WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, June 21, 2008

วัดใจด่านสุดท้ายแล้ว

เปิดฉากด้วยการประกาศทุบหม้อข้าวหม้อแกง ไม่ชนะไม่กลับ รบแบบพระเจ้าตากฯตีเมืองจันท์ ตามด้วยยุทธศาสตร์สงคราม 9 ทัพเผด็จศึกพม่าที่ด่านเจดีย์ 3 องค์ เร้าด้วยการระดมขนเรือยางจากสันติอโศกมาลอยลำในคลองผดุงกรุงเกษมเพื่อบุกทั้งทางน้ำและทางบก

ฮึกเหิมกันยกใหญ่แต่ก็ว่าไม่ได้ ในเมื่อเขาปั่นกระแสกันไว้แล้วว่าเป็น “สงครามกู้ชาติ” ก็ต้องเล่นกันให้สมบทสมบาท เร้าสถานการณ์ให้สมจริง

ปลุกแนวร่วมให้ “อิน” ไปกับบททวงคืนแผ่นดิน

เดิมพันสุดสายป่าน ทิ้งทวนครั้งสุดท้ายก่อนหมดปัจจัย มีอะไรก็ต้องใส่หมดหน้าตัก

และก็ไม่น่าแปลกใจกับฉากการจัดทัพสู้รบของม็อบพันธมิตรฯที่ออกมา เพราะล่าสุด พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี แกนนำทหาร จปร.7 ยอมรับเองว่า มีนายทหาร จปร.7 บางส่วนเข้าร่วมการชุมนุมของม็อบพันธมิตรฯ แต่ทั้งหมดเป็นพวกที่ยึดหลักสันติอหิงสา

สรุปว่า มีทีมช่วย “มหาจำลอง” พล.ต.จำลอง ศรีเมือง วางเกม

เป็นทีม จปร.7 ชุดเดียวกับที่เคยปักหลักรบกับ “บิ๊กสุ” พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี ลากเกมจนเกิดเหตุพฤษภาทมิฬ

ฝากผลงานประจักษ์มาแล้ว

และก็เป็นตัวละครหน้าเดิมๆที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ม็อบพลิกบ้านพลิกเมือง ได้จังหวะโผล่มาตอนเข้าด้ายเข้าเข็ม “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาเล่นบทถือหางม็อบพันธมิตรฯ วิเคราะห์การชุมนุมมีแนวโน้มที่จะถึงขั้นแตกหัก

หากรัฐบาลยังคงไม่ออกมาแสดงความชัดเจนและพูดคุยกัน

ฟันธงแบบไม่กั๊ก “บิ๊กจิ๋ว” บอกว่า เหลือเพียงการปฏิวัติเท่านั้น จึงจะสามารถยุติปัญหาความรุนแรง และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้

แต่ก็มีติดติ่งห้อยท้าย “บิ๊กจิ๋ว” เสนอทางออกให้รัฐบาลในการยุติปัญหาทั้งหมด 3 ข้อ คือ การยุบสภา นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ลาออก เพื่อให้พรรคฝ่ายค้านจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หรือพรรคฝ่ายค้านรวมกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมจัดตั้งรัฐบาล

ชงแผนพลิกขั้วกันเลย

โดยกระบวนท่าที่ต้องจับทางกันให้ดี “พ่อใหญ่” รับมุกใครมา

แต่โดยท่าทางยังนิ่งอยู่ “ลุงหมัก” นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ยังคงปฏิบัติภารกิจปกติ โดยในช่วงเช้าของวันที่ 20 มิถุนายน ได้เดินทางไปประชุมเตรียมการประชุมสุดยอด

อาเซียนที่กระทรวงการต่างประเทศ ทักทายรัฐมนตรีด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

สะกดร่องรอยของความกังวล

แต่ที่ไม่สามารถกลบได้ ผลเสียหายที่เกิดขึ้นเต็มๆกับภาพลักษณ์ ของทำเนียบรัฐบาล ตกอยู่ในสภาพร้างชั่วคราว

บรรยากาศในช่วงเช้าเป็นไปด้วยความเงียบเหงา ข้าราชการมาทำงานกันอย่างบางตาโดยมีข้าราชการขอลาหยุดงานเป็นจำนวนมาก ขณะที่บางส่วนก็เดินทางมาเซ็นชื่อเข้าทำงาน แล้วเดินทางกลับบ้านทันที โดยเฉพาะยิ่งใกล้เวลา 12.00 น. แทบจะไม่มีข้าราชการเหลืออยู่ในทำเนียบรัฐบาล เนื่องจากไม่มั่นใจในสถานการณ์ความปลอดภัยในทำเนียบฯ

และไม่ต้องพูดถึงนายกฯและรัฐมนตรี ไม่มีใครเดินทางเข้าทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลแม้แต่คนเดียว

ม็อบเคลื่อนขบวนรุกถึงที่หมาย

ยึดสัญลักษณ์ศูนย์กลางบริหาร แสดงพลังอำนาจเหนือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ก็เหลือแค่ “วัดใจ” ใครจะอึดกว่ากัน

เพราะโดยอาการนิ่งสยบความเคลื่อนไหวของ “ลุงหมัก” ก็ต่อสายกับทหาร ซุ่มเกาะติดสถานการณ์อยู่ที่กองบัญชาการกองทัพไทยในฐานะ รมว.กลาโหม

พร้อมออกคำสั่งได้ตลอดเวลา

แต่ที่ไม่ชัวร์ว่า ตั้งใจจะปล่อยออกมากู้สถานการณ์หรือแค่เกม กับเงื่อนไขล่าสุดที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ อ้างข้อเสนอของวอร์รูมพรรคพลังประชาชน

เสนอทางออกโดยให้พรรคประชาธิปัตย์ไปประสานกับม็อบพันธมิตรฯให้หยุดเคลื่อนไหว และพรรคพลังประชาชนจะเข้าชื่อให้เปิดสภาสมัยวิสามัญเพื่ออภิปรายทั่วไป

โดยจะไปคุยกับนายกรัฐมนตรีให้ เนื่องจากรัฐบาลสามารถชี้แจงได้ อยู่แล้ว และต้องการให้เกิดความสงบเกิดขึ้นโดยใช้เวทีสภา

แต่ข้อแม้ก็คือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องหยุดเคลื่อนไหว

ผลักประชาธิปัตย์ไปอยู่กับม็อบเนียนเลย.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน


สมัคร หลบสื่อฯ ออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด


ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณบ้านพักของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ใน ซ.นวมินทร์ 81 วันนี้ (21 มิ.ย.) หลังมีกระแสข่าวว่า นายสมัครจะลาออกจากตำแหน่ง ขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ตั้งเวทีปราศรัยใหญ่ ที่สะพานชมัยมรุเชฐ ประชันหน้าทำเนียบรัฐบาล ว่า บรรยากาศบริเวณบ้านพักเงียบเหงา ไม่มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลความปลอดภัยแต่อย่างใด ส่วนผู้สื่อข่าวที่ไปเฝ้าสังเกตการณ์ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ก็ได้รับแจ้งว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ในบ้าน

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีได้หลบออกจากบ้านพัก ไปอยู่ที่เซฟเฮาส์แห่งหนึ่ง ตั้งแต่เวลา 04.00 น. แต่จะไปร่วมงานคอนเสิร์ตของสุนทราภรณ์ ที่ กรมประชาสัมพันธ์ ซ.อารีย์ ในช่วงบ่าย.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-06-21 10:27:21


กลุ่มพันธมิตรฯ ตั้งเวทีปราศรัยประชิดทำเนียบฯ

ทำเนียบรัฐบาล 21 มิ.ย. - เวทีหลักของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ตั้งขึ้นบนสะพานชมัยมรุเชฐ ถ.พิษณุโลก ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการตัดสินใจเปลี่ยนจากเดิมที่ตั้งอยู่หน้าบริเวณสนามม้านางเลิ้ง มาเป็นจุดนี้ เพื่อให้ประชิดทำเนียบรัฐบาลมากขึ้น ซึ่งถือเป็นเวทีหลักเวทีเดียว และเป็นจุดศูนย์รวมของการชุมนุม บรรยากาศตั้งแต่ช่วงเช้า มีแกนนำบางส่วนขึ้นปราศรัยบนรถขยายเสียงที่ตั้งอยู่หน้าเวที

อีกมุมหนึ่งในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ยังคงสลับสับเปลี่ยนกำลังมารักษาความปลอดภัยอยู่ตามรั้วของทำเนียบรัฐบาล.

ชมรายละเอียด สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-06-21 10:22:32




ยึดทำเนียบได้แล้ว แล้วไงต่อ? So what?


บทความ โดย ลูกชาวนาไทย

ในวันนี้ ผมคิดว่ามวลชนของกลุ่มพันธมิตรที่สามารถฝ่าด่านตำรวจ เข้ายึดถนนพิษณุโลกได้ คงดีใจและตื่นเต้นสุดขีด อะดรีนารีนหลั่ง ความสุขแผ่นซ่านไปทั่วร่างกาย และในใจขณะนั้นคงคิดว่า พวกเราชนะแล้ว รัฐบาลล้มแน่นอนแล้ว พันธมิตรชนะแล้ว เราจะตั้งรัฐบาลของพันธมิตรได้แน่นอนแล้ว

และในเวลาไม่นานนักตำรวจก็ปล่อยให้ม็อบพันธมิตรทั้งหมด เข้ายึดถนนหน้าทำเนียบรัฐบาลได้อย่างเต็มที่

ความสุขของ มวลชนกองหน้าของพันธมิตร คงไม่แตกต่างจาก ทหารกองแรกของจักรพรรดินโปเลียน นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ที่เข้ายึดกรุงมอสโคว์ได้ พวกเขาคงดีใจอย่างเต็มที่ หลังจากต้องเดินทัพมาด้วยระยะทางที่ไกลแสนไกล ต้องฝ่าทุ่งหญ้าสะเต็บอันกว้างใหญ่ไพศาล เมื่อพวกเขาเข้าถึงกรุงมอสโคว์ได้ ก็คิดว่าตัวเองบรรลุภารกิจและชนะสงครามแล้ว

แต่ทหารพวกนั้นหารู้ไม่ว่านั้นคือ จุดเริ่มต้นแห่งความหายนะ

การยึดกรุงมอสโคว์ที่ว่างเปล่า มีแต่ตึกร้าง ไม่มีผู้คน ไม่มีอาหาร ไม่มีฟืนแม้แต่จะทำความอบอุ่นในฤดูหนาว การยึดกรุงมอสโคว์ได้ ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อสงครามเลย เพราะกองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ได้ยกออกจากกรุงมอสโคว์ไปแล้ว ไม่ยอมปะทะไม่ยอมทำสงครามแตกหัก และก็ไม่ยอมแพ้ สงครามเพิ่งเริ่มต้น หาใช่สงครามสิ้นสุดแล้วไม่ การยึดตึกร้างในกรุงมอสโคว์ได้ ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อสงครามเลย สุดท้ายกองทัพอันยิ่งใหญ่ของนโปเลียนที่มีกำลังพลเกือบ 500,000 คน ก็ต้องถอนทัพกลับ เพราะไม่มีอาหาร และกองทัพนี้ต้องรบกับ นายพลหิมะ หรือ General Snow เหลือรอดกลับถึงฝรั่งเศสแค่ไม่ถึง 200,000 คน และนั่นคือ จุดเสื่อมของจักรพรรดิ์นโปเลียน ผู้ยิ่งใหญ่

ม็อบพันธมิตรที่ดีใจยึดทำเนียบรัฐบาลได้ ก็ไม่ต่างจากนโปเลียนยึดมอสโคว์ได้ มันไม่ได้นำไปสู่อะไรในสงคราม แค่ได้พื้นที่ กับตึกเปล่า ข้าศึกยังอยู่ รัฐบาลยังอยู่ นายสมัคร สุนทรเวช ยังคงเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชาชน ยังคงเป็นรัฐบาล

ผมนั้นพอจะรู้แกวตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า สุดท้ายรัฐบาลจะปล่อยให้พวกพันธมิตร ยึดทำเนียบไปอย่างง่ายๆ โดยไม่สะกัดกั้น หรือปะทะ รัฐบาลคงสั่งให้ตำรวจสะกัดเท่าที่สะกัดได้ หากไม่ได้ก็คงปล่อยไป พวกพันธมิตรยึดทำเนียบได้ก็คงได้แต่ตึกไป แต่รัฐบาลยังมีอีกหลายตึก และก็สามารถใช้ตึกเหล่านั้นในการทำงานได้ การยึดทำเนียบได้ไม่ได้ส่งผลกระเทือนอะไรต่อรัฐบาลมากนัก

