WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, February 19, 2011

"วัชระ เพชรทอง"แจ้งจับ"แม้ว-ทนายดัตช์"กล่าวหาเขียนหนังสือหมิ่นสถาบัน-ศาล

ที่มา มติชน



นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายโรเบิรต์ อัมสเตอร์ดัม ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณชาวฮอลแลนด์ และนายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการ วารสารฟ้าเดียวกัน ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากกรณีจัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือเรื่อง"สมุดปกขาวการสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ" โดยอ้างว่า มีข้อความหมิ่นสถาบัน กล่าวหาศาลว่าถูกครอบงำยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามอำเภอใจ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) วันที่ 19 ก.พ.

เสื้อแดงทยอยรอศาลฎีกา ตร.คุมเข้มห้ามเข้า-ออก ปิดการจราจรหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ทุกช่องทางแล้ว

ที่มา มติชน

นปช.ทยอยสมทบหน้าศาลฎีกา สนามหลวง ตำรวจคุมเข้ม-ห้ามเข้าออก


ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศหน้าศาลฎีภา สนามหลวง เมื่อเวลา 12.05น.ว่า กลุ่มนปช.บางส่วนได้ทยอยเดินทางมาที่หน้าศาลฎีกาแล้ว โดยทั้งหมดต่างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ขณะที่บางส่วนปูเสื่อนอนเอาแรง เพื่อรอให้กลุ่มนปช.จากราชประสงค์เดินทางมาสมทบในช่วงบ่าย

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแต่งกายด้วยชุดปราบจลาจล พร้อมกระบองและโล่ ยืนรักษาความปลอดภัยอยุ่ภายในศาลฎีกา ส่วนภายนอกศาลฎีกามีการตั้งรั้วเหล้กเป็นแนวแยว รวมได้ได้ปิดถนนหับเผย ซึ่งอยู่ระหว่างศาลฏีกากับศาลหลักเมือง ไม่ให้มีรถใดๆผ่านเข้าออก


ส่วนบรรยากาศบนนถนนราชดำเนิน ใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ได้มีพ่อค้าแม่ค้าเสื้อแดงตั้งแผงลอยขายสินค้าที่ระลึกแล้ว เพื่อรอผู้ชุมนุมที่จะมารวมตัวในช่วงบ่ายวันนี้

ตำรวจปิดการจราจรหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ทุกช่องทางแล้ว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 12.50 น.หลังจากที่ผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงทยอยมาชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์เพิ่มมากขึ้น ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตัดสินใจปิดการจราจรแยกราชประสงค์ทุกช่องทางแล้ว จากช่วงก่อนหน้าที่ยังเปิดให้สัญจรได้3ช่องทาง ทำให้ผู้ที่ขับนถมาจากถนนราชดำริไม่สามารถผ่านเข้าไปแยกราชประสงค์ เพื่อไปทางประตูน้ำ ราชปรารภได้ ต้องเลี้ยวซ้ายไปทางถนนพระราม 1

นปช.ทยอยชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ก่อนเวลาการจราจรยังเปิดตามปกติ

เมื่อเวลา11.10น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากลุ่มแนวร่วมประชาธิปตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง เริ่มทยอยเดินทางมาร่วมชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ก่อนเวลานัดหมายบ่ายโมงเพื่อเดินขบวนเคลื่อนไปที่ศาลฎีกาก่อนจะกลับไปปักหลักที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผู้ชุมนุมยังคงยืนอยู่บนฟุตปาธหลบตาาร่มไม้และชายคาห้างสรรพสินค้าขณะนี้ยังไม่มีการปิดการจราจร

ญาติเสื้อแดงทำบุญวางดอกไม้รำลึกผู้เสียชีวิต6ศพวัดปทุมฯ







เมื่อเวลา11.00น. วันที่19กุมภาพันธ์ ที่วัดปทุมวนารามวรวิหารกลุ่มคนเสื้อแดงและญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์กระชับพื้นที่เมื่อวันที่19พฤษภาคม2553 จนมีผู้เสียชีวิตภายในวัด6ราย นายวสันต์ สายรัศมี อาสากู้้ ภัยผู้อยู้่ในเหตุการณ์และเป็นเพื่อนกับอาสาสมัครเสียชีวิตจำนวน2รายร่วมไว้อาลัยและวางดอกไม้รำลึกถึงผู้เสียชีวิต นอจากนี้นายบัวศรี ทุมมา ผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์มาร่ววมพิธีและกลุ่มคนเสื้อแดงอีกจำนวนหนึ่งร่วมรำลึก

เล่นคาถา

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน

มันฯ มือเสือ




ไม่มีใครรู้ว่าบังเอิญหรือจงใจ

เรื่องที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์

ออกมาโยนหินถามทางถึงผลเลือกตั้งในอนาคต

ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้รับเลือกส.ส.รวมทั้ง 2 ระบบมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ถ้าคะแนนรวมในส่วนส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ชนะขาด

ใครจะเป็นฝ่ายได้ฟอร์มรัฐบาลก่อน

ดันไปตรงกับกรณีคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญชุดที่มีนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ นั่งเป็นประธาน

เสนอแก้รัฐธรรมนูญปรับโครงสร้างการเมือง ให้หัวหน้าพรรคที่ได้รับคะแนนสูงสุดจากระบบปาร์ตี้ลิสต์ มีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

แต่ไม่ว่าจะบังเอิญหรือรู้กันมาก่อน

สรุปคือทั้ง "สูตรกอร์ปศักดิ์" หรือ "สูตรสมบัติ" โดนถล่มเละด้วยกันทั้งคู่

โดยคนที่ออกมาถล่ม ถ้าไม่นับรวมพรรคฝ่ายค้าน ก็มีตั้งแต่คนในพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้แต่คนในพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็ดูเหมือนไม่ค่อยจะเห็นด้วย

ลำพังนายกอร์ปศักดิ์นั้นไม่ค่อยเท่าไหร่

เพราะด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานก็ต้องพยายาม "รับใช้" พรรคประชาธิปัตย์อย่างถึงที่สุด เป้าหมายคือทำอย่างไรก็ได้ให้พรรคได้กลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีกรอบ

ไม่ได้ด้วยเล่ห์ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ต้องเอาด้วยคาถา

แต่สำหรับนายสมบัติ งานนี้น่าจะโดนหนักหน่อย

เพราะเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ สูตร 375+125 ที่คณะกรรมการ เพิ่งชงให้พรรคแกนนำรัฐบาลผลักดันจนผ่านรัฐสภาไปหมาดๆ

ยังเคลียร์ไม่ได้ว่าเบื้องหลังแอบไปมีนอกมีในอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์ หรือเสนอไปตามความบริสุทธิ์ใจ

แม้แต่ตัวนายสมบัติเอง ตอนแรกที่นายกฯ อภิสิทธิ์ดึงเข้ามาเป็นประธานคณะกรรมการชุดนี้

ก็ถูกใครต่อใครหลายคนนินทา กล่าวหาเป็นนักวิชาการในสายพรรคประชาธิปัตย์

แต่สังคมก็ยังเปิดโอกาสให้ใช้ผลงานเป็นเครื่อง พิสูจน์

เมื่อครั้งเสนอสูตรที่มาส.ส. 375+125 ตอนนั้นก็ยังไม่แน่ใจ

แต่พอมาเรื่องล่าสุด เสนอให้หัวหน้าพรรคที่ได้รับคะแนนสูงสุดจากระบบปาร์ตี้ลิสต์ เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรี

แถมยังคลิกกันพอดีกับไอเดียนายกอร์ปศักดิ์

เลยหายสงสัยเป็นปลิดทิ้ง

งบประมาณกลางปี

ที่มา ไทยรัฐ

งบประมาณการใช้จ่ายของประเทศ นอกจาก งบประมาณประจำปี แล้ว งบอื่นๆที่ตั้งขึ้นมาตามความจำเป็นแต่ละกรณีขึ้นอยู่กับความเหมาะสม บางรัฐบาลให้เป็นอำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บางยุคให้อำนาจ ส.ส. บางรัฐบาลให้อำนาจนายกฯ ให้อำนาจรัฐมนตรีที่จะพิจารณาอนุมัติงบประมาณนั้นๆ

บางครั้งการตั้งงบประมาณของบางหน่วยงานก็ถูกวิจารณ์กันมาก เช่น งบลับของกองทัพ งบฉุกเฉิน ที่มีการซิกแซกบิดเบือนงบประมาณรายจ่ายเอาไปใช้ส่วนตัวหรือแสวงหาผลประโยชน์เพื่อพวกพ้อง จนกระทั่งมีการเรียกร้องให้เปิดเผยการใช้งบประมาณเหล่านี้ อาจมี สตง.ลงไปตรวจสอบว่าการใช้งบประมาณแต่ละครั้งแต่ละโครงการถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ มีนอกมีในหรือไม่ ทุจริตหรือไม่ ก็ยังควบคุมได้ยากอยู่ดี

การใช้จ่ายงบประมาณที่ผ่านการอนุมัติจากรัฐบาลหรือนักการเมืองก็เป็นที่รู้ๆกันอยู่ เพราะมีการถลุงงบประมาณกันจากบรรดานักการเมืองและผู้รับเหมา กว่างบประมาณจะไปถึงมือประชาชนก็เหลือแต่ซากงบประมาณ หรือเป็นการใช้งบประมาณตามความต้องการของนักการเมืองและผู้รับเหมามากกว่าจะเป็นความต้องการของประชาชน ดังจะเห็นได้จากมีโครงการยัดเยียดสารพัดชนิดไป

ถึงชาวบ้าน ใช้ประโยชน์ได้บ้างไม่ได้บ้าง หน่วยงานตรวจสอบก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองไปฉิบ

หลังจากประเทศไทยเกิดวิกฤติการเมืองและวิกฤติชายแดนภาคใต้ งบประมาณรายจ่ายของประเทศรั่วไหลมากขึ้น งบประมาณที่ใช้จ่ายในภาคใต้เป็นหมื่นล้าน การใช้งบประมาณในการปราบปรามการชุมนุมของประชาชนก็เป็นหมื่นล้าน มารัฐบาลชุดนี้ เพิ่มงบพิเศษ งบซื้อเวลา ที่จะต้องจัดสรรให้กับพรรคการเมืองต่างๆเพื่อที่จะอยู่ร่วมรัฐบาลกันต่อไป

งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2554 จำนวน 1 แสนล้านบาท อ้างว่าเพื่อฟื้นฟูและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติ รวมทั้งสวัสดิการของสังคม เป็นข้ออ้างที่ ประชาชนถูกจับเป็นตัวประกัน เป็นจำนวนกว่า 1 หมื่น 5 พันล้านบาท

เป็นงบเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 8 หมื่น 4 พันล้าน

เงินจำนวน 1 หมื่น 5 พันล้าน ที่จัดสรรไปตามกระทรวงต่างๆหวานคอผู้รับเหมาและนักการเมือง ไปตามระเบียบอย่างไม่ต้องสงสัย จนบัดนี้ยังเช็ดน้ำลายกันไม่แห้ง

แต่เงินอีก 8 หมื่นกว่าล้าน ที่อ้างว่าไป ชดใช้เงินคงคลัง รัฐบาล สามารถชี้แจงรายละเอียดได้หรือไม่ว่าเงินคงคลังจำนวนดังกล่าวหายไปไหน หรือเอาไปใช้เป็นข้ออ้างว่าแก้วิกฤติการเมือง หรือเอาไปแจกตัวช่วย ไปสมนาบุญคุณใครบ้าง

ที่ผ่านมา รัฐบาลถูกวิจารณ์ว่า ถังแตก น่าจะเป็นความจริง มีแต่ตัวเลข ไม่มีเงิน อาศัยเงินสำรองหมุนไปหมุนมา งบฉุกเฉินหายไปไหนหมด งบความมั่นคงไปอยู่ที่ไหน รัฐบาลต้องตอบคำถามให้กระจ่าง

ภัยพิบัติที่ผ่านมาก็ต้องอาศัย เงินบริจาคจากประชาชน แม้แต่ที่เอาไปแจกชาวบ้านที่ภูมิซรอลก็ยังเอาเงินบริจาคน้ำท่วมไปแจก

เก่งไม่กลัว กลัวโกง.


"หมัดเหล็ก"

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย วันที่ 19/02/54

ที่มา thaifreenews

โดย blablabla



สันดาน นักการเมือง เรื่องอุบาทว์
มันเก่งกาจ โกงกิน ถวิลสร้าง
แสร้งมารยา สารพัด คอยจัดวาง
กินพุงกาง ก็เฉย ไม่เคยพอ....

สมตุ๊กแก พันธุ์ใหม่ ของไทยแท้
บ้านเมืองแย่ ยังโกงได้ ไม่เคยฝ่อ
แถมสร้างเรื่อง สรรเสริญ คอยเยินยอ
พวกสอพลอ ก็เฮฮา ประสามัน....

ฆ่าเสื้อแดง กี่ศพ รบเขมร
แถมเบี่ยงเบน เรื่องราว คราวขบขัน
อีกไฟใต้ ลุกโชน โดนยิง-ฟัน
กลับเงียบงัน เฉไฉ ไอ้อัปรีย์....

ทั้งข้าวยาก หมากแพง แรงถดถอย
ยังสำออย หลบหลีก แล้วปลีกหนี
หวังโกงกิน จนฉ่ำชื่น รื่นฤดี
มันสร้างหนี้ กองไว้ ใครใช้คืน....

สมตุ๊กแก พันธุ์ใหม่ จัญไรนัก
มันคึกคัก อิ่มหนำ ทำหน้าชื่น
ประชาชน ชอกช้ำ สุดกล้ำกลืน
มันยังลื่น กอบโกง เกี่ยวโยงใย....

เกาะซากศพ หากิน จนสิ้นซาติ
ลุอำนาจ ย่ำแย่ เกินแก้ไข
มันก่อหนี้ ให้ลูกหลาน สะท้านใจ
เลวต่อไป เพราะพวกโง่ ตามโอ๋มัน....


blablabla32@hotmail.co.th
http://3blabla.blogspot.com
วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การเมืองอินเตอร์เน็ต : บทเรียนจากอียิปต์ถึงประชาไทดอทคอม

ที่มา ประชาไท

ตัวแทนคณะกรรมการปกป้องสื่อ หรือ CPJ เล่าเรื่องการใช้สื่อออนไลน์รณรงค์ทางการเมืองในอียิปต์ ระบุรัฐบาลอียิปต์ปิดกั้นเสรีภาพออนไลน์แบบไม่มีกฎหมายรองรับ สฤนี อาชวานันกุล กรรมการเครือข่ายพลเมืองเน็ต ตั้งข้อสังเกตคดีผอ. ประชาไท ชี้ให้เห็นว่าขาดกระบวนการและขั้นตอนในการบังคับใช้ พรบ. คอมพิวเตอร์

17 ก.พ.54 ศูนย์นโยบายสื่อมวลชนไทย คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับเครือข่ายพลเมืองเน็ต และซีป้า (Southeast Asia Press Alliance – SEAPA) จัดเสวนา “เสรีภาพอินเตอร์เน็ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ : แนวคิดใหม่ อุปสรรคใหม่ (A Public Forum on Internet Freedom in Southeast Asia : New Frontier, New Barrier)” ที่ห้อง 210 ตึกมหาจุฬาลงกรณ์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สฤณี อาชวานันทกุล จากเครือข่ายพลเมืองเน็ต และแดนนี่ โอเบรียน จาก CPJ (Committee to Protect Journalists) ร่วมอภิปรายหัวข้อ “การเมืองอินเตอร์เน็ต : บทเรียนจากอียิปต์ถึงประชาไทดอทคอม (Internet Politics : Lesson learnt from Egypt to Prachatai.com)”

แดนนี่ โอเบรียน (Danny O’Brien)
คณะกรรมการปกป้องสื่อ-Committee to Protect Journalists (CPJ)

ผมคงไม่สามารถวิเคราะห์การเมืองของอิยิปต์ได้อย่างลึกซึ้ง เนื่องจากผมเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการเมืองมากมายนัก

สถานการณ์ทางการเมืองในตูนิเซียและอิยิปต์มีพัฒนาการที่รวดเร็วมาก และเราไม่ทราบว่าจะก้าวไปถึงไหนอย่างไร CPJ เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดผ่านทางอินเตอร์เน็ต มีสัญญาณบ่งชี้บางอย่าง ผมคุยกับผู้เชี่ยวชาญของ CPJ ในภูมิภาคแอฟริกา เราเห็นว่าอิยิปต์กำลังจะเปลี่ยนแปลง การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ จะมีความตึงเครียด ถึงเราจะเห็นว่ารัฐบาลของประเทศต่างๆ มีวิธีที่หลากหลายในการปิดกั้นอินเตอร์เน็ต แต่ความจริงแล้วไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลย

เราพอจะแยกแยะได้ระหว่างการควบคุมและการปล่อยเสรีอินเตอร์เน็ต อิยิปต์ไม่มีการควบคุมอินเตอร์เน็ต แต่ใช้การข่มขู่คนที่โพสต์ข้อความ อิยิปต์เป็นประเทศแรกที่มีการจับบล็อกเกอร์ขังคุก และต่อมาก็เพิ่มความสลับซับซ้อนมากขึ้น ตำรวจจะมุ่งไปที่ตัวบล็อกเกอร์ที่ไม่มีแรงสนับสนุนจากประชาชนและประชาคมโลก หากบล็อกเกอร์คนใดพูดถึงเรื่องความยากจนของอิยิปต์ ก็มีสิทธิที่จะโดนข่มขู่ได้ การควบคุมโดยใช้ตำรวจลับจึงมีแสนยานุภาพมากกว่า และรัฐบาลอิยิปต์ยังใช้วิธีการดึงเอาบรรดาผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต หรือ ISP เข้ามาเป็นพวกอีกด้วย

สัญญาณบ่งชี้ที่เราพบ ประการแรกคือ ประมาณพฤศจิกายนปีที่แล้ว รัฐบาลอิยิปต์เริ่มกดดันบริษัทโทรศัพท์มือถือ และควบคุมไม่ให้มีการส่งเอสเอ็มเอสคราวละมากๆ

สิ่งที่ผมต้องการเน้นในที่นี้คือ มีการกระทำโดยที่ไม่ต้องอาศัยเครื่องมือทางกฎหมายเลย รัฐบาลอิยิปต์สามารถปิดกั้นอินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วโดยการกดดันไปที่ ISP หรือตัวกลาง ประเทศที่มีการควบคุมอินเตอร์เน็ตอย่างแข็งขัน ก็คือประเทศที่มีการควบคุม ISP อย่างแข็งขัน ในฐานะนักเทคโนโลยี กรณีของอิยิปต์ทำให้ตระหนักว่าเราต้องคุ้มครองตัวกลางให้ไม่ต้องรับแรงกดดันทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งต้องเพิ่มประสิทธิภาพให้กับตัวกลางเหล่านั้นมากขึ้น

กูเกิ้ลใช้ความพยายามในการรณรงค์เสรีภาพในอิยิปต์ ซึ่งเป็นคุณอย่างใหญ่หลวง ขณะที่บริษัทโทรศัพท์มือถือกลับไม่มีปากมีเสียง

อีกกรณีหนึ่งคือ Noor Group เป็น ISP รายเดียวที่ไม่ยอมปิดให้บริการในอิยิปต์ บางคนพูดว่าที่ยังให้บริการอยู่นั้น เพราะว่าเกี่ยวข้องกับการให้บริการสถาบันการเงินซึ่งมีเป็นจำนวนมาก แต่ผมเองไม่เชื่อคำพูดนี้สักเท่าใด ถ้าตัวกลางกล้าลุกขึ้นยืนหยัดต่อต้านในช่วงที่สถานการณ์สับสนวุ่นวาย เราต้องปกป้องตัวกลางไม่ให้ได้รับโทษ

เมื่อเทียบกับจีน ซึ่งรัฐบาลควบคุมอินเตอร์เน็ตอย่างเข้มข้นมาก รูปแบบที่ใช้คือการสั่งให้บริษัทผู้ให้บริการหรือ ISP เหล่านั้นต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง ถ้าหากไม่ทำก็จะถูกเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นการคุกคามต่อเสรีภาพบนอินเตอร์เน็ต


