ที่มา ไทยรัฐ
การ์ตูน เซีย 26/11/53
เพื่อไทย
Friday, November 26, 2010
น่าจะไม่รอด
ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ เหล็กใน
สมิงสามผลัด
ไม่ใช่แค่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องละเมิดสิทธิ์และไม่เป็นประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียว
สำหรับคำสั่งศอฉ.ที่ห้ามขายสินค้ารองเท้าแตะรูปหน้ามาร์ค
ในกรณีการละเมิดสิทธิ์ก็ว่ากันไปเรื่องหนึ่ง องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนก็ตำหนิติติงกันไป
แต่ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ในอีกนัยหนึ่ง ถึงปัญหาความร้าวฉานระหว่าง นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ ศอฉ.
เพราะหลังศอฉ.ออกคำสั่งนี้ไปในวันที่ 19 พ.ย.
วันรุ่งขึ้นนายกฯมาร์คกลับออกมาสั่งให้ศอฉ. ทบทวนคำสั่งนี้ทันที
อีก 2-3 วันถัดมา ศอฉ.ก็เรียกประชุม ก่อนให้โฆษกไก่อูออกมาแถลงว่าในที่ประชุมศอฉ.มีมติทบทวนคำสั่งตามบัญชานายกฯ แต่ศอฉ.ไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง
ตรงนี้หลายฝ่ายมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างศอฉ. กับนายกฯมาร์คไม่ปกติแล้ว
ท่าทีของนายกฯ ทำให้คนมองว่าศอฉ.ออกคำสั่งโดยพลการ หยุมหยิม จุกจิก
กลายเป็นเป้าโดนโจมตีจากนักสิทธิมนุษยชน
ส่วนนายกฯมาร์คก็ลอยตัว ไม่โดนด่า
จึงเป็นเหตุผลของการทบทวนตามบัญชา แต่ไม่เปลี่ยน แปลงคำสั่งนั่นเอง!?
ยิ่งตอกย้ำกระแสข่าวความไม่ลงรอยกัน
ก่อน หน้านี้ กองทัพก็ไม่พอใจกรณีการแถลงข่าวของ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรื่องการสืบสวนสอบสวนคดี 91 ศพ
นายธาริตสรุปเพียงแค่ 12 ศพเจ้าหน้าที่โดนเสื้อ แดงฆ่า
แต่ที่เหลืออีกเกือบ 80 ศพไม่ฟันธงอะไรเลย ปล่อยให้อึมครึม
ออกมาแบบนี้ก็เท่ากับให้ไปคิดเอาเองว่าฝีมือใคร?
ฝ่ายการเมืองก็ลอยตัวอีก ฝ่ายปฏิบัติการก็รับไปเต็มๆ
ผสมโรงกับกรณีนายกฯมาร์คออกมาปูดข่าวการปฏิวัติเข้าไปอีก
ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์เหินห่างขึ้น
หากย้อนกลับไปดูช่วงประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินใหม่ๆ นายกฯ กับกองทัพก็กลมเกลียวกันดี
แต่หลังจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พ้นจากตำแหน่งผอ.ศอฉ.ออกไปสมัครเลือกตั้งส.ส.
ตัวประสานระหว่างกองทัพกับฝ่ายการเมืองก็ขาดหายไป
พอชนะเลือกตั้งได้กลับมาเป็นรองนายกฯ ตามเดิม แต่ไม่ได้คุมศอฉ.ตามเดิม
ถึงนาทีนี้รัฐบาลเข้าขั้นโคม่าแล้ว
คดีสั่งสลายม็อบมีคนตาย 91 ศพถูกม็อบแดงจี้เช้าจี้เย็น
คดีความก็จ่อขึ้นศาลโลก
แถมโดนองค์กรนานาชาติจับตาว่าจะเป็นมวยล้มหรือไม่
การแก้รัฐธรรมนูญก็โดนม็อบผู้มีพระคุณเล่นงานเข้าให้
คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังร่อแร่
ไม่รู้ว่าจะยุบสภาก่อนถูกยุบพรรคดีหรือเปล่า?
ยังต้องเจอปัญหาขัดแย้งกับกองทัพเข้าไปอีก
แนวโน้มแบบนี้เรียกว่า น่าจะไปไม่รอด!?
"อภิวันท์"ชมวีรกรรม"ส.ส.ชูรองเท้า"พฤติกรรมดี ตอบโต้สิ่งเลวร้าย เจ๋งกว่าสภาไต้หวัน ขวางพท.ร้องศาลรธน.
