WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, April 7, 2008

บท​ความ​: ​ทำ​ไม​ถึง​ต้อง​แก้รัฐธรรมนูญ​ ​[​ทั้ง​ฉบับ]

บท​ความ​: ​ทำ​ไม​ถึง​ต้อง​แก้รัฐธรรมนูญ​ ​[​ทั้ง​ฉบับ]​

ณัฐกร​ ​วิทิตานนท์

ข้อสอบข้อหนึ่ง​ใน​รายวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญที่ผมเอง​เป็น​ผู้​บรรยาย​ให้​ใน​เทอมก่อนหน้านี้​ [ช่วงบริบทของรัฐธรรมนูญชั่วคราว​ 2549] ​เลี่ยงที่​จะ​ถามอย่างกว้างๆ​ ​ใน​เชิงแสดง​ความ​คิดเห็นแทนว่า​ "...รัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด​ ​ใน​ทัศนะของนักศึกษา​ ​ควรมีลักษณะอย่างไร..." โดย​รวม​แล้ว​ ​นักศึกษาตอบเหมือนๆ​ ​กัน​ว่า​ ​รัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด​จะ​ต้อง​มี​ความ​เป็น​ประชาธิปไตย​ [1] ​ขณะที่นักศึกษาอีกจำ​นวน​ไม่​น้อย​ ​พยายามอธิบายประ​เด็นทางเทคนิค​ใน​เรื่องปลีกย่อย​อื่นๆ​ ​เช่น​ ​รัฐธรรมนูญที่ดีควรมีข้อ​ความ​ชัดเจนแน่นอน​ ​หรือ​บัญญัติรับรองสิทธิ​เสรีภาพประชาชนกว้างขวาง​ ​หรือ​ไม่​ควรยาวเกินไป​ ​หรือ​ควรกำ​หนดวิธีการแก้​ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเอา​ไว้​ ​เป็น​อาทิ

คำ​ตอบของนักศึกษา​ส่วน​ใหญ่​ข้างต้น​ ​สะท้อนคำ​ตอบเดียว​กัน​กับ​ที่ควร​ใช้​ตอบ​ใน​สถานการณ์การเมืองขณะนี้ว่า​ ​เพราะ​เหตุ​ใด​สังคม​จึง​ควรสนับสนุน​ให้​มี​แก้​ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ​ฉบับ​ปี​ 2550 ​ทั้ง​ฉบับ​ ​ทว่า​แล้ว​ ​ประชาธิปไตย​ [Democracy] คืออะ​ไร​ ? และ​ยึดโยง​กับ​รัฐธรรมนูญเพียงไร​ ? คง​ต้อง​อธิบาย​ใน​ส่วน​นี้​เสียก่อน

พูด​กัน​ตามจริง​ ​ส่วน​ใหญ่​ของโลกเพิ่ง​จะ​เริ่ม​ใช้​ระบอบประชาธิปไตย​ ​[​ใน​ระดับชาติ] ​อย่าง​เป็น​รูปธรรม​ ​เมื่อสองร้อยกว่าปีมานี้​เอง​ ​อัน​เป็น​ผลพวง​จาก​แนวคิด​ ​รัฐธรรมนูญนิยม​ [Constitutionalism] ที่​เกิดขึ้นภายหลังเหตุการณ์สำ​คัญของโลก​ ​ก็คือ​ ​การประกาศ​ใช้​รัฐธรรมนูญ​ฉบับ​แรกของสหรัฐอเมริกา​ใน​ฐานะรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร​ฉบับ​แรกของโลก​ใน​ปี​ ​ค​.​ศ​.1787

กระ​แส​ความ​คิดดังกล่าวแพร่หลายอย่างรวด​เร็ว​ ​ประดิษฐกรรมชั้นยอดของมนุษยชาติชิ้นนี้​ ​มุ่งเน้นการจัดทำ​รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร​ใน​สถานะกติกา​ [As Rules] สูงสุด​ ​เพื่อ​ใช้​จัด​ ระ​เบียบรัฐ' ด้วย​การจำ​กัดอำ​นาจของ​ผู้​ปกครอง​ให้​อยู่​ใน​ขอบเขตอันเหมาะสม​ ​ให้​การรับรอง​และ​คุ้มครองสิทธิ​เสรีภาพ​ผู้​อยู่​ใต้​ปกครองเอา​ไว้​อย่างชัดแจ้ง​ ​ตลอดจนมีหลักการแบ่งแยกการ​ใช้​อำ​นาจอธิปไตย​ ​ภาย​ใต้​ระบบตรวจสอบ​และ​ถ่วงดุลระหว่าง​กัน​ ​เพื่อ​ให้​อำ​นาจหนึ่งไปหยุดยั้งอีกอำ​นาจหนึ่ง​ ​ป้อง​กัน​การลืมตัวมัวเมา​ใน​อำ​นาจของ​ผู้​ปกครอง​ ​และ​อาศัยหลักการปกครอง​โดย​กฎหมาย​ ​หรือ​ ​นิติธรรม​ [Rule of Law] สอดรับอย่างดี​กับ​การปกครอง​ใน​ระบอบประชาธิปไตย​ ​ซึ่ง​ถือเอามติปวงชน​เป็น​ใหญ่

