หมายเหตุ - เมื่อวานนี้ (6 ก.ย.) สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้โพสต์บทความในเฟซบุคของตน วิจารณ์บทความของนิธิ เอียวศรีวงศ์ และใจ อึ๊งภากรณ์ ในเรื่องข้อเสนอทางการเมืองต่อขบวนการเสื้อแดง โดยเห็นว่าข้อเสนอของ ใจ อึ๊งภากรณ์ "มากไป" และข้อเสนอของนิธิ เอียวศรีวงศ์ "น้อยไป" โดยมีรายละเอียดดังนี้
เพื่อไทย
Saturday, September 8, 2012
สว.ฝรั่งเศสกล่าวหลังจากเยือนไทยว่า "กองทัพมีอำนาจล้นพ้นเพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญ"
ที่มา uddred เว็บไซท์ Asian Provocateurและสำนักข่าวLe petite journal 7 กันยายน 2555 สำนักข่าวฝรั่งเศส Le Petit Journal เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของวุฒิสมาชิกสี่คนซึ่งมีมุมมองทางการเมืองที่ต่างกันออก ไป วุฒิสมาชิกเหล่านี้เพิ่งเดินทางไปเยือนประเทศไทยและให้ความเห็นเกี่ยวกับ สถานการณ์การเมืองไทยที่น่าสนใจว่า นาย Gerard Miquel สว.จากพรรคสังคมนิยมซึ่งเป็นพรรคผู้นำรัฐบาลกล่าวว่า รัฐสภา [ไทย] ไม่ได้มีอำนาจมาก แต่เป็นกองทัพต่างหากที่มีอำนาจเพราะรัฐธรรมนูญซึ่งผ่านร่างโดยคำนำเสนอของ รัฐบาลทหารและไม่ได้ให้อำนาจรัฐสภามาก แน่นอนว่า คนที่มีไหวหริบทางการเมืองซักนิดหนึ่งและมีความเชื่อมั่นในแบบแผนแบบ ประชาธิปไตยย่อมจะเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่แค่สว.ฝ่ายซ้ายเท่านั้นที่สรุปแบบนั้น นาย Bernard Saugey สว.จากพรรค UMP ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวากล่าวว่า ประเทศไทยคือประเทศที่มีแบบแผนประชาธิปไตยที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก ซึ่งนั้นอาจเป็นเพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม นาย Hervé Maurey จากพรรคกลางได้แสดงความเห็นไว้ได้ดีที่สุด เขากล่าวว่า ในตอนแรก เราอาจคิดว่า (ประเทศไทย) มีประชาธิปไตยเพราะมีสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งในแบบที่ดูเหมือน เป็นประชาธิปไตย แต่หลังจากที่เราสนทนากัน เราจึงรู้ว่ารัฐสภาและรัฐบาลมีอำนาจเพียงบางส่วนเท่านั้น เราค้นพบว่าทหหารมีอำนาจอย่างมาก รวมถึงผู้พิพากษาซึ่งความสัมพันธ์ที่อันแนบเน้นกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมและกอง ทัพมากกว่า นาย Hervé Maurey กล่าวต่อว่า เรารับรู้ว่าสถานการณ์นั้นซับซ้อนเพราะมักมีการข่มขู่ว่าจะทำรัฐประหารหาก รัฐบาลอยากจะทำอย่างไรที่มากเกินไป เรารู้สึกว่านักการเมืองมีขอบเขตที่จะทำอะไรจำกัดมาก นี่เห็นได้จากช่วงเวลาที่มีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ สิ่งที่น่าแปลกคือสว.เหล่านี้ใช้เวลาสองวันในการทำความเข้าใจสถานการณ์อย่าง ถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่สื่อมวลชนต่างชาติล้มเหลวแม้พวกเขาที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ หลายสิบปี ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า จะมีสื่อต่างชาติไปทำไมหากพวกเขาไม่สามารถให้ข้อมูลการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง ได้และดูเหมือนจะทำงานร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดขั้วในประเทศไทยด้วย? บทสัมภาษณ์แปลจาก "Le petit journal" (ผมขอขอบคุณเพื่อน facebook คุณ Alex Biosiam อย่างมากที่ช่วยแปลคำสัมภาษณ์บางส่วน ซึ่งทำให้ผมและคนอื่นๆสนใจบทสัมภาษณ์ดังกล่าว Le petit journal: คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับการทำงานของสถาบันทางรัฐสภาของประเทศไทย? Gerard Miquel (สว.พรรคสังคมนิยม): นี่อาจจะยากหน่อยสำหรับเวลาเพียงหนึ่งวันครึ่งในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ สถาบันเหล่านั้น แต่ดูเหมือนว่ารัฐสภาไม่ได้มีอำนาจมาก แต่เป็นกองทัพต่างหากที่มีอำนาจเพราะรัฐธรรมนูญซึ่งผ่านร่างโดยการนำเสนอของ รัฐบาลทหารและไม่ได้ให้อำนาจรัฐสภามาก สิ่งต่างๆสามารถเป็นแปลงได้ซึ่งแน่นอนเป็นเรื่องที่มีความหวัง Le petit journal: พวกเขาได้ส่งสัญญาณบวกต่อคุณว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงนั้นหรือไม่? Bernard Saugey (สว. พรรคฝ่ายขวา UMP และประธานกลุ่ม Isère Managing Group for Thailand): ผมคิดว่าสัญญาณบวกนั้นเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และประเทศไทย คือประเทศที่มีแบบแผนประชาธิปไตยที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก ซึ่งนั้นอาจเป็นเพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญ นี่แหละก็ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดมาก มันไม่มีอะไรที่ผิดกฎหมาย ทุกอย่างดูเหมือนถูกกฎหมาย แต่เรารู้สึกว่าประชาธิปไตยที่แท้จริง การเลือกตั้งมันไม่สำคัญต่อที่นี้ (ประเทศไทย) มากเท่าไร เราเชื่อว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงหากมีเจตจำจงทางการเมือง แต่มันจะพอที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่มันใกล้มากๆหรือไม่? มันไม่ปลอดภัย Gerard Miquel (พรรคสังคมนิยม): พวกเขาไม่สามารถจำกัดเจตจำนงของประชาชนได้ตลอดไปเพราะฉะนั้นความเปลี่ยนแปลง จะต้องเกิดขึ้น คนเสื้อแดงเคลื่อนไหวตลอดเวลา เราพบกับประธานกลุ่มประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ คุณธิดา ถาวรเศรษฐ ผู้หญิงซึ่งมีความเชื่อมั่นในเจตจำนงประชาธิปไตยอย่างมาก เราไม่คิดว่าพวกเขาจะสามารถควบคุมให้สถานการณ์เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไปได้ จะมีการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในประเทศพม่า กองทัพที่อยู่ในอำนาจต้องเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของประชาชน แน่นอนมันอาจไม่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างที่เราคาดหวัง แต่มันก็ยังมีหวัง Bernard Saugey (สว.