ที่มา มติชน พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร และส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ที่อาคารรัฐสภา ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบกรณีนายปิยะรัช หมื่นแสน ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กลุ่มงูเห่า เสนอรายชื่อส.ส.กลุ่มงูเห่า 7 คนของพรรคเพื่อไทยเป็นกรรมาธิการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 93-98 ทั้งที่พรรคเพื่อไทยมีมติไม่ส่งคนเข้าร่วมเป็นกรรมาธิการฯว่า ได้เรียนให้นายกรัฐมนตรีทราบว่า การตั้งคณะกรรมาธิการโดยไม่มีสัดส่วนของพรรคใดพรรคหนึ่งไม่ถือว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะสภาให้สิทธิแก่พรรคเพื่อไทยแล้ว แต่พรรคเพื่อไทยใช้สิทธิไม่ร่วมเป็นกรรมาธิการ แต่กรณีการชิงเสนอชื่อคนของพรรคเพื่อไทย โดยพรรคไม่ยินยอมเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จนในที่สุดก็มีการยกเลิกการตั้งกรรมาธิการทั้งชุด โดยใช้มติของที่ประชุมรัฐสภา ทั้ง นี้เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยคงไม่ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบกรณีดังกล่าว แต่หากพรรคเพื่อไทยจะยื่นเรื่องให้ตรวจสอบ ก็จะไปทำความเข้าใจกับสมาชิกพรรคว่า รัฐสภาฯได้แก้ไขทุกอย่างให้ถูกต้องตามข้อบังคับการประชุมสภาเรียบร้อยแล้ว และส่วนตัวไม่ติดใจกับการนับคะแนนตอนลงมติ เพราะไม่มีผลให้เปลี่ยนแปลงการลงมติได้ เชื่อว่าคณะกรรมการนับคะแนนทุกคน ไม่มีเจตนาเบี่ยงเบนอะไร แต่บางครั้งอาจได้ยินไม่ชัดเจน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ เมื่อถามว่า ส.ส.เพื่อไทยบางส่วนแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น ใช้ถ้อยคำไม่สุภาพและการขู่ปารองเท้า พ.อ.อภิวันท์ กล่าวว่า บรรยากาศยังดี เพราะเป็นแค่การถอดรองเท้าออกมาขู่ พฤติกรรมถือว่าดี เพราะเป็นการตอบโต้พฤติกรรมที่เลวร้ายกว่าในการเอาคนอื่นมาใส่ชื่อ และก็ไม่ได้พูดออกไมค์ ได้สอบถามส.ส.เพื่อไทยที่ขู่ปารองเท้า ก็ได้รับคำตอบว่า คนอย่างนี้ต้องออกมาขู่บ้าง โดยถอดเสร็จก็ใส่ตามเดิม ถือว่า ยังดีกว่าที่ไต้หวันมาก อย่างไรก็ตามยอมรับว่า พฤติกรรมที่ส.ส.เพื่อไทยแสดงออกมาเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง แต่ต้องดูว่ามีสาเหตุจากอะไร ถ้าไม่มีเหตุ ก็ไม่มีผล เพราะโดยหลักแล้วไม่สามารถชิงเสนอชื่อคนอื่นมาแทนได้ แต่เมื่อมีการดื้อดึงทำไป ก็เลยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่ถ้าตนเป็นประธานการประชุมอยู่ คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่ ภาพรวมของสภายังถือว่าไปได้ และคงแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ "จรูญ" ถอนตัว คดียุบพรรคปชป.
