“รัฐธรรมนูญ” กำลังเป็นเงื่อนไขสู่การเผชิญหน้า อยู่ที่ว่าประเด็นอะไรแค่ไหน หากถึงขั้นให้ คตส. เป็นโมฒะ ก็จะต้องปะทะแน่ นายกฯปล่อยข่าวปฏิวัติจะเอากันอย่างนั้นหรือ? ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ การเมืองดูท่าจะร้อนขึ้นมาอีกแล้ว เมื่อประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญกำลังจะบานปลายไปสู่ความขัดแย้ง แม้ในพรรคพลังประชาชนเองก็ไม่วาย ตั้งแต่ประเด็นไม่ตรงกัน ไปจนถึงตั้งป้อมค้าน เนื่องจากไม่เห็นด้วย ให้ไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจดีกว่า แต่ในรัฐบาลดูเหมือนว่า 6 พรรคจะเอาด้วย พลังประชาชน ชาติไทย มัชฌิมาธิปไตย นั้นเอาแน่ แต่เพื่อแผ่นดิน รวมใจไทยชาติพัฒนายังสงวนท่าทีเพราะไม่ได้เสียโดยตรง ที่ว่าไม่ได้เสียโดยตรง ก็เพราะไม่มีเรื่อง “ยุบพรรค” แต่ถ้าทางอ้อมก็คงเป็นเรื่องของ 111 คน ที่ถูกเว้นวรรคมากกว่า หากตีประเด็นออกมา เชื่อว่าจะต้องมีการแก้ไขแน่ เพียงแต่ว่าจะกล้ารุกคืบมากน้อยแค่ไหน เรื่องยุบพรรคนั้นแน่นอน เรื่อง 111 คนก็คงแน่นอน ดังนั้น 2 พรรคนี้จึงเล่นแบบไม่ต้องออก แรง ปล่อยให้พลังประชาชนดิ้นไปเอง และเมื่อเสียงข้างมากอย่างนี้ก็ชนะแน่ ไม่ต้องเสียภาพพจน์ แต่ได้รับผลพวงด้วย และที่น่าสนใจ จะก้าวล่วงไปถึง คตส. หรือไม่? เพราะหากชี้ถึงที่มาของ คตส.ไม่ชอบ และมีการแก้ไขตรงนี้...ก็หมายความว่า คดีความต่างๆที่ คตส.ดำเนินการฟ้องร้องอยู่นั้น “โมฆะ” ทันที จริงๆแล้ว แนวทางต่อต้านของกลุ่มพันธมิตรฯคงจะมองไปถึงจุดนี้เช่นกัน จึงเปิดฉากต่อต้าน และเอาประเด็น “รัฐธรรมนูญ” มาเป็นเงื่อนไข การเมืองจะแรงแค่ไหน อย่างไร ประเด็นการแก้ไขคือจุดชี้ขาด การ “ยุบพรรค” และจะมีผลต่อกรรมการ บริหารพรรคนั้นคงเป็นประเด็นหลัก เพราะจะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อหนีการถูกยุบ แต่ประเด็นที่จะ “อุบไต๋” ไว้ก่อนนั้นน่าสนใจกว่า เหนืออื่นใด มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ นายกฯสมัคร สุนทรเวช ได้เปิดเผยว่า พบเอกสารเตรียมการปฏิวัติรอบที่ 2 เพื่อล้มรัฐบาล 1.ถ้าเป็นจริงก็แสดงว่ามีความพยายามที่จะล้มล้างรัฐบาลชุดนี้จริง อย่างข้อกล่าวหาต่างๆที่มีมาก่อนหน้านี้ 2. ถ้าไม่จริง ก็แสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นทางการเมืองนั้นเป็นว่ารัฐบาลสร้าง “ตุ๊กตา” ขึ้นมา เพื่อทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่ามีขบวนการล้มรัฐบาลประเภท “มือที่มองไม่เห็น” ยุ่มย่ามสั่งการ “ลับ” ไปทั่ว แม้กระทั่ง กกต. ดังนั้น การที่นายกฯต้องจูงมือ ผบ.ทบ. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ไปต่างประเทศตลอด ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องหิ้วไปด้วย เพราะเชื่อว่าคนที่จะทำปฏิวัติได้จริงๆก็คือ ผบ.ทบ. ดังนั้น ในความสัมพันธ์ ในความผูกพันระหว่างนายกฯกับ ผบ.ทบ. จึงเป็นไปแบบถ้อยที ถ้อยอาศัย เพื่อจะได้อยู่รอดทั้ง 2 ฝ่าย นายกฯนั้นน่าจะรู้ดีว่าควรทำอย่างไร เพราะจริงๆแล้วอยู่ข้าง “ทหาร” มาตลอดชีวิต การปฏิวัติยึดอำนาจนั้นคงไม่มีใครการันตีได้ว่าจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นมาอีก แต่การเปลี่ยนผ่านของกาลเวลานับแต่ยึดอำนาจเมื่อ 19 ก.ย. 49 ที่ผ่านมา เชื่อว่าทหารเข็ดไปอีกนาน แต่ก็มีการพูดกันว่า คมช.นั้นเล่นผิดบท จึงต้องตกที่นั่งอย่างนี้ ดังนั้น หากจะมีปฏิวัติกันอีก ครานี้คงจะต้องเป็นแบบใช้อำนาจเด็ดขาดแน่ นั่นคืออันตรายยิ่งของประเทศ ก็ต้องดูกันต่อไปว่าการเมืองจะเดินไปอย่างไร คงต้องเริ่มจาก กกต.จะชี้ขาดเรื่องยุบพรรคชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตย จะออกมาแบบไหน ถ้าสั่งให้ “ยุบพรรค” นั่นแหละ สนามการเมืองจะกลายเป็นสนามรบทันที!!! "ลิขิต จงสกุล"