ที่มา Thai E-News
ปลดแอกรัฐทหาร-ผู้ชุมนุมเสื้อแดงกอดทหารเพื่อขอบคุณในการส่งทหารออกจากหน่วยต่างๆรอบบริเวณชุมนุมกลับสู่ที่ตั้ง ในกิจกรรมการชุมนุมเพื่อกดดันให้ทหาร 8 จุดกลับสู่ที่ตั้ง โดยเหตุการณ์เป็นไปโดยสันติ ขณะที่ศอ.รส.ยืนยันไม่ได้เสียหน้า แต่ที่ยอมถอนกำลังเพื่อลดการเผชิญหน้าลง(ภาพข่าว:รอยเตอร์)
โดย Pegasus
27 มีนาคม 2553
บทความเกี่ยวเนื่อง:ขอเตือนทหารอย่าเสี่ยงดีกว่า:ปราบประชาชนโทษถึงประหาร
กดดันด้วยดอกไม้-กลุ่มผู้ชุมนุมยื่นดอกกุหลาบให้ทหารที่มาตั้งค่ายรอบพื้นที่ชุมนุม ทั้งนี้นปช.ได้ดาวกระจายไปยังจุดที่ตั้งทหาร 8 จุดคือวัดบวรนิเวศ วัดตรีทศเทพ วัดมกุฎฯ วัดแคนางเลิ้ง วัดโสมนัสฯ สนามม้านางเลิ้ง ม.เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร และสวนสัตว์เขาดินเพื่อกดดันให้ทหารถอนกำลังกลับที่ตั้ง โดยทหารได้ยินยอมถอนกำลัง ขณะที่ศอ.รส.ยืนกรานในตอนแรกไม่ถอนกำลัง แต่เวลา13.00น.ได้ประกาศยอมถอนกำลังแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ขณะที่ผู้ชุมนุมได้มอบดอกไม้และส่งเสียงปรบมือส่งทหารอย่างสงบ ไม่มีเหตุรุนแรง(ภาพข่าว:รอยเตอร์)ทหารที่ประทับปืนยิงวิถีราบใส่พลเรือนนั้น มีความผิดอาญาฐานพยายามฆ่าแล้วไม่สามารถหลีกเลี่ยงความผิดนี้ได้ หากมวลชนมีการถ่ายรูปและบันทึกภาพที่ดีแล้วจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าทหารไม่ได้มีการกระทำตามขั้นตอน ถ้ามาถึงกวาดล้างทันทีตามที่นายเขาสั่งก็เป็นความผิดสำเร็จทันที (ภาพ:เหตุการณ์สงกรานต์เลือด2552)
กฎการใช้กำลังของทหารต่อพลเรือนในโลกสมัยใหม่เกิดขึ้นทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่เกิดสงครามกลางเมืองหรือการควบคุมความไม่สงบภายหลังสงคราม
ปกติจะเป็นมติของสหประชาชาติซึ่งทหารไทยก็ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าการบังคับให้เกิดสันติภาพ (peace keeping operations) ซึ่งโดยนัยแล้วหมายถึงการใช้กำลังทางทหารในการปฏิบัติการ เช่นในกรณีของอิรัก และโซมาเลีย เป็นต้น
กฎการใช้กำลัง กฎการปฏิบัติการ หรือกฎการปะทะ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Rule of Engagement (ROE) ซึ่งเป็นหลักสากล ทหารไทยแม้จะอ้างว่ามีกฎหมายอะไรก็ตาม ก็ยังต้องทำตามกฎสากลเช่นว่านี้ มิฉะนั้นแล้วในข้อบังคับของทหารเองก็นับว่าเป็นความผิด ดังนั้น มวลชนก็ควรรู้และใช้ประโยชน์ต่อกฎการใช้กำลังนี้ให้เป็น
กฎการใช้กำลังนั้น มีข้อยกเว้นแต่เพียงว่าหากมีอันตรายต่อทหารหรือหน่วยทหาร ก็สามารถป้องกันตัวได้โดยชอบ ซึ่งทหารมักนำมาอ้างบ่อยๆ แต่เพราะทหารมักไม่ค่อยเข้าใจเรื่องกฎหมาย อ่านหนังสือน้อย ฟังแต่ผู้บังคับบัญชาที่ไม่มีความรู้
ความผิดพลาดต่างๆในเรื่องของกฎเกณฑ์นี้จึงอาจเกิดขึ้นได้ และอาจนำไปสู่การตัดสินประหารชีวิตผู้บังคับหน่วยทหาร และผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นนั้นในที่สุด ดังนั้น มวลชนจึงควรรู้และใช้ประโยชน์กฎการใช้กำลังนี้ให้เป็นเช่นกัน
กฎการใช้กำลังส่วนแรกขอยกมาจากบทความของ ร้อยโท อริย วิมุติสุนทร นายทหารพระธรรมนูญ กรม 1 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นหน่วยในกรุงเทพฯ ที่จะใช้ปฏิบัติการกับฝ่ายเสื้อแดงในครั้งนี้ด้วย โดยจะขอหยิบยกมาเฉพาะที่น่าสนใจดังนี้“...แนวทางปฏิบัติทั่วไป ในการใช้กำลัง
๑. หากเป็นไปได้ ให้ปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากการใช้กำลัง
๒. หากจำเป็นให้ใช้กำลัง ให้น้อยที่สุด
๓. พิจารณาระดับกำลัง
๓.๑ การโน้มน้าวด้วยวาจา
๓.๒ เทคนิคการป้องกันตัวแบบไม่ใช้อาวุธ
๓.๓ สิ่งระคายเคืองที่เป็นละอองสารเคมี เช่น แก๊ซน้ำตา ฯลฯ
๓.๔ การใช้กระบองของสารวัตรทหาร
๓.๕ การใช้สุนัขทหาร
๓.๖ การแสดงให้เห็นอาวุธสังหาร
๓.๗ การใช้กำลังที่ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต
๔. ห้ามมิให้ใช้การยิงเตือน (warning shots) สาเหตุ เนื่องจากในสถานการณ์ที่มีความสับสนนั้น เสียงที่ดัง มาจากการยิงเตือนนั้น อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดไปได้หลายทาง เช่น เข้าใจว่าเกิดการปะทะขึ้นแล้ว หรือผู้ถูกยิงเตือนเข้าใจว่ากำลังถูกทำการยิง ฯลฯ ซึ่งมักจะส่งผลให้บุคคลอื่นๆ รวมทั้งผู้ที่ถูกยิงเตือนนั้น รู้สึกถึง “ภัย” ที่อาจจะเกิดขึ้น และด้วยสัญชาตญาณจะพยายามที่จะหลบหลีกออกจากบริเวณดัง กล่าว ( getaway from the area) ให้รวดเร็วที่สุด ซึ่งจะยิ่งทำให้การควบคุมเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้จากผล การศึกษา การใช้การยิงเตือน ยังมักจะก่อให้เกิดอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการยิงปืนขึ้นฟ้า ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์ กระสุนก็จะต้องไปตกยังที่แห่งใดแห่งหนึ่งซึ่งอาจถูกคนหรือทรัพย์สินเสียหาย หากเป็นการยิงขึ้นฟ้าไปตรงๆ ก็จะพบว่ากระสุนจะตกกลับมาถูกคนหรือทรัพย์สินในบริเวณที่ทำการยิงขึ้นไปนั่นเอง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น การยิงปืนเฉลิมฉลองในงานเทศกาลต่างๆ เมื่อมีคนตายหรือบาดเจ็บ มักจะพบว่าเกิดจากกระสุนที่ตกลงมานั่นเอง หรือกรณีการยิงปืนลงพื้นนั้น ยิ่งพบว่ามีอันตรายมาขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเราไม่ทราบเลยว่ากระสุนจะแฉลบไปทางใด และจะถูกใครได้รับบาดเจ็บบ้าง
๕. หากเวลาและสถานการณ์อำนวย บุคคลที่แสดงอาการเป็นภัย ควรได้รับการเตือนและได้รับโอกาสที่จะหยุดการกระทำที่เป็นภัยนั้น
๖. ใช้การเปิดเผยให้เห็นว่าพาอาวุธเท่านั้น การชักอาวุธปืนออกมาจากซองปืน จริงๆนั้น ใช้เฉพาะกรณีมีเหตุผลอันสมควรที่จะเชื่อได้ว่าอาจจำเป็นที่จะต้องใช้อาวุธ เท่านั้น...”