สรุปอย่างรวบรัด​ได้​ว่า​ ​สาระสำ​คัญของ​ความ​เป็น​ประชาธิปไตยวันนี้​ ​ซึ่ง​ควรถูกสะท้อน​โดย​รัฐธรรมนูญ​นั้น​ ​อย่างน้อยๆ​ ​ก็ควร​ต้อง​ยึดหลัก​ ​หนึ่ง​ ​อำ​นาจสูงสุด​เป็น​ของประชาชน​ [popular sovereignty] สอง​ ​สิทธิ​เสรีภาพต่างๆ​ ​ของประชาชน​ [bill of rights] สาม​ ​ความ​สูงสุดของกฎหมาย​ [government of law, not of men] สี่​ ​ความ​เสมอภาค​ [equal protection under law] และ​ ​ห้า​ ​เสียงข้างมาก​ [majority rule]

เมื่อ​เป็น​ดังนี้​ ​ก็​ต้อง​มาพิจารณา​กัน​ต่อว่า​ ​รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย​ ​พุทธศักราช​ 2550 ​ใน​ฐานะ​ฉบับ​ปัจจุบัน​ ​พอที่​จะ​นำ​มา​ใช้​เป็น​พิมพ์​เขียว​ [As Blueprints] ฟื้น​ความ​เป็น​ประชาธิปไตยกลับคืน​ได้​หรือ​ไม่​ ​กระ​นั้น​ ​การ​จะ​พิจารณาว่ารัฐธรรมนูญ​ฉบับ​นั้น​มี​ความ​เป็น​ประชาธิปไตย​หรือ​ไม่​เพียง​ใด​ ​ก็​ต้อง​ดู​จาก​ 2 ​ด้านหลัก​ ​คือ​ ​ใน​แง่​ ​ที่มา​ ​กับ​ ​เนื้อหา​ ​ประกอบ​กัน

ที่มา​ :

ถ้า​นักกฎหมาย​ยัง​คงยึดมั่นแนวคิดทางกฎหมายที่ว่า​"​เมื่อต้นไม้​เป็น​พิษผลของมันก็ย่อม​เป็น​พิษ" [fruit of the poisonous tree] แล้ว​ล่ะก็​ ​ก็ควรขานรับ​ให้​มีการ​ ยกเครื่อง' รัฐธรรมนูญดังกล่าวทันที​ ​เพราะ​เป็น​ที่ชัดเจนมากว่า​ ​หากเลือกมอง​จาก​มุมนี้​เพียงด้านเดียว​ ​รัฐธรรมนูญ​ฉบับ​นี้​ไม่​มีทางที่​จะ​เป็น​ประชาธิปไตยไป​ได้​เลย​ ​เพราะ​มี​ ที่มา' อัน​เป็น​ผลพวง​จาก​การรัฐประหาร​ 19 ​กัน​ยายน​ 2549 ​นั่นเอง​ [กล่าวตามลำ​ดับคือ​ ​คปค​. ​ยึดอำ​นาจ​ >> ฉีก​ ​รธน​. >> ออกประกาศ​/​คำ​สั่ง​ >> ตั้ง​ ​กกต​./​ปปช​./​คตส​./​สตง​. >> ประกาศ​ใช้​ ​รธน​. ​ชั่วคราว​ >> คมช​. ​แต่งตั้ง​ ​นายกฯ​/​สนช​./​สสร​. >> ตลก​. ​รธน​. ​ยุบพรรค​ ​ทรท​. >> รธน​. ​ผ่านประชามติ​ >> ให้​ ​กกต​./​ปปช​. ​อยู่​จนครบวาระ​ >> เลือกตั้ง​ ​ส​.​ส​./ ​สรรหา​ ​ส​.​ว​. ​ตามกติกา​ใหม่​ >> ???]

ยิ่งกว่า​นั้น​ ​โดย​ปรัชญาประชาธิปไตย​ ​สัญญาประชาคม​ [The Social Contract] ของ​ ​รุสโซ​ ​แล้ว​ "กฎหมาย​ซึ่ง​จะ​ใช้​เป็น​กฎหมาย​ได้​ ​จะ​ต้อง​มา​จาก​เจตนารมณ์ร่วม​กัน​ของประชาชน​เท่า​นั้น​..." แน่นอน​ ​หากนำ​เอาหลักคิดนี้มา​ใช้​อธิบาย​ ​รัฐธรรมนูญเอง​ ​รวม​ถึง​ประกาศ​ [36 ​ฉบับ]​ ​และ​คำ​สั่ง​ ​คปค​. [20 ​ฉบับ]​ ​ตลอดจนกฎหมายของ​ ​สนช​. ​ทั้ง​หมด​ [พ​.​ร​.​บ​.​ประกอบรัฐธรรมนูญ​ 3 ​ฉบับ​ / ​พ​.​ร​.​บ​. 215 ​ฉบับ]​ ​ก็ย่อมหา​ใช่​กฎหมายแต่ประการ​ใด​ ​ด้วย​ไม่​อาจอ้างว่ามันมา​จาก​ประชาชน​ ​หรือ​ตัวแทนประชาชน​ได้​เลย​ ​ทว่าวิธีคิดเช่นนี้​ ​กลับสวนทาง​กับ​จารีตนิยมแห่งอำ​นาจตุลาการไทย​ ​เพราะ​ท่านมัก​ ตี​ความ' คล้อยตามแนวทางอำ​นาจนิยมแบบ​ ​จอห์น​ ​ออสติน​ ​ที่​เห็นว่า​ "กฎหมาย​ ​คือ​ ​คำ​สั่งคำ​บัญชาของรัฏฐาธิปัตย์​ ​ซึ่ง​สั่งแก่ราษฏร​ทั้ง​หลาย​..." เสมอมา​ [2]