พรรคฝ่ายขวา UMP ประธานกลุ่ม Isère Managing Group for Thailand): สำหรับพม่า เพื่อประชาธิปไตยและความสงบสุขของประชาชนพม่า มันดีกว่าที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ Hervé Maurey (สว.พรรคกลางของ Eureและรองประธานกลุ่ม ): สิ่งที่น่าพิศวงเกี่ยวประเทศไทยสำหรับเราในฐานะสมาชิกรัฐสภาของฝรั่งเศศคือ วิถีทางการเมืองไม่มีอะไรเหมือนเรา ในตอนแรก เราอาจคิดว่า (ประเทศไทย) มีประชาธิปไตยเพราะมีสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งในแบบที่ดูเหมือน เป็นประชาธิปไตย แต่หลังจากที่เราสนทนากัน เราจึงรู้ว่ารัฐสภาและรัฐบาล มีอำนาจเพียงบางส่วนเท่านั้น เราค้นพบว่าทหารมีอำนาจอย่างมาก รวมถึงผู้พิพากษาซึ่งความสัมพันธ์ที่อันแนบเน้นกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมและกอง ทัพ เรารับรู้ว่าสถานการณ์นั้นซับซ้อนเพราะมักมีการข่มขู่ว่าจะทำรัฐประหารหากรัฐบาลอยากจะทำอย่างไรที่มากเกินไป เรารู้สึกว่านักการเมืองมีขอบเขตที่จะทำอะไรจำกัดมาก นี่เห็นได้จากช่วงเวลาที่มีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ Bernard Saugey Saugey (สว.พรรคฝ่ายขวา UMP ประธานกลุ่ม Isère Managing Group for Thailand): แต่ต้องไม่ลืมด้วยว่าสว.กว่าครึ่งมาจากการแต่งตั้ง Gerard Miquel (พรรคสังคมนิยม): เรารู้สึกได้ว่าสส.ที่เราเจอมีความปรารถนาให้มีการกระจายอำนาจ(ทางการเมือง) มากขึ้น ผมคิดว่าหากพวกเขาดำเนินกระบวนการกระจายอำนาจ และหากทำได้อย่างดี ก็คาดได้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในสถาบันของประเทศซึ่งจะมีการก่อตั้ง ประชาธิปไตยได้เร็วขึ้น คุณสามารถดูได้จากฝรั่งเศส ในช่วงเวลา 30 ของการกระจายอำนาจ ที่มีตัวแทนท้องถิ่นซึ่งมาจากการเลือกตั้ง สามารถทำให้ประชาชนมีอำนาจมากขึ้น! Bernard Saugey (สว.พรรคฝ่ายขวา UMP ประธานกลุ่ม Isère Managing Group for Thailand): เราเข้าพบผู้ว่ากรุงเทพมหานครซึ่งบอกเราว่ากทม.เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งระบบ ขนส่ง (ในกทม.) แต่รถบัสนั้นเป็นของรัฐ สำหรับเรานี่เป็นอะไรที่เหนือจริง คำแปลนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ทั้งหมด นี่คือลิงค์บทสัมภาษณ์ฉบับเต็มภาษาฝรั่งเศส
นปช.เปิดเอกสารเทือกเซ็นตั้งพลยิงเมษา-พฤษภา53
ที่มา Thai E-News
โครงสร้างการจัด และอำนาจหน้าที่ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
เว็บไซต์นปช.แดงทั้งแผ่นดินนำเสนอรายงานข่าวเรื่อง เปิดเอกสารตั้งพลทหารซุ่มยิง เม.ย.-พ.ค. 2553 โดยนำเสนอเอกสารข้างต้น พร้อมกับรายงานว่า สุ
เทพ เทือกสุบรรณ
รองนายกรัฐมนตรีในเวลานั้นได้ลงนามในคำสั่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุก
เฉินที่ 9/2553 เรื่อง โครงสร้างการจัด
และอำนาจหน้าที่ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
เพื่อแต่งตั้งพลทหารยิงปืนจำนวน 29 นาย เพื่อซุ่มยิงคนเสื้อแดงในเหตุการณ์เดือน เม.ย.-พ.ค. 2553
ฟังอีกรอบ ศอฉ.แจงแนวทางพลซุ่มยิง
Voice TV นำเสนอรายงานข่าวเรื่อง ฟังอีกรอบ ศอฉ.แจงแนวทางพลซุ่มยิง ว่า ใน การเข้าชี้แจงของพันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด อดีตโฆษก ศอฉ. นั้น มีกระแสข่าวว่า เจ้าหน้าที่ มีการตั้งประเด็นคำถามเกี่ยวกับการแถลงข่าวของ ศอฉ.ในขณะนั้น ที่ ขัดแย้งกับคำให้การของพลซุ่มยิง 2 นาย ที่ย่านบ่อนไก่ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการใช้กระสุนซ้อมหรือกระสุนจริงในการปฎิบัติหน้าที่ วอยซ์ทีวีจึงนำคลิปการชี้แจงของพันเอกสรรเสริญต่อกรณีนี้มาให้ชม
ไต่สวน 6 ศพวัดปทุมฯ พยานชี้ชุดพรางพยายามฆ่ายิงลงมาจากรางรถไฟ
“รักเอย” วรรณกรรมชีวิตที่สั่นสะเทือนวงการยุติธรรมไทย
ที่มา Thai E-News
หนังสืออนุสรณ์งานศพของคนตัวเล็กๆ “นายอำพล ตั้งนพกุล หรือ อากง”ที่เขียนด้วยหัวใจที่แหลกสลายโดย “ป้าอุ๊ หรือนางรสมาลิน ตั้งนพกุล” ที่แจกเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา ได้สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้อ่านเป็นอย่างยิ่ง ที่เหนืออื่นใดก็คือการสร้างความสั่นสะเทือนต่อมุมมองของผู้คนที่มีต่อวงการ ยุติธรรมไทยในผลของคำพิพากษา การปฏิบัติต่อนักโทษและการไม่ได้รับสิทธิประกันตัวจนต้องตายในคุกว่าทุกคน เสมอกันในเบื้องหน้าของกฎหมาย(equal before the law)ตามหลักนิติธรรม(Rule of Law)แล้วล่ะหรือ
เขียนโดยผู้เขียนที่จบเพียง ป.4
“เมื่อมีน้องเยอะ ฉันเป็นลูกคนโตก็ต้องช่วยครอบครัว ได้เรียนหนังสือก็แค่ ป.4 ทั้งๆที่น่าจะเรียนได้เพราะพ่อเป็นทหาร แต่ก็ไม่ได้เรียนเพราะต้องออกมาช่วยดูน้อง”
“ฉันยังเป็นคนชอบอ่านหนังสือ กระดาษหรือถุงขนมอะไรฉันก็อ่านของฉันหมด คือมันชอบ”
“ตอนที่อาปอ(อากง)ยังไม่โดนจับ เรื่องการเมืองอะไรเหล่านี้ไม่ได้อยู่ไกล้ฉันเลย ฉันไกลจากเรื่องพวกนี้มาก ด้วยความสัตย์จริง ฉันไม่มีเวลา ฉันมีภาระเยอะ ต้องทำมาหากิน ต้องคิดว่ามีทางไหนที่จะทำมาค้าขายอะไร วันนี้ขาดทุนหรือกำไร แต่ละวันยังมีอะไรเหลืออยู่บ้าง อะไรบ้างที่ต้องซื้อเพิ่ม หลานก็ต้องไปโรงเรียน แค่นี้ก็ไม่มีสมองไปคิดเรื่องอื่นแล้ว”