ในส่วนแรกนี้ จะเห็นได้ว่าทหารไม่ได้รับอนุญาตให้ถือปืนในลักษณะพร้อมยิงตั้งแต่แรก (คงต้องสะพายปืนเฉย) และห้ามการยิงเตือน การยิงลงพื้นหรือกรณีใดๆที่จะทำให้พลเรือนบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
จริงอยู่ไม่ได้ห้ามการใช้อาวุธสังหาร แต่จะทำได้ต่อเมื่อมีอันตรายถึงชีวิตของทหารเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า หากการชุมนุมสามารถป้องกันการสร้างสถานการณ์ได้ดีพอ เหตุและเงื่อนไขที่ทหารจะใช้อาวุธนั้นจะไม่มี ยิ่งไปกว่านั้นแม้มีเหตุจากที่อื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าพลเรือนที่อยู่ตรงหน้าทหารจะเป็นภัยถึงชีวิตเช่นนั้นเหมือนกัน
ดังนั้นจึงแน่นอนว่าในกรณีสงกรานต์เลือดทหารที่ประทับปืนยิงวิถีราบใส่พลเรือนนั้น มีความผิดอาญาฐานพยายามฆ่าแล้วไม่สามารถหลีกเลี่ยงความผิดนี้ได้ หากมวลชนมีการถ่ายรูปและบันทึกภาพที่ดีแล้วจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าทหารไม่ได้มีการกระทำตามขั้นตอนที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นคือ การใช้วาจา การใช้สุนัข การแสดงอาวุธแต่ไม่ประทับปืน ฯลฯ มาก่อนหรือไม่
ถ้ามาถึงกวาดล้างทันทีตามที่นายเขาสั่งก็เป็นความผิดสำเร็จทันที ดังนั้นแกนนำต้องจัดตั้งมวลชนที่ชำนาญการใช้กล้องดังกล่าวไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อถ่ายทำเหตุการณ์ต่างๆอย่างคนที่รู้สถานการณ์ไม่ใช่ขอร้องโดยทั่วไปเหมือนที่ผ่านมาและต้องเป็นช่างภาพที่รู้มุมของการถ่ายและบันทึกภาพสำคัญๆตามเงื่อนไขที่ได้กล่าวถึงมาแล้วนี้ด้วย
ในกรณีที่จะใช้อาวุธสังหาร จะทำได้อย่างไร ร้อยโท อริย ฯ กล่าวต่อไปว่า“...แนวทางทั่วไปในการ ใช้กำลังที่อันตรายถึงชีวิต
๑. ยิงเพื่อให้ผู้ที่ถูก ยิงหมดความสามารถ
๒. ยิงโดยคำนึงถึงผู้ที่ไม่เป็นภัยที่อยู่ข้างเคียง
๓. ใช้กำลังทหารเฉพาะเมื่อจำเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น กล่าวคือ
๓.๑ เมื่อใช้วิธีที่อันตรายน้อยกว่าแล้วไม่เป็นผล
๓.๒ ไม่เพิ่มความเสี่ยงแก่ผู้ที่ไม่เป็นภัย
๓.๓ มีความจำเป็นสมเหตุสมผลเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์
การใช้กำลังสังหารจะ กระทำเฉพาะเพื่อ
๑. ป้องกันตัวจากอันตรายอันจะเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บอย่างรุนแรง
๒. ป้องกันอาชญากรรมที่อันตรายถึงชีวิตหรือบาดเจ็บขั้นร้ายแรง
๓. ป้องกันการขโมยหรือ การก่อวินาศกรรมต่อทรัพย์สินอันมีค่าต่อความมั่นคงของชาติ
๔. ป้องกันการขโมยหรือ การก่อวินาศกรรมต่อทรัพยากรที่อาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงได้
๕. ป้องกันความเสียหาย ของสาธารณูปโภคที่สำคัญ
๖. จับกุมบุคคลที่ก่ออาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามเฉพาะหน้า
๗. ป้องกันการหลบหนีของ นักโทษที่ก่ออาชญากรรมเกี่ยวข้องกับภัยคุกคาม
เฉพาะหน้า ...”