ขณะ​เดียว​กัน​ ​เสียงประสานของฝ่ายคัดค้านที่​เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ​ ​ผ่านสื่อมวลชนกระ​แสหลัก​ ​ประหนึ่งเสียงข้างมากของสังคม​ ​มักย้ำ​อ้าง​ถึง​แต่​เฉพาะ​ ปลายทาง' ของรัฐธรรมนูญ​ฉบับ​นี้​ ​ว่า​เป็น​รัฐธรรมนูญ​ฉบับ​แรก​ใน​ประวัติศาสตร์ที่ผ่านกระบวนการลง​ ​ประชามติ​ ​ด้วย​คะ​แนนเห็นชอบ​ถึง​ 14,249,520 ​เสียง​ ​[​หรือ​ 57.81 % ​ของ​ผู้​ใช้​สิทธิออกเสียงประชามติ] ​ฉะ​นั้น​ ​จึง​ไม่​ควรแก้​ไข​หรือ​ยัง​ไม่​ควรแก้​ไข​ ​เพราะ​เท่า​กับ​เป็น​การฝืน​ความ​รู้สึกของประชาชน​ส่วน​ใหญ่​ของประ​เทศที่​ให้​การยอมรับรัฐธรรมนูญ​ฉบับ​นี้​ ​[​ทั้ง​ที่​เอา​เข้า​จริง​แล้ว​ ​ประชาชนที่ว่าคิด​เป็น​เพียงร้อยละ​ 32.66 ​ของ​ผู้​มีสิทธิออกเสียงประชามติ​ทั้ง​หมด​ ​และ​คิด​เป็น​แค่ร้อยละ​ 23.44 ​ของประชากรไทย​ทั้ง​ประ​เทศ​เท่า​นั้น​ [3]]

โดย​ละ​เลย​ จุดเริ่มต้น' อันเลวร้าย​ ​และ​มองข้าม​ความ​จริงที่ว่า​ ​ขณะ​เดียว​กัน​ ​มันก็ถูก​ ปฏิ​เสธ' อย่างชัดแจ้ง​จาก​ประชาชนอีกมาก​ถึง​ 10,419,912 ​คน​ ​หรือ​ 42.19 % ​ของ​ผู้​ใช้​สิทธิออกเสียงประชามติ​ ​มิพักกล่าว​ถึง​ความ​พิลึกพิลั่นนานาของการลงประชามติคราวนี้​ ​ถึง​ขนาดที่รัฐมนตรีประ​เทศเพื่อนบ้านเอา​ไปตั้งข้อสังเกต​กับ​ผู้​แทนสหประชาชาติว่า​ ​การลงประชามติของ​เขา​ที่กำ​ลัง​จะ​มีขึ้น​ใน​อีก​ไม่​กี่​เดือนข้างหน้านี้​ ​น่า​จะ​เป็น​ประชาธิปไตยกว่าของไทยเยอะ​ [4] ​ด้วย​เหตุนี้​ ​รัฐธรรมนูญปี​ 50 ​จึง​ขาดไร้​ความ​ศักดิ์สิทธิ์​ สูงส่ง' โดย​เฉพาะอย่างยิ่ง​ใน​แง่ของ​ ความ​ชอบธรรม' เป็น​อันมาก

เนื้อหา​ :