อากงสีอะไร
“เขาไปดูมาหมดทั้งเสื้อเหลืองเสื้อแดง ผ้าโพกหัวของเหลืองก็มีมา ไปดูเสื้อแดงก็มีของแดงมา...แล้วจะให้ฉันสรุปว่าอย่างไร”
เหตุการณ์วันที่ถูกจับ
“ครั้งแรกวันที่เขามาจับอาปอ เช้ามืดวันที่ 3 สิงหาคม 2553”
“...ฉันเดินเข้าไปบอกอาปอที่ยังนอนอยู่บนที่นอน “พวกเขามาหาลื้อ” อาปอรีบลุกขึ้นหาเสื้อมาใส่ หน้าตาเขางงๆเหมือนกัน
ตอนอาปอกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า พวกตำรวจเข้าไปค้นบ้าน ห้องเช่าของฉันเล็กมาก ข้างหลังไม่มีประตู มีแต่หน้าต่างกับมุ้งลวด พวกเขาเข้าค้นทุกซอกทุกมุม นักข่าวก็ตามเข้าไปถ่ายรูป เดินเหยียบไปบนที่นอน ถ่ายรูปไปทั่วห้อง ถ่ายรูปหลานๆของฉันที่ร้องไห้กันระงม สภาพตอนนั้นคือข้าวของในห้องถูกค้นกระจุยกระเจิงไปหมด”
เมื่อศาลมีคำพิพากษา
“จนวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 ศาลตัดสินจำคุกเขา 20 ปี”
“ฉันเหมือนคนเสียสติไปเลย กลับมาบ้านเจียวไข่ให้หลานกินยังมัวแต่คิดจนน้ำมันท่วม ต้องรีบยกกระทะลง ลืมไปหมดว่าต้องใช้ผ้าขี้ริ้วจับ มือพองเป็นแผลตั้งเยอะ ความรู้สึกตอนนั้นมันทั้งคับแค้น ทั้งรู้สึกเหมือนเคว้งคว้างไปหมด ฉันเลยเขียนถึงความทรงจำนี้ จะไม่มีวันลืมความรู้สึกนั้น”
“อาปอเข้าไปในคุกเที่ยวนี้ ญาติสนิทของเราเสียไปสามคน คนสนิททั้งนั้น ทั้งแม่ยายคือแม่ของฉัน น้องชายฉัน และแม่ของเขา แม่ของเขาซึ่งป่วยบ่อยๆ มาเสียชีวิตหลังจากที่เขาไปอยู่ในนั้นได้ประมาณครึ่งปี ต่อมาน้องชายฉันก็ป่วยตาย พอครบร้อยวันน้องชาย แม่ของฉันก็มาเสียไปด้วยโรคชรา”
อากงปลงไม่ตก
“ตอนที่...โฆษกศาลมาเขียนบทความหลังจากคำพิพากษาอาปอว่า “อากงปลงไม่ตก” โอ คำนี้ทำฉันสติแตกไปเลย ใครปลงได้ยี่สิบปี ใครจะปลงได้ คนไม่ได้ทำจะปลงได้ยังไง”
เยี่ยมครั้งสุดท้าย
“จนไปเยี่ยมครั้งสุดท้าย วันพฤหัสที่ 3 พฤษภา(2555) นั่นเป็นครั้งสุดท้ายของฉันกับเขา”
“พอหมดเวลายี่สิบนาที เขายืนโบกมือให้ รอให้เราไปก่อน ไอ้เราก็อยากจะมองให้เขาเข้าไปก่อน เขาก็ไม่ยอมเข้าไป ยืนโบกมืออยู่ตรงนั้น เราก็ได้แต่อือๆๆคือเราไม่เคยตะโกนพูดกัน จะส่งมือแล้วก็มองกันด้วยสายตา เพราะไอ้การตะโกนพูดกันหรืออะไรมันอายเขา เราอายุมากกันแล้ว พอเห็นว่ายังไงเขาก็ไม่เดินเข้าไป เราก็กลัวเจ้าหน้าที่เขาจะว่า เลยต้องหันหลังให้แล้วเดินออกมาก่อน พอหันไปอีกที เขาก็เดินเข้าไปแล้วนั้นนะฉันไม่รู้เลยว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของเรา”
ตายในคุก
“วันที่ไปดูศพ ฉันแค้นจนอยากจะระเบิด อยากจะพูดอะไร แต่ว่ามีอีกใจหนึ่ง—ฉันอาจไม่ใช่คนกล้าขนาดนั้นก็ได้เพราะฉันยังมีห่วงอีก เยอะ แต่ฉันก็พูดกับทนายหรือใครนี่แหละว่า “หมาซักตัวหนึ่งมันยังเลือกที่ตายได้ สมมติอยู่ตรงกองทรายร้อนๆมันยังกระเสือกกระสนไปหาที่ร่มได้ แต่อาปออยู่ในกรงขังตอนนั้น มันไม่มีที่ไป นอกจากจะเลือกที่นอนตายไม่ได้แล้ว ยังทำอะไรไม่ได้แม้แต่เวลาหิว” “
ผลที่ตามมา
“...ความตายของอาปอเหมือนจะบอกว่าให้ดูแลคนอื่นๆด้วย ฉันคิดอย่างนั้นจริงๆ คนอื่นเขาไม่ใช่คนหรือ คดีอื่นๆเขาก็คน
ฉันก็อยากบอกไว้ตรงนี้ และฉันคิดว่าไม่ผิด
ฉันขอออกเสียงแรงๆเลยว่า วันนี้อากงหลุดพ้นแล้ว ไม่รู้จะเรียกร้องอะไรเพื่ออากงได้แล้ว
แต่ถ้าการตายของเขามันเหมือนจะทำให้เกิดความยุติธรรมขึ้นมาใหม่ที่ดีกว่า เก่า ที่ดีกว่าที่ทำกับอากง ฉันก็อยากเรียกร้องให้แก่คนที่ยังอยู่ในเรือนจำให้มันเกิดความยุติธรรมขึ้น ในสังคมไทย ในสังคมของผู้ที่อยู่ในเรือนจำ ทุกคดีให้มองผู้ต้องหาว่ายังเป็นคนอยู่
ที่สามีฉันเสียชีวิตคือก็เป็นนักโทษ แล้วนักโทษไม่ใช่คนหรือ ถึงจะไม่รู้จักหิว รู้จักปวด รู้จักอะไร”
อากงจะกระทำความผิดจริงหรือไม่ไม่มีใครรู้นอกจากอากงที่เสียชีวิตไปแล้ว ในสภาพน่าอนาถในเรือนจำ แต่อากงได้ยืนยันอยู่เสมอว่าตนเองส่งเอสเอ็มเอสไม่เป็น
ณ บัดนี้ “รักเอย”ที่เขียนขึ้นโดยคนจบการศึกษาเพียง ป.4 ของ “ป้าอุ๊”และ ความตายของ “อากง”ได้สร้างความสั่นสะเทือนแก่วงการยุติธรรมไทยขึ้นแล้วอย่างมหาศาล
ช่างเป็นวรรณกรรมที่งดงามและเป็นความตายที่ยิ่งใหญ่ของคนตัวเล็กๆโดยแท้
ข่าวดีไทยแชมป์fb ข่าวร้ายได้ที่โหล่พิมพ์หนังสือ
ประเทศ | จำนวนผู้ใช้ อินเตอร์เน็ต | จำนวนผู้ใช้ | % ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ที่มี facebook account |
---|---|---|---|
ไทย | 18 ล้าน | 16 ล้าน | 88% |
ฟิลิปปินส์ | 34 ล้าน | 29 ล้าน | 85% |
อินโดนีเซีย | 55 ล้าน | 41 ล้าน | 74% |
มาเลเซีย | 18 ล้าน | 13 ล้าน | 72% |
สิงคโปร์ | 3.6 ล้าน | 2.6 ล้าน | 72% |
เวียดนาม | 31 ล้าน | 6.5 ล้าน | 21% |
เกาหลีใต้ | 40 ล้าน | 8 ล้าน | 20% |
ญี่ปุ่น | 101 ล้าน | 11.7 ล้าน | 11% |
อ้างอิง:
[1] http://www.whereisthailand.info/2012/07/wikipedia-language-statistics/
[2] http://www.socialbakers.com/facebook-statistics/?interval=last-week
[3] http://www.internetworldstats.com/asia.htm
[4] http://data.worldbank.org/indicator/SP.POP.TOTL[5] http://www.socialbakers.com/facebook-statistics/cities/
ข่าวร้าย ไทยพิมพ์หนังสือออกใหม่เป็นที่โหล่ในอาเซียน
ที่มา Ratchaprasong News
ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย 08/09/55 ใครของจริง..ใครของดัมมี่
ที่มา blablabla
โดย 3บลา ประชาไท
ไม่ลดละ ความเฉไฉ อย่างไร้กึ๋น
ยังตั้งท่า มาแสดง แสร้งทำมึน
หลับหรือตื่น ดูไม่ออก บอกแล้วไง....