ก็คงแค่ รบกวนจิตใจของฝ่ายเชียร์รัฐบาลที่อยากให้ปราบพันธมิตรให้เด็ดขาด

แต่ในการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบทางการเมือง เราคงเอาแค่ความสะใจไม่ได้ ต้องพินิจพิเคราะห์ผลได้ผลเสียให้ถ่องแท้ และเดินตามยุทธศาสตร์ใหญ่ มากกว่าจะสนใจแค่ยุทธวิธีเล็กๆ น้อยๆ แค่แย่งพื้นที่เช่นนี้

ผมคิดว่า สิ่งที่พวกพันธมิตร หรือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ต้องการจริงๆ ไม่ใช่ถนนหน้าทำเนียบรัฐบาล แต่พวกนี้ต้องการยั่วยุให้รัฐบาลใช้กำลังปราบอย่างรุนแรง เพื่อจะได้ใช้เป็นเงื่อนไข ปลุกระดมประชาชนเข้าต่อต้านรัฐบาลต่อไป สิ่งที่พวกนี้ต้องการคือ "ซากศพและเลือดทาถนนพิษณุโลก"

การยึดพื้นที่ทำเนียบได้ มันก็ไม่ได้ต่างจากการยึดพื้นที่บริเวณสะพานมัฆวานได้ มันก็แค่ย้ายวิกแสดงคอนเสิร์ตด่ารัฐบาลก็แค่นั้นเอง

ที่จริงผมอยากให้พวกนี้ เผาทำเนียบด้วยซ้ำ เพราะหากทำอย่างนั้น คนเหล่านี้จะขาดความชอบธรรมทางการเมืองทันที และเป็นข้ออ้างให้รัฐบาลใช้กำลังปราบปรามการก่อจลาจลทันที

ผมว่าหลังคืนนี้ไปแล้ว ม็อบพันธมิตร และแกนนำคงจะงงว่า "ยึดทำเนียบได้แล้วจะทำยังไงต่อ" ยึดทำเนียบได้แล้ว So what?

คือ "ที่ตั้งทำเนียบรัฐบาล" มันไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้น ไม่ได้มีความสำคัญขนาดที่หากไม่มีตึกไทยคู่ฟ้า รัฐบาลไทยจะล่มสลายทำงานไม่ได้ มันก็แค่ตึกกับที่ดินแคบๆ สิบกว่าไร่ มันมีตึกอีกมากมาย หรือจะไปตั้งเมืองหลวงกันใหม่ที่ เชียงใหม่ ก็ได้

ผมคิดว่าปล่อยให้คน 50,000 คน ให้ยึดทำเนียบไปสัก 30 วัน นายทุน ที่ออกเงินให้พันธมิตรมันก็เจ๊งเอง เพราะต้องเลี้ยงคน ต้องเสียค่าใช้จ่าย และคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็มาจากต่างจังหวัด หากต้องอยู่นานเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน พวกนี้ก็จะทนไม่ได้ แต่รัฐบาลไม่ได้รับผลกระทบอะไร มากมายนัก

ทั้งนี้หากทหารไม่ทำรัฐประหารก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแต่อย่างใด

แผนที่ดีที่สุดคือ ต้องใช้แผน "สุมาอี้" ตอนรบกับขงเบ้ง ต้องทนยั่วยุให้ถึงที่สุด สุมาอี้ทนยั่วยุได้ดีกว่านี้มาก สุดท้ายขงเบ้งก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องช้ำใจตายไป เพราะทั้งขงเบ้งและ ม็อบพันธมิตร ต่างมีจุดอ่อนเหมือนกันคือ ทนการต่อสู้ที่ยืดเยื้อไม่ได้ พวกนี้ต้องยกกำลังคนมาจากแดนไกล การยกกำลังคนจำนวนมาก มาอยู่แดนไกล ต้องมีเสบียง ต้องเลี้ยงอาหาร ต้องมีที่พัก ต้องมีการส่งกำลังบำรุง ยิ่งคนมาก ยิ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง แต่หากไม่มีปะทะก็ไม่มีประโยชน์อะไร

ต้องไล่ยึดพื้นที่ต่อไปอีกอย่างนั้นหรือ ต่อไปก็ยึดเขาดิน และยึดรัฐสภา แต่ยึดได้แล้ว แล้วจะทำยังไงต่อ จะเป็นคำถามที่ แกนนำพันธมิตรจะต้องตอบตนเองและตอบม็อบ หรือมวลชนของตน หากรัฐบาลไม่ปะทะ ก็ยังไม่มีผลแพ้ชนะ

ตอนนี้ผมว่าคนกลุ่มนี้กำลังงง และหากไม่มีใครสนใจจนกว่าจะถึงวันจันทร์ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ต้องทนตากฝน อีกต่อไป สิ่งที่ได้คือ เปลี่ยนที่นอนจากสะพานมัฆวานมาหน้าทำเนียบรัฐบาลเท่านั้น

แต่ไม่เป็นไร เพราะ ม็อบสมัชชาคนจน เคยทำสถิตินอนอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาลยุคปลายรัฐบาลชวน หลีกภัย ถึงสองเดือนขึ้น จนประกาศตั้ง หมู่บ้านคนจน ขึ้นหน้าทำเนียบ แต่ก็ไม่มีมักมีผลอะไร ในการเจรจา

หากไม่มีการทำรัฐประหาร รัฐบาลก็ไม่ล้ม การที่รัฐบาลทักษิณล้มไปครั้งที่แล้ว ไม่ใช่เพราะม็อบพันธมิตร ยึดทำเนียบได้ แต่เพราะ โดนใช้เป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหารสิ่งที่พวกพันธมิตรต้องการคือ "เงื่อนไขยั่วยุให้ทหารทำรัฐประหาร" การชุมนุมคนจำนวนมาก (ซึ่งเมื่อเทียบกับประชากรก็ไม่มาก") ไม่ทำให้รัฐบาลล้มไปได้

ตอนนี้ "รัฐบาลโยนลูกไปให้พวกพันธมิตรแล้วละครับว่าจะทำอะไรต่อ" เพราะยึดทำเนียบได้แล้ว รัฐบาลก็ยังอยู่ สถานการณ์ก็ไม่ได้ต่างจากการยึดสะพานมัฆวานเท่าใดเลย

เราต้องยอมอดทน เพื่อให้ความชอบธรรมของพันธมิตรค่อยๆ หมดไป

เราตอบโต้ตอนนั้นก็ไม่สายหรอกครับ ต้องใจเย็น และอดทน คิดว่ามันคือละคอนการเมืองฉากหนึ่งเท่านั้นครับ และสำคัญต้องอ่าน เกม ของฝ่ายตรงข้ามให้ได้ และต้องรู้ เงื่อนตายของเกม เมื่อรู้แล้วมันก็สนุกครับ

ยึดทำเนียบรัฐบาล ไม่ใช่เงื่อนตายของเกม รัฐประหารจึงเป็นเงื่อนตายของเกมครับ

จาก thaifreenews

“จรัล” อัดพันธมิตรฯ ชุมนุมโดยมีอาวุธ ระบุจะขับไล่

“จรัล” อัดพันธมิตรฯ ชุมนุมโดยมีอาวุธ ระบุจะขับไล่รัฐบาล ต้องถอดถอนหรือเลือกพรรคการเมืองใหม่ ไม่มีสิทธิ์ชุมนุมไล่ อย่างมากได้แค่วิจารณ์ เย้ยยุทธศาสตร์ “สงคราม 9 ทัพ” แสดงว่าพันธมิตรฯเป็นพวกพม่ากลับชาติมาเกิด ไม่ได้รักชาติจริง

ซัด “สนธิ” ขายชาติ ขายข้อมูลข่าวสารให้จีน

นายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ขึ้นปราศรัยบนรถหกล้อที่ดัดแปลงเป็นเวทีของ "กลุ่มต่อต้านอำนาจนอกระบบ ปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง" ซึ่งเป็นผู้ชุมนุมที่เคลื่อนไหวมาปักหลักที่หน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อต่อต้านกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยชุมนุมกันในช่วงเช้าประมาณ 400 คน

ทั้งนี้นายจรัล กล่าวว่า วันนี้เป็นวันสำคัญ เพราะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะบุกทำเนียบรัฐบาลหลังจากที่กลุ่มพันธมิตรฯวางแผนอยู่ทุกวันว่าจะบุกทำเนียบฯ โดยใช้ยุทธวิธี "สงครามเก้าทัพ" ซึ่งเป็นสงครามที่พม่าเคยยกมาตีไทย ดังนั้นการที่พล.ต.จำลอง ศรีเมืองและแกนนำพันธมิตรฯคนอื่นๆ ใช้วิธีนี้เท่ากับเป็นพม่ากลับชาติมาเกิดไม่ได้รักชาติจริง ส่วนนายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ไม่ได้รักชาติจริง เพราะสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี จดทะเบียนในประเทศจีนและมีสำนักงานอยู่ที่ฮ่องกง ขายข้อมูลข่าวสารให้ประเทศจีนทุกวันมา 4-5 ปีแล้ว อย่างนี้นายสนธิเป็นคนรักชาติหรือขายชาติกันแน่ คนที่พูดว่ารักชาติแล้วโจมตีคนอื่น คนนั้นแหละที่ขายชาติและใช้แผนสงคราม 9 ทัพ มาบุกทำเนียบฯ

นายจรัล กล่าวต่อว่า ประชาชนมีสิทธิจะไล่รัฐบาลได้เพียง 2 วิธีคือ 1)ไม่เลือกตั้งพรรคการเมืองที่ไม่ต้องการ 2) ยื่นถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนการชุมนุมโดยอ้างเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญนั้นมีเสรีภาพในการชุมนุมที่ทำ ได้เพียงการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลแต่ไม่ใช่มาชุมนุมขับไล่รัฐบาลที่มาจากการ เลือกตั้ง และการชุมนุมขับไล่รัฐบาลเป็นการกระทำที่เกินขอบเขตตามรัฐธรรมนูญมาตรา 63 ดัง นั้น เมื่อมีกลุ่มพันธมิตรฯมาไล่รัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ประชาชนย่อมเสียหายเราต้องปกป้องรัฐบาลและนี่เป็นเหตุผลที่ง่ายที่สุด การที่เราเลือกปกป้องรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช เท่ากับเป็นการปกป้องระบบรัฐสภาและปกป้องระบอบประชาธิปไตย

"พันธมิตรฯชุมนุมนอกกฎหมาย นอกระบบ เป็นการชุมนุมเถื่อน พี่น้องต้องเข้าใจ มองปัญหาให้ออกอย่าไปเชื่อว่าเขา (กลุ่มพันธมิตรฯ) มีเสรีภาพในการชุมนุม เพราะการชุมนุมต้องทำโดยปราศจากอาวุธ แต่เขากลับมีอาวุธ ดังนั้นเขาหมดเสรีภาพในการชุมนุมานานแล้ว"นายจรัลกล่าว

นายจรัล กล่าวโจมตีรัฐธรรมนูญ 2550 ด้วยว่า เป็นพันธนาการที่มัดแข้งมัดขาทำให้รัฐบาลไม่สามารถทำงานได้ ฉะนั้นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งตนได้ตั้งคณะกรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และพบปะประชาชนทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เวลานี้ร่างรัฐธรรมนูญที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อได้เสนอต่อสภาแล้ว หลังการตรวจสอบจะส่งกลับมาที่สภา และต้องบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ประชาชนลง 5 หมื่นรายชื่อ เข้าสู่การประชุมพิจารณาอย่างแน่นอน ขอให้พ่อแม่พี่น้องร่วมสนับสนุนแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป

"ที่รัฐธรรมนูญแก้ไขได้ยาก เพราะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์ และส.ว.ที่มาจากการสรรหา พยายามคัดค้านการแก้ไข คนพวกนี้คงนิยมรัฐธรรมนูญเผด็จการ จึงปกป้องคุ้มครองหวงแหน กอดรัดรัฐธรรมนูญเผด็จการ แสดงว่าฝักใฝ่เผด็จการไม่เป็นประชาธิปไตย การชุมนุมของพวกเราในวันนี้เป็นเหตุเป็นผลของการปกป้องรัฐบาลประชาธิปไตย กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นเรื่องเดียวกัน"นายจรัลกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในบริเวณที่กลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ ปักหลักชุมนุมอยู่นั้น มีประชาชนนั่งฟังปราศรัยใต้เต้นท์ผ้าใบสีขาวที่กางไว้บนถนนราชดำเนินหน้า กระทรวงเกษตรฯ โดยข้างเวทีปราศรัย มีการนำน้ำดื่มบรรจุขวดมาวางกองไว้ รวมทั้งข้าวกล่องจำนวนมากที่บรรจุใส่หลังรถกระบะเพื่อสำหรับแจกจ่ายผู้ชุมนุมและทีมงาน

