WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Sunday, May 23, 2010

ก่อการร้ายต่อเนื่อง ดึงยูเอ็นเข้าไทย

ที่มา ไทยรัฐ

สูญเสียวอดวาย พังพินาศย่อยยับ

จลาจล สงครามกลางเมือง มิคสัญญี

สะท้อนภาพเหตุการณ์ความวุ่นวาย ฝูงชนบ้าคลั่งเผาบ้านเผาเมือง

วางเพลิงศูนย์การค้าย่านธุรกิจสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ เผาทำลายอาคารสถานที่ต่างๆของเอกชนและสถานที่ราชการ เผาศาลากลางจังหวัดหลายแห่ง

เป็นอาฟเตอร์ช็อก หลังจากรัฐบาลโดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ใช้กำลังทหารกระชับวงล้อม บุกด่านรอบนอก

ปฏิบัติการบีบรัดกดดันแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และกลุ่มผู้ชุมนุมม็อบเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์

การกระชับวงล้อมตามด่านต่างๆ ทำให้เกิดการปะทะระหว่างทหารกับการ์ด นปช. และกองกำลังติดอาวุธอย่างดุเดือด

บาดเจ็บล้มตายกันทั้งสองฝ่าย ไม่เว้นแม้แต่สื่อมวลชน

ผลจากปฏิบัติการกระชับวงล้อมของฝ่ายรัฐบาล ทำให้แกนนำกลุ่ม นปช.ที่แยกราชประสงค์ นำโดยนายจตุพร พรหม-พันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ต้องตัดสินใจขึ้นเวทีประกาศยุติการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ทันที

พร้อมเดินทางเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

เพื่อต่อสู้คดีตามหมายจับในคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง และคดีก่อการร้าย

ทำให้ผู้ชุมนุมบางส่วนแสดงความแค้นเคือง ลุกฮือเข้าเผาทำลายอาคารห้างร้านต่างๆในบริเวณแยกราชประสงค์

ในขณะที่กองกำลังติดอาวุธที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มม็อบเสื้อแดง ก็ปฏิบัติการใช้อาวุธสงครามตอบโต้ฝ่ายทหารที่กระชับวงล้อมอย่างดุเดือด

เหตุการณ์ความวุ่นวาย ขยายลุกลามกลายเป็นจลาจล ปล้นสะดม วางเพลิงเผาเมือง

สร้างความเสียหายให้แก่ศูนย์กลางธุรกิจสำคัญของประเทศ

ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ อาคารสำนักงาน ร้านค้า ต่างๆ รวมทั้งธนาคารหลายแห่งถูกไฟเผาพินาศวอดวาย

ขณะเดียวกัน กลุ่มเสื้อแดงในต่างจังหวัดทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน ก็ออกมาร่วมผสมโรงก่อจลาจลป่วนเมือง

โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานโซนสีแดงเข้ม มีการบุกเผาศาลากลางจังหวัดไปแล้ว 4 แห่ง ไล่ตั้งแต่ศาลากลางจังหวัด ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี และมุกดาหาร

ความเสียหายกระจายตัวไปในภูมิภาค

การที่แกนนำกลุ่ม นปช.ประกาศยุติการชุมนุมที่แยกราชประสงค์แล้ว แต่กลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนยังไม่ยอมยุติ

แต่กลับมีการเคลื่อนไหวตอบโต้ในลักษณะรุนแรง ถึงขั้น ก่อจลาจลทำลายล้าง เผาบ้าน เผาเมือง เผาศาลากลางจังหวัด

แน่นอน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังมีอารมณ์อัดอั้นคั่งค้างแค้นเคืองไม่พอใจอย่างรุนแรง ที่รัฐบาลใช้กำลังทหารกระชับพื้นที่ บีบรัดการชุมนุม จนแกนนำเสื้อแดงต้องยอมมอบตัว

จึงระบายความคับแค้นด้วยการทุบทำลายเผาทรัพย์สินทุกอย่างที่ขวางหน้า

เป็นการกระทำในลักษณะอารมณ์พาไป

เพราะโดนปลุกเร้าจากบรรดาแกนนำม็อบมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ไม่ใช่แค่แรมเดือน แต่เป็นแรมปี จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้สงบอารมณ์ลงแบบทันทีทันใด

แต่อีกส่วนหนึ่งในกลุ่มม็อบเสื้อแดง โดยเฉพาะสายฮาร์ดคอร์ การ์ด นปช.ขาบู๊ ต้องยอมรับว่า การก่อจลาจลป่วนบ้านเผาเมือง

อยู่ในแผนปฏิบัติการล่วงหน้า ที่แกนนำบนเวทีประกาศตอกย้ำกันมาตลอด ในท่วงทำนองขู่แบบดุดัน

ถ้ารัฐบาลใช้กำลังสลาย ระวังวอดวายเป็นทะเลเพลิง

แล้วสุดท้าย เหตุการณ์ตามคำขู่ของแกนนำก็เกิดขึ้นจริง

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์วิกฤติม็อบเสื้อแดงยึดแยกราชประสงค์ ชุมนุมขับไล่รัฐบาล มีการปะทะระหว่างกำลังทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุมและกองกำลังติดอาวุธที่แฝงอยู่ในม็อบ จนเกิดเหตุการณ์จลาจลเผาบ้านเผาเมืองตามมา

ถ้าเป็นยุคก่อนๆ สถานการณ์วิกฤติอย่างนี้คงเกิดการปฏิวัติรัฐประหารกันไปแล้ว

แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ไม่มีการปฏิวัติรัฐประหาร

ไม่มีการฉีกรัฐธรรมนูญ

ตรงนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศไทย

เพราะการที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ ฉุกเฉินร้ายแรง

มอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ทำหน้าที่ ผอ.ศอฉ.