ใครของจริง ของปลอม พร้อมได้เห็น
กี่ประเด็น สาละวน คนสงสัย
ทั้งชีวิต "เราดูแล" เริ่มแพ้ภัย
เรื่องเล็กใหญ่ ไฉนแย่ แค่ลวงๆ....
เห็นจับเจ่า คุยโขมง อุโมงค์ยักษ์
เหมือนชนัก ปักผู้ว่าฯ ยิ่งน่าห่วง
หรือยักยอก ให้สับสน ชนทั้งปวง
กลายเป็นบ่วง ชี้ชัด ไว้มัดคอ....
รัฐทดสอบ ระบายน้ำ ย้ำให้เห็น
ยังหน้าเป็น เพ้อพร่ำ ทำหัวหมอ
หรือจะคอย น้ำท่วม อ่วม กทม.
ทั้งคลองท่อ ตันหมด รันทดนัก....
ใครของจริง ใครดัมมี่ ตัวชี้วัด
ยิ่งผูกมัด พวกเดนคน จนประจักษ์
พอน้ำมา ผู้ว่าหงอ รอฟูมฟัก
ใครยังรัก เชิญอุ้มสม จมน้ำตาย....
๓ บลา / ๘ ก.ย.๕๕
Friday, September 7, 2012
'โอ๊ค' ขำ 'ชวนนท์' หน้าแตกแฉข้าวแกงสโมสรรัฐสภาฯแพง
ที่มา Voice TV
ตู้เย็นจีนโชว์ 'ทัชสกรีน'
ที่มา Voice TV
ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าจีน ไฮเออร์ โชว์ตู้เย็นไฮเทค
มีหน้าจอทัชสกรีนบนบานประตู
สามารถแนะสูตรผสมเครื่องดื่มค็อกเทลได้ตามวัตถุดิบที่แช่ไว้
แถมยังเตือนเวลาอาหารหมดอายุได้ด้วย
ไฮเออร์ได้นำตู้เย็นรุ่นนี้ออกแสดงในงานแสดงสินค้า ไอเอฟเอ ในกรุงเบอร์ลิน แต่ยังไม่มีแผนที่จะผลิตขายออกสู่ท้องตลาด
เมื่อผู้ใช้นำอาหารเข้าตู้ เพียงแตะสัมผัสหน้าจอทัชสกรีน ตู้เย็นก็จะจดจำรายการอาหารนั้นไว้ในฐานข้อมูล
จากนั้นตู้เย็นจะอาศัยข้อมูลเหล่านั้นเสนอสูตรปรุงค็อกเทลจากรายการอาหารที่ถูกบันทึกไว้
แถมเมื่ออาหารกำลังใกล้จะหมดอายุ เจ้าตู้เย็นอัจฉริยะก็จะเตือนให้รู้ล่วงหน้า
หน้าจอมีลักษณะกึ่งโปร่งใส ผู้ใช้จึงสามารถอ่านข้อมูลบนหน้าจอสัมผัส และมองทะลุเห็นอาหารที่ถูกแช่ไว้ภายในได้
นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถกดปุ่มเลือกรายการ เพื่อดูโฆษณาเกี่ยวกับอาหารยี่ห้อนั้นบนจอทัชสกรีนได้ด้วย
นักออกแบบของไฮเออร์บอกว่า หน้าจอแบบนี้ช่วยรักษาสภาพแวดล้อม
เพราะผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเปิดตู้เย็นดูว่ามีของกินอะไรบ้าง
เพียงแต่สัมผัสหน้าจอ ข้อมูลก็จะโชว์ทุกรายการให้เห็น
เมื่อไม่ต้องเปิดตู้เย็นบ่อยๆ ก็สามารถประหยัดพลังงานได้
ในงานนี้ ไฮเออร์ยังได้โชว์ทีวีไฮเทค ซึ่งสามารถเปลี่ยนช่องได้ โดยผู้ใช้เพียงแต่พยักหน้าอีกด้วย
โทรทัศน์ Eye Control TV เครื่องนี้ มาพร้อมกับอุปกรณ์ขนาดใหญ่ ซึ่งวางไว้ตรงหน้าเครื่องทีวี
@ โทรทัศน์ควบคุมด้วยการกระพริบตา
แค่กระพริบตาโดยเจตนาไปยังเซนเซอร์ตรวจจับสัญญาณ
ผู้ใช้จะสามารถเปลี่ยนช่อง, เพิ่มหรือลดระดับความดังของเสียงได้
หรือสั่งปิดโทรทัศน์ก็ยังได้
ไฮเออร์บอกว่า เทคโนโลยีตรวจจับการเคลื่อนไหวของดวงตานี้
สามารถแยกแยะการกระพริบตาโดยธรรมชาติของคนเราได้ เพราะฉะนั้น
ไม่ต้องกลัวว่า ถ้าเรากระพริบตาธรรมดาๆแล้ว โทรทัศน์จะเปลี่ยนช่องเอง
Source : The Mail (UK.)
ขีดความสามารถแข่งขันไทยไต่ขึ้นอันดับ 38
ที่มา Voice TV
เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม ได้จัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของไทย ในอันดับที่ 38 ขณะสวิทเซอร์แลนด์มาเป็นอันดับที่ 1 ตามด้วยสิงคโปร์ และฟินแลนด์
ดับเบิลยูอีเอฟ ระบุว่า แม้ประเทศไทยได้เลื่อนอันดับในการประเมินประจำปีนี้ แต่ไทยยังคงเผชิญข้อท้าทายต่อขีดความสามารถในการแข่งขันหลายประการ
รายงานชื่อ Global Competitiveness Report 2012-2013 ชิ้นนี้ ชี้ว่า "ความไร้เสถียรภาพทางนโยบายและทางการเมือง, ระบบราชการที่มากด้วยกฎระเบียบ, การฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างกว้างขวาง, ความวิตกด้านความมั่นคง, และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา ได้บั่นทอนคุณภาพของกรอบเชิงสถาบัน ที่ภาคธุรกิจต้องการอย่างมาก"
ในแง่ของสถาบัน อันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยได้ตกลง 10 อันดับไปอยู่ที่อันดับ 77 ขณะที่ขีดความสามารถด้านสาธารณสุขที่อันดับ 71 และมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานที่อันดับ 89 นั้น ถือว่ายังเป็นจุดอ่อนในขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย
ระดับเทคโนโลยีของไทย ที่อันดับ 84 ก็ยังนับว่าไม่ดี และภาคธุรกิจยังมีความกังวลในเรื่องความไร้เสถียรภาพของรัฐบาลมากที่สุด ตามด้วยปัญหาคอรัปชั่น และความไร้เสถียรภาพของนโยบาย
สำหรับในด้านบวกนั้น บรรยากาศของเศรษฐกิจมหภาคนับว่ากระเตื้องขึ้น และไทยยังได้อันดับค่อนข้างดีในด้านการคุ้มครองนักลงทุน, ขนาดของตลาดสินค้าต่างประเทศ, คุณภาพของซัพพลายเออร์, การพัฒนาการรวมกลุ่มวิสาหกิจ และห่วงโซ่คุณค่า (value chains)
Source : www.weforum.org; Reuters (image)
'สุชาติ นาคบางไทร' กับทฤษฎีว่าด้วยนักโทษ ม.112 หลังพระราชทานอภัยโทษ
ที่มา ประชาไท
Thu, 2012-09-06 20:25
อดีตนักโทษยันไม่มีใครชนะคดี ม.112 เสนอให้เลือกยอมรับ
ถึงแม้จะบริสุทธิ์ก็จะได้ลดโทษครึ่งหนึ่งและตัดสินทันที ไม่ต้องยืดเยื้อรอ
ย้ำประชาธิปไตยจะต้องมีที่ยืนให้กับคนทุกกลุ่ม
