ชื่อบทความเดิม:
วัฒนธรรมโปรโมทความดี/คนดีและการหลอกตัวเองทางศีลธรรม กับปัญหาการเมืองและศาสนาในสังคมไทย
(ปรับจากบทความชื่อเดียวกัน
เสนอในการสัมมนาวิชาการประจำปีของสมาคมปรัชญาและศาสนาแห่งประเทศไทย
ครั้งที่ 17 วันที่ 25 ต.ค.55 ณ คณะอักษรศาสตร์ ม.ศิลปากร นครปฐม)
...............................
วัฒนธรรมโปรโมทความดี/คนดี หมายถึง
การส่งเสริมความดี/คนดีในความหมายเชิงจารีตประเพณี
โดยการปลูกฝังอบรมผ่านระบบการศึกษา กลไกรัฐ ศาสนา กิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรม
การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน ฯลฯ บทความนี้ต้องการสำรวจว่า
วัฒนธรรมโปรฯความดี/คนดีสะท้อนภาวะ “การหลอกตัวเองทางศีลธรรม” อย่างไร
และส่งผลกระทบต่อปัญหาทางการเมืองและศาสนาในสังคมไทยอย่างไร
1.ศูนย์กลางของวัฒนธรรมโปรโมทความดี/คนดี คือสถาบันกษัตริย์ และพุทธมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์
1.1 สถาบันกษัตริย์ถูกนิยามว่า มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นไทย ความรุ่งเรืองทางศาสนา ศิลปวัฒนธรรม
และเกียรติยศของชาติ พระมหากษัตริย์เป็นทั้งผู้ปกครอง และเป็น
“ผู้นำทางจิตวิญญาณ” จึงถูกอ้างอิงเป็น “ศูนย์กลางทางศีลธรรมแห่งรัฐ”
ในความหมายสำคัญ คือ 1) เป็นผู้มีบุญคุณต่อพสกนิกร หรือเป็น
“พ่อของแผ่นดิน” ที่พสกนิกรต้องกตัญญูรู้บุญคุณ 2)
เป็นสมมติเทพผู้ทรงทศพิธราชธรรมที่พสกนิกรต้องจงรักภักดี 3)
เป็นแบบอย่างและเป็นแรงบันดาลใจในการทำความดีของพสกนิกร ดังกระแสค่านิยม
“ทำดีเพื่อพ่อ” และ 4) เป็นผู้สอนศีลธรรม ดังพระบรมราโชวาทในโอกาสต่างๆ
เป็นต้น
แต่สถานะของสถาบันกษัตริย์ใน
“ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” นั้น กษัตริย์ถูกกำหนดให้
“อยู่เหนือการเมือง” โดยรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ในความหมายว่า
พ้นไปจากการบริหารบ้านเมืองและความเป็นฝักฝ่ายทางการเมือง จึงเป็นที่
“เคารพสักการะที่ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้” เพราะกษัตริย์ทำอะไรไม่ผิด (the
king can do no wrong) ในความหมายว่า
ไม่ได้ทรงทำอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องการบริหารบ้านเมืองด้วยพระองค์เอง
เพราะมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการเป็นผู้กระทำและรับผิดชอบการกระทำนั้นๆ
แทน ตามกฎหมายบัญญัติ
[1]
ปัญหาคือ “อยู่เหนือการเมือง” ขอบเขตอยู่ตรงไหน การเมืองมีความหมายแคบๆ
แค่การลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งขันเพื่อมีอำนาจรัฐเท่านั้นหรือ เรื่องอื่นๆ
ที่ใช้งบประมาณของรัฐ ใช้กลไกรัฐในการขับเคลื่อน
และกระทบต่อประโยชน์สาธารณะเป็นการเมืองหรือไม่ เช่น
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นนโยบายแห่งรัฐ
โครงการพระราชดำริต่างๆ ที่ใช้งบประมาณของรัฐจำนวนมาก
อำนาจเหนือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งรับผิดชอบทรัพยากรแผ่น
ดินมูลค่ามหาศาล ฯลฯ เรื่องต่างๆ
เหล่านี้ถูกตั้งคำถามว่าเป็นการเมืองที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะหรือ
ไม่ ถ้าเป็นการเมืองและเป็นเรื่องที่กระทบต่อประโยชน์สาธารณะ
ก็ควรถูกวิจารณ์ตรวจสอบความสุจริต โปร่งใส ประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า
ความรับผิดชอบ (เป็นต้น) ได้ใน “มาตรฐานเดียว”
กับที่วิจารณ์ตรวจสอบนักการเมือง และบุคคลสาธารณะอื่นๆ ไม่ใช่หรือ
แต่ภายใต้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ที่ไม่มีการจำแนกให้ชัดเจนระหว่างอะไรคือหมิ่นประมาท
กับอะไรคือการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบโดยสุจริตเพื่อประโยชน์สาธารณะทำให้
สถานะของสถาบันกษัตริย์อยู่เหนือการตรวจสอบ
ประชาชนไม่มีเสรีภาพในการวิจารณ์ตรวจสอบเรื่องต่างๆ เหล่านี้ (เป็นต้น)
ได้เลย
1.2 พุทธศาสนาตามที่เป็นอยู่จริงในบ้านเราคือ พุทธศาสนาที่ธงชัย วินิจจะกูล เรียกว่า “พุทธมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์”
[2]
รูปธรรมของพุทธที่ว่านี้คือ “พุทธราชาชาตินิยม + พุทธพราหมณ์” หมายถึง
พุทธเถรวาทไทยที่ถูกตีความสนับสนุนอุดมการณ์ราชาชาตินิยมว่า
กษัตริย์เป็นสมมติเทพ ทรงทศพิธราชธรรม เป็นศาสนาที่ขึ้นต่อรัฐ