สำหรับสถานที่ราชการในบริเวณเดียวกัน อาทิ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ค่อนข้างเงียบเหงามีเจ้าหน้าที่เดินออกมานอกอาคารอย่างบางตา บางคนระบุว่าตนเองไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ที่ชุมนุมของกลุ่มต้านพันธมิตรฯ เพราะตนใส่เสื้อเหลือง ขณะที่กลุ่มต้านพันธมิตรฯ สวมเสื้อแดง จึงเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย และในช่วงเวลา 12.00 น. เจ้าหน้าที่ของ กระทรวงการท่องเที่ยว แจ้งให้ผู้สื่อข่าวทราบว่า พวกเขาได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ตั้งแต่เที่ยงวัน โดยเพิ่งรับทราบคำสั่งดังกล่าว



แม่ทัพภาคที่ 1 เผย นายกฯ เรียกหารือ ไม่ได้สั่งการเป็นพิเศษ

แม่ทัพภาคที่ 1 เผย นายกรัฐมนตรีเรียกหารือเพื่อให้ร่วมประเมินสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยไม่มีคำสั่งการเป็นพิเศษ พร้อมปฏิเสธทหารจะออกมาควบคุมสถานการณ์ในขณะนี้

นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ใช้เวลาหารือร่วมกับ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พลโทประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นการเรียกประชุมเป็นกรณีเร่งด่วนหลังกลุ่มพันธมิตรฯ สามารถฝ่าแนวสะกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลได้เป็นผลสำเร็จ โดยหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายกรัฐมนตรีได้หลบไม่ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนซึ่งเฝ้าติดตามการหารือในครั้งนี้อยู่บริเวณด้านนอกอาคารสโมสรทหารบก

ขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการทหารบกปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ในทุกประเด็น ทั้งกรณีนายกรัฐมนตรีเรียกประชุม และจะมีแนวโน้มการนำพระราชบัญญัติบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินมาเป็นมาตรการควบคุมการชุมนุมหรือไม่ โดยมีเพียง พลโทประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 ที่กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า นายกรัฐมนตรีได้เชิญมาร่วมรับฟังและประเมินสถานการณ์การชุมนุมร่วมกันโดยไม่มีการสั่งการอะไรเป็นพิเศษ พร้อมกับปฏิเสธการใช้กำลังทหารออกมาควบคุมสถานการณ์ในขณะนี้



แกนนำกลุ่มนปก.แสดงจุดยืนปกป้องระบอบประชาธิปไตย

“หมอเหวง” ประกาศจุดยืนปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ระบบรัฐสภา และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ด้าน ตำรวจย้ำไม่ใช้ความรุนแรง-ไม่ใช้กำลังสลายม็อบ เมื่อการชุมนุมอยู่ในกรอบกม.

นายแพทย์เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปก. กล่าวหลังการนำผู้ชุมนุมกลุ่มนปก. ออกมาเคลื่อนไหวบริเวณหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า ทางนปก.ได้สลายการชุมนุมที่บริเวณดังกล่าวและจะเดินทางกลับไปปักหลักรวมตัวกันที่บริเวณท้องสนามหลวงดังเดิม โดยยืนยันที่จะประกาศหลักการเพื่อแสดงจุดยืน ในการปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ระบบรัฐสภา และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากประเมินสถานการณ์แล้ว ตนรู้สึกกังวลว่าจะเกิดรัฐประหารขึ้น ซึ่งก็นิ่งนอนใจในเรื่องดังกล่าวไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาการเกิดเหตุการณ์รัฐประหารในปี 2534 หรือการปฏิวัติเมื่อปี 2549 ต่างก็ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเช่นกัน

ส่วนการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งนั้น นายแพทย์เหวง กล่าวอีกว่า การเปลี่ยนแปลงก็สามารถทำได้ แต่ต้องเป็นไปตามระบบรัฐสภา ไม่ใช่เป็นไปตามยุทธวิธีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกำลังกระทำอยู่ ซึ่งถือว่าไม่ถูกต้องระบอบประชาธิปไตย

ด้าน พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การเคลื่อนขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยเป็นบทพิสูจน์ว่าตำรวจยังคงใช้นโยบายการปฏิบัติงานที่ไม่ใช้กำลังความรุนแรง

พร้อมกันนั้น ยังยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีการใช้กำลังเข้าการสลายการชุมนุม ตราบใดที่การชุมนุมนั้นปราศจากอาวุธ ภายใต้กรอบกติกากฎหมาย โดยพบว่าแกนนำพยายามที่จะรักษาสิทธิของตนเอง ไม่ได้ก่อความวุ่นวาย เมื่อเป็นเช่นนี้ตำรวจก็ยืนยันเจตนาเดิมคือไม่ทำร้ายประชาชน ไม่มีภาพพจน์ที่เลวร้ายเกิดขึ้น

"มีการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วว่า ผู้ชุมนุมไม่ได้มีการใช้อาวุธอุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดความรุนแรงตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดการณ์ไว้ ไม่ว่าจะเป็นหนังสติ๊ก คันธง หรือไม้เบสบอล แต่ใช้วิธีการเดินเคลื่อนขบวนโดยใช้แรงดันผลักเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา แต่เนื่องจากผู้ชุมนุมมีเป็นจำนวนมากทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้านทานเอาไว้ไม่อยู่" พล.ต.ต.สุรพล กล่าว



"หมอเลี้ยบ" เผยนักลงทุนสับสน วอนพันธมิตรฯ นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม

รมว.คลัง วอน พันธมิตรฯ คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชน ชี้เป็นการซ้ำเติมให้ประเทศ เศรษฐกิจยิ่งบอบช้ำมากขึ้น ด้าน “สมัคร” เรียก ผบ.ทบ.หารือด่วน

นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการเคลื่อนขบวนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไปยังหน้าทำเนียบรัฐบาลว่า นักลงทุนและฝ่ายต่างๆ ยังคาดเดาไม่ได้ว่าผลสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร จึงอยากให้กลุ่มพันธมิตรฯ คำนึงถึงผลกระทบต่อส่วนรวมและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

ถึงแม้เป็นสิทธิที่กระทำได้ แต่มองว่าการยืนยันปักหลักหน้าทำเนียบรัฐบาลยิ่งจะทำให้ประเทศบอบช้ำมากขึ้นไปอีก เพราะไม่รู้ว่ามีวัตถุประสงค์อะไร และการปักหลักหน้าทำเนียบรัฐบาลจะทำให้ประเทศดีขึ้นหรือไม่ ดังนั้น อยากให้คำนึงถึงประโยชน์ต่อประชาชนและส่วนรวม

รายงานข่าวแจ้งว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เรียก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาค 1 และนายธีรพล นภรัมภา เลขาธิการนายกรัฐมนตรี หารือด่วนที่สโมสรกองทัพบก ถ.วิภาวดีรังสิต



“จตุพร” จี้ตำรวจเด็ดขาด หากพันธมิตรฯ บุกรุกทำเนียบ

วอร์รูมรัฐบาล เรียกร้องตำรวจใช้มาตรการเด็ดขาด หากกลุ่มพันธมิตรฯ บุกรุกทำเนียบ ระบุนายกรัฐมนตรีพร้อมชี้แจงทางทีวีทำความเข้าใจกับประชาชน

นายจตุพร พรหมพันธุ์ คณะทำงานศูนย์วิเคราะห์ติดตามการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้มาตรการในการจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างเด็ดขาด หากมีการบุกรุก หรือรุกล้ำเข้าในเขตทำเนียบรัฐบาล และจากการหารือกับนายกรัฐมนตรีหากเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงกว่าที่ปรากฏ นายกรัฐมนตรีจะชี้แจงและทำความเข้าใจกับประชาชนทางสถานีโทรทัศน์ ซึ่งที่น่าเป็นห่วงขณะนี้คือความพยายามของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ต้องการให้เกิดการนองเลือด

นายจตุพร กล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยังมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาได้ สำหรับการนำพระราชกำหนดภาวะฉุกเฉินมาประกาศใช้นั้น คงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็น

ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนนตรี ได้ประเมินสถานการณ์และยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีแนวคิดที่จะใช้กำลังกับกลุ่มผู้ชุมนุม และย้ำกับประชาชนว่านายกรัฐมนตรี จะยังบริหารประเทศตามความชอบธรรมต่อไป พร้อมฝากไปยังแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯให้ปฏิบัติต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเหมือนกับคนไทยด้วยกัน และรักษาทรัพย์สินของทางราชการ ให้สมศักดิ์ศรีของมาตุภูมิของประเทศ รวมทั้งประชาชนไม่ควรวิตกกังวล เพราะรัฐบาลจะไม่ใช้ความรุนแรงกับประชาชนอย่างแน่นอน



"นพดล" ชี้รัฐบาลมาจากเลือกตั้ง ฉะพันธมิตรฯ ไม่เคารพประชาธิปไตย

"นพดล" ค้านแนวคิด "บิ๊กจิ๋ว" ชี้รัฐบาลมีเสียงข้างมาก มาจากเลือกตั้ง แต่มีพวกป่วนเมือง ตั้งแก๊งค์สร้างปัญหา เชื่อม็อบเคลื่อนหน้าทำเนียบตำรวจคุมอยู่

นายนพดล ปัทมะ รมว.การต่างประเทศ กล่าวถึงการเคลื่อนขบวนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจากสะพานมัฆวานรังสรรค์เพื่อไปยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลว่า คิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะดูแลบ้านเมืองของเราเป็นอย่างดี ถ้าหากในอนาคตเรายอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก แล้วมีคนตั้งกลุ่มขึ้นมามีสมาชิก 4-5 พันคน เพื่อมาล้อมทำเนียบรัฐบาล มันก็ไม่จบสิ้น ทั้งที่ความจริงประชาธิปไตยต้องฟังเสียงข้างมาก

นายนพดล ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เสนอให้ยุบสภาและให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีลาออก เพื่อให้พรรคฝ่ายค้านจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และพรรคฝ่ายค้านรวมกับพรรคร่วมรัฐบาลจัดตั้งรัฐบาลว่า พล.อ.ชวลิต มีสิทธิแสดงความคิดเห็น แต่ตนไม่เห็นด้วยกับความคิดของท่าน เพราะรัฐบาลทำงานมา 4 เดือน และกำลังเร่งพยายามแก้ปัญหาของประชาชนอยู่ ตอนนี้ก็มีเรื่องน้ำมันแพง อาหารแพง

“รัฐบาลก็ไม่ได้ทำทุจริต อีกทั้งไม่ได้คอรัปชั่น และรัฐบาลก็มีเสียงจากประชาชน ดังนั้นก็มีความชอบธรรม ซึ่งขณะนี้ปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น เพราะมีบางส่วนไม่เคารพกติกาประชาธิปไตย และไม่ยอมรับคนที่ได้รับจากเลือกตั้งจากประชาชน ตอนนี้รัฐบาลยังสามารถทำงานได้ และยังมีเสียงข้างมากอยู่ในสภา”นายนพดล กล่าว



“คนรักทักษิณ” ออกรถแห่ทั่วเชียงใหม่ชวนคนร่วมเวทีต้านพันธมิตร

“สมาพันธ์ชาวเหนือเพื่อประชาธิปไตย” เปิดเวทีค้านพันธมิตรฯ พร้อมทั้งสนับสนุนการแก้ไข รธน.50 เป็นนัดที่สอง เย็นวันพรุ่งนี้ คาด “สุรชัย แซ่ด่าน” ร่วมขึ้นเวทีด้วย

ช่วงสายวันนี้ ที่บริเวณข่วงประตูท่าแพ ในตัวเมืองเชียงใหม่ กลุ่มสมาพันธ์ชาวเหนือเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดรถขบวนแห่พร้อมเครื่องเสียงขับวนรอบไปทั่วตัวเมืองเชียงใหม่ เชิญชวนให้ประชาชนออกมาร่วมการจัดเวทีสำแดงพลังต่อต้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จะจัดขึ้นที่บริเวณข่วงประตูท่าแพในวันพรุ่งนี้ (21 มิ.ย.51) ตั้งแต่เวลา 16.00 น. โดยกลุ่มสภาประชาชนภาคเหนือ ที่ประกอบด้วย สมาพันธ์ชาวเหนือเพื่อประชาธิปไตย สมาพันธ์คนรากหญ้า และ OTOP กลุ่มคนเดือนตุลาประชาธิปไตยภาคเหนือ กลุ่มหมู่บ้านคนเมือง และกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย

โดยการจัดเวทีนับเป็นการจัดขึ้นเป็นครั้งที่สอง หลังจากที่จัดขึ้นไปก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยเนื้อหาหลักของการจัดเวทีในครั้งนี้จะมุ่งโจมตีการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเรียกร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เหมือนกับการจัดเวทีในครั้งแรก

พร้อมกันนี้จะมีการเสวนาในหัวข้อ “ประชาชนปกป้องประชาธิปไตยได้อย่างไร” และ “รัฐธรรมนูญ 2540 ดีกว่า รัฐธรรมนูญ 2550 อย่างไร” ซึ่ง นายสุรชัย แซ่ด่าน หนึ่งในแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ จะเดินทางไปร่วมการจัดเวทีในครั้งนี้ด้วย

Friday, June 20, 2008

แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ปักหลักตั้งเวทีปราศรัยบริเวณแยกนางเลิ้ง


แยกนางเลิ้ง 20 มิ.ย. - หลังจากที่กลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนขบวนมาถึงบริเวณแยกนางเลิ้ง แต่ก็ต้องชะงักเนื่องจากมีด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดกั้นอยู่บริเวณด้านหน้าโรงเรียนราชวินิต มัธยม

ชมรายละเอียด สำนักข่าวไทย

อัพเดตเมื่อ 2008-06-20 14:25:48


พันธมิตรฯ ขึ้นเวทีปราศรัยแยกนางเลิ้งก่อนเคลื่อนเข้าทำเนียบฯ 17.00 น.