สำหรับคนที่ต้องการลดความอ้วนนี่ แนะนำที่นี่เลย เพราะ 2 สัปดาห์แรก ลดไป 11 กิโลกรัม จิตใจสภาพร่างกาย สภาพแวดล้อม ทุกอย่างเอื้ออำนวยให้น้ำหนักลดมาก อาหารการกินไม่ต้องคิดว่าจะอร่อย สิ่งเดียวที่เราได้รับ คืออาหารที่สะอาดและถูกหลักอนามัย แต่เรื่องที่กลัวก่อนจะเข้าไป กลับไม่ได้พบเลย ได้รับการปฏิบัติเหมือนกับนักโทษคนอื่นๆ ไม่ได้พิเศษหรือแย่กว่าใคร
ได้มีโอกาสคุยกับอากง ตอนแรกก็ไม่รู้จักกัน แต่คุณธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดม หรือ หนุ่ม แดงนนท์ เขาจะเป็นคนที่รวบรวมนักโทษทางการเมืองและนักโทษ ม.112 ให้มาได้รู้จักกัน อากง เป็นคนพูดน้อยและดูแววตาแล้วจะเศร้าอยู่ตลอดเวลา ส่วนตนเองก็ยังมีอารมณ์อื่นบ้าง อากงยังดูเหนื่อย มีสภาพร่างกายที่แก่กว่าอายุมาก เมื่อเทียบกับพี่สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ซึ่งอายุมากกว่าอากง แต่แข็งแรงและกระฉับกระเฉงมาก ซึ่งตอนที่อยู่ในคุกนั้น ไม่ค่อยได้คุยกับใครมากในเรื่องคดีหรือการเมืองเพราะไม่ทราบว่าแต่ละคนที่ เข้ามา เข้ามาด้วยเหตุผลอะไร หรือมีเหตุผลอื่นแอบแฝงด้วยหรือไม่ ส่วนมากจะคุยในเรื่องทั่วๆไป
เดิมทีไม่ได้มีแนวที่ชัดเจนเท่าไหร่ การเคลื่อนไหวของกลุ่มเรา (กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ) เป็นการเคลื่อนไหวที่งดงามมาก เป็นการเคลื่อนไหวของคนที่ตกลงกันกลุ่มใหญ่ แบ่งงานกันทำตามใจอาสา ในแง่ที่เราไม่ชอบการปฏิวัติรัฐประหารการฉีกรัฐธรรมนูญ เราคิดไว้แบบไหน เราก็ยังคิดเช่นเดิม แต่จะทำอย่างไรนั้น ยังตอบไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้เราเคลื่อนไหวกันหลายคน ซึ่งวันนี้ยังไม่ได้พูดคุยกับเพื่อนเก่าๆของเรา ว่าจะมีความคิดอย่างไร แต่ส่วนตัวยังเหมือนเดิม
ความช่วยเหลือในเรือนจำ
ช่วงที่เข้าไปนั้นมีแกนนำ 8-9 คนอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพก่อนแล้ว และกระจายกันอยู่ทุกแดน ดังนั้นความที่เคยกลัวเรื่องร้ายๆ ก่อนเข้าไปในนั้นกลับไม่พบเลย อาจเป็นเพราะว่ามีแกนนำเหล่านั้นคอยเป็นหูเป็นตาให้อยู่แล้ว หรือว่ามีคนสนใจนักโทษคนอื่นๆ ก็เลยรอดปลอดภัย
คดีของผมเป็นคดีที่มีน้อยคนอยากจะเป็นเพื่อนหรือถูกมองว่าเป็นพวกเป็น ฝ่ายเดียวกัน เราจึงไม่ได้มุ่งหวังว่าจะต้องมีใครดูแล เราไม่ได้อาสาใครมาติดคุก เราทำตัวเราเอง ในเมื่อเราทำผิดกฎหมาย เราก็ได้รับโทษ เราก็ถูกจองจำให้เป็นทุกข์ในคุกนั้นถูกต้องแล้ว ถ้าเราถูกจองจำแล้วได้รับความสุข มันก็ไม่ใช่คุก ดังนั้นการที่ตนเองไปติดคุกนั้น ถูกต้อง ไม่ได้โหยหาเรียกร้องว่าใครจะต้องมาดูแล ดังนั้นถ้าจะไม่มีใครดูแล ก็ไม่ใช่ความผิดของใคร เพราะไม่มีใครสั่งให้ผมไปติดคุก เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ต้องให้โอกาสกับบุคคลอื่นที่ร่วมต่อสู้กันมา เขาก็ต่อสู้ในอุดมการณ์ของตนเอง ก็คงไม่มีเวลามาดูแลเรา
ความคิดเห็นเกี่ยวกับ ม.112 หรือ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
เป็นเรื่องซับซ้อน เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกับหลายฝ่าย ดังนั้นมันมีถูกมีผิดทั้ง 2 ด้าน ถ้าจะบอกว่า การรับโทษของผมเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ก็อาจจะถูกต้อง เพราะศาลพิจารณา เราก็ยอมรับสารภาพว่าทำผิด เพราะฉะนั้นติดคุกมันก็ถูกต้องนี่คือมองในแง่กฎหมาย แต่ในแง่ของการต่อสู้เคลื่อนไหวของเรา เนื้อหาจริงๆ ของเรา คือเราออกมาต่อต้านการรัฐประหาร การฉีกรัฐธรรมนูญโดยพลการ และเราเป็นประชาชนออกมาต่อต้าน ถ้าเรื่องแบบนี้ คนๆ หนึ่งออกมาต่อต้านการรัฐประหารแล้วต้องติดคุกนี่ไม่น่าจะถูกต้อง แต่หลังจากที่เราออกจากคุกแล้ว เรากลับเข้าใจและให้อภัย ไม่ใช่เพราะเราเก่งหรือทำใจได้ เราเข้าใจว่า ในประเทศนี้มีคนที่เคลื่อนไหวต่อสู้แบบนี้ และมีมาก่อนพวกเรา มีหลายคนอยู่ประเทศไทยไม่ได้ เพราะฉะนั้น การที่จะทำอะไรที่หมิ่นเหม่หรือผิดต่อกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง
การเคลื่อนไหวรณรงค์ให้มีการปรับแก้หรือยกเลิก ม.112
มีความคิด 2 ด้าน คือทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ถ้าเห็นด้วยแสดงว่า เราเป็นประเทศประชาธิปไตย นั่นต้องไม่มีกฎหมายประเภทนี้เลย แต่ประเทศไทยเราเป็นประชาธิปไตยแบบที่เราเห็นอยู่ เพราะฉะนั้นการที่มีกฎหมายนี้อยู่ จึงเป็นหลักฐานในทางประวัติศาสตร์สำหรับอนาคต เพราะฉะนั้นการมี ม.112 เป็นสิ่งยืนยันว่า ครั้งหนึ่งประเทศไทยเคยมีประชาธิปไตยแบบนี้ เพราะฉะนั้นคนที่เกี่ยวข้องกับมาตรานี้ เมื่อรู้ว่าในอนาคตประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย ก็ควรยกเลิกกฎหมายมาตรานี้ หรือผลักดันให้เข้าที่เข้าทางโดยที่เราไม่ต้องเรียกร้อง
ม.112 กับสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง
ม.112 เป็นสิ่งที่ประเทศประชาธิปไตยไม่ควรมี เพราะทุกคนเท่าเทียมกันหมด เมื่อทุกคนเท่าเทียมกันหมดก็ไม่ต้องมีมาตราอะไรที่เป็นพิเศษอย่างนี้ แล้วทุกคนจะไม่สนใจมาตรานี้
ว่าด้วยนักโทษ ม.112 กับแนวทางการต่อสู้ของคนที่โดนคดี