โดยรัฐออกกฎหมายสถาปนาองค์กรปกครองสงฆ์ เรียกว่า “มหาเถรสมาคม”
ที่ขึ้นต่อระบบอาวุโสทางสมณศักดิ์ โดยระบบสมณศักดิ์ขึ้นต่อ “พระราชอำนาจ”
ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับสถาบันกษัตริย์เนื่องด้วยเหตุผลเรื่องความ
มั่นคงแห่งรัฐตามอุดมการณ์ "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
วัดมีบทบาทส่งเสริมความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ผ่านการเทศนาอวยคุณงาม
ความดีของสถาบันกษัตริย์ และผ่านพิธีกรรมต่างๆ ในวันสำคัญของสถาบันกษัตริย์
วันสำคัญทางศาสนา และอื่นๆ
มายาคติของพุทธมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์คือ
การที่พุทธศาสนาถูกตีความสนับสนุนราชาธิปไตยมาเป็นพันๆ ปี
พระสงฆ์ปัจจุบันเทศนาอวยสถาบันกษัตริย์ วัดต่างๆ
ทำกิจกรรมส่งเสริมความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์
หรือการที่พระสงฆ์ต้องรับสมณศักดิ์
ซึ่งเป็นฐานันดรศักดิ์อย่างหนึ่งโดยการสถาปนาของกษัตริย์
การบริหารคณะสงฆ์ต้องขึ้นต่ออำนาจรัฐซึ่งมีผลกระทบต่อหลักการสำคัญของพุทธ
ศาสนาที่ถือว่า
“สังฆะ” ไม่มีระบบชนชั้น ไม่มีฐานันดรศักดิ์ หรือไม่มีอำนาจรัฐในมือ เป็นต้น อะไรต่างๆ เหล่านี้ไม่ถูกมองว่า “พุทธศาสนายุ่งเกี่ยวการเมือง”
แต่ถ้ามีการตีความหลักการของพุทธศาสนาสนับสนุนประชาธิปไตย
และการเรียกร้องเสรีภาพ ความเสมอภาค
จะถูกมองว่าดึงพุทธศาสนามายุ่งเกี่ยวการเมืองทันที
อีกประการหนึ่งการอ้างทศพิธราชธรรมยกย่องเจ้า แต่ยอมรับเงื่อนไข
“อยู่เหนือการตรวจสอบ” ของสถาบันกษัตริย์
ย่อมขัดแย้งกับหลักการพุทธศาสนาเอง เช่น หลักกาลามสูตรที่ถือว่า
“เราจะยอมรับว่าอะไรจริง ก็ต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่ามันจริง”
และตามหลักอริยสัจนั้น เราจะแก้ปัญหาต่างๆ ได้
จำเป็นต้องรู้ความจริงของปัญหานั้นๆ ก่อน ทว่าความจริงของสถาบันกษัตริย์
ไม่ว่าจะเป็นความจริงด้านบวกหรือลบ ไม่มีทางที่ประชาชนจะ “รู้”
ได้ด้วยการพิสูจน์/ตรวจสอบเลย
ฉะนั้น ศูนย์กลางของวัฒนธรรมโปรฯความดี/คนดี
คือสถาบันกษัตริย์และพุทธมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ที่อย่างแรกอยู่เหนือการวิจารณ์ตรวจสอบ
และอย่างหลังสนับสนุนค้ำจุนสถานะเหนือการตรวจสอบ
จึงถูกตั้งคำถามมากขึ้นว่าคือรากฐานของ “วัฒนธรรมหลอกตัวเองทางศีลธรรม”
หรือไม่
และส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อปัญหาทางการเมืองและศาสนาในบ้านเราอย่างไร
บ้าง
2.ชุดความดีและคุณค่าของความดี/คนดีตามอุดมการณ์ราชาชาตินิยม และพุทธมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์
2.1 ชุดความดี/คนดีตามนิยามของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ คือตัวอย่างของ
“ชุดความดี/คนดีเชิงบรรทัดฐานตามอุดมการณ์ราชาชาตินิยม”
ดังที่เขาได้ให้ความหมายของความดี/คนดีไว้ ว่า
จง
รักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริต
เสียสละและจงรักภักดี ยึดถือ
และปฏิบัติตามพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ดำรงวัฒนธรรมไทย เป็นต้น ชุดความดีดังกล่าวผูกโยงกับ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์”
อย่างมีนัยสำคัญ ดังที่พลเอกเปรมสรุปว่า
"..ผมเชื่อว่าพระสยามเทวาธิราชมีจริง และจะปกป้องคนดี และสาปแช่งคนไม่ดี
คนทรยศต่อชาติบ้านเมืองให้พินาศไป นั่นคือความเชื่อของผม
ส่วนบุคคลอื่นจะเชื่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับจริยธรรมและคุณธรรมของแต่ละคน" [3]
จากนิยามความดี/คนดีดังกล่าวนี้ เกษียร เตชะพีระ วิจารณ์ว่า
การผูกโยง "พระสยามเทวาธิราช"
อันเป็นเทพารักษ์ของราชาชาตินิยม (royal-nationalistpalladium
ในหลวงรัชกาลที่4 ทรงสร้างขึ้น) เข้ากับจริยธรรม-คุณธรรม
ของพลเอกเปรมข้างต้น มีนัยชวนคิดต่อ 2 ประการ คือ1)
มันยกปัญหาจริยธรรม-คุณธรรมให้หลุดลอยไปจากกรอบขอบข่ายการคิด
การเชื่อของปัจเจกบุคคล แล้วเอาไปผูกโยงกับชาติ กลายเป็นว่าการทำดี คิดดี
มีจิตใจดี ไม่ใช่เป็นความดีระดับปัจเจกต่อไป แต่จะเกิดได้ มีได้
ก็แต่ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของชุมชนราชาชาตินิยมเท่านั้น 2)
มันชวนให้ตั้งคำถามว่า
บรรดาจริยธรรม-คุณธรรมประดามีล้วนแล้วแต่สอดคล้องต้องกันกับผลประโยชน์ของ
ชาติทั้งนั้น ทั้งสิ้นหรือ?...