ที่มา ข่าวสด
วัน ที่ 26 พ.ย. ศาลรัฐธรรมนูญได้นำเอกสารเผยแพร่ มาแจกให้กับผู้สื่อข่าวโดยเนื้อความระบุว่า เนื่องจากนายจรูญ อินทจาร และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีหนังสือขอถอนตัวออกจากการพิจารณาคดีที่นายทะเบียน พรรคการเมืองขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยเหตุผลว่าได้ฟ้องคดีในข้อหาความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญาไว้ต่อศาลอาญาแล้ว ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกรณีที่มี เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้จึงอนุญาตให้นายจรูญ ถอนตัว ส่วนนายสุพจน์ ไม่อนุญาตให้ถอนตัว
ทั้งนี้ เมื่อคณะตุลาการให้นายจรูญถอนตัวก็ทำให้เหลือตุลาการเพียง 6 คนในการพิจารณาวินิจฉัยในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย นายชัช ชลวร นายบุญส่ง กุลบุปผา นายจรัญ ภักดีธนากุล นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี นายสุพล ไข่มุกด์และนายนุรักษ์ มาประณีต
อย่าไปตกใจวิตกกังวล กับการแบ่งสี การเมืองแบบสี เพราะมันคือ พัฒนาการที่ก้าวหน้าของสังคมไทย
บทความโดย..ลูกชาวนาไทย
การเมืองแบบสี คือพัฒนการทางการเมืองที่ก้าวหน้าของไทย เป็นการต่อสู้ทางอุดมการณ์
บาง คนอาจวิตกกังวลเกี่ยวกับการแตกแยกของสังคมไทยที่แบ่งออกเป็นสองขั้ว อย่างชัดเจน เรียกว่าประชาชนแบ่งสี เป็นฝักเป็นฝ่าย เป็นที่น่าวิตกกังวลยิ่งนัก เพราะมันหมายถึงความแตกแยกของคนในชาติ
คน ไทยเคยอยู่ในสังคมที่ไม่ได้มีการแบ่งแยกกันทางอุดมการณ์ทางการเมืองมาก่อน แม้จะมีสงครามความไม่สงบภายในสมัยการปราบปรามคอมมิวนิวส์ ซึ่งเป็นการต่อสู้กันทางอุดมการณ์ แต่หากวิเคราะห์กันให้ลึกจริงๆ ก็เป็นการต่อสู้ของคนส่วนน้อยจำนวนหนึ่งที่เป็นปัญญาชนก้าวหน้าในสมัยนั้น รับเอาอุดมการณ์ทางการเมืองที่เป็นกระแสโลกในเวลานั้น เพื่อเข้ามาเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ตามความเชื่อและอุดมการณ์ในขณะนัน
แต่ ประชาชนไม่ได้เข้าร่วมทั้งประเทศ ในระดับทั้งสังคมเหมือนในเวลานี้ แม้จะมีผลกระทบต่อสังคมบ้าง แต่ก็ไม่ได้ซึมรากลึกเ้ข้าไปถึงจิตใจของประชาชนอย่างแท้จริง เหมือนการต่อสู้ใน "สงครามสองสี ปี 2549-2553...."
หาก มองให้ลึกลงไป การแบ่งแยกของสังคมไทยเป็นสองสีในปัจจุบันนี้ ไม่ได้เป็นการแบ่งแยกที่ตื้นเขิน แต่เป็นการแบ่งแยกกันทางอุดมการณ์และความเชื่อมากกว่า โดยแต่ละสี หมายถึงความเชื่อและอุมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน
เท่าที่ผมมีส่วนร่วมในการต่อสู้ทางการเมืองในขณะนี้มาตั้งแต่ต้น เราสามารถแบ่งอุมการณ์ของแต่ละสีออกได้ค่อนข้างชัดเจน
สีแดง หมายถึง ความคิดและความเชื่อในอุดมการณ์ทางการเมือง ประชาธิปไตยเสรีนิยม (Liberal Democracy) บวกกับแนวคิดแบบ สังคมนิยมประชาธิปไตย (Socialism Democracy) ซึ่ง หมายถึงความเชื่อในความเป็นประชาธิปไตย เสรีภาพ ความเท่าเทียมกัน ความยุติธรรม เป็นต้น ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม ส่งเสริมการแข่งขันกันทางการเมือง เพื่อประชาชนจะได้มีทางเลือกที่ดีกว่า และเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ
สีเหลืองหมายถึง ความคิดความเชื่อแบบ อนุรักษ์นิยม บวก ฟาสซิสม์ และชาตินิยมแบบคลั่งชาติ (Conservative + Fascism + Nationalism) พวกอนุรักษ์นิยม บูชาความสงบเรียบร้อยของสังคม (Social Order) การ เชื่อฟังคนชั้นนำ ขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม ไม่ส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนแปลงมาก ต้องการให้สังคมเปลี่ยนแปลงช้าๆ หรือหยุดอยู่กับที่ เพื่อรักษาระเบียบแบบแผนดั้งเดิมของสังคมไว้ ซึ่งระเบียบแบบแผนเดิมหมายถึงโครงสร้างที่คนชั้นนำได้เปรียบมาแต่ดั้งเดิม
