การออกมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ของโพธิรักษ์ และกลุ่มคนจากสันติอโศก ได้ถูกกระชากหน้ากากโดยพระมหาโชว์ ทัสสนีโย รองเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ไปแล้วว่าแท้ที่จริงเป็นการออกมาปกป้องตัวเอง เพราะเกรงว่าหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญและมีการบรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ บรรดาพวกลัทธินอกรีตจะต้องถูกจัดการตามกฎหมาย
ขณะเดียวกันพฤติกรรมต่างๆ ของกลุ่มคนเหล่านี้ก็ยังถูกมองว่าเป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง และเข้าข่ายว่าน่าจะมีความผิดตามกฎหมาย
ผศ.เสถียร วิพรมหา เลขาธิการองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อป้องกันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ (อพช.) กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มสันติอโศกออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองว่า จะเป็นการทำพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่ประชาชนคนไทยเคารพบูชามาช้านาน เกิดความเสียหาย เพราะการเคลื่อนไหวของสันติอโศกนั้น เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองและเป็นความขัดแย้ง สิ่งที่จะเกิดตามมาก็คือทำให้ความเข้าในหลักของพระพุทธศาสนาเป็นภาพลบ เพราะว่าคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะต่างประเทศทั่วโลกมองไปแล้วว่าเหมือนเป็นการเอาพระสงฆ์ออกมาเคลื่อนไหว
ทั้งที่จริงแล้วกลุ่มดังกล่าวเป็นผู้ที่ประกาศตนเองอยู่นอกเขตปกครองสงฆ์ จึงไม่ใช่พระ แต่การกระทำดังกล่าวก็ถือว่าเป็นการบ่อนทำลายทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในสถานะและกิจวัตรของพระสงฆ์ เช่น จัดให้มีการชุมนุมทำกิจของสงฆ์ ซึ่งในภาวะของสงฆ์ที่แท้จริงจะไม่ปฏิบัติเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม ตนยังเชื่อมั่นว่าพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งประเสริฐและบริสุทธิ์ ควรค่าแก่การที่คนไทยทุกคนเคารพบูชา ซึ่งสิ่งใดที่มีการประพฤติปฏิบัติโดยแอบอ้าง และกระทำไปด้วยเจตนาและไม่เจตนา ซึ่งส่งผลทำให้เกิดความเสียหายแก่พระพุทธศาสนาของกลุ่มบุคคลดังกล่าวนั้น จะทำให้สังคมจะออกมารวมตัวกันเพื่อชี้วัดและตัดสินกันเอง
ผศ.เสถียร กล่าวต่ออีกว่า อยากจะเรียกร้องให้ฝ่ายกฎหมาย เข้ามาดูแลในเรื่องดังกล่าวว่าควรจะอยู่ในขอบเขตอย่างไร จะต้องดำเนินการแก้ไขก่อนที่จะสายไปมากกว่านี้ ซึ่งตนคิดเห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นทำกระทำที่เข้าข่ายของพวกมารศาสนา เพราะพวกกลุ่มสันติอโศกออกมาเคลื่อนไหวและทำตัวเหมือนพระนั้นเป็นภาพลบ การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นมารศาสนาได้เลย
ตนจึงอยากบอกให้ประชาชนรู้ว่า การกระทำของกลุ่มสันติอโศกสร้างความเสียหายแบบนี้ ควรมีความเห็นที่ช่วยกันแก้ไข ซึ่งมีหลายฝ่ายที่พร้อมจะให้คำปรึกษาและแก้ไขได้ เช่น สำนักงานพระพุทธศาสนา หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจยังช่วยเหลือได้
สิ่งที่ตนวิเคราะห์เกี่ยวกับสันติอโศกที่ประกาศตนเป็นพระ และมีการแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ การบิณฑบาต ซึ่งจริง ๆ แล้วก็สามารถทำได้ตามสิทธิส่วนบุคคลนั้น แต่ว่าควรจะมีการปฏิบัติอยู่แต่เพียงในสำนักของตัวเอง ไม่ควรที่จะออกมาทำในบริเวณที่มีวิถีทางการเมืองและมีเหตุแห่งความขัดแย้งแบบนี้ เพราะอาจทำให้บุคคลบางกลุ่มไม่เข้าใจ และทำให้พุทธศาสนาเสียหายมากยิ่งขึ้น และส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดว่าพระออกมาขับไล่รัฐบาล