ตามข้อกำหนดทางทหารในส่วนที่สองดังกล่าวนี้ มวลชนมีหน้าที่จะต้องไม่แสดงให้ทหารเห็นว่าจะสามารถทำร้ายทหารถึงกับชีวิตหรือบาดเจ็บอย่างรุนแรง ดังนั้น มวลชนที่เผชิญหน้ากับทหารต้องได้รับการถ่ายรูป ถ่ายภาพว่ามีมือเปล่า ปราศจากอาวุธและสิ่งเทียมอาวุธ จะต้องไม่มีกลุ่มฮาร์ดคอร์ที่ไม่รู้เหนือ รู้ใต้ หรืออาจเป็นเหลืองปลอมมาเหมือนครั้งสงกรานต์จะมาทำระเบิดขวด เอาไม้หน้าสามมาส่งให้ เอาสิ่งเทียมอาวุธอื่นๆ มาส่งให้เพื่อให้มวลชนมีความผิดเข้าองค์ประกอบที่ทหารจะใช้เป็นข้ออ้างในการสังหารได้ ซึ่งก็จะทำให้ประชาชนที่ไม่รู้เท่าทันต้องสูญเสียอีก
นอกจากนั้นจะต้องไม่ให้มีการสร้างเงื่อนไขการก่อวินาศกรรม การทำลายไฟจราจร(ซึ่งพวกสร้างสถานการณ์มักจะเป็นผู้ทำ) มวลชนต้องไม่ยินดีกับการกระทำนั้นเพราะหมายถึงชีวิตของพี่น้องประชาชนเอง ต้องจับกลุ่มสร้างสถานการณ์หรือกลุ่มฮาร์ดคอร์ถ้าเป็นฝ่ายเรามาลงโทษเสียก่อนจะเกิดความเสียหายร้ายแรง
การป้องกันไม่ให้มีข้ออ้างในการใช้อาวุธและผลักดันให้ทหารต้องใช้อาวุธเนื่องจากคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจะเป็นชัยชนะของประชาชนต่อฝ่ายอำมาตย์ที่พยายามสังหารประชาชนอยู่แล้ว
นอกจากนั้น ชัยชนะของฝ่ายประชาชนยังอยู่ที่การเข้าไปแวดล้อมเหล่าทหารไม่ให้รวมกันติด ตัดแยกเป็นส่วนๆ ด้วยมวลชนมือเปล่า พูดคุยในระยะประชิดตัว (การอยู่ห่างเกินกว่า 30 เมตรอาจถูกสังหารได้ง่ายกว่าอยู่ใกล้ด้วยคนจำนวนมาก ภาพการยืนประจันหน้าร้องท้าทาย ยกไม้ ยกระเบิดขวดขว้างต้องไม่มีเกิดขึ้นในการชุมนุมที่ต้องการจะได้ชัยชนะ)
หากทหารจะเข้ามาปิดล้อมเพื่อกันผู้สื่อข่าวต่างประเทศ มวลชนต้องสกัดกั้นไม่ให้เกิดการล้อมปราบได้ ด้วยการปิดล้อมด้านหลังและด้านข้างของทหาร เมื่อมวลชนไปโอบล้อมทหารเหมือนกับน้ำที่ไหลไปทั่ว กลุ่มผู้สร้างสถานการณ์รอบนอก ก็จะถูกจับได้ง่ายเพราะมวลชนมีขอบเขตสายตาที่กว้างขวาง เพราะจัดการให้มีการหมุนเวียนมวลชนเข้าและออกพื้นที่อยู่ตลอดเวลา จนทหารไม่สามารถปิดล้อมได้
เมื่อใดจะทำการปิดล้อมเส้นทาง มวลชนก็เข้ามาเปิดเส้นทางตลอดเวลาด้วยมือเปล่าจำนวนมาก การปิดกั้น ปิดล้อมก็ไม่สามารถทำได้ ประการสำคัญคือ มวลชนต้องรู้จักกัน ไปกันเป็นคณะ แกนนำต้องมีแผนที่อยู่ ที่ตั้ง และจำนวนของมวลชนจัดตั้งที่แน่นอน ส่วนประชาชนที่มาร่วมอย่างอิสระนั้นให้อยู่ในบริเวณกึ่งกลางไม่ให้มีผู้แทรกเข้ามาสร้างสถานการณ์ได้ ก็จะเป็นการปิดเงื่อนไขการใช้อาวุธของทหารจนหมดสิ้น
เมื่อทหารไม่สามารถใช้อาวุธได้ อำนาจของฝ่ายอำมาตย์ก็จบสิ้นลง และไม่แน่หากมวลชนไปปิดล้อมทหารให้แยกเป็นส่วนๆ ไม่สามารถรวมกันติดแล้ว และมีการพูดคุยให้ความรู้ทางการเมืองได้มากพอ ทหารเหล่านั้นอาจกลับมาเป็นฝ่ายประชาชนก็เป็นได้ ใครจะไปรู้
สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ แกนนำต้องมีการบริหารจัดการที่ดีและเป็นระบบ กับมองภาพสุดท้ายให้ออกว่า พาคนเรือนล้านมาชุมนุมเพื่ออะไร ชัยชนะอยู่ตรงไหน การต่อสู้ทางชนชั้นที่แกนนำพร่ำพูดอยู่ตลอดเวลานั้นจะบรรลุผลได้อย่างไร เพราะถ้าเริ่มพูดถึงชนชั้นหรือประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ก็หมายถึงการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ ลำพังการยุบสภาคงไม่ใช่ชัยชนะขั้นสุดท้ายแน่ แล้วคำตอบคืออะไรอยู่ที่ไหน แต่ถ้าหากปล่อยโอกาสให้หมดไปกับการขึ้นเวทีปราศรัยเสียแล้ว ก็จะไม่มีโอกาสแก้ตัวครั้งต่อไปอีกแล้ว
ตามความเห็นของผู้เขียน รัฐบาลพลัดถิ่น ที่ใครๆต่างดาหน้าออกมาบอกว่าทำไม่ได้นั้นเป็นคำตอบสุดท้าย
หมายเหตุ : เพื่อให้เห็นภาพของ กฎการใช้กำลังที่เป็นสากล จึงจะขอนำแนวทางของกองทัพสหรัฐในโซมาเลียมาพ่วงไว้ให้ผู้ที่ชอบอ่านภาษาอังกฤษ ได้พิจารณาโดยจะไม่แปลความเพราะมีความคล้ายคลึงกันเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้วROE Card
Rules of Engagement
Joint Task Force for Somalia Relief Operations
Ground Forces
Nothing in these rules of engagement limits your right to take appropriate action to defend yourself and your unit.
1. You have the right to use force to defend yourself against attacks or threats of attack.
2. Hostile fire may be returned effectively and promptly to stop a hostile act.
3. When US forces are attacked by unarmed hostile elements, mobs, and/or rioters, US forces should use the minimum force necessary under the circumstances and proportional to the threat.
4. You may not seize the property of others to accomplish your mission.
5. Detention of civilians is authorized for security reasons or in self-defense.
Remember
· The United States is not at war.
· Treat all persons with dignity and respect.
· Use minimum force to carry out the mission.
· Always be prepared to act in self-defense.
Rules of Engagement for
Operation Provide Comfort
(As Authorized by JCS [EUCOM Dir 55-47])
1. All military operations will be conducted in accordance with the laws of war.
2. The use of armed force will be utilized as a measure of last resort only.
3. Nothing in these rules negates or otherwise overrides a commander's obligation to take all necessary and appropriate actions for his unit's self-defense.
4. US forces will not fire unless fired upon unless there is clear evidence of hostile intent.
Hostile Intent - The threat of imminent use of force by an Iraqi force or other foreign force, terrorist group, or individuals against the United States, US forces, US citizens, or Kurdish or other refugees located above the 38th parallel or otherwise located within a US or allied safe haven refugee area. When the on-scene commander determines, based on convincing evidence, that hostile intent is present, the right exists to use proportional force to deter or neutralize the threat.
Hostile Act - Includes armed force directly to preclude or impede the missions and/or duties of US or allied forces.
5. Response to hostile fire directly threatening US or allied care shall be rapid and directed at the source of hostile fire using only the force necessary to eliminate the threat. Other foreign forces as (such as reconnaissance aircraft) that have shown an active integration with the attacking force may be engaged. Use the minimum amount of force necessary to control the situation.
6. You may fire into Iraqi territory in response to hostile fire.
7. You may fire into another nation's territory in response to hostile fire only if the cognizant government is unable or unwilling to stop that force's hostile acts effectively or promptly.
8. Surface-to-air missiles will engage hostile aircraft flying north of the 36th parallel.
9. Surface-to-air missiles will engage hostile aircraft south of the 36th parallel only when they demonstrate hostile intent or commit hostile acts. Except in cases of self-defense, authorization for such engagements rests with the designated air defense commander. Warning bursts may be fired ahead of foreign aircraft to deter hostile acts.