เราจะเห็นว่าในช่วงแรกของความวุ่นวายของสังคมไทยที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2549 นั้น อุดมการณ์ของแต่ละสีเสื้อยังไม่ชัดเจนมากนัก อาจมองเห็นคร่าวๆ ว่าพวกเสื้อแดงคือ พวกที่นิยมทักษิณ พวกเสื้อเหลืองคือพวกที่นิยมเจ้า (Royalist) แต่ การต่อสู้และความขัดแย้งทางการเมืองที่ยาวนานมากทีสุดในประวัติศาสตร์ของ ชาติไทย มีการณรงค์ในลักษณะสงครามที่ระดมคนออกมาต่อสู้กันอย่างเต็มที่ เพียงแต่ไม่ติดอาวุธเข้าแถวยิงกันเท่านั้นเอง แต่ก็มีการปะทะกันแบบย่อยๆ หลายครั้ง รวมทั้งมีการตั้งค่าย ปักหลักประท้วงกันอย่างยาวนายหลายเดือน ของแต่ละฝ่ายทั้งเสื้อแดงและเสื้อเหลือง
การ โต้แย้งกันทางเว็บไซต์แบบสงครามไซเบอร์ที่สู้กันทางความคิดอย่างรุนแรง มีการจัดตั้งสื่อของแต่ละฝ่ายออกมาต่อสู้กันแบบเต็มรูปแบบ ทำให้ "อุดมการณ์ของแต่ละสีเสื้อชัดเจนขึ้น" อย่างที่ผมได้แบ่งแยกเอาไว้
พัฒนาการ ของสังคมที่เป็นการต่อสู้กันทางอุดมการณ์แบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย สองอุดมการณ์อย่างชัดเจนนั้น ถือเป็นความก้าวหน้าทางสังคมอย่างชัดเจน
สังคมที่เคลื่อนตัวจากสังคมเกษตรกรรม เข้าสู่สังคมแบบอุตสาหกรรมนั้น มักจะมีการต่อสู้กันทางอุดมการณ์ทางการเมืองเสมอ เพราะ โครงสร้างและระบบความเชื่อของสังคมเปลี่ยนแปลงจากเดิม เพราะคนได้อพยบออกจากสังคมหมู่บ้าน เข้าสู่สังคมเมือง หลุดพ้นจากกรอบดั้งเดิมของสังคม ทำให้รับอุดมการณ์ทางการเมืองแบบใหม่ได้อย่างง่ายดาย อีกทั้ง ระบบการสื่อสารที่ก้าวหน้า รวดเร็ว ทำให้ความคิดและอุดมการณ์แผ่ขยายดัวอัตราความเร็วที่เร็วกว่าในอดีตมากมาย นัก
ดังนั้น เรา จึงไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลกับ การแบ่งสีของสังคมไทยในเวลานี้ให้มากนัก เพียงแต่คนไทยต้องเรียนรู้ที่จะต้องต่อสู้กันอย่างสันติในระบบเลือกตั้ง และยอมรับระบบเลือกตั้งหรือเสียงส่วนใหญ่เท่านั้น แบบที่เกิดกับประเทศในตะวันตก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน ที่ผ่านจุดนี้มาเกือบสามร้อยปีแล้ว หากไม่ยอมรับระบบเลือกตั้ง สุดท้ายก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและเกิดวสงครามกลางเมืองเสมอ ไม่มีทางที่สังคมที่ระบบความเชื่อเปลี่ยนไปแล้วจะสามารถควบคุมให้สังคมหยุด นิ่งไม่ปลี่ยนแปลงเลยแบบสังคมไทยก่อนปี 2549 ได้
สงคราม สีเสื้อยังไม่จบ แต่จุดจบของสงครามแบ่งสีครั้งนี้ หากติดตามประวัติศาสตร์พัฒนาการลำดับขั้นของสังคม ก็จะสามารถคาดเดาได้ว่าจะจบลงแบบใด เพียงแต่ว่าหาก ชนชั้นนำมีขันติธรรม และคุณธรรมมากพอ สังคมก็จะผ่านจุดนี้ไปได้อย่างสันติไม่นองเลือด
แต่สังคมไทยได้นองเลือดไปแล้วในเดือนพฤษภาคม 2553 และผมยังมองไม่เห็นว่าชนชั้นนำนั้นมี อัจฉริยภาพและสายตาที่ยาวไกลพอ ยังเข่าใจอยุ่นั่นเองว่าตัวเองสู้กับทักษิณ มองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างและระบบความเชื่อของคนในสังคม จึงเห็นพวกเขาทุ่มโปรประกันดา ในระบบความเชื่อแบบดั้งเดิมอย่างเต็มที่ ซึงทำอย่างไรมันก็คงเปลี่ยนประชาชนที่ก้าวหน้าไปแล้วให้ถอยหลังกลับไปแบบ เดิมและหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้
พัฒนาการในเวลานี้จึงมองเห็นแต่หนทางนองเลือดและความรุนแรงอยู่ข้างหน้า
แต่ผมเชื่อว่าทุกสังคมมีทางออกที่เราคาดไม่ถึงอย่เสมอ Life have it own way ชีวิตมีทางออกที่เราคาดไม่ถึงเสมอ