สฤณี อาชวานันทกุล
เครือข่ายพลเมืองเน็ต

ก่อนจะพูดถึงกรณีของจีรนุช (เปรมชัยพร) มีความเห็นคือ ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เรื่องเสรีภาพบนอินเตอร์เน็ตกับความรับผิดชอบนั้น ปัญหาคือหน่วยงานของรัฐมักพยายามเรียกร้องความรับผิดชอบโดยการดึงเอาเสรีภาพไป รัฐบาลไทยจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ว่าการเซ็นเซอร์นั้นไม่ใช่วิธีการเดียวที่จะใช้ในควบคุมเสรีภาพบนอินเตอร์เน็ต

หลายคนพูดถึงข้อความที่ทำให้เกิดความเกลียดชัง (Hate speech) เพราะเป็นการทำลายประเทศไทย โดยเฉพาะข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งความจริงแล้วมันขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นคนตีความ

ข้อสังเกตจากคดีของจีรนุช บทเรียนประการแรก คือ

1) การดำเนินคดีนั้น ขาดกระบวนการและขั้นตอนในการบังคับใช้ พรบ.คอมพิวเตอร์ คุณจีรนุชถูกตั้งข้อหาภายใต้มาตรา 15 ของ พรบ.คอมพิวเตอร์ คือการส่งเสริม ยินยอมให้มีการกระทำผิด ซึ่งอัยการหมายถึงการยอมให้มีคนมาโพสต์ข้อความบนเว็บบอร์ด ซึ่งไม่มีการนิยามหรือความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมาย รัฐบาลมองว่าทุกคนต้องรับผิดหมด คณะกรรมการที่ไอซีทีตั้งขึ้น ก็ไม่มีความชัดเจนว่ามีอยู่ก่อนที่จะมีข้อความเหล่านี้หรือไม่ หน้าที่ความรับผิดชอบของคณะกรรมการเป็นอย่างไร และยังขาดความเข้าใจในลักษณะของอินเตอร์เน็ต และอีกหลายๆ อย่าง เช่น การเจอไฟล์เสียงในคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจจะเป็น cookie เจ้าหน้าที่ก็สรุปว่าเป็นเจตนา การมีไฟล์เสียงไม่ได้หมายความว่ามีความตั้งใจเซฟไฟล์เพื่อจะนำไปใช้ต่อ

2) สังคมไทยยังไม่มีการถกเถียงกันมากพอ ขณะที่รัฐบาลก็ไม่มีความชัดเจนในการควบคุม และยังขาดความเข้าใจซึ่งทำให้ทุกอย่างย่ำแย่ลงไปอีก เจ้าหน้าที่รัฐใช้ความเห็นส่วนตัวในการตัดสินว่าอะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ซึ่งอาจไม่ถูกต้องเสมอไป หากถามแต่ละคนก็จะได้ความเห็นที่ไม่เหมือนกัน จึงต้องมีนิยามที่ระบุชัดเจนว่าอันไหนจึงจะถือว่าเป็นอาชญากรรมคอมพิวเตอร์

3) สื่อมวลชนไทยไม่สนใจที่จะทำข่าวเรื่องคุณจีรนุชเลย ส่วนใหญ่คนที่ไปฟังการพิจารณาคดีเป็นชาวต่างประเทศ อาจเพราะเป็นเรื่องยากและเป็นเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งเป็นเรื่องความอ่อนไหว สำหรับพวกเราที่รณรงค์เรื่องนี้ ต้องพยายามทำให้สื่อมวลชนเข้าใจว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เฉพาะเรื่องหมิ่นฯ เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของเสรีภาพสื่อมวลชนและเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่สื่อมวลชนจะต้องสนใจ ดังนั้นเราต้องรณรงค์ให้สื่อมวลชนกระแสหลักมาร่วมรณรงค์ในเรื่องนี้ด้วย

หากคุณมีเว็บไซต์ข่าวและเปิดให้มีการแสดงความคิดเห็น และเว็บมาสเตอร์มีความเสี่ยงที่จะถูกจับกุม เป็นเรื่องง่ายมากที่ใครจะเข้ามาโพสต์ข้อความอะไร ซึ่งเราคงไม่มีเวลามานั่งลบข้อความเหล่านั้น ดังนั้นก็เลือกวิธีที่จะปิดเว็บบอร์ดไปเลย

คดีนี้ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็จะมีผลต่อสื่อมวลชนด้วย วันที่ 15 มีนาคมนี้ จะมีการตัดสินคดีของ นปช.ยูเอสเอ อยากให้ผู้สื่อข่าวติดตามคดีนี้ เพราะเป็นเรื่องของตัวกลางใน พรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 เรื่องภัยคุกคามต่อความมั่นคง

มีคำถามที่ตั้งไว้กับตัวเองด้วยว่า อะไรคือเสรีภาพ และอะไรคือภัยต่อความมั่นคง

ใบตองแห้งออนไลน์:นีโอชาตินิยม

ที่มา ประชาไท

เวลาเราพูดถึงการปลุกชาตินิยมในกรณีปราสาทพระวิหาร และการปะทะกับเขมร ผมมีความรู้สึกว่า มันไม่ใช่แค่ “การเอาความเจ็บปวดของเจ้ากรุงเทพฯ มาเป็นของตน”

นี่ไม่ใช่จะโต้แย้งธงชัย วินิจจะกูล นะครับ แค่อยากเสริมตะหาก เพราะผมรู้สึกว่ามันยังเป็นการ “โหน” ความเป็นมหาอำนาจของเจ้ากรุงเทพฯ หรือเจ้าอยุธยา ทั้งที่คนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ไม่ได้สืบเชื้อสายจาก “คนไทย” ยุคพระนเรศวร หรือแม้แต่ “คนไทย” สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งก็ซมซานมาจากฮกเกี้ยน ไหหลำ ส่วนหนึ่งก็เป็นคนล้านนา ล้านช้าง ที่กลายเป็น “คนไทย” เพราะอังกฤษ ฝรั่งเศส มหาอำนาจผู้รุกราน ขีดเส้นเอาแผ่นดินของเขาไป แล้วแบ่งส่วนหนึ่งมาให้สยาม ก่อกำเนิดรัฐชาติในรัชกาลที่ห้า (ซึ่งตอนแรกๆ ก็ยังมีการต่อต้าน ก่อกบฎเงี้ยว กบฎผีบุญ)
แต่แบบว่าเป็น “คนไทย” แล้วมันมีหน้ามีตากับประวัติศาสตร์ชาติมหาอำนาจ ผู้ตัดหัวพระยาละแวกเอาเลือดล้างเท้า หรือยกทัพไปเผาเมืองเวียงจันทน์ จับเจ้าอนุวงศ์มาใส่กรงขังจนกระอักเลือดตาย ราวกับนั่นเป็นผลงานของบรรพบุรุษตน ทั้งที่บรรพบุรุษของตัวเองอาจเป็นพวกที่ถูกฆ่าตาย แล้วลูกเมียถูกกวาดต้อนเป็นเชลยมาก็ได้

ก็คล้ายๆ กับกรณี 3 จังหวัดภาคใต้ ที่พวกคลั่งชาติไล่คนมลายูมุสลิมว่าถ้าไม่อยากเป็นคนไทยให้ออกไปจากแผ่นดินนี้เสีย ทั้งที่เป็นแผ่นดินของเขา สยามต่างหากล่ะที่ไปตีเขามาเป็นเมืองขึ้น

ผมเพิ่งเปิดดูเว็บไซต์ที่มีคนทำแผนที่ “ไทยเสียดินแดน 14 ครั้ง” ตั้งแต่ทวาย มะริด ตะนาวศรี เชียงตุง สิบสองปันนา สิบสองจุไท ฯลฯ มาจนเสียมราฐ พระตะบอง ดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ระบายความเจ็บปวดชั่วลูกชั่วหลาน

เห็นแล้วอึ้ง ทึ่ง อดไม่ได้ที่จะเคลิ้มฝันตามไปด้วยว่า นี่ถ้าเราไม่ “เสียดินแดน” ป่านนี้ประเทศไทยคงมีอาณาเขตตั้งแต่เทือกเขาอัลไตลงไปจดช่องแคบมะละกา จากมหาสมุทรอินเดียไปจดทะเลตังเกี๋ย เป็นมหาอำนาจผู้ยิ่งใหญ่แห่งอุษาคเณย์ พอฟัดพอเหวี่ยงกับจีน อินเดีย ญี่ปุ่น

อันที่จริงไม่น่าใช่แค่ 14 ครั้งนะครับ ถ้านับตั้งแต่สมัยขงเบ้งทำสงครามปราบเบ้งเฮ็ก มันอาจจะ 15-16 ครั้งด้วยซ้ำ (ขงเบ้งนี่โคตรโหด หลอกทหารเกราะหวายของลุดตัดกุดไปเผาทั้งเป็น บรรพบุรุษเรานะนั่น น่าจะหาพยานหลักฐานไปฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศในฐานะอาชญากรสงคราม)

พวกชาตินิยมบางรายก็ทำทีเป็นรักสันติ เช่นโทษฝรั่งเศสเป็นตัวการทำให้ไทยกับเขมรทะเลาะกัน โห ไม่คิดเลยหรือว่าถ้าไม่มีฝรั่งเศส เขมรก็ต้องทำ “สงครามกู้ชาติ” เอาเสียมราฐ พระตะบองคืน แม้แต่ชาวภูมิซรอลก็คงต้องจับดาบจับปืนสู้กับกองทัพไทยเพื่อกลับไปรวมชาติเป็นเอกราช (เดียนเบียนฟูก็จะกลายเป็นสมรภูมิรบระหว่างเวียดนามกับไทย เพราะเดียนเบียนฟูคือเมืองแถง หรือเมืองแถน ในแคว้นสิบสองจุไท)

อย่างไรก็ดี ผมตั้งข้อสังเกตว่า ความคิดชาตินิยมที่เอามาเป็น “จุดขาย” ในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ความภาคภูมิหรือเจ็บปวดไปกับเจ้ากรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ยังสอดแทรกความรู้สึกว่าเราถูกมหาอำนาจรังแกอย่าง “ไม่ยุติเธรรม” รังแกไปแล้ว ยังจะรังแกอีก ทั้งที่เราเป็นผู้รักสงบ รักสันติ นอกจากนี้ยังสอดไส้ความรู้สึกต่อต้านทุนข้ามชาติ ว่าจะอาศัยเขมรเข้ามาเอารัดเอาเปรียบเรา

ผมอยากเรียกว่านีโอชาตินิยม เพราะเราอยู่ในยุคของนีโอคอนเซอร์เวทีฟ ที่คนเคยเป็นฝ่ายซ้าย เคยชูธงสากลนิยม กลับปลุกระดมชาตินิยม แบบเดียวกับเคยเรียกร้องเสรีประชาธิปไตยเย้วๆ ตอนนี้กลับไปเป็นอนุรักษ์นิยม อยากเห็นสังคมสงบสุขอยู่ภายใต้ “อำนาจพิเศษ”

เราอยู่ในยุคที่ “คอมมิวนิสต์ลาดยาว” ได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญ จากผลงานชั่วชีวิตที่ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ช่วยเหลือคนเล็กคนน้อยที่ถูกอำนาจรัฐรังแก แถมยังเคยว่าคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จนจำเลยชนะเป็นคดีประวัติศาสตร์

แต่ในวันที่พี่ทองใบ ทองเปาด์ ตาย สิทธิมนุษยชนตกต่ำถึงขีดสุด เพราะนักสิทธิมนุษยชนเลือกข้าง เรามีจำเลยคดีหมิ่นฯ ท่วมศาล มากที่สุดเท่าที่เคยมีในประวัติศาสตร์ไทย เรามีคนเล็กคนน้อยหลายร้อยคน ต้องข้อหาเผาบ้านเผาเมือง แล้วถูกขังลืมโดยไม่ได้ประกันตัวตามสิทธิรัฐธรรมนูญ

เราอยู่ในยุคที่ “คนกับควาย” ได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ แต่ “คนกับคน” ถูกยิงตายเกลื่อนกลาดแยกราชประสงค์ เราอยู่ในยุคที่ “ตะวันแดง” กลายเป็นโรงเบียร์ (สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ใครก็ห้ามนำเครื่องหมายการค้า “ตะวันแดง” ไปใช้ ทำซ้ำ หรือลอกเลียนแบบ)

ยุคสมัยเช่นนี้ ความคิดต่างๆ ที่ถูกปลุกขึ้นมาใช้ โดยไม่เลือกว่าเป็นขวาหรือซ้าย สามารถผสมพันธุ์กันได้เพื่อเป้าหมายทางการเมือง เช่นความคิดปฏิเสธการเลือกตั้ง ปฏิเสธอำนาจอธิปไตยของปวงชน สนับสนุนรัฐประหาร โดยฝ่ายอนุรักษ์นิยมอ้างศีลธรรมจรรยา อ้างสถาบันสำคัญ ขณะที่ฝ่าย(เคย)ก้าวหน้าก็อ้างการต่อต้านทุนสามานย์ ต่อต้านโลกาภิวัตน์ ว่าจะรุกรานประชาชนคนเล็กคนน้อยคนชายขอบผู้ด้อยโอกาส

ความคิดชาตินิยมก็เช่นกัน พันธมิตรอ้างว่าพวกเขาไม่ได้คลั่งชาติ แต่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชนต่างหาก เพราะหากไม่ยกเลิก MOU ปี 43 เท่ากับยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งจะส่งผลให้เสียดินแดนในทะเลที่มีบ่อน้ำมันมูลค่า 5 ล้านล้านบาท แล้วไม่ใช่ว่าเสียให้เขมรนะ แต่เป็นประเทศใหญ่ๆ ที่จะเข้ามาฮุบสัมปทานน้ำม้นในเขมร ทั้งสหรัฐ จีน รัสเซีย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเทศที่เข้าไปลงทุนหวังผลประโยชน์ในเขมร จึงจะเข้าข้างเขมรแน่ๆ เช่น อินเดีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เวียดนาม (โห โลกนี้แม่-ไม่ยุติธรรมเลย ทุกชาติรุมกินโต๊ะประเทศไทย ทั้งที่เราเป็นฝ่ายถูกแต่ต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย ฟังแล้วคับแค้นจนน้ำตาไหล)

พันธมิตรใช้การโจมตีบรรษัทน้ำมัน “ทุนนิยมโลกาภิวัตน์” มาผสมกับความคิดชาตินิยม โจมตีไปได้เรื่อยถึงพวกเฮดจ์ฟันด์เก็งกำไร ก่อนจะกลับมาบอกแม่ยกว่าถ้าเขมรได้บ่อน้ำมันในทะเล บรรษัทยักษ์ใหญ่จะได้ไป แล้วมันจะสูบน้ำมันของไทยให้ไหลไปบ่อเขมรด้วย

ที่จริงพวกกองเชียร์ ปชป.ก็ด่าเขมร ด่ามหาอำนาจ ในทำนองเดียวกัน แต่ไม่ยอมรับว่าเป็นเพราะ MOU ปี 43 แล้วก็ไม่ยอมรับว่าเป็นเพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์อ่อนแอ ไม่กล้าตอบโต้ ไม่ไล่เขมรออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ทำให้เขมรได้ใจ อย่างที่พวก พธม.กล่าวหา

เรื่องน่าขันอีกอย่างคือ พวกชาตินิยมทั้ง พธม.และ ปชป.ต่างก็ด่าฮุนเซนเป็นผู้นำที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ เผด็จการ ฉ้อฉล อยู่มานาน 28 ปีเท่าฮอสนีย์ มูบารัค อาศัยกรณีปราสาทพระวิหารมาปลุกชาตินิยมคนเขมร เพื่อหาเสียงและหลอกให้ลืมความทุกข์ยากเดือดร้อน พากันสาปแช่งให้ฮุนเซนถูกประชาชนโค่นล้ม

มันก็มีส่วนจริงครับ แต่น่าขันว่าคนพวกนี้ทำยังกะตัวเองเป็นนักส่งออกประชาธิปไตย ทั้งที่ร่วมมือกันทำรัฐประหารตุลาการภิวัตน์มาหลัดๆ ยังเที่ยวไปวิจารณ์เขา (ระวังฮุนเซนจะโต้ว่า เขมรต้องการประชาธิปไตยแบบเขมรๆ ไม่เอาประชาธิปไตยแบบตะวันตก และไม่เอาประชาธิปไตยแบบไทยๆ)

ในขณะที่ พธม.ยื่นข้อเรียกร้องสุดขั้วสุดโต่ง กระทั่งใครไปทำบุญที่วัดแก้วสิกขาคีราสวาระถือว่า “ขายชาติ” ปชป.และสื่อพลอยพยัก ก็แสร้งทำเป็นโหนกระแสสันติ ไม่ต้องการทำสงคราม ต้องการความสงบ เพื่อค้าขายชายแดน เพื่อร่วมกันพัฒนา (บางคนพูดได้เต็มปากว่าโลกไร้พรมแดน ฮิฮิ วันก่อนเพิ่งขุดเรื่องพระยาละแวกอยู่หลัดๆ) แต่เอาเข้าจริงก็ยังหากินกับชาตินิยม นั่นคือยืนกรานว่ายูเนสโกจะขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกไม่ได้ ถ้าขึ้น ก็ต้องจดทะเบียนร่วมกัน หรือไม่งั้นก็ไม่ต้องขึ้นไปเลยตลอดกัลปาวสาน

ฟังดูเหมือนเข้าท่า จดทะเบียนร่วมกัน อย่าทะเลาะกันเลย เอ้าเฮ้ย ตกลงปราสาทพระวิหารเป็นของใคร ลองเอาหัวเดินต่างตีนเพื่อคิดมุมกลับบ้างสิว่า สมมติศาลโลกตัดสินให้ไทยเป็นเจ้าของปราสาทพระวิหาร แต่พื้นที่รอบๆ เป็นของเขมร ไทยจะจดทะเบียนมรดกโลก เขมรมีแค่ teen บันไดพญานาคกับผามออีแดง คุณจะยอมให้ขึ้นร่วมกันไหม

ไม่มีทาง ถ้าไทยเป็นเจ้าของ แล้วเขมรมาร้องขอโวยวายให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วม พวกสื่อทั้งหลายคงได้หัวร่อเย้ยหยันกันท้องคัดท้องแข็ง

ฉะนั้นเอาเข้าจริง ข้อเรียกร้องให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกัน ก็คือความคิดที่ว่า “ปราสาทพระวิหารยังเป็นของกรู” กับอีกอย่างคือ “กรูไม่ได้เมริงก็ต้องไม่ได้” หรืออีกนัยหนึ่ง รางหญ้านี้กรูกินไม่ได้ กรูก็ไม่ให้เมริงกิน

ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากให้ขึ้นทะเบียนร่วม แต่การขึ้นทะเบียนร่วมต้องมาจากความเต็มอกเต็มใจของเขมร ผู้เป็น “เจ้าของ” กรรมทสิทธิ์ในพื้นที่หลัก การขึ้นทะเบียนร่วมต้องมาจากมิตรสัมพันธ์อันดี ช่วยเหลือส่งเสริม ช่วยกันผลักดัน แสดงความใจกว้าง ยอมรับสิทธิของเขา ไม่ใช่เอะอะโวยวาย เตะตัดขา ขัดขวางทุกวิถีทาง ทำยังกะเป็นเจ้าของ หรือเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง

อภิสิทธิ์โทษกรรมการมรดกโลกเป็นตัวปัญหา ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ขึ้นทะเบียนมรดกโลกในพื้นที่อ่อนไหว ถามหน่อยว่าเป็นเพราะกรรมการมรดกโลกหรือเพราะความใจแคบของคนไทย ที่อ้างชาตินิยมมาทำลายล้างกันทางการเมือง

แต่อภิสิทธิ์ยอมรับไม่ได้ เพราะตัวเองก็มีส่วนปลุกกระแสคลั่งชาติเมื่อ 3 ปีก่อน ไม่ยอมรับว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ใครจะว่ามีผลประโยชน์กับทักษิณอย่างไร ฮุนเซนก็ไม่เคยมีปัญหากับรัฐบาลขิงแก่