10. In the event US forces are attacked or threatened by unarmed hostile elements, mobs, or rioters, the responsibility for the protection of US forces rests with the US commanding officer. The on-scene commander will employ the following measures to overcome the threat:
a. Warning to demonstrators.
b. Show of force, including the use of riot control formations.
c. Warning shots fired over the heads of hostile elements.
d. Other reasonable use of force necessary under the circumstances and proportional to the threat.
11. Use the following guidelines when applying these rules:
a. Use of force only to protect lives.
b. Use of minimum force necessary.
c. Pursuit will not be taken to retaliate; however, immediate pursuit may begin and continue for as long as there is an immediate threat to US forces. In the absence of JCS approval, US forces should not pursue any hostile force into another nation's territory.
d. If necessary and proportional, use all available weapons to deter, neutralize, or destroy the threat as required.
ที่มา: ผนวก FM 100-23 APPENDIX - D
เพื่อไทย
Saturday, March 27, 2010
แกนนำและมวลชนควรรู้กฎการใช้กำลังของทหาร เพื่อพลิกสถานการณ์เอาชนะอำมาตย์
แ้ป้กอีกแล้ว!ประธานชมรมนักธุรกิจต้านเสื้อแดง ที่แท้คนปชป.กำกับบท เคยสุมหัวพธม.ไล่แม้ว
ที่มา Thai E-Newsคนปชป.กำกับบท-(ภาพบน)นายสมเกียรติ อโนทัยสินทวี ในชุดสข.บางคอแหลม สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (ล่าง)นายสมเกียรติ อโนทัยสินทวี (เสื้อขาวด้านขวา)กำลังกำกับบทนายสมเกียรติ หอมละออ
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
27 มีนาคม 2553
ข่าวเกี่ยวเนื่อง:อดีตผู้นำนศ.6ตุลาคลั่งยุปราบเศษมนุษย์เสื้อแดง สวมหัวโขนนักธุรกิจร่อนแถลงการณ์ต้านยุบสภาใส่สูทโก้ที่สีลม30นาที-นายสมเกียรติ หอมละออ อ่านแถลงการณ์หน้าสีลมคอมเพล็กซ์ เนื้อหาคือค้านคนเสื้อแดง อ้างนักธุรกิจไม่อยากให้ยุบสภา
หลังจากยิงมุกแป้กกับการเปิดตัวชุมชนคนกรุงเทพฯ1,800ชุมชนต่อต้านการชุมนุมของเสื้อแดงเพราะถูกจับได้ว่านายภุชงค์ กนิษฐชาต ประธานกลุ่ม เคยเคลื่อนไหวกับพันธมิตรปิดทำเนียบปิดสนามบินมาก่อน มาเมื่อวานนี้่มีการเปิดมุกใหม่อ้างตัวเป็นชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย แต่แล้วก็ซ้ำรอยเดิม เมื่อพบว่าประธานชมรมฯเป็นส.ก.สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และเคยมีบทบาททางการเมืองขับไล่อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตรมาแล้ว
ทั้งนี้ประธานชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตยคือนายสมเกียรติ หอมละออ นอกจากมีนามสกุลเดียวกับนายสมชาย หอมละออ นักสิทธิมนุษยชนที่เคลื่อนไหวให้ท้ายพันธมิตรเป็นปี่เป็นขลุ่ยแล้ว ก็ยังเป็นประธานสภาเขตบางคอแหลม สมาชิกสภาเขต สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และัเคยเคลื่อนไหวขับไล่อดีตนายกฯทักษิณมาก่อนหน้านี้มุกแป้ก-ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเคยมีบทบาทจับมือกับพันธมิตรเคลื่อนไหวไล่ทักษิณมาก่อนนี้
สข.เขตบางคอแหลมสังกัดปชป.มากำกับบท
คมชัดลึก และกรุงเทพธุรกิจเครือเนชั่นรายงานด้วยว่า ชมรมฯดังกล่าวยังมีนายสมเกียรติ อโนทัยสินทวี อายุ 53 ปี เป็นตัวตั้งตัวตีัเข้าร่วมด้วย โดยรายงานว่าเป็นคนอ่านแถลงการณ์พร้อมกับอีกสมเกียรติ
ซึ่งเมื่อตรวจสอบพบว่านายสมเกียรติ อโนทัยสินทวี เป็นสมาชิกสภาเขตบางคอแหลม สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (ดูรายละเอียด)
ทั้งนี้เมื่อเวลาประมาณ 12.00น. นายสมเกียรติ หอมละออ ประธานชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย นำคณะนักธุรกิจและเจ้าของกิจการกว่า 30 คน เดินขบวนพร้อมแถลงจุดยืนชมรม หน้าบริเวณตึกสีลมคอมเพล็กส์ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม โดยจุดยืนของชมรมดังกล่าวคือ สนับสนุนการชุมนุม และแสดงความคิดเห็นแนวทางของประชาธิปไตย เฉพาะในกรอบของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมถึงต่อต้านและประณามการใช้ความรุนแรง หรือสัญลักษณ์ใดๆ ที่สะท้อนถึงความรุนแรง อีกทั้งยังไม่สนับสนุนและขอประณามการใช้ความเหลื่อมล้ำของฐานะของประชาชน มาสร้างเงื่อนไขถึงสงครามชนชั้น
โดยแถลงการณ์หลักๆ สรุปได้ว่า 1.ไม่ต้องการให้มีการยุบสภา เพราะเลือกตั้งมาอย่างถูกต้อง และจัดตั้งรัฐบาลอย่างถูกต้อง 2.สนับสนุนการชุมนุมแสดงความคิดเห็นตามแนวทางประชาธิปไตย เฉพาะในกรอบของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ โดยไม่ควรละเมิดสิทธิของพี่น้องชาวไทยร่วมชาติ เช่น การกีดขวางการจราจร 3.ชมรมประกาศจุดยืนต่อต้านและประณามการใช้ความรุนแรง หรือสัญลักษณ์ใดๆ ที่สะท้อนถึงความรุนแรง 4.ไม่สนับสนุนและขอประณามการใช้ความเหลื่อมล้ำของฐานะของประชาชนสร้างเงื่อนไข "สงครามชนชั้น" เพราะเป็นการสร้างความแตกแยกในสังคม
