WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, November 9, 2011

กรุงเทพฯ ไม่สมควรได้รับการปกปักรักษาที่มีอภิสิทธิ์เหนือชั้น

ที่มา ประชาไท

ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

แปลจาก Pavin Chachavalpongpun, Bangkok doesn't deserve its special protection and privilege, the Nation. 9/10/2011

"เขาเปียกปอนจนถึงถุงเท้า

ท่ามกลางวิกฤติการณ์น้ำท่วม เขาลุยไปทั่วหัวถนน ทุ่มเททั้งตัวและหัวใจ ฉันต้องเตือนตัวเองว่า เขาคือหลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ และ เหลนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หนึ่งในพระมหาราชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย"

นี่คือสิ่งที่เลขานุการของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร พรรณนาถึงนายของเธออย่างภาคภูมิใจในเฟสบุ๊ค

ดังนั้น ประชาชนชาวกรุงเทพก็ได้มี "ราชนิกุล" ของตัวเองที่พร้อมจะปกป้องเมืองหลวงอันเป็นที่รัก แน่นอนว่าสุขุมพันธุ์คือคนที่ใช่ที่สุดสำหรับภารกิจนี้ ด้วยความที่ตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มชนชั้นสูง สุขุมพันธุ์ต้องการอย่างยิ่งยวดที่จะปกป้องผลประโยชน์ของผู้สนับสนุน ชาวกรุงเทพของเขา ซึ่งต่างก็มองตัวเองว่าเป็นชนชั้นสูงที่ชาญฉลาด ปู่ของสุขุมพันธ์คือ "เจ้าชายแห่งนครสวรรค์" (เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต) ส่วนในปัจจุบันเมื่อพิจาณาจากวิธีการรับมือสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า "เจ้าชายแห่งกรุงเทพมหานคร" จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากสุขุมพันธุ์

อุทกภัยครั้งร้ายแรงนี้ให้โอกาสแก่สุขุมพันธุ์ในการพิสูจน์อำนาจในฐานะ ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ซึ่งที่ผ่านมาเขาก็ทำได้อย่างชาญฉลาดด้วยการทำงานอย่างเป็นอิสระจากรัฐบาล ลำดับความสำคัญของสุขุมพันธุ์แตกต่างกับของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างชัดเจน ส่งผลให้ นายกฯ กับ ผู้ว่าฯก.ท.ม. ทำงานร่วมกันแบบ ร่วมแรง "แข่งขัน" มากกว่าที่จะเป็น ร่วมแรง "แข็งขัน"

ภายใต้การบริหารงานของสุขุมพันธุ์ กรุงเทพฯ เปรียบเสมือนเกาะส่วนตัวของตัวเอง เมืองหลวงถูกแยกขาดจากส่วนอื่นของประเทศ ดูเหมือนว่าการที่จังหวัดอื่นๆ ต้องจมอยู่ใต้น้ำต่อไป จะเป็นอะไรที่ยอมรับได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร กรุงเทพฯ จะต้องถูกปกปักรักษาให้แห้งต่อไป แม้จะต้องแลกด้วยการทวีความรุนแรงของวิกฤตน้ำท่วมในระดับประเทศก็ตาม

วิธีการแบบกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางของสุขุมพันธุ์บอกอะไรเราบ้าง? มันเผยให้เห็นว่ากรุงเทพฯ ไม่ใช่ประเทศไทยและในทางกลับกันประเทศไทยก็ไม่ใช่กรุงเทพ มันจึงเป็นรัฐซ้อนรัฐ แนวคิดเช่นนี้จึงเป็นอุปสรรคต่อรัฐบาลในการนำแผนการแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่าง บูรณาการมาปฏิบัติ

นอกจากนี้แล้วแนวคิดของสุขุมพันธุ์ในการจัดการกับปัญหาน้ำท่วมนี้โดยหลัก แล้วก็คือมุมมองแบบชนชั้นนำและจักรวรรดินิยม ด้วยคำนำหน้าชื่อว่า หม่อมราชวงศ์ ที่จะฟังดูล้าหลังสำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว สุขุมพันธ์แสดงตัวราวกับว่าเป็นขุนศึกโบราณกำลังทำสงครามเพื่อปกปักรักษาไว้ ซึ่งพระนคร แต่ในเวลานี้ข้าศึกมิใช่ชาวพม่าหรือเขมรที่ไหน แต่คือน้ำ อาจจะเปรียบเปรยได้ว่าภารกิจของสุขุมพันธุ์คือการปกป้อง"เอกราช"ของกรุงเทพ มหานคร

"เราจะต้องไม่เสียกรุงเป็นครั้งที่สาม" คือคำที่เขาน่าจะประกาศก้อง ครั้งสุดท้ายที่สยามสูญเสียสิ่งที่เรียกว่า"เอกราช"ก็คือในปี พ.ศ.2319 เมื่อกรุงศรีอยุธยาล่มสลายด้วยน้ำมือของอริราชศัตรู

แต่อะไรคือมุมมองอย่างชนชั้นนำที่แท้จริง อย่างแรก คือ กรุงเทพฯสมควรเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดในราชอาณาจักร นี่คือความภูมิใจของชาติ คือที่พำนักของสถาบันกษัตริย์อันเป็นที่เคารพ และ คือแหล่งที่มาของความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ แต่นี่คือมุมมองที่มีลักษณะอำนาจนิยมอย่างแท้จริง มุมมองที่ให้ความสำคัญกับกรุงเทพฯโดยละเลยจังหวัดอื่นที่ดูเหมือนว่าไม่ สำคัญเท่าใดนัก