อภิสิทธิ์ยอมรับไม่ได้ ว่านพดล ปัทมะ ไม่ได้ทำอะไรผิด ในการขีดพื้นที่ตามที่รัฐบาลสฤษดิ์ล้อมรั้วยกให้เขมรไปเมื่อปี 2505 แล้วบอกว่านั่นคือดินแดนเขมรตามคำพิพากษาศาลโลก ยินดีให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลก (แต่รัฐไทย-ฝ่ายความมั่นคงทั้งหลาย ถือว่าผิด เพราะทุกรัฐบาลตลอด 40 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่เคยยอมรับคำพิพากษาศาลโลกอย่างเป็นทางการ)

อภิสิทธิ์จะยอมรับได้ไง ในเมื่อเหตุการณ์นั้นเป็นชนวนหนึ่งที่ช่วยให้ตัวเองขึ้นมามีอำนาจ

อภิสิทธิ์รู้ดีว่าการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ไม่ได้มีผลเกี่ยวข้องกับการปักปันเขตแดน แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ เพราะความจริงมันไม่ใช่เรื่องดินแดน แต่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรี ที่พี่ไทย นักล่าเมืองขึ้นในอดีต จะยอม “เสียหน้า” ให้ลูกหลานพระยาละแวกไม่ได้

อภิสิทธิ์โทษกรรมการมรดกโลก แต่ไม่ยอมรับว่ากระแสคลั่งชาติ 2551 เป็นตัวปัญหา ขณะเดียวกันก็มีความเก่งกาจอย่างน่าอึ้ง ทึ่ง ที่สามารถถีบหัวเกรียนๆ ของพวกคลั่งชาติไปตากแห้งเหี่ยวเฉาอยู่บนถนนราชดำเนิน โดยตัวเองหันไปโหนกระแสรักสันติแทน

ผมจึงไม่ค่อยเห็นด้วยที่ อ.นิธิท่านบอกว่าสังคมไทยมีสติมากขึ้น เพราะถ้ามีสติจริง ต้องย้อนไปมองเห็นว่าเมื่อ 3 ปีก่อนสังคมไทยไร้สติ แต่นี่มันมีสติไม่เฮโลสาระพาไปกับพันธมิตรเพียงเพราะไม่เกลียดรัฐบาลนี้ แล้วก็คล้อยไปตามวาทกรรมขวัญใจจริตนิยม เชียร์รัฐบาล เชียร์กองทัพ แม้จะไม่ได้บอกว่าให้บุกยึดกรุงพนมเปญ แต่ก็เชียร์ให้ “สั่งสอน” เขมรผู้บังอาจ

แน่นอน การปะทะกันครั้งนี้เขมรยิงก่อน เขมรเล่นเล่ห์ เดินเกมการเมืองระหว่างประเทศมาตั้งแต่ 7 คนไทยเดินไปให้จับ แต่พูดให้ถึงที่สุด ความสัมพันธ์ที่เลวร้ายมันเริ่มมาตั้งแต่เรา “เตะตัดขา” เขาไม่ใช่หรือ รัฐบาลอภิสิทธิ์ขัดขวางทุกวิถีทางไม่ให้จดทะเบียนมรดกโลก (ที่จริงเขาจดไปแล้ว) ไม่ให้ผู้แทนยูเนสโกมาสำรวจปราสาท ส่วนพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่เขมรเข้ามายึดครอง มันเป็นปัญหามาตั้งแต่ก่อนมี MOU ปี 43 แล้ว เกือบ 20 ปีที่โต้แย้งกัน เจรจากัน ก็ไม่เคยถึงขั้นปะทะกัน

ฮุนเซนยื่นเรื่องเข้าคณะมนตรีความมั่นคงสำเร็จ แม้จะ “ตีกลับ” มาให้เจรจาทวิภาคีโดยมีอินโดนีเซีย ประธานอาเซียนเป็นพี่เลี้ยง ถามว่าฮุนเซนชนะหรือแพ้ ถ้าเป็นกองเชียร์ ปชป.ก็บอกว่าฮุนเซนแพ้ ถ้าเป็นพวกพันธมิตร ก็บอกว่าฮุนเซนชนะ สนุกจริงๆ กับการมองโลกจากคนละมุม อย่างไรก็ดี เคสนี้ผมเห็นด้วยกับพันธมิตรมากกว่า เพราะฮุนเซนเข้าเป้าแล้วในการที่คณะมนตรีความมั่นคงรับเรื่อง ถ้าเจรจาทวิภาคีไม่สำเร็จ ต่อไปมีปัญหาบานปลาย ก็ต้องกลับเข้าไปที่ UN (ซึ่งถ้า UN รับพิจารณา พวกชาตินิยมก็จะร้องโวยวายว่า UN ไม่ใช่พ่อ)

สื่อไทยโจมตีฮุนเซน แล้วพูดเป็นตุเป็นตะ ว่าถ้าเปลี่ยนผู้นำจากฮุนเซน เขมรกับไทยจะคุยกันรู้เรื่อง ไม่คิดบ้างหรือว่าถ้าเปลี่ยนผู้นำจากอภิสิทธิ์-กษิต เขมรกับไทยอาจคุยกันรู้เรื่องมากกว่า

สถานการณ์มาถึงตอนนี้ ฮุนเซนประกาศยื่นตีความคำตัดสินศาลโลก เพื่อเอา teen บันไดพญานาคกับสระตราว ผามออีแดง ให้ครบวงจร พร้อมขึ้นทะเบียนมรดกโลกตามที่นักวิชาการพันธมิตรชี้ไว้ว่าถ้าไม่มีบริเวณโดยรอบก็ขึ้นทะเบียนไม่ได้ รัฐบาลจะทำอย่างไรนอกจากยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมให้ขึ้นมรดกโลก

ที่น่าสนใจกว่าคือ พันธมิตรจะหาทางลงอย่างไร เพราะอยู่ไปก็ปลุกกระแสไม่ขึ้น ผมสันนิษฐานว่าน่าจะมี 2 แนวทางคือ หนึ่ง ขอดีเบตกับนายกฯ แล้วก็ฉวยโอกาสอ้างว่าบรรลุเป้าหมาย บ๊ายบายก่อน วันหน้าเราจะมาใหม่ สอง มหาจำลองยอมให้อุ้ม หรือเดินไปให้จับ

อย่างไรก็ดี มหาจำลองยังไม่น่าห่วงเท่า วีระ สมความคิด กับราตรี พิพัฒนไพบูลย์ ซึ่งกลายเป็นตัวประกันในกรณีพิพาทชาตินิยม ฮุนเซนเอาทั้งสองคนเป็นเครื่องมือต่อรอง แต่รัฐบาลไม่ยอมต่อรองแน่

ชีวิตคนสิน่าเป็นห่วงกว่าผืนดิน ไม่ว่าเขาจะเป็นใครฝ่ายไหน ไงๆ พวกแกนนำเสื้อแดงที่ (เชื่อกันว่า) หลบไปอยู่ในเขมร ก็หิ้วโอยัวะไปเยี่ยมวีระบ้างนะครับ (หรือถ้าใครจะช่วยเจรจาเขมรให้ปล่อยตัวได้ จะยิ่งดี เป็นการตบหน้ารัฐบาลไทย)

ใบตองแห้ง

19 ก.พ.54

โรงงานผลิตภาษา (แห่งชาติ) ของราษฎรอาวุโส.!!!

ที่มา ประชาไท

ได้อ่านบทความล่าสุด – โครงการ “ทำแผนที่คน” (Human Mapping)[1] จาก “โรงงานผลิตภาษา (แห่งชาติ)” ของราษฎรอาวุโส แกเขียนอธิบายความว่า “...การ ทำแผนที่คนไทยทั้งประเทศก็จะไม่ยาก สามารถทำได้เสร็จภายใน 6 เดือน เรามีหมู่บ้าน ประมาณ 80,000 หมู่บ้าน เรามีมหาวิทยาลัยกว่า 100 แห่ง มีนักศึกษารวมกันหลายแสนคน สามารถส่งนักศึกษาไปทำแผนที่คนไทยได้ในทุกหมู่บ้าน”

“...ชาวบ้านนั้นจมปลักอยู่กับความต่ำต้อย ความไม่มีเกียรติ ความไม่มีคุณค่า เป็นคนไม่มีความรู้สมัยใหม่ ถูกดูถูกเสียจนดูถูกตัวเอง – ครั้นมีคนสมัยใหม่เช่นนักศึกษา หรือคนที่จบปริญญามานั่งฟัง มานั่งขุดความรู้ความชำนาญที่ฝังลึกอยู่ในตัวเรา – ตามปรกติชาวบ้านไม่ค่อยได้พูด ได้แต่ฟังคนอื่นที่มีอำนาจมากกว่า มีความรู้มากกว่า มีเงินมากกว่า”

“บัด นี้มีคนที่เคยสมมติว่าเหนือกว่า มานั่งฟังด้วยความเคารพ และเห็นคุณค่าในสิ่งที่เขารักเขาชอบเขาถนัด ที่มีอยู่ในตัวเขาจริงๆ เขาจึงมีความสุขขึ้นมาท่วมท้น ที่รู้สึกมีเกียรติ (เป็นครั้งแรกในชีวิต) รู้สึกภูมิใจในตัวเอง...”

“...ความ เห็นใจ และการอยากทำเพื่อเพื่อนมนุษย์ เป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ทุกคน ที่ว่าทุกคนล้วนแต่มีเมล็ดพันธุ์แห่งความดีอยู่ในหัวใจ”

“ถ้ามีแต่มายาคติเข้ามาขวางกั้น เช่น ฐานะ อำนาจ กฎหมาย กฎ ระเบียบ เงิน รูปแบบ เมล็ดพันธุ์แห่งความดีไม่มีโอกาสได้งอกงาม”

“...ถ้า เราทำทุกพื้นที่ทั่วประเทศ คนไทยทุกคนจะกลายเป็นคนมีเกียรติมี ศักดิ์ศรีมีความมั่นใจในตัวเอง การเคารพศักดิ์ศรี และคุณค่าของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เป็นศีลธรรมพื้นฐานของสังคม...”

“เนื่อง จากความรู้ในตัวคนมีฐานอยู่ในวัฒนธรรม วัฒนธรรมคือวิถีชีวิตร่วมกัน จะทำให้การศึกษาเชื่อมกับวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตร่วมกัน เมื่อใดการศึกษาเชื่อมกับชีวิต และการอยู่ร่วมกันจะเกิดเรื่องใหญ่มาก คือ เกิดการอภิวัฒน์ประเทศไทยทุกด้าน”

“...ก่อน คุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ. 2554 ท่านคุยกับผมหลายครั้ง - ครั้งหนึ่ง ผมแนะนำเรื่องใหญ่ๆ ไป 4 เรื่องเรื่องหนึ่งคือการทำแผนที่คนไทย หรือ Human Mapping ตามที่กล่าวถึงนี้ ท่านเป็นคนปัญญาไวเข้าใจทันที แต่การเป็นนายกรัฐมนตรีก็คงทำให้ท่านยุ่งเกิน เลยไม่ได้ทำ - หวังว่านายกฯอภิสิทธิ์จะไม่ยุ่งเกิน!”

ผมชอบย่อหน้าสุดท้ายของราษฎรอาวุโส คนนี้จริง ๆ – นี้แหละที่เขาเรียกว่า “เขี้ยวจริง ๆ – เขี้ยวของจริง” ใครที่คิดจะทำ proposal ขอทุนทำงานวิจัย, ลองอ่านโครงการ “ทำแผนที่คน-อภิวัฒน์ประเทศไทย” ฉบับนี้เป็นตัวอย่าง (แต่ถ้าคิดจะไปของทุนจาก “สสส.” หรือ “สมัชชาปฏิรูป 600 ล้าน” ที่แกดูแลอยู่ – ถ้าคุณไม่ใช่ [NGO] สีเดียวกัน-ก็หมดสิทธิ์!!!)

ราษฎรอาวุโส-หัวหน้าโรงงานผลิตภาษา (แห่งชาติ) – ผู้ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป 600 ล้าน (คสป.), เป็นคณะกก.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) - ล่าสุดยังดูแลอีก 14 องค์กรที่อยู่ภายใต้ คสป. เช่น องค์กรปกครองท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูป, สภาองค์กรชุมชน และสภาผู้นำชุมชนเพื่อการปฏิรูป (มีนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม เป็นประธาน,สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน-พอช.), เครือข่ายประชาคมเพื่อการปฏิรูป, เครือข่ายผู้ใช้แรงงานและคนจนเมืองเพื่อการปฏิรูป (อ.ณรงค์ฯ ดูแล), เครือข่ายพลังสตรีเพื่อการปฏิรูป, เครือข่ายพลังเยาวชนเพื่อการปฏิรูป, เครือข่ายผู้พิการเพื่อการปฏิรูป, เครือข่ายผู้ด้อยโอกาสเพื่อการปฏิรูป, เครือข่ายภาคธุรกิจกับการปฏิรูป, เครือข่ายอุดมศึกษาเพื่อการปฏิรูป, เครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป (มีนายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นประธาน), คณะกก.จัดสรรทรัพยากรเพื่อความเป็นธรรม, คณะกก.ความยุติธรรมกับการปฏิรูป, คณะกก.การสื่อสารเพื่อการปฏิรูป [2] - - เยอะแยะจนน่าเวียนหัว.

แต่อย่าเพิ่งมึนงง เพราะนี้คือเรื่องของงบประมาณ, เงินทั้งนั้น - พรรคพวก (NGO) ของตัวเองทั้งนั้น ที่เกี่ยวข้อง (กับงบ-เงินเหล่านี้) !!!

เงิน 600 ล้าน ที่ได้มาเพื่อปฏิรูปประเทศ เพื่อคนไทยจะได้ปรองดองกัน มันแค่เรื่องจิ๊บ ๆ – ยังต้องใช้เงินอีกเป็น 1,000 ล้าน เพื่อให้คนฝ่ายหนึ่ง (คนสีเสื้อหนึ่ง) เอาเงินภาษีของผู้คนในประเทศ, ไปทำโครงการปฏิรูปประเทศ-ให้คนรักกันปรองดองกัน?

“ปรองดอง” เริ่มต้นที่ใครดี - ก็เริ่มต้นที่ตัวคุณนั่นแหละ – เริ่มต้นที่เงินงบประมาณ ที่คุณถืออยู่นั้นแหละ

“แค่คิดกลับกัน” คุณ ลองแบ่งปันเงินงบประมาณ ให้กับคนอีกสีเสื้อหนึ่ง, ให้เขาไปทำงานวิจัย, ให้เขาทำกิจกรรม, ให้เขาทำสื่อ, แล้วเอาผลงานที่ได้ มาเปรียบเทียบกับข้อมูล ที่มาจากอีกฝ่ายหนึ่ง – คุณก็จะเห็นภาพว่าจะปรองดองกันอย่างไร-ต่อไป?

แต่เรื่องแบบนี้ “หัวหน้าโรงงานผลิตภาษา” (แห่งชาติ) กลับคิดไม่เป็น.???

นอกจากตัวหัวหน้าโรงงานแล้ว ยังมี “ทีมงานอีกหลายคน” – อย่าให้เอ่ยชื่อเลย (แม้แต่ตัวหัวหน้า ผมยังไม่อยากเอ่ยชื่อ) พวกคุณจะประดิษฐ์คำพูดอะไรออกมาก็ได้, แต่ถ้ามันไม่ได้ออกมาจาก “หัวใจ” มันก็แค่ วิธีการทำมาหากินแบบหนึ่ง ก็เท่านั้นเอง.!!!

อ้างอิง

[1] http://www.prachatai3.info/journal/2011/02/33152

[2] http://community.isranews.org/politic/680-2010-07-29-10-10-02.html

กวีตีนแดง: ดาบนั้นคืนสนอง

ที่มา ประชาไท

บทกวีโดย เพียงคำ ประดับความ

ย่ำสอง นาฬิกา คืนฟ้าเปลี่ยว

แสงจันทร์เสี้ยว เกี่ยวคว้าง กลางคืนเศร้า

ลมโศกหวน ทวนกิ่งไม้ ร้างใบเงา

หัวใจเจ้า ชิต บุศย์ เฉลียว ช่างเดียวดาย

สองสี่เก้าแปด กุมภา วันที่สิบเจ็ด

ภิกษุเนตร เทศน์ปลอบขวัญ อกสั่นไหว

ถึงเวลา อาหาร มื้อสุดท้าย

แตะต้องได้ กลิ่นความตาย ในสายลม

มิทันเอ่ย คำใด ในคืนนั้น

ลานประหาร น้ำตานอง กองเลือดถม

สี่นาฬิกา ยี่สิบ นาทีระทม

ความขื่นขม จมแน่น เต็มแผ่นดิน

เพื่อปกปิด แผ่นฟ้า ด้วยฝ่ามือ

ประนมถือ ธูปดอกไม้ ด้ายสายสิญจน์

สามนักโทษ ประหาร หน้ากองดิน

เตรียมป่ายปีน สู่สวรรค์ ชนชั้นแพะ

เพชรฆาต จ่อยิงลง ตรงหัวใจ

กระสุนรัว เป็นเส้นสาย ย้ำลายแผล

ร่างแหลกเหลว มือขาดหาย ยอมพ่ายแพ้

สละร่าง สังเวยแด่ เมืองทมิฬ

ธรณี นี่นี้ เป็นพยาน

หากเราผิด ท่านประหาร เสียให้สิ้น

เอาใบตอง รองมิให้ เลือดต้องดิน

ให้แร้งกา จิกร่างกิน จนสิ้นใจ

แหละธรณี นี่นี้ เป็นพยาน

เราบ่ผิด ท่านประหาร ด้วยดาบไหน

ขอดาบนั้น คืนสนอง ทุกชาติไป

ความตายไหน ใครคนก่อ ขอย้อนคืน

ขอจารึก รอยแค้น อย่างแน่นหนัก

ส่วนรอยรัก มิอาจปัก หักใจฝืน

มิเหลือแล้ว รอยอาลัย ให้กัดกลืน

ขอหยัดยืน ถางทาง สร้างโลกใหม่

จะเจ็บจำ ไปถึง ปรโลก

กี่รอยโศก มิรู้ร้าง จางหาย

จะเกิดอีก สักกี่ฟ้า มาตรมตาย

ก็อย่าหมาย ว่าจะให้ หัวใจเรา

(จะเกิดอีก สักกี่ฟ้า มาตรมตาย

ก็อย่าหมาย ว่าจะได้ หัวใจเรา)

หมายเหตุ บทกวีนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากข้อเขียนใน facebook ของ อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

Golf4Freedomเพื่ออิสรภาพนักโทษการเมือง ครั้งหนึ่งในชีวิตที่คนเสื้อแดงมีสิทธิ์ยื่นมือช่วยพี่น้องเรา

ที่มา Thai E-News





Golf4freedom -26 กุมภาพันธ์นี้ที่สนามDynasty บางเลน นครปฐม สำหรับนักกอล์ฟมือใหม่ มือเก่า หรือมือกลางเก่ากลางใหม่ ไม่ต้องกังวล งานนี้ไม่เน้นผลสกอร์ แม้จะมีถ้วยรางวัลให้ 4 ถ้วย ขอแค่มาออกรอบกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ก็มีความสุขใจอย่างที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ ส่วนท่านที่เล่นกอล์ฟไม่เป็นเชิญร่วมสังสรรค์ตอนเย็นระดมทุนปลดปล่อยพี่น้องของเราออกจากคุก


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา Golf4freedom
19 กุมภาพันธ์ 2554

คุณวัชราภรณ์ หวลธรรม ผู้ประสานงานโครงการ"Golf4Freedom -กอล์ฟเพื่ออิสรภาพเสรีภาพ"เปิดเผยว่า สำนักข่าวไทยอีนิวส์ ร่วมกับ"กลุ่มเพื่อนอานนท์" และ Red cyber ได้ร่วมประชุมกับ ทนายอานนท์ นำภา หัวหน้าสำนักกฎหมายราษฎรประสงค์ ทีมทนายความช่วยเหลือทำคดีช่วยนักโทษการเมืองเสื้อแดงผู้ยากไร้-นักโทษคดีทางความคิด และได้มีมติให้จัดกอล์ฟการกุศลขึ้นในวันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์นี้