ก่อนหน้าการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ​ ​ปรมาจารย์ทางกฎหมายมหาชนคนสำ​คัญของบ้านเมือง​ ​เปรียบเปรยร่างรัฐธรรมนูญเหมือน​กับ​ประกวดนางงาม​ ​จึง​ให้​ดูภาพรวม​ทั้ง​ตัว​ ​ทั้ง​ที่หากกล่าวตาม​ความ​เป็น​จริง​แล้ว​ ​ส่วน​สำ​คัญที่สุดของนางงามที่ทำ​ให้​มี​โอกาสชนะการประกวด​ใน​แทบ​จะ​ทุกเวที​ ​ต้อง​อยู่​ที่​ ​หน้าตา​ ​ด้วย​มิ​ใช่​หรือ​ ? แน่นอนว่าต่อ​ให้​หุ่นดีสม​ส่วน​เพียงไร​ ​หากหน้าตา​ไม่​สะสวยก็นับว่ายากลำ​บาก​ใน​การคว้าตำ​แหน่งมาครอง​ ​ฉัน​ใด​ฉัน​นั้น​ ​ถึง​แม้รัฐธรรมนูญ​ฉบับ​นี้​ ​อาจมี​ความ​โดดเด่นหลากหลายประการ​ ​ถึง​แม้น​ส่วน​ดี​จะ​มีมากกว่า​ส่วน​ด้อย​ ​ทว่า​ใน​ส่วน​สำ​คัญที่สุด​ ​[​หรือ​เปรียบ​ได้​กับ​ใบหน้าของนางงาม] ​แล้ว​นั้น​ ​กลับ​ยัง​คงพบข้อกังขา​ใน​ทางประชาธิปไตยมากมาย​ ​โดย​เฉพาะอย่างยิ่ง​ใน​เรื่อง​ ที่มา' ของสถาบันทางการเมือง​ ​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​สภา​ผู้​แทนราษฎร​ ​วุฒิสภา​ ​ตลอดจนองค์กรตามรัฐธรรมนูญต่างๆ​ ​ซึ่ง​ถือ​เป็น​เรื่อง​ ใหญ่​หลวง' ใน​ทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ​ทั้ง​สิ้น

รัฐธรรมนูญทำ​นองนี้​จึง​เท่า​กับ​เป็น​การลดพื้นที่ประชาธิปไตย​ใน​ทางการเมืองของประชาชนลงมา​ ​เป็น​ต้นว่า

หนึ่ง​ ​การเลือกตั้ง​ ​ส​.​ส​. ​แบบแบ่งเขต​ 400 ​คน​ ​ย้อนยุคหันกลับไป​ใช้​ ​ระบบ​ แบ่งเขต​ ​เรียงเบอร์' ย่อมก่อ​ให้​เกิดผลเสียหายตามมาหลายประการ​ ​ทั้ง​ก่อ​ให้​เกิด​ความ​ไม่​เป็น​ธรรม​กับ​ผู้​ที่มีสิทธิ​ใน​บางเขต​ ​เพราะ​แต่ละคนมีสิทธิ​เลือกตั้ง​ผู้​แทน​ได้​ไม่​เท่า​กัน​ ​บางเขตเลือก​ได้​ถึง​ 3 ​คน​ ​ขณะที่บางเขตกลับมี​ผู้​แทน​ได้​แค่คนเดียว​ ​และ​ไม่​เอื้อ​ให้​พรรคการเมืองเข้มแข็ง​ ​ระบบเลือกตั้งเช่นว่าทำ​ให้​เกิดระบบหลายพรรคขึ้นมา​ ​ผ่านการจัดตั้งรัฐบาลผสมอย่างที่​เห็น​ ​การเมือง​จึง​ขาด​ทั้ง​เอกภาพ​และ​เสถียรภาพ​ ​ฯลฯ

สอง​ ​การเลือกตั้ง​ ​ส​.​ส​. ​สัด​ส่วน​อีก​ 80 ​คน​ ​จาก​ 8 ​กลุ่มจังหวัด​ ​ทำ​ให้​การแข่งขันทางการเมืองขาด​ความ​ชัดเจน​ ​เนื่อง​จาก​ประชาชน​ไม่​สามารถ​ทราบ​ถึง​ คณะรัฐมนตรี​เงา' [นายกรัฐมนตรี​ ​และ​รัฐมนตรี​อื่นๆ​] ​ของแต่ละพรรคเหมือน​กับ​ก่อนหน้านี้​ได้​ ​เพราะ​แต่ละพรรคต่างก็​ต้อง​จัดทำ​บัญชีรายชื่อ​ถึง​ 8 ​บัญชีตามแต่ละกลุ่มจังหวัด​ ​อีก​ทั้ง​การแบ่งกลุ่มจังหวัดที่ปรากฏออกมาก็​ยัง​ไม่​สอดคล้อง​กับ​ภูมิประ​เทศ​และ​วัฒนธรรมท้องถิ่นแท้จริง​ ​ฤา​เป็น​วาระซ่อนเร้นเพื่อประ​โยชน์ของพรรคการเมืองหนึ่ง​โดย​เฉพาะ​ ?