กรุงเทพฯ อาจจะมีส่วนถึง 41 เปอร์เซ็นต์ใน GDP ของประเทศไทย และ นักวิเคราะห์ก็ได้ออกมาเตือนแล้วว่าความเสียหายอย่างมีนัยยะสำคัญต่อเมือง หลวงแห่งนี้จะส่งผลลบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น แต่ทุกคนต้องไม่ลืมว่าจังหวัดในภาคกลางได้จมอยู่ใต้น้ำมาเป็นเดือนๆแล้ว ซึ่งบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ผลิตรถยนต์อย่าง โตโยต้า และ ฮอนด้า ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็คทรอนิคอย่าง แคนอน, แอ๊ปเปิ้ล, โซนี่ และ โตชิบา รวมถึงผู้ผลิตฮาร์ดดิสค์อย่าง ซีเกต และ เวสเทิร์นดิจิตอล อุทกภัยได้สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับห่วงโซ่อุปทานของโลกใน อุตสาหกรรมเหล่านี้ ซึ่งยืนยันความจริงที่ว่า จังหวัดอื่นนอกกรุงเทพฯ ต่างก็มีความสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างมากไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ประการที่สอง ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ขณะที่กรุงเทพยังแห้งแต่พื้นที่ในชนบทถูกน้ำท่วมอย่างหนัก ชาวกรุงเทพไม่ได้แสดงความเป็นห่วง เห็นอกเห็นใจอะไรเลยต่อสถานการณ์ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบเหล่านั้น ราวกับว่ามันไม่เป็นไรหรอกที่คนในจังหวัดเหล่านั้นจะประสพทุกภัยตราบใดที่ กรุงเทพได้รับการปกปักรักษาไว้เป็นอย่างดี แต่ในวันนี้ชาวกรุงเทพกลายเป็นกลุ่มคนที่โวยวายเสียงดังที่สุด พวกเขามีอาการวิตกจริตอย่างยิ่งยวดกับเรื่องน้ำท่วม การพากันกักตุนอาหารช่วยกระพือบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว ที่น่าขันก็คือพวกเขาทำราวกับว่าไม่มีความไว้ใจและความศรัทธาในตัวสุขุม พันธุ์ บุคคลที่พวกเขาสนับสนุนมาตลอดช่วงวิกฤติการณ์อีกต่อไปแล้ว

ถ้าจะมองว่าพฤติกรรมของชาวกรุงเทพเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องสองมาตรฐานที่ตก ทอดมาอย่างยาวนานในสังคมไทย คงไม่เกินเลยที่จะบอกว่าในช่วงเวลาที่สังคมไทยยังมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่าง น่ากลัว สุขุมพันธุ์มีบทบาทในการทำให้รอยร้าวระหว่างกรุงเทพ กับ ส่วนอื่นของประเทศไทย ร้าวลึกยิ่งขึ้น

ความทุ่มความสนใจไปที่การปกปักรักษากรุงเทพครั้งนี้เป็นสิ่งสะท้อนให้ เห็นถึงแนวคิดเรื่องการรวบอำนาจสู่ศูนย์กลางที่ยังคงอยู่ แต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่ อำนาจและความมั่งคั่ง คือสินทรัพย์ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของกรุงเทพ สำหรับชาวกรุงเทพจำนวนมากแล้วการที่จังหวัดอื่นจะอ่อนแอ และไร้อำนาจเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เช่นเดียวกับการคงไว้ซึ่ง ความยากจนและด้อยพัฒนาในต่างจังหวัดก็ไม่เห็นจะเป็นไร ภายใต้ทัศนคติแบบนี้พวกเขาก็สมควรแล้วที่จะต้องทนยืนหยัดสู้ภัยน้ำท่วม

แต่ไม่ใช่ด้วยทัศนคติแบบเดียวกันนี้หรือที่เป็นหนึ่งในสาเหตุมูลฐานของความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย?

ประการที่สาม การที่สุขุมพันธุ์ยังคงขัดแย้งกับรัฐบาลต่อไปเป็นการพิสูจน์ให้เห็นความจริง อีกข้อที่ว่า กลุ่มชนชั้นนำมีมุมมองส่วนตัว และ มีสิทธิ์ในการนิยามให้คำนิยามคำว่าผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือประโยชน์ของชาติ นี่ช่วยอธิบายว่าทำไมสุขุมพันธุ์จึงเลือกที่จะไม่ฟังคำสั่งของรัฐบาล

การที่กระแสน้ำจากอุทกภัยกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้กรุงเทพฯเข้าไปทุกทีๆ อาจจะเป็นสัญลักษณ์ของความแค้นเคืองที่เพิ่มขึ้นทุกวันๆ ของจังหวัดอื่นที่ถูกเอาเปรียบมายาวนานจนถึงจุดที่จะเอาคืนกรุงเทพฯบ้างแล้ว กรุงเทพฯ เห็นแก่ตัวมานานมากเกินไปแล้ว สุขุมพันธุ์ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากผนึกรวมความรู้สึกเห็นแก่ตัวระหว่าง ชาวกรุงเทพด้วยกัน

มันยากที่จะวัดว่าสุขุมพันธุ์รักประเทศไทยมากกว่าคนนอกกรุงเทพฯหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่ว่าการให้ความสนใจกับกรุงเทพฯเพียงอย่างเดียว ได้บดบังวิสัยทัศน์ของเขาในการมองปัญหาจากมุมกว้าง จากมุมมองที่ปราศจากเกมการเมือง และเปี่ยมด้วยความห่วงใยในความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมชาติ เพื่อนร่วมประเทศไทยโดยไม่แบ่งแยกภูมิลำเนา