สำหรับแถลงการณ์ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย คือกลุ่มนักธุรกิจเอกชนที่มีอุดมการณ์รักชาติ และรักระบอบประชาธิปไตย มีความเชื่อว่า นักธุรกิจและประชาชนส่วนใหญ่ในสังคมต้องการความสงบ และต้องการประชาธิปไตยแท้ในแผ่นดิน ดังที่ได้รณรงค์กิจกรรม “สีลม สีเขียว” ในการสนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ชมรมฯขอประกาศจุดยืน ดังต่อไปนี้
1. เรารักประชาธิปไตย เราไม่ต้องการให้ “ยุบสภา” สภาผู้แทนฯชุดนี้ได้รับการเลือกตั้งมาอย่างถูกต้อง และจัดตั้งรัฐบาลอย่างถูกต้อง ตามรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน และสภาผู้แทนฯชุดเดียวกันตั้งแต่รัฐบาล ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช ฯพณฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนถึง ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะยุบสภาในขณะนี้ รัฐสภานี้มีอายุจำกัดตามหลักประชาธิปไตย อย่างช้า ปลายปี 2554 ก็จะมีการเลือกตั้งใหม่ คืนอำนาจให้ประชาชนตามวาระอยู่แล้ว
2. ชมรมฯ ขอสนับสนุนการชุมนุมแสดงความคิดเห็นตามแนวทางประชาธิปไตย เฉพาะในกรอบของกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ไม่ควรละเมิดสิทธิ์ของพี่น้องชาวไทยร่วมชาติ เช่น การกีดขวางการจราจร เป็นต้น การเอื้อให้คนไทยสามารถทำมาหากินกันได้ตามปรกติ ไม่เป็นปัญหาต่อการท่องเที่ยว และการลงทุน จะทำให้ประชาชนไทยมีรายได้ดี การจับจ่ายใช้สอยหมุนเวียนสะพัด และเป็นผลดีต่อคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง
3. ชมรมฯประกาศจุดยืนต่อต้านและประณามการใช้ความรุนแรง หรือสัญลักษณ์ใดๆ ที่สะท้อนถึงความรุนแรง ชมรมฯเห็นว่า คนไทยพึงรักสามัคคี ไม่เป็นศัตรูกัน การใช้ความรุนแรงไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายกัน การวางระเบิด การยิงระเบิด หรืออื่นๆ เลือดเนื้อของคนไทย ไม่ว่าฐานะอย่างไร สวมเสื้อสีใด ก็เป็นคนไทยทั้งสิ้น พึงรู้รักสามัคคี ไม่ควรมีใครยุยงแบ่งแยกให้เกลียดชังหรือทำร้ายกัน
4. ชมรมฯ ไม่สนับสนุนและขอประณามการใช้ความเหลื่อมล้ำของฐานะของประชาชนสร้างเงื่อนไข “สงครามชนชั้น” ชมรมฯ ประกอบด้วยนักธุรกิจทุกระดับ เรามีฐานะที่พัฒนาเติบโตมาด้วยพระคุณแผ่นดินไทย ได้รับสิทธิและเสรีภาพในระบบเศรษฐกิจเสรี ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขมายาวนาน ไม่เห็นเป็นปัญหาการปิดกั้นโอกาสจากปัญหาการแบ่งชนชั้นแต่อย่างใด กลับเห็นว่านักธุรกิจการเมืองบางยุคบางสมัยนำการทำธุรกิจโดยเอื้อกิจการของตนและพวกพ้อง จนมีฐานะร่ำรวย ทั้งที่เปิดเผย ซุกซ่อนผ่านคนใกล้ชิด และซุกซ่อนในต่างประเทศอันผิดรัฐธรรมนูญ ชาวไทยไม่ควรที่จะหลงเชื่อว่ามีปัญหาแบ่งแยกชนชั้นในสังคม ความคิดแบ่งแยกชนชั้นเช่นนั้นมักเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายๆประเทศ โดยมักนำไปสู่ความยากจนทั่วกัน เช่นในเวียดนามเหนือ หรือเกาหลีเหนือ ประชาชนก็มีฐานะยากจนกว่าเวียดนามใต้ หรือเกาหลีใต้ที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจเสรีที่ประชาชนมีสิทธิและโอกาสเท่าเทียมกัน ไม่สร้างความรู้สึกแตกแยกของชนชั้นในสังคม
5. ชมรมฯรณรงค์เชิญชวนให้ชาวไทยทุกฐานะ ทุกจังหวัด ร่วมแสดงจุดยืนต้องการความสงบสุข และความรักสามัคคีในแผ่นดิน ด้วยการร่วมกันประดับธงชาติที่บ้าน หรือรถยนต์ เพื่อส่งเสริม ความรัก การให้อภัยกัน และการมองกันในแง่ดีด้วยหัวใจความเป็นไทยทุกคน
ชมรมฯขอรณรงค์ให้ชาวไทยร่วมใจรักสามัคคี ร่วมรักษาความสงบร่มเย็น ประชาธิปไตย และความชอบธรรมในแผ่นดิน เพื่อความสันติสุขและความเจริญยั่งยืนตลอดไป
แกนนำ นปช. ประกาศเคลื่อนพลกดดันให้ทหารกลับกรมกอง
ที่มา ประชาไท
เวลา 10.00 น. วันนี้ ที่เวที นปช. สะพานผ่านฟ้า แกนนำ นปช. ขึ้นเวทีชี้แจงมาตรการกดดันรัฐบาล จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. ประกาศว่า ทหารต้องกลับกรมกอง อยู่ในวัดต้องออกจากวัด อยู่ในสวนสัตว์ต้องออกจากสวนสัตว์ อยู่ในสนามม้าต้องออกจากสนามม้า ออกไปจากพื้นที่ ถ้าไม่ยินยอมจะใช้สองมือเปล่า ถ้ามีประตู มีลวดหนาม มีแท่งซีเมนต์ เราก็จะยก เราก็จะดึง ทหารไม่มีสิทธินำอาวุธมาปิดล้อมประชาชน ทหารต้องกลับกรมกองอย่ากลับมาอีก ถ้าไม่ยอม คนเสื้อแดงขออนุญาตจูงมือไปส่งที่รถยีเอ็มซี ถ้ารัฐบาลสร้างแดงเทียม ความเสียหายที่เกิดขึ้น ต้องเป็นความรับผิดชอบของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2553
แหย่ 'ป๋า' ยั่วให้บล็อก?
ระวังปาหี่
ที่ตั้งอนุสาวรีย์
วิกฤต "มือที่ 3" กระบวนการ "เอ็ม 79" กับ กลุ่มเสื้อแดง
เปิดคำอุทธรณ์คดี"ยึดทรัพย์"
เรื่องแถวๆสภา
มากเกินไป
การ์ตูน เซีย 27/03/53
กดดันรบ.ยุบสภา บีบีซีตามติด แดงเคลื่อนพลทั่วกรุงวันนี้
เมื่อโพลบอกว่า...