ทำเนียบฯ 20 มิ.ย. - แกนนำพันธมิตรฯ ขึ้นเวทีปราศรัยที่บริเวณแยกนางเลิ้ง ระบุกลุ่มพันธมิตรฯ จะมาสมทบกันที่นี่ โดย 17.00 น. วันนี้ จะเคลื่อนขบวนเข้าทำเนียบรัฐบาล

ขบวนของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่เคลื่อนผ่านสะพานเทวกรรมมา ตอนนี้อยู่ที่แยกนางเลิ้ง และ ขณะนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล กำลังขึ้นเวทีปราศรัย โดยเรียกร้องขอให้ตำรวจเปิดทางให้เข้ามา และยืนยันการดำเนินการครั้งนี้ จะเป็นการขับไล่รัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุด โดยกลุ่มพันธมิตรฯ จะเข้ามาจากหลายสายและมาสมทบกันที่นี่ โดยบอกว่า ให้รอเวลา 17.00 น. วันนี้ ที่ถนนทุกสายจะมุ่งตรงมาที่นี่ก่อนเคลื่อนขบวนเข้ามายังทำเนียบรัฐบาล

ขณะเดียวกัน ผุ้สื่อข่าวรายงานบริเวณถนนข้างวัดเบญจมบพิตร ว่า ตำรวจไม่ได้ตั้งด่านสกัดไว้ มีกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มาจากการรวมตัวของ สรส.ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้านั้น ขณะนี้ได้แฝงตัวและหลุดรอดเข้ามาทางด้านสำนักงาน ป.ป.ช. ได้บางส่วน ซึ่งขณะนี้ตำรวจได้ตั้งจุดสกัดแล้ว

ขณะที่ บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เจ้าหน้าที่ตำรวจตรึงกำลังแน่นหนา ป้องกันกลุ่มพันธมิตรฯ ก้าวล้ำเข้ามา ส่วนทางด้านแกนนำพยายามที่จะฝ่าวงล้อมของตำรวจเข้ามาด้วย .- สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-06-20 13:10:00




สมัคร ปฏิเสธให้ความเห็นม็อบพันธมิตรฯ


นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อเตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน (อาเซียน ซัมมิท) ครั้งที่ 14 ที่ กระทรวงการต่างประเทศ ถ.ศรีอยุธยา วันนี้ ( 20 มิ.ย.) ว่า เป็นการประชุมเตรียมความพร้อม เนื่องจากประเทศไทยมีวาระที่จะดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน รวมทั้งจะมีการปรับบทบาทการทำงานของอาเซียนใหม่ เพื่อให้มีความผูกพันกันมากขึ้น รวมทั้งซักซ้อมแผนในช่วงที่ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน ผู้นำประเทศคู่เจรจา และผู้นำสหประชาชาติ มาร่วมประชุม ที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 15 – 18 ธ.ค. นี้ ซึ่งเบื้องต้นกำหนดให้เป็นวันหยุดของโรงเรียนใน กทม.

อย่างไรก็ตาม นายสมัคร ปฏิเสธจะให้ความเห็น เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการเคลื่อนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไปที่ทำเนียบรัฐบาล ในช่วงบ่ายวันนี้ โดยกล่าวเพียงว่าให้ไปถามผู้ที่รับผิดชอบ.- สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-06-20 11:46:46


ยั่วไม่ขึ้นถ้าไม่รับมุก!


ถือฤกษ์ชิงตัดหน้าดวงดาว

ก็คงไม่ต้องเดาสถานการณ์แนวรบรอบล่าสุดที่ม็อบพันธมิตรฯส่งสัญญาณ เป่านกหวีดเคลื่อนขบวนจากสะพานมัฆวานฯถนนราชดำเนินล้อมทำเนียบรัฐบาล ในบ่ายวันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน ก่อนที่ดาวอังคารจะย้ายจากราศีกรกฎเข้าสู่ราศีสิงห์ในวันที่ 21 มิถุนายน

ตั้งท่าจ้องหักดิบกันให้ได้ภายในสัปดาห์นี้

ไฟต์บังคับเดิมพันสุดสายป่าน ต้องลุยเล่นก่อนหมดมุก ฮึดก่อนหมดหน้าตัก

และก็ยิ่งเพิ่มดีกรีเร้าใจเข้าไปใหญ่ “สิงห์เหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย อ้างแหล่งข่าวระดับอดีตนายทหารยศพลเอก จปร.7 ที่เคยติดคุกการเมืองด้วยกัน แต่ไม่ระบุว่าเป็น พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ยืนยันข้อมูลว่า มีการขนอาวุธเข้ามาในกรุงเทพฯแล้วส่วนหนึ่ง

คาดว่าจะนำมาสนับสนุนการก่อสถานการณ์ความวุ่นวาย

เผาหัวม็อบซะร้อนจี๋เลย

แต่ก็ยังเย็นอยู่ได้ แม้จะมีประโยคแหลมๆแรงๆจากปากของ “ลุงหมัก” นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ประเภทที่ว่า

ไม่มีเหตุผลที่กลุ่มคนจากข้างถนนจะมาไล่คนที่มาจากการเลือกตั้ง

แต่ประเมินจากที่ “ลุงหมัก” พูดระหว่างการชี้แจงและมอบนโยบายให้กับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ยืนยันจะใช้ความอดทน

ไม่ใช้ความรุนแรงกับม็อบ

และจะไม่ใช้อำนาจเพื่อนำ กอ.รมน.มาเป็นเครื่องมือ เพราะยังเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดูแลการชุมนุมของม็อบพันธมิตรฯได้

ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้กำลังทหารเข้าดูแลสถานการณ์

ในโทนเดียวกับ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ยืนยันไม่ได้สั่งการให้กองทัพดำเนินการอะไรเป็นพิเศษกับผู้ชุมนุม

เพราะทหารจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง

พร้อมทั้งระบุในการเรียกหารือ ผบ.ทบ.พร้อมผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายกฯสมัครได้กำชับให้ตำรวจควบคุมดูแลสถานการณ์ เน้นที่สร้างความเข้าใจและหลีกเลี่ยงการใช้กำลังรุนแรง

“ลุงหมัก” กับ “บิ๊กป๊อก” ศูนย์รวมอำนาจยังไม่ส่งสัญญาณ

และก็เป็นอะไรที่ได้คิวพูดในจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็ม นายสุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นบนเวทีสัมมนา “บทบาทของทหารอาชีพกับประชาธิปไตย” จัดโดยกระทรวงกลาโหม

วิเคราะห์กันแบบตรงไปตรงมา การยึดอำนาจในปี 2549 จนถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่าจะจบลงตรงไหน กองทัพกำลังติดกับตัวเอง

เพราะการเมืองต้องการลากกองทัพเข้าสู่สถานการณ์

และการยึดอำนาจปี 2549 น่ากลัว เพราะเป็นการสร้างแนวคิดให้ทหารเด็กๆมองว่า อำนาจกำลังรบ สามารถเปลี่ยนเป็นอำนาจการเมืองได้ การยึดอำนาจทำได้ไม่ยาก

“สังคมไทยตอนนี้ ต้องอ่านหนังสือเรื่องสติของท่านพุทธ-ทาสภิกขุให้มาก ถ้าปัญญาไม่เกิด สติไม่กลับ ก็เตรียมสวดมนต์ ไว้ได้อย่างเดียว หากสังคมเกิดปัญหาแล้วไปเอาทหารออกมา ปัญหาจะตามมา หากจะทำอะไรตอนนี้ก็คิดหน้าคิดหลังให้ดี”

อาจารย์ชิงดักคอบนเวทีวิชาการ

และก็เป็นมวยเหมือนกัน พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ รองโฆษกกระทรวงกลาโหม รีบออกตัวแทนทหาร

ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา กองทัพได้ยินเสียงชาวบ้านบ่นเข้าหูมาตลอด ซึ่งกองทัพต้องปรับตัวตามความต้องการของสังคม แต่ถามว่าความต้องการจริงๆของสังคมคืออะไร

ถ้ากองทัพออกไปช่วย จะช่วยได้หรือไม่

“ต้องยอมรับว่า พล.อ.อนุพงษ์เป็นคนหนักแน่น ท่านบอกว่าจะไม่ยุ่ง แต่ก็มีคนมายั่วแทบทุกวัน ตอนนี้กองทัพแทบจะนั่งวิปัสสนารายอาทิตย์”

การันตีแทนนาย

สรุป นักวิชาการก็ดักทาง ทหารก็ระวังตัว

นาทีนี้ยังยั่วไม่ขึ้น.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน



ถ้าตีตร.-จับได้เลย ชุมนุมระทึก บุกทําเนียบวันนี้


ทุกฝ่ายเฝ้าจับตาและลุ้นระทึกว่า ในวันที่ 20 มิ.ย.นี้ แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะนำผู้ชุมนุมเคลื่อนพลจากสะพานมัฆวานรังสรรค์ไปปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จหรือไม่ ในขณะที่ฝ่ายทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งตำรวจได้เตรียมพร้อมรับมือการปิดล้อมทำเนียบฯของกลุ่มผู้ชุมนุมไว้แล้ว

ปล่อยข่าว ตร.จะสลายการชุมนุม

ความเคลื่อนไหวเมื่อเช้าวันที่ 19 มิ.ย. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่ากลุ่มพันธมิตรฯได้ปักหลักอยู่ที่สะพานมัฆวานฯมานาน 26 วันแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าเจ้าหน้าที่จะสลายการชุมนุมอย่างชัดเจน จนเที่ยงคืนวันที่ 18 มิ.ย. ก็มีข่าวว่าจะมีการสลายการชุมนุม แต่จนเวลาประมาณ 02.00 น. วันที่ 19 มิ.ย. ก็มีข่าวว่า รัฐบาลเปลี่ยนแผนการสลายการชุมนุม ส่วนที่รัฐบาลปล่อยข่าวว่า พันธมิตรฯเตรียมซ่องสุมอาวุธร้ายแรง ไว้ใช้ต่อสู้กับตำรวจนั้นไม่เป็นความจริง และในคืนวันที่ 19 มิ.ย. ขอให้นักข่าวเตรียมตัวให้พร้อมจะได้ไม่ตกข่าวเด็ด เพราะเป็นอีกคืนที่ล่อแหลมต่อการสลายการชุมนุม อย่างไรก็ตาม ถ้าตำรวจจะเข้ามาสลายโดยการจับกุม ก็จะต้องมีหมายจับ ไม่เช่นนั้นตำรวจจะผิดทันที

ระบุกลุ่มชุมนุมไปทำเนียบฯแค่ขอยื่นหนังสือ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าตำรวจมีการกั้นแนวตามทางที่กลุ่มพันธมิตรฯจะเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบฯ จะแก้ไขอย่างไร พล.ต.จำลองกล่าวว่า ถึงตำรวจกั้น พวกเราก็จะไป ติดอยู่ตรงไหน ก็จะหยุดอยู่ตรงนั้น แล้วพวกเราจะไม่มีการบุกเข้าไปในทำเนียบฯ แม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเปิดประตูให้เข้าไป แต่จะยื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และไม่พยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกต่อไป ส่วนเรื่องที่กลัวว่าจะเกิดความรุนแรง ตนไม่กลัว เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้เป็นคนที่ทำให้เกิดความรุนแรง ถ้าจะเกิดก็ต่อเมื่อรัฐบาลลงมือทำ โดยใช้ตำรวจหรือทหารเป็นเครื่องมือ เตรียม 5 ตัวแทนสืบเจตนารมณ์หากถูกจับ