เพื่อระดมทุนช่วยสำนักกฎหมายราษฎรประสงค์ ไปดำเนินการช่วยว่าความและประกันตัว คดีนักโทษเสื้อแดงที่ยากไร้จากการสลายการชุมนุม 19 พฤษภาคม และนักโทษคดีทางความคิด ตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นผลพวงจากการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย รวมทั้งเยียวยาญาติที่อยู่ในอุปการะนักโทษการเมืองเหล่านี้ ระหว่างที่ยังต้องโทษโดยไม่รู้ชะตากรรมว่าจะได้รับการปล่อยตัวเมื่อใด

การแข่งขันกอล์ฟการกุศลนัดนี้ จะจัดขึ้นที่ สนามกอล์ฟDinasty อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม (ดูลิ้งค์แผนที่)

โดยมีค่าธรรมเนียม ค่ากรีนฟี ค่าแค็ดดี้ รวมอาหารเย็น ก๊วน VIP 15,000 บาท/ก๊วน ก๊วนทั่วไป 12,500 บาท/ก๊วน ซึ่งราคานี้นับว่าถูกมากๆหากเทียบกับการจัดกอล์ฟการกุศลทั่วไปที่จะขายก๊วนละขั้นต่ำ25,000-50,000บาท ก๊วนละ 5 ท่าน(กรณีไม่มีก๊วน หรือไม่ครบก๊วน เพียงท่านละ 2,500 บาท ผู้จัดจะจัดหาให้ครบก๊วน ล้วนแต่พี่น้องเรา จะได้รู้จักผูกไมตรีกันไว้

วิธีสำรองการเข้าร่วมงาน หรือสอบถามการร่วมงาน-ติดต่อ "คุณปุ้ย" วัชราภรณ์ หวลธรรม ผู้ประสานงานโครงการ ติดต่อ: โทรศัพท์มือถือ 082-6301700 หรืออีเมล์ hwacharaporn@yahoo.com และ freeprisonproject@gmail.com

วิธีชำระเงิน-โอนได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผ่านชื่อบัญชี วัชราภรณ์ หวลธรรม ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเมืองทองธานีเซ็นเตอร์ 2 เลขที่บัญชี 402-293346-1 จากนั้นแจ้งการโอนมาที่อีเมล์ หรือทางมือถือคุณปุ้ย เพื่อยืนยัน

เพื่อเป็นการสนับสนุนโครงการนี้ กรุณาจองและชำระล่วงหน้าได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อจะได้มีเงินชำระค่าสนามและค่าทดรองใช้จ่ายล่วงหน้า

พิเศษสำหรับท่านที่ไม่ใช่นักกอล์ฟ แต่ประสงค์เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารเย็นที่คลับเฮาส์ เพียงท่านละ 500 บาท ในงานพบปะกันเองและการปราศรัยจาก พันเอกดร.อภิวันท์ วิริยะชัย พร้อมพริตตี้เสื้อแดงแท้ๆ และของรางวัลมากมาย

ทั้งนี้คณะผู้จัดงานขอเชิญชวนท่านนักกอล์ฟ ผู้รักความเป็นธรรม รักประชาธิปไตยทั้งมวลได้โปรดให้การสนับสนุนเข้าร่วมกิจกรรมแข่งขันกอล์ฟการกุศลในครั้งนี้ เพราะนอกจากท่านจะได้รับความเพลิดเพลิน ได้ออกกำลังกายตามปกติแล้ว ท่านยังจะได้มีส่วนช่วยทีมงานทนายความอาสาให้มีเงินทุนทำงานเพื่อช่วยเหลือนักโทษทางการเมือง และเป็นการตอกย้ำคำว่า"เราไม่ทอดทิ้งกัน"ให้เป็นจริงในทางปฏิบัติ


กิจกรรมกอล์ฟการกุศลเพื่อเสรีภาพนักโทษการเมืองเสื้อแดงผู้ยากไร้ จะเป็นกิจกรรมที่ คณะผู้จัดงานปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้เป็นกิจกรรมที่ท่านจะบอกกับตัวเองว่า นี่เป็นกิจกรรมที่"ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ท่านไม่มีสิทธิ์จะพลาด"...

เตรียมพร้อม มาร่วมกัน สานฝันของเราปลดปล่อยเหยื่ออยุติธรรม ปลดปล่อยประเทศชาติสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง

คุณสายลมรัก แห่งกลุ่มRed Cyber ผู้ร่วมจัดกิจกรรมกอล์ฟการกุศลครั้งนี้กล่าวว่า นี่เป็นกอล์ฟการกุศลครั้งที่่ 4 ที่ทางRed Cyberได้ดำเนินการจัด และได้รับความอนุเคราะห์ จากนักกอล์ฟเสื้อแดง อย่างดียิ่งทุกครั้ง

การนี้ กระผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พวกท่านทั้งหลาย คงให้ความอนุเคราะห์ ในการระดมพลรวมพลังออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือ ร่วมงานเลี้ยงตอนเย็น(อย่างเดียว) อีกครา

สำหรับนักกอล์ฟมือใหม่ มือเก่า หรือมือกลางเก่ากลางใหม่ ไม่ต้องกังวล งานนี้ไม่เน้นผลสกอร์ แม้จะมีถ้วยรางวัลให้ 4 ถ้วย ขอแค่ออกรอบ กับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ก็มีความสุขใจอย่างที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ


****

เวบไซต์สำนักกฎหมายราษฎรประสงค์รายงานความก้าวหน้าในการระดมทุน และการช่วยเหลือคดีพี่น้องนักโทษเสื้อแดง

-รู้จักสำนักกฎหมาย “ราษฎรประสงค์”ทนายอานนท์ นำภา

-รู้จักโครงการกิจกรรมGolf4freedom เพื่ออิสรภาพนักโทษเสื้อแดง

กลุ่มเส้นทางสีแดงขอโทษกรณีขึ้นเวทีเสื้อเหลือง

ที่มา Thai E-News



คำขอโทษจากกลุ่มเส้นทางสีแดง-หลังจากกรณีเสื้อแดงขึ้นเวทีเสื้อเหลือง ตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทำนองไม่เห็นด้วยกว้างขวาง ล่าสุดกลุ่มเส้นทางสีแดงได้จัดทำคลิปขอโทษกรณีนี้ แต่ดูเหมือนยังต้องถกแถลงกันอีกต่อไป

โดย Red Path
ที่มา กระดานสนทนาInternet Freedom

ก่อนหน้านี้ผมได้พยายามชี้แจงสาเหตุที่ต้องขึ้นเวทีทักทายม็อบคนไทยหัวใจรักชาติ แต่ส่วนใหญ่เป็นการอธิบายให้กับพี่น้่องเสื้อแดงบนเวทีหรือทางสถานีวิทยุ แต่ไม่เคยอธิบายทางสื่ออินเทอร์เนท บ่ายวันนี้ได้รับคำถามสั้นๆจากเพื่อนเสื้อแดงที่ใช้ชื่อว่าคุณ "แดงชรา" ถามสั้นๆว่าวันนั้น (16 มค) ไปขึ้นเวทีเขาทำไม จึงขอเรียนชี้แจงให้พี่น้องเสื้อแดงได้ทราบดังนี้

ก่อนหน้าที่เส้นทางสีแดงจะเคลื่อนขบวนออกจากราชประสงค์ในวันที่ 16 มค. ก่อนหน้านั้น 1 อาทิตย์คือวันที่ 9 มค. เส้นทางสีแดงเคยเคลื่อนขบวนออกจากราชประสงค์เพื่อไปเยี่ยมเยียนพี่น้องเสื้อแดงย่านถ​นนสุขุมวิท รวมถึงแวะไป "ทักทาย" พี่น้องตำรวจที่หน้าบ้านนายอภิสิทธิ์ที่ถนนสุขุมวิท 31 ( ดูคลิป)


และได้ผ่านถนนพิษณุโลกบริเวณที่ม็อบคนไทยหัวใจรักชาติชุมนุมอยู่ในเวลาประมาณ 14.00 น. ซึ่งได้มีการถ่ายคลิปบรรยากาศไว้ คลิปดังกล่าวเป็นคลิปที่ผมได้นำลง youtube ปรากฏว่าได้รับความสนใจมาก เพียงแค่ 3 วันมีคนเข้าไปคลิกดูถึงกว่า 6,600 ครั้ง และทุกคอมเมนท์จะแสดงความประหลาดใจระคนชื่นชมความใจกว้างของคนทั้งสองสีเสื้อที่ไม่ไ​ด้ทะเลาะด่าทอกัน เป็นที่ประหลาดใจกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาความปลอดภัยบริเวณนั้น (ไทยรัฐ ข่าวสด ฉบับ 10 มค.) (ดูคลิป http://www.youtube.com/watch?v=sHo_EEUAAXQ)

ความตั้งใจของผมในการเคลื่อนขบวนไปทักทายม็อบคนไทยหัวใจรักชาติในวันที่ 16 มค.คือตั้งใจที่จะไป "ทักทาย" หรือที่เพื่อนผมเรียกว่า "แหย่" กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติอีกครั้ง เพื่อเก็บบรรยากาศที่น่าชื่นใจอีกครั้ง ผมโพสในเฟซบุ้คของผมในคืนก่อนออกเดินทางหนึ่งวันเท่านั้น

ในวันที่ 16 มค.ซึ่งเป็นวันที่เส้นทางสีแดงออกเดินทาง พวกเราเคลื่อนขบวนออกจากราชประสงค์ในเวลา 12.00 น.และจะไปสักการะอนุเสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่วงเวียนใหญ่ในเวลา 13.00 น. ผมบอกกับเสธดำซึ่งช่วงหลังมาทำกิจกรรมเส้นทางสีแดงในกรุงเทพกับผมว่าขอให้ใช้เส้นทาง​เดิม เราจะแวะไป "ทักทาย" ม็อบคนไทยหัวใจรักชาติอีกครั้ง

ขบวนเส้นทางสีแดงเคลื่อนขบวนไปถึงถนนพิษณุโลกบริเวณที่ม็อบตั้งอยู่ในเวลาประมาณ 12.30 น. ตามรายงานข่าวของตำรวจจราจรที่ผมอ่านพบในอินเทอร์เนทรายงานว่าขบวนเส้นทางสีแดงประกอ​บด้วยรถจักรยาน 30 คัน รถยนต์ 20 คัน รถกระบะ 3 คัน พวกเราต้องพบกับเรื่องไม่คาดคิดเนื่องจากพบว่าม็อบดังกล่าวได้นำรั้วเหล็กมาปิดถนนไม​ให้รถทุกชนิดผ่านตั้งแต่คืนที่ 15 มค. ปัญหาของเราคือว่าเราต้องเดินทางต่อไปเนื่องจากเรามีกำหนดทำกิจกรรมกับพี่น้องเสื้อแ​ดงที่นครปฐมในเวลา 16.00 น. และหากไม่แก้ปัญหาพวกเราจะไม่สามารถเดินหน้าไปได้

พวกเราติดอยู่ตรงนั้น เดินหน้าก็ไม่ได้ถอยหลังก้ไม่ได้ ระหว่างนั้นได้มีคนที่อยู่ในม็อบค่อยๆเดินออกมาดูหลายคน ทุกคนใส่เสื้อม่อฮ่อม มีการ์ดเดินมาถามผมว่ามาทำไม ต้องการอะไร ผมบอกไปว่าพวกเราเป็นคณะปั่นจักรยานเส้นทางสีแดงจะไปวงเวียนใหญ่ จะแวะมาทักทายและขอผ่านทางไปวงเวียนใหญ่ ขอเปิดทางให้เราได้หรือไม่ การ์ดได้ขอให้ผมรอเนื่องจากการเปิดด่านไม่สามารถตัดสินใจได้จะไปตามแกนนำมาพบ ในระหว่างที่รอนั้น ผมเห็นพี่น้องที่มาร่วมกิจกรรมกับผมลงจากรถมาพูดคุยกับคนต่างสีที่อยู่ด้านใน หลายคนพูดคุยกันแบบมิตร แบบคนไทยด้วยกันที่กล่าวคำทักทายกัน นักข่าวและคนที่อยู่บริเวณนั้นหลายคนเริ่มเก็บภาพดังกล่าว สักครู่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ก้ได้รีบเดินมาที่ด่าน พร้อมกับสื่อมวลชนที่วิ่งตามมาอีกกลุ่มใหญ่ และเมื่อทราบจุดประสงค์ของพวกเรา เขาบอกผ่านการ์ดของเขาว่าขอตัวแทนกลุ่ม 1 คนขึ้นไปกล่าวคำทักทายบนเวทีสั้นๆ จากนั้นแยกย้ายกัน

สถานการณ์ของผมขณะนั้นค่อนข้างยุ่งยากลำบากใจ เขาเชื้อเชิญเราเข้าไปด้วยดีเหมือนกับยื่นมือมาให้เราจับ และตามรรยาทของคนไทยหากผมจะปฏิเสธหรือเดินหนีจะทำให้เสื่อมเสียไปถึงพี่น้องเสื้อแดง​ด้วย คนเสื้อแดงไม่ใช่คนใจแคบและไม่ใช่คนขลาด การปฏิเสธจึงไม่เป็นทางเลือกของผม ในขณะเดียวกัน พวกเราได้พูดกันมานานหลังเวทีราชประสงค์แตกว่าเราควรจะหาโอกาสพูดคุยกับคนเสื้อเหลือ​งหรือคนที่ไม่สีสีเสื้อ เพื่อให้เขาเหล่านั้นเข้าใจจิตใจคนเสื้อแดง เพื่อว่าวันหนึ่งเขาจะได้กลายมาเป็นคนเสื้อแดงเช่นเดียวกับเรา เพิ่มจำนวนคนเสื้อแดงในสังคมให้มากขึ้นเพื่อนำไปสู่ชัยชนะในการต่อสู้ ในวันนั้นผมใส่เสื้อแดงคาดหัวด้วยผ้าแดงมีคำว่า "เรารักทักษิน" ผมได้รับคำเชิญจากแกนนำของเขา (ซึ่งเหลืองอ่อนๆพอคุยกันรู้เรื่องไม่เหมือนสนธิ จำลอง) มาเชิญพวกเราที่ด่านพร้อมกับมีสื่อมวลชนของเขารออยุ่ โอกาสนี้อาจจะมีครั้งเดียวเท่านั้น

ผมเลือกที่จะฉวยโอกาสนี้ ผมตอบตกลง ผมแจ้งการ์ดเขาไปว่าผมจะเป็นตัวแทนไปเอง สมาชิกของกลุ่มเส้นทางสีแดงหลายคนรวมถึงเสธดำได้ทัดทานผม แต่ผมปฏิเสธคำทัดทานนั้นและเดินเข้าไปในด่านลำพัง ทำให้สมาชิกในกลุ่มทั้งรต.ธนะสิทธิ์ (พี่เล็ก) พิพุฒ รอ.พิสิทธิ์ (ผู้กองเต่า) พิพุฒ รวมถึงเสธดำต้องวิ่งตามเข้าไปเนื่องจากอาจเกรงว่าจะเกิดอันตรายขึ้น

เมื่อพวกเราไปถึงเวที พิธีกรได้ให้นักดนตรีหยุดและเชิญพวกเราขึ้นไปบนเวที พวกเรารู้ว่าเราควรทำอะไร แต่ละคนได้พูดบนเวทีๆสั้นๆคนละไม่เกิน 2 นาที และพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงการเมือง ผมได้แนะนำว่าพวกเราเป็นกลุ่มเส้นทางสีแดงที่เคยไปปั่นจักรยานเยี่ยมพี่น้องที่อีสาน​เมื่อเดือนพย.กว่า 1700 กม.และในวันนั้นจะเดินทางไปเยี่ยมพี่น้องที่ภาคเหนืออีก 2400 กม. พวกเราเป็นกลุ่มกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง และทำทุกอย่างที่มีประโยชน์เพื่อคนเสื้อแดงและประเทศชาติ ฯลฯ ในขณะที่ผมพูด พิธีกรบนเวทีได้พูดขึ้นมาว่า "ทำไมคนเสื้อแดงเขามีคนแบบนี้ ทำไมพวกเราไม่มีคนที่ทำเพื่อพวกเราอย่างนั้นบ้าง" ผมจำประโยคนี้ได้แม่นยำ

พวกเราใช้เวลาสั้นๆไม่เกิน 10 นาทีหลังจากนั้นต้องลงมาเนื่องจากมีมวลชนรอพวกเราอยู่ที่นครปฐม กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติได้เดินมาส่งพวกเราที่ด่านและเราจากกันด้วยมิตรภาพ
(โปรดดูคลิปของ Voice TV ttp://www.youtube.com/watch?v=NfW5TALNTqw )

นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ในวันถัดมาพวกเราตรวจสอบจากข่าวหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับพบว่ารายงานข่าวไกล้เคียงกัน ยกเว้นไทยรัฐฉบับเดียวที่พาดหัวข่าวหวือหวาทำนองว่าแดงเหลืองจับมือกัน คำว่า "จับมือ" แปลได้สองนัยยะ ความหมายแรกคือการจับมือในลักษณะการโอภาปราศัยทักทายกัน ความหมายที่สองคือการร่วมมือกันในการกระทำบางอย่าง คนเสื้อแดงจำนวนมากที่เข้าใจว่าเส้นทางสีแดงเปลี่ยนอุดมการณ์ไปร่วมมือกับม็อบคนไทยห​ัวใจรักชาติคงจะเข้าใจในความหมายอย่างหลังและไทยรัฐฉบับวันนั้นคงจะขายดีเป็นพิเศษ!

หลังเหตุการณ์ดังกล่าว พวกเราได้รับแจ้งว่าสื่อมวลชนต่างลงข่าวนี้เสียใหญ่โตทั้งๆที่สำหรับพวกเราไม่ใช่เรื​่องใหญ่ขนาดนั้น พวกเราเป็นคนเสื้อแดงที่ทำกิจกรรมแนวมนุษยธรรมกลุ่มเล็กๆ พวกเราไม่สามารถไปชี้นำบทบาทและจุดยืนของคนเสื้อแดงได้ นปช.ต่างหากที่หน้าที่ตรงนั้นไม่ใช่เรา หลังจากนั้นพวกเราได้ชี้แจงกับมวลชนทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นนครปฐม บ้านโป่ง ราชบุรี กาญจนบุรี และทุกๆที่ที่มีโอกาส บางจังหวัดมีการถ่ายคลิปการชี้แจงไว้เป็นหลักฐานซึ่งผมก็ชี้แจงในลักษณะนี้ ทุกคนที่มีโอกาสรับฟังการชี้แจงจะเข้าใจพวกเราดีและไม่ถือโกธรพวกเรา

สาเหตุที่พวกเราไม่ชี้แจงขณะนั้นเนื่องจากเราอยู่ระหว่างการทำกิจกรรม พวกเราปั่นจักรยานทั้งวันตั้งแต่เช้ายันเย็น ค่ำลงพวกเราทานข้าวกับชาวบ้าน พูดคุย ทำความเข้าใจ เยี่ยมเยียนและมอบเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ สัปดาห์แรกมีโทรศัพท์เข้ามาเยอะมากจนแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง แต่เป็นที่น่าเสียดายว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีได้สร้างกระแสโจมตีเส้นทางสีแดงในอินเทอร์​เนท ทั้งประเด็นเรื่องแดงเทียม เป็นเหลือง เป็นน้ำเงิน เป็นสันติอโศก เรื่องเงินบริจาค ฯลฯ สารพัดที่จะคิดได้กระพือโหมกระแสขึ้นมา ซึ่งผมได้ค่อยๆทยอยชี้แจงเท่าที่จะทำได้ และจะพยายามให้ผู้ที่ถูกพาดพิงได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุด

สำหรับผม กรณีนี้สมควรนำไปเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันในกลุ่มคนเสื้อแดง การกระทำใดๆย้อมมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่หากนิยามของคนเสื้อแดงคือคนที่รักความจริง รักความเป็นธรรม รักความยุติธรรมและรักประชาธิปไตย ผมอยากเพิ่มอีกคำหนึ่งว่า คนเสื้อแดงมีสิทธิ์ในการวิพากวิจารณ์แต่ไม่สมควรละเมิดสิทธิ์คนอื่นโดยเฉพาะคนเสื้อแดงด้วยกันเอง

******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:

-ลึกๆเบื้องหลังแดงขึ้นเวทีเหลือง

-แดงขึ้นเวทีเหลืองแจงไม่เคยยกป้ายด่าสมัคร

-แดงขึ้นเวทีเหลืองยังไม่จบ ยันไม่ผิดไม่ต้องขอโทษ(ข่าวเมื่อ27มกราคม)

การทำโพลล์ของไทยอีนิวส์จะกลายเป็นแผลเล็กที่จะขยายให้คนเสื้อแดงแตกยับ?

