัยผู้ที่หลงผิดทั้งหมด พร้อมที่จะมากอดกับพวกเขาอีกครั้ง เพื่อ “ขอความสุขกลับคืนมา” สำหรับครอบครัวผู้เสียชีวิตนั้นชาวสลิ่ม ก็ยินดีที่จะสอนพวกเขาด้วยธรรมะดีอีกเช่นกัน เช่น “ก้าวข้ามคราบน้ำตาแล้วมองไปข้างหน้าเถิด”, “ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก มีแต่ประเทศชาติที่บอบช้ำ เรามาปรองดองกันนะ” ….

9. สลิ่มเป็นคนขวัญอ่อน: สลิ่มเป็นกลุ่มคนที่มีความซับซ้อนในตัวเองอย่างมาก ผู้เขียนรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งว่า นอกจากจะเป็นคนมีการศึกษา, มีศีลธรรม,จิตใจอ่อนไหวแล้ว สลิ่มยังเป็นกลุ่มคนที่ขวัญอ่อนอย่างยิ่ง เมื่อไหร่ที่เห็นวัตถุสีแดง สลิ่มจะเกิดอาการที่ผู้เขียนขอเรียกอย่างลำลองว่า “มึงเป็นอะไรของมึง” อาการดังกล่าวลักษณะภายนอกจะคล้ายอาการจิตเภท (Schizophrenia) หรืออาการผิกปกติทางจิตอย่าง anxiety disorder ซึ่งเป็นปากฏการณ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้เขียน (ในขณะสัมภาษณ์ สลิ่มนางหนึ่ง เมือผู้เขียนหยิบปากกาสีแดงขึ้นมาเพื่อขีดเส้นใต้บทสัมภาษณ์ สลิ่มนางนั้นเริ่มมีอาการกระสับกระส่าย ตัวสั่น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว แล้วก็เริ่มพึมพัมข้อความหยาบคายออกมา เมื่อผู้เขียนเก็บปากการใส่กระเป๋า สลิ่มนางนั้นก็กลับมาเป็นปกติทันที เป็นที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง)

ยังมีจุดสังเกตอีกหลายประการของสิ่ง ที่ผู้เขียนขออนุญาตเรียกว่า “วัฒนธรรมสลิ่ม” แต่หลักใหญ่ใจความผู้เขียนขอสรุปไว้เพียง 9 ข้อข้างต้น ต้องเรียนว่าไม่ใช่สลิ่มทุกคนที่มีลักษณะข้างต้นครบ 9 ข้อ สลิ่มบางคนก็ไม่ได้อ่านหนังสือ สลิ่มบางคนก็ไม่ได้ไปปฏิบัติธรรม ถ้าจะให้สรุปสั้นๆว่า “สลิ่มแท้” ต้องมีลักษณะแบบไหนบ้าง ผู้เขียนเสนอว่าสลิ่มแท้ต้อง “รักพ่อ เกลียดทักษิณ และเสียน้ำตาให้เซ็นทรัลเวิร์ล-ปล่อยวางต่อความตายของคนเสื้อแดง” ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่ผู้เขียนเห็นว่า unique พอที่จะแยกได้คร่าวๆว่าใครเป็น “สลิ่ม” หรือไม่


(3)

สลิ่ม: แล้วเราจะอยู่ร่วมกับเขาอย่างไร

ต่อคำถามนี้ผู้เขียนขอสรุปสั้นๆอย่างสุภาพว่า “ช่างแม่ง” ครับ ปล่อยพวกเขาไปเถิด


*************

แดงสลิ่ม ณ สยามพารากอน
(นักวิจัยอิสระ)

ความคิดผิดๆ เกี่ยวกับ “การนำ” ของคนที่วิจารณ์วันอาทิตย์สีแดง

ที่มา Thai E-News



โดย ใจ อึ๊งภากรณ์

“การนำ” ในขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม แบบขบวนการเสื้อแดงในไทย มีสองชนิดคือ

1. การนำจากเบื้องบน คือ มีการพูดคุยกันในหมู่คนส่วนน้อยที่ถือว่าตนเองเป็น “ผู้ใหญ่” ของขบวนการ หรือ “ผู้รู้” ของขบวนการ แล้วมีการแต่งตั้งแกนนำ ไม่ว่าจะแต่งตั้งตนเอง หรือแต่งตั้งผู้อื่น

แกนนำประเภทนี้จะพยายาม “ควบคุม” และ “สั่ง” มวลชน แกนนำแบบนี้เป็นแกนนำเชิงเผด็จการ ข้อเสียคือไม่สามารถอาศัยพลังและความสร้างสรรค์ของมวลชนเต็มที่ มีการปิดโอกาสที่จะให้คนธรรมดาในมวลชนนำตนเอง

2. การนำจากเบื้องล่างหรือรากหญ้า ความหมายของ “การนำ” ในกรณีนี้ไม่ใช่การตัดสินใจในหมู่คนกลุ่มเล็กๆ และไม่ใช่การ “สั่ง” ลงมาให้มวลชนทำตาม แต่เป็นปรากฏการณ์ของการ “ร่วมกันคิดร่วมกันทำ” โครงสร้างขบวนการไม่ได้มีลักษณะแบบทหาร แต่มีลักษณะแบบ “แกนนำแนวราบ” การเป็นผู้นำไม่ได้ขึ้นกับ “บารมี” ไม่ได้ขึ้นกับ “การเป็นผู้ใหญ่” และไม่ได้ถูกกำหนดมาจากประเด็นว่าใครตะโกนสั่งคนอื่นได้

แต่การนำ ในรูปแบบนี้หมายถึงความสามารถในรูปธรรม ที่จะเสนอข้อคิดและแนวทางในการต่อสู้ที่มวลชนยอมรับและมองว่า มีประโยชน์ ดังนั้นจะมีผู้นำที่หลากหลาย ไม่ถาวร บางครั้งมวลชนจะรับฟังข้อเสนอของบุคคลคนหนึ่ง ครั้งต่อไปจะรับฟังข้อเสนอของคนอื่น มันเปิดโอกาสให้มวลชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการกำหนดทิศทางการต่อสู้ และแกนนำจะพัฒนางอกจากรากหญ้าตามการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่เป็นจริง นี่คือรูปแบบการนำที่คนเสื้อแดงควรใช้

ในหมู่คนที่สนับสนุนการนำจาก เบื้องล่างหรือรากหญ้า อาจมีความแตกต่างกันในรูปแบบ บางคนจะไม่ชอบการจัดองค์กรถาวร เช่นพวกที่มีความคิดอนาธิปไตย อาจมองว่าควรปล่อยทุกอย่างตามธรรมชาติ ไม่ต้อง “จัดตั้งอะไร”

แต่ใน หมู่นักสังคมนิยมมาร์คซิสต์อย่างผม เราจะมองว่าต้องมีความพยายามที่จะจัดตั้ง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราจะจัดตั้งอย่างไร เพื่อรักษาการนำจากรากหญ้าได้ เพราะสองกระบวนการนี้ “การจัดตั้ง และการนำจากรากหญ้า” มันขัดแย้งกัน

คำตอบสำหรับนัก สังคมนิยมที่อาศัยประสบการณ์ของคนอย่างเลนิน ตรอทสกี และโรซา ลัคแซมเบอร์ค คือ เราต้องมีองค์กรหรือพรรคสังคมนิยม พรรคนั้นต้องมีประชาธิปไตยภายในเต็มที่ เพื่อให้สมาชิกรากหญ้านำได้ และเมื่อเข้าไปเคลื่อนไหวในกลุ่มมวลชนขนาดใหญ่ พรรคก็จะเสนอแนวทางต่อสู้และข้อคิด แต่ยอมรับมติเสียงส่วนใหญ่ของมวลชน ไม่ครอบงำมวลชน และไม่กีดกันคนที่คิดต่าง

พูดง่ายๆ คือในขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม จะมีกลุ่มต่างๆ ที่หลากหลาย แต่ละกลุ่มก็มีข้อเสนอกับมวลชน มีการถกเถียงแลกเปลี่ยนกัน แล้วมีการตัดสินใจร่วมกันภายใต้ความสามัคคีในการต่อสู้หรือเคลื่อนไหว