การต่อสู้ในคดีนี้เป็นประเด็นลำบากใจของนักโทษใน ปัจจุบัน เพราะต้องตั้งคำถามว่า จะเอาอย่างไรดี จะสู้ก็มีเหตุผล ไม่สู้แล้วรับสารภาพก็มีเหตุผล คดีนี้ลองศึกษาในประวัติศาสตร์ การต่อสู้คดีในชั้นศาล เหมือนมีธงไว้แล้ว ดังนั้นเราต้องแยกนักโทษออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งคือ ไม่ได้ทำผิด เขาก็ต้องสู้ สู้เพื่อยืนยันว่า สิ่งที่เขาทำมันไม่ผิด แต่ในประวัติศาสตร์มีใครสู้แล้วชนะบ้าง
ทฤษฎีบทที่ 1 ไม่มีใครชนะคดี ม.112 เลย
ทฤษฎีบทที่ 2 ถ้าคุณจะสู้ เพราะมีความบริสุทธิ์ใจ ก็สู้ไป แต่ในที่สุดก็จะไปเข้าทฤษฎีบทที่ 1 อยู่ดี แม้ว่าจะคิดว่าตัวเองบริสุทธิ์อย่างไร คดีนี้สู้ไปไม่มีใครชนะ และจะโดนลงโทษเต็มๆ
ทฤษฎีบทที่ 3 แล้วถ้าคุณยอมรับล่ะ (ถึงแม้จะบริสุทธิ์) ก็จะได้ลดโทษครึ่งหนึ่ง ตัดสินทันที ไม่ต้องยืดเยื้อรอการไต่สวน หรือรออะไรทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น มีทฤษฎีบทอยู่ 3 ทฤษฎี ในมาตรา 112 แล้วแต่ว่าใครจะเลือกบทไหน ซึ่งจะไม่ขอก้าวก่ายวิจารณ์เลย เพราะมีนักต่อสู้บางท่านบอกว่า “ชีวิตนี้ขอมอบให้กับขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แม้ว่าชีวิตจะหาไม่ ก็จะต่อสู้” นั่นคือ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่ถูกคุมขังอยู่ เขาก็ยังยืนยันแบบนี้ ผมก็บอกไปว่าเมื่อก่อนคดี ม.112 จะมีโทษระหว่าง 3-15 ปี แต่ดูจากประวัติ คนที่เคยโดนคดีนี้จะถูกยกมา 6 ปี คือใครโดนคดีนี้ก็รับไป 6 ปีก่อน ถ้ารับสารภาพจะลดลงครึ่งหนึ่งจาก 6 ปีเหลือ 3 ปี แต่ถ้าไม่รับ แล้วต่อสู้ไม่ชนะ จะโดนโทษ 6 ปี
แต่มีข่าวดีสำหรับผู้ที่อาจมีโอกาสพลาดไปเป็นนักโทษคดี ม.112 เพราะตั้งแต่อากง SMS โดน โทษที่ได้รับ ไม่ใช่ 6 ปี แต่เหลือ 5 ปี คือถ้าใครสู้คดีแล้วแพ้ ก็จะตัดสิน 5 ปี เพราะฉะนั้น ถ้าใครรับ จะได้รับโทษครึ่งหนึ่ง คือ 2 ปี 6 เดือน เหมือนกรณีคุณโจ กอร์ดอน ดังนั้นขณะนี้อัตราโทษลดลงแล้ว
สำหรับผม ใช้ทฤษฎีบทที่ 3 คือ ไหนๆ ก็สู้ไม่ได้แล้ว ขอรับสารภาพแล้วลดโทษครึ่งหนึ่ง เป็นโปรโมชั่นที่ผมเลือก แต่คุณสมยศ ไม่เลือก ตรงนี้ก็ต้องเคารพ
ขณะที่ผมเลือกโปรโมชั่นในทฤษฎีบที่ 3 แล้ว พอเข้าไปในเรือนจำ ยังมีอีก 2 โปรโมชั่นใหญ่ๆ คือโปรฯแรก ได้ลดโทษไปอีก 9 เดือน และโปรฯที่ 2 ได้ลดไปอีก 5 เดือน ดังนั้นจากเดิมที่ติด 36 เดือน จึงเหลือแค่ 22 เดือน
สำหรับการหนีคดีก่อนหน้าถูกจับนั้น ไม่ถือเป็นโปรโมชั่น เพราะขณะนั้นชีวิตสบสนวุ่นวาย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่มีจุดเปลี่ยนคือ คดีของคุณสุวิชา ท่าค้อ ได้รับพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายจนได้ออกไป เท่าที่ทราบ คดีของคุณสุวิชา โทษประมาณ 10 ปี แต่จำคุกประมาณปีเศษๆ ถือเป็นข่าวที่น่ายินดีมาก จึงได้คิดแบบบัญญัติไตรยางค์ว่า ถ้าเทียบกับคดีตนเอง โทษคงเหลือไม่กี่เดือน ผมจึงคิดว่า ติดคุกไปเลยดีกว่า เพราะถ้าหนีต่อไป จะต้องใช้เวลา 20 ปี แล้วยังเป็นไปได้ที่ปีที่ 19 จะโดนจับอีก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นยิ่งแย่ แต่ถ้าเราติดคุกแล้วก็มีโอกาสที่จะถูกดำเนินการแบบคุณสุวิชา ซึ่งมีความเป็นไปได้ จึงเลือกเข้ามาติดคุก
11 พ.ย. 49 ที่มา เฟสบุ๊ค “สุชาติ นาคบางไทร”
การเคลื่อนไหวที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ – ทอล์คโชว์
โครงการนี้คิดขึ้นมาจากนักโทษ 112 ด้วยกัน ในขณะนอนคุยในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คือคิดว่า ถ้าเราออกจากคุกแล้วไปทำมาหากินเฉยๆ เงียบๆ ไป สิ่งแรกคนที่มาเยี่ยม มาช่วยบริจาคสนับสนุนเรา เขาคงผิดหวัง ที่เขากล้าให้เพราะเขาเชื่อว่า เขาฝากประชาธิปไตยกับผมได้ ดังนั้นจึงต้องซื่อสัตย์ต่อความคิดนี้ของผู้สนับสนุน อีกเหตุผลคือ เราจะต้องพูดถึงนักโทษ 112 ในแง่ของความจริง แล้วพูดให้สนุก พูดกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง ตลกอาจเล่นในคาเฟ่ได้ ไม่ใช่เรื่องเร้นลับที่ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยต้องระมัดระวัง แต่ก็ต้องรู้ว่า จะพูดอย่างไรถึงพูดได้ ดังนั้นจึงต้องพูดให้เป็นตัวอย่าง พูดให้เป็นเรื่องธรรมดาและไม่ผิดกฎหมาย ถ้าเราไม่กล้าพูด คนอื่นก็ไม่กล้า หรือไปพูดในมุมมืดแทน ถ้าเรายังใช้ประชาธิปไตยเรื่องนี้ต้องพูดได้ แต่ก็ต้องไม่ก้าวล่วงใคร ไม่ผิดกฎหมาย และประการสำคัญที่ต้องจัด เนื่องจากผมไม่มีรายได้และเงินทุนในการเริ่มต้นชีวิตใหม่
บัตรมี 2 ราคา คือ 112 บาท และสำหรับคนที่มีเงินมากหน่อยคือ 2,000 บาท ซึ่งคาดไว้ว่าน่าจะมีประมาณ 50 คนที่จ่ายในราคานี้ เรื่องวันจัดนั้น ต้องใช้เวลาในการเตรียมการก่อน คิดว่าจะทำให้เป็นแบบมืออาชีพ จึงต้องเตรียมการทั้งเนื้อหา ความสนุกและข้อกฎหมาย ทุกคนสามารถฟังได้ แม้กระทั่งฝ่ายตรงข้าม คาดว่าน่าจะเป็นวันที่ 3 พ.ย.55 นี้ ตรงกับวันแรกๆ ในปี 2549 ที่กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการเกิดขึ้นที่สนามหลวง มีการจัดการปราศรัย จึงเป็นวันรำลึกถึงกลุ่มที่ได้ต่อสู้มาด้วย ส่วนสถานที่ต้องประเมินจำนวนผู้เข้าร่วมอีกที คาดว่าจะใกล้สนามหลวง ซึ่งตนเองคิดไว้เพียงไม่น่าจะเกิน 150 คน แต่เพื่อนในเรือนจำ คือคุณหนุ่ม ธันย์ฐวุฒิ และคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข ประเมินไว้ 500 คน