ต่อข้อถามว่า รูปแบบการเคลื่อนที่ไปยังทำเนียบฯ วันที่ 20 มิ.ย. เป็นอย่างไร พล.ต.จำลองกล่าวว่า ได้ประกาศไปแล้วว่าให้ทยอยไปเจอที่หน้าทำเนียบฯ บ่ายโมงตรง แล้ว 5 แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ จะร่วมเดินทางไปด้วย ถ้าแกนนำทั้ง 5 คน ถูกจับไปก็มีการเลือกตัวแทนอีก 5 คนไว้แล้ว เพื่อสืบสานเจตนารมณ์ของพวกเรา กลุ่มพันธมิตรฯได้เตรียมแจกเสื้อกันฝนเพิ่ม เพื่อให้ผู้ชุมนุมนำเสื้อกันฝนใช้ป้องกันแก๊สน้ำตา

อ่านรายละเอียดต่อ ไทยรัฐ



สมัคร ลั่นทุ่มงบบริหารจัดการน้ำ

เมื่อเวลา 08.30 น. วานนี้ (19 มิ.ย.) ที่ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ 213-216 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา 2 นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาและเป็นองค์ปาฐกพิเศษ หัวข้อ “แนวนโยบายในการจัดการทรัพยากรน้ำในประเทศไทย” ในการสัมมนาแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการและยั่งยืนของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการแก้ไขปัญหาน้ำ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายเสนาะ เทียนทอง เป็นประธานคณะกรรมาธิการฯ นายสมัครกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสนใจในเรื่องการบริหารจัดการน้ำได้ติดตามดำเนินการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะโครงการผันน้ำจากแม่น้ำโขงซึ่งเราจะทำควบคู่ไปกับการขุดลอกคูคลองและแหล่งน้ำต่างๆเพื่อให้มีที่รองรับและระบายน้ำ โดยจะทำทันทีรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณเพื่อการบริหารจัดการน้ำทั่วประเทศประมาณ 300,000 ล้านบาท และพร้อมให้ความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการแก้ไขปัญหาน้ำ สภาผู้แทนราษฎร ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการและยั่งยืนโดยพร้อมจะให้มีการขุดลอกคูคลองภายในปีนี้

เดินหน้าเต็มที่สร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น

“ทั้งนี้ อยากฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลเรื่องการก่อสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะเห็นว่าหากก่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็นประโยชน์ กับประชาชนอย่างแน่นอน ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ดำเนินการต่อ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลได้รับรู้ถึงปัญหาวิกฤตการณ์ น้ำที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆและเห็นว่าการสร้างเขื่อนเพิ่มขึ้นมีความจำเป็น เพื่อรองรับพื้นที่การเกษตรและผลิตกระแสไฟฟ้า ในอีก 2 วันนี้ จะเดินทางไปประเทศลาว เพื่อดูงานที่เขื่อนน้ำงึมตลอดจนโครงการก่อสร้างเขื่อนน้ำงึม 2 และ 3 เนื่องจากมีโครงการจะต่อเชื่อมน้ำมาใช้ในพื้นที่ภาคอีสานของไทยรวมถึงโครงการต่อเชื่อมระบบแหล่งน้ำต่าง ๆ ทั่วประเทศโดยเฉพาะในภาคเหนือและอีสานเพื่อสนับสนุนภาคการเกษตรในพื้นที่ต่างๆ” นายกฯกล่าว



กองทัพมาร 'ย่ำยีสถาบัน ใช้พระบรมฉายาลักษณ์เป็นกันชนเตรียมปะทะ'



ชมภาพรายละเอียดได้ที่ thai-grassroots

ฝ่ายต่อต้านทักษิณแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ พวกนิยมทักษิณยังเหนียวแน่นเหมือนเดิม

บทความโดย...ลูกชาวนาไทย


ก่อนการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 นั้น ทักษิณ โดนรุมแบบ "กฐินสามัคคี" จากหลายฝ่ายเช่น พวกอำมาตย์ พวกขวาจัด พวกสื่อ นักวิชาการ ชนชั้นกลางบางส่วน เอ็นจีโอ ฯลฯ คนพวกนี้รุมกันสะกรัมทักษิณแบบสามัคคีบาทา

หากวิเคราะห์ให้ลึกลงไปถึงฝ่ายที่ต่อต้านทักษิณแล้ว แท้ที่จริงก็คือ "คนชั้นกลางบางส่วน" ใน กทม. กับ คนภาคใต้ ทั้งภาค นั่นเอง

ส่วนกลุ่มที่นิยมทักษิณนั้น คือ คนรากหญ้า และคนชั้นกลางแบบก้าวหน้าในโลกไซเบอร์ทั้งหลาย

เมื่อพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้ง และได้จัดตั้งรัฐบาล กลุ่มพันธมิตร ซึ่งจะให้พูดตรงๆ คือ นอมินีของพวกอำมาตยาธิปไตย และผู้มีอิทธิพลนอกรัฐธรรมนูญ และพวกมือที่มองไม่เห็น แต่คนรับรู้ได้กันทั่วประเทศทั้งหลาย พวกนี้พาคนของพวกตนลงประท้วงกลางถนน ปิดถนน เรียกร้องให้รัฐบาลแลนายกฯสมัครลาออก ทั้งๆ ที่รัฐบาลเพิ่งตั้งมาได้
4 เดือนเศษเท่านั้ ผมคิดว่าจุดนี้เอง ก่อให้เกิดความแตกแยกในกลุ่มต่อต้านทักษิณอย่างรุนแรง

บางส่วนของกลุ่มที่เคยต่อต้านทักษิณ ไม่เห็นด้วยกับแนวทางสุดกู่ของพันธมิตร คนพวกนี้ก็แยกตัวออกมา เช่น พวกริบบิ้นสีขาว พวกเอ็นจีโอบางกลุ่ม หรือพวกนักวิชาการบางส่วน เช่น นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นต้น

คนพวกนี้เริ่มคิดว่า สาเหตุของความขัดแย้งทางการเมืองของไทยที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น และไม่อาจมองทางออกได้ แท้ที่จริงนั้นไม่ใช่มีสาเหตุมาจากทักษิณทั้งหมดเสียแล้ว แต่มีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น

พวกนี้เริ่มวิเคราะห์แก่นแท้ของปัญหา ว่ารากเหง้าสาเหตุของปัญหาคืออะไร ทำไมความขัดแย้งครั้งนี้มันถึงได้ยาวนานและไร้ทางออกเช่นนี้ เมื่อพวกเขาเริ่มวิเคราะห์หาสาเหตุ คนเหล่านี้ก็จะต้องเจอความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว มันถึงจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ จุดเปลี่ยนของโครงสร้างอำนาจทางการเมือง ที่อำนาจทางการเมือง เริ่มไหลออกไปจากคนชั้นกลางในเมือง และคนชั้นสูงทั้งหลาย ไปสู่คนชนบท คนรากหญ้า เรียกว่า Power shift ทักษิณแค่ "เข้าไปครองตลาดได้ก่อนเท่านั้น"

เมื่อคนชั้นรากหญ้าตระหนักในอำนาจของตน และรู้ว่าหนึ่งคะแนนของพวกเขามีผลอย่างมหาศาลต่อการเมืองไทย มีผลต่อความกินดีอยู่ดีของพวกเขา จำนวนที่มากกว่าของคนรากหญ้า และการออกคะแนนเสียงเป็นกลุ่มก้อน ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน ทึ่คนทุกคนต่างมีหนึ่งเสียงเท่ากัน ไม่ว่ามหาเศรษฐีหมื่นล้าน ศักดินาชั้นสูง หรือชาวนารับจ้าง ไม่ว่าจบด็อกเตอร์ เป็นศาสตราจารย์ หรือจบแค่ ป. 4 ในสังคมประชาธิปไตยยต่างมีอำนาจเท่ากัน มีหนึ่งเสียงเท่ากัน คนรากหญ้าก็ต้องชนะเลือกตั้งอยู่วันยังค่ำ พรรคการเมืองที่คนรากหญ้าสนับสนุน ย่อมชนะเลือกตั้งอย่างแน่นอน

พวกสื่อบางส่วนเริ่มสำนึกในความจริงเหล่านี้ และเริ่มเสนอข่าวที่เป็นกลางมากขึ้น แม้ว่าส่วนใหญ่จะยังเป็น สื่อเสี้ยมอยู่ก็ตาม

ทหารและกองทัพไทย ที่ทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลของประชาชนแล้วปกครองไม่ได้ ทำให้ทหารใม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดทางการเมืองอีกต่อไป แม้ว่าทหารจะยังมีพลังอยู่บางส่วนก็ตาม แต่เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่เอา ทหารก็ไม่สามารถฝืนความจริงพ้น การขู่จะทำรัฐประหารจึงไม่ใช่สิ่งที่ฝ่ายต่อต้านรัฐประหารจะกลัวอีกต่อไป เพราะขืนทำรัฐประหาร ล้มรัฐบาลพลเรือนที่มาจากเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง จะต้องโดนนานาชาติ คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจแน่นอน และสุดท้ายก็จะไปไม่รอด


"แกนนำของพวกศักดินา" รอบ ๆ ป.สี่เสา และอื่น ๆ (หวังว่าคงทราบว่าอื่นๆ คืออะไร) พร้อมใจกัน "บารมีเสื่อมโทรมทั่วหน้า" เมื่อเทียบกับ เมื่อสามปีก่อน ที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง ไม่กล้าแม้แต่จะคิด ตอนนี้เริ่มมี "อารยะขัดขืน" ไม่ยืน...บ้างแล้ว

แต่ในทางตรงกันข้าม พวกนิยมทักษิณผมว่าส่วนใหญ่ที่เป็นชาวรากหญ้ายังเหนียวแน่นเหมือนเดิม ยิ่งภาวะข้าวราคาแพง ฐานคะแนนเสียงของพรรคพลังประชาชน ไม่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมากนัก ราคาน้ำมันแพง ก็ไม่ค่อยกระทบคนชนบทมากนัก ทำให้แรงกดดันในชนบทที่เป็นฐานคะแนนเสียงหลักของพวกนิยมทักษิณ ไม่กระเทือนแต่อย่างใด

สำหรับคนชั้นกลางนั้น ผมว่าขณะนี้กำลังเสียงแตก บางพวกแหยงที่จะเลือกข้าง บางคน พยายามที่จะทำตัวไม่สนใจการเมือง เพราะไม่สามารถหาทางออกให้กับตนเองได้ ไม่สามารถตอบคำถามตัวเองได้อย่างซื่อสัตย์ ว่าความวุ่นวายทางการเมืองสามปีที่ผ่านมานี้ เกิดจากคนชั้นกลาง ที่ไม่ยืนอยู่บนหลักการประชาธิปไตย และใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล

ตอนนี้ พวกนักวิชาการที่มีฐานมาจากคนชั้นกลางเหล่านี้ ต่างแย่งชิงกัน เสนอทางเลือกที่สาม เช่น ไปให้พ้นจากความขัดแย้งของการเมืองแบบสองขั้ว พวกริบบิ้นสีขาว ฯลฯ คนพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นคนชั้นกลาง ไม่ใช่คนรากหญ้า ตลาดการเมืองที่แนวคิดเหล่านี้จะขายได้คือ ขายให้กับคนชั้นกลางด้วยกัน คนชั้นกลางที่เมื่อการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เทคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์ หากสามารถขายแนวคิดนี้ได้ เสียงของพวกนี้จะแตก และแยกตัวออกไปเลือกพรรคทางเลือกที่สาม พวกนี้จะไปดึงคะแนนจากพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพวกนี้คือพวกต่อต้านทักษิณเดิม แต่เริ่มสับสนว่าทักษิณ อาจไม่ใช่ปัญหาหลัก ทักษิณไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง

สถานการณ์ตอนนี้ "ฝ่ายเรายังเข็มแข็ง" ศัตรูนั้นแตกออกเป็นหลายพวก ไม่เป็นเอกภาพ สับสนทางด้านแนวคิด อุดมการณ์ และ "เข็มมุ่ง"

ทิศทางรวนเร ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ตรงกันข้ามกับพวกนิยมทักษิณ ที่จุดมุ่งหมายไม่เปลี่ยนแปลง คือ "ประชาธิปไตย ต้องมาจากเลือกตั้ง และต้องยอมรับเสียงข้างมาก"