การ ที่ใครหรือกลุ่มใดจะเป็นแกนนำได้ในเวลาหนึ่ง ต้องพิสูจน์ในรูปธรรมท่ามกลางการเคลื่อนไหวโดยธรรมชาติ ว่าสามารถนำมวลชนได้จริง.... ไม่ใช่มา “แต่งตั้ง” แกนนำล่วงหน้าจาก “ผู้ใหญ่” หรือ “ผู้รู้”

ในกรณีการชุมนุมที่ราชประสงค์เมื่อวันที่ ๑๙ กันยาที่ผ่านมา เราไม่ควรหลงคิดว่าไม่มีการนำ เพราะการที่คนมาเป็นหมื่นแปลว่ากลุ่มคนเสื้อแดงตามชุมชนต่างๆ ในกรุงเทพฯ และที่อื่น ได้คุยกันล่วงหน้าและเตรียมตัวเพื่อที่จะมาชุมนุม นี่คือการนำที่สำคัญ เพราะเป็นการนำตนเอง และการที่มวลชนมีความเห็นพร้อมกันว่าควรมาชุมนุม พิสูจน์ความสามารถของแกนนอนวันอาทิตย์สีแดงในการนำแบบประชาธิปไตย

อย่าง ไรก็ตาม ในอนาคต ถ้าเราสามารถจัด “สมัชชาคนเสื้อแดง” ที่เปิดกว้างประกอบไปด้วยผู้แทนรากหญ้าของเสื้อแดงตามพื้นที่ต่างๆ มันจะมีประโยชน์มากในการประสานการทำงาน และการร่วมกันกำหนดนโยบายทางการเมืองและทิศทางการต่อสู้ แต่ที่สำคัญคือมันต้องเป็นสมัชชารากหญ้า

มีบางคนพูดว่าการชุมนุมในวันที่ ๑๙ “เปิดเผยจุดอ่อนของการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์” การ พูดแบบนี้แสดงว่าไม่เข้าใจลักษณะพื้นฐานของการเคลื่อนไหวเลย เพราะการชุมนุมเดินขบวนทุกครั้ง ไม่ว่าจะใช้รูปแบบไหน และไม่ว่าจะมาสิบคน หรือสามแสนคน ล้วนแต่เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ทั้งนั้น และมันสร้างความสามารถที่จะนำไปสู่การต่อสู้ที่ไม่เป็นสัญลักษณ์ได้ เช่นการนัดหยุดงาน การยึดสถานที่ต่างๆ

หรือแม้แต่การยึดอำนาจโดยประชาชนและล้มเผด็จการได้


*********
ข่าวเกี่ยวเนื่องว่าด้วยการ"ปรับขบวนก้าวรุดไปสู่ชัยชนะ":

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์:ปัญหาองค์การนำในขบวนการประชาธิปไตย(ตอน1)

-ควรปรับขบวนเสื้อแดงด้วยการตั้งองค์กรและแกนนำโฉมใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับทักษิณหรือไม่?

-สมศักดิ์:ทำไมคนเสื้อแดงจึงควรจัดตั้งองค์กรนำใหม่

ใบตองแห้งออนไลน์:อุดมการณ์กับยุทธศาสตร์

-ในความคิดคำนึง ทักษิณจะอยู่อย่างไร หากคนเสื้อแดงไม่เอา

-ทักษิณ…โปรดเลิกเลียนแบบสันดานเสื่อมๆ ของเทวดาทราม!

-‘ทักษิณ’ ทวีต 19 ก.ย.ขอคืนความปรองดอง

-ทักษิณทวิตเตอร์วอนกองเชียร์ให้ยุติวิจารณ์สถาบัน

-จักรภพสัมภาษณ์ABC:ทักษิณอาจจะยุติเคลื่อนไหว

งานเข้า! สื่อต่างชาติระดมตีข่าว 'จีรนุช' โดนจับ

ที่มา Thai E-News

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
24 กันยายน 2553

รายงาน จากสำนักข่าวและ สื่อมวลชนต่างประเทศหลายแห่ง ได้กล่าวถึงเหตุการณ์การจับกุมตัวคุณจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไทที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิวันนี้ หลังเดินทางกลับจากการสัมนาเกี่ยวกับเสรีภาพสื่อทางอินเตอร์เน็ต

Global Voices Advocacy ตีกลองระดมสื่อทุกแขนง เน้น!จีรนุชเพิ่งกลับจากสัมนา IAL2010

"กลุ่มต่อต้านการเซ็นเซอร์บนอินเตอร์เน็ตและเรียกร้องเสรีภาพการพูดและเข้าถึงเนื้อหาอย่างเสรี" ได้จัดการตีพิมพ์ข่าวดังกล่าวทันที โดยเรียกร้องให้สื่อออนไลน์ร่วมกันช่วยเหลือคุณจีรนุชไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในเนื้อข่าวได้แจ้งว่าคุณจีรนุชเองก็เพิ่งกลับจากสัมนา "เสรีภาพบนอินเตอร์เน็ตประจำปี 2010: พันธะต่อเสรีภาพแห่งการแสดงออก" ที่จัดที่กรุงบูดาเปส แบบสดๆร้อนๆ และก่อนหน้านี้ก็ถูกจับกุมเพราะลบความเห็นผู้ใช้ออกจากเว็บบอร์ดไม่ทันใจ


Reporter Without Borders แรง



องค์กรสื่อมวลชนไร้พรหมแดน เผยแพร่ข่าวลงเว็บไซต์ของตนเองทันที โดยชี้ว่าคุณจีรนุชโดนจับเพราะถูกกล่าวหาว่าละเมิดพรบ.คอมพิวเตอร์ และ ม.112 และกำลังถูกนำตัวส่งไปจังหวัดขอนแก่น โดยคดีดังกล่าวถูกกล่าวหาเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2551
"เราขอ เรียกร้องให้มีการปล่อยตัวคุณจีรนุชโดยทันที และให้มีการถอนข้อหาต่อเธอ เพื่อที่เราจะไม่ต้องทนเห็นความพยายามที่ใช้พรบ.คอมพิวเตอร์ เพื่อที่จะปิดปากการวิพากษ์วิจารณ์ต่อระบอบ" RWB แถลง "เว็บไซต์ประชาไทเป็นแหล่งข่าวที่ได้รับความเชื่อถือที่พยายามนำเสนอข่าวสาร ให้สาธารณะชนเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เป็นไปในประเทศไทย"

"เจ้าหน้าที่ ต้องเข้าใจด้วยว่า ทางประชาไทเองเพิ่งตัดสินใจปิดส่วนของเว็บบอร์ดเพราะความยากต่อการควบคุมการ แสดงความคิดเห็น การจับกุมตัวที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไม่ส่งผลดีใดๆเลยทั้งผิดเวลาอีกด้วย คุณจีรนุชเองก็เพิ่งจะกลับจากการประชุมนานาชาติเกี่ยวกับเสรีภาพการแสดงความ คิดเห็นบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งเธอถูกรับเชิญไป"

Siam Voices ชี้!มันช่างไอรอนี่

Saksith Saiyasombut จากเว็บสยามว๊อยซ์ชี้ ว่าเป็นเรื่องที่ขำไม่ออก เพราะคุณจีรนุชเพิ่งกลับจากสัมนาเสรีภาพอินเตอร์เน็ต แต่ต้องกลับมาถูกจับกุมตัวที่สนามบิน นอกจากนี้ข้อมูลจากสำนักข่าวเอพีก็ชี้ว่า ข้อหาที่ทางตำรวจให้เหตุผลว่าร้ายแรง และไม่จำเป็นต้องส่งหมายจับก่อนจับกุมตัวคือข้อหา "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"

Andrew Marshall นักข่าวชื่อดังปฏิเสธทันที จีรนุชเป็นคนไม่น่ากลัวตามข้อหาทางการไทยตั้ง