เกี่ยวกับกลุ่ม ‘คนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ’
จะไม่มีใครปรากฏตัวว่าเป็นใคร มีแต่ผลงานที่ปรากฏ และขณะนั้นสมาชิกแต่ละคนก็ไปทำกิจกรรมในหลายๆ ส่วน อย่าสนใจว่าเราเป็นใคร แต่ควรสนใจว่า เราทำอะไร และเราได้ประชาธิปไตยแล้วหรือยัง เป้าหมายของกลุ่มคนวันเสาร์ฯ ในปี 49 คือต่อต้านการทำรัฐประหาร แสดงให้คณะรัฐประหารเห็นว่า มีคนเดือดร้อนจากการทำรัฐประหาร และเร็วๆ นี้จะมีการเชิญสมาชิกกลุ่มคนวันเสาร์ฯมาร่วมพูดคุยกัน มาพบปะและสรุปบทเรียนที่เคยเคลื่อนไหวกันมา
ความเห็นต่อวาระครบ 6 ปีการรัฐประหาร
เป็นการดีที่เราจะได้รำลึกถึงสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น ส่วนผมและสมาชิกกลุ่มคนวันเสาร์นอกจากจะมีการพบปะพูดคุยกัน กลุ่มคนวันเสาร์จะเป็นกลุ่มนำที่จะเริ่มการปรองดอง ด้วยการเริ่มจากคนในกลุ่ม เพราะกลุ่มมีความหลากหลายมาก ถ้าเราสามารถปรองดองกลุ่มของเราได้ เราก็จะสามารถปรองดองสังคมที่ใหญ่ขึ้นได้ วันนี้ภาระของเราไม่ใช่แค่ต่อต้านรัฐประหาร แต่เราต้องการนำประชาธิปไตยมาให้กับประเทศนี้
เราได้รัฐบาลนี้มาภายใต้ความคลุมเครือ แม้จะให้มีการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลที่ได้ก็ทำงานได้ลำบาก คนที่ทำรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ยังเดินไปเดินมาในสภา ทั้งๆ ที่เป็นนักโทษประหาร มันถูกต้องหรือไม่ ถ้าเช่นนั้นถ้าผมรวบรวมคนแล้วยึดประเทศได้จะเป็นอย่างไรบ้าง ผมโดนแค่คดีเล็กๆ แต่ประเทศไทยเดินไม่ได้มา 4 ปี ส่วนคนทำรัฐประหารกลับไปไหนมาไหนได้สบาย แสดงว่ามันมีอะไรที่พิเศษพิสดารอยู่
ทราบดีว่าทุกคนต้องการ ประชาธิปไตย แต่การเป็นประชาธิปไตยต้องมีที่ยืนให้ฝ่ายตรงข้ามด้วย เรามาพูดว่า ใครไม่เห็นด้วยกับเราก็ต้องเชิญไปต่างประเทศ ใครไม่เห็นด้วยกับเรา ต้องไปเกิดใหม่ อันนี้ไม่ใช่ ประชาธิปไตยต้องไม่พูดคำนี้
เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินคำนี้เมื่อไหร่ แสดงว่ายังไม่มีประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยในฝากฝั่งของเรา จะต้องมีที่ยืนให้กับคนทุกกลุ่ม ทุกองค์กร ทุกสถาบัน อะไรที่มีแล้วมาเป็นประโยชน์ต้องรักษาไว้ อะไรที่มีแล้วมาไม่เป็นประโยชน์ก็ต้องระงับหรือยุติไป เราต้องมากับประชาชนด้วยกัน เพราะประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ไม่ใช่คุยกัน 2 คนแล้วมากำหนด มันไม่ใช่ เมื่อทุกคนเป็นเจ้าของประเทศ แต่ประเทศไม่ได้มีเราเพียงคนเดียว เราเป็นหนึ่งในนั้น จึงต้องรู้ร้อนรู้หนาว
เรื่องที่เกี่ยวข้อง :
ปล่อยตัว 2 นักโทษคดี 112 แล้ว-หมอนิรันดร์ เยี่ยมเรือนจำใหม่หลักสี่ http://prachatai.com/journal/2012/08/42264
ตัดสินจำคุก 'สุชาติ นาคบางไทร' 3 ปี ข้อหาหมิ่นสถาบัน http://prachatai.com/journal/2010/11/32096
ประชาชาติธุรกิจ: เปิดใจผ่านลูกกรง-กุญแจมือ สุชาติ นาคบางไทร ผู้ต้องหาคนล่าสุด "คดีหมิ่น-ม.112" http://prachatai.com/journal/2010/11/31808
ตร.รวบ "สุชาติ นาคบางไทร" ผู้ต้องหาคดีหมิ่นฯ ที่ประตูน้ำส่ง สน.ชนะสงคราม http://prachatai.com/journal/2010/11/31696
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลโพสต์วิจารณ์ข้อเสนอนิธิ และใจ
ที่มา ประชาไท
Fri, 2012-09-07 00:54
หมายเหตุ - เมื่อวานนี้ (6 ก.ย.) สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้โพสต์บทความในเฟซบุคของตน วิจารณ์บทความของนิธิ เอียวศรีวงศ์ และใจ อึ๊งภากรณ์ ในเรื่องข้อเสนอทางการเมืองต่อขบวนการเสื้อแดง โดยเห็นว่าข้อเสนอของ ใจ อึ๊งภากรณ์ "มากไป" และข้อเสนอของนิธิ เอียวศรีวงศ์ "น้อยไป" โดยมีรายละเอียดดังนี้
ยกเลิกการทดสอบระบายน้ำฝั่งตะวันออก
ที่มา thaifreenews
วันนี้การทดสอบระบายน้ำฝั่งตะวันออก ถูกยกเลิกไปก่อนชั่วคราว
โดย ดร.รอยล กล่าวว่าเมื่อคืนวานนี้ได้ทำการใช้เครื่องมือทดสอบจริงไปแล้ว
กับระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นมาจากฝนที่ตกมาทั้งวัน
http://www.tfn5.info/board/index.php?topic=41682.0
ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย 07/09/55 ให้เค้าได้ช่องทางระบายน้ำลาย....
ที่มา blablabla
โดย 3บลา ประชาไท
เปิดช่องทาง ให้เค้า รุกเร้าง่าย
เป็นประเด็น พวกสัปดน พ่นน้ำลาย
ได้ระบาย ความระยำ เคยทำมา....
พวกมันเป็น ผู้บงการ ผ่านมาครบ
ยังเลี่ยงหลบ เงียบเฉย ไม่เคยฆ่า
98 ศพ กลบเกลื่อน เหมือนมารยา
แสร้งตีหน้า ไม่รู้ไม่ชี้ อัปรีย์ชน....
หวังจะเอา น้ำลาย สลายความผิด
ช่างอุบาทว์ วิปริต จิตสับสน
แค่เห่าเก่ง ยังตั้งท่า มาอวดตน
ใช้เล่ห์กล ดีดัก สมพรรคเลว....
กุหาเรื่อง โจมตี ไล่บี้แหลก
หวังชำแรก ยื้อยัก ผลักลงเหว
หวังให้รัฐ ร้อนรุ่ม ดั่งสุมเปลว
ใครล้มเหลว เห็นกันทั่ว มั่วรายวัน....
เล่นการเมือง แบบต่ำช้า น่าสมเพช
นามพรรคเปรต สุดระอา น่าขบขัน
ทั้งหงอก-ดำ หางยันหัว ชั่วพอกัน
ไม่สร้างสรรค์ ดีแต่เห่า เมาน้ำลาย....