สังคมไทยตอนนี้ การเสนอทางออกจากวิกฤต โดยกลุ่มต่างนั้น เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ไม่ต้องมีใครเสนอทางออกหรอกครับ ไม่อย่างนั้นปัญหามันจะไม่จบ การสมานฉันท์ โดยซุกปัญหาไว้ใต้พรม จะทำให้รอยร้าวมากยิ่งขึ้น

สังคมย่อมมีทางออกของมันเอง วิกฤตการณ์ทุกอย่างมีทางออกของมันเสมอ เหมือนคำกล่าวสำคัญที่ว่า Life has its own way. คือ ชีวิตย่อมมีทางออกของมันเอง ชีวิตย่อมไม่ถึงทางตันแน่นอน ประเทศไทยมีวิกฤตการณ์หลายครั้งแล้ว เราเคยเสียกรุง เสียเอกราชก็ถึงสองครั้งแต่ประเทศไทยก็ไม่ล่มสลาย

ราชธานีเคยถูกเผา ราชวงศ์เคยถูกโค่น กษัตริย์เคยถูกจับไปเป็นเชลย ประชาชนเคยถูกกวาดต้อนไปจนเป็นเมืองร้าง แต่ประเทศไทย และคนไทย ก็ยังอยู่บนแผ่นดินนี้ได้ ชีวิตย่อมมีทางออกของมันเอง คนทุกคนเกิดมาต้องตาย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า

ไม่ตายแบบเลือดท่วม ก็ต้องตายบนเตียง ป่วยตาย หรือแก่ตาย แต่สรุปคือ "ตายทุกคน" ดังนั้น จะนองเลือกก็ให้มันนองไป โลกไม่มีเคยมีคนตายมากกว่าคนเกิด เพราะ "คนเกิดกับคนตายจะเท่ากันพอดี"

ดังนั้น ไม่ต้องเสนอทางออกในการแก้ปัญหาแล้วครับ ปล่อยให้สังคมมันแก้ปัญหาด้วยตัวของมันเอง

ทางออกย่อมมี และจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสังคมในขณะนั้นเสมอ

จาก thaifreenews

เมืองพันธมาร เมืองนอกกฎหมาย!

คอลัมน์: บทบรรณาธิการ

เวลานี้ ทุกคนในชาติไทยของเรานั้นรู้ดีว่า ประเทศกำลังจะเกิดความไม่ปกติสุข มีกลุ่มผู้ก่อกวนประเทศให้เกิดความคิดเห็นที่แตกแยกเป็นสองฝ่าย เพื่อหวังการเผชิญหน้ากันในชาติของเรา มีการปลุกระดม ปลุกปั่นผู้คนด้วยข้อมูลที่บิดเบือนหลายอย่าง นำข่าวโป้ปดมดเท็จมาบอกกล่าว ซ้ำร้ายกว่านั้น เขายังบังอาจคิดตั้งเมืองของตัวเอง ซึ่งหลายคนให้ฉายานามว่า เมืองพันธมาร

สาเหตุที่ต้องให้ฉายาว่า “เมืองพันธมาร” เป็นเพราะคนเหล่านี้คบหามารศาสนาเป็นพวกพ้อง และถือได้ว่าเป็นสมาชิกกองกำลังหลักของเมืองแห่งนี้ ประกาศตนจะเป็นรัฐอิสระ ยึดถนนเป็นที่ระดมทุน เพื่อโค่นล้ม!!! รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งที่รัฐบาลเพิ่งเริ่มจะทำงานเป็นชิ้นเป็นอันไม่กี่มากน้อย

มีผู้นำเป็นของตนเอง

มีศาสนาเป็นของตัวเอง (ไม่ขึ้นตรงต่อมหาเถรสมาคม)

มีการ์ด หรือกองกำลังติดอาวุธ (ไม้เบสบอล ไม้หน้าสาม มีดสปาร์ต้า) เป็นของตัวเอง

มีจุดมุ่งหมายชัดเจน ที่คิดจะโค่นล้มรัฐบาลที่มาตามครรลองประชาธิปไตย คือมาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชน ได้ฉันทามตินี้มาเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ถือว่ามาตามกติกาของบ้านเมือง

ตามประวัติของคนเหล่านี้ ที่ทำตัวเป็นพวกป่วนชาติ ไม่รักษากติกา เขาเคยทำมาแล้วในวงการพระสงฆ์องค์เจ้า เพราะก่อนหน้านี้ “ลัทธิอุบาทว์” “กลุ่มนอกรีต” หรือ “มารศาสนา” ที่เข้าร่วมใน “เมืองพันธมาร” นี้ เคยไม่ยอมรับในกฎการปกครองสงฆ์ ตามที่พระพุทธศาสนาได้บัญญัติเอาไว้ ซึ่งเท่ากับเป็นการแข็งเมืองต่อ “มหาเถรสมาคม” องค์กรสูงสุดของสงฆ์ไทย

เขาห้ามอวดอุตริมนุสธรรม ก็จะทำ

เขาห้ามบิดเบือนพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธะ ก็จะทำ

เขาห้ามทำตัวเหมือนพระ ก็จะทำ

คนเหล่านี้ไม่ได้กริ่งเกรงกฎระเบียบกติกาของสังคมแม้แต่น้อย จึงบังอาจเหิมเกริมแสดงพลังหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

เป้าหมายคน เถื่อน ถ่อย สถุล พวกนี้ มีจุดประสงค์จะเปลี่ยนแปลงประเทศ ด้วยวิถีทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เคยมีแนวคิดถึงขั้นจะเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ โดยมักจะพูดเสมอว่า จะต้องสร้างสังคมใหม่บ้าง หรือบอกว่า เมื่อของเดิมไม่ดีก็ต้องมาร่วมกันสร้างใหม่บ้าง ถือเป็นอันตรายต่อประเทศชาติและสังคมไทย เป็นการทำลายความมั่นคงของชาติ โดยแท้จริง

มีการ ปลุกระดม ยุยง ปลุกปั่น ประชาชนให้กระด้างกระเดื่องต่อการปกครองของรัฐ หลายต่อหลายครั้ง หลายต่อหลายประโยค หลายต่อหลายคำพูด โดยการอ้างข้อมูลที่เป็นเท็จในหลายเรื่อง เช่น การขับไล่ 2 กกต. โดยกล่าวหาว่าเขาไปจีนเพื่อพบกับแกนนำพรรคการเมืองและรับสินบน ซึ่งเป็นเรื่องที่ กุขึ้นมาอย่างหน้าด้านๆ เพื่อทำร้ายทำลายความเชื่อมั่นของคนอีกฝ่าย เป็นต้น

เวลานี้เขาบอกว่า “ทุบหม้อข้าว บุกทำเนียบรัฐบาล”

รัฐบาลจะไม่รู้สึกรู้สา ปล่อยให้เขาขู่เอา ขู่เอา แบบนี้หรือ หรือว่าจะพอกันซะทีได้แล้ว จะให้ประเทศไทยเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนแบบนี้ต่อไป ไม่ต้องเคารพกฎเกณฑ์กติกาของสังคมอีกแล้วใช่หรือไม่? เอาแต่ความคิดของตน เอาแต่ใจของตนฝ่ายเดียว โดยไม่คิดถึงฝ่ายอื่นบ้าง มารวมพลังขับไล่ “เมืองพันธมาร” เมืองเถื่อน เมืองถ่อย เมืองสถุล นี่กันไหม?

มากกว่า...เลว

คอลัมน์ : โต๊ะข่าวประชาทรรศน์

พฤติกรรมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ออกมาป่วนบ้านเมือง ปิดถนน ทำตัวเกะกะระรานทำชาวบ้านเดือดร้อนไปทั่ว แถมทำตัวเป็นนักเลงโตด่ารัฐบาลทุกวี่ทุกวัน ด้วยเรื่องราวที่ไม่มีหลักฐานและเป็นเรื่องโป้ปดมดเท็จ ตลอด 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็เป็นพฤติกรรมที่น่าเอือมระอามากพออยู่แล้ว

และในทรรศนะผมก็ต้องบอกว่าเป็นพฤติกรรมที่ “เลว” ได้ใจสุดๆ

แต่เมื่อมาถึงวันนี้ได้เห็นพฤติกรรมของกลุ่มพันธมิตรฯ จะมีการเคลื่อนพลปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ขัดขวางการทำงานของรัฐบาล ที่มาตามวิถีทางประชาธิปไตย มีคนนับสิบล้านไว้วางใจให้เข้ามาทำงานบริหารบ้านเมืองกันในวันนี้

ยิ่งรู้สึกได้ว่า “โคตรเลว” ไปยิ่งกว่าเก่า

เป็นความชัดเจนว่าคนพวกนี้คิดแต่จะเอาชนะคะคาน โดยปราศจากเหตุผลมากขึ้นทุกวัน เรื่องราวที่ใช้ปราศรัยบนเวทีก็สะเปะสะปะ ชนิดที่เรียกว่ารัฐบาลจะหายใจเข้า หรือหายใจ

ออกก็เอามาด่าได้ทั้งหมด ทั้งที่หลายเรื่องยังไม่เกิดขึ้นจริง หรืออาจจะไม่ได้เกิดขึ้นด้วยซ้ำไป แต่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ยังเอามาใช้หลอกด่า ด้วยลีลาภาษาอย่าง “มีเหตุที่เชื่อได้ว่า...”

รวมทั้งเนื้อหาก็ยังหนักไปด้วยคำหยาบคาย ที่สะท้อนชัดถึงวุฒิภาวะ และพื้นฐานของคนพูดให้เห็นตัวตน ตลอดจนที่มาที่ไปได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ซ้ำยังมีเนื้อหาปลุกระดม และหลอกลวงพวกเดียวกันอยู่ตลอดเวลา โดยหวังจะสร้างความคึกคักให้กับการชุมนุม และสร้างความฮึกเหิมให้กับผู้คน อันเป็นยุทธวิธีเก่าๆ

รวมทั้งความพยายามในการเคลื่อนคนก็เช่นกัน เป็นสูตรสำเร็จของการสร้างม็อบ เพื่อกดดันหรือสร้างกระแสต่อรองโดยทั่วไป และที่มีการนัดหมายชุมนุมและเคลื่อนพลครั้งใหญ่ ก็เป็นเพราะหลากหลายยุทธวิธีที่งัดมาใช้ก่อนหน้านี้ ล้วนล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

รวมทั้งยังมีข่าวออกมาจากกลุ่มผู้ชุมนุมเอง ว่าการเคลื่อนกำลังกันในวันนี้ กลุ่มพันธมิตรฯ หมายมั่นปั้นมือที่จะให้เกิดการปะทะ หวังจะยั่วยุให้รัฐบาลใช้กำลังเข้าปราบปราม เพื่อใช้เป็นความชอบธรรมในการเชื้อเชิญทหารเข้าทำการปฏิวัติ หรือไม่ก็จะได้หยิบมาเป็นประเด็นให้ร้ายรัฐบาลในโอกาสต่อไป

การเตรียมการปะทะดังว่านี้ เห็นได้ชัดจากการที่กลุ่มกองทัพธรรม มูลนิธิ ในเครือข่ายของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ยอมอดหลับอดนอนสร้างโล่เอาไว้สำหรับกลุ่มแนวหน้าที่จะทะลวงการสกัดกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปสู่ทำเนียบรัฐบาลให้ได้

รวมไปถึงสิ่งที่คำว่า “เลว” ก็เอาไม่อยู่

คือโล่ทุกอันถูกติดไว้ด้วยภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ซึ่งหมายความว่าเป็นการนำเอาสถาบันเบื้องสูงมากดดันเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ไม่ให้กล้าเข้าปราบปราม ไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องโล่ที่คนพวกนี้หมายจะใช้ดึงดันไปให้ถึงที่หมาย

เป็นการแอบอิง หรือแอบอ้างเบื้องสูงอย่างเห็นได้ชัดแจ้ง

ทั้งที่ (ไอ้) คนพวกเดียวกันนี้ เคยพยายามกล่าวหาผู้คนในรัฐบาลอยู่บ่อยครั้งว่าเป็นคนที่ไม่จงรักภักดี จาบจ้วงสถาบันอันเป็นที่เทิดทูนของคนไทยทั้งประเทศ

แต่ขณะเดียวกันกลับไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่นั้น หมายความว่าอย่างไร

จริงอยู่ว่ากองทัพธรรมมูลนิธิ อันมีรากเหง้าจากลัทธิสันติอโศก เป็นลัทธินอกรีต ที่อาจจะไม่เลื่อมใส ไม่ศรัทธา และไม่เคารพต่อสถาบันศาสนา

อันเนื่องมาจากเป็นกลุ่มคนที่แม้จะมีการแต่งกายคล้าย ปฏิบัติกิจคล้าย แต่ก็มีความคิด และมีแนวทางที่แตกต่างจากศาสนาพุทธโดยสิ้นเชิง

แต่ก็ไม่นึกว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะมีความคิดหยาบช้าต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักและเคารพเทิดทูนยิ่งของคนไทยทั้งชาติ

ผมเชื่อแน่ว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยที่มีโอกาสได้ฟังกลุ่มพันธมิตรฯ ออกมากล่าวหารัฐบาลบ่อยครั้ง ก็อาจจะเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในรัฐบาลขึ้นมาได้บ้าง หรือบางคนก็อาจจะถึงกับคล้อยตาม

แต่ในเรื่องของการนำเอาสถาบันมาเป็นเรื่องต่อรองทางการเมือง เอามาบังหน้า แอบอ้างให้คนเข้าใจผิดต่างๆ นานา ที่มีแต่จะทำให้สถาบันแปดปื้อน ประชาชนส่วนใหญ่ต้องไม่เห็นด้วยแน่

ไม่นึกเลยว่านอกจากคนพวกนี้จะไม่ใส่ใจในความเป็นไปของชาติ เป็นคนไม่มีศาสนา แล้วยังเป็นพวกที่บ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงอีกด้วย...!!