แอนดรูว์ มาแชล นักเขียนและนักข่าวชาวสก็อต เปิดเว็บไซต์ของตนรายงาน ถึงเรื่องดัวกล่าวทันที โดยบอกว่า "ผมเคยพบกับหญิงไทยที่อันตรายมากที่ทางการไทยพยายามที่จะนำตัวเธอเข้ากรงขัง ตลอดชั่วชีวิตของเธอ ผมพบกับเธอบนถนนสีลมใกล้ๆจุดประท้วงราชประสงค์" แอนดรูว์เผยต่อว่า "คุณจีรนุชแท้จริงไม่ได้ดูน่ากลัว เธอเป็นคนเตี้ย ร่างท่วมอายุ 43 ปี ซึ่งเปิดเว็บไซต์ข่าวอิสระแห่งหนึ่งที่ชื่อประชาไท เธอเป็นกลุ่มคนแรกๆของไทยที่ถูกกล่าวหาภายใต้ พรบ.คอมพิวเตอร์ฯ ข้อหาเธอรึ? มีคนไปแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถาบันบนเว็บบอร์ดของเธอ และเธอไม่ได้ลบข้อความดังกล่าวเร็วพอ ถ้าถูกตัดสินว่าผิดจริงตลอดข้อกล่าวหาทุกข้อ เธอจะถูกจำคุกถึง 50 ปี"

ข่าวอื่นๆ

- Webmaster of popular Thai news website arrested on return from Internet freedom conference / The Canadian Press / 24 Sep

- Thai webmaster arrested for second time / AP / 24 Sep
Webmaster of popular Thai news website arrested on return from Internet freedom conference


- Police arrest Thai Web editor on anti-crown charge / Committee to Protect Journalists (CPJ) / Sep 24

- The Arrest of Chiranuch Premchaiporn / Giles Ji Ungpakorn / robertamsterdam.com / Sep 24

- Rights groups condemn arrest of Thai Internet editor / AFP / Sep 25

- Censoring Liberty in Thailand / Mark Belinsky / Digital Democracy / Sep 24

- Prachatai editor released on bail / Reporters without Borders / Sep 24

- Rights groups denounce arrest of Thai webmaster / THANYARAT DOKSONE / AP / Sep 25

หมายเหตุ: ตามข่าวล่าสุด มีการยืนยันว่าเธอได้รับการประกันตัวแล้วหลังปฏิเสธทุกข้อหา และทนายได้วางเงินประกันจำนวน 200,000 บาท เมื่อเวลาราวตีหนึ่งวันที่ 25 ก.ย.

บีบีซี: ประเทศไทยล้าสมัยกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่ยากจนกว่าในเรื่อง 3 จี

ที่มา Thai E-News

ที่มา บีบีซี
แปลโดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
23 กันยายน 2553

ความพยายามในการประมูลใบอนุญาตคลื่นโทรศัทพ์ 3G ครั้งสุดท้ายถูกสกัดกั้นหลังจากมีการอุทธรณ์จากบริษัทโทรคมนาคมของรัฐ

ปราก ฎการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของประเทศไทยที่กำลังตกต่ำล้าสมัยกว่าประเทศ เพื่อนบ้านที่ยากจนกว่า อย่างเช่น กัมพูชา และลาว ในเรื่องเทคโนโลยี 3G

เป็น หนึ่งในประเทศไม่กี่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังคงเริ่มต้นรู้จัก ประสิทธิภาพในยุคสมัยที่ 3 ซึ่งสามารถอัพโหลดและดาวน์โหลดข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันที่หลายประเทศในเอเชียที่เริ่มแนะนำระบบเทคโนโลยี 4G เข้ามาแล้ว

'ประเทศสุดท้าย'


ใบอนุญาต 3G จะทำให้ผู้ประกอบการเอกชนเสียค่าใช้จ่ายต่อบริษัทของรัฐในอัตราที่ต่ำลงกว่าสัญญาเดิม

บริษัท ของรัฐ ก.ส.ท. (CAT Telecom) ได้คัดค้านว่าเอกชนจะขาดทุนและคณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ (National Telecommunications Commission) ไม่มีอำนาจในการขายใบอนุญาต ซึ่งนำไปสู่คำสั่งศาลให้ผู้วางระเบียบระงับการประมูล

ประเทศไทยประชา สัมพันธ์ระบบ 3G ตั้งแต่ พ.ศ. 2546 แต่ความขัดแย้งทางการเมืองและกฎหมายได้ทำให้เกิดความยืดเยื้อ กล่าวโดย ราเชล ฮาวี บี บี ซี กรุงเทพฯ

นักวิเคราะห์กล่าวว่าความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้อาจจะทำให้การให้บริการ 3G ล่าช้าไปอีก 2 ปีข้างหน้า

“เรา เป็นประเทศท้าย ๆ ของเทคโนโลยีนี้แล้ว ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา ก้าวหน้ากว่าเราแล้ว” ปัญกิต เชาวมูล นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นของบริษัท ซิกโก ซีคิวริตี กรุงเทพฯ กล่าว

จับผอ.ประชาไทในสุวรรณภูมิส่งขอนแก่น ชมรมนักข่าวเสรีภาพกระตุกสมาคมสื่อ-นักสิทธิอย่าอมสาก

ที่มา Thai E-News


เวลา 00.58น. วันที่ 25 ก.ย. 53 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผอ.เว็บไซต์ประชาไทได้รับอนุญาตให้ประกันตัวแล้ว โดยวางหลักทรัพย์เป็นเงินสด 200,000 บาท ทั้งนี้ ระหว่างสอบปากคำ น.ส.จีรนุช ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา(ภาพข่าว:ประชาไท)

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
24 กันยายน 2553

ระบอบเผด็จการหุ่นเหลิง!จับผอ.ประชาไท

วันนี้ เวลา14.30น. เจ้าหน้าที่ได้จับกุมน.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ หลังเดินทางกลับจากการประชุมเรื่อง Internet at Liberty 2010 ที่ประเทศฮังการี โดยแจ้งว่ามีหมายจับจากศาล จ.ขอนแก่น จากนั้นได้นำตัวขึ้นรถยนต์เพื่อนำไปส่งตัวสภอ.เมืองขอนแก่น

มี รายงานข่าวว่าหลังจากเดินทางไปถึงขอนแก่นช่วงกลางดึกคือเกือบ 1 นาฬิกา น.ส.จีรนุช ได้รับการประกันตัวแล้ว โดยใช้เงินสด 200,000 บาท เป็นหลักประกัน ทั้งนี้องค์กรด้านสิทธิสื่อในต่างประเทศและมิตรสหายได้รณรงค์ให้ปล่อยตัวเธอ ผ่านhttp://freejiew.blogspot.com อย่างกว้าง ขวาง แต่สมาคมสื่อกระแสหลัก และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนของไทยเลือกที่จะเงียบเฉย ซึ่งเป็นปฏิกริยาปกติต่อสื่อที่พวกเขาเห็นว่าเป็นพวกเสื้อแดง หรือเห็นอกเห็นใจเสื้อแดง

หมายจับคดีนี้มีผู้กำกับการ สภ.อ.ขอนแก่นแจ้งดำเนินคดีกล่าวหาว่าน.ส.จีรนุชเป็นผู้ดูแลระบบร่วมกับผู้ ใช้กระทำความผิดมาตรา 14และ15พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เป็นการดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายสถาบันกษัตริย์

ประชาไทเป็นหนังสือ พิมพ์ออนไลน์ที่นำเสนอข่าวสารอย่างรอบด้าน รวมทั้งฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล ถูกศอฉ.สั่งปิดด้วยประกาศฉุกเฉินตั้งแต่7เม.ย.เป็นต้นมา แต่หลังจากนั้นโดยไม่มีคำสั่งยกเลิกใดๆ คนอ่านสามารถเข้าอ่านประชาไทได้ตามปกติ

ระบอบเผด็จการหุ่นเชิดอภิสิทธิ์เคยจับกุมน.ส.จีรนุชหลายหน โดยตั้งข้อหาจำคุกรวมกันมากกว่า 50 ปี

เปิดกรุแจ้งความตั้งแต่เมษา51เพิ่งโผล่จับตอนนี้

คดี สืบเนื่องจากกรณีที่ นายสุนิมิต จิระสุข อายุ 36 ปี (ขณะนั้น) เจ้าของกิจการส่วนตัวชาวขอนแก่น เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภอ.เมืองขอนแก่น เมื่อวันที่ 28เมษายน 2551 เพื่อดำเนินคดีกับนายโชติศักดิ์ อ่อนสูง ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กรณีที่ไม่ยืนถวายความเคารพเมื่อได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์

