WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, June 16, 2010

เควสชั่น"มาร์ค" ปฏิบัติการทวงคืนดาวเทียม"ไทยคม" เอาจริงหรือแค่เบี่ยงกระแส !!

ที่มา มติชน

บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทในสายธุรกิจดาวเทียมและธุรกิจต่างประเทศของกลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่น ที่เกิดจากแนวคิดของคนเดียวกันที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก่อตั้งขึ้นวันที่ 7 พฤศจิกายน 2534 ใช้ชื่อเดิมว่า “ชินแซทเทลไลท์” ให้บริการดาวเทียมสื่อสารแห่งชาติ ภายใต้การรับสัมปทานจากกระทรวงคมนาคมขณะนั้น แต่ปัจจุบันอำนาจการดูแลสัญญานี้ได้ถูกโอนไปอยู่ภายใต้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) มีอายุสัญญา 30 ปี นับตั้งแต่ปี 2534 – 2564


ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามดาวเทียมสื่อสารแห่งชาติดวงแรกอย่างเป็นทางการว่า “ไทยคม” (THAICOM) มาจากคำว่า Thai Communications หรือ ไทยคมนาคม เพื่อเป็นสัญลักษณ์การเชื่อมโยงประเทศไทยกับเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่


ปี 2537 ไทยคมได้จดทะเบียนเข้าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่อมาในเดือนเมษายนปี 2551 ได้เปลี่ยนจากชื่อเดิม ชินแซทเทลไลท์ เป็น “บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน)” มีหน้าที่จัดส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร การควบคุมดูแลสุขภาพดาวเทียม การลงทุน การจัดการ และการตลาด เพื่อให้บริการช่องสัญญาณ โดยต้องจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนแก่ไอซีที และต้องส่งมอบตัวดาวเทียม สถานีควบคุมดาวเทียม รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นกรรมสิทธิ์ของไอซีที เมื่อจัดส่ง และติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ เรียบร้อยแล้ว

จากการดำเนินงานที่ผ่านมา บริษัท ไทยคม ได้จัดส่งและให้บริการดาวเทียมไทยคมแล้วทั้งสิ้น 5 ดวง ได้แก่ ดาวเทียมไทยคม 1(ปลดระวางปี 2551), ไทยคม 2 (ใกล้ปลดระวางกลางปี 2553) , ไทยคม 3 (ปลดระวางเมื่อปี 2549), ไทยคม 4 (ไอพี สตาร์) และไทยคม 5 ประกอบธุรกิจหลัก 4 สายธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจดาวเทียมและบริการที่เกี่ยวเนื่อง ธุรกิจอินเตอร์เน็ต ธุรกิจโทรศัพท์ในต่างประเทศ และธุรกิจบริการจัดพิมพ์และเผยแพร่สมุดโทรศัพท์

บริษัท ไทยคม เริ่มถูกจับตามองทันที เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ และคนในตระกูลชินวัตร ตัดสินใจขายหุ้นกลุ่มชินทั้งหมดให้กับกองทุนเทมาเส็ก ของรัฐบาลสิงคโปร์ ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 73,000 ล้านบาท ในปี 2549 ท่ามกลางกระแสต่อต้านและเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเหมาะสม การหลบเลี่ยงภาษี ฯลฯ แต่สิ่งที่คนไทยจำนวนมากรับไม่ได้คือกิจการดาวเทียมของคนไทย และเกี่ยวกับความมั่นคง ต้องตกไปอยู่ในมือของต่างชาติโดยปริยาย ทั้งที่เป็นทรัพยากร และสมบัติของชาติ

ทันทีที่ พ.ต.ท.ทักษิณตกกระป๋อง นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2549 เป็นต้นมา รัฐบาลหลังจากนั้นพยายามพูดถึงการทวงคืนดาวเทียมไทยคมกลับคืนสู่คนไทย ไล่เรียงตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องหาช่องกฎหมายยึดคืน แต่ต้องประสบกับความผิดหวังเพราะบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ผู้ถือรายหุ้นใหญ่ในบริษัท ไทยคม จำกัด) ได้ขายหุ้นให้บริษัท ซีดาร์ โฮลดิงส์ จำกัด ซึ่งบริษัทนี้ แม้จดทะเบียนในประเทศไทย แต่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ไทยคม จึงมีสถานะเป็นบริษัทลูกของชิน คอร์ป การพิจารณาโดยเบื้องต้น จึงไม่ขัดกับข้อกฎหมาย เพราะ บริษัทชินคอร์ปอเรชั่นไม่ใช่บริษัทต่างชาติโดยตรงที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แต่เป็นบริษัทลูกอีกชั้นหนึ่ง ถือเป็นการเลี่ยงโดยอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย

กระทั่งมาในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การยึดคืนไทยคมถูกจุดพลุขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ มูลค่า 46,000 ล้านบาท ในคำวินิจฉัยมี

ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับไทยคม ดังนี้ คือ

1.การละเว้น อนุมัติส่งเสริมสนับสนุนธุรกิจดาวเทียม ตามสัญญาสัมปทานดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ โดยมิชอบ 3 กรณี คือ การยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ ซึ่งมีลักษณะการใช้งานแตกต่างจากดาวเทียมไทยคม 3 ขัดต่อสัญญาสัมปทานที่ระบุว่าต้องยิงดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) เพื่อเป็นดาวเทียมสำรองของไทยคม 3