พูดอีกอย่างก็คือ พลเอกเปรมเสนอให้บุคคล
(ที่เป็นคนไทย) อิงพลังราชาชาตินิยมอันศักดิ์สิทธิ์
(ชาตินิยมเป็นศาสนาทางโลกชนิดหนึ่ง secular religion)
มากำกับกดข่มกิเลสในตัวปัจเจกบุคคล
แล้วจึงจะกลายเป็นคนดีได้...บุคคลดีด้วยตัวเองไม่ได้
หากแยกออกจากสมมุติเทพแห่งราชาชาตินิยมอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ... [4]
ตามข้อวิจารณ์ของเกษียร
ภายใต้ระบบการปลูกฝังชุดความดีตามอุดมการณ์ราชาชาตินิยม
ประชาชนเป็นคนดีไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นปัจเจกที่มีเสรีภาพในตัวเองที่จะนิยาม
ความหมายของความดี และเลือกหลักการที่ถูกต้องทางจริยธรรมด้วยเหตุผลของตนเอง
แต่เขาเป็นคนดีเพราะเขาทำตัวเป็น “เครื่องมือที่ดี”
ตามกรอบหรือลู่ทางแห่งความกตัญญู ซื่อสัตย์
จงรักภักดีต่อชนชั้นปกครองเท่านั้น ทำให้ผมนึกถึง A Clockwork Orange หรือ
“คนไขลาน” ที่เป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ (แต่ไม่ใช่มนุษย์)
ทำหน้าที่เพียงไขลานเพื่อให้กลไกต่างๆ ในนาฬิกาทำงานได้อย่างปกติ
ไม่มีสิทธิในการเลือกใช้ชีวิตมากกว่านั้น ในบทความชื่อ “A Clockwork
Orange: ความเป็นมนุษย์และการสูญสิ้นสภาพความเป็นมนุษย์” ของอาทิตย์
ศรีจันทร์ เขาเขียนทิ้งท้ายอย่างน่าคิดว่า
ถ้าสิทธิในการเลือกใช้ชีวิต
คือสิทธิของมนุษย์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
และเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น
เพราะการเลือกเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีชีวิต มีจิตใจ มีเจตจำนง
และมีเสรีภาพ เมื่อมนุษย์ไม่สามารถเลือกอะไรได้ในชีวิต
มนุษย์จะเรียกตัวเองว่ามนุษย์ได้อย่างไร
หรือแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานและสิ่งไร้ชีวิตได้อย่างไร หรือเป็นได้แค่เพียง
“คนไขลาน” ที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตนเอง
โดยปราศจากอารมณ์และความรู้สึก...กระนั้นหรือ? [5]
ตามการปลูกฝังชุดความดีข้างต้น ประชาชนคือ “คนไขลาน”
ให้นาฬิกาแห่งอุดมการณ์ราชาชาตินิยมเดินต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ประชาชนไม่ใช่ “เสรีชน” หรือ “คน” ที่มีเหตุผล
เสรีภาพและศักดิ์ศรีในตัวเองตามความหมายของการเป็นประชาชน หรือเป็นคนตาม
Concept
ของประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชนดังที่เราหลอกตนเองว่าสังคมเรายึดหลัก
เสรีภาพ ความเสมอภาค ตามระบอบประชาธิปไตย
และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด
2.2
ชุดความดีทางศาสนาที่สนับสนุนความดีเชิงบรรทัดฐานตามอุดมการณ์ราชาชาติ
นิยม+สุขนิยมส่วนตัว (individual hedonism/egoism)
เป็นชุดความดีที่โปรฯความดี/คนดีเชิงบรรทัดฐานตามอุดมการณ์ราชาชาตินิยมที่
มี “ตราประทับความจงรักภักดี”
มากกว่าที่จะสนับสนุนความดีที่วางอยู่บนรากฐานทางจริยศาสตร์ที่สนับสนุน
“ความเป็นมนุษย์” ที่เสรีภาพ เสมอภาคตามหลักประชาธิปไตย ดังเช่น
คำเทศนาพระสงฆ์ทั่วไปและพระที่มีชื่อเสียงแห่งยุคอย่าง ว.วชิรเมธี
อาตมาเพิ่งกลับจากยุโรปเมื่อ 2-3
เดือนก่อน
ฝรั่งที่มานั่งกรรมฐานกับอาตมาบอกว่า...ในหลวงของคนไทยเป็นผู้นำทางจิต
วิญญาณที่ฝรั่งอิจฉา