นอก จากนี้ยังแจ้งความดำเนินคดีกับเว็บไซต์ "ฟ้าเดียวกัน" และเว็บไซต์ "ประชาไท" ซึ่งมีกระทู้เกี่ยวกับกรณีของนายโชติศักดิ์ ซึ่งนายสุนิมิตระบุว่า มีการแสดงความเห็นกว่า 90 ความเห็น มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการกระทำของนายโชติศักดิ์ แต่ส่วนใหญ่จะเห็นด้วย และแสดงถึงการต่อต้านระบบกษัตริย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ในฐานะคนไทยที่เคารพรักสถาบันกษัตริย์ พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้กระทรวงไอซีทีออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีดัง กล่าวด้วย

อ้างเป็นคดีร้ายแรงเลยไม่ต้องออกหมมายเรียก จับเลย

มติชนออนไลน์รายงาน ว่า นายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บ.ก.ข่าวเว็บไซต์ประชาไท เปิดเผย เมื่อเวลา 17.20น. ว่า ตนเองอยู่ระหว่างเดินทางไปประกันตัว น.ส. นส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท ที่จ.ขอนแก่น และทางประชาไทไม่เคยได้รับหมายเรียกแต่อย่างใด อย่างไร ก็ตาม ทราบว่า น.ส.จีรนุช ถูกควบคุมตัวไปยัง สภ.เมืองขอนแก่นด้วยรถตำรวจ เมื่อเวลา 17.00 น. โดยมีเพื่อนไปด้วยอีก 1 คนคือ นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล

ด้าน พ.ต.ท.ชัชพงษ์ พงษ์สุวรรณ์ พนักงานสอบสวน(สบ.2) สภ.เมืองขอนแก่น 1 ในคณะพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าว เปิดเผยว่า มีผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษ น.ส.จีรนุช ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตั้งแต่ปี 2551 โดย มีการดำเนินการพิจารณาความผิด ผ่านที่ประชุมคณะกรรมการตำรวจภูธรภาค 4 และขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินคดีในชั้นของ กองคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนกรณีที่ไม่มีหมายเรียกไปยัง น.ส.จีรนุช ก่อนหน้านี้นั้น พ.ต.ท.ชัชพงษ์ กล่าวว่า เป็นคดีที่ไม่ต้องออกหมายเรียก เพราะมีอัตราโทษร้ายแรง

ชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพประณามรัฐ กระตุกสมาคมสื่อ,นักสิทธิอย่าเฉย

ชมรม นักข่าวเพื่อเสรีภาพประณามกรณีจับผอ.ประชาไทและปิดเรดพาวเวอร์ จี้ให้ถอนคดีโดยทันที พร้อมลงโทษตำรวจที่ทำคดีเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่เลว ชี้ประชาไทได้ทำหน้าที่กำกับดูแลตนเองอย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว เหมือนที่สื่อกระแสหลักมักเรียกร้องไม่ให้อำนาจรัฐเข้าแทรกแซง พร้อมทั้งเรียกร้องให้สมาคมด้านสื่อ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน รวมทั้งสภาทนายความอย่าเพิกเฉย

นายรุ่งโรจน์ วรรณศูทร กรรมการบริหาร ชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย เปิดเผยว่า ชมรมได้ออกแถลงการณ์ฉบับหนึ่งระบุว่า ตามที่มีการจับกุมดำเนินคดีน.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเวบไซต์ประชาไท ด้วยข้อกล่าวหากระทำผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฐานเป็นผู้ดูแลระบบร่วมกับผู้ใช้กระทำผิดหมิ่นอาฆาตมาดร้ายสถาบันกษัตริย์ เกิดความผิดเมื่อวันที่ 27 เมษายนนั้น

ประชาชนและวิญญูชนย่อมทราบกัน ดีว่า เวบไซต์ประชาไทนั้นเป็นสื่อทางเลือกบนระบบอินเตอร์เน็ตที่นำเสนอข้อมูลข่าว สารความเห็นอย่างรอบด้าน และทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาแสดงความคิดเห็นในกระดานสนทนา(เว็บบอร์ด )ได้ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะมีทัศนะทางการเมืองอย่างใด แต่ในสถานการณ์การเมืองที่เกิดวิกฤตการณ์ในระยะที่ผ่านมานั้น ทำให้ผู้ดูแลควบคุมดูแลเว็บบอร์ดได้ยากลำบาก กระทั่งได้ตัดใจปิดเว็บบอร์ดลงเองเมื่อสิ้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

ดัง นั้นการอ้างเหตุในการจับกุมดำเนินคดีในคราวนี้จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาไม่ สุจริตของเจ้าหน้าที่ และรัฐบาลผู้กำกับดูแล และไม่สอดคล้องต่อข้อเท็จจริงที่ว่าน.ส.จีรนุชได้แสดงความรับผิดชอบในการ กำกับดูแลตัวเองอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ดังที่สื่อมวลชนกระแสหลักมักอ้างเรื่องจะ”กำกับดูแลตนเอง”เพื่อไม่ให้อำนาจ รัฐแทรกแซงหรือครอบงำ

จึงขอเรียกร้องดังนี้

1.เจ้าหน้าที่ ตำรวจต้องถอนการดำเนินคดีโดยทันทีเป็นอันดับแรก และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและรัฐบาลควรต้องลงโทษตำรวจ ที่ดำเนินคดีน.ส.จีรนุชเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างในทางที่เลวเช่นนี้อีก

2.รัฐบาล ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯที่กำกับดูแลเรื่องสื่อคือนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ต้องเร่งให้หลักประกันต่อเสรีภาพของสื่อสารมวลชนว่าจะไม่มีคดีที่ไร้เหตุผล ทำนองนี้อีก รวมทั้งศอฉ.สมควรต้องยกเลิกประกาศปิดสื่อต่างๆทั้งวิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต นับแต่ประกาศปิดมาตั้งแต่วันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา เพราะเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ ขัดต่อบทบีญญัติรัฐธรรมนูญ ละเมิดสิทธิเสรีภาพของสื่อ รวมทั้งต้องยกเลิกการกระทำเผด็จการปิดแท่นพิมพ์ของred powerด้วย เพราะน่าลายที่มีการกระทำเผด็จการด้อยพัฒนาป่าเถื่อนเช่นนี้

3.สมาคม ที่เกี่ยวข้องกับสื่อ ทั้งสมาคมนักข่าวยนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทยพึงต้องแสดงความกระตือรือร้นที่ จะต้องออกมาแสดงบทบาทพิทักษ์ปกป้องเสรีภาพของสื่อสารมวลชนโดยเร็ว โดยไม่เลือกปฏิบัติ

4.หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนทั้งภาครัฐ อย่างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือสภาทนายความ หรือองค์กรรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนพึงต้องแสดงความกระตือรือร้นที่จะต้องออก มาแสดงบทบาทพิทักษ์ปกป้องเสรีภาพของสื่อสารมวลชนโดยเร็ว โดยไม่เลือกปฏิบัติ

นายรุ่งโรจน์ วรรณศูทร

กรรมการบริหาร

ชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย


หมายเหตุ:เกี่ยวกับชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย

'สุภิญญา' ระบุกระบวนการจับกุม 'จีรนุช' ไม่ปกติ พบหมายจับออกตั้งแต่ปี 52

ประชาไท รายงาน ว่า น.ส.สุภิญญา กลางรณรงค์ กรรมการเครือข่ายพลเมืองเน็ต แสดงความเห็นกรณีการจับกุมตัว น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท หลังกลับจากการประชุมเรื่องเสรีภาพอินเทอร์เน็ต ที่สนามบินสุวรรณภูมิว่า การจับกุมครั้งนี้ไม่ปกติหลายอย่าง โดยมีความสับสนในรายละเอียดปีของคดี และมีการออกหมายจับเมื่อปี 52 แต่ตำรวจกลับมาจับกุมที่สนามบิน

ทั้ง นี้ น.ส.สุภิญญามองว่า การมาจับตอนนี้ถือเป็นวิธีที่ไม่ชาญฉลาด เพราะจะทำให้ประเด็นนี้เป็นที่สนใจไปทั่วโลกและเป็นที่จับตา เนื่องจากจีรนุชเพิ่งกลับจากการร่วมประชุมเวทีระดับโลก 2 เวทีคือ การประชุมเรื่องธรรมาภิบาลอินเทอร์เน็ต ซึ่งจัดโดยสหประชาชาติ ที่ลิทัวเนีย และสัมมนาเรื่องเสรีภาพอินเทอร์เน็ต ที่สนับสนุนโดยกูเกิ้ล ที่ฮังการี

