จากกรณีที่มีการออกหมายจับ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 หมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ จากการปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ เมื่อคืนวันที่ 28 มิถุนายน ที่ผ่านมา และต่อมานายสมเกียรติได้ใช้ตำแหน่ง ส.ส. ประกันตัวเองออกไปนั้น
ผศ.จรัล ดิษฐาอภิชัย ประธานคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ขอเรียกร้องให้นายสมเกียรติแสดงความรับผิดชอบ อย่างน้อยคือการลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์
โดยให้เหตุผล 3 ประการ คือ ประการที่หนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการสอบสวน และขออำนาจศาลให้ออกหมายจับกุม แสดงว่าความผิดดังกล่าวมีมูล ทั้งนี้ยังไม่ใช่ความผิดธรรมดาสามัญ แต่เป็นถึงการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ดังนั้นต้องมีการแสดงความรับผิดชอบ เช่นเดียวกับกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มพันธมิตรฯ เรียกร้องให้ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง
ประการต่อมา คือ หากมีการยืดเยื้อจนถึงเวลาที่มีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยนิติบัญญัติ ในวันที่ 1 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ จะทำให้นายสมเกียรติมีฐานะเป็น ส.ส. และได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครอง ศาลจะทำการเรียกไม่ได้ ซึ่งหากจะดำเนินการ เจ้าหน้าที่ต้องทำการยื่นเรื่องต่อสภา ให้สภาทำการอนุญาต ทั้งนี้จะเป็นเหตุให้คดีความสะดุด และอาจกินเวลาล่าช้า และอาจมีการวิ่งเต้นช่วยเหลือจากพรรคต้นสังกัดก็เป็นได้
ประการสุดท้าย ตนขอเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ พิจารณาพฤติกรรมของลูกพรรคคนนี้ เช่นเดียวกับที่ได้เคยเรียกร้องให้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ทำการพิจารณา นายจักรภพ เพ็ญแข ไม่เช่นนั้นจะขัดต่อคำประกาศที่ทางพรรคกล่าวอ้างมาเป็นเวลาหลายปีว่า มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นการพูดที่ดีแต่ปาก
“นิสัยของนายสมเกียรติ เป็นคนที่พูดจาก้าวร้าว ยั่วยุชาวบ้านมาตลอด โดยเรียกร้องให้ออกมาขับไล่รัฐบาล และกล่าววาจาท้าทายหลายครั้งหลายหน อย่างนี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องใช้มาตรฐานเดียวกันกับกรณีของนายจักรภพ และต้องทำเหมือนนายกรัฐมนตรี คือทำการพิจารณาตัวนายสมเกียรติ และให้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ไม่เช่นนั้นก็จะแสดงว่าคำประกาศ และคำพูดที่กล่าวอ้างมาหลายปี หลายครั้งว่า พรรคมีความจงรักภักดี ก็จะกลายเป็นจงรักแต่ปาก ดีแต่ปาก แต่การกระทำไม่ทำ”
นอกจากนี้ ประธาน คปพร. กล่าวต่อไปอีกว่า กรณีที่นายสมเกียรติขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ ด้วยวาจาที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และมีการถ่ายทอด เผยแพร่ออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ ASTV และมีการถ่ายทอดสัญญาณเสียงผ่านคลื่นวิทยุ หรือเว็บไซต์ใดๆ ของกลุ่มผู้จัดการ ก็ถือว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาเช่นกัน
ส่วนด้านเงื่อนไขการประกันตัวนั้น ตนตั้งขอสังเกตว่า จะมีบรรทัดฐานเดียวกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) หรือไม่ ซึ่งหากมีเงื่อนไขเช่นเดียวกัน คือต้องไม่ให้นายสมเกียรติพูด หรือกระทำผิดการซ้ำสอง ตามที่ได้แจ้งความไว้ และแกนนำพันธมิตรฯ ต้องพิจารณาด้วยว่า จะให้นายสมเกียรติขึ้นเวทีเพื่อปราศรัยต่อไปอีกหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ประธาน คปพร. กล่าวเสริมว่า ทาง คปพร. และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) คงจะไม่เดินทางไปยังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อยื่นหนังสือให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ทำการพิจารณาให้นายสมเกียรติลาออกจากตำแหน่ง แต่เชื่อว่าคงจะมีประชาชนผู้จงรักภักดีในสถาบันเบื้องสูง และประชาชนที่รักความเป็นประชาธิปไตย ออกมาเรียกร้องอย่างแน่นอน