สงครามสองสีเสื้อจึงเป็นพัฒนาการที่ก้าวหน้าของการเมืองไทย ในระดับคุณภาพอย่างชัดเจน
ศอฉ.เลิกคำสั่ง ยึดสินค้า สร้างแตกแยก
ที่มา ประชาไท
ไก่ อูแถลงผลที่ประชุมศอฉ. มีมติยกเลิกคำสั่งให้ยึด อายัดสินค้าที่ก่อให้เกิดความแตกแยก แต่อาจมีคำสั่งแบบเดียวกันอีกหากเห็นว่าจำเป็น เผยเตรียมประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หากเหตุการณ์สงบเรียบร้อย
ไทยรัฐออนไลน์รายงาน ว่า เมื่อ เวลา 10.00 น. วันที่ 26 พ.ย. ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เป็นประธานในการประชุม ศอฉ.โดยมี พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ ( ดีเอสไอ) และนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และ ผอ.ข่าวกรองแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. แถลงผลการประชุมที่ประชุมได้รับฟังคำชี้แจงถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีๆ ต่างจาก ดีเอสไอ นอกจากนี้ทางฝ่ายข่าวของ ศอฉ.ได้ชี้แจงถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร และ นปช.ที่ผ่านมาว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่มีการการกระทำใดๆ ที่หมิ่นเหม่เข้าข่ายการหมิ่น ดังนั้น ความจำเป็นในการดำเนินคดีตามคำสั่งของ ศอฉ.ที่เคยประกาศในคำสั่งที่ 141/2553 เรื่องให้พนักงานและเจ้าหน้าที่มีอำนาจในการออกคำสั่ง ยึด หรืออายัดสินค้า หรือวัตถุที่ก่อให้เกิดความแตกแยก ขณะนี้ ความจำเป็นนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ที่ประชุม ศอฉ.จึงมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ควรยกเลิกประกาศนี้ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หากพบว่ามีการเตรียมการกระทำการในลักษณะหมิ่นเหม่ต่อสถาบัน ทาง ศอฉ.มีความจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกัน ซึ่งสามารถที่จะประกาศคำสั่งลักษณะเดียวกันได้อีกหากมีความจำเป็น
ส่วน กรณีที่จะมีการชุมนุมของกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองวันที่ 11 ธ.ค. นั้นพ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า เป็นเรื่องของกองบัญชาการตำรวจนครบาล เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลความสงบ ทาง ศอฉ. คิดว่าหากมีการจัดกิจกรรมต่างๆ จะใช้หน่วยงานหลักอย่าง กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.) เป็นผู้ดูแล และ เมื่อเกินขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทางศอฉ.จะจัดกำลังทหารเข้าไปสนับสนุน หากสามารถใช้องค์กรหลักในการดูแลความสงบเรียบร้อยต่อไป พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อาจจะค่อยๆ ลด หรือยกเลิกไป เพราะเราต้องการให้เป็นงานของหน่วยงานหลัก ซึ่ง ศอฉ. เป็นหน่วยงานชั่วคราว คงจะอยู่ต่อไปนานๆ คงไม่ได้ เมื่อถามว่า การชุมนุมที่ผ่านไปด้วยดี ทำให้สถานการณ์ไว้วางใจได้หรือยัง พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า การชุมนุมที่ผ่านมาทั้งสองครั้ง ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากแกนนำ ซึ่งจะทำให้การจัดกิจกรรมในโอกาสต่อไป ทำให้เจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมสามารถดูแลกันได้
เจอมาร์คเตะถ่วงให้ประกันตัวตามข้อเสนอคณิต นักโทษเสื้อแดงหมดหวังฆ่าตัวตายหนีอยุติธรรม
ที่มา Thai E-News