นอกจากนี้ จีรนุชถูกดำเนินคดีในฐานะที่เป็นตัวกลาง ซึ่งเรื่องตัวกลางกับการรับผิดแทนคนอื่นนั้นยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันใน ระดับโลก ทั้งนี้ จีรนุชเองมีคดีในชั้นศาลที่จะต้องสืบคดีอยู่แล้วในเดือนหน้า ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องทำการจับกุม ไม่เป็นผลดีต่อใคร โดยเฉพาะรัฐไทยซึ่งจะถูกจับตา เพราะการไปร่วมงานประชุมเรื่องเสรีภาพแล้วถูกจับกุมขณะเดินทางกลับเข้า ประเทศนั้น ไม่เกิดขึ้นบ่อยในไทย การจับนี้เป็นเหมือนระฆังที่ดังไปทั่วโลก ในประเทศเอง ก่อให้เกิดบรรยากาศความกลัว ทั้งนี้ ประชาไทเองก็ถูกบล็อคเว็บไซต์ หลายคนเข้าถึงไม่ได้อยู่แล้ว และยังได้ยกเลิกให้บริการเว็บบอร์ดไปก่อนหน้านี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาไทได้ถอยมาและต้องเจอกับความเสี่ยงจากคดีต่างๆ อยู่แล้ว

น.ส.สุภิญญา กล่าวว่า ในส่วนของเครือข่ายพลเมืองเน็ต ก่อนหน้านี้ ได้ประสานกับทนายความและองค์กรต่างๆ เพื่อช่วยเหลือด้านการประกันตัว และจะทวงถามรัฐบาลต่อไป เพราะคิดว่าเรื่องนี้ต้องมีคำอธิบาย ในส่วนกระแสในต่างประเทศต่อการจับกุมครั้งนี้ ขณะนี้ค่อนข้างรวดเร็วและรุนแรง โดยตนเองได้รับโทรศัพท์และอีเมลในเรื่องนี้จำนวนมาก ต่อจากนี้ก็คงจะมีท่าทีจากองค์กรต่างๆ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่สะท้อนถึงปัญหาสิทธิมนุษยชน ขณะที่ในอินเทอร์เน็ตเอง ตอนนี้ก็การรณรงค์ให้กำลังใจผ่านทางทวิตเตอร์ด้วย

น.ส.สุ ภิญญา กล่าวด้วยว่า สำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตนั้น ด้านหนึ่งมองว่าคงจะต้องระวังตัวเอง เพราะกฎหมายมีความเข้มงวด ขณะเดียวกัน ผู้ใช้เน็ตก็ควรแสดงความห่วงใยหรือถามถึงความชัดเจนในการดำเนินคดีต่างๆ ที่ต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนมากขึ้น เพราะกระบวนการเหล่านี้อาจกระทบกับผู้ใช้เองได้โดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้สร้างเว็บ http://freejiew.blogspot.com/ เพื่อดึงข้อความจากทวิตเตอร์ ซึ่งทวีตข้อความและใส่แท็ก #freejiew รวมถึงรวบรวมข้อมูลข่าวเกี่ยวกับการจับกุมครั้งนี้ด้วย ขณะที่นักกิจกรรมและผู้อ่านประชาไทที่ทราบข่าว ได้นัดพบกันให้กำลังใจ น.ส.จีรนุช ที่หน้าสถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น ตรงข้ามห้างเซ็นโตซ่า ในเวลา 23.30น.

*******
ข่าวเกี่ยวเนื่อง:งานเข้า! สื่อต่างชาติระดมตีข่าว 'จีรนุช' โดนจับ

ปัญหาองค์การนำในขบวนการประชาธิปไตย(ตอน1)

ที่มา Thai E-News


ปรับขบวนก้าวรุดไปสู่ชัยชนะ-ไทย อีนิวส์เสนอรายงานข่าวชุด"ปรับขบวนก้าวรุดไปมุ่งสู่ชัยชนะ" ท่านผู้อ่านสามารถติดตามข่าวที่เกี่ยวเนื่องในซีรีส์ชุดนี้ได้ โดยคลิ้กอ่านเพิ่มเติมที่นี่


โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ที่มา ประชาไท
24 กันยายน 2553

บทเรียนสำคัญประการหนึ่งจากการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยในช่วงมีนาคม-พฤษภาคม 2553 คือปัญหาการจัดการองค์การนำของขบวน ได้แก่ ประเด็นว่าด้วยสถานะของทักษิณ ชินวัตร แกนนำ นปช. “แดงทั้งแผ่นดิน” และลักษณะการจัดตั้งของขบวนประชาธิปไตย


1. เกี่ยวกับทักษิณ ชินวัตร

ปัญหาที่โต้แย้งกันมายาวนานประการหนึ่งคือ สถานะของทักษิณ ชินวัตร ในขบวนการประชาธิปไตย

ข้อถกเถียงส่วนหนึ่งเห็นว่า ทักษิณเป็นเพียงนักการเมืองที่ถูกกระทำจากรัฐประหาร 19 กันยายน จึง จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวมวลชนเพื่อประโยชน์ตน และมีแต่ขบวนประชาธิปไตยต้องถอยห่างจากทักษิณเท่านั้น จึงจะพัฒนาเติบใหญ่เป็น “พลังประชาธิปไตยบริสุทธิ์” ได้ ความเห็นนี้มักจะมาจากปีกปัญญาชนฝ่ายประชาธิปไตย

ในทางตรงข้าม ก็มีความเห็นว่า ทักษิณ ชินวัตรคือผู้นำหนึ่งเดียวของฝ่ายประชาธิปไตย เป็นผู้ปฏิวัติสังคมที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิง “ระบอบ” มีสถานะเยี่ยงผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เช่น นายปรีดี พนมยงค์

เราจะเข้าใจสถานะ บทบาท และขีดจำกัดของทักษิณได้ก็โดยดูจากประวัติศาสตร์ ดังเช่นที่นักปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่ได้กล่าวไว้ว่า “
ผู้คนแต่ละรุ่นนั้นถูกสาปด้วยมรดกจากคนรุ่นก่อนและจากอดีตของตนเอง”


ทักษิณ ชินวัตรมีภูมิหลังเติบโตจากต่างจังหวัด และก็เช่นเดียวกับไพร่สามัญชนที่ไต่ระดับสู่ชนชั้นนำได้สำเร็จคือ อาศัยการศึกษาและเข้าสู่เครือข่ายของระบอบจารีตนิยม ผ่านโรงเรียนเตรียมทหารและเข้าสู่ราชการตำรวจ ถูกหล่อหลอมด้วยอุดมการณ์ของจารีตนิยมมาอย่างเหนียวแน่น แม้ภายหลังจะออกจากราชการมาทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ ก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยเครือข่ายราชการ รัฐวิสาหกิจและธุรกิจของจารีตนิยม ทั้งร่วมมือแบ่งปันผลประโยชน์และแข่งขันกัน ฉะนั้น ในทางอุดมการณ์การเมือง เขาจึงมีความโน้มเอียงทางจารีตนิยมเช่นเดียวกับสมาชิกชนชั้นนำอื่น ๆ นี่คือด้านที่เป็นจารีตนิยมล้าหลังของทักษิณ

แต่ พื้นภูมิหลังต่างจังหวัดที่ดิ้นรนมาอย่างยากลำบาก ภายหลังมีประสบการณ์ทางธุรกิจและความสัมพันธ์กับระบอบโลกาภิวัฒน์ของโลก ทำให้ทักษิณมองเห็นจุดเปราะบางของระบบเศรษฐกิจไทย เมื่อเข้าสู่การเมือง ก็ต้องอาศัยกระบวนการเลือกตั้งในระบอบรัฐสภาเพื่อเข้าสู่อำนาจ ท้ายสุดยังถูกกระทำร้ายจากรัฐประหาร 19 กันยายน ทำให้เขาเห็นความสำคัญของประชาธิปไตย การเลือกตั้ง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน นี่คือด้านที่เป็นประชาธิปไตยก้าวหน้าของทักษิณ