ที่มา Thai E-News



















ที่มา เวบบอร์ดคนไทยยูเค

จากการติดตามสื่ออินเตอร์เน็ตที่มีคุณภาพที่สุดของคนเสื้อแดงฝ่ายประชาธิปไตย ก็เห็นจะเป็นเว็บไซด์ไทยอีนิวส์ (www.thaienews.blogspot.com) ที่มีจำนวนสถิติผู้เข้าชมนับล้านคลิ๊ก

ไม่ว่าจะเป็นข่าวสาร บทความทางวิชาการ และกระทั่งบล็อกเกอร์เว็บอื่นๆที่สามารถลิงค์เข้าชมได้อย่างต่อเนื่องนั้น ถือเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งของสื่อในฝ่ายประชาธิปไตย สามารถยืนหยัดต่อสู้กันในรูปแบบไฮเทคฯกับฝ่ายเผด็จการที่มีปัจจัยเหนือกว่า แต่ก็ไม่สามารถครองใจ หรือยึดพื้นที่สื่ออินเตอร์เน็ทได้แต่เพียงผู้เดียว

เมื่อการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยดูเหมือนว่าจ ะพัฒนาและก้าวหน้าเหนือกว่าฝ่ายเด็จการที่นับวันจะเพลี่ยงพล้ำ และนับถอยหลังอยู่ทุกขณะนั้น ฝ่ายเผด็จการเริ่มที่จะกลับมาใช้วิธีการเดิมๆที่นับเป็นแผนการที่รั่วมาสู่ฝ่ายประชาธิปไตยตั้งแต่สมัย คมช.หลังจากการยึดอำนาจใหม่ๆ

แผนการนั้นก็คือแผนประชาสัมพันธ์เชิงลึกที่มีการจ้างวาน ดร.คนหนึ่งที่เป็นญาติกับ นายพลฮาร์ดคอร์ชื่อดัง(ปัจจุบัน low profile ไป แต่กลับมามีข่าวว่าประชุมกันเพื่อจะทำการยึดอำนาจอีก) ในแผนการอันนั้นแผนอันสำคัญอันหนึ่งก็คือการจัดทีมงานทำการ propaganda ในสื่ออินเตอร์เน็ต และดำเนินการตอบโต้อย่างหนักหน่วง

ทั้งทำการเนียนในเชิงวิชาการ และการปั้นข่าวต่างๆเพื่อการบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือฝ่ายตรงข้าม ในตอนนั้นนักต่อสู้ไซเบอร์คนดังคือ ประดาบ นั่นเอง (แต่ต่อมาก็ทราบว่าเป็นพวกทีมงานยี้ห้อยเพราะหลังจากย้ายข้างก็หายไป)

แต่ก็นับเป็นคุณอย่างยิ่งที่ฝ่ายประชาธิปไตยได้ทราบยุทธวิธีของฝ่ายเผด็จการที่ใช้ในการบ่อนทำลายฝ่ายประชาธิปไตย และตอนนี้แผนการดังกล่าวนั้นก็มิได้หมดวาระ หรือหยุดการกระทำแต่อย่างใด แต่ยิ่งมีการพัฒนาการต่อเนื่องและมีการปรับปรุงรูปแบบ ในการทำ IO (information operation หรือ ปจว.หรือปฏิบัติการจิตวิทยา ทางการทหารนั่นเอง)อย่างเข้มข้นต่อเนื่อง

การจัดสรรงบลับที่ไม่มีการตรวจสอบ ในการปฏิบัติการ IO หรือ ปจว.นี้สามารถแทรกชึมทั้งกำลังคนในมวลชน(โดยการแสดงตนอย่างชัดเจนด้วยการอ้างว่าเป็น แตงโม หรือมะเขือเทศ)ซึ่งเป็นวิธีการที่คนเสื้อแดงวางใจไม่มีการตรวจสอบเหมือนแต่ก่อนที่กำลังพวกนี้แทรกซึมอย่างหลบซ่อน

การปล่อยข่าวบ่อนทำลายจากการเสี้ยมเขาควายจากการเสี้ยมแกนนำให้ชนกัน โดยการสมคบบางคนเข้ามาแสดงตนเพื่อแย่งยิงมวลชนจากการอ้างว่าตนเองอยู่ข้างเสื้อแดง (แต่ได้ผลน้อย) เพื่อจะแยกความคิดมวลชนหวังผลให้มวลชนเสื้อแดงแตกย่อย ก็ได้ผลบ้างแต่พัฒนาการช้ามาก เนื่องจากมวลชนมีความเข้าใจสถานการณ์และเทคนิคแบบเก่านี้มากขึ้น จากการที่มวลชนถูกกระทำด้วยความไม่เป็นธรรม จึงสามารถป้องกันแนวคิดไปโดยปริยาย

เนื่องเพราะสาเหตุดังกล่าวที่กล่าวมา ยุทธวิธีเดินนี้ก็ได้รับการปรับปรุงด้วยการแทรกตัวในเน็ทเป็นคนเสื้อแดงเหมือนกัน แต่เข้ามาเชียร์ข้างใดข้างหนึ่งอย่างจงใจ แสดงความความเห็นอย่างสอดคล้องกับแนวคิดต่างจากแนวคิดของมวลชนส่วนใหญ่อย่างชัดเจน ดำเนินการโจมตีให้มีการเข้ามาโต้แย้งจากการตั้งกระทู้แสดงความคิดเห็นที่มวลชนไม่ทันคิดถึงในกรณีแนวนี้ ที่แต่เดิมเว็บพันทิปราชดำเนินถูกใช้มาในสมัยก่อนหน้า

ยุทธวิธีนี้เริ่มแรงขึ้นๆเพื่อสร้างความแตกแยกกับมวลชนโดยตรงถ้าไม่ระวังตัว เนื่องเพราะเริ่มแยกพวกแยกตนเองออกจากแนวมวลชนกลุ่มใหญ่ที่นับวันจะมีมวลชนมากขึ้นๆ การดำเนินการนี้นับว่าได้ผล ทั้งจากนักคิดนักเขียนบทความที่ตกเป็นเหยื่ออันโอชะจากความไม่ระมัดระวังจิตใจตนเอง

มีการเขียนบทความในลักษณะชี้นำวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มใหญ่เทียบกับสงสารกลุ่มเล็ก ยกสารพัดแนวคิดให้เห็นว่า กลุ่มนั้นไม่ดีกลุ่มนี้ซิใช้ได้ แต่เมื่อมีการโต้แย้งเกิดขึ้นก็จะกล่าวหาด้วยการต่อว่า ว่าไม่ยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์นั้น สารพัดบริภาษอย่างดุดัน จนทำให้เกิดกองเชียร์ตอบโต้กันหนักขึ้น

นั่นเองนับว่าเข้าทางเข้ากลเกมการบ่อนทำลายของฝ่ายเผด็จการอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จะเห็นได้ว่า ยิ่งฝ่ายเผด็จการกำลังอ่อนล้าท้าถอยอย่างหดหู่จากการเปิดโปงสารพัดหลักฐานที่มัดแน่นเข้าๆ จากการนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของสากล เผด็จการยิ่งต้องพยายามกระเสือกกระสนดิ้นสะบัดเพื่อความอยู่รอดในสารพัดวิธีการที่จะไขว่คว้าหาความชอบธรรมเพื่อให้กลับมายืนข้างตนให้จงได้

ที่สำคัญก็คือการทำให้มวลชนแตกแยกให้จงได้ มิเช่นนั้นมวลชนจะเพิ่มปริมาณทวีคูณอย่างยากที่เผด็จการโบราณจะต้องมีอันเป็นไปตามเผด็จการโบราณในต่างประเทศนั่นเอง

ที่ยกมาข้างต้นจึงอยากจะขอเตือนนักต่อสู้ในฝ่ายประชาธิปไตยที่มีความสามารถและเหล่าผู้จัดทำเว็บไซด์ต่างที่มีคุณภาพนี้พึงระมัดระวังและตระหนักในการที่ทำการสำรวจความคิดเห็น(โพลล์)ของมวลชนในกรณีที่ล่อแหลมอ่อนไหวสุ่มเสี่ยงต่อขบวนการคิดของมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยให้จงหนัก

ควรที่จะมีการสังเคราะห์ถึงผลที่จะตามมาจาการจัดทำการสำรวจหรือจากบทความที่จะนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ละเอียดทุกมุม เพราะหากไม่เช่นนั้นแล้วสิ่งที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์นั้น จะกลับกลายเป็นแผลที่ให้โทษต่อขบวนการหลอมรวมสร้างเสริมความคิดของมวลมหาประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยให้แหลกสลายไปคนละทิศละทาง จนยากที่กลับนำพาให้เข้ามาหลอมรวมกันอีกจนเกินจะเยียวยาแก้ไขอย่างไม่รู้ตัว หลงเข้าเกมหลอกล่อจากฝ่ายเผด็จการที่ไม่เคยจะหยุดอยู่กับที่เพื่อครอบงำประชาชนเลย

อีกกรณีที่จะเป็นกลยุทธ์ในการต่อต้านการเข้ามาโจมตีใส่สีตีไข่จากแนวเดิมที่พันทิป ราชดำเนินเคยใช้ได้ผลชงัดมาแล้วก็คือหากมีคนเนียนเข้ามาในกระทู้เสี้ยมต่างๆ นั้นก็คืออย่าไปต่อล้อต่อเถียง อย่าเข้าไปตอบโต้ในกระทู้ลักษณะนั้นอย่างเด็ดขาด ปล่อยให้กระทู้ลักษณะนั้นมันตายแห้งไป คนพวกนี้เมื่อใส่เชื้อไฟมาแล้วจุดไม่ติดมันก็จะโดนด่าจากผู้จ้างวานและก็จะแห้งตายไปจากอินเตอร์เน็ทเองโดยปริยาย

จึงขอแจ้งเตือนผ่านมาทางเว็บคนไทยูเคนี้เพื่อกระจายให้ทราบโดยทั่วกันไม่ว่าจะเป็นกรณีไทยอีนิวส์ หรือเว็บไซด์ที่กำลังฮิตอยู่เช่น internet freedom ด้วยจิตคารวะ

auss

****

เรื่องเกี่ยวเนื่อง

-สัมภาษณ์ไทยอีนิวส์:ใช่ เราคือสื่อการเมือง

-สมศักดิ์ เจียมฯ:การ "ดีเบต" ระหว่าง สุรชัย v ธิดา-จตุพร

-ซีรีส์ชุดปรับขบวนก้าวรุดไปสู่ชัยชนะ

Friday, February 18, 2011

The King′s Speech ของกษัตริย์ติดอ่าง

ที่มา มติชน



โดย วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์



The King"s Speech เป็นภาพยนตร์ตัวเก็งชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีที่ The Academy Award จะประกาศผลในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2011 ดังที่รู้จักกันในนามของรางวัล Oscar สิ่งที่ทำให้น่าสนใจก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของคนพูดติดอ่าง ซึ่งต้องต่อสู้เพื่อเอาชนะการติดอ่างให้ได้เพราะการแพ้ชนะเกี่ยวพันกับชะตาชีวิตของผู้คนนับล้านๆ คน

บุคคลที่พูดติดอ่างก็คือพระเจ้าจอร์จที่ 6 (King George VI) แห่งจักรภพอังกฤษ พระราชบิดาของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 องค์ปัจจุบัน

รางวัล Oscar ของภาพยนตร์ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นรางวัลสำคัญที่สุดเช่นเดียวกับ Grammy Awards สำหรับดนตรี Emmy Awards สำหรับโทรทัศน์ และ Tony Awards สำหรับละครเวที

The Academy of Motion Picture Arts and Sciences (AMPAS) เป็นองค์กรวิชาชีพที่มีสมาชิก 5,835 คน (ณ สิ้นปี 2007) เป็นผู้โหวตลงคะแนนให้รางวัล Oscar สมาชิกของ AMPAS ต้องได้รับเชิญจากคณะกรรมการของ AMPAS เท่านั้น ซึ่งการคัดเลือกสมาชิกกระทำกันอย่างเข้มข้นโดยพิจารณาจากการมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในกิจการภาพยนตร์ ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมาไม่มีการเปิดเผยชื่อสมาชิก (จากรายชื่อที่เปิดเผยปี 2007 จำนวน 1,311 คน เป็นดาราภาพยนตร์)

รางวัล Oscar ที่แจกกันมี 24 ประเภทของความยอดเยี่ยม เช่น ภาพยนตร์แห่งปี ผู้กำกับ ผู้แสดงชาย ผู้แสดงหญิง ตัวประกอบชาย ตัวประกอบหญิง เขียนบท สารคดี ตัดต่อเสียง ฯลฯ

ผลของการประกาศเมื่อ 25 มกราคม 2011 มาจากการโหวตรอบแรก โดยสมาชิกในแต่ละประเภทโหวตประเภทของตนเอง The King′s Speech ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล 12 ประเภท/ True Grit (10 ประเภท)/ The Social Network (เรื่องราวของการเกิด Facebook) และ Inception (8)/ The Fighter (7)/ 127 Hours (6)/ Black Swan (5) ฯลฯ



ขณะนี้สมาชิก AMPAS กำลังโหวตรอบสองกันโดยทุกคนมีสิทธิโหวตให้ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีข่าวคราวที่ออกมาก็คือ The King′s Speech ร้อนแรงมากเพราะได้รับรางวัล People"s Choice Award ที่ Toronto International Film Festival ปี 2010 สำหรับรางวัล Oscar ได้รับการเสนอชื่อใน 12 ประเภท คือภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้แสดงนำชาย หญิง และตัวประกอบชาย การถ่ายภาพ บทภาพยนตร์ ฯลฯ

พระเจ้าจอร์จที่ 6 (ค.ศ.1895-1952) บุคคลสำคัญของเรื่องคือ The King ในชื่อของภาพยนตร์ ตอนประสูติมีพระนามว่า Prince Albert (Duke of York) ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่สองของพระเจ้าจอร์จที่ 5 (King George V) ตั้งแต่เป็นเด็กทรงมีปัญหาในการพูดโดยเฉพาะในที่สาธารณะจนเป็นปมด้อยแต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาใหญ่เพราะ "ไม่ได้คิดว่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน คิดว่าก็คงแอบซ่อนอยู่ในร่มเงาไหนสักแห่งพร้อมกับการติดอ่าง"

ปัญหาสำคัญเกิดขึ้นเมื่อพระราชบิดาทรงมอบให้พูดปิดงาน 1925 Empire Exhibition ครั้งนั้นคนฟังเอาใจช่วยกันเต็มที่แต่ทว่าแต่ละคำที่ทรงออกเสียงมานั้นแสนยากอย่างน่าสมเพช และจบลงด้วยความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

พระชายา (ซึ่งต่อมาทรงเป็นที่รักใคร่ของชาวอังกฤษ โดยเรียกกันว่า Queen Mum ทรงสิ้นพระชนม์ในปี 2002 ในวัย 101 ปี) พยายามผลักดันช่วยให้หายจากการติดอ่าง ไปหาหมอหลายคนจนมาพบ "หมอหลอก" ชาวออสเตรเลีย ช่วยรักษาโดยเป็นผู้บำบัดและฝึกการพูด (speech therapist)

เจ้าชายองค์หนึ่งมีปัญหาติดอ่างกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นเมื่อพี่ชายขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดาในพระนามพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 (King Edward VIII) ในปี 1936 และในปีเดียวกันก็ทรงยอมสละราชสมบัติเพื่อแต่งงานกับแม่หม้ายชาวอเมริกัน Wallis Simpson

Prince Albert น้องชายก็จำต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนในนาม King George ที่ 6 อย่างไม่เต็มใจอย่างยิ่ง เพราะทรงตระหนักดีถึงปัญหาด้านการพูดของตนเองและไม่ได้เตรียมตัวเลยในการเป็นพระเจ้าแผ่นดิน อีกทั้งสงครามกับเยอรมนีกำลังกลายเป็นความจริงขึ้นทุกที

การติดอ่างของพระองค์กลายเป็นปัญหาใหญ่มากเมื่ออังกฤษจำต้องประกาศสงครามกับเยอรมนี ซึ่งต่อมาลุกลามเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง การพูดปลุกขวัญให้กำลังใจประชาชนของพระเจ้าแผ่นดิน ตลอดจนสื่อสารให้โลกเข้าใจบทบาทของอังกฤษ เป็นเรื่องคอขาดบาดตายในยุคที่วิทยุเริ่มเป็นตัวกลางสำคัญในการสื่อสาร

จุดไคลแมกซ์ของเรื่องคือการพูดสดครั้งสำคัญ (The King′s Speech) ทางวิทยุหลังจากที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ประกาศสงครามกับเยอรมนีไปแล้ว ในวันนั้นพระองค์ยังทรงขาดความมั่นใจในการพูดอย่างไร้ร่องรอยของคนติดอ่าง แต่ด้วยความช่วยเหลือของ "หมอหลอก" ที่ยืนสนับสนุนและโค้ชอยู่ตลอดการพูดสดทางวิทยุ "The Speech ของ King" ก็เป็นไปด้วยดี ทุกคนชื่นชมและประชาชนเกิดกำลังใจในการต่อสู้สงคราม

ภาพยนตร์ The King′s Speech ชนะใจคนดูท่วมท้นก็เพราะแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้กับความด้อยของตนเองอย่างกล้าหาญเพื่อให้สามารถทำหน้าที่ของตนเอง การต่อสู้เช่นนี้ทุกคนต้องเผชิญ ถึงแม้จะเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดินของจักรภพอังกฤษ อาณาจักรที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นจากเค้าโครงเรื่องจริงซึ่งเขียนโดยหลานของ "หมอหลอก" บางตอนอาจจะเว่อร์ไปบ้างในเรื่องการพูดคำหยาบของ Prince Albert และ King George ที่ 6 (แต่ดูจะสะใจคนดูที่เอาใจช่วยตอนฝึกเอาชนะการติดอ่าง) และการปรากฏตัวของ Sir Winston Churchill ในบางตอนของภาพยนตร์ซึ่งผู้วิจารณ์ระบุว่าไม่ถูกต้องทางประวัติศาสตร์

หากพระองค์ไม่พยายามต่อสู้ภาวะติดอ่างอันเนื่องมาจากปัญหาการเติบโต ส่วนใหญ่ภายใต้การดูแลของพี่เลี้ยงที่มีปัญหาทางจิต การถนัดซ้ายแต่ถูกบังคับให้ใช้มือขวา ความไม่เข้าใจปัญหาติดอ่างของตนโดยพ่อ ความกลัวและความหวาดหวั่นการล้มเหลว ฯลฯ รูปโฉมสงครามโลกครั้งที่สองก็อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ประชาชนหลายร้อยล้านคนจะมีชะตาชีวิตที่ผิดไปจากปัจจุบันอย่างแน่นอน

"เสน่ห์" ของทั้ง King และ Queen สร้างความประทับใจให้ประธานาธิบดีรูสเวลท์ และภรรยาเมื่อครั้งเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาในปี 1933 จนมีส่วนในการสร้างความเป็นพันธมิตรสงครามอย่างเหนียวแน่น ทั้งสองพระองค์ประทับอยู่ใน Buckingham palace ในลอนดอนตลอดสงคราม ถึงแม้ลอนดอนจะถูกเยอรมันบอมบ์จนคนตายนับพันๆ คนก็ตาม ครั้งหนึ่งระเบิด 2 ลูกตกลงไปสนามหญ้าของพระราชวังในขณะที่ทรงประทับอยู่ก็ไม่ทรงสะทกสะท้าน อีกทั้งยอมรับการแบ่งปันอาหารเช่นเดียวกับคนอังกฤษอื่นๆ ด้วยอย่างเต็มใจ

King George ที่ 6 ทรงเห็นการล่มสลายของจักรภพอังกฤษ (ไอร์แลนด์เป็นสาธารณรัฐ อินเดียประกาศเอกราช ฯลฯ) ทั้งในด้านอำนาจทหารและเศรษฐกิจ แต่ตลอดสงครามทั้งสองพระองค์ได้ทรงทำหน้าที่ให้กำลังใจทหารทุกหนแห่งในอังกฤษอย่างกล้าหาญ

ใครที่เกิดมาและประสบกับสุขภาวะที่เป็นปัญหาและทุกคนที่ต้องเผชิญปัญหาร้อยแปดจะชื่นชมภาพยนตร์เรื่องนี้ที่แสดงให้เห็นว่าการบากบั่นต่อสู้ปัญหาที่เกิดกับทุกคนในทุกระดับไม่เว้นแม้แต่พระเจ้าแผ่นดินคือคำตอบ

สำหรับผู้เขียนเองซึ่งเมื่อครั้งเป็นเด็กก็เคยติดอ่าง และสามารถเอาชนะมาได้ รู้สึกประทับใจภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นพิเศษครับ

(ทวิภาคีไทย-กัมพูชา แดง-เหลืองไร้น้ำยา รบ.รับมือปัญหารอบด้านได้) จริงเหรอ?