ฝรั่งเขารู้ว่าในหลวงเป็นพระราชาที่ทรงงานหนักที่สุดในโลก
การที่เรามีพระมหากษัตริย์ไม่ใช่เป็นเครื่องหมายของประเทศด้อยพัฒนา
แต่เป็นเครื่องหมายของความเป็นอารยประเทศที่มีสดมภ์หลักในทางจิตวิญญาณ
ต่างชาติเขามีเพียงเสรีภาพเป็นที่พึ่ง
ในขณะที่เรามีพระองค์ท่านเป็นประจักษ์พยานที่มีชีวิตชีวา
แล้วเราตระหนักในคุณค่าแห่งคำสอนของพระองค์หรือเปล่า? คนไทยนั้นแปลก
เรามีของดีที่สุดอยู่ในแผ่นดินแต่ต้องรอให้ฝรั่งเขามายกย่อง
เราจึงจะเห็นคุณค่า ประการแรก เพราะเราตกเป็นอาณานิคมทางปัญญาของฝรั่ง
ประการต่อมา เพราะเราคิดน้อย เราไม่ชอบคิดในเชิงวิเคราะห์
แต่เราชอบสะเดาะเคราะห์ [6]
ในอีกด้านหนึ่ง
ก็มีการอ้างอิงหลักพุทธศาสนาเพื่อขจัดฝ่ายที่ถูกล่าวหาว่าเป็นศัตรูของชาติ
ศาสน์ กษัตริย์ ดังวาทะอันลือลั่นของ กิตติวุฑโฒ ภิกขุ
ในช่วงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ 6 ตุลา 19 ที่ว่า
“ฆ่าคอมมิวนิสต์ได้บุญมากกว่าบาป”
[7]
หรือในยุคสมัยของเรา ก็คือวาทะอันโด่งดังของพระเซเลบอย่าง พระมหาวุฒิชัย
วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) ที่ว่า “ฆ่าเวลาบาปยิ่งกว่าการฆ่าคน”
ดังที่ทราบกันทั่วไป เป็นต้น
3.การหลอกตัวเองทางศีลธรรม
การหลอกตัวเองคืออะไร ข้อโต้แย้งของฌอง ปอล ซาร์ต ข้างล่างนี้บอกเราได้ชัดเจนดี
ผมในฐานะผู้หลอกลวง
ต้องรู้ความจริงที่ตัวเองปิดบังไว้จากตัวผมเองในฐานะผู้ถูกหลอกลวง
และที่ดียิ่งกว่านั้นอีกคือ ผมต้องรู้ความจริงนั้นอย่างถ่องแท้ด้วย
เพื่อที่จะปิดบังมันไว้อย่างรอบคอบรัดกุมยิ่งขึ้น
และนี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในสองช่วงขณะที่ห่างจากกันพอที่จะทำให้เราคิด
ถึงอะไรบางอย่างที่คล้ายกับทวิลักษณ์ได้
แต่มันอยู่ในโครงสร้างเพียงหนึ่งเดียวของกิจกรรมเดียวกันนั้น [8]
มีปรากฏการณ์ในโซเชียลมีเดียที่ถูกตั้งคำถามว่า
เป็นการหลอกตัวเองทางศีลธรรมหรือไม่ เช่นข้อโต้แย้ง (arguments) เรื่อง
“freedom of speech” ของบรรดาคนรักเจ้า
[9]
ที่อ้างว่า พวกเขาย่อมมีเสรีภาพที่จะรัก
มีเสรีภาพที่จะพูดสรรเสริญคุณความดีของสถาบันกษัตริย์ แต่ปัญหาคือ
ข้อโต้แย้งนี้เป็นข้อโต้แย้งที่มีฉากหลัง (background) หลักๆ 2 อย่างคือ 1)
เป็นข้อโต้แย้งต่อฝ่ายที่เรียกร้องให้มีระบบกฎหมายเปิดให้วิพากษ์วิจารณ์
ตรวจสอบสถาบันกษัตริย์ได้ จึงเป็นข้อโต้แย้งที่ไม่แฟร์ในตัวของมันเอง
เพราะการยืนยันเสรีภาพที่จะพูดถึงความดีงามของสถาบันกษัตริย์เพื่อโต้อีก
ฝ่ายที่เขาไม่มีเสรีภาพที่จะพูดด้านตรงข้ามได้ 2) “freedom of speech”
ที่ยืนยันนั้น จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ “freedom of speech” เลย
เพราะฝ่ายที่ยืนยันนั้นเอง
ก็ไม่มีเสรีภาพในการเลือกที่จะพูดด้านตรงกันข้ามกับการสรรเสริญ ฉะนั้น
“freedom of speech”
ของบรรดาคนรักเจ้าจึงเป็นตัวอย่างหนึ่งของการหลอกตัวเอง
คือพวกเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าตนเองไม่มี “freedom of speech”
เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ เพราะกฎหมายไม่เปิดให้
แต่ก็ยังพยายามจะยืนยันว่าตนมี
ประเด็นคือ “freedom of speech” เป็นศีลธรรมขั้นพื้นฐานที่แสดงคุณค่า
“ความเป็นมนุษย์” ที่สำคัญยิ่งตามหลักสิทธิมนุษยชน
