WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, January 30, 2009

รัฐถังแตกงบกลางปีติดลบ3แสนล."มาร์ค"บินถึงสวิสฯวอนทูตเร่งสร้างความเชื่อมั่นตปท.

ที่มา ประชาทรรศน์

'คลัง'ก้มหน้ายอมรับรัฐถังแตก เผยยอดเม็ดเงินรายได้รัฐไม่เข้าเป้าตกฮวบร้อยละ 16 ขาดทุนยับ 3 แสนล้าน กรรมาธิการประชาธิปัตย์ ไล่บี้กรณ์แจงตัวเลขให้ชัด ปลัดคลังแนะทางออกเร่งรบ.ใช้มาตรการกระตุ้นเศราฐกิจ "มาร์ค"บินถึงสวิสฯร่วมถกเอกอัคราชทูต เรียกร้องให้ทำงานแบบบูรณาการ ดึงนักท่องเที่ยวส่งเสริมการค้าการลงทุน สร้างความเชื่อมั่นแก่ต่างประเทศ

ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2552 โดยมีนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำหน้าที่ประธานการประชุม ในวันนี้(30 ม.ค.) นั้นโดยที่ประชุมได้พิจารณางบประมาณในส่วนของกระทรวงการคลัง ซึ่งนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง และคณะเข้าชี้แจง โดยกล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องอัดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้ทันในเดือนก.พ.และมี.ค.นี้ เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในระบบ มิเช่นนั้นเศรษฐกิจไทยอาจติดลบถึงร้อยละ 3 โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2552 พบว่ารัฐจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายประมาณร้อยละ 16 ซึ่งกระทรวงการคลังคาดการณ์รายได้ตลอดปี 2552 อยู่ที่ประมาณ 132,000 ล้านบาท แต่มีการเบิกจ่ายงบลงทุนเพียงร้อยละ7.9 โดยมีการตั้งรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินคงคลังสำหรับงบกลางปีไว้จำนวน12,900 ล้านบาท จากรายได้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และรายได้จากผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรรมาธิการฯทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างซักถามถึงสาเหตุของการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เช่น งบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และงบประมาณของกรมทางหลวงชนบท ที่ผู้รับเหมาต่างยังไม่ได้รับเงิน ขณะที่นายพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ ในฐานะกรรมาธิการจากพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากให้กระทรวงการคลังชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทุกคนทราบ เชื่อว่าเหตุที่ยังไม่มีการเบิกจ่ายงบลงทุนต่างๆ เป็นเพราะประเทศไทยไม่มีเงินคงคลัง มีแต่เพียงตัวเลขลอยๆ เท่านั้น จึงอยากทราบว่าความจริงขณะนี้เงินคงคลังเหลืออยู่จำนวนเท่าใด

อย่างไรก็ตามนายศุภรัตน์ กล่าวยอมรับว่า ขณะนี้เม็ดเงินไหลออกมากกว่าไหลเข้า ดังนั้นการบริหารเงินคงคลังต้องทำด้วยความรอบคอบ ซึ่งสิ้นเดือนธ.ค. 2551 มีเงินคงคลังเหลืออยู่ 52,000 ล้านบาท โดยสาเหตุที่เงินคงคลังเหลืออยู่ไม่มากเนื่องจากที่ผ่านมาลดการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ เพื่อเป็นการลดภาระการจ่ายดอกเบี้ย

ท้ายสุดนี้หากตัวเลขต่างๆ ไม่เพียงพอ ก็ยังสามารถกู้เงินจากต่างประเทศได้อีก ทั้งนี้กรอบการกู้ยืมเงินมีกฎเกณฑ์ไว้ชัดเจนอยู่แล้ว แต่อาจต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาใช้ให้เร็วขึ้น เพราะขณะนี้การขาดดุลงบประมาณทั้งประจำปี และกลางปีมีจำนวนกว่า 340,000 ล้านบาท

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางถึงนครซูริค สมาพันธรัฐสวิส แล้ว โดยได้เป็นประธานการประชุมเอกอัครราชทูต ประจำภาคพื้นยุโรป ณ Grand Meeting Room ณ โรงแรม Radisson นครซูริค ระหว่างการเข้าร่วมการประชุมประจำปี World Economic Forum ครั้งที่ 39 สมาพันธรัฐสวิส