๓ บลา / ๗ ก.ย.๕๕
ดีแต่ค้าน
ที่มา uddred
ข่าวสด 7 กันยายน 2555 >>>
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
สมิงสามผลัด
กันไปทั่วว่า รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น ทำอะไรก็โดนขัดแข้งขัดขา-โดนโจมตีไปเสีย ทุกเรื่อง
โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ อย่างการป้องกันน้ำท่วมที่คนทั้งประเทศเฝ้าจับตา
ยังไม่วายโดนขัดขวาง
กว่าคณะกรรมการบริหารจัด การน้ำและอุทกภัย (กบอ.) จะลงมือซ้อมระบายน้ำฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก เพื่อทดสอบการระบายของคูคลองต่างๆ ได้สำเร็จ
ก็โดนฝ่ายตรงข้ามโจมตี-ต่อต้านทุกวัน
หยิบประเด็นทั้งเรื่องน้ำทะเลหนุน-พายุเข้าขึ้นมาดิสเครดิต กันดื้อๆ
ทั้งที่ข้อเท็จจริงก็คือ การซักซ้อมระบายน้ำเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากทำช้ากว่านี้จะเข้าฤดูมรสุม หน้าน้ำหลาก อาจไม่ทันการณ์
จึงต้องซ้อมรีบปล่อยน้ำในช่วงนี้ ให้รู้ว่าจุดไหนบ้างยังบกพร่อง
จุดไหนบ้างที่ยังไม่ขุดลอกคลอง !?
จะได้แก้ไขทันเวลา
จริงๆ ก็เข้าใจอยู่แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลย่อมค้านทุกเรื่องอยู่แล้ว
แต่หนนี้เป็นเรื่องใหญ่กระทบประชาชนมาก ลองไม่ค้านซักเรื่องคงไม่มีใครว่าอะไร
อีกเรื่องที่ติติงรัฐบาลได้ตลอด ก็คือปัญหาไฟใต้
ทุกครั้งที่เกิดเหตุระเบิดใหญ่ๆ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็จะตกเป็นเป้าโดนถล่มไปด้วยทุกที
โดนข้อหาไม่สนใจปัญหาไฟใต้บ้าง ไม่ใส่ใจบินไปดูบ้าง
หรือมัวแต่เสพสุขอยู่ในกรุง เทพฯ บ้าง
โดยเอาภาพนายกฯ ปูร่วมงานเลี้ยงในกรุงเทพฯ ที่บังเอิญเป็นช่วงที่เกิดระเบิดที่ปักษ์ใต้ มาโชว์ดื้อๆ
ทั้งที่ข้อเท็จจริงก็คือมีรอง นายกฯ เลขาฯ สมช. ศอ.บต. ผบช.ศชต. และแม่ทัพภาค 4 บูรณาการแก้ปัญหาอยู่
มาล่าสุดนายกฯ นำคณะ 7 รมต. บินไปจ.นราธิวาส
ประชุมติดตามสถานการณ์ความรุนแรง และเรื่องการเยียวยาเหยื่อไฟใต้
ก็ไม่วายโดนพวกหน้าเดิมๆ โจมตีอีกจนได้
หาว่านายกฯ ทำให้เจ้าหน้าที่เดือดร้อน ต้องวางกำลังเป็นพันนายอารักขา
ไม่ไปก็ค้าน พอไปก็หาเรื่องค้านอีก
จันดาราท้าพิสูจน์พลังคว่ำบาตรฝ่ายประชาธิปไตย
ที่มา Thai E-News
ตลกบริโภค:ป๋า เทพ โพธิ์งาม ขึ้นเวทีเสื้อหลากสีของหมอตุลย์ อ้างว่าออกมาซื้อข้าวมันไก่เลยแวะขึ้นเวทีด่าเสื้อแดงสมัยชุมนุม มีนาคม-พฤษภาคม 53 ผลคือคนเสื้อแดงบอยคอตหนัง"หมาแก่อันตราย"จนเจ๊งไม่เป็นท่า หนังภาคต่อเรื่องนี้ทำเงินได้ 3 ล้าน จากที่ภาคแรกโกยไป 123 ล้าน หากป๋าเทพไม่มาตลกบริโภคจนโดนแบน หนังภาค2อาจไม่เจอชะตาขาดแบบนี้
แล้ว ก็มาถึงคิวของจัน ดารา ที่ทั้งดารานำแสดง กองเชียร์ขาใหญ่ ล้วนแต่เตะตาต้องใจคนเสื้อแดง และผู้รักประชาธิปไตยทั้งนั้น...มันจะรอดมั้ย?
โปสเตอร์หนังจันดาราที่โฆษณาทาเว็บไซต์ASTVผู้จัดการ หนังจะลงโรงวันนี้
ปากหรือนั่น-ตั๊ก-บงกช ดาราแสดงนำเขียนด่าอากงตอนเสียชีวิตว่า"แผ่นดินจะได้ดีขึ้น"จนเธอตกเป็นเป้าบอยคอยและประท้วงมาแล้ว
กนกเตี้ยโผล่เชียร์-จัน ดารา แสดงนำโดยตั๊ก-บงกช โปรโมตโดยกนก รัตน์วงศ์สกุล จ่อคิวลงโรงทั่วประเทศ6กันยายนนี้ ผู้สร้างทำเป็น 2 ภาคให้เป็นภาพยนตร์เกริกเกลียดแห่งสยาม(ขอขอบคุณภาพจากKanok Ratwongsakul Fan Page)
ร่วมส่งเสียงเชียร์อย่างเป็นทางการโดย"เกจินู้ด"-เกจินู้ด “นิวัติ กองเพียร” พูดถึงเลิฟซีนใน "จันดารา ปฐมบท" ว่า... "ฉากสังวาสทั้งหมดในหนัง ไม่ได้ทำให้ผมเกิดอารมณ์ทางเพศเ
ภาพจากเฟซบุ๊คโปรโมตหนังจันดาราที่เกจินู้ดบอกว่า เป็นเลิฟซีนที่ไม่ได้สื่อความอน
ศาลอุทธรณ์เลื่อนตัดสิน"การุณ"ฟ้องหมิ่นประมาท"สมเกียรติ"
ที่มา uddred
มติชน 6 กันยายน 2555 >>>
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 กันยายน ที่ห้องพิจารณาคดี 703 ศาลอาญา
ถนนรัชดาภิเษก ศาลเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ นายสมเกียรติ
พงษ์ไพบูลย์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ จำเลยในคดีหมิ่นประมาท
ในคดีที่ศาลชั้นต้นได้เคยมีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้ว
โดยในวันนี้ศาล
ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
แต่เนื่องจากศาลได้ส่งหมายให้จำเลยแล้วแต่จำเลยเปลี่ยนที่อยู่
จำเลยจึงยังไม่ได้รับหมายศาล
กรณีมีเหตุจำเป็นจึงให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นวันที่ 19
ตุลาคมนี้
คดีนี้ นายการุณ โหสกุล หรือ เก่ง ส.ส.เขตดอนเมือง
พรรคเพื่อไทย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง สรุปว่า เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2551
จำเลยได้ใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยการโฆษณา
โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง
คือจำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลอาญาแล้ว
จำเลยกับพวกได้จัดแถลงข่าวที่อาคารรัฐสภา มีเจตนาให้ข่าว นักหนังสือพิมพ์
ผู้สื่อข่าวทางวิทยุ และโทรทัศน์ ที่มาฟังการแถลงข่าวของจำเลย
นำข้อความที่จำเลยแถลงไปเผยแพร่ข้อความทางหนังสือพิมพ์และทางโทรทัศน์
เพื่อให้บุคคลอื่นและหรือประชาชนทั่วไปได้ทราบข้อความที่จำเลยแถลงข่าว
ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
Thursday, September 6, 2012
ตรวจพบแอลกอฮอล์ 'ทายาทกระทิงแดง' เกินกำหนด
ที่มา Voice TV