เอาแต่สนุกไปวันๆ-แม้ว่านายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ลง วันที่ 15 พ.ย.2553 ถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสนอให้ประกันตัวนักโทษการเมืองเสื้อแดง แต่นายอภิทธิ์กลับโยนการตัดสินใจไปให้กับกระทรวงยุติธรรม เป็นการถ่วงเวลาออกไป กระทั่งเกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้น เมื่อผู้ต้องขังเสื้อแดงรายหนึ่งฆ่าตัวตายเมื่อวานนี้ เคราะห์ดีถูกช่วยชีวิตไว้ทัน ก่อนจะเป็นศพที่ 93 เป็นตราบาปให้กับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ภาพ:AP)
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
26 พฤศจิกายน 2553
ผู้ต้องขังเสื้อแดงมุกดาหารดื่มน้ำยาปรับผ้านุ่มหวังฆ่าตัวตาย-ก่อนหามส่งไอซียู
ประชาไท รายงาน ว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 53 เวลาประมาณ 15.20 น. เจ้าหน้าที่จากเรือนจำจังหวัดมุกดาหาร ได้นำ นายวินัย ศิลปสินชัย ผู้ต้องขังวัย 30 ปี ส่งโรงพยาบาลจังหวัดมุกดาหารในสภาพไม่ได้สติ โดยผู้ต้องขังรายนี้เป็น 1 ใน 20 ผู้ต้องหาคดีบุกรุกสถานที่ราชการและร่วมกันวางเพลิงเผาสถานที่ราชการ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 จากกรณีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) ที่ศาลากลาง จ.มุกดาหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าล่าสุด ในช่วงค่ำว่า อาการของผู้ต้องขังรายนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว แพทย์ให้ย้ายออกมาพักฟื้นที่ห้องปกติ ลูกและภรรยาสามารถเยี่ยมได้ โดยผู้ต้องขังถูกล่ามตรวนไว้กับเตียงคนไข้
ด้านภรรยาของผู้ต้องขัง รายดังกล่าว ให้ข้อมูลว่า ในเวลาประมาณ 14.00 น.ได้เข้าไปเยี่ยมสามีที่เรือนจำจังหวัดตามปกติ หลังการพูดคุยเรื่องทั่วไปได้ระยะหนึ่ง จากนั้นสามีได้กล่าวว่าตอนนี้เขาหมดหวังที่จะได้รับการประกันตัวหรือได้รับ การปล่อยตัวออกมาสู่โลกภายนอกแล้ว พร้อมทั้งยืนยันว่าจะไม่ยอมเป็นแพะ แล้วก็ได้หยิบขวดน้ำผลไม้ขึ้นมาดื่ม หลังจากนั้นเมื่อลุกขึ้นยืน ก็เซและล้มลงกับพื้นห้องเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำ ตนตกใจจึงรีบร้องเรียกให้ผู้คุมมาช่วย
ภรรยาของผู้ต้องขังรายนี้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในระยะหลังสามีมีอาการเครียดเพิ่มมากขึ้นและมักพูดถึงเรื่องการฆ่าตัวตายด้วย
ผู้ คุมเรือนจำที่นำผู้ต้องขังรายนี้ส่งแผนกฉุกเฉินที่โรงพยายาลให้ข้อมูลเพิ่ม เติมว่า ผู้ต้องขังรายนี้ได้นำน้ำยาปรับผ้านุ่มใส่ในขวดน้ำผลไม้เข้ามาดื่มภายในห้อง เยี่ยมหลังที่ได้บอกลาภรรยา
หนึ่งในผู้ต้องขังได้ให้ปากคำกับนาย อานนท์ นำภา ทนายความที่ได้ขอเข้าเยี่ยมว่า ผู้ต้องขังรายนี้ได้ซื้อน้ำยาปรับผ้านุ่มเตรียมตั้งแต่ตอนเช้าและได้ขอขวด น้ำส้มเปล่าจากเพื่อนผู้ต้องขังเตรียมเอาไว้เพื่อการดังกล่าว
ทั้ง นี้ ผู้ต้องขังรายนี้ มีบุตรสาวสองคน อายุ 7 และ 11 ปี ปัจจุบันผู้เป็นภรรยาต้องรับภาระครอบครัวแต่เพียงผู้เดียว โดยประกอบอาชีพขายกล้วยทอดอยู่ในเมืองมุกดาหาร
เจ้าหน้าที่กรม ราชทัณฑ์คนหนึ่งได้ให้ข้อมูลว่าขณะนี้เรือนจำกำลังจับตาผู้ต้องขังเสื้อแดง อีก 2 คนเป็นพิเศษ ได้แก่ นาย ค. (นามสมมมติ) และ นาย ง. (นามสมมติ) เพราะมีผู้ต้องขังในเรือนจำแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าผู้ต้องขังทั้งสองได้เตรียม เชือกซ่อนไว้แล้ว ทางเจ้าหน้าที่จึงต้องคอยจัดกำลังพร้อมทั้งจัดนักจิตวิทยาคอยสอดส่องดูและ ให้การพูดคุยปรึกษา