บิ๊กโบ๊ต




แด่ “พันธมิตรฯ” และขบวนแห่พร้อมหางเครื่องที่กำลังขุดหลุมฝังศพตนเอง! (จบ)

คอลัมน์ : ฮอตสกู๊ป

เรื่องหนึ่ง : ราวๆ เดือนมีนาคม 2550 มีสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับพวกเรา...คือ

“สุริยะใส กตะศิลา” ได้เขียนอัตชีวประวัติของเขาเองเล่มหนึ่ง...ที่น่าตื่นเต้นนอกเหนือจากการจงใจทำปกหนังสือสี

“เหลือง” แล้วก็คือ ใน “คำนำ” ที่เขียนโดยเขาเอง กลับจงใจลงวันที่ “19 กันยายน 2549” (หนังสือออกเดือนมีนาคม 2550) เหมือนกับเขามีญาณอันวิเศษ ที่สามารถล่วงรู้ล่วงหน้าว่าวันนั้นจะเกิดการยึดอำนาจ “รัฐประหาร” ของเหล่าขุนศึกถ่อยทรามทั้งหลาย...

ที่น่าตกใจเป็นอันมาก...เมื่อเปิดอ่านไปถึงหน้าที่ 231 ในย่อหน้าสุดท้าย “สุริยะใส” ได้บอกเล่าไว้ว่า

“อีกทางด้านหนึ่ง พี่เปี๊ยก บำรุง บุญปัญญา และเอ็นจีโออาวุโส ของพวกเรา...พี่บำรุงโทร.มาหาผม และคุยด้วยความซีเรียสมากว่า

เฮ้ย! รอไม่ได้แล้ว คุณต้องประกาศมาตรา 7 นี่พูดก่อนที่คุณสนธิจะเสนออีก ผมตกใจมากว่าทำไมพี่บำรุงถึงพูดอย่างนั้น...”

บัดนี้...เวลาผ่านมาจะครบ 2 ปีแล้ว “พี่เปี๊ยก” ยังอยู่ดีกินดี นอนอุ่นอยู่หรือเปล่า! หรือจะยังตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จหลอก NGOs เด็กๆ ไปเรื่อยๆ อยู่อีก...หากเป็นพวกเรา คงต้องหลีกลี้จากยุทธภพ ออกบวช หรือวางดาบกันแล้ว...พฤติกรรมเยี่ยงนี้ พวกเราและพวกเขาล้วนเรียกกันว่า “อีแอบ”...อยากให้ “พี่เปี๊ยก” ที่เคารพของน้องๆ ออกมาประกาศตัวว่า อยู่เคียงข้าง “พันธมิตรฯ” ตรงๆ จะสง่างามสมกับสมญานาม “ราชสีห์อีสาน” ไม่ใช่ “แมวน้อย” ที่แอบหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ข้างเสาบ้าน...

เรื่องหนึ่ง : มีการเคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชนในภูมิภาค ทั้งเหนือ กลาง อีสาน ใต้ เพื่อให้สนับสนุน “พันธมิตรฯ” อย่างออกนอกหน้าและลับหลัง ยิ่งช่วงหลังการเลือกตั้ง ส.ส. ส.ว. และมีการจัดตั้งรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช แล้ว ยิ่งมีการโหมโรงอย่างหนัก

และเมื่อพวกเราหันไปตรวจสอบข้อมูล พบว่าในช่วงการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. พวกเราได้พบกับข้อมูลที่น่าตื่นเต้นอีกครั้ง เมื่อบรรดา NGOs ที่ปากก็ว่า กูนี่แหละ “ภาคประชาชน” กูนี่แหละ “รักประชาธิปไตย” ฉิบหาย! พวกเขาได้กระทำการ “ฆ่าตัวตายแบบรวมหมู่” โดยแห่แหนกันไปลง ส.ว. สรรหา ซึ่งพวกเขานึกว่าฝ่ายทหาร คมช. อำมาตยาธิปไตย จะตบท้ายรางวัลให้กับความจงรักภักดีของพวกเขาเหล่านั้น...แต่ก็ต้องผิดหวังก็ไปหลายคน

เมื่อตรวจดูรายชื่อแล้ว...พวกเรายิ่งตกใจใหญ่ “บ๋า!...มีชื่อ สมภพ บุนนาค NGOs ขาใหญ่ในอีสาน ที่รักชาติรักประชาธิปไตย เข้าป่าเป็นสหายของ พคท. มาแล้วด้วยโว้ย!!!...”

พวกเราจึงไม่แปลกใจเมื่อ “พันธมิตรฯ” ประกาศรายชื่อคณะทำงาน 6 ชุด เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2551 จึงพบชื่อ สมภพ บุนนาค อยู่ใน “คณะกรรมการตรวจสอบการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและความยากจน” เคียงข้างกับบรรดา “ซ้ายเก่า” เช่น เทิดภูมิ ใจดี “นักเคลื่อนไหวภาคอีสาน” บำรุง คะโยธา อวยชัย วะทา NGOs ใหญ่ภาคใต้ บรรจง นะแส NGOs ที่กำลังเติบใหญ่ภาคเหนือ สุริยันต์ ทองหนูเอียด...

พวกเราจึงไม่แปลกใจที่ผู้มีชื่อข้างต้นดังกล่าว บางคนก็ออกแถลงการณ์สนับสนุน “พันธมิตรฯ” อย่างออกนอกหน้า บางคนก็เข้าร่วมเวทีไฮปาร์กที่สะพานมัฆวานฯ...ซึ่งคนกลุ่มนี้พวกเราและพวกเขาก็ยังเห็นว่ามีความเป็นลูกผู้ชายดี ที่ประกาศชัดเจนว่าตนเองเชื่อ หรือเลือกที่จะเชื่ออะไร? ในประเด็นนี้คนในยุทธจักรขอนับถือและพร้อมที่จะต่อสู้กันทางความคิดต่อไป (ซึ่งไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อจะเป็นสัจธรรมหรือไม่!)

เรื่องหนึ่ง : ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว เมื่อมิตรสหายอาวุโสหลายคนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับ กสส. มายาวนาน กลับกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญวิชาเคมี ชอบเล่นแร่แปรธาตุ พวกเราจะเรียกเขาว่า “นักเคมี” เพราะอะไร? น่ะหรือ...

ก็เพราะต่อหน้าพวกเราก็ป่าวประกาศ “...ไม่เอาแล้วกับพันธมิตรฯ บทเรียนที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่า รัฐประหารไม่ช่วยอะไรประชาชนเลย...สถานการณ์อย่างนี้ต้องเล่นบทอยู่บนภู ดูเสือกัดกันดีที่สุด...” พวกเรา กสส. ก็หลงดีใจ ในท่าทีกลางๆ ในครั้งนี้ ซึ่งก็ยังดีกว่าแต่ก่อนที่เลือกแทงหวย “พันธมิตรฯ” (ทำให้ไม่ร่วมสังฆกรรมกันกว่า 2 ปี)

แต่ไอ้หยา อาตือ!!! ไม่ว่าจะเป็น วิพัฒนาชัย พิมพ์หิน (กป.อพช.อีสาน) พิทยพันธ์ แวะศรีภา (สอท.) สน รูปสูง (ช.สสอ.) ไม่เพียงแต่ประสานงาน...สั่งการตามสายจัดตั้ง ให้ระดมคนเข้าไปช่วยเหลือ “พันธมิตรฯ” เพราะกลัวรัฐบาลสมัครสลายม็อบ!! (แต่ไม่ยักกะมีคนไป...สงกะสัยไม่มีค่ารถ...ฮา ฮา ฮา)

เท่านั้นยังไม่พอ ที่มันน่าเจ็บกระดองใจยิ่ง กล่าวคือ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2551 ที่ จ.ขอนแก่น มีการสัมมนาวิเคราะห์สถานการณ์ และแถลงข่าวขององค์กรภาคีเข้าร่วม (นัยว่ามี ภุชงค์ กนิษฐชาต อดีตหอกข้างแคร่พวกเราเอง) ได้ร่วมกันแถลงข่าวสนับสนุนการชุมนุมของ “พันธมิตรฯ” แบบสุดจิตสุดใจ

เอาล่ะพวกเขาเหล่านี้อาจจะได้รับข้อมูลเพียงด้านเดียวจาก ASTV พวกเราต้องช่วยกันเติมข้อมูลอีกด้านให้พวกเขาได้เอาไปพิจารณา...และให้พวกเขาใช้ “วิภาษวิธี” ที่ต่างก็ร่ำเรียนมาในอดีต วิเคราะห์ สังเคราะห์ แล้วนำไปกำหนดบทบาทของตนเองใหม่...

กระนั้นก็ดี มิตรสหายหลายคนถามว่า...ทำไมพวกเขาเหล่านี้จึงเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ มีเหตุผลอะไร? และใช้อะไรคิด?...มันถึงได้ผิดเพี้ยนได้ขนาดนี้หนอ!

ซึ่งในที่นี้มิบังอาจให้คำตอบ หรือมิบังอาจจะมีคำตอบได้...จะมีเพียงข้อสังเกตที่ว่า ที่ผ่านมาคงมีปัญหาเรื่องวิธีคิด หรือพวกเขาไม่เคยได้รับการฝึกฝนกระบวนการคิดอย่างถูกต้อง และเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ จังๆ หรือที่ผ่านมาพวกเขาเหล่านี้เป็นเพียง “ซ้ายท่องจำ” ที่หนักหนาสาหัสพอๆ กับ “ซ้ายทารก”!!!

ควรต้องกล่าวด้วยว่า การเคลื่อนไหวใดๆ ก็แล้วแต่ในช่วงนี้ ไม่ว่าจะหยิบประเด็น “น้ำมัน” “ข้าวยากหมากแพง” ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาปากท้อง หรือประเด็นปัญหาพื้นฐาน ที่พวกเราก็เคารพและเห็นด้วยมาตลอดว่า ไม่ว่ารัฐบาลใดก็ตาม พวกเราต้องสนับสนุนให้พี่น้องประชาชนนำปัญหาพื้นฐานของตนเองระดมเข้าไปให้รัฐบาลในช่วงต้นๆ 2-3 เดือนแรก (ตีไก่ง่วง) ซึ่งจะเป็นช่วงชุลมุนที่พี่น้องประชาชนมีโอกาส “ฟลุก” ได้รับการแก้ไขจริงๆ ได้

แต่การเคลื่อนไหวของพี่น้องภาคอีสานช่วงวันที่ 3 และ 9 มิถุนายน 2551 นั้นกลับมีปัญหาตรงที่พวกเขาได้แสดงเจตจำนงตั้งแต่แรกเริ่มว่า อยู่ข้าง “พันธมิตรฯ” ทำให้มิตรสหายหลายคน “มิอาจเข้าร่วมได้” ...เพราะการเคลื่อนไหวดังกล่าวนอกเหนือจากไม่สอดคล้องกับ “ภาววิสัย” แล้ว มันก็คือ “แนวร่วมด้านบวก” ของ “พันธมิตรฯ” นั่นเอง เพราะพวกเขาพุ่งเป้าไปที่ให้ “รัฐบาลแก้ไขปัญหา หากแก้ไขไม่ได้ให้ลาออกไป” มันก็คือ “ธง” ใบเดียวกันกับพันธมิตรฯ แต่จะ “สี” เดียวกันหรือไม่? อันนี้ยังน่าสงสัยอยู่...