แม้คนกลุ่มนี้จะเรียกตนเองว่า สมณะ ก็ตาม แต่คำว่า “สมณะ” นั้นต้องแปลว่า ผู้ที่มีกิจวัตรและปฏิบัติตนแบบอหิงสา คือไม่เบียดเบียน แต่ว่าพฤติกรรมดังกล่าวของสันติอโศกนั้นไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ซึ่งการกล่าววาจาของสันติอโศกนำไปสู่ความขัดแย้ง ซึ่งขัดต่อหลักศาสนธรรม ซึ่งแปลว่าสันติภาพความสงบ และความสามัคคี แต่ไม่ใช่สร้างความแตกแยกหรือสร้างปัญหาให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการออกมายุ่งเกี่ยวกับทางการเมือง หากเป็นเช่นนี้ ทุกฝ่ายทั้งทางด้านศาสนา นักวิชาการ นักกฎหมาย ต้องเข้าทบทวนและดูแลในเรื่องนี้
ด้านนายวิชัย ธรรมเจริญ นักวิชาการศาสนา 7 ว. รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม กล่าวว่าการที่สันติอโศกร่วมการชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนาได้ แม้ว่าสันติอโศก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทางเถรสมาคม เป็นพระอีกรูปแบบหนึ่ง ต่างจากสงฆ์เถรวาท ที่มีอยู่ 2 นิกาย คือ มหานิกาย และธรรมยุตินิกาย แต่สิ่งที่ทำอยู่ในตอนนี้ ก็เป็นการปฏิบัติเสมือนหนึ่งเป็นสงฆ์เถรวาท ไม่ว่าจะเป็นออกบิณฑบาตร ทางสมาคมก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปดูแล และตักเตือนอะไรได้
นอกจากนี้ทางสมาคมก็มีความเป็นห่วงที่จะสร้างความเสื่อมเสีย และสร้างความเข้าใจผิด เพราะเท่าที่ทราบมีประชาชนจำนวนหนึ่งที่หลงเชื่อในลัทธิแบบนี้ อาจจะสร้างความสับสนให้แก่ประชาชนที่ไม่ทราบได้ เพราะการแต่งกายที่เห็นอยู่ก็ไม่ค่อยแตกต่างเท่าไร
ซึ่งทางเถรสมาคม และทางสำนักพระพุทธศาสนาก็ไม่มีกฎหมายที่จะเข้าไปดูแล เพียงแต่ออกประกาศว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นพระที่อยู่ในเถรวาทเท่านั้น
“คงต้องอาศัยพี่น้องประชาชนที่มีหัวใจเป็นพุทธทุกท่าน ที่มองเห็นว่าคนกลุ่มนี้สร้างความเสื่อมเสียมาให้พระพุทธศาสนา แล้วนำเรื่องดังกล่าวไปให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการ”
พร้อมกล่าวด้วยว่าการออกมาชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ครั้งนี้ พล.ต.จำลอง ได้ใช้สัทธิความเชื่อของเขา เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง ที่จะดึงคนที่เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของม็อบในการชุมนุมในครั้งนี้
ทางด้าน ผศ.จรัล ดิษฐาอภิชัย ประธานคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงบทบาทของกลุ่มสันติอโศกที่ร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า กลุ่มสันติอโศกมีแนวทางความคิดตามแบบชุมชนสงฆ์ และชุมชนคอมมิวนิสต์ และมีบทบาทในทางการเข้าร่วมแก้ไขสถานการณ์ทางการเมือง อาทิได้ร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาลตั้งแต่สมัยรสช. และร่วมกับกลุ่มพันธมิตรขับไล่รัฐบาลชุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ด้านสมณโพธิรักษ์ที่เป็นผู้นำการชุมนุมของกลุ่มสันติอโศก ก็มีการพยายามใช้ข้ออ้างต่อรองเพื่อเชิญชวนญาติธรรมจากทั่วประเทศมาร่วมชุมนุมแต่ดูเหมือนว่าจะเป็นยุทธวิธีที่ไม่เป็นผล นอกจากนี้ยังมีการกระทำที่เลียนแบบศาสนา ทั้งการแต่งกาย และการเดินบิณฑบาร เป็นการนำพระพุทธศาสนามาบังหน้า เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง พฤติกรรมเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นมารศาสนา
“พวกนี้เขาไม่แคร์หรอกที่จะทำไร ผมก็ไม่เข้าใจว่าพวกเขากราบไหว้กันได้อย่างไร มีการบิณฑบาต แต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ แถมมีการจูงใจญาติธรรมและคนทั้งหลายให้โจมตีรัฐบาล แบบนี้เรียกได้ว่าเป็นมารศาสนา เพราะอ้างศาสนาเป็นเครื่องมือในการสร้างกำลังทางการเมือง และสังคม” ผศ.จรัลกล่าว