สาม​ ​การเลือกตั้ง​ ​ส​.​ว​. ​แบบเลือกตั้ง​ 76 ​คน​ ​เต็มไป​ด้วย​คุณสมบัติ​และ​ลักษณะ​ต้อง​ห้ามหยุมหยิม​ ​เช่น​ ​ไม่​ให้​บุพการี​ ​คู่สมรส​ ​หรือ​บุตรของ​ ​ส​.​ส​. ​หรือ​ผู้​ดำ​รงตำ​แหน่งทางการเมือง​ ​ลงสมัครรับเลือกตั้ง​เป็น​ ​ส​.​ว., ผู้​สมัคร​ ​ส​.​ว​. ​จะ​ต้อง​พ้น​จาก​การ​เป็น​สมาชิกพรรคการเมืองนานมา​ถึง​ 5 ​ปีขึ้นไป​ ​อีก​ทั้ง​ก็​ยัง​ต้อง​มีชื่อ​อยู่​ใน​ทะ​เบียนบ้าน​ ​หรือ​เคยศึกษา​อยู่​ ​หรือ​เคยรับราชการ​ใน​จังหวัด​นั้นๆ​ ​มา​แล้ว​ไม่​น้อยกว่า​ 5 ​ปี​ ​ฯลฯ​ ​ส่งผล​ให้​บรรยากาศของการเลือกตั้ง​เป็น​ไปอย่างเงียบเชียบถ้วน​ทั่ว​ ​ท่ามกลางบทกำ​หนดที่​ยัง​หาคำ​อธิบาย​ไม่​ได้​อีกสารพัด​ ​เช่น​ให้​คนกรุงเทพฯ​ ​มี​ ​ส​.​ว​. ​ได้​คนเดียว​เท่า​กับ​คน​ใน​จังหวัด​อื่นๆ​ ​ทุกจังหวัดของประ​เทศ​ ​โดย​หา​ได้​คำ​นึง​ถึง​จำ​นวนประชากรอันแตกต่าง​ไม่​ ​เป็น​ต้น

สี่​ ​ขณะที่​ ​ส​.​ว​. ​สรรหา​ ​อีก​ 74 ​คน​ ​กลับมา​จาก​การคัดเลือก​โดย​อภิชนหยิบมือเดียว​ ​ซึ่ง​ต่างก็​เป็น​ผู้​ดำ​รงตำ​แหน่งประธานองค์กรอิสระ​และ​ผู้​พิพากษาตุลาการ​จาก​ศาลต่างๆ​ ​รวม​กัน​แล้ว​ 7 ​คนแค่​นั้น​ ​แถม​ยัง​ขาด​ความ​เชื่อมโยง​กับ​ประชาชน​โดย​สิ้นเชิงอีก​ด้วย​ ​ส​.​ว​. ​ประ​เภทนี้​ ​มักหนี​ไม่​พ้นข้าราชการระดับสูง​ ​และ​นักกฎหมายอาวุ​โสซะ​เป็น​ส่วน​ใหญ่​ ​ทว่ารัฐธรรมนูญกลับ​ให้​ถืออำ​นาจหน้าที่​เท่าๆ​ ​กัน​กับ​ ​ส​.​ว​. ​แบบเลือกตั้ง​ ​ทุกประการ​ ​เช่น​สามารถ​จะ​ ​ถอดถอน​ ​ผู้​ที่ประชาชนเลือกตั้ง​เข้า​มาก็​ได้

ห้า​ ​กระบวนการสรรหาบุคคล​ใน​องค์กรอิสระต่างๆ​ ​ยัง​คง​ให้​อำ​นาจแก่สถาบันตุลาการ​ ​จนดูราว​กับ​ว่าประ​เทศนี้ฝาก​ความ​หวังของบ้านเมือง​ทั้ง​ปวง​ไว้​กับ​องค์กร​ทั้ง​ 3 ​แห่งนี้​ ​ก็คือ​ ​ศาลยุติธรรม​ ​ศาลปกครอง​ ​และ​ ​ศาลรัฐธรรมนูญ​ ​ไปเสีย​ทั้ง​หมด​ [องค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหา​แต่ละองค์กรมากบ้างน้อยบ้างตามแต่รัฐธรรมนูญ​จะ​กำ​หนด​ ​อย่างเช่น​ 7 ​กรรมการสรรหา​ ​กกต​. ​เป็น​ฝ่ายตุลาการ​ถึง​ 5 ​คน, 5 ​กรรมการสรรหา​ ​ปปช​. ​เป็น​ฝ่ายตุลาการ​ถึง​ 3 ​คน] ​ทั้ง​นี้​เราก็​ต้อง​ไม่​ลืม​ด้วย​ว่า​ ​อำ​นาจ​นั้น​ย่อม​ต้อง​มาพร้อม​กับ​ความ​รับผิดชอบ​ ​แล้ว​ศาลท่านพร้อมแสดง​ความ​รับผิดชอบ​ใน​ทางการเมืองแบบเต็มตัวอย่างที่คน​อื่นๆ​ ​มี​ ​แล้ว​รึ​ยัง​ ?

หก​ ​การกำ​หนดห้ามมิ​ให้​ ​ส​.​ส​./ ​ส​.​ว​./ ​นายกฯ​/ ​รมต​. ​เข้า​ไปยุ่งเกี่ยว​กับ​การทำ​งานของข้าราชการประจำ​ ​เพื่อประ​โยชน์ของ​ผู้​อื่น​ ​ไว้​อย่าง​ ​กำ​กวม​ ​โดย​ให้​ถือว่า​เป็น​ ​การกระทำ​ที่​เป็น​การขัด​กัน​แห่งผลประ​โยชน์​ ​ด้วย​นั้น​ ​ย่อมทำ​ให้​ฝ่ายการเมืองอ่อนแอจนอาจถูกฝ่ายราชการครอบงำ​เช่น​ใน​อดีต​ได้​ ​ตรงนี้ขัด​กับ​ทฤษฎีทางการบริหารรัฐกิจที่​ได้​รับการยอมรับ​กัน​ทั่ว​ไป​ ​ซึ่ง​ใน​เชิง​ความ​สัมพันธ์ทางอำ​นาจ​แล้ว​ อำ​นาจทางการเมือง' (ที่มา​จาก​เลือกตั้งของประชาชน) ​ย่อม​ต้อง​ ​เหนือ​ ​กว่า​ อำ​นาจทางการบริหาร' (ระบบราชการ) ​ยึดตามหลัก​ Civil Supremacy [5] ​ของอารยประ​เทศ

