WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Sunday, December 20, 2009

ประเมินสถานการณ์ศึก ฝ่ายอำมาตย์ สุรยุทธ์แบะท่าจะเจรจา สายน้ำแห่งสงครามที่ไม่ไหลกลับ

ที่มา thaifreenews

บทความโดย...ลูกชาวนาไทย



ไม้ตายของอำมาตย์ที่ผ่านมาในเวลาอันใกล้นี้ผมว่ามีสองสามอย่างคือ

- การปลุกกระแสคลั่งชาติ กรณีเขมร ที่เดี้ยงไปแล้ว

- การปลุกกระแสหมิ่นสถาบันกรณี Time Online ที่ปลุกไม่ขึ้นเท่าไหร่

- เมื่อหมดหนทางก็วางแผนสังหารเด็ดขาดโดยการจารกรรม และใช้ F-16

สุดท้ายคือ การสร้างกระแสซาบซึ้งในตอนต้นเดือนธันวาคม (พอดีผลออกไปป่า เลยหลบกระแสพ้น)

ตอนนี้ออกไม้ตายใหม่คือ "การประกาศว่าพร้อมที่จะเจรจา" โดยมีเงื่อนไขว่าให้ทักษิณกลับมาติดคุกก่อนสองปี อันที่จริงก็สร้างเงื่อนไขไปอย่างนั้นแหละ จุดประสงค์จริงๆ คือ "ต้องการหยั่งเชิงเพื่อเจรจา" ส่วนเงื่อนไขเป็นการบอกผ่านเพื่อขอต่อรอง



หากเราวิเคราะห์สถานการณ์โดยรวม "ของสงครามทางการเมืองในขณะนี้" เราก็จะพอประเมินได้พอสมควรทีเดียว ว่าสถานการณ์พัฒนาการไปอย่างไร และหากเรามองโดยรวมเราก็อาจจะพอมองเห็น "จุดจบของสงคราม" ได้เหมือนกัน

อารัมภท ของสงครามครั้งนี้ เราต้องมองว่า ความขัดแย้งครั้งนี้มาจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่สร้างความเข็มแข็งให้ประชนจนสามารถสร้างรัฐบาลพรรคเดียวได้ มีนายกรัฐมนตรีที่เข็มแข็งและมีอำนาจมาก และแจ็คพอร์ตที่ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีที่มีความสามารถ ชื่อทักษิณ ชินวัตร ที่มีประสบการณ์บริหาร มีความสามารถและสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง ทำงานอย่างได้ผลจนประชาชนรักและศรัทธาจำนวนมาก จนมีแนวโน้มว่าจะครองอำนาจไปอีก 20 ปี

นั่นคือ "ความวิบัติของอำมาตยาธิปไตย" และ ชนชั้นสูงไทยโดยแท้ หากพวกเขาปล่อยให้เป็นเช่นนั้น พวกเขาจะค่อยๆ โดนกำจัดออกจากวงจรอำนาจทางการเมืองไทยไป พวกเขาจึงยอมไม่ได้ การวางแผน สมรู้ร่วมคิด ที่บ้านนายปีย์ จึงเกิดขึ้น มีม็อบพันธมิตร สร้างเงื่อนไข และตามด้วยรัฐประหารปี 2549 และสร้างความวุ่นวายอย่างต่อเนื่องเมื่อรัฐบาลสมัครชนะการเลือกตั้ง

เหตุการณ์ต่างๆ ที่ดำเนินเรื่อยมา จากที่ คนไทยงงๆ ว่า รัฐประหารครั้งนี้มีใครเป็นมาสเตอร์มายด์ กันแน่ ตั้งแต่เริ่มสงสัย เฒ่าหัวขาว จนปรากฎการณ์ ตาสว่าง กรณี โบว์ระเบิดปิงปอง ตอนนี้ผมว่าคนไทยจำนวนมาก พอจะรู้แล้วว่า "ใครคือมาสเตอร์มายด์ที่แท้จริง"

การต่อต้านฝ่ายอำมาตย์ก็มีอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่คนวันเสาร์เริ่มปราศรัยไม่กี่คน จนขณะนี้เกิดเป็นขบวนการเสื้อแดง "เต็มค่อนประเทศ"