ในขณะเดียวกัน นายอานนท์ นำภา ทนายจากศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.) ได้เข้ายื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องขังเสื้อแดงใน กรณีที่มีปัญหาสุขภาพจำนวน 4 ราย ได้แก่ นายวิชิต อินตะ ซึ่งมีอาการปวดบริเวณแผ่นหลังโดยไม่ทราบสาเหตุ นายทองมาก คนยืน เป็นนิ่วในไต นายสมคิด บางทราย มีโรคทางตับ และนายแก่น หนองพุดสา มีอาการทางประสาท แต่ศาล จ.มุกดาหารได้วินิจฉัยยกคำร้องเนื่องจากเห็นว่าเป็นอาการเจ็บป่วยเพียงเล็ก น้อย ในเรือนจำมีแพทย์ดูแอยู่แล้วและผู้ร้องไม่มีพยานหลักฐานใดๆ มาแสดง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ภาครัฐได้ใช้กลไกกองทุนยุติธรรมประกันตัวผู้ต้องขังไปแล้ว 2 คน
นปช.พบ "หนั่น"จี้ปล่อย400แดง
มติ ชนออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวานนี้ (25 พ.ย.)กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยกว่า 10 คน นำโดย นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล เพื่อสนับสนุนแนวทางการสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ โดย พล.ต.สนั่นเดินทางมารับหนังสือด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ จดหมายเปิดผนึกระบุว่า การพบปะกลุ่มต่างๆ ของ พล.ต.สนั่นถือเป็นความตั้งใจที่ดีและเป็นความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองใน สภาพที่สังคมไทยเกิดความขัดแย้งแตกแยกอย่างรุนแรง นับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งความขัดแย้งได้ขยายตัวบานปลาย จนกระทั่งนำมาสู่การล้อมปราบ สังหารหมู่ บาดเจ็บ ล้มตาย และการจับกุมคุมขังกลุ่ม นปช.ถึง 400 คน โดยไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวไม่อาจนำมาสู่ความปรองดองและความสงบสันติสุขใน สังคมไทยได้
"ขอให้ท่านผลักดันให้รัฐบาลยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินทั้งหมด และให้ปล่อยตัวนักโทษการเมือง ด้วยการให้สิทธิกับการประกันตัวกับผู้ต้องหาทุกคน ก่อนวันที่ 5 ธันวาคม เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้รับความปรองดอง และจะได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" จดหมายเปิดผนึกระบุ
ศาลปล่อยตัวชั่วคราวอีก2ผู้ต้องหาไร้ญาติรับตัว
เมื่อ วันที่ 25 พฤศจิกายน นางนงภรณ์ รุ่งเพชรวงศ์ ผู้อำนวยการกองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า คณะทำงานการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องขังจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ได้ยื่นเรื่องต่อ ศาลแขวงปทุมวันขอประกันตัวผู้ต้องขังกลุ่มเสื้อแดง 2 คน ได้แก่ นายรัฐศาสตร์ สมพงษ์ และนายทรงชัย ปาลกวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ต้องหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง โดยใช้เงินกองทุนยุติธรรมขอประกันในวงเงินประกันรายละ 60,000 บาท แต่เนื่องจากทั้ง 2 รายไม่มีญาติติดต่อขอรับตัว รวมทั้งยังตามหาญาติไม่พบ
นาง นงภรณ์ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นกระทรวงยุติธรรมได้ประสานกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ (พม.)เพื่อจัดหาที่พักให้ในระหว่างได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว โดยเจ้าหน้าที่พม.จะนำรถมารับตัวผู้ต้องขังทั้ง 2 คนออกจากเรือนจำกลางคลองเปรมไปยังสถานสงเคราะห์ของพม.ซึ่งไม่ขอเปิดเผยว่า เป็นที่ใด
ทั้งนี้ หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกปล่อยตัวมีอาการทางจิตด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่พม.จะนำตัวไปเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟูต่อไป ส่วนผู้ต้องขังอีก 2 ราย ที่ถูกคุมขังอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่นั้นยังไม่ได้ยื่นขอประกันตัวในวันนี้ เนื่องจากยังไม่พร้อมเรื่องเอกสารและเงินประกันที่กองทุนยุติธรรมจะต้องโอน ไปยังสำนักงานยุติธรรมจังหวัดเชียงใหม่