ดังปรากฏในตอนต้นของคำปรารภและข้อ 19
แห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนรับรองไว้ว่า
การดำรงไว้ซึ่งเสรีภาพในความคิดเห็นและการแสดงออก (freedom of speech)
คือปณิธานสูงสุดของสามัญชน และ
“บุคคลมีสิทธิ
เสรีภาพในความคิดเห็น และการแสดงออก
สิทธิดังกล่าวนี้รวมถึงเสรีภาพที่จะยึดมั่นในความคิดเห็นโดยปราศจากการแทรก
แซง ไปจนถึงการแสวงหา รับเอา ตลอดจนเผยแพร่ข้อมูล
และความคิดเห็นผ่านสื่อใดๆ โดยปราศจากพรมแดน” [10]
ฉะนั้น ทั้งที่รู้อยู่ก่อนแล้วว่าตนเองไม่มี “freedom of speech”
เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์เพราะกฎหมายไม่เปิดให้ แต่ก็ยังพยายามยืนยันว่าตนมี
จึงเป็น “การหลอกตัวเองทางศีลธรรม” ในระดับพื้นฐานเลยทีเดียว
เราจะเข้าใจปัญหานี้ชัดขึ้นจากคำอธิบายของ จอห์น สจ๊วต มิลล์
ต่อคำถามที่ว่าทำไมเราจึงควรคิดว่า การเคารพในอิสรภาพส่วนบุคคล
และสิทธิที่จะคิดต่างจะสร้างสวัสดิการแก่สังคมได้ในระยะยาว?
มิลล์ให้เหตุผลว่า
ความเห็นต่างอาจปรากฏว่าเป็นความจริง หรือมีส่วนจริง ดังนั้น
จึงช่วยปรับปรุงแก้ไขความเห็นกระแสหลักได้ และต่อให้มันไม่เป็นจริง
การนำความเห็นกระแสหลักมาสู่การปะทะสังสรรค์ทางความคิดจะช่วยป้องกันไม่ให้
มันแข็งตัวเป็นลัทธิกดขี่และอคติ สุดท้าย
สังคมที่บังคับสมาชิกให้ทำตามธรรมเนียมและจารีตต่างๆ
สุ่มเสี่ยงว่าจะตกอยู่ในภาวะทำตามๆ กันไปอย่างโง่เขลา ขาดพลัง
และความมีชีวิตชีวาซึ่งขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม [11]
ฉะนั้น
วัฒนธรรมโปรฯความดีเชิงบรรทัดฐานตามอุดมการณ์ราชาชาตินิยมและพุทธมรดก
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงเป็น “วัฒนธรรมหลอกตัวเองทางศีลธรรม”
ที่ทำให้สังคมมีค่านิยมไม่ให้ความสำคัญกับความจริง
ความถูกต้องที่ตรวจสอบได้ตามหลักการประชาธิปไตย
และความมีเหตุเป็นวิทยาศาสตร์ กระทั่งยอมละทิ้งหลักการพุทธแบบดั้งเดิม เช่น
ไม่ให้ความสำคัญกับการปรับใช้หลักกาลามสูตร
และหลักอริยสัจในการตรวจสอบความจริง หรือ “ทุกขสัจจะ”
ทางสังคมการเมืองเป็นต้น
4.การท้าทายโต้แย้งชุดความดี/คนดีตามอุดมการณ์ราชาชาตินิยม และพุทธมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์จากจุดยืนเสรีประชาธิปไตย
พร้อมๆ กับการโปรฯความดี/คนดีดังกล่าวอย่างเข้มข้น
ก็เกิดการท้าทายมากขึ้น ดังการท้าทายอุดมการณ์ “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
อย่างถึงรากของมุกหอม วงศ์เทศ บนจุดยืนการปกป้อง “ความเป็นมนุษย์”
ตามอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยที่ว่า
“เมืองไทย
เป็นประเทศที่เต็มใจอยู่กับความฝันแบบแฟนตาซี เทพนิยายโกหก แบบเด็กไม่ยอมโต
ทาสที่ปล่อยไม่ยอมไป หลอกทั้งตัวเอง หลอกทั้งคนอื่น
แถมยังคิดว่าคนอื่นต้องเชื่อเรื่องโกหกแบบเราด้วย อุดมการณ์ชาติ ศาสน์
กษัตริย์ เป็นอุดมการณ์ที่ทำลายความเป็นมนุษย์มากๆ
ส่วนที่ทำลายมากที่สุดคือการใช้ปัญญาและเหตุผล” [12]
ขณะเดียวกันการโปรฯความดี/คนดีของพุทธมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบพระเซเล็บ ก็ถูกตั้งคำถามมากขึ้น ดังข้อวิจารณ์ของ วิจักขณ์ พานิช
ตราบใดที่การสื่อสารธรรมะทางเดียวยังคง