ลักษณะ สองด้านของทักษิณเป็นผลให้อุดมการณ์ทางการเมืองของเขามีลักษณะขัดแย้งกันเอง คือด้านหนึ่งก็ไม่กล้าแตกหักกับอำมาตยาธิปไตย ยังคงไว้ซึ่งเยื่อใย ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เพ้อฝันที่จะเจรจาต่อรองเพื่อประนีประนอมอยู่ร่ำไป ไม่ยอมรับความจริงว่า ฝ่ายเผด็จการต้องการทำลายตัวเขาอย่างถึงที่สุด ไม่มีความเชื่อมั่นว่า ฝ่ายประชาธิปไตยจะสามารถเอาชนะฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยได้ แม้เขาจะมีวิสัยทัศน์อันยอดเยี่ยมชัดเจนในการปฏิรูประบบเศรษฐกิจไทยตามแนว ทางทุนนิยมโลกาภิวัฒน์และมีความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยในเชิงนามธรรม แต่กลับไม่เข้าใจถึงลักษณะปฏิวัติและลักษณะที่ไม่อาจประนีประนอมกันได้ของการต่อสู้ทางชนชั้นและการต่อสู้สองแนวทางในขั้นตอนปัจจุบัน ไม่มีความชัดเจนในเป้าหมายของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และไม่มีวิสัยทัศน์รูปธรรมถึงการก่อรูประบอบประชาธิปไตยของไทยในอนาคต

แต่ ในอีกด้านหนึ่ง ทักษิณก็เล็งเห็นความจำเป็นที่จะต้องต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยเพื่อช่วง ชิงประชาธิปไตย ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ว่า ลำพังแต่เพียงกระบวนการเลือกตั้งและพรรคการเมืองในระบอบรัฐธรรมนูญ 2550 นั้นไม่เพียงพอที่จะต่อสู้เพื่อเอาชีวิตตนให้รอด และยิ่งไม่เพียงพอที่จะช่วงชิงประชาธิปไตย หากแต่ต้องอาศัยมวลชนก่อรูปเป็นขบวนประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง จึงจะสามารถต่อกรกับอำมาตยาธิปไตยได้

ท่าทีและจังหวะก้าวทางการเมืองของทักษิณ ชินวัตรจึงมีลักษณะไม่ชัดเจนและขัดแย้งในตัวเองเสมอมา คือ ด้านหนึ่งเขาให้การสนับสนุนและเข้าร่วมขบวนประชาธิปไตยอย่างเอาการเอางาน แต่ในอีกด้านหนึ่ง เขาก็ต่อสู้เพื่อต่อรองประนีประนอมเป็นหลัก ทั้งร้องขอ อ้อนวอน โดยหวังว่า ฝ่ายจารีตนิยมจะ “มีเหตุผล” พอที่จะยอมอ่อนข้อให้ฝ่ายประชาธิปไตย จังหวะก้าวของเขาในหลายครั้งเป็นเสมือนเอามวลชนไปต่อรองกับจารีตนิยม ก่อให้เกิดการถดถอยของขบวนประชาธิปไตยและความสับสนในหมู่มวลชน

ทักษิณ ชินวัตร มีสถานะเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยอย่างแน่นอน มวลชนนับล้านคนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงในช่วงการบริหารของเขาภายใต้รัฐ ธรรมนูญ 2540 ว่ามีแต่ระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งประโยชน์ของประชาชนส่วนข้าง มากของสังคม เปิดช่องให้ได้รับส่วนแบ่งอันชอบธรรมในโภคทรัพย์มวลรวมของประเทศเพื่อสิทธิ เสรีภาพ และความกินดีอยู่ดี ในแง่นี้ ทักษิณ ชินวัตรคือแรงบันดาลใจทางประชาธิปไตยของมวลชน

ทักษิณ ชินวัตร ยังมีสถานะเป็นผู้นำของขบวนประชาธิปไตยอีกด้วย แต่เขาไม่ใช่นักปฏิวัติสังคม เขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากการเจรจาต่อรอง เป็นนักการเมืองแนวทางปฏิรูปที่ยังขาดความชัดเจนเชิงรูปธรรมของแนวทาง ประชาธิปไตย ฉะนั้น สถานะ “ผู้นำประชาธิปไตย” ของทักษิณ ชินวัตรจึงมีขีดจำกัด ซึ่งฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องจัดการให้ถูกต้อง

“สถานะผู้นำประชาธิปไตย” ของทักษิณ ชินวัตรนั้น เป็นเชิงสัญลักษณ์ ไม่ใช่สถานะของผู้ชี้นำหรือผู้ชี้ขาดในทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธี อัน เนื่องมาจากขีดจำกัดข้างต้น อีกทั้งยังขาดประสบการณ์เคลื่อนไหวทางการเมืองในแนวทางมวลชน การที่เขาต้องอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน ยิ่งทำให้ไม่สามารถกุมสภาพของการต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทยได้อย่างถูก ต้อง การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ยุทธวิธีรูปธรรมในสภาพการณ์เช่นนี้จึงมีแนวโน้ม ผิดพลาดได้ง่าย

สถานะที่ถูกต้องของทักษิณในขบวนประชาธิปไตยจึงเปรียบเสมือนการดำรงตนเป็น “ประธานคณะกรรมการของบริษัท” คือ เป็นสัญลักษณ์และแรงบันดาลใจ รับรู้ทิศทางของขบวนประชาธิปไตย เข้าใจปัญหาทางหลักการและนโยบาย หนุนช่วยทุกวิถีทาง แต่ไม่บริหาร ไม่ลงสู่ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีรูปธรรม ไม่แทรกแซงและไม่ตัดสินใจแทนฝ่ายบริหาร


2. คณะแกนนำนปช. และกลุ่มสามเกลอ “ความจริงวันนี้”

ใน ช่วงหนึ่งปีหลังเหตุการณ์เมษายน 2552 แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) “แดงทั้งแผ่นดิน” ได้ก่อรูปเป็นคณะแกนนำขึ้น แต่แกนกลางหลักยังคงเป็นกลุ่มสามเกลอ “ความจริงวันนี้” แม้ นปช.จะพยายามพัฒนาการนำแบบรวมหมู่ขึ้น แต่ก็ยังไม่เข้มแข็ง และเมื่อกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งในช่วงมีนาคม-พฤษภาคม 2553 ก็ไม่อาจต้านทานกระแสการต่อสู้ที่สลับซับซ้อนได้

สาเหตุสำคัญคือ คณะแกนนำ นปช. มีเวลาในการสั่งสมประสบการณ์น้อยมาก มิได้ผ่านการต่อสู้ร่วมกันมายาวนานพอ ยังไม่สามารถหลอมรวมกันเป็นคณะนำที่เหนียวแน่น มีเอกภาพทางอุดมการณ์และแนวทางที่ชัดเจน เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เสี่ยงอันตรายที่จะต้องตัดสินใจเพื่อกำหนดความเป็น ความตาย ก็ไม่สามารถเห็นพ้องกันในทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธีได้ เกิดการแตกแยกภายใน สูญเสียการกุมสภาพมวลชนและสภาพการเคลื่อนไหวไปในที่สุด

ปัจจุบัน คณะแกนนำ นปช. “แดงทั้งแผ่นดิน” ได้หมดสภาพการเป็นแกนนำของขบวนประชาธิปไตย กลายเป็นนักโทษการเมือง พวกเขารวมทั้งมวลชนอีกจำนวนมากที่ถูกจับกุมคุมขังจะเป็นเป้าหมายที่ขบวนประชาธิปไตยจะต้องต่อสู้เพื่อให้ได้อิสรภาพ พร้อมกับการบรรลุประชาธิปไตยที่แท้จริงในที่สุด

บท เรียนสำคัญคือ ขบวนประชาธิปไตยยังอ่อนเล็กเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับฝ่ายเผด็จการได้โดยตรง นปช. “แดงทั้งแผ่นดิน” ยังไม่สามารถพัฒนาเป็นองค์กรแบบแผนที่เป็นเอกภาพ มีแนวทางบริหารทรัพยากรและการทำงานมวลชนอย่างเป็นระบบ หากแต่เป็นเพียงการเชื่อมโยงกันอย่างหลวม ๆ ระหว่างกลุ่มมวลชนในพื้นที่แกนนำพื้นที่กับคณะแกนนำนปช.ระดับชาติเท่านั้น