โดย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การที่รัฐบาลได้เข้ามาบริหารงานโดยได้รับคะแนนสูงสุดจากรัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตยช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนทั้งชาวไทยและต่างประเทศ รัฐบาลยังประสบความเสร็จ ในการให้รัฐสภาผ่านข้อตกลงสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน จำนวน 39 ฉบับ สำหรับ 2 ฉบับที่เหลือได้ให้คณะกรรมาธิการพิจารณาต่อไป คาดว่าจะสำเร็จในเร็วๆ นี้

นอกจากนี้ รัฐสภายังได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ซึ่งจะทำให้ฝ่ายบริหารสามารถเบิกจ่ายตามวงเงินงบประมาณ เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันที ทั้งนี้ นับว่าเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจของคนไทย ที่ประเทศไทยกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 14 ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม โดยผู้นำชาติสมาชิกอาเซียนได้ตอบตกลงที่จะเข้าร่วมประชุมพร้อมกันแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลา ทำให้การประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา จำเป็นต้อง จัดขึ้นอีกครั้ง ในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งผู้นำประเทศคู่เจรจาบางประเทศก็ยินดีที่จะเดินทางมาร่วมประชุมในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้เช่นกัน แสดงให้เห็นว่า นานาชาติให้ความเชื่อมั่นการบริหารงานของไทย

สำหรับการปฏิรูปการเมืองนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีความตั้งใจที่จะให้มีการปฏิรูปทางการเมือง โดยได้มีการพูดคุยกับพรรคฝ่ายค้าน แต่จำเป็นต้องมีการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านก่อน เพื่อที่ประสานงานกันต่อไปนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงมาตรการทางเศรษฐกิจว่า วิกฤตเศรษฐกิจได้ส่งผลกระทบและสร้างความยากลำบากต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลจึงได้มีมาตรการจัดสรรเงินให้เปล่าจำนวน 2,000 บาท แก่ผู้มีรายได้เงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท เพื่อเพิ่มกำลังซื้อและเป็นการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

"รัฐบาลไทยยังให้ความช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุ แรงงาน นักเรียนและผู้ปกครอง คาดว่าจะให้ผลทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 และ 3ในไตรมาสที่ 4 จะได้มีการระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน รวมทั้ง คณะกรรมาการร่วมภาครัฐ-เอกชน เพื่อกำหนดมาตรการในส่งเสริมเศรษฐกิจระยะยาวต่อไปโดยจะให้มีการใช้จ่ายงบประมาณอย่างเหมาะสมบนพื้นฐานวินัยทางการคลัง"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโอกาสนี้ นายอภิสิทธิ์ได้เรียกร้องให้เอกอัครราชทูตทำประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจกับต่างประเทศ ถึงสถานการณ์การเมือง และการดำเนินงานของรัฐบาล เฝ้าระวังอย่าให้เกิดการกีดการกีดกันทางการค้า โดยอาศัยช่องโหว่ของกฏหมาย พร้อมทั้งจัดทำประชาสัมพันธ์ ชี้แจ้งข้อเท็จจริงในการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนของในกรณีโรฮิงยา ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินตามกฎหมายทุกประการ แต่ก็อาจยังมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งนี้ รัฐบาลยินดีที่จะร่วมมือกับองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ รวมทั้ง UNHCR เพื่อหาทางออกที่ดีทีสุด สำหรับการแก้ปัญหาดังกล่าว สำหรับสถานการณ์ภาคใต้นั้น รัฐบาลไม่ได้วัดความถี่ของการเกิดเหตุ แต่จะสร้างความเข้าใจ ความสามัคคี และมีแนวคิดที่จะยกเลิกกฎหมายพิเศษบางฉบับที่ไม่จำเป็น รวมทั้งเร่งรัดเรื่องร้องเรียนต่างๆ ให้มีการดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวด้วยความเชื่อมั่นว่า การทำงานแบบบูรณการของเอกอัครราชทูต ทั้งการเผยแพร่ข้อมูล สร้างความเชื่อมั่น ส่งเสริมการท่องเที่ยวและดึงดูดนักลงทุน เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในกลางปีหน้าได้อย่างแน่นอน