ดำเนินต่อไปในลักษณะเพิกเฉยต่อบริบทความทุกข์ที่หลากหลายของผู้คนในสังคม
อีกทั้งโครงสร้างพุทธศาสนาแบบไทยๆ
ยังวางตัวอิงแอบอยู่กับอำนาจรัฐด้วยภาพลักษณ์วาทกรรม
“ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง”
จนบ่อยครั้งกลายเป็นอำนาจมืดที่วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ คำคมอย่าง
“ฆ่าเวลาบาปยิ่งกว่าการฆ่าคน” หรือความคิดเห็นแปลกๆ
ที่ขาดการเข้าใจบริบททางสังคมอย่างรอบคอบ ก็จะยังคงปรากฏออกมาตามสื่อต่างๆ
เรื่อยไป และแน่นอนว่าคำสอนเหล่านั้น เมื่อปรากฏต่อสาธารณชน
ย่อมหนีไม่พ้นการถูกโจมตีและวิพากษ์วิจารณ์
ส่วนการพยายามอธิบายเหตุผลที่มาของข้อความเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยการยก
สถานะอันเป็นที่สักการะของพระสงฆ์
หรือความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากการเมืองของคำสอน ก็ยิ่งจะแสดงถึงอวิชชา
ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนอันซับซ้อน
และการพยายามปัดความรับผิดชอบที่ข้อความอันมักง่ายเหล่านั้นมีผลกระทบต่อคน
เล็กคนน้อยในทางสังคม...ปฏิกิริยาทั้งหมดยิ่งสะท้อนถึงแนวโน้มเผด็จการ
“อำนาจนิยม” ของพุทธศาสนาในปัจจุบัน
ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการร่วมรักษาความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมกันใน
สังคมประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ไว้โดยรู้ตัวก็ดีหรือไม่รู้ตัวก็ดี [13]
กระทั่งเสนอให้ “ศาสนาเป็นอิสระจากรัฐ”
โดยให้แปรรูปองค์กรทางศาสนาอยู่ในรูปองค์กรเอกชนทั้งหมด
โดยที่รัฐไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องโดยสิ้นเชิง
ยกเว้นว่าการดำเนินกิจการทางศาสนาจะเป็นการละเมิดสิทธิพลเมืองในสังคม
ประชาธิปไตย
[14]
5. ผลกระทบต่อปัญหาทางการเมืองและศาสนา
วัฒนธรรมโปรฯความดี/คนดีตามอุดมการณ์ราชาชาตินิยม และพุทธมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์ดังที่อภิปรายมา ก่อให้เกิดปัญหาสำคัญตามมา เช่น
5.1 การปลูกฝังชุดความดีดังกล่าวนั้น ด้วยการประชาสัมพันธ์ด้านเดียว
ผ่านระบบการศึกษา หน่วยงานราชการ องค์กรศาสนา กิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรม
สื่อมวลชน ฯลฯ ส่งผลให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยเบลอๆ (มีการเลือกตั้ง
แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่สามารถปรับเปลี่ยนระบบสังคมการเมืองให้
เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ได้ แม้แต่จะแก้ไขกฎหมายหมิ่นฯ มาตรา 112
ตามข้อเสนอของนักวิชาการและประชาชนก็ทำไม่ได้
เพราะเกรงกลัวกองทัพและอำนาจนอกระบบ) มีเสรีภาพเบลอๆ
(คือเสรีภาพที่ถูกจำกัดด้วย ม.112
ไม่ใช่เสรีภาพสมบูรณ์ตามหลักประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน)
มีความยุติธรรมเบลอๆ เพราะไม่มีความเสมอภาค
(ใช้สองมาตรฐานในการวิจารณ์ตรวจสอบ เรียกร้องความรับผิดชอบทางกฎหมาย
และศีลธรรมกับบุคคลสาธารณะ) เป็นพุทธเบลอๆ
ที่สนับสนุนศีลธรรมเครื่องมือเพื่อครอบงำประชาชนให้กลายเป็น
“มนุษย์เครื่องมือ” ค้ำจุนสถานะ อำนาจศักดิ์สิทธิ์ของชนชั้นปกครอง
5.2 เพราะความเป็นประชาธิปไตยเบลอๆ เป็นพุทธเบลอๆ