การรุกใหญ่ของอำมาตย์ที่ล้มรัฐบาลสมชายได้ พวกเขาคิดว่าชนะแล้ว แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ยังไม่สามารถ สลายการต่อต้านได้ มีแต่การต่อต้านจะขยายตัวขึ้น

หากเราวิเคราะห์สถานการณ์อันใกล้นี้

เริ่มตั้งแต่ "ภาวะสุขภาพเจ็บไข้" ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสั่นไหวทั้งหมด แม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แต่ก็เกิด "แรงกระเพื่อมในโครงสร้างอำนาจ" ที่ค่อนข้างรุนแรงและชัดเจน

เนื่องจากทุกฝ่ายสามารถคาดการณ์ จากกรณีที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า "ถึงอย่างไรวันสิ้นสุดก็ต้องมาถึงในเวลาอันไม่ไกลนี้ การย้ายข้างอย่างขนานใหญ่ จึงเริ่มขึ้น

มีทหาร ตทบ. 10 ตบเท้าเข้าพรรคเพื่อไทย และตามมาอีกหลายระลอก ปรากฏการณ์นี้ ไม่อาจอธิบายอย่างอื่นได้ นอกจาก "ความกระเพื่อมในโครงสร้างอำนาจ" ที่คาดการณ์ได้ไม่ยากว่าไม่มั่นคง




ทุกฝ่ายประเมินได้แล้วว่า "อำมาตยาธิปไตย" ไม่สามารถเผด็จศึกการเมืองครั้งนี้ได้แน่นอน แม้ว่ายังไม่แพ้ แต่การเผด็จศึกไม่ได้ นั่นหมายถึง "ความพ่ายแพ้เมื่อถึงวันเวลาที่มาถึง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก การย้ายข้าง จึงเกิดขึ้น

ทุกคนประเมินได้แล้ว จากภาพยนตร์ "เรื่อง 2012 วันสิ้นโลก" เมื่อคาดการณ์ได้ ว่าเลี่ยงไม่พ้น ทำไมไม่ย้ายข้าง สำหรับคนที่พอจะย้ายได้ ส่วนพวกที่ถลำตัวลึกแล้ว คงย้ายข้างไม่ได้ พวกเกือบๆ ถลำตัวก็จะวางเฉย รอวัน "สิ้นโลก"

การย้ายข้างของทหารเกษียณอายุ (แน่นอนทหารที่ไม่เกษียณย่อมไม่แสดงออก เก็บไว้ในใจ รอวันสิ้นโลก) ทำให้พลัง "อำนาจทางทหาร" ที่คนเสื้อแดงไม่เคยมี เกิดการ Balance of power ขึ้น การได้ พล.อ.ชวลิต มาอยู่เพื่อไทย ย่อมมีดุลยภาพทางกำลังที่มองไม่เห็นเกิดขึ้น

การปรากฎตัวของทหารพราน ผ่านการประชาสัมพันธ์ มีการถ่ายภาพ ของ พล.ต.ขัติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) ส่งผลกระเทือนต่อฝ่ายอำมาตย์อย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจริงหรือเท็จ แต่จากข้อมูลทั้งหมด ทั้ง พล.อ.ชวลิต พล.อ.พัลลภ และปรากฎการณ์ทหารพราน ทำให้ฝ่าย เสนาธิการวางแผนโดยไม่คำนึงปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้

ต่อไปการยกทหารออกมาไล่ฆ่าม็อบเสื้อแดง แบบสงกรานต์เลือด ก็ไม่อาจมั่นใจแล้วว่า จะไม่เจอ "หมัดสวน" ที่รุนแรงพอกัน

จริงหรือเท็จ ยากที่จะวิเคราะห์ได้ ประมาทก็เป็นหนทางแห่งความพินาศ

ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้อำมาตย์ไม่อาจใช้ ความได้เปรียบทางด้านทหารตามอำเภอใจได้อีกต่อไป

เมื่อวิเคราะห์สถานการณ์โดยรวมแล้ว สถานการณ์ของฝ่ายเสื้อแดง+ทักษิณ ที่ อยู่ในภาวะตั้งรับ และถอยร่นตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา เริ่มเข้าสู่ดุลยภาพของสงคราม ฝ่ายเสื้อแดง+ทักษิณ ที่อยู่ในภาวะ "ยันกัน" ในปี 2552 จะเริ่มเป็นฝ่ายรุกบ้างแล้ว ในปี 2553