มีการประกาศพื้นที่สถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดหลายแห่ง สั่งใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือออกปฏิบัติการรักษาความสงบในห้วงวิกฤติม็อบเสื้อแดง

ตามด้วยการปฏิบัติการกระชับพื้นที่ เคลื่อนรถหุ้มเกราะสายพานบุกเข้ายึดด่านรอบเวทีชุมนุมแยกราชประสงค์

ปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมและกองกำลังติดอาวุธที่แฝงตัวอยู่ในม็อบอย่างดุเดือด

บีบรัดวงล้อมกดดันจนแกนนำกลุ่ม นปช.ประกาศยุติการชุมนุม เข้ามอบตัว กระทั่งเกิดเหตุจลาจลเผาเมือง

มีการประกาศเคอร์ฟิว ห้ามประชาชนออกจากเคหสถานในยามวิกาลถึง 4 คืน เพื่อรักษาความสงบ

สถานการณ์เหมือนอยู่ในสภาวะของการรัฐประหาร

แต่ไม่ใช่ เพราะเป็นการใช้อำนาจที่เด็ดขาดตาม พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงของรัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตย

มีกฎหมายรองรับตามรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม จากการที่ผู้สั่งการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

แม้มีกฎหมายรองรับ แต่เมื่อผลของการใช้อำนาจมีเหตุการณ์ ปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุม มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก

เมื่อถึงจุดที่ต้องกลับไปสู่สนามเลือกตั้ง ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวและอันตราย

เพราะภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เหมือนกับนักการ เมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน สั่งปราบประชาชน

ที่สำคัญปฏิเสธไม่ได้ว่า การชุมนุมของม็อบเสื้อแดงในครั้งนี้เกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางการเมือง

เป็นม็อบที่เกิดขึ้นจากการชิงอำนาจกันระหว่างการ เมือง 2 ขั้ว

มีการชุมนุมย่อย ชุมนุมใหญ่ ปลุกเร้าปลุกระดมด้วย วิธีการต่างๆ บ่มเพาะความเกลียดชังกันมาเป็นปีๆ

ยิ่งมีการปะทะเกิดการสูญเสีย ยิ่งกลายเป็นบาดแผลในใจของผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง

วันนี้ แม้วิกฤติการชุมนุมของกลุ่มม็อบเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ได้ยุติลงไปแล้ว แต่ปัญหาก็ยังไม่จบ

ยังมีวิกฤติใหญ่รออยู่ข้างหน้า

ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมประท้วง ก่อจลาจลในจังหวัดต่างๆทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน

รวมไปถึงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ก็ยังไม่รู้ว่าทุกพรรคจะไปหาเสียงได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศหรือไม่

ที่สำคัญ ถ้าเกาะติดร่องรอยการขับเคลื่อนต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่อยู่เบื้องหลังแกนนำกลุ่ม นปช. และการขับเคลื่อนของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด

จะเห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่า ทุกก้าวย่างของการต่อสู้ ทุกกระบวนท่าของความเคลื่อนไหวของทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ แกนนำกลุ่ม นปช. และพรรคเพื่อไทย

มีความพยายามที่จะดึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในห้วงวิกฤติม็อบเสื้อแดงไปสู่เวทีสากลระดับโลกตลอดเวลา

มีการยื่นหนังสือถึงองค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น หลายครั้งหลายหน

เพื่อขอให้องค์การสหประชาชาติเข้ามาเป็นตัวกลางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมกับรัฐบาล

แต่สถานการณ์ยังเดินไปไม่ถึงจุดนั้น เพราะองค์การสหประชาชาติมีหลักเกณฑ์กติกาในการที่จะเข้าไปทำหน้าที่เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย

ถ้าไม่ถึงขั้นเกิดสงครามกลางเมืองอย่างร้ายแรง หรือไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ เพราะมีเหตุรุนแรงรบราฆ่าฟันกัน

องค์การสหประชาชาติไม่สามารถแทรกแซงได้

ปมนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะถ้าเหตุการณ์ในประเทศลุกลามบานปลาย รัฐไทยล้มเหลวจนเข้าขั้นเข้าข่ายที่องค์การสหประชาชาติต้องเข้ามาดูแล

เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยเจรจา ก็เหมือนกับประเทศสูญเสียเอกราช

จากร่องรอยการต่อสู้หลายแง่มุมที่เกิดขึ้น มันสะท้อนให้เห็นว่า

แกนนำกลุ่ม นปช.ภายใต้บงการของ "นายใหญ่" ต้องการจะเดินไปสู่จุดนั้น เพื่อให้องค์การสหประชาชาติ เข้ามาเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง

และผู้ที่จะได้ประโยชน์เต็มๆจากตรงนี้ ก็หนีไม่พ้น "ทักษิณ"

เพราะมันเป็นอีกหนทางที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายยุทธศาสตร์ ได้กลับประเทศไทยโดยไม่ต้องรับโทษทางอาญา และทวงขุมทรัพย์คืน

ในขณะที่ฝ่ายถืออำนาจรัฐก็รู้ว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์ เช่นนี้ตามมา

เพียงแต่จะรับมือกับเหตุก่อการร้ายและจัดการเลือกตั้งครั้งต่อไปโดยควบคุมไม่ให้มีเหตุรุนแรงได้หรือไม่

จะสามารถนำความปรองดองในสังคมไทยกลับคืนมาได้หรือเปล่า

โดยเฉพาะแผนปรองดอง 5 ข้อที่นายกฯอภิสิทธิ์ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งทุกฝ่ายทั้งในประเทศและนานาชาติขานรับกันอยู่แล้ว

ถ้าทำได้ โอกาสที่ "รัฐไทยล้มเหลว" ก็คงไม่เกิดขึ้น.

"ทีมการเมือง"