บทเรียนจากกลุ่มสามเกลอ “ความจริงวันนี้” คือ การเคลื่อนไหวมวลชนขนานใหญ่เพื่อบรรลุประชาธิปไตยนั้น ไม่อาจประสบชัยชนะได้ด้วยเพียงโวหารและการแสดงบนเวที จุดอ่อนของพวกเขาคือ ความโน้มเอียงไปในทาง “นำโดยตัวบุคคล” ขาดความเชื่อมั่นในการนำรวมหมู่ จุดแข็งของพวกเขาในหมู่มวลชนก็คือ พวกเขามีสัมพันธ์แนบแน่นกับทักษิณ ชินวัตร แต่จุดแข็งดังกล่าวก็กลายเป็นผลเสียเมื่อมีการดึงเอาทักษิณเข้ามาพัวพันกับ การตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธีเฉพาะหน้า กระทั่งอ้างเอาทักษิณมาขัดแย้ง หรือปฏิเสธมติของคณะแกนนำรวมหมู่ดังที่เกิดขึ้นเมื่อพฤษภาคม 2553 เป็นการทำลายหลักการประชาธิปไตยภายในขบวนเสียเอง และสร้างความเสียหายแก่การเคลื่อนไหวมวลชนในที่สุด

แกนนำ นปช. บางคนที่มิได้ถูกจับกุมคุมขังและยังเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยต่อไปได้ จะต้องสรุปบทเรียนความสำเร็จและจุดอ่อนที่ผ่านมาทั้งหมด รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างจากรอบด้าน ต้องไม่ดำเนินการซ้ำรอยเดิม ไม่หันไปสู่การนำส่วนบุคคลแบบวีรชนเอกชน จัดระยะห่างกับทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทยให้เหมาะสม

และที่สำคัญคือ เปิดใจร่วมมือกับมิตรสหายทั้งหลายในขบวน เพื่อเร่งปรับลักษณะองค์การนำ และการจัดตั้งของขบวนประชาธิปไตยใหม่ เพื่อกลับมาต่อสู้ไปบรรลุประชาธิปไตยในที่สุด

หมายเหตุ:อ่านบทวิจารณ์ของสมศักดิ์ เจียมธัรสกุล ที่มีต่อบทความนี้ คลิ้กที่นี่

*******

ข่าวเกี่ยวเนื่องว่าด้วยการ"ปรับขบวนก้าวรุดไปสู่ชัยชนะ":

-ควรปรับขบวนเสื้อแดงด้วยการตั้งองค์กรและแกนนำโฉมใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับทักษิณหรือไม่?

-สมศักดิ์:ทำไมคนเสื้อแดงจึงควรจัดตั้งองค์กรนำใหม่

ใบตองแห้งออนไลน์:อุดมการณ์กับยุทธศาสตร์

-ในความคิดคำนึง ทักษิณจะอยู่อย่างไร หากคนเสื้อแดงไม่เอา

-ทักษิณ…โปรดเลิกเลียนแบบสันดานเสื่อมๆ ของเทวดาทราม!

-‘ทักษิณ’ ทวีต 19 ก.ย.ขอคืนความปรองดอง

-ทักษิณทวิตเตอร์วอนกองเชียร์ให้ยุติวิจารณ์สถาบัน

-จักรภพสัมภาษณ์ABC:ทักษิณอาจจะยุติเคลื่อนไหว

Thursday, September 23, 2010

บก.ลายจุด:ยังไม่ถึงเวลาสร้างองค์กรนำเสื้อแดงใหม่

ที่มา Thai E-News


กิจกรรมวันอาทิตย์สีแดงในวันที่ 26 กย.. 2553 โดยกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง และ สมบัติ บุญงามอนงค์ (บก.ลายจุด)

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
23 กันยายน 2553

บก.ลายจุด-สมบัติ บุญงามอนงค์ แสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊ค ในหัวข้อเรื่อง ยังไม่ถึงเวลาของการสร้างองค์กรนำเสื้อแดงใหม่

ทั้งนี้บก.ลายจุดอ้างถึงการตั้งกระทู้ของดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในเว็บบอร์ดคนเหมือนกัน
ในหัวข้อเรื่องราช ประสงค์ 19 กันยา พิสูจน์ว่า ไอเดียเรื่อง "แกนนอน" และ "การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์" ของ บ.ก.ลายจุด มีข้อจำกัด และ ก้าวต่อไปที่จะดีที่สุดสำหรับคนเสื้อแดงในกรุงเทพและเขต ใกล้เคียง คือ จัดตั้งแกนนำขึ้นใหม่ ที่มี"โฉม"ใหม่ . .

บก.ลายจุดเขียนแสดงความคิดเห็นต่อข้อเสนอดังกล่าวนี้ว่า

ผม ยังเชื่ออยู่ ณ ขณะนี้ว่า ปัญหาเราไม่ได้อยู่ที่องค์กรนำ แต่อยู่มวลชนที่ยังขาดการจัดระบบให้แสดงศักยภาพของมวลชนได้ไม่ดีพอ ดังเ่ช่นแม่ทัพที่นำพาชาวบ้านไปต่อสู้ ย่อมไม่สามารถนำชัยชนะกลับมาได้ แต่ต้องฝึกชาวบ้านเป็นทหารและจัดรูปกองทัพเสียงก่อน ดังนั้นภาระกิจในหลายเดือนนี้คือ เปลี่ยนมวลชนเป็นผู้ปฏิบัติงาน เปลี่ยนสภากาแฟเป็นกลุ่มปฏิบัติการ

หากจะมีองค์กรนำขึ้นมาใหม่ ต้องไม่ใช่เพื่อล้มรัฐบาลในยามนี้ แต่ต้องกลับมาคิดเรื่องการบริหารจัดการขบวน ซึ่งมีมวลชนเป็นเป้าหมายหลัก การเสียเวลาไปกับการรบพุ่งกับฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป ทำให้เกิดความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น

ส่วนองค์กรนำจะเกิดขึ้นแน่นอน แต่ควรเกิดขึ้นหลังการปรับฐานได้ดำเนินการไปถึงระดับหนึ่งแล้วเท่านั้น


สำหรับ กระทู้ในเว็บบอร์ดคนเหมือนกันนั้น ดร.สมศักดิ์นำเสนอรายละเอียดว่า..ด้วยความนับถือในความกล้าหาญของ บ.ก.ลายจุด ที่ดำเนินการเคลื่อนไหวแบบ "สัญลักษณ์" ในระยะ 3-4 เดือนที่ผ่านมา ผมคิดว่าการชุมนุมที่ราชประสงค์เมื่อวันอาทิตย์ ได้พิสูจน์ยืนยันว่า ทั้งแนวคิด ("แกนอน") และวิธีการต่อสู้ ("เชิงสัญลักษณ์") ที่ บ.ก.ลายจุด พูดในหลายแห่ง (โดยเฉพาะดูคำสัมภาษณ์ขนาดยาว ใน โพสต์ทูเดย์ วันอาทิตย์ที่ผ่านมา และขนาดสั้นใน Bangkok Post หน้า 3 วันนี้)

มีข้อจำกัด ที่ "ไม่เพียงพอ"

"ไม่เพียงพอ" สำหรับอะไร?

มอง ในแง่ของกฎหมาย พรก. ที่บังคับใช้ในขณะนี้ อาจจะมองว่า "เพียงพอ" แล้ว คือ "ทำได้มากสุดในระดับนี้" แต่ผมคิดว่า ประเด็นกฎหมาย พรก. ไม่ใช่ประเด็นชี้ขาด

ที่สำคัญที่เสนอว่า "ไม่เพียงพอ" คือ "ไม่เพียงพอ" เมื่อเปรียบเทียบกับ "ฐานมวลชน" เสื้อแดง ที่มีอยู่

ในความเห็นของผม และในโลกที่ ideal สิ่งที่ ขบวนการเสื้อแดง ควรทำให้เกิดขึ้นคือ

จัดตั้งกลุ่มแกนนำขึ้ั้นใหม่ อาจจะตั้งชื่อทำนองว่า"คณะกรรมการชั่วคราวประสานงานคนเสื้อแดง" หรือ มีคนเสนอตัวออกมาจัดตั้งกลุ่มแกนนำขึ้นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับเสื้อแดงในกรุงเทพฯ และเขตใกล้เคียง

กลุ่มแกนนำใหม่ นี้ (ย้ำ "ในโลกที่ ideal") ควรต้องมีองค์ประกอบใหม่ ไม่ใช่องค์ประกอบเดิม ("3 เกลอ" นักการเมือง ทีใกล้ชิดทักษิณ)