อย่างไรก็ตาม ผศ.จรัล กล่าวเสริมว่าควรให้สำนักงานพระพุทธศาสนาสนใจและติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มสันติอโศก ว่ามีพฤติกรรมที่นำศาสนามากล่าวอ้างและหนุนเพื่อขับไล่รัฐบาลมากน้อยเพียงใด ซึ่งถือว่ามีความไม่เหมาะสมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ทางด้านพระพิศาลธรรมพาที (พระพยอม กัลยาโณ) กล่าวถึงบทบาทของกลุ่มสันติอโศกที่ออกมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าทุกครั้งที่มีการชุมนุม มีมหาจำลองก็ต้องมีสันติอโศกออกมาทุกครั้ง และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลุ่มสันติอโศกออกมา เพราะออกมาตั้งแต่สมัยขับไล่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร แล้ว
ตอนนี้สันติอโศก ไม่เกี่ยวกับมหาเถรสมาคมแล้ว คงจะเข้าไปควบคุมหรือว่ากล่าวไม่ได้ เพราะตอนนี้อะไรก็อ้างถึงเรื่องสิทธิกันทั้งนั้น มันคงเป็นเรื่องที่พูดกันยากเพราะตอนนี้ก็มีคนเป็นจำนวนมากที่นับถือลัทธินี้ แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่เคยเคารพออกมาบอกกับทางสันติอโศกว่าอย่าออกมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการชุมนุม แต่ก็ไม่ฟัง จนลูกศิษย์บางคนก็ถอนตัวออกมา
มาจนตอนนี้สันติอโศก ก็กลายเป็น “ลัทธิจำลอง” ตามความเข้าใจของใครหลายๆ คนแล้ว เพราะว่ามหาจำลอง แกนับถือลัทธินี้มาก
ส่วนภาพที่ออกมาถึงการเลียนแบบสงฆ์แต่ปฏิบัติกิจที่ไม่ใช่ของสงฆ์นั้น พระพยอม กล่าวว่า เป็นเรื่องของภาพลักษณ์ ที่เริ่มขยายวงกว้างออกไป ส่วนจะทำให้พุทธศาสนาเสื่อมเสียหรือไม่นั้น คงเป็นเรื่องที่พูดยาก
“ตอนนี้ ตัวอาตมาเองก็ไม่อยากที่จะเข้าไปยุ่งมาก แค่เพียงอาตมา บอกว่าอย่าใช้คำหยาบคายในการปราศรัย เพราะว่ามีเด็กเข้าไปฟังเป็นจำนวนมาก เดี๋ยวเด็กจะนำไปใช้ นายสนธิ (ลิ้มทองกุล) ก็ออกมาต่อว่าอาตมาว่า พระพยอมอย่ายุ่ง อาตมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าแล้วทำไมสันติอโศก ถึงยุ่งได้”
อนึ่ง กรณีทำตัวไม่เหมาะสมของโพธิรักษ์ และบรรดาสาวกสันติอโศก ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้น โดยเมื่อ 3 กันยายน 2531 หรือประมาณ 20 ปีที่แล้ว ได้ปรากฎในข้อเขียนของ ม.รซงคึกฤทธิ์ ปราโมช ในคอลัน์ซอยสวนพลู น.ส.พ.สยามรัฐ ซึ่งขณะนั้นสันติอโศก มีการปฏิบัตินอกรูปนอกรอยพุทธศาสนา และกระทรวงศึกษาธิการ ที่ดูแลกรมการศาสนาในขณะนั้น ได้พยายามดึงเอาสันติอโศกมาอยู่ใต้การดูแลของมหาเถรสมาคม เพื่อหวังว่าจะแก้ปัญหาต่างๆ ได้
แต่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้แสดงความเห็นแตกต่างว่า ”ผมเองกลับเห็นว่าการเอาสันติอโศกไปขึ้นกับมหาเถรสมาคมน้น ก็เท่ากับว่าเอาเหี้ยไปปล่อยใส่วัด ความวิบัติฉิบหายก็จะเกิดขึ้รนแก่วัดนั้นเป็นแน่นอน”
ซึ่งบทความดังกล่าวถุกเขียนขึ้นก่อนมีปกาสนียกรรม ให้โพธิรักษ์ และสาวกพ้นจากความเป็นพระ
นอกจากนี้ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 ในช่วงที่สันติอโศก ออกมาร่วมชุถมนุมกับม็อบขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น สภาพุทธบริษัท ก็ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง ขอให้ยุติการนำศาสนาไปต่อรองทางการเมือง
โดยรุบว่า การกล่าวอ้างวกองทัพธรรม ของสันติอโศกเป็นการสร้างความแตกแยกให้กับพระศาสนามาตลอด กล่าวคือ ได้กล่าวจ้วงจาบองค์พระสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน การกล่าวอ้างกองทัพธรรม เป็นการล้มล้างบิดเบือนหลักการของพุทธศาสนา เพราะกองทัพธรรมเป้นคณลักษณะของการเผยแพร่พุทธศาสนา โดยใช้สันติธรรมมากกว่าใช้กิเลสตน และการชุมนุมประท้วง หลักพุทธศาสนาในลักษณะของกองทัพธรรม คือการปฏิบัติธรรมและสำรวมด้วยกิริยาอันสงบของสมณะ ด้วยปัญญาเพื่อความพ้นทุกข์
จึงขอเรียกร้องให้กลุ่มสันติอโศกยุติการกระทำดังกล่าว เพราะเป้นการล้มล้าง สร้างความแตกสามัคคี และความเสียหายให้กับประเทศชาติ และพระพุทธศาสนาโดยเร็ว