เจ็ด​ ​การกำ​หนด​ให้​การ​ ยุบพรรค' สามารถ​ทำ​ได้​ง่ายดาย​ ​สะท้อน​ความ​ไม่​เข้า​ใจหลักการว่า​ด้วย​ ​เสรีภาพ​ ​ใน​การรวมตัว​กัน​เป็น​กลุ่มต่างๆ​ ​กระทั่งจัดตั้ง​เป็น​พรรคการเมือง​ใน​ฐานะสถาบันการเมืองสำ​คัญของประชาชน​ ​ทั้ง​นี้​ ​ใน​หลายๆ​ ​ประ​เทศการยุบเลิกพรรคการเมือง​จะ​กระทำ​ได้​ก็ต่อเมื่อวิถีทางของพรรค​นั้น​ขัด​กับ​หลักการประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง​ ​เช่น​ ​เน้นมุ่งการ​ใช้​ ​กำ​ลังรุนแรง​ ​ล้มล้างรัฐธรรมนูญ​ ​เพื่อ​ให้​ได้​มา​ซึ่ง​อำ​นาจ​ใน​การปกครองประ​เทศฉับพลัน​ ​ด้วย​เหตุนี้​ ​หลายประ​เทศประชาธิปไตยก้าวหน้า​จึง​เต็มไป​ด้วย​พรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์อันหลากหลาย​ ​เช่น​ ​พรรคกัญชา​ [Marijuana Party], พรรคคอมมิวนิสต์​ [Communist Party], พรรคสังคมนิยม​ [Socialist Party], พรรคสี​เขียว​ [Green Party] ฯลฯ

แปด​ ​มาตราสุดท้ายของรัฐธรรมนูญ​ฉบับ​นี้​ ​ถือ​เป็น​ สิ่งตกค้าง' อันเลวร้ายต่อการเดินทางต่อของระบอบประชาธิปไตย​ใน​บ้านเรา​ ​ความ​หวัง​ให้​การรัฐประหารครั้งนี้​เป็น​สุดท้าย​ไม่​มีทางเกิดขึ้น​ได้​จริง​ ​เพราะ​มาตรานี้คือการปิดโอกาส​ใน​การตรวจสอบการ​ใช้​อำ​นาจของคณะก่อการยึดอำ​นาจ​และ​ผู้​เกี่ยว​เนื่อง​ ​ผ่านกระบวนการทางศาลต่างๆ​ ​โดย​สิ้นเชิง​ ​อย่างเช่นกรณีทุจริตคอรัปชั่นก็​ไม่​อาจ​จะ​ดำ​เนินคดี​ได้​ ​เนื่อง​จาก​ถูกบัญญัติรับรองเอา​ไว้​ใน​มาตรานี้​แล้ว​ ​อะ​ไรๆ​ ​มันก็ชอบ​ด้วย​รัฐธรรมนูญ​ทั้ง​นั้น​ ​ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ​ ​กรณี​ เอกสารลับ' สกัดกั้นพรรคพลังประชาชน​ ​ลงนาม​โดย​อดีตประธาน​ ​คมช​. ​ซึ่ง​ต่อมา​ ​กกต​. ​เสียงข้างมาก​ ​ก็ออกมายืนยันว่า​ ​ไม่​อาจดำ​เนินการ​ใดๆ​ ​สำ​หรับการกระทำ​ของ​ ​คมช​. ​ได้​ ​เพราะ​ถือ​เป็น​การกระทำ​ที่​ได้​รับ​ความ​คุ้มครองตามมาตรา​ 36 ​และ​มาตรา​ 37 ​ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี​ 2549 ​และ​มาตรา​ 309 ​ของรัฐธรรมนูญปี​ 2550 ​แล้ว​นี่​เอง

ด้วย​เหตุผลต่างๆ​ ​ข้างต้น​ ​ผม​จึง​ไม่​อาจเห็น​ด้วย​ได้​กับ​ข้อเสนอของ​ผู้​แทนปวงชนชาวไทยบางท่านที่​เสนอ​ให้​แก้​ไขรัฐธรรมนูญเฉพาะ​ใน​บางประ​เด็นเช่น​นั้น​ ​เพราะ​หากทำ​แค่​นั้น​ ​ก็​เท่า​กับ​ว่าท่านยอมจำ​นน​และ​รับ​ได้​ใน​ ​ที่มา​ ​อัน​ไม่​ถูก​ต้อง​ของรัฐธรรมนูญ​ฉบับ​นี้​ ​โดย​มองเห็นว่ามัน​เป็น​ปัญหา​แค่​ใน​เชิง​ ​เนื้อหา​ ​เพียง​เท่า​นั้น