สังคมเราจึงมีการอ้างสถาบันกษัตริย์ อ้างศีลธรรมทางศาสนาต่อสู้ทางการเมือง
แบ่งแยกคนในชาติเป็นฝ่ายคนดีที่มีตราประทับ “ความจงรักภักดี”
กับฝ่ายคนเลวที่มีตราประทับ “ความไม่จงรักภักดี” และจบลงด้วยรัฐประหาร
การล้อมปราบนักศึกษาประชาชนบาดเจ็บล้มตายซ้ำซาก
จนกระทั่งบัดนี้สังคมยังไม่สามารถอ้างอิงหลักการประชาธิปไตยในการแยกแยะ
ถูก-ผิดทางการเมืองได้อย่างมีวุฒิภาวะ
เพราะรากฐานทางจริยศาสตร์แห่งวัฒนธรรมโปรฯความดีตามอุดมการณ์ราชาชาตินิยม
และพุทธมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นจริยศาสตร์แห่ง
“การหลอกตัวเองทางศีลธรรม”
ที่มีผลให้วิธีคิดและการตัดสินถูก-ผิดทางศีลธรรมของสังคมเบลอๆ
อยู่กับสภาพกึ่งจริงกึ่งเท็จ จึงเป็นอุปสรรคต่อการแสวงหาสัจจะ
การถกเถียงด้วยเหตุผลอย่างถึงที่สุดเพื่อหาข้อตกลงร่วมกันว่าอะไรคือหลักการ
อุดมการณ์ที่ถูกต้องที่สังคมควรยึดถือร่วมกัน
5.3 สังคมติดกับดักของ “ศีลธรรมทางการเมืองตามอุดมการณ์ราชาชาตินิยม”
การที่สถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมโปรฯความดี/คนดี ทำให้ 80 ปี
ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตย
แทนที่สังคมจะส่งเสริม “ความรัก” ในเสรีภาพ ความเสมอภาค ภราดรภาพ
แต่กลับเน้นการส่งเสริมความรักสถาบันกษัตริย์ในฐานะ “ตัวบุคคล” มากว่า
จนกลายเป็นกับดักปัญหาทางศีลธรรมตามอุดมการณ์ราชาชาตินิยมเรื่อง
“ความจงรักภักดี-ไม่จงรักภักดี” อันเป็นเหตุให้สถาบันกษัตริย์ดำรงสถานะ
อำนาจ บทบาทที่ถูกอ้างอิงในการต่อสู้ทางการเมือง
และการทำรัฐประหารได้ไม่สิ้นสุด
5.4 ความดีทางศาสนาถูกทำให้เป็น “ยากล่อมประสาท”
มอมเมาผู้คนให้ตกอยู่ในสภาพเบลอทางศีลธรรมที่คลุมเครือในเรื่องจริง-เท็จ
ถูก-ผิด คนดีทางศาสนากลายเป็นคนแปลกแยกจากสังคม หมกมุ่นกับความทุกข์
ความสุขส่วนตัว มองปัญหาสังคมการเมืองเป็นเรื่องทางโลก วุ่นวาย
เป็นเรื่องของกิเลสตัณหา ไม่ใช่ความดี เพราะความดีคือการทำบุญ ศีล ทาน
ตามคำสอนของพุทธศาสนา
เป็นความดีที่มีอานิสงส์ดลบันดาลให้เกิดสุขทั้งในโลกนี้ โลกหน้า
ความดีดังกล่าวจึงไม่เกี่ยวกับเรื่องความยุติธรรม การปกป้องเสรีภาพ
สิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตย
ประกอบกับโครงสร้างอำนาจของสังคมสงฆ์ที่ขึ้นต่ออุดมการณ์ราชาชาตินิยม
บทบาทขององค์กรทางศาสนาจึงอยู่ข้างชนชั้นปกครองมากกว่าจะยึดโยงกับประชาชน
และประชาธิปไตย
5.5
เกิดกระแสท้าทายโต้แย้งวัฒนธรรมโปรฯความดีเชิงบรรทัดฐานตามอุดมการณ์ราชา
ชาตินิยม และพุทธมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์ บนจุดยืนเสรีประชาธิปไตย
และสิทธิมนุษยชนมากขึ้น เช่น กระแสต่อต้านรัฐประหารโดยคนดีมีคุณธรรม
การเรียกร้องให้แก้ไขยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯมาตรา 112 การปฏิรูปกองทัพ
สถาบันกษัตริย์ การตั้งคำถาม
วิพากษ์วิจารณ์พระสงฆ์ที่ออกมาแสดงความเห็นทางการเมืองโดยอ้างธรรมะอ้าง
ศาสนาสนับสนุนอุดมการณ์ราชาชาตินิยม การเรียกร้อง “ศาสนาเป็นอิสระจากรัฐ”
หรือรัฐฆราวาส (secular state) ที่รัฐต้องเป็นกลางทางศาสนา
การแปรรูปองค์กรศาสนาให้เป็นกิจกรรมของเอกชนโดยสิ้นเชิง เป็นต้น
บทสรุป : เราไม่ใช่ “มนุษย์เครื่องมือ” อีกต่อไป (?)