การเปลี่ยนภาวะสงคราม จากถอยร่น มาอยู่ในภาวะยันกัน และภาวะ เริ่มรุก นั้นนับว่าเป็นการพัฒนาการของฝ่ายเสื้อแดงที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

สงครามโลกครั้งที่สอง กว่าพันธมิตรจะสามารถเปลี่ยนจากภาวะถอยร่น มาตั้งรับ ยันกัน และเริ่มรุกในวันดีเดย์ ยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี ก็ใช้เวลาตั้งแต่ปี 1939-1944 เกือบ 5 ปีทีเดียว และเริ่มบุกจนถึงชัยชนะเด็ดขาดใช้เวลาอีกเกือบปี

สงครามไม่มีเรื่อง โชคช่วย หรือใจร้อนได้ การเปลี่ยนจากถอยร่น เป็นบุก ไม่ใช่ว่าจะทำได้ในเวลาอันสั้น

คนเสื้อแดงใช้เวลาตั้งแต่ปี 2549 ถึง 2552 สามปีกว่า ถึงเข้าสู่ภาวะนี้ได้

ปีหน้าคือ ปีเริ่มรุกกลับ

การเปิดเผยท่าทีของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลลานนท์ เพื่อขอเจรจา จึงพอจะมองเห็นได้ชัดเจนว่า พวกเขาประเมินแล้วว่าไม่อาจเอาชนะสงครามครั้งนี้ได้


ปล. ผมวิเคราะห์ในมุมแคบ ของสภาวะการต่อสู้กันเท่านั้น ไม่ได้รวมสถานการณ์ทางประวัติศาสตร์สังคม ภาวะการเปลี่ยนแปลงทัศนะคติของคนชนบท ที่เปลี่ยนจากยุคเกษตรกรรมเข้าสู่สังคมกึ่งอุตสาหกรรม และสังคมข่าวสาร ที่เราพอจะประเมินได้ว่า ขณะนี้ประเทศไทย “ได้เปลี่ยนแปลงที่โครงสร้างกระบวนการคิด” ของประชาชนแล้ว เมืองไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

ลัทธิซาบซึ้ง (แห่งดนตรีการ 555) นั้นได้เดินทางมาถึงยามสนธยา และกำลังจะเลือนหายไปแล้ว ยุคบูชาเทพได้ใกล้ภาวะสิ้นสุดแล้ว

รุ่งอรุณแห่งการปฎิวัติโครงสร้างกระบวนการคิด และประชาธิปไตยของสังคมมาถึงแล้ว

คลื่นซาบซึ้งกำลังจากไป คลื่นประชาธิปไตย ปรากฎที่ชายขอบฟ้าแล้ว

ปล. 2 บางคนบอกว่าผมมองโลกในแง่ดีเกินไป แต่ผมคิดว่าในภาวะการต่อสู้ หากเรามองแต่ด้านลบ ว่าปัจจัยอะไรที่จะทำให้เราแพ้บ้าง เราก็จะมัวแต่หดหู่ใจ ไม่มองหาหนทางแห่งชัยชนะ แต่หากเรามองว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้เราชนะ เราก็จะมุ่งสร้างสิ่งเหล่านั้น สุดท้ายเราก็ถึงเวลาแห่งชัยชนะ

แต่ไม่เคยมีชัยชนะใด ที่ได้มาโดยง่าย ไม่ต้องลงทุนลงแรง ลำบากยากเข็ญ ชัยชนะที่ได้มาอย่างยากลำบากของประชาชน จะทำให้ประชาธิปไตย วางรากฐานอย่างมั่นคงและยืนยาว ในสังคมไทย

กว่าคนเสื้อแดงจะมาถึงจุดนี้ พวกเราเหนื่อยยาก ทุ่มเทกันอย่างหนัก ทั้งแกนนำและมวลชน

สหายร่วมศึกประชาธิปไตยทั้งหลาย คงไม่มีเวลาใดในประวัติศาสตร์ที่เราได้ต่อสู้ร่วมกันในสงครามยืดเยื้อเช่นนี้ เราร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ของประชาชนขึ้นเอง