ถึง​แม้นเรา​จะ​ได้​ชื่อว่า​เป็น​ประ​เทศที่​เชี่ยวชาญการยกร่างรัฐธรรมนูญที่สุด​ใน​โลก​ [นับตั้งแต่​เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี​ ​พ​.​ศ​.2475 ​เป็น​ต้นมา​ ​เรามีรัฐธรรมนูญ​ใช้​มา​แล้ว​ 18 ​ฉบับ​ ​เปลี่ยนบ่อยพอๆ​ ​กับ​รอบของการจัดกีฬา​โอลิมปิก​หรือ​ฟุตบอลโลกแต่ละครั้ง​ ​ก็คือเฉลี่ย​แล้ว​ทุก​ 4 ​ปี​เศษๆ​] ​แต่​เพื่อมิ​ให้​เป็น​การสูญเสียงบประมาณแผ่นดิน​ซ้ำ​ซาก​ ​โดย​ทัศนะ​ส่วน​ตัว​ ​ผมเห็นว่าการนำ​เอา​ ​รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย​ ​พุทธศักราช​ 2540 ​มา​เป็น​ต้นร่าง​ ​จาก​นั้น​จึง​ค่อยๆ​ ​ทำ​การพิจารณา​แก้​ไขเพิ่มเติมเฉพาะ​ใน​บางประ​เด็น​ ​น่า​จะ​เป็น​ทางเลือกที่ดี​ ​และ​ประหยัดที่สุด

โดย​ใน​ชั้นแรกก็​ต้อง​ให้​มีการแก้​ไข​ใน​ ​มาตรา​ 291 ​เสียก่อน​ ​เพื่อเปิดทาง​ให้​มีกระบวนการนำ​เอารัฐธรรมนูญของปี​ 40 ​กลับมาปรับปรุงบาง​ส่วน​ ​ตามที่​ ​องค์กรพิ​เศษ​ ​ซึ่ง​ถูกจัดตั้งขึ้น​ ใหม่' [เพื่อการนี้​โดย​เฉพาะ] ​ตามบทบัญญัติ​แก้​ไขเพิ่มเติมดังกล่าว​ ​เห็นสมควร​ให้​ดำ​เนินการแก้​ไขเพิ่มเติมประการ​ใด​ ​ส่วน​ชื่อ​ ​โครงสร้างองค์กร​ ​รูปแบบที่มา​ ​สัด​ส่วน​องค์ประกอบ​ ​และ​จำ​นวนของสมาชิก​ ​รวม​ถึง​กรอบระยะ​เวลาการทำ​งาน​ ​ตลอดจนเงื่อนไข​อื่นๆ​ ​อันแสดง​ให้​เห็น​ถึง​ความ​ยึดโยงระหว่างตัวรัฐธรรมนูญ​ใหม่​กับ​ประชาชน​ ​จัก​เป็น​ประการ​ใด​นั้น​ ​นับ​เป็น​เรื่องที่สังคมควร​ให้​ความ​สนใจถกเถียง​กัน​ต่ออีกมาก

ทั้ง​นี้​ ​หากปรารถนาก้าว​ให้​พ้น​จาก​ ​ประวัติศาสตร์​ ​แบบเดิมๆ​ ​เราควร​ใช้​ชื่อเรียกรัฐธรรมนูญ​ฉบับ​ที่​จะ​มา​แทนที่ว่า​ "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย​ ​พุทธศักราช​ 2540 [แก้​ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช​ 2551]" เพื่อรักษา​ ​ศรัทธาของประชาชน​ ​จำ​นวนมหาศาลที่มีต่อ​ "รัฐธรรมนูญ​ฉบับ​ประชาชน" เอา​ไว้​ ​เพื่อ​ให้​สานต่อ​ความ​ต่อ​เนื่อง​บนเส้นทางวิวัฒนาการ​ ​ประชาธิปไตยแบบไทยๆ​ ​มิ​ให้​ตก​อยู่​ใน​สภาพ​ ถอยหลัง​เข้า​คลอง' หรือ​ยัง​คงวนเวียน​อยู่​ใน​ วงจรอุบาทว์' อีกต่อไป​ ​แน่นอนว่า​ ​ลักษณะดังกล่าว​ใช่​ว่าทำ​ไม่​ได้​ ​เพราะ​ใน​อดีตรัฐธรรมนูญ​ ​ฉบับ​ที่​ 6 ​ก็​เคยทำ​เช่นนี้มา​แล้ว​ครั้งหนึ่ง​ ​ภาย​ใต้​ชื่อเรียกขาน​ "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย​ ​พุทธศักราช​ 2475 ​แก้​ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช​ 2495"

แน่ละ​ ​ถึง​แม้นประชาธิปไตย​จะ​ไม่​ใช่​ระบอบที่ดีสมบูรณ์​แบบ​ ​เพราะ​ทั้ง​สิ้นเปลืองเวลา​ ​เงินทอง​ ​และ​ก็มี​ความ​ขัดแย้ง​/ ​ยุ่งเหยิง​/ ​ไร้ระ​เบียบอันเกิด​จาก​การแข่งขัน​ใน​ทางต่างๆ​ ​อีก​ ​แต่บทเรียนครั้ง​แล้ว​ครั้งเล่าก็​ได้​ตอกย้ำ​ให้​เรา​ต้อง​เรียนรู้​/ ​ยอมรับ​กัน​ว่านี่คือ​ ​ระบอบการปกครองที่​เลวน้อยที่สุด​ ​แล้ว​นะครับ​ !!!