ด่วน..มือมืดขว้างระเบิดเค75 บึมกรมศุลกากร
"มาร์ค-สุเทพ"บินด่วนกลับกทม.แล้ว หน้าเครียดถูกแดงบีบทหาร
ไม่ปิดทางคุยแดง พร้อมยุบสภา แต่กติกาต้องชัด
เพื่อไทย-แดงยื่นหนังสือ"ไอพียู"ประจานสภาไทย
Friday, March 26, 2010
คน ‘คลองเตย’ แถลงประณามผู้แอบอ้าง 'ชุมชน' ต้านเสื้อแดง
ที่มา ประชาไท องค์กรชุมชนคลองเตย ออกแถลงการณ์ประณามผู้แอบอ้างเป็นตัวแทนชุมชนกรุงเทพฯ เรียกร้องให้เปิดเผยชื่อองค์กร จี้บวรศักดิ์-พลเดช-หทัยรัตน์-ประเวศ ที่ถูกแอบอ้างออกมาชี้แจงหรือแสดงความรับผิดชอบ 25 มีนาคม 2553 สหพันธ์เครือข่ายองค์กรชุมชนคลองเตย, สหพันธ์เยาวชนคลองเตย, สหพันธ์องค์กรเยาวชนชุมชน กทม. ออกแถลงการณ์ประณามผู้แอบอ้างเป็นตัวแทนชุมชนกรุงเทพฯ เรียกร้องให้เปิดเผยชื่อองค์กร และบวรศักดิ์-พลเดช-หทัยรัตน์-ประเวศ ที่ถูกแอบอ้างออกมาชี้แจงหรือแสดงความรับผิดชอบ โดยมีรายละเอียดแถลงการณ์ ดังนี้ 0 0 0 แถลงการณ์ สืบเนื่องมาจากการที่ นายภุชงค์ กนิษฐชาต ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองชุมชนคนกรุงเทพฯ ได้แอบอ้างว่าเป็นตัวแทนของชาวชุมชนในเขต กทม. ออกมาแถลงและใช้สื่อของรัฐ ทำการใส่ร้ายป้ายสีโจมตีการชุมนุมของขบวนการประชาชนคนเสื้อแดงในขณะนี้ว่า เป็นการชุมนุมที่ต้องการก่อเหตุความรุนแรงขึ้นในกรุงเทพ อันจะเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของชาว กทม. นอกจากนั้น ยังใส่ร้ายต่อประชาชนเสื้อแดงว่า ชุมนุมเพียงเพื่อรับใช้ตัวบุคคล ไม่ใช่เป็นการต่อสู้กับเผด็จการทหารอำมาตย์ ซากเดนศักดินาที่ครอบงำสังคมการเมืองไทย หรือไม่ใช่เพื่อเรียกร้องให้ระบอบประชาธิปไตยและความเป็นธรรมให้กลับคืนมาดังที่กล่าวอ้างนั้น เราในนามองค์กรผู้มีรายชื่อข้างล่าง มีความคิดเห็นและข้อเรียกร้องดังนี้ 1) เราขอยืนยันว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดง เป็นการชุมนุมอย่างสันติวิธี ปราศจากอาวุธ เป็นสิทธิอันชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย เป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตยทั่วโลก และการชุมนุมของคนเสื้อแดงก็เป็นการชุมนุมที่เคารพสิทธิของคนกรุงเทพฯมาโดยตลอดเช่นกัน 2) เราขอประณามและเรียกร้องให้นายภุชงค์ กนิษฐชาต ยุติบทบาทให้ข้อมูลเท็จ ใส่ร้ายป้ายสี และโน้มน้าวปลุกระดมให้ประชาชนในชุมชนกรุงเทพเกิดหวาดกลัวอย่างไม่มีความรับผิดชอบ 3) นายภุชงค์ กนิษฐชาต ได้อ้างในนามชุมชุน 1,800 กว่าชุมชน (ซึ่งเป็นเท็จและโกหกหลอกลวง), สภาองค์กรชุมชนแห่งชาติ, สภาพัฒนาการเมือง (ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ) , และกลุ่ม สxส (ของนายพลเดช ปิ่นประทีป ศิษย์เอกของ นายประเวศ วะสี) ดังนั้นเราขอให้นายภุชงค์ เปิดเผยรายชื่อชุมชนพร้อมประธานผู้รับผิดชอบชุมชนหรือองค์กรนั้นๆ ให้ชัดเจน อย่ากล่าวคลุมเคลือและเพียงอ้างตัวเลขชุมชนให้ใหญ่โตเกินความเป็นจริงอย่างไม่รับผิดชอบ อันจะก่อให้เกิดความเข้าใจที่ผิดพลาด และเสื่อมเสียชื่อเสียงภาพพจน์ต่อชุมชนทั้งหลายใน กทม. และขอเรียกร้องผู้รับผิดชอบองค์กรที่ถูกอ้างชื่อทั้งหลายให้ออกมาชี้แจงยืนยันต่อสาธารณะ โดยชัดเจนและเปิดเผย เพื่อประชาชนและสมาชิกจะได้รับทราบและร่วมตรวจสอบความถูกต้อง 4) เราขอเรียกร้องให้ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการพระปกเกล้า และกรรมการเลขานุการสภาพัฒนาการเมือง ซึ่งเป็นองค์กรของประชาชนและใช้เงินภาษีของส่วนรวมต้องออกมาชี้แจง เนื่องจากนายภุชงค์ ได้อ้างว่า เป็นองค์กรที่ร่วมแถลงการณ์ในครั้งนี้ เพราะจะทำให้เสียภาพพจน์ชื่อเสียงขององค์กรได้ 5) เราขอเรียกร้องให้ นางหทัยรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ในฐานะกองเลขาของสภาองค์กรชุมชน ซึ่งเป็นองค์กรของประชาชนและใช้เงินภาษีของส่วนรวม ต้องออกมาชี้แจงด้วยเช่นกัน 6) เราขอเรียกร้องให้ นายพลเดช ปิ่นประทีป(อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและมนุษย์ สมัยเผด็จการ คมช. ) ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา(LDI) - ที่นายประเวศ วะสี เป็นผู้ก่อตั้ง และเป็นองค์กรที่นายภุชงค์ กนิษฐชาต ทำงานอยู่ในองค์กรนี้ต้องออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าวด้วย 7) เราขอเรียกร้องให้ประชาชนในชุมชนกรุงคงเทพทั้งหลาย ออกมาปกป้องชื่อเสียงของตนเอง 8) เรายืนยันจุดยืนขอสนับสนุนการต่อสู้อย่างสันติวิธีของขบวน นปช. โดยให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนทันที 9) หาก นายภุชงค์ กนิษฐชาต, นายพลเดช ปิ่นประทีป, นายประเวศ วะสี, และนางหทัยรัตน์ ไม่ออกมาชี้แจงและขอโทษต่อสาธารณะภายใน 5 วัน หลังจากนี้เราจะดำเนินการเปิดโปงและลงโทษในขั้นเด็ดขาดต่อไป สหพันธ์เครือข่ายองค์กรชุมชนคลองเตย
คัดค้านผู้แอบอ้างเป็นตัวแทนชุมชนกรุงเทพฯ
สหพันธ์เยาวชนคลองเตย
สหพันธ์องค์กรเยาวชนชุมชน กทม.