ที่มา มติชน



โดย ปราปต์ บุนปาน

(ที่มา คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2554)

ประเทศไทยนี้ดี

ด้านศึกสงครามความขัดแย้งกับกัมพูชา

ก็กำลังคลี่คลายไปตามความประสงค์ของรัฐบาลไทย

เพราะคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

ได้เสนอให้ไทยและกัมพูชาเจรจากันในระดับ "ทวิภาคี"

ผิดเป้าหมายของฝ่ายเขมรอย่างสิ้นเชิง

แต่กลับตรงตามความต้องการของเราเป๊ะ

เพียงแค่มีอาเซียนเข้ามาช่วยเป็นพี่เลี้ยงหรือคนกลางให้เท่านั้นเอง

ส่วนเหตุบาดเจ็บล้มตายที่ผ่านๆ มา

สักพักความสูญเสียเหล่านั้นจะค่อยๆ จางหาย

ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดี

ขอคนไทยทุกคนจงเชื่อตามนี้เถอะ



ประเทศไทยนี้ดี

ถึง "คนเสื้อแดง" จะมาร่วมชุมนุมกันเป็นเรือนหมื่นหลายต่อหลายครั้ง

เนืองแน่นถนนราชดำเนินและสี่แยกราชประสงค์

แต่นั่นก็เป็นเพียงการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์

"สัญลักษณ์" ที่ไม่มีพลานุภาพเพียงพอจะกร่อนเซาะบั่นทอนอำนาจรัฐไทยได้เลย

ไม่ได้เลยจริงๆ

ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่จำเป็นต้องมอบความยุติธรรม (ที่ไม่สองมาตรฐาน) กลับคืนไป

ตามที่พวกเขาเฝ้าเรียกร้องเพรียกหา

ส่วน "คนเสื้อเหลือง" น่ะเหรอ

ถึงพวกเขาจะหันมาใช้ไพ่ชาตินิยมเล่นงานรัฐบาล

ก็ยังปลุกเร้าผู้ร่วมชุมนุมไม่ขึ้น

ด้วยปริมาณน้อยนิดเช่นนี้

จึงมีความเป็นไปได้น้อยมากถึงน้อยที่สุด

ที่การชุมนุมอันไร้พลังของพวกเขาจะนำไปสู่สถานการณ์ทางการเมืองอื่นๆ ตามมา

อย่างที่หลายคนเคยทำนายทายทัก

ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดี

ขอคนไทยทุกคนจงเชื่อตามนี้เถอะ



ประเทศไทยนี้ดี

พลเมืองทุกคนของเรายังคงเชื่อฟังและให้ความร่วมมือกับรัฐ

พวกเขาล้วนมีฉันทามติในเรื่องต่างๆ ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว

อย่างสอดคล้องกับท่าทีและนโยบายของรัฐไทย

ความเปลี่ยนแปลงทางด้านวิถีชีวิต วิถีการผลิต วิถีการบริโภค

ตลอดจนความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร

เฟซบุ๊กก็ดี ทวิตเตอร์ก็ดี

การจำหน่ายจ่ายแจกซีดีดีวีดีต่างๆ อย่างแพร่หลายก็ดี

และการถือกำเนิดของสถานีวิทยุชุมชนตามจังหวัดต่างๆ ก็ดี

ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปคิดจิตสำนึกของพลเมืองไทยเหล่านั้นได้เลย

ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดี

ขอคนไทยทุกคนจงเชื่อตามนี้เถอะ



ประเทศไทยนี้ดี

เรามีรัฐบาล

รัฐบาลก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ท่ามกลางปัญหา (ที่ไม่เป็นปัญหาเลยจริงๆ นะ) ซึ่งรายล้อมสังคมไทยอยู่

รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันสามารถเผชิญหน้าแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านั้น ได้เป็นอย่างดี

ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดี

ขอคนไทยทุกคนจงเชื่อตามนี้เถอะ

ว่าแต่ว่า

ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องจริงเหรอ?

คุ้ยปมปัญหาพรมแดนกับเขมร "ธงชัย - สุรชาติ" ชี้ ไทยมั่วไร้สาระกับ "ประวัติศาสตร์เสียดินแดน"

ที่มา มติชน





ชมตัวอย่างการเสวนาของรศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข คลิกที่นี่

ชมตัวอย่างการเสวนาของศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล คลิกที่นี่

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่ห้องประชุมมาลัยหุวนันท์ ตึก 3 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดการเสวนาทางวิชาการ "รัฐศาสตร์ภาคประชาชน ครั้งที่ 1" เรื่อง "ฝ่าวิกฤตชายแดนไทยเขมร" โดยมี ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัย วิสคอนซิล-เมดิสัน ประเทศสหรัฐอเมริกา และ รศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมเสวนา ดำเนินรายการโดย ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รศ.ดร.สุรชาติ กล่าวว่า การเรียนวิชาประวัติศาสตร์พูดผิวเผินเรื่องการเสียดินแดน ไม่ได้โทษว่าหลักสูตรไม่ดี แต่คิดว่ากระบวนการกล่อมเกลาไม่ได้สร้างให้เรารู้ภาพบางเรื่อง โตขึ้นมาก็ไม่รู้ พอมีปัญหาก็ไม่ชัดเจนกับตัวเอง และคิดว่าคนไทยยุคหลังลืมว่าศาลโลกตัดสินเรื่องเขาพระวิหารในปี พ.ศ. 2505 แล้ว เราลองย้อนไปนั้นมันเกิดอะไรขึ้น


ฝรั่งเศสเข้าสู่ภูมิภาคเราประมาณค.ศ. 1859 เขาได้ไซง่อน เริ่มขยายอิทธิพลไปในแม่น้ำโขง แน่นอนว่าปะทะกับผู้มีอำนาจรัฐในท้องถิ่นที่เป็นหลักอยู่ อย่างพวกโพกผ้า, พวกอยู่ตรงกลาง และพวกด้านตะวันออกของพรมแดนเรา ต่อมาก็เหลือเจ้าพ่อเดียว ตรงลุ่มน้ำเจ้าพระยา แต่วันหนึ่งก็ต้องเผชิญกับเจ้าพ่อจากปารีส คิดว่าเริ่มเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงชุดใหญ่ เมื่อถึงจุดนี้สิ่งที่ฝรั่งเศสคิดว่าเป็นอุปสรรคในการขยายตัวคือ พื้นที่ของสยามที่เข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่คิดว่าจะขยายอิทธิพล


จุดที่ใหญ่ที่สุดคือวิกฤติการรศ. 112 ที่เรือของฝรั่งเศสถึงขั้นตั้งศูนย์ยิง แต่โชคดีคือเรายิงเรือนำล่องของฝรั่งเศสจม ถ้าวันนั้นพลแม่นปืนยิงเรือรบหลักอีกสองลำจมการเจรจาที่กทม.ก็คงไม่เกิดและเราอาจพูดภาษาฝรั่งเศสกันทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นเวลาที่การเจรจาเกิดทำให้เกิดสนธิสัญญา 1893


หลังจาก 1893 นั้นก็มีการทำการตกลงพ่วง เรียกว่าเป็นอนุสัญญา 1904 เป็นผลพวงจากปี 1893 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น หลังจากนั้นพอตกลงได้ฝรั่งเศสก็ออกไปยึดเมืองตราด สุดท้าย เราเริ่มมีปัญหาคือเราไม่มีเส้นเขตแดนกำกับตัวประเทศ แต่ที่เรารับเข้ามาคือความเป็นรัฐสมัยใหม่ หรือประเทศ สองคือ เมื่อเป็นประเทศก็มีตัวเส้นเขตกำกับขอบเขตของภูมิศาสตร์ ของตัวเอง เพราะความเป็นสมัยใหม่มีอำนาจอธิปไตยจึงต้องตอบว่าอำนาจอธิปไตยของรัฐสิ้นสุดตรงไหน เพราะฉะนั้น เมิ่อเริ่มพูดใน 1904 ร. 5 จึงคิดว่าสยามต้องเป็นประเทศเหมือนในยุโรปเพราะหวังว่ามีเส้นเขตแดนแล้วสยามจะมีข้ออ้างเมื่อฝรั่งเศสรุกเข้ามา


ปี 1907 ในหลวงร.5 เราแลกดินแดนเพื่อยุติปัญหากับฝรั่งเศส เราแลกดินแดนสามส่วนซึ่งขอเรียกว่าตรงนี้ว่า พระราชวินิจฉัยทางยุทธศาสตร์ สัญญาเหล่านี้เป็นพื้นฐานความสัมพันธ์ของฝรั่งเศสทั้งหมด เมื่อมีการตกลงแล้วก็ต้องมีการปักปัน เมื่อการปักปันเริ่มขึ้นนำไปสู่การตีพิมพ์แผนที่ปักปัน


อนุสัญญากับหนึ่งแผนที่นั้น เป็นคำถามกับเราว่า ตกลงเรารับหรือไม่ว่าในหลวงของเราได้ให้สัตยาบันแล้ว เพราะเมื่อมีการให้แล้ว ปัญหาคือข้อหนึ่งของอนุสัญญาระบุว่าการปักปันเขตแดนให้ใช้เส้นน้ำ และข้อสามที่ว่ามีการให้จัดคณะกรรมการร่วมจัดการปักปัน ถ้าเราไม่ยอมรับว่าการปักปันเกิดขึ้นจริงหรือ ยอมรับหรือไม่ว่าเป็นการปักปันแบบผสม ซึ่งยืนยันได้ว่าข้อสามมีการจัดตั้งคณะกรรมการผสม เพราะฉะนั้น ข้อถกเถียงตั้งแต่ปีพ.ศ. 2551 ว่าการปักปันเป็นการดำเนินการโดยเอกเทศนั้น เป็นความเข้าใจผิด เพราะเรามีเอกสารยืนยันว่าเป็นการร่วม


ส่วนปัญหาการรับหรือไม่รับแผนที่นั้น แนวพรมแดนเราปักปันแบ่งออกเป็น 11 ระวาง เมื่อแผนที่ที่ปักปันตีพิมพ์เสร็จรัฐบาลไทยก็ขอให้รัฐบาลฝรั่งเศสตีพิมพ์เพิ่มขึ้นอีก คำขอในการสั่งตีพิมพ์จากรัฐบาลสยามถือเป็นผลผูกมัดว่ารัฐบาลยอมรับแผนที่ปักปันเขตแดนแล้ว แผนที่หนึ่งต่อสองแสนที่เราได้ยินนั้นก็คือแผนที่ชุดนี้


ประเด็นการรับแผนที่บางระวางและไม่รับระวาง คำตอบคือเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้ารับคือต้องรับทั้งแนว ส่วนเรื่องเอกสารลับ ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่มีแผนที่ลับ ความตกลงลับอยู่ตามที่บางคนเข้าใจ พอมีปัญหาในปีพ.ศ. 2502 ศาลตัดสินชัดลงความเห็นว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ไทยต้องรับเพราะมีมติจากยูเอ็น เราทำรีพอร์ทกลับไปว่าเราได้ดำเนินการคือ ต้องชักธงไตรรงค์ลงจากหน้าผา, คืนวัตถุโบราณบางชิ้น คำถามคือพื้นที่รอบปราสาทนั้นมีเส้นหรือไม่ เวิ้งตรงนั้นเราตัดแล้ว แต่มันเกิดข้อโต้แย้งว่ากัมพูชาได้แต่ตัวปราสาท แต่พื้นที่ใต้ตัวปราสาทเป็นของไทย จนมีทฤษฎีเรื่องมือถือ ซึ่งกล่าวว่ากัมพูชาลืม "มือถือ" เอาไว้บน "โต๊ะ"ของไทย ซึ่งเรื่องอสังหาริมทรัพย์กับสังหาริมทรัพย์มีความต่างกัน


ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ นั้นได้บอกว่าการสงวนสิทธิทางกฎหมายให้ไทยสามารถยื่นหลักฐานโต้แย้งได้ แต่ทางไทยไม่ได้มีหลักฐานใหม่ในทางกฎหมายซึ่งเกินระยะเวลา 10 ปีมาแล้วด้วย


ข้อโต้แย้งสงครามอินโดจีน อนุสัญญาโตเกียวนั้นไปจบที่วอชิงตันแล้ว ท้ายที่สุดเราคืนดินแดน เมื่อปัญหาผ่านมาทั้งหมดเราทำความตกลงช่วยจำหรือที่เรียกว่า "เอ็มโอยู 43" คือกรอบของการทำความตกลง ว่าถ้าในอนาคตข้อตกลงที่จะใช้เป็นบรรทัดฐานจะอยู่บนหลักฐาน "สามอนุสัญญาและหนึ่งแผนที่ปักปัน" เพราะฉะนั้นเลิกหรือไม่เลิก ข้อตกลงของเดิมก็ไม่ออกไปไหน


แผนที่หนึ่งต่อห้าหมื่นเป็นแผนที่ที่กองทัพสหรัฐทำในช่วงเวียดนาม แผนที่ทหารเป็นแผนที่ยุทธการไม่ใช่แผนที่เพื่อการปักปันเขตแดน ไม่สามารถนำมาใช้เป็นข้ออ้างได้เพราะเป็นแผนที่เพื่อการทหาร ตกลงวันนี้พื้นที่ทับซ้อนแนวเส้นเขตแดนเกิดจากเส้นลากในคณะกรรมการปักปัน รอยเหลื่อมระหว่างเส้นเขตแดนระหว่างสันปันน้ำ ที่ขอบหมายความว่าเราต้องทำใจเพราะปี 2505 กัมพูชาไม่ได้ฟ้องเรื่องเขตแดนถ้าฟ้องคงเป็นเรื่องปัญหามากกว่านี้


ถ้าประเด็นเป็นแบบนี้ ประเด็นจะไปถึงเรื่องทางออกสุดท้ายคือ "การรบที่ภูมิซรอล" เพราะถ้าเราไม่รับอะไรเลย ต้องกลับไปอ่านประวัติศาสตร์ใหม่ เพราะรัฐบาลแต่ละช่วงก็ดำเนินการอย่างประนีประนอม เพื่อไม่ให้กลับไปสู่การนำไปสู่การตัดสินด้วยภายนอกอย่างสมัยที่มีการตัดสินด้วยศาลโลก

ถามเล่นๆว่าร้านกาแฟตั้งคร่อมระหว่างเนเธอร์แลนด์กับเบลเยียม ตัวอย่างพวกนี้นำไปสู่ประเด็นที่เคยนำเสนอคือ เปลี่ยนพื้นที่ความขัดแย้งเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม ตอนที่เปลี่ยนสนามรบรอบแรกคือชาติชาย รอบสองคือทักษิณ และทั้งสองรัฐก็จบด้วยรัฐประหาร

ถ้าตัดประเด็นทักษิณ ชาติชายทิ้ง มีห้าทางเลือก เรามีห้าทางเลือก คือหนึ่งไปศาลก็ต้องใช้เอกสารเดิม คำถามคือจะชนะไหม สองเจรจาพหุภาคีซึ่งเราก็ไม่เอา เพราะอดีตเราเคยคืนดินแดนที่ยึด เรากลัวอีกมุมหนึ่งคือสุดท้ายถูกผลักขึ้นศาลก็จบแบบเดิม สามคือ แบบทวิสองฝ่ายคือประชุมเจบีซี แล้วไป"ยูเอ็นเอสซี" จะให้ประชุมสองฝ่าย อยากฝากสื่อให้เผยมติยูเอ็นเอสซี คำตอบคือเกิดภายใต้กรอบพหุหรือผ่านอาเซียน ยกเว้นแต่เราจะบอกว่ายูเอ็นออกมติผิด หรือสุดท้าย ไม่รบ เพราะพื้นที่ตัดสินไม่ได้ แต่ก็เปลี่ยนพื้นที่ขัดแย้งเป็นพัฒนาร่วม อย่างเจดีเอ ไทยมาเลย์ เราเปลี่ยนด้วยการทำความตกลงเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม เรามีความสำเร็จที่สามารถทำความตกลงลาดตระเวนร่วมระหว่างไทย เวียดนาม ไม่ยึดตัวพื้นที่แต่เอาปฎิบัตการเป็นตัวตัดสิน ลองคิดว่าร่วมฉลองมรดกโลกกับพี่น้องในพนมเปญ พอเราทำใจไม่ได้ข้อพิพาทก็ไม่หนีไปไหน ถ้าไม่อยากขึ้นศาล เราหันมาทำพื้นที่พัฒนาร่วมกันเส้นทางท่องเที่ยวแหล่งใหญ่ก็เกิดขึ้น


ซึ่งอีก 4 ปีข้างหน้าเขตความเศรษฐกิจอาเซียนก็จะมาถึง แล้วเราจะทำอย่างไรเมื่อเส้นเขตแดนไม่มีความหมาย แรงงานก็จะข้ามได้อย่างเสรี ตำรวจไทยไม่ต้องไล่จับโรฮิงยา โจทย์เรื่องอาเซียนต้องมาถึงแน่ วันนี้ยังเดินนโยบายแบบนี้ก็ลำบาก

ด้าน ศ.ดร. ธงชัย กล่าวว่า มีด้วยกัน 4 ประเด็นใหญ่ คือ 1. ฐานสาเหตุที่ปะทุขึ้นมาของความสัมพันธ์ระหว่างความคิดและการเสียดินแดน จะเรียกว่าลัทธิความเชื่อก็ได้ "ลัทธิชาตินิยมไทย" แยกไม่ออกตั้งแต่ต้นเรื่องการเสียดินแดน 2. การตีเส้นเขตแดน ความเข้าใจผิดเรื่องเส้นเขตแดน 3. เรื่องกรณีปราสาทเขาพระวิหาร 4. ความขัดแย้งไทย กัมพูชาไม่ใช่เรื่องเส้นเขตแดนทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะเรื่องการเมืองไทย

ศ.ดร.ธงชัย กล่าวเปรียบเทียบปัญหามีเรื่องใหญ่มากเหมือนช้างตัวหนึ่งอยู่ในห้องแต่สังคมไทยเรามองไม่เห็น ตราบใดที่เรายังไม่ตระหนักว่ามีช้างอยู่ในห้องก็ไม่รู้ต้องรบกันอีกกี่ร้อยยก เริ่มจากประเด็นเรื่องที่ 1. อุดมการณ์ชาตินิยม เรื่องการเสียดินแดนซึ่งเคยเขียนไปแล้ว แต่ที่คนอ่านไม่รู้เรื่อง อาจจะเพราะว่าขัดกับความเชื่อ


"เราถูกสอนมาตลอดว่า เราเสียดินแดน แต่ผมมาบอกว่า เราไม่เสียดินแดน แต่เคยมีสักคนถามไหม ว่า มีหลักฐานอะไรว่าเราเสียดินแดน เพราะเราเสียดินแดนตั้งแต่ก่อนมีคนไทยอีก ก่อนมีประเทศไทยอีก ความคิดเรื่องการเสียดินแดนมีหลายประเทศในเอเชีย ชาตินิยมหลายประเทศในเอเชีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อรูปก่อร่างออกมาโดยมีลัทธิความเชื่อ ที่พูดถึงการถูกทำให้ละอาย อย่างแสนสาหัส เขาต้องประกาศว่าตัวเองถูกรังแกให้น่าละอาย แต่ถูกรังแกบ่อยเหลือเกิน ทั้ง จีน เกาหลี ไม่ใช่เพื่อประจานตัวเอง แต่เพื่อปลุกเร้าชาตินิยม ในการเสียดินแดน ประเทศไทยมีความภาคภูมิใจว่าไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร แต่อีกด้านหนึ่งที่เราบอกว่าตัวเองเสียดินแดน"