2.การแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมในประเทศ ลดสัดส่วนการถือหุ้น ของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในบริษัทชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) หรือที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) จากเดิมที่กำหนดให้ต้องถือหุ้นไม่ตํ่ากว่า 51% เหลือไม่ต่ำกว่า 40% โดยนำสัดส่วนหุ้นที่ลดลงไปขาย เพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลีกเลี่ยงการเพิ่มทุนหรือกู้เงินด้วยตนเอง ถือเป็นการผิดสัญญาสัมปทาน

3.การนำเงินที่ได้จากการประกันความเสียหายดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปใช้ผิดประเภทที่กำหนดไว้ในสัมปทาน โดยนอกเหนือจากการนำเงินจำนวน 26 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปใช้ว่าจ้างสร้างดาวเทียมดาวใหม่แล้ว ส่วนจำนวนเงินที่เหลือ 6 ล้านเหรียญฯ ได้นำไปใช้เช่าดาวเทียมดวงใหม่ ถือว่าผิดสัญญาสัมปทาน และอีก 1 ล้านเหรียญฯ นำไปฝากไว้ที่สิงคโปร์ แทนที่จะนำกลับคืนเป็นรายได้เข้ารัฐ เนื่องจากค่าสินไหมที่ได้รับถือว่าเป็นทรัพย์สินของรัฐภายใต้สัมปทาน

สถานการณ์ที่ทำให้ความพยายามยึดคืนไทยคมกลับมาเข้มข้น และเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น เมื่อการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมเผด็จการประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) หรือ กลุ่มคนเสื้อแดง ใช้สถานีโทรทัศน์พีเพิล ชาแนล (พีทีวี) เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสารกับผู้ชุมนุม บริษัท ไทยคม ในฐานะผู้ให้พีทีวีเช่าช่องสัญญาณดาวเทียม จึงถูกรัฐบาลสั่งปิดทีวีคนเสื้อแดง แต่ก็ต้องล้มไม่เป็นท่า ทำได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อพีทีวีอาศัยช่องทางจากดาวเทียมดวงอื่นส่งผ่านสัญญาณมายังผู้ชุมนุม

รัฐบาลอภิสิทธิ์จึงต้องหยิบยกสัญญาข้อ 43 ที่ระบุถึงความจำเป็นเพื่อความมั่นคงของชาติหรือเพื่อดำเนินการตามหน้าที่ตามกฎหมาย ทางไอซีทีสามารถยกเลิกสัญญากับไทยคมได้มาขู่ไทยคมจนสามารถปิดพีทีวีได้เด็ดขาด

หลังเหตุการณ์วุ่นวายกลางเมือง รัฐบาลยังคงไม่ลดละความพยายามยึดคืนไทยคม

เรื่องมาปรากฏชัดขึ้นเมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯออกมายอมรับเองว่าได้มอบหมายให้นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง และนายศิริโชค โสภา เลขานุการส่วนตัวนายกฯ เดินทางไปเจรจากับกลุ่มเทมาเส็ก ที่สิงคโปร์ พร้อมผุดโมเดลใหม่ "ประกาศซื้อคืนไทยคม"

ประเด็นการซื้อคืนไทยคมนั้น หากพิจารณาจากข้อสัญญาสัมปทานข้อที่ 15 ที่ไทยคม มีต่อไอซีทีแล้วนั้น การซื้อดาวเทียมคืนไม่มีความจำเป็น ยกเว้นไทยคม 4 (ไอพี สตาร์) เนื่องจากดาวเทียมไทยคมที่เหลือ ภายใต้สัญญาสัมปทานจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกระทรวงไอซีที ดังนั้น ประเด็นการซื้อคืนไทยคมนั้น รัฐบาลจะซื้อคืนดาวเทียมในส่วนไอพีสตาร์เท่านั้น สืบเนื่องจากตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ไอพี สตาร์อยู่นอกสัญญาสัมปทาน เนื่องจากการจัดสร้างผิดจากสัญญาสัมปทาน แต่ได้ใช้วงโคจรของประเทศไทย ซึ่งประเด็นนี้จะต้องแยกออกจากกันอย่างชัดเจน คือต้องดำเนินการทางกฎหมาย เอาผิดกับผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบ

ดังนั้น การซื้อคืนไทยคมจึงน่าจะออกมาเป็นรูปแบบการซื้อกิจการคืน หรือซื้อสัญญาสัมปทานที่เหลือนั่นเอง โดยมูลค่าการลงทุนนั้น ก็พิจารณาจากอายุสัญญาสัมปทานที่เหลืออยู่ ส่วนนี้สามารถดำเนินการได้ ขึ้นอยู่กับว่าทางเทมาเส็กจะตัดสินใจขายหรือไม่

และที่สำคัญรัฐบาลไทยอยากซื้อคืนใจจะขาดจริงๆ หรือแค่เพียง "ปั่นข่าว" กลบกระแสการเมืองภายในประเทศที่ร้อนแรงเท่านั้น !!