25 พ.ย. 53 เวลาประมาณ 15.20 น. เจ้าหน้าที่จากเรือนจำจังหวัดมุกดาหาร ได้นำ นายวินัย ศิลปสินชัย ผู้ต้องขังวัย 30 ปี ส่งโรงพยาบาลจังหวัดมุกดาหารในสภาพไม่ได้สติ โดยผู้ต้องขังรายนี้เป็น 1 ใน 20 ผู้ต้องหาคดีบุกรุกสถานที่ราชการและร่วมกันวางเพลิงเผาสถานที่ราชการ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 จากกรณีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) ที่ศาลากลาง จ.มุกดาหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าล่าสุด ในช่วงค่ำว่า อาการของผู้ต้องขังรายนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว แพทย์ให้ย้ายออกมาพักฟื้นที่ห้องปกติ ลูกและภรรยาสามารถเยี่ยมได้ โดยผู้ต้องขังถูกล่ามตรวนไว้กับเตียงคนไข้
ด้านภรรยาของผู้ต้องขัง รายดังกล่าว ให้ข้อมูลว่า ในเวลาประมาณ 14.00 น.ได้เข้าไปเยี่ยมสามีที่เรือนจำจังหวัดตามปกติ หลังการพูดคุยเรื่องทั่วไปได้ระยะหนึ่ง จากนั้นสามีได้กล่าวว่าตอนนี้เขาหมดหวังที่จะได้รับการประกันตัวหรือได้รับ การปล่อยตัวออกมาสู่โลกภายนอกแล้ว พร้อมทั้งยืนยันว่าจะไม่ยอมเป็นแพะ แล้วก็ได้หยิบขวดน้ำผลไม้ขึ้นมาดื่ม หลังจากนั้นเมื่อลุกขึ้นยืน ก็เซและล้มลงกับพื้นห้องเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำ ตนตกใจจึงรีบร้องเรียกให้ผู้คุมมาช่วย
ภรรยาของผู้ต้องขังรายนี้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในระยะหลังสามีมีอาการเครียดเพิ่มมากขึ้นและมักพูดถึงเรื่องการฆ่าตัวตายด้วย
ผู้ คุมเรือนจำที่นำผู้ต้องขังรายนี้ส่งแผนกฉุกเฉินที่โรงพยายาลให้ข้อมูลเพิ่ม เติมว่า ผู้ต้องขังรายนี้ได้นำน้ำยาปรับผ้านุ่มใส่ในขวดน้ำผลไม้เข้ามาดื่มภายในห้อง เยี่ยมหลังที่ได้บอกลาภรรยา
หนึ่งในผู้ต้องขังได้ให้ปากคำกับนาย อานนท์ นำภา ทนายความที่ได้ขอเข้าเยี่ยมว่า ผู้ต้องขังรายนี้ได้ซื้อน้ำยาปรับผ้านุ่มเตรียมตั้งแต่ตอนเช้าและได้ขอขวด น้ำส้มเปล่าจากเพื่อนผู้ต้องขังเตรียมเอาไว้เพื่อการดังกล่าว
ทั้ง นี้ ผู้ต้องขังรายนี้ มีบุตรสาวสองคน อายุ 7 และ 11 ปี ปัจจุบันผู้เป็นภรรยาต้องรับภาระครอบครัวแต่เพียงผู้เดียว โดยประกอบอาชีพขายกล้วยทอดอยู่ในเมืองมุกดาหาร
เจ้าหน้าที่กรม ราชทัณฑ์คนหนึ่งได้ให้ข้อมูลว่าขณะนี้เรือนจำกำลังจับตาผู้ต้องขังเสื้อแดง อีก 2 คนเป็นพิเศษ ได้แก่ นาย ค. (นามสมมมติ) และ นาย ง. (นามสมมติ) เพราะมีผู้ต้องขังในเรือนจำแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าผู้ต้องขังทั้งสองได้เตรียม เชือกซ่อนไว้แล้ว ทางเจ้าหน้าที่จึงต้องคอยจัดกำลังพร้อมทั้งจัดนักจิตวิทยาคอยสอดส่องดูและ ให้การพูดคุยปรึกษา
ในขณะเดียวกัน นายอานนท์ นำภา ทนายจากศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.) ได้เข้ายื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องขังเสื้อแดงใน กรณีที่มีปัญหาสุขภาพจำนวน 4 ราย ได้แก่ นายวิชิต อินตะ ซึ่งมีอาการปวดบริเวณแผ่นหลังโดยไม่ทราบสาเหตุ นายทองมาก คนยืน เป็นนิ่วในไต นายสมคิด บางทราย มีโรคทางตับ และนายแก่น หนองพุดสา มีอาการทางประสาท แต่ศาล จ.มุกดาหารได้วินิจฉัยยกคำร้องเนื่องจากเห็นว่าเป็นอาการเจ็บป่วยเพียงเล็ก น้อย ในเรือนจำมีแพทย์ดูแอยู่แล้วและผู้ร้องไม่มีพยานหลักฐานใดๆ มาแสดง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ภาครัฐได้ใช้กลไกกองทุนยุติธรรมประกันตัวผู้ต้องขังไปแล้ว 2 คน