ศ.ดร.ธงชัย กล่าวว่า ทั้งหมดเป็นความเชื่อ จึงยากมากที่จะสลัดความเชื่อออกไปได้ ความเป็นไทยและชาตินิยมไทย ถือกำเนิดมาพร้อมกับการถูกคุกคาม แยกกันไม่ออก มา 100 กว่าปี กำเนิดมาด้วยกันกับลัทธิเสียดินแดนค้ำจุ้นความเป็นไทยไว้ ความภูมิใจของการไม่เป็นเมืองขึ้นถูกปลุกมาพร้อมกับความเจ็บปวดเรื่องเสียดินแดน ในยุโรปก็ประมาณ 200 ปี เริ่มมีเรื่องความขัดแย้ง เรื่องอธิปไตยเหนือดินแดน มีการเสียดินแดน ที่เสียมาได้ไปอยู่อย่างนี้


"รัฐสมัยโบราณ เป็นรัฐแบบเจ้าพ่อ ไม่ได้ตายตัวแบบอธิปไตยเหนือดินแดน เหมือนเราเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1ที่ 2 ไม่ได้หมายความว่าเราเสียดินแดน หรือการเป็นเมืองขึ้น หรืออย่างกรณีพระนเรศวรประกาศอิสรภาพก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้น สมัยที่พระนเรศวรเข้มแข็งเพราะทางพม่าอ่อนแอลง จากเอกสารเก่าพระนเรศวรไม่เคยประกาศอิสรภาพ แต่ประกาศแยกตัวออกมาจากพม่า เพราะการประกาศอิสรภาพหมายถึงเราต้องใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาค"

ศ.ดร.ธงชัย กล่าวอีกว่า ระบบเมืองขึ้นสยามในสมัยนั้นขึ้นต่อเมืองอื่นเกินสองแห่งทั้งนั้น ขอถามว่ามีเมืองขึ้นใดบ้างที่จ่ายเครื่องบรรณาการ ต่อเมืองสยามเพียงแห่งเดียวซึ่งไม่มีเลย เราเชื่อแผนที่สุโขทัย เชื่อแผนที่ว่า ร.1 มีพื้นที่ใหญ่เท่านั้นเท่านี้ การเสียดินแดน 14 ครั้ง อาศัยแผนที่ทางประวัติศาสตร์ ไม่น่าเชื่อถือเลย เพราะถูกสร้างขึ้นมา แม้จะรู้เป็นอย่างดีว่าประเทศเหล่านั้นไม่ได้ขึ้นต่อประเทศสยามแต่เพียงผู้เดียว


"นอกจากพื้นที่ 4.6 ตร.กม.แล้ว มีพื้นที่ซ้อนทับเต็มไปหมด เพราะเราคิดว่า เป็นที่ของเรา การเสียดินแดน 14 ครั้ง เป็นความเชื่อแบบผิดๆ ร้อยปีก็เปลี่ยนไม่ได้ ถ้าอยากเชื่ออย่างนั้นว่าคนไทยมาจากไหน ถูกจีนไล่มา เราเสียดินแดนมองโกเลียในแถบเขาอัลไต ถูกไล่มาเรื่อย ๆ เราเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ไร้สาระ ลัทธิการเสียดินแดน เป็นความเชื่อในประวัติศาสตร์ที่ผิดๆ ลัทธิชาตินิยม สร้างความเจ็บปวด จากการเสียดินแดน ทั้งหมดเป็นลัทธิความเชื่อ ที่ไม่มีมูลทางประวัติศาสตร์ ยากเหลือเกินที่จะทำให้คนเชื่อว่าเป็นลัทธิไร้สาระได้"


ศ.ดร.ธงชัย กล่าวว่า หลักฐานความทรงจำของสงครามอินโดจีนที่ไทยบุกไปยึดดินแดนของกัมพูชา ที่สำคัญ คือ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แต่ในการจัดงานแต่ละครั้งไม่มีการรำลึกถึงทหารที่ไปรบในสงครามอินโดจีน แต่เป็นอนุสาวรีย์ที่ใช้กับอะไรก็ได้ เพราะใช้ในการรำลึกทหารผ่านศึก เพื่อลบความทรงจำในการต่อสู้ที่อินโดจีน


ศ.ดร.ธงชัย กล่าวถึงประเด็นต่อมา เรื่องเส้นเขตแดน คือ มรดกยุคอาณานิคม ใครก็แล้วแต่ ที่บอกว่าอย่าไปเชื่อเส้นเขตแดนยุคอาณานิคม เพราะชาติไทยทั้งชาติเป็นมรดกยุคอาณานิคมที่มีเส้นเขตแดนมากมายรอบประเทศไทยในปัจจุบัน แล้วทำไมจะไม่ยอมรับแค่เส้นเขตแดนเขาพระวิหาร หากจะรบกันสามารถรบได้ทุกจุดรอบประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทย หากจะรู้ว่ารบตรงไหนจะชี้ให้ว่ารบตรงไหนบ้าง หากจะใช้วิธีอย่างปัจจุบัน รบรอบประเทศไทยเลย เพราะว่าพรมแดนที่ยุคอาณานิคมทิ้งไว้เข้ากันไม่ได้กับรัฐยุคโบราณ และเส้นเขตแดนตัดกลางชุมชนที่เป็นวัฒนธรรมเดียวกัน พวกเขาจึงต้องข้ามไปหากัน เส้นเขตแดนสันปันน้ำ สภาพทางภูมิศาสตร์เปลี่ยนแปลง ร่องน้ำลึกเปลี่ยนไปสันปันน้ำก็เปลี่ยนได้ พรมแดนธรรมชาติเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นสันปันน้ำที่อยู่ในสนธิสัญญาจึงไม่ใช่เส้นเขตแดน


"เขตแดนจึงเป็นเรื่องเทคนิคอยากรบ รบได้รอบประเทศไทย ถ้าหากไม่อยากรบ เป็นเรื่องของเทคนิคปล่อยให้เจ้าหน้าที่เทคนิคจัดการแล้วปล่อยให้รัฐบาลที่มีความสัมพันธ์ดีต่อกัน จัดการไม่ดีกว่าหรือ เพราะมันตกลงกันไม่ได้ แต่ถ้าใครไปยื้อให้รบกันตาย" ศ.ดร.ธงชัย กล่าว


ศ.ดร.ธงชัย กล่าวต่อว่า เรื่องพรมแดนธรรมชาติมีปัญหาอยู่จริง แต่ยังมีพรมแดนที่มนุษย์สร้างกันเองเป็นปัญหา อย่างเรื่องพรมแดนเขาพระวิหารเป็นหน้าผา และมีคลองบ้าง ส่วนใหญ่เป็นทุ่งโล่ง หมายความว่า การข้ามเขตรู้บ้างไม่รู้บ้างมีเป็นประจำ หลักเขตที่ปักไว้โบราณจริงๆ ยกออกได้ง่ายลักษณะเหมือนหลักกิโล ช่วงอรัญประเทศ เพราะว่ารัฐไทยเคยใช้ให้เป็นทางผ่านที่เขมรแดงใช้รบหลบเข้ามาในประเทศไทย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะว่าทุ่นระเบิดเต็มไปหมด เฉพาะทหารเท่านั้นที่ผ่านไปได้ การแก้ปัญหาหลักเขต จะไปแก้ปัญหาเหล่านั้นแก้ได้ยาก กว่าจะไปแก้ได้คงอีกนาน พรมแดนที่มีการวางทุ่นระเบิดประมาณสามล้านลูก ในชายแดนไทยเขมร ซึ่งเป็นทุนระเบิดสารพัดประเทศที่หาคนกู้ได้ยากมาก

"คิดว่าจะเกิดอะไรกับภาษาไทยถ้าคืนคำว่า "ก็" ให้เขมร คงเกิดความโกลาหลกับประเทศไทยเราคงพูดไม่ออกไปอีกเยอะเลย เพราะภาษาไทยไม่มี "ไม้ไต่คู้" หรอก"

ศ.ดร.ธงชัย กล่าวว่า ปัญหาพรมแดนเกิดจากเรื่องมากมายที่น่าสนใจ รากของปัญหา คือ การเมืองไทย หากความสัมพันธ์ไทยกับเพื่อนบ้านก็เกิดความสัมพันธ์ที่ดี เหมือนไทยกับมาเลเซียเป็นพรมแดนที่สั้่นที่สุด แต่ก็แก้ปัญหาไม่ได้ แต่พัฒนาเป็นเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม ส่วนรากของปัญหาไทยที่ขัดแย้งกับกัมพูชา คือ การเมืองไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก


"จึงขอฝากช่วยกันคิดหน่อยว่า ถึงวันนี้ในความเห็นผม คิดว่าเวลาผ่านไปมองย้อนหลัง เราน่าจะเข้าใจวิกฤตได้ดีกว่าเดิม หลังผ่านวิกฤตฝุ่นตลบ ปัญหาชายแดนไทยเขมรเป็นโรคที่เกิดจากอะไร ในความเห็นของผม คือ เป็นโรคที่เกิดจากสอง ปัจจัยเศรษฐกิจ สังคม และชนบทเปลี่ยนไปมากแล้ว แต่ชนชั้นนำไทย ไม่เข้าใจในการเปลี่ยนแปลงนี้ เมื่อระบบเศรษฐกิจสังคมเปลี่ยน การเมืองก็ต้องเปลี่ยน ต้องปรับให้สอดคล้องกับกล่มชนชั้นเพื่อประโยชน์ร่วมกัน ในการเปลี่ยนแปลงนั้น เขาได้รู้ว่าระบบการเลือกตั้งที่คนกรุงรังเกียจหนักหนา แต่สำหรับเขามีประโยชน์มาก การจะไปแสวงหาการเลือกตั้งที่ใสสะอาดไม่มีทาง หากเรายอมรับว่าระบบการเลือกตั้งไม่ได้สมบูรณ์ที่สุด แต่เอื้อสะท้อนผลประโยชน์ ที่นำมาแลกกันแล้วตกลงด้วยสันติ แค่นั้นเอง เศรษฐกิจสังคมเปลี่ยนไปแล้ว แต่ระบบประชาธิปไตยที่กำลังเคลื่อนไปก็ถูกสกัดอย่างแรง


"ระบบการเมืองถูกทำลายเพราะกลัวว่าฝ่ายการเมืองจะขึ้นมาเป็น ผู้มีบทบาทในการคัดเลือกบุคคลขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญสูงสุดในช่วงเปลี่ยนผ่าน เรื่องนี้มีทางออกทางเดียวเท่านั้น คือ ปรับระบบการเมือง การแก้ปัญหาต้องประนีประนอม ปล่อยตัวแกนนำเสื้อแดง เพื่อเปิดประตูที่จะนำไปสู่เรื่องความอึดอัดให้มาอยู่ในกรอบ และยกเลิกกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รวมทั้งคณะกรรมการปฏิรูป 600 ล้าน ที่แตะทุกเรื่องยกเว้นเรื่องที่ควรจะแตะ"

"ดร.คณิต ณ นคร" ผมไม่เห็นการเมืองเราพัฒนาอะไรเลย มันทำกันอย่างนี้แหละ

ที่มา มติชน





ศาสตราจารย์ ดร. คณิต ณ นคร ประธาน คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหา ความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติหรือ คอป. ให้สัมภาษณ์พิเศษ กองบรรณาธิการวารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในหลายประเด็นที่น่าสนใจ

มติชนออนไลน์ นำมาเสนอ ตอนแรกวันที่ 17 ก.พ. เป็นเรื่อง บทบาทของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหา ความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ พร้อมวิพากษ์กระบวนการยุติธรรม

ตอนสุดท้าย 18 ก.พ. จะเป็นประเด็นเรื่องการเมือง นักการเมือง กระบวนการยุติธรรม การยึดอำนาจ และรัฐธรรมนูญ


ผู้สัมภาษณ์ : ในฐานะที่อาจารย์อยู่ในวงการยุติธรรมมานาน อยากทราบความเห็นของอาจารย์ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในเมืองไทยทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง หรือกระบวนยุติธรรมต่างๆ นี้ ต้นเหตุของปัญหานี้เป็นเพราะตัวระบบที่เป็นอยู่ในประเทศไทย หรือเป็นเพราะตัวบุคคลที่ทำให้เกิดความวุ่นวายอยู่ในทุกวันนี้


ศ.ดร.คณิต : ผมไม่เคยเข้าไปแวดวงการเมืองนะ ผมหลงทางไปทีเดียวในสมัยคุณทักษิณคือตอนที่ร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ผมเป็น สสร. ด้วยและคุณทักษิณก็เข้ามาทาบทามผม ว่าผมก็มีอะไรที่อยากทำอยู่เยอะ ก็เป็นเรื่องจริง และผมก็คิดว่าการเมืองตอนนั้นน่าจะเป็นมิติใหม่แล้ว แต่ก็พบว่ามันไม่จริง ผมก็เลยถอย ผมก็ข้องแวะกับการเมืองแค่นี้แหละ อย่างอื่นผมก็ไม่เคย

ถามว่าการเมืองเราเป็นยังไง เมื่อต้นเดือนสิงหาที่คณะนิติศาสตร์ที่ผมอยู่ ก็ไปสัมมนากันที่ระยอง แล้วก็กินข้าวเสร็จ มีร้องเพลง มีอาจารย์ท่านหนึ่งร้องเพลงเซิ้งอีสาน เท่าที่ผมทราบแต่งโดยคุณหงา คาราวาน แต่งในสมัย ที่อเมริกาเข้ามาในสมัยสงครามเวียดนาม เขาบรรยายถึงความยากแค้นการเอารัดเอาเปรียบอะไรต่างๆ ผมฟังแล้ว เนื่องจากผมมารับหน้าที่นี้ ผมฟังแล้วผมสะท้อนใจเพราะตั้งแต่ปี 2515-2516 สภาพพี่น้องเราที่อีสานนี่นะครับกับเดี๋ยวนี้ไม่แตกต่างกันเลย

นี่แสดงว่าการเมืองไม่ได้ทำให้เราดีขึ้นเลยนะ และผมก็มองว่าไม่ใช่เฉพาะคนอีสานที่อยู่ในเพลงหรอก จริงๆ แล้วเป็นทั้งประเทศนั่นแหละ ผมไม่เห็นการเมืองเราพัฒนาอะไรเลยมันทำกันอย่างนี้แหละ ที่เขาบอกว่าเล่น ทำเป็นเล่น ฉะนั้น generation ต่อไปเราอย่าเพิ่งสิ้นหวัง ก็ช่วยกันให้ดีขึ้นในอนาคตต่อไป

อันนี้ก็คือ ถ้าถามการเมืองผมก็จะตอบอย่างนี้ แต่ผมไม่เคยคิดจะลงไปเล่นการเมืองที่ผมเข้าไปนั้นผมหลงทาง นี่เขียนไว้ในตำราของผม ลองไปอ่านดูในคำนำกฎหมายอาญาภาคทั่วไป ผมไปอยู่สองปีแล้วผมก็ออกมาสอนหนังสือ ซึ่งผมก็คิดว่าสอนหนังสือมันถูกจริตผม แล้วผมก็สบายใจด้วยที่จะทำไม่ต้องไปยุ่งยากวุ่นวายกับใคร


ผู้สัมภาษณ์ : แล้วอาจารย์คิดว่าต้นเหตุอยู่ที่นักการเมืองหรือเปล่า ที่ทำให้ปัญหา ต่างๆ เกิดขึ้น

ศ.ดร.คณิต : ชัดอยู่แล้ว ไปหาเสียงทำอะไรมาไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ ผมคิดว่าอย่างนี้ด้วยนะ การเมืองระยะหลัง ถ้าผมพูดตรงๆ ก็ต้องบอกว่า ขณะนี้วงการราชการเราถูกทำลายเยอะเลย โดยผลของนักการเมืองที่เก่าๆ วงการราชการแต่ก่อนนี้ ความน่าเชื่อถือมันค่อยๆ น้อยไปหน่อยแล้ว มันลงมาเล่นกับวงการราชการก็ไปกันใหญ่


ผู้สัมภาษณ์ : กล่าวได้ว่าอาจารย์คือผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรม หากเปรียบเทียบกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยในอดีตเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว อาจารย์เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทยในปัจจุบันนี้ได้พัฒนาดังที่อาจารย์ได้มุ่งหวังไว้หรือไม่ เพียงใด


ศ.ดร.คณิต : กระบวนการยุติธรรมของไทยปฏิรูปครั้งแรก ปี 2540 โดยรัฐธรรมนูญฉบับที่เรียกว่า “ฉบับประชาชน” พวกผมหลายคนอาจารย์ ดร.กิตติพงษ์ คุณพงษ์เทพ เทพกาญจนา ช่วยผลักดันเรื่องนี้มาก

ประเด็นสำคัญที่มีการปฏิรูปเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมไทยก็คือ การให้ศาลเป็นผู้ออกกฎหมาย (หมายจับ หมายค้น) แต่ยังไม่เข้าใจเนื้อหาจริงๆ เหมือนกับว่าเปลี่ยนคนเซ็นมากกว่า จากตำรวจเป็นศาล และวางหลักประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษา ในรัฐธรรมนูญปี 2540

เช่น ศาลไม่มีการบังคับบัญชาเป็นลำดับชั้นเพราะหากมีจะกระทบกระเทือนความมีอิสระในการทำงาน และการจ่ายสำนวน เมื่อจ่ายให้ผู้พิพากษาท่านใดทำแล้วจะเพิกถอนไม่ได้ แก้ไขเปลี่ยนแปลงสำนวนไม่ได้แต่แม้มีการปฏิรูปแล้วก็ยังไปได้ไม่ถึงไหน ในปัจจุบันก็ยังต้องปรับปรุงต่อไปอีกมาก ถ้าท่านติดตามข้อเขียนของผมก็จะทราบว่ามีอีกมากที่เราจะต้องปรับปรุงเกี่ยวกับข้อวิจารณ์ ตอนนี้คนก็เริ่มเข้าใจกันบ้างแต่ก็ยังเข้าใจไม่หมด

ถามว่าตอนนี้ดีกว่าเก่าไหม ผมบอกได้เลยว่า “กฎหมายของเรา ไม่เลวกว่ากฎหมายใดในโลกนี้” แต่คนของเรายังต้องศึกษาอีกเยอะ เพราะฉะนั้นการให้การศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะในชั้นอุดมศึกษารวมทั้งมัธยมศึกษาและประถมศึกษา ก็ดีขึ้นแต่ยังไม่ดีเท่าที่ควร อาจสืบเนื่องมาจากว่าคนไทยเรามีความเป็นอำนาจนิยมสูง คนที่เกิดแบบเสรีนิยมมีน้อย เมื่ออำนาจนิยมสูงเราจึงทำงานไม่สอดประสานกัน อย่างกระบวนการยุติธรรม จริงๆ แล้วการตรวจสอบความจริงมีสองชั้นคือ เจ้าพนักงาน กับชั้นศาล ชั้นเจ้าพนักงานเรามีเจ้าพนักงานหลายฝ่ายเราก็ต่างคนต่างทำ

เช่น ขณะนี้มีทั้งตำรวจ มี DSI มีอัยการ มี ปปท. ปปช. หน่วยงานทั้งหลายทะเลาะกันหมด ซึ่งเป้าหมายอันเดียวกัน ในชั้นศาลก็ยังไม่ค่อยลงรอยเท่าไหร่แต่มีปัญหาน้อย แต่ศาลก็ไม่ค่อยจะactive เป็น passive ให้อัยการต่อสู้ คดีอาญาไม่ใช่เรื่องการต่อสู้กัน ผม อ่านวิ.อาญาต่างจากคนอื่น เพราะในวิ.อาญาเราเขียนไว้เลยว่าศาลเป็นผู้สืบพยาน จะสืบในศาลหรือนอกศาลก็ได้แล้วแต่ลักษณะพยาน