เชิงอรรถ

[1] ​ทว่าก็อาจเกิดข้อถกเถียง​ได้​ว่า​ ​สำ​หรับสังคมการเมืองไทยหา​ได้​เป็น​เช่น​นั้น​ไม่​ ​เพราะ​ยิ่งหากรัฐธรรมนูญมี​ความ​เป็น​ประชาธิปไตยสูง​เท่า​ใด​ก็ยิ่งสุ่มเสี่ยงต่อการถูกยกเลิก​ได้​อย่างง่ายดายรวด​เร็ว​อยู่​เสมอ​ ​นักศึกษาหลายๆ​ ​คนที่คิด​ใน​ทำ​นองเช่นนี้​ ​ก็มัก​จะ​เสนอว่ารัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด​ต้อง​มี​ความ​สอดรับ​กับ​วัฒนธรรมของ​ผู้​คน​ใน​สังคมการเมือง​นั้นๆ​ ​ต่างหาก​ ​มัน​ถึง​จะ​อยู่​ได้​อย่างยั่งยืนสืบไป

[2] ​ดังเช่นคำ​พิพากษาศาลฎีกาที่​ 1234/2523 ​ซึ่ง​วินิจฉัยว่า​ "...เมื่อคณะปฏิวัติ​หรือ​คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินยึดอำ​นาจการปกครองแผ่นดิน​ได้​เป็น​ผลสำ​เร็จ​ ​หัวหน้าคณะปฏิวัติ​หรือ​หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินย่อมมีอำ​นาจที่​จะ​ออกประกาศ​หรือ​คำ​สั่ง​ ​อันถือว่า​เป็น​กฎหมาย​ใช้​บังคับแก่ประชาชน​ทั่ว​ไป​ได้​ ​แม้​จะ​มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยออกประกาศ​ใช้​แล้ว​ก็ตาม​ ​แต่หา​ได้​มีบทกฎหมายยกเลิกประกาศ​หรือ​คำ​สั่งของคณะปฏิวัติ​หรือ​คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน​ไม่​ ​ประกาศ​หรือ​คำ​สั่ง​นั้น​ ​จึง​ยัง​เป็น​กฎหมาย​ใช้​บังคับ​อยู่​..." สำ​หรับ​ผู้​สนใจศึกษา​เพิ่มเติม​ ​โปรดดู​ ​สมชาย​ ​ปรีชาศิลปกุล, "หลักนิติรัฐประหาร," ฟ้า​เดียว​กัน​ ​ฉบับ​พิ​เศษ​ ​รัฐประหารเพื่อระบอบประชาธิปไตย​ ​อันมีพระมหากษัตริย์ทรง​เป็น​ประมุข, (กรุงเทพฯ​: ​สำ​นักพิมพ์ฟ้า​เดียว​กัน, 2550), หน้า​ 190-202.

[3] ​อ้าง​ถึง​ใน​ ​ฟ้า​เดียว​กัน, ปีที่​ 5 ​ฉบับ​ที่​ 3 ​กรกฎาคม​-​กัน​ยายน​ 2550, หน้า​ 1.

[4] ​อ้าง​ถึง​ใน​ http://blog.nationmultimedia.com/supalak/2008/03/11/entry-1

[5] ดังคำ​กล่าวว่า​ "forty eight stars triumph over five" ของประธานาธิบดีทรู​แมน​ใน​การสั่งปลดนายพลแมกอาร์​เธอร์ที่บังอาจท้าทายภาวะ​ผู้​นำ​ของประธานาธิบดี​ ​ใน​ปี​ ​ค​.​ศ.1951 ซึ่ง​เป็น​การยืนยัน​ความ​เหนือกว่าของ​ผู้​นำ​พลเรือนต่อทหาร​ ​อ้าง​ถึง​ใน​ ​ติน​ ​ปรัชญพฤทธิ์, ศัพท์รัฐประศาสนศาสตร์, (กรุงเทพฯ​: ​สำ​นักพิมพ์​แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 254

ขอขอบคุณณัฐกร​ ​วิทิตานนท์ เป็น​บท​ความ​ที่ก่อประ​โยชน์ต่อการเรียนรู้​และ​เผยแพร่สู่สาธารณะชน​ได้​รับทราบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน​จึง​ขออนุญาตนํามา​เสนอแก่​ผู้​อ่านอีกครั้งครับ

คืนรัง


Hi-Thaksin