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี: เสื้อแดง ถ้าอยากชนะ กลับบ้านไปตั้งหลักใหม่ดีกว่า
ที่มา ประชาไท สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ความเห็นตรงไปตรงมาของ ‘สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี’ เสื้อแดงยังไม่เข้มแข็งพอที่จะเผด็จศึกได้ในคราวเดียว ความจริงการมาครั้งนี้ ควรจะได้ตกลงกันตั้งแต่ต้นว่า มันไม่ใช่ “สงครามครั้งสุดท้าย” แต่ควรเป็นการเข้ามาเพื่อหยั่งกำลังข้าศึกมากกว่า เพราะคนเสื้อแดงควรจะได้เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองว่า กองทัพที่เพิ่งจะก่อตัวขึ้นมาครั้งใหม่หลังจากถูกตีแพ้ราบคาบไปเมื่อสงกรานต์ปีกลายนั้น ยังไม่เข้มแข็งพอที่จะเผด็จศึกได้ในคราวเดียว ผู้นำทัพที่ดีควรจะรู้จักถอยในทางยุทธวิธี (technical retreat) เพื่อทนุถนอมกำลังพล และปรับสภาพกำลังรบหลังจากที่มองเห็นจุดอ่อนจุดแข็งของศัตรูพอประมาณแล้ว การเคลื่อนทัพแดงคราวนี้ ยังไม่ได้ทำให้ศัตรูเพลี่ยงพล้ำ แต่ก็ทำให้ฝ่ายแดงได้บทเรียนสำคัญอยู่หลายบท ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับการทำสงครามชนชั้นเพื่อโค่นล้มอมาตยธิปไตย อย่างที่ได้ตั้งใจไว้ (เว้นเสียแต่ว่า แกนนำจะพูดเรื่องนี้ออกมาแบบด้นๆ เดาๆ โดยไม่สำนึกว่า กำลังพูดอะไรอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ต้องอ่านต่อ จบแค่นี้) สิ่งที่สามารถเก็บรับเป็นบทเรียนสำหรับการเคลื่อนไหวคือ เริ่มมีคนมองเห็นแล้วว่า การตื่นตัวของชนชั้นล่างอันเป็นผลมาจากความอยุติธรรมนั้นเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ สังเกตได้จากอาการทุรนทุรายของ ชนชั้นสูงในสังคม ที่ได้เที่ยวพากันออกมาปฏิเสธ เรื่องไพร่ เรื่องอมาตย์กันยกใหญ่ รัฐบาลและสื่อมวลชนที่เป็นกระบอกเสียงรัฐบาลได้พากันออกมาหาคำอธิบายเพื่อกลบเกลื่อน โครงสร้างสังคมแบบเจ้าขุนมูลนายกันจ้าละหวั่น บางรายเป็นเอามากขนาดเปิดพจนานุกรมอธิบายศัพท์กันเลยเพราะไม่รู้จะอธิบายมันอย่างไร นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งชั่วชีวิตของเขาไม่มีทางแยกแยะความแตกต่างระหว่างต้นข้าวกับต้นหญ้าได้ ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะเขาได้แสดงความตื้นเขินของความรู้เกี่ยวกับชนชั้นในสังคมไทยออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อเขาพยายามตอบโต้ว่า พวกไพร่แดงมาต่อสู้เพื่ออมาตย์ทักษิณ ชินวัตร ผู้ซึ่งน่าจะมีความเป็นอมาตย์มากกว่าตัวเขาเองเสียด้วยซ้ำ ในทางการเมืองแล้ว สิ่งที่เสื้อแดงนำเสนอนั้น กระทบจริตของชนชั้นสูงเข้าอย่างจัง แต่ปัญหาใหญ่ของฝ่ายเสื้อแดงเองคือ ไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่า ข้อเสนอเรื่องการยุบสภาของเขานั้น แก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างอมาตย์กับไพร่ได้อย่างไร อันที่จริงวาทกรรม “หนึ่งคนหนึ่งเสียง” นั้น ชัดเจนเพียงพอ และมันช่วยขจัด “อมาตย์” ออกไปจากสังคมการเมืองได้ สิ่งที่คนเสื้อแดงควรจะชี้ให้สังคมเห็นคือ สิทธิของพวกเขาในการเลือกผู้นำทางการเมืองควรจะมีความเสมอภาคและเท่าเทียมกันกับชนชั้นสูงในสังคม หมายความว่า เมื่อประชาชนเลือกใครให้ชนะการเลือกตั้ง คนนั้นไม่ว่าจะดีหรือเลว ควรจะได้รับสิทธิในการบริหารประเทศไปจนสิ้นระยะเวลาตามที่ได้ตกลงกันไว้ การใช้อำนาจทางทหารก็ดี อำนาจทางกฎหมายที่มิชอบก็ดี มาบิดเบือนอาณัติทางการเมือง (political mandate) ที่ประชาชนมอบให้นักการเมืองของเขาผ่านการเลือกตั้งมานั้น เป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรมและไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่ง เรื่องพวกนี้อธิบายให้เห็นจริงได้ แต่น่าเสียดาย แกนนำบนเวที พูดจาเปะปะ เสียเวลาไปกับการด่าทอ แทนที่จะสรรหานักพูดเก่งๆ มาตีโต้ วาทกรรม “คนดี” (a few good men) ที่พวกอมาตย์เสนอกรอกหูคนอยู่ทุกวัน ยิ่งพูดเรื่องนี้ได้ชัดเจนเท่าไหร่ ก็จะได้ผลดีทางอ้อมด้วย เพราะมันจะช่วยให้การจัดความสัมพันธ์กับทักษิณได้ดีขึ้น ก็ไม่มีใครปฏิเสธหรอกว่า คนเสื้อแดงกับทักษิณนั้นแทบจะเป็นคอหอยกับลูกกระเดือกกัน แต่ปัญหาคือทักษิณนั้น ถ้าคิดแบบบัญชีก็เป็นหนี้สิน (liability) มากพอๆ กับเป็นทรัพย์สิน (asset) การพูดเรื่องหลักการมากๆ จะทำให้ฝั่งที่เป็นหนี้สินของทักษิณน้อยลง (หวังว่าแกนนำจะเข้าใจและพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง) ประการต่อมา เรื่อง สองมาตรฐาน (double standard) เป็นสิ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า กินใจชนชั้นกลางอย่างมาก และถ้าหากจะสามัคคีชนชั้นกลางแล้วไซร้ ใยไม่อภิปรายเรื่องนี้เพิ่มเติมให้เห็นประจักษ์และสิ้นสงสัยกันไปเลย กรณีเขายายเที่ยงของพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ อมาตย์ใหญ่นั้น เป็นประเด็นที่ทำให้เสื้อแดงได้รับความเห็นอกเห็นใจจากคนทั่วโลกมาแล้ว ในประเทศไทยยังมีประเด็นแบบนี้อีกเป็นพะเรอเกวียน ใยไม่หยิบขึ้นมาพูดบนเวที การพูดเรื่องนี้ให้ประจักษ์จะทำให้ชนชั้นกลางในเมืองหลวงได้อายว่า พวกเขาถูกชนชั้นสูงหลอกหลวงมานานแสนนาน และพวกเขากำลังสนับสนุนสิ่งที่ผิด ประการที่สาม