"ใน โลกที่ ideal" ของผม พูดอย่างเป็นรูปธรรม แกนนำใหม่นี้ น่าจะประกอบไปด้วย (หรือคนเหล่านี้ น่าจะสามารถเสนอตัว และริเริ่มจัดตั้งกันขึ้นเป็นแกนนำใหม่) บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับแกนนำเก่าโดยตรง หรือมากนัก

ตัว บ.ก.ลายจุด เองเป็นตัวอย่างที่ดีของบุคคลในลักษณะที่ผมพูดนี้ ถ้าให้ผมสมมุติ "แกนนำใหม่" อาจจะประกอบด้วย คนเหล่านี้ บ.ก.ลายจุด, คุณสมยศ (พฤกษาเกษมสุข), จาตุรนต์ ฉายแสง (ทั้ง 3 คนนี้ เพื่อ "เชื่อม" กับเสื้อแดงเดิม โดยเฉพาะคุณสมยศ และจาตุรนต์) แล้วบวกด้วย คนอย่างเช่น "ใบตองแห้ง" , นักวิชาการปัญญาชนสัก 1-2 คน ซึ่งผมนึก "เล่นๆ" ถึง ปิยบุตร( แสงกนกกุล), ตัวแทนจาก สนนท. 1 คน

"ภาพ สมมุติ" กลุ่มแกนนำใหม่ : สมบัติ (หนูหริ่ง), ใบตองแห้ง, ปิยบุตร, จาตุรนต์, สมยศ (และอาจจะปัญญาชนนักวิชาการอีก 1-2 คน ผมพยายามนึกถึงกลุ่มสันติประชาธรรมบางคน อย่างประจักษ์)


กลุ่มแกนนำใหม่นี้ ตั้่งขึ้นมาทำไม หรือทำอะไร?

ตั้่ง ขึ้นมาเพื่อ "เสนอตัว" เป็น "โฆษก" และ "นำ" ทางความคิด-การเมือง ให้กับ และในนาม "เสื้อแดง" รวมไปถึงจัดกิจกรรม (ในลักษณะคล้ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่จะไม่ใช่กิจกรรมหลัก)

ตอบโต้รัฐบาล, ดูแล ออกสื่อประชาสัมพันธ์ ในรูปแบบต่างๆ (จดหมายข่าว, รายการทีวี ฯลฯ)


ฯลฯ ฯลฯ

(กระทู้นี้ เขียนโดยไม่ "ตกผลึก" อย่างยิ่ง กรุณาอ่าน ด้วยสปิริต แบบเดียวกัน)
********

สมศักดิ์:ไอเดีย"แกนนอน" และ "การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์"มีข้อจำกัด เสนอตั้งแกนนำ"โฉม"ใหม่

ที่มา Thai E-News


โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ที่มา บอร์ดคนเหมือนกัน

ราช ประสงค์ 19 กันยา พิสูจน์ว่า ไอเดียเรื่อง "แกนนอน" และ "การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์" ของ บ.ก.ลายจุด มีข้อจำกัด และ ก้าวต่อไปที่จะดีที่สุดสำหรับคนเสื้อแดงในกรุงเทพและเขต ใกล้เคียง คือ จัดตั้งแกนนำขึ้นใหม่ ที่มี"โฉม"ใหม่ . .

ด้วยความนับถือ ในความกล้าหาญของ บ.ก.ลายจุด ที่ดำเนินการเคลื่อนไหวแบบ "สัญลักษณ์" ในระยะ 3-4 เดือนที่ผ่านมา ผมคิดว่าการชุมนุมที่ราชประสงค์เมื่อวันอาทิตย์ ได้พิสูจน์ยืนยันว่า ทั้งแนวคิด ("แกนอน") และวิธีการต่อสู้ ("เชิงสัญลักษณ์") ที่ บ.ก.ลายจุด พูดในหลายแห่ง (โดยเฉพาะดูคำสัมภาษณ์ขนาดยาว ใน โพสต์ทูเดย์ วันอาทิตย์ที่ผ่านมา และขนาดสั้นใน Bangkok Post หน้า 3 วันนี้)

มีข้อจำกัด ที่ "ไม่เพียงพอ"

"ไม่เพียงพอ" สำหรับอะไร?

มอง ในแง่ของกฎหมาย พรก. ที่บังคับใช้ในขณะนี้ อาจจะมองว่า "เพียงพอ" แล้ว คือ "ทำได้มากสุดในระดับนี้" แต่ผมคิดว่า ประเด็นกฎหมาย พรก. ไม่ใช่ประเด็นชี้ขาด

ที่สำคัญที่เสนอว่า "ไม่เพียงพอ" คือ "ไม่เพียงพอ" เมื่อเปรียบเทียบกับ "ฐานมวลชน" เสื้อแดง ที่มีอยู่

ในความเห็นของผม และในโลกที่ ideal สิ่งที่ ขบวนการเสื้อแดง ควรทำให้เกิดขึ้นคือ

จัดตั้งกลุ่มแกนนำขึ้ั้นใหม่ อาจจะตั้งชื่อทำนองว่า"คณะกรรมการชั่วคราวประสานงานคนเสื้อแดง" หรือ มีคนเสนอตัวออกมาจัดตั้งกลุ่มแกนนำขึ้นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับเสื้อแดงในกรุงเทพฯ และเขตใกล้เคียง

กลุ่มแกนนำใหม่ นี้ (ย้ำ "ในโลกที่ ideal") ควรต้องมีองค์ประกอบใหม่ ไม่ใช่องค์ประกอบเดิม ("3 เกลอ" นักการเมือง ทีใกล้ชิดทักษิณ)

"ใน โลกที่ ideal" ของผม พูดอย่างเป็นรูปธรรม แกนนำใหม่นี้ น่าจะประกอบไปด้วย (หรือคนเหล่านี้ น่าจะสามารถเสนอตัว และริเริ่มจัดตั้งกันขึ้นเป็นแกนนำใหม่) บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับแกนนำเก่าโดยตรง หรือมากนัก

ตัว บ.ก.ลายจุด เองเป็นตัวอย่างที่ดีของบุคคลในลักษณะที่ผมพูดนี้ ถ้าให้ผมสมมุติ "แกนนำใหม่" อาจจะประกอบด้วย คนเหล่านี้ บ.ก.ลายจุด, คุณสมยศ (พฤกษาเกษมสุข), จาตุรนต์ ฉายแสง (ทั้ง 3 คนนี้ เพื่อ "เชื่อม" กับเสื้อแดงเดิม โดยเฉพาะคุณสมยศ และจาตุรนต์) แล้วบวกด้วย คนอย่างเช่น "ใบตองแห้ง" , นักวิชาการปัญญาชนสัก 1-2 คน ซึ่งผมนึก "เล่นๆ" ถึง ปิยบุตร( แสงกนกกุล), ตัวแทนจาก สนนท. 1 คน

"ภาพ สมมุติ" กลุ่มแกนนำใหม่ : สมบัติ (หนูหริ่ง), ใบตองแห้ง, ปิยบุตร, จาตุรนต์, สมยศ (และอาจจะปัญญาชนนักวิชาการอีก 1-2 คน ผมพยายามนึกถึงกลุ่มสันติประชาธรรมบางคน อย่างประจักษ์)


กลุ่มแกนนำใหม่นี้ ตั้่งขึ้นมาทำไม หรือทำอะไร?

ตั้่ง ขึ้นมาเพื่อ "เสนอตัว" เป็น "โฆษก" และ "นำ" ทางความคิด-การเมือง ให้กับ และในนาม "เสื้อแดง" รวมไปถึงจัดกิจกรรม (ในลักษณะคล้ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่จะไม่ใช่กิจกรรมหลัก)

ตอบโต้รัฐบาล, ดูแล ออกสื่อประชาสัมพันธ์ ในรูปแบบต่างๆ (จดหมายข่าว, รายการทีวี ฯลฯ)


ฯลฯ ฯลฯ

(กระทู้นี้ เขียนโดยไม่ "ตกผลึก" อย่างยิ่ง กรุณาอ่าน ด้วยสปิริต แบบเดียวกัน)
********

กิจกรรมวันอาทิตย์สีแดงในวันที่ 26 กย.. 2553 โดยกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง และ สมบัติ บุญงามอนงค์ (บก.ลายจุด)