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
วัฒนธรรมโปรฯความดี/คนดีตามอุดมการณ์ราชาชาตินิยมและพุทธมรดกสมบูรณาญาสิทธิ
ราชย์นับวันจะถูกท้าทายโต้แย้งด้วยหลักการ เหตุผล
บนจุดยืนของอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตยมากขึ้นๆ
สังคมเราไม่อาจอยู่กับความจริงที่ว่า
“เราถูกปลูกฝังให้หลอกตัวเองทางศีลธรรม” เช่นนี้ตลอดไป
เราผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ที่มีเสรีภาพจะเลือกชีวิตทางสังคมการเมืองที่ดีกว่า
เป็นอารยะกว่า ไม่สมควรจะ “ถูกกด” ถูกมอมเมาให้กลายเป็นเพียง
“มนุษย์เครื่องมือ” หรือ “คนไขลาน” อีกต่อไป
กลิ่นไอของประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความเป็นมนุษย์ที่มีเสรีภาพ
มีคุณค่ามีศักดิ์ศรีในตัวเองในโลกปัจจุบันและอนาคต
ดูจะมีเสน่ห์ยั่วยวนชวนปรารถนาเกินกว่ามนต์สะกดแห่งอุดมการณ์ราชาชาตินิยม
และพุทธมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์
จะตรึงผู้คนให้ติดอยู่กับความไม่มีเหตุผลของศีลธรรมหลอกตัวเองอีกต่อไป
คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า
สังคมจะเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมโปรฯความดี/คนดีบนฐานศีลธรรมหลอกตัวเอง
ไปสู่การสร้างระบบสังคมการเมืองที่ยุติธรรมบนฐานของศีลธรรมเหตุผลเป็นสากล
คือหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ภราดรภาพอย่างสันติได้อย่างไร
ซึ่งผมคิดว่าไม่มีทางเป็นไปอย่างสันติได้เลย
หากสังคมไม่สามารถถกเถียงด้วยเหตุผลอย่างเป็นสาธารณะ และอย่างถึงที่สุด
เพื่อหา “ฉันทามติ” ร่วมกันว่า
ต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์และพุทธมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์ให้อยู่ภายใต้หลัก
เสรีภาพ และความเสมอภาคตามระบอบประชาธิปไตยอย่างอารยประเทศ
เชิงอรรถ
- “ในระบอบประชาธิปไตย ย่อมไม่มี the king ที่ can do wrong
เพราะในระบอบประชาธิปไตย มีแต่ the king ที่ can do nothing
เนื่องจากผู้รับสนองพระบรมราชโองการต่างหากที่เป็นผู้กระทำและผู้รับผิดชอบ”
ดู ปิยบุตร แสงกนกกุล “องค์กษัตริย์ไม่อาจถูกละเมิดได้คืออะไร?”
ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 10 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2555) หน้า 49
- ดู ธงชัย วินิจจะกูล. มรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปัจจุบัน. http://prachatai.com/journal/2011/05/34433
- มติชน 3 เม.ย.55 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1333427789
- เกษียร เตชะพีระ เรื่องจริยธรรม-คุณธรรม ชาตินิยมและพระสยามเทวาธิราช.
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1333553868...
- อาทิตย์ ศรีจันทร์. A Clockwork Orange:
ความเป็นมนุษย์และการสูญสิ้นสภาพความเป็นมนุษย์. อ่าน ปีที่ 3 ฉบับที่ 4
(ตุลาคม 2554-มีนาคม 2555) หน้า 187
- LIPS ปักษ์หลัง ธันวาคม 2552, หน้า 87
- จัตุรัส ปีที่ 2 ฉบับที่ 51 (29 มิถุนายน 2519)
- แบล็กเบิร์น, ไซมอน.อ้างแล้ว, หน้า 103
- ปัญหา freedom of speech เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์และ ม.112 สมศักดิ์
เจียมธีรสกุล วิเคราะห์ไว้หลายที่ เช่น
http://www.youtube.com/watch?v=ifr8jolc5F8
เขากล่าวว่าปัจจุบันเสรีภาพวิจารณ์สถาบันกษัตริย์แย่กว่าสมัย ร.6 ร.7
- ดูอาทิตย์ พุธิพงษ์. เรื่องของอากง: Freedom of Speech และสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรม. http://www.prachatai.com/journal/2011/12/38254
- อ้างใน Sandel, Michael J. ความยุติธรรม= What’s the Right Thing to
Do?. แปลโดย สฤณี อาชวานันทกุล.กรุงเทพฯ: โอเพ่นเวิลด์ส, 2554 หน้า 71-72
- อ้างใน วรพจนน์ พันธุ์พงศ์/ธิติ มีแต้ม.ความมืดกลางแสงแดด.(กรุงเทพฯ: หอนาฬิกา 2555), หน้า 236
- วิจักขณ์ พานิช “ความคมของฆ่าเวลาบาปยิ่งกว่าการฆ่าคน” บทเรียนของพุทธศาสนาในสังคมประชาธิปไตย http://blogazine.in.th/blogs/budddhistcitizen/post/3465
- ดูเก่งกิจ กิติเรียงลาภ. ปัญหาธรรมกาย-พระไพศาล-มหาเถรสมาคม-สุรพศ และบททดลองเสนอเกี่ยวกับสถานะของสถาบันศาสนาในสังคมไทย. http://www.prachatai.com/journal/2012/08/42403 และสุรพศ ทวีศักดิ์.ปัญหาการอ้าง “ศาสนาเป็นอิสระจากรัฐ” กับ “ความชอบธรรม” ในการดำเนินการทางพระธรรมวินัย http://prachatai.com/journal/2012/09/42410