มาคราวนี้ กองทัพแดงทำได้ดี (หวังว่าคงไม่ดีแตก) ในเรื่องมาตรฐานศีลธรรมของการเคลื่อนไหวมวลชน การไม่ไปเที่ยวปิดล้อมที่โน่นที่นี่ หรือยึดสถานที่นั่นนี่โน่น ได้ช่วยทำให้มาตรฐานทางศีลธรรมสูงกว่าอีกพวกหนึ่งอย่างมโหฬาร การไม่ไปยึดอะไรเลย ไม่เพียงทำให้ไม่มีคดีติดตัวเท่านั้น ยังช่วยทำให้มีแต้มต่อทางการเมืองได้อีกด้วย เพราะยิ่งรัฐบาลแสดงอาการ โอเวอรีแอก (over react) เท่าใด ฝ่ายแดงก็สร้างคะแนนทางการเมืองได้มาก แน่นอนเรื่องนี้อาจจะไม่ถูกใจแดงสายเหยี่ยว แต่ช่วยไม่ได้ เพราะต้องเข้าใจว่า การเมืองสมัยใหม่ เขาสู้กันเพื่อให้ได้พื้นที่ทางการเมืองในความรับรู้ของสาธารณะ (political space in public perception) เรามีบทเรียนกันมามากแล้วจากคณะก่อนที่ได้เที่ยวไปยึดพื้นทางกายภาพที่นั่นที่นี่วุ่นวายไปหมด แต่เสียพื้นที่ทางการเมืองไปจม จนเท่าทุกวันนี้ บางคนได้เป็นถึงรัฐมนตรี เจอฝรั่งถามยังตอบคำถามไม่ได้เลยว่า ปิดสนามบินแล้วประชาธิปไตยไทยพัฒนาไปมากแค่ไหน และอีกอย่างเสื้อแดงจะไปเอาอย่างคณะนั้นก็ไม่ได้ เพราะไม่มีคนคอยแก้ต่างให้ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดที่ว่ามาข้างต้นถึงจะเป็นแต้มต่อ แต่ก็ไม่สามารถทำให้เสื้อแดงเผด็จศึกได้ด้วยการชุมนุมเพียงคราวเดียว เพราะต้องเข้าใจว่า ในการเมืองที่เป็นจริงนั้น คนที่จะทำให้รัฐบาลปัจจุบันนี้พังได้มีแค่ 2 กลุ่มคือ กลุ่มพี่ห้อย พี่หาร และ กลุ่มพี่ป้อม พี่ป๊อก ถ้าพวกเขายังอยู่กันดีหรือยังดีกันอยู่ พี่มาร์กของเราก็อยู่ได้จนหมดวาระของสภาชุดนี้แน่นอน วิธีโง่งมของพวกสายเหยี่ยวที่จะใช้กำลังเข้าชิงเอานั้น นอกจากจะไม่สำเร็จแล้ว ยังจะเป็นการฆ่าตัวตายอีกด้วย เมื่อมาอยู่ได้ถึง 2 สัปดาห์แล้ว ไม่สามารถรุกคืบไปได้อีก ใยกองทัพแดงไม่พิจารณาการถอยทางยุทธวีธีเพื่อปรับปรุง และขัดเกลาอาวุธสองสามประการดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นให้แหลมคมขึ้นบ้างเล่า พูดกันแบบไม่เกรงใจ เสื้อแดงคราวนี้ เตรียมกำลังมาดีอย่างเดียว พื้นฐานอย่างอื่นแย่หมด (ดูเหมือนไม่ได้เตรียมมาเลยด้วยซ้ำ) ไม่ว่าจะเป็นทั้งในแง่ยุทธศาสตร์และยุทธวิธี ในแง่ยุทธศาสตร์นั้น คนเสื้อแดงก็ไม่ได้วางเอาไว้ว่า “การล้มอมาตย์” นั้นจะมีเส้นทางยาวไกลเพียงใด ต้องผ่านขั้นตอนใดบ้าง ไม่มีใครตอบได้สักคนว่า ข้อเสนอเรื่องการยุบสภานั้น มันจะล้มอมาตย์ได้อย่างไรและทำไมต้องยุบสภาตอนนี้ ความแตกต่างระหว่างการยุบสภาตอนนี้กับการปล่อยให้อภิสิทธิอยู่ในอำนาจไปอีกปีกว่าๆ มีมากน้อยเพียงใด ข้อเสนอเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงการสร้างการเมืองแบบอมาตยาธิปไตยเป็นอย่างไร เห็นทีเรื่องนี้ คนเสื้อแดงต้องกลับไปทำการบ้านมาใหม่ และยุทธศาสตร์เพื่อการเอาชนะอมาตย์เป็นอย่างไร ต้องสามัคคีกับใครบ้าง ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ในแง่ยุทธวิธีนั้น จับไต๋ได้เลยว่า อับจนกันเอามากๆ เพราะด้นสดกันไปวันๆ เท่านั้นเอง การดูดเลือดไปเททิ้ง ทำไปทำไม การเดินขบวนทั่วกรุงตอบคำถามอะไรในทางยุทธศาสตร์ ขอบคุณคนกรุงด้วยการรบกวนชีวิตประจำวันเขานั้น จะได้คะแนนจากพวกเขาได้อย่างไรกัน โกนหัวกันไปทำไม ประชดใคร บนเวทีในแต่ละวัน หาประเด็นใหม่ไม่ได้เลย จตุพร พรมพันธ์ ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ วีระ มุสิกพงศ์ ขึ้นเวทีคืนละหลายรอบ เพื่อพูดเรื่องเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาทำไม หรือว่า ไม่มีใครแล้ว ทำไมไม่คิดถึงการสร้างความหลากหลายของการแสดงบนเวทีบ้าง ต้องเห็นใจมวลชนบ้าง จะให้พวกเขาทนนั่งดู นั่งฟัง เรื่องซ้ำๆ ทั้งวันทั้งคืน ไปนานสักเท่าใด นักร้องลูกทุ่ง ศิลปินพื้นบ้าน นั่นดีแล้ว (เพราะไม่ดัดจริตเหมือนพวกเพื่อชีวิต) แต่ต้องมากกว่านี้ ทั่วประเทศไทยมีตั้งมากตั้งมาย ทำไมไม่ไปหามาเล่น มีอยู่คืนหนึ่งทำได้ดีมาก คือคืนที่ ดาว บ้านดอน ขึ้นเวที ร้องเพลงคนขี่หลังควายนั้น มันประชันกับฝั่งรัฐบาลได้อย่างดีเลย เพราะเวลาเดียวกันนั้น ช่อง 11 เขาพูดเรื่องการลดทอนความยากจนพอดี เห็นได้ชัดว่า เพลงคนขี่หลังควายเพลงเดียว กินใจกว่าคำอภิปรายเรื่องชุมชนพอเพียงของนายกอภิสิทธิอย่างมาก แต่ก็น่าเสียดาย ที่ทำกันได้แค่นั้น เรื่องพวกนี้ เป็นยุทธวิธี แต่ก็ต้องคิดอย่างเป็นยุทธศาสตร์ด้วย ไม่ใช่เล่นแค่สนุกๆ ข้อเสนอ ถ้าเป็นไปได้ การเดินขบวนวันเสาร์ที่ 27 มีนาคมที่จะถึงนี้ ควรเป็นการบอกลาและขอบคุณคนเมืองหลวง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ส่วนใหญ่ก็คนบ้านเดียวกันทั้งนั้นแหละ (ไม่ว่าอ้ายทิดเคนจะเข้ามาขับแท็กซี่นานแค่ไหน แกก็เป็นคนร้อยเอ็ดอยู่ดี) แล้วกลับไปทบทวนแนวทางการต่อสู้ใหม่ ปรับปรุงยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ใช้โมเมนตัมจากการสะสมในคราวนี้มานำเสนอใหม่ กลับมาใหม่หลังสงกรานต์ แล้วสร้างนวตกรรมใหม่ในการต่อสู้บนท้องถนนให้ลือชื่อไปเลยจะดีกว่า เชื่อเถอะ อยู่อย่างนี้ต่อไป ไม่ชนะหรอก ------------------------- ปล. พอกันทีกับการละเมอหาอำนาจพิเศษจากสรวงสวรรค์ ไม่เวิร์ก ได้ไม่คุ้มเสีย คณะก่อนทำแบบนี้แหละ พาบ้านเมืองถอยหลังเข้าคลองจนทุกวันนี้ ยังไม่เห็นกันอีกหรือ