ดังนั้นเราไปที่ศาลเดี๋ยวนี้เราจะพบว่าศาลไม่ได้ทำทั้งหมด จะปล่อยให้สู้กันคดีมันก็ยืดเยื้อ คดีแพ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึงยืดเยื้อหนักเลยมีหลายๆ เรื่องการไม่ active ของศาลทำให้กระบวนการยุติธรรมเราแย่ ถ้าต่างประเทศ ถ้าให้อัยการฟ้องเท่ากับว่าเชื่อได้แน่ว่าติดคุก ไม่มียกฟ้องเยอะ การที่ยกฟ้องเยอะแสดงว่าไม่มีประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมไทย

ผมวิเคราะห์ว่ามันมีความแย่สามประการ ประการแรก คือประสิทธิภาพด้อย ถ้าเทียบกับญี่ปุ่นคนละโลกเลย ญี่ปุ่นเขาสามารถเอานายทานากะซึ่ง เป็นนายกรัฐมนตรีติดคุกได้ เกาหลีก็ใช้ได้ ประการที่สอง คือคุกคามสิทธิของบุคคลเยอะ เช่นตีตรวจ หรือแม้กระทั่งข้อเสนอของคณะกรรมการชุดผมที่ออกไปเร็วๆ นี้ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ประการที่สาม cost ในด้านบุคลากร ผมเคยเปิดหนังสือของญี่ปุ่นดู ตำรวจญี่ปุ่นเขาน้อยกว่าเรามากจำนวนผู้พิพากษาก็น้อยกว่าเรา ในขณะที่เขามีประชากรมากกว่าเราสองเท่า เราก็สุดๆ ทั้งสามด้านในคุกเราก็ยังแน่นเพราะเราไม่ได้มีการบริหารคดี เราพอมีการฟ้องก็เข้าคุกไป แน่น ที่ไม่จำเป็นก็ขัง

ผมให้สัมภาษณ์เลยว่า ถ้าปฏิบัติตามผม ผู้ต้องขังในเรือนจำระหว่างคดีจะลดจากประมาณ 39% เหลือ 20% จะแก้ปัญหาคนล้นคุกได้ คนล้นคุกของเราอัยการญี่ปุ่นเขาบอกว่าสภาพคุกในเมืองไทยคือคุกญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ของเราอนุรักษ์นิยมไว้ คือเราไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย ทำเสร็จๆเป็นวันๆ มีปัญหาเยอะแยะ

นี่ก็คือกระบวนการยุติธรรมของเราผมก็คงตอบได้แค่นี้ แต่ว่าเราไม่ควรจะสิ้นหวัง เราต้องพัฒนาต่อไปอย่างตอนนี้ ผมพูดถึงเรื่องให้ศาลเป็นผู้ออกหมายจับ ผมไม่คาดคิดว่าผมจะได้เห็นในขณะที่ผมมีชีวิตอยู่ เพราะว่าตอนที่เราผลักเรื่องนี้เข้าไปอยู่ในรัฐธรรมนูญนี้ตำรวจเขาต่อต้านอย่างมาก บอกว่าจะไม่สะดวกในการทำงาน เขาบอกทำไมไม่ไปแก้กฎหมายทีหลัง

ผมบอกว่าถ้าไปแก้กฎหมาย ผมตายสิบชาติก็ไม่เกิดหรอก และจริงๆ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เมื่อเรารับระบบยุโรปมาในสมัยก่อน ศาลก็เป็นคนออกหมาย แล้วก็นอกจากความคิดของเราที่เป็นอำนาจนิยมที่ผมว่า ความคิดในวงการราชการ รวมทั้ง วงการยุติธรรมด้วย คือความคิดในเชิงราชการที่เขาเรียกในเชิง“Bureaucracy” คือจะพยายามตั้งหน่วยงานออกมาเยอะ

และที่น่าสนใจที่สุดก็คือว่าคณะชุดผม ที่ผมเรียนแล้ว ช่วยผลักดันเรื่องการคุ้มครองพยานเข้าไปไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2540 เพราะเราพบว่าพอไปเป็นพยานในศาล ลงมาจากบัลลังก์ ออกจากศาลก็ถูกยิงตาย ไม่มีใครไปดูแลความปลอดภัยให้เลย ความจริงมีคนไปดูแลเยอะ ตำรวจก็มีหน้าที่ใครก็มีหน้าที่ แต่ปรากฏว่า พอไปอยู่ตรงนั้นก็ถือโอกาสสร้างสำนักงานคุ้มครองพยานขึ้นมาในกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานคุ้มครองพยาน หากใครอยากได้รับการคุ้มครองผมก็จะพิจารณาก่อนที่ผมจะสั่งบางที อาจเป็นอันตรายก่อน ต้องเข้าไปดูแลทันที แล้วหน่วยงานที่เกิดขึ้นมันไม่มีเล็ก มันจะใหญ่ ผมบอกว่าไอ้ที่คุณทำอย่างนี้มันภาษีผม เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เราจะต้องมาดูว่าสิ่งไหนที่ไม่จำเป็น หรือมีอยู่แล้ว ก็ไม่ควรจะมีให้ซ้ำซ้อน พอมีซ้ำซ้อนก็มีภาษีเยอะ

ที่น่าสนใจ คือว่ากฎหมายว่าด้วยการตั้งสำนักงานคุ้มครองพยานเข้าคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ผมนั่งอยู่ด้วย ผมพูดให้ฟังไม่มีใครฟัง เขาก็เข็นออกมาจนได้ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ของของเราก็จะยิ่งแพงขึ้นเรื่อยๆ ของเราในประวัติศาสตร์ก่อนการปฏิรูปการเมืองเมื่อปี 2540 มีกรมเกิดเยอะแต่ไม่เคยยุบเลยมีกรมเดียวที่ยุบไปก็คือ สำนักนโยบายและแผนกระทรวงมหาดไทย มีกรมเดียวนะในอดีตเพราะผมก็เคยทำงานที่ กพ. กรมที่เกิดขึ้นมาเกิดตามคน ไม่ตามภารกิจ


ตอนที่ผมอยู่สำนักงานอัยการสูงสุดมีน้องๆ มาถามผมตลอดเวลาว่าปีนี้จะได้อัตราเพิ่มซักเท่าไหร่ สิ่งที่ผมตอบว่าอะไร ผมตอบว่าผมยังไม่ทราบเลย ว่าจะหางานอะไรให้พวกคุณทำ ถ้าได้งานแล้วคนจะตาม ไม่ใช่มีคนโดยไม่มีงาน แล้วก็หน่วยงานไหนก็ตาม มีคนแล้วว่างงานเป็นปัญหาหน่วยงาน แต่พวกอัยการไม่ค่อยชอบเพราะผมไม่เคยขยายBureaucracy อย่างที่เกินความจำเป็น และผมพยายามจะยุบ แต่ยุบได้ไม่หมดเหมือนกัน

อย่างเช่นสมัยก่อน สำนักงานอัยการสูงสุดมีกองฎีกากองอุทธรณ์ กองฎีกา อุทธรณ์ไม่ทำอะไรเลยจนกระทั่งเราเรียกว่ากองไม่อุทธรณ์ กองไม่ฎีกา สมัยผม ผมได้ยุบรวมสองกองนี้เหลือกองเดียวเรียกว่าสำนักงานอัยการศาลสูง ความต้องการของผมคือต้องการให้อัยการชุดนี้ดูแลกฎ ข้อกฎหมายให้ดี แล้วนอกจากนั้นก็วิเคราะห์การทำงานของอัยการศาลล่าง เพื่อประโยชน์ในการเลื่อนยศ ปลดย้าย แล้วก็เป็นเช่นนี้ ผมก็เลยเป็นอัยการสูงสุดคนเดียวที่พอปลดเกษียณมาถูกสำนักงานอัยการสูงสุดฟ้อง


ผู้สัมภาษณ์ : อาจารย์ได้เคยเสนอเรื่องคุณธรรมทางก ฎ ห ม า ย อัน เ ป็นแนวคิดของประเทศที่ใช้ประมวลกฎหมายอ า จ า ร ย์คิด ว่า ใ นปัจจุบันได้มีการศึกษาเพิ่มเติมหรือไม่ และองค์กรตุลาการได้นำมาปรับใช้มากขึ้นหรือไม่อย่างไร


ศ.ดร.คณิต : ผมคิดว่ามี แต่ก่อนนี้ไม่มีใครพูดถึงในเรื่องนี้ ในเรื่องคุณธรรมทางกฎหมายไม่ใช่ผมคนแรกที่เอามาพูด แต่เรียกคนละอย่างกัน คนแรกที่ผมทราบ คือ ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์ก็เป็นอาจารย์ที่นี้ แต่ท่านไม่ได้เรียกว่าคุณธรรมทางกฎหมาย แต่ท่านเอามาจากคำเดียวกับภาษาเยอรมันท่านเรียกว่า นิติสมบัติ ถ้าใครอ่านหนังสือของอาจารย์ปรีดี และขณะนี้เริ่มเข้าใจแล้วนะ เพราะฎีกาบางฎีกาพูดถึงอำนาจปกครองในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ซึ่งอำนาจปกครองก็คือคุณธรรมทางกฎหมายอันหนึ่ง

แต่ความจริงอำนาจปกครองแคบไป ต้องเรียกว่าสิทธิที่จะให้การศึกษาอบรมและดูแล และถ้าท่านอ่านตำราของผมก็จะพบคำนี้ เพราะการพรากผู้เยาว์มันเป็นการพรากไปจากบรรดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแล ผู้ดูแลไม่มีอำนาจปกครองตามความหมายที่กฎหมายเขียน และผมเจอฎีกาหลายๆ เรื่องที่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เริ่มติดตลาด อาจารย์ปรีดีท่านพูด
ไม่ติดตลาดเลย พอผมมาพูดก็เริ่มติดตลาดขึ้น เดี๋ยวนี้คนเรียนกฎหมายถ้าไม่รู้จักคำนี้ เชย และเรื่องคุณธรรมทางกฎหมายมันไม่ใช่แค่เรื่องของทางกฎหมายอาญาเท่านั้น ตอนที่ผมนำมาพูดใหม่ๆ มันมีที่ไหนในระบบกฎหมายเรา ความจริงเรามี ท่านที่เรียนละเมิดมาแล้วก็จะเห็น

“ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย ให้เขาเสียหายแก่ชีวิตก็ดี ร่างกายก็ดี เสรีภาพก็ดี อนามัยก็ดี หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด” อย่างนี้มันก็คือคุณธรรมทางกฎหมายทั้งนั้น ไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน เป็นภาพในทางความคิด professor ญี่ปุ่นเขาเคยมา lecture ที่นี้ สมัยท่านอาจารย์เกียรติขจรเป็นคณบดี ผมก็เอานักศึกษาปริญญาโทเข้ามานั่งฟัง เขาพูดว่า ‘Legal Interest’ ไม่ใช่เรื่องใหม่ และการที่เรานำมา มันเป็นการที่ใช้ประโยชน์ได้เยอะ เพราะทำให้เราเห็นการเป็นผู้เสียหายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


และหลายๆ อย่างที่ทำให้เกิดพัฒนาอย่างผู้เสียหายในปัจจุบัน ส่วนใหญ่คือผู้เสียหายโดยนิตินัย แต่ผมไม่สอนอย่างนั้น ผมสอนว่าผู้เสียหายคือผู้ที่คุณธรรมทางกฎหมายที่เป็นส่วนบุคคลถูกล่วงละเมิด และผมใช้แนวคิดนี้ไปต่อสู้คดีให้นายกอานันท์ ปันยารชุน และถ้าท่านสนใจลองไปอ่านดูใน ข้อกฎหมายในคดีนายก อานันท์ ผมเป็นทนายใหญ่ ทนายในเมืองไทย สู้ผมไม่ได้ เพราะว่าลูกความผม ที่ผมว่าความดำเนินคดีให้ อดีตนายกรัฐมนตรี อานันท์ ปันยารชุน อดีตประธานศาลฎีกา สวัสดิ์ โชติพาณิชย์ อดีต รมต.
กระทรวงยุติธรรม

และผมเคยคิดอยากเป็นทนาย ตอนที่ผมมาสอบอัยการ เพราะว่าสมัยก่อนเวลาเราได้เนตินะ หน่วยงานที่เราอยู่จะมองว่าเราเป็นกาฝากและผมมาสอบอัยการ และถ้าสอบไม่ได้ ผมจะลาออกไปตั้งสำนักทนายความเป็นของตัวเอง เป็นทนายความ แต่บังเอิญผมสอบได้ก็เลยโชคช่วยไป หลังจากที่ปลดเกษียณไปแล้ว ผมไม่ทำเพราะว่าเหตุที่ไม่ทำเพราะว่าผมคิดว่าผมมองอะไรออกเยอะ และถ้าคิดว่าผมใช้กฎหมาย ใช้ไปในทางนั้น บางทีอาจจะไม่เป็นไปกับประโยชน์ของสังคมก็ได้

ผมเลยอยู่เฉยๆ สอนหนังสือดีกว่า และในคดีนายกอานันท์ ผมต่อสู้โดยใช้หลักนี้ คุณธรรมทางกฎหมาย ผมก็บอกว่าคนฟ้องไม่ใช่ผู้เสียหาย ฟ้องตามมาตรา 157 มาตรานี้ไม่ใช่คุณธรรมทางกฎหมาย เป็นส่วนบุคคลแต่เป็นความบริษัทสะอาดอันเป็นเรื่องส่วนรวม แต่ผมก็แพ้ในข้อกฎหมาย สู้ไปแต่ในที่สุดนายกอานันท์ก็ถูกศาลชั้นต้นยกฟ้องส่วนอีก 3 ท่านก็ไปถูกยกฟ้องในศาลฎีกา มันนำมาใช้ได้ แต่ว่าในส่วนของมาตรา 157 นี้ ความจริงมันไม่มีโอกาสที่เอกชนจะฟ้อง แต่เราก็ได้ยอมรับให้มีการฟ้อง อย่างนี้เป็นต้น


ผู้สัมภาษณ์ : ในฐานะที่อาจารย์เคยเป็นสมาชิกร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2540 อาจารย์คิดว่ารัฐธรรมนูญปีปัจจุบันปี 2550 มีข้อบกพร่องหรือไม่ อย่างไรบ้าง

ศ.ดร.คณิต : รัฐธรรมนูญปี 2550 ผมยังอ่านไม่จบ เหตุที่ผมอ่านไม่จบนั้นเพราะว่าผิดคิดต่างไปจากคนอื่น ผมว่าคนร่างไม่มี ‘justification’ แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 ไม่ดี ไม่ได้พูดอย่างนั้น ผมพยายามรักษาตัวเองว่าที่ไหนที่มีสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าไม่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ผมก็ไม่ไปทำ สำหรับตัวรัฐธรรมนูญนั้น ผมไม่ได้บอกว่าไม่ดี แต่ผู้ร่างไม่ได้ไปในทิศทางที่ถูกไงไม่มี ‘justification’ คือหมายความว่าเราจะทำอะไร เราจะต้องมีความชอบธรรมในการทำ หมายถึงการเข้าร่าง ผู้เข้าร่างไม่มีความชอบธรรมในเบื้องต้น

สมัยปี 2540 เรามี ‘justification’ เราเข้าไปโดยถูกต้อง เพราะขณะนั้นมีการเลือกโดยรัฐสภา ผมเข้าไปในฐานะผู้เชี่ยวชาญเพราะฉะนั้นในการที่เรามีความถูกต้องชอบธรรม เข้าไปเราก็มีสิทธิที่จะร่าง ส่วนจะดีหรือไม่ดี ผมไม่รับรอง แต่ในปี 2550 นี้ เขารังเกียจว่าคนร่างเข้าไปโดยไม่ถูกต้องผมไม่มีความจำเป็นในการที่จะอ่านมันจนจบ แต่ผมก็อ่านบ้าง เช่น หากผมจะต้องแต่งตำรา เช่นข้อเสนอแนะก็มีพูดถึงเรื่องรัฐธรรมนูญ ผมก็เอามาอ้าง แต่ผมไม่มีความจำเป็นต้องอ่าน และใครมาถามผม ผม ก็ไม่รู้และผมก็ไม่สนใจ ส่วนเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ผมคิดว่าเขาก็ทำไป อย่างนั้นเอง และไม่ใช่วาจะมีผลอะไรเท่าไหร่เพราะเป็นเรื่องการเมือง

แต่ผมออกห่างจากการเมืองอยู่แล้ว ผมถอยห่าง ผมไม่กลับไปยุ่ง ผมคิดว่านอกจากนั้นแล้ว หลังจากที่ผมรับหน้าที่หลังจากที่เข้าไปสัมผัสแล้วทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ารังเกียจการยึดอำนาจ ผมว่าประเทศที่เจริญด้วยเศรษฐกิจ สังคม การเมือง กระบวนการยุติธรรมเขามีประสิทธิภาพ ถ้ากระบวนการยุติธรรมไม่มีประสิทธิภาพ แบบบ้านเราหรือประเทศที่ด้อยๆ ทั้งหลาย การพัฒนาประชาธิปไตยมันเป็นไปไม่ได้

เพราะฉะนั้นผมเลยวิจารณ์ แต่เรื่องกระบวนการยุติธรรมทั้งนั้น ผมต้องการให้ดี เป็นหลักได้ เพราะถ้ากระบวนการยุติธรรมไม่ดี จะพัฒนาไปไม่ได้ เช่น ดูเกาหลี ญี่ปุ่น หรือประเทศที่เจริญแล้วเช่นฝรั่งเศส เยอรมัน หรือทั้งหลายในยุโรปล้วนแล้วแต่กระบวนการยุติธรรมดีทั้งสิ้น เพราะถ้ากระบวนการยุติธรรมไม่ดีจะไปไม่รอด ของเราก็มีการยึดอำนาจกันมาตลอด

ตอนที่ผมศึกษาอยู่ที่เยอรมัน เคยมีนายพลใหญ่ของกองทัพเยอรมันได้รับเชิญจากนายพล Franco ไปร่วมในพิธีสวนสนามที่สเปน ซึ่ง Franco เป็นเผด็จการ ต่อมานายพลนี้ก็ถูกปลด ส่วนประเทศอัฟริกาในสมัยเหยียดผิวไปร่วมอย่างนี้กลับมาโดนปลด ในประเด็นนี้ผมสนับสนุนให้มีการทำวิจัยเรื่องว่าบ้านเมืองอื่นเขาจัดการกับเรื่องอย่างไรที่จะไม่ให้เกิดการปฏิวัติทหารต้องจัดการอย่างไร ผมไปอ่านในรัฐธรรมนูญเยอรมัน เขาพูดถึงผู้ตรวจการทหารไม่ใช่กรรมาธิการทหารที่เราพบในสภา ซึ่งเขาเลือกมาให้มีการวิจัยเรื่องนี้ ประเทศที่เจริญแล้วเขาจะมีความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับอำนาจ


ผมไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ผมทำวิจัย เราต้องการเปลี่ยนแปลง แต่เราต้องการให้คนอื่นเห็นว่าการเจริญเป็นเช่นนี้ ผมเคยพบปลัดกระทรวงกลาโหม ท่านใหญ่สุดรองจากรัฐมนตรี แต่ท่านบอกว่าไม่ใช่หรอกนายพลจากกองทัพที่ใหญ่จริง แต่ความจริงต้องเป็นปลัดต้องมีบทบาทที่สำคัญ ถ้ากองทัพไม่มีงบประมาณมันก็ไม่สามารถทำอะไรได้และสองสามวันต่อมาก็เชิญผมไปพูดอีก นายพลจากกองทัพก็มานั่งกันเต็ม ผมพูดไปทุกคนก็เห็นด้วยหมด แต่มันไม่เกิดความเป็นจริงขึ้นมา ถ้าตีแผ่ออกมาได้จะเป็นประโยชน์แก่สังคมอย่างมาก เราไม่ได้หมายความว่าเราจะไปห้ามเขาได้ ผมแค่ต้องการให้เห็นภาพ ผมเรียนตั้งแต่ต้นแล้วว่า งานของพวกผมที่ออกมา มองในด้าน ‘prevention’ ที่จะป้องกันไม่ให้มันซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำซอยอยู่กับที่