การเคลื่อนไหวแบบนี้นอกจากจะสุ่มเสี่ยง และฉวยโอกาสเอียงขวาแล้ว ยังทำให้พี่น้องสับสน และจะไม่ไว้วางใจพวกเขาอีกต่อไปแล้ว

กลับตัวกลับใจเถิดนะฮะ ยังทันเวลา...ประชาชนพร้อมให้อภัย

...แต่พวกเขาทั้งหลายได้กระทำผิดอย่างมหันต์ พวกเขาได้ “ทรยศ” ต่อประชาชน ซึ่งมันคือ “ตราบาป” ไปชั่วชีวิต!!!

...มีทางเดียวคือ พวกเขาต้องน้อมกายลงกราบแทบเท้าประชาชนเท่านั้น พวกเขาจึงจะให้อภัยจริงๆ!!!

แด่ “พันธมิตรฯ” และขบวนแห่พร้อมหางเครื่องที่กำลังขุดหลุมฝังศพตนเอง

กลุ่มสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมอีสาน (กสส.)

เครือข่ายขบวนคนรุ่นใหม่ภาคอีสาน (คคส.)

สหพันธ์เยาวชนอีสาน (สยส.)



พันธมิตรฯ ทุบหม้อข้าว เผาจริง...ไม่ได้โม้

คอลัมน์ : รายงานพิเศษ

“ทุบหม้อข้าวหม้อแกง” คือยุทธวิธีการต่อสู้แบบปิดทางแพ้ แพ้ไม่ได้ เพราะเสบียงถูกทุบทำลายสิ้นแล้ว ความหวังเดียวที่จะรอดตายก็คือ เสบียงของศัตรูที่จะไปเอากันดาบหน้า จึงหมายความว่า เราต้องเป็นผู้ชนะเท่านั้น การประกาศทุบหม้อข้าวหม้อแกงจึงมีความหมายในด้านจิตวิทยาอย่างมาก เพื่อบ่งบอกผู้ร่วมเรียงเคียงบ่าว่า “จะไม่มีวันยอมแพ้”

กับการต่อสู้ที่มวลชนเริ่มอ่อนแรงด้วยเหตุผลต่างๆ นานา การ “ขีดเส้นตาย” ตรงหน้าก็ทำให้กลับมาคึกคัก ตื่นตัวกันได้อีกเฮือก หลังจากที่เคยเกือบฝ่อไปแล้ว

คำประกาศประเภท “ปิดบัญชี” “แตกหักวันนี้” หรือ “ทุบหม้อข้าวหม้อแกง” จึงถูกนำมาใช้เสมอโดยแกนนำ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อแสดงถึงความกล้าหาญเกรียงไกร และที่สำคัญคือเอาจริง ไม่ใช่แค่ปาหี่อย่างที่ใครหลายคนกล่าวหา

เพียงแต่ว่า เมื่อประกาศ “ปิดบัญชี” กันบ่อยๆ แต่รุ่งขึ้นก็กลับทำรายการฝาก-ถอนกันเหมือนเดิม ครั้งแล้วครั้งเล่า คำพูดที่น่าจะสร้างความคึกคักห้าวหาญเลยกลายเป็นแค่วาจาจืดๆ

จืดจนเมื่อได้ยินคำ “ทุบหม้อข้าวหม้อแกง” ของการที่พันธมิตรฯ จะเดินไปชุมนุมปิดทำเนียบในวันศุกร์นี้ ใครหลายคนจึงเฉยๆ เพราะเคยตื่นเต้นมาแล้วแทบทุกศุกร์ แต่ก็ปิ๋ว...

เพียงแต่คราวนี้เป็นการประกาศที่ไม่ควรมองข้าม...

เป็นการประกาศทุบหม้อข้าวหม้อแกง ที่แว่วเสียงมาว่า “เอาจริง!”

อย่า ลืมว่าพันธมิตรฯ มี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง

ที่มีความหมายแตกต่างจากคนอย่าง พิภพ ธงไชย สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ หรือ สมศักดิ์ โกศัยสุข

เพราะ 3 คนหลังนี้ มีที่มาจากการเมืองภาคประชาชน

แต่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง มีที่มาจากความเป็น จปร.7

เป็นนายทหารที่ชำนาญและเชี่ยวชาญ “การรบ” เป็นอย่างดี มากกว่าแค่ทฤษฎีจากตำรา

ความเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ คราวนี้ ที่บทบาท พล.ต.จำลอง สูงมาก จึงไม่ควรที่จะมองข้ามยุทธวิธีของพันธมิตรฯ ไม่ว่าในกรณีใดๆ

การเคลื่อนไหวไปยังทำเนียบรัฐบาลครั้งนี้ จึงไปเพื่อที่ “เหยียบจมูก” รัฐบาลกันเห็นๆ

ไปถึงกล่องดวงใจ เพื่อให้เกิด “ปฏิกิริยา” จากฝ่ายรัฐ และฝ่ายสนับสนุนรัฐ ที่ต่อต้านพันธมิตรฯ

พลันที่เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง ซึ่งอาจหมายถึงการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าสลายการชุมนุม ก็เข้าทางพันธมิตรฯ ที่ต้องการให้เกิด “ความโกลาหล” โดยมีมวลชนกลุ่มหลักที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นตัวล่อ

และมีกองโจร “ดาวกระจาย” ออกเพิ่มความวุ่นวายในมุมเมืองต่างๆ

เมื่อนั้น ภาพความรุนแรงชุลมุนก็จะเกิดขึ้นไปทั่ว จนยากที่รัฐจะจัดการควบคุม เว้นแต่จะใช้กำลัง

เมื่อนั้น ก็ชอบธรรมอย่างยิ่งแล้วที่ “มือที่สาม” จะเข้ามาในฐานะ “อัศวินม้าขาว” เพื่อช่วยสงบสถานการณ์โกลาหลที่รัฐจัดการไม่ได้ ไม่ให้บานปลายกลายเป็นความสูญเสียนองเลือด

และเมื่อนั้น ทั้งแนวคิด “รัฐบาลแห่งชาติ” “รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์” หรืออะไรต่อมิอะไรที่เคยได้รับการเสนอไว้จากบุคคลผู้มากต้นทุนทางสังคมหลายท่าน ก็คงได้รับการหยิบมาพิจารณากันจริงจัง

และในเมื่อเกิดการซ้ำรอยติดต่อกันของประวัติศาสตร์การเมืองเช่นนี้ พวกเสียงดังทั้งหลายก็คงไม่มีใครยอมให้ “พรรคพลังประชาชน” หรือเงาของพรรคพลังประชาชน ได้เป็นรัฐบาลอีกแล้ว ชนิดที่การเลือกตั้งก็ช่วยอะไรไม่ได้

ปิดประตูตายให้พรรคนี้ สมความตั้งใจที่พันธมิตรฯ สู้อุตส่าห์ตากแดดตากฝนมานาน

วันนี้ ถ้าเกิดก็เกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่เกิด

แต่ถ้าเกิด ตัวละครที่จะได้รับการจารึกในฐานะผู้ร้ายร่วมกัน ก็จะมีเพียงรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช กับ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ของ 5 แกนนำเท่านั้น

ขออนุญาตพูดภาษาชาวบ้าน ก็คือ เป็นไปได้ว่าจะ “หมาทั้งคู่”

กลุ่มใดที่คิดจะไปสอด จึงควรคิดให้หนัก โดยเฉพาะกลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ ที่ไม่เป็นกลุ่มเป็นก้อน แต่ถูกเรียกเหมารวมกันเสมอว่าเป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.)

หากมีการโผล่ไป “แจม” คราวนี้ ก็มีโอกาสเต็มที่ที่จะกลายเป็นตัวละครที่สาม

เป็นตัวละครที่อาจถูกทั้ง 2 กลุ่มแรก ป้ายขี้ว่าเป็นตัวต้นเหตุความรุนแรงเอาได้ดื้อๆ

ใครที่คิดจะประกาศศักดาต่อหน้ากลุ่มพันธมิตรฯ ในวันศุกร์นี้ จึงสมควรตรองอีกที เพราะศุกร์นี้อาจไม่หน่อมแน้มเหมือนศุกร์อื่นๆ

จะปล่อยให้คนที่จะพลาด ก้าวพลาดเอาเอง หรือจะโผล่ไปช่วยแบกรับความผิด ก็คิดเอา

ถ้ามันโชคดีเหมือนศุกร์ 13 ที่ดันไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วไป

ถ้าเชื่อ...ว่าโชคดีมันมีหลายครั้ง



จ่อประจาน-ดำเนินคดีป.ป.ช.ละเว้นสางคดีบ้าน‘หญิงเป็ด’

สุดทนพฤติกรรม “จารุวรรณ-ป.ป.ช.” ทำเงียบไม่ยอมสร้างความกระจ่างกรณีคฤหาสน์หรู 50 ล้านบาท หากยังไม่มีความคืบหน้า ภาคประชาชนเตรียมลุยเดินสายทั่วประเทศฟ้องสังคมถึงพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลของทั้งคู่ หวั่นทำไม่รู้ไม่ชี้เพราะใกล้ชิดกันอย่างกับพี่น้องท้องเดียวกัน พร้อมกันนั้นยังต้องแจ้งความดำเนินคดีกับ ป.ป.ช. ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

กรณีคฤหาสน์หรูของ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่มีการร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เอาไว้เมื่อหลายวันที่ผ่านมา ปรากฎว่าจนถึงขณะนี้เรื่องก็ยังเงียบหาย โดยตัวคุณหญิงจารุวรรณ เองก็ยังบ่ายเบี่ยงไม่ชี้แจงต่อสังคม และ ป.ป.ช. ก็ยังคงอ้างว่ายังไม่เห็นเรื่องดังกล่าว นำมาซึ่งความกังขา เพราะทั้ง 2 หน่วยงานนี้มีความใกล้ชิดแนบแน่นกันจนน่ากังวล

นายชินวัฒน์ หาบุญพาด นายกสมาคมพิทักษ์ผลประโยชน์ผู้ขับรถแท็กซี่ กล่าวว่ากรณีบ้านของคุณหญิงจารุวรรณ ที่จะฟ้องกลับกลุ่มติดตามการปฏิรูปการเมืองและต่อต้านการคอร์รัปชั่น (พีอาร์เอซี) ที่นำสื่อมวลชนไปดูบ้านบนถนนแจ้งวัฒนะ พร้อมประเมินว่าบ้านมีราคา 50 ล้านบาทนั้น คุณหญิงจารุวรรณเป็นผู้ที่ตรวจสอบคนอื่น คอยจับผิดว่าคนอื่นจะทุจริตอย่างไรบ้าง ดังนั้นคุณหญิงควรจะเปิดโอกาสให้หน่วยงานหรือองค์กรอื่นๆ เข้าไปตรวจสอบอย่างถึงที่สุดโดยไม่ต้องไปฟ้องร้อง

ขณะเดียวกันหลังจากกลุ่มพีอาร์เอซี ได้ไปยื่นเรื่องให้ตรวจสอบคุณหญิงจารุวรรณที่ ป.ป.ช.แล้วจนถึงวันนี้ก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ซึ่งเข้าใจว่าคุณหญิงจารุวรรณ กับคณะกรรมการ ป.ป.ช.เปรียบเสมือนกับพี่น้องท้องเดียวกัน จึงได้แต่รอเวลาสักระยะหนึ่งเพื่อดำเนินการขั้นต่อไป

“เวลานี้คุณหญิงจารุวรรณยังนิ่งเฉยต่อการเรียกร้องของสังคมให้มีการตรวจสอบบ้านที่สังคมไม่เชื่อว่าคุณหญิงจะสร้างด้วยราคาเพียง 4 ล้านบาท ดังนั้นคุณหญิงจะต้องแถลงชี้แจงถึงที่มาที่ไปว่าบ้านหลังนี้มีรายละเอียดในการก่อสร้างอย่างไร ถ้าคุณหญิงชี้แจงต่อสังคมไม่ได้ รวมทั้งไม่มีความคืบหน้ากรณี ป.ป.ช.เพิกเฉย กลุ่มเราก็จะต้องร้องต่อสังคมต่อไป”

แกนนำ นปก.กล่าวอีกว่า ถ้ายังไม่มีความชัดเจนใดๆ ตนตั้งใจว่าจะไปตั้งเวทีตามหัวเมืองใหญ่ๆ เพื่อประกาศให้พี่น้องประชาชนรู้ไว้ว่า ป.ป.ช.ละเว้นการปฏิบัติต่อหน้าที่ และแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป



ซัด'โพธิรักษ์’พระเถื่อนนอกรีต ตัวอันตรายต่อความมั่นคงชาติ

รองประธานศูนย์ส่งเสริมพระพุทธฯ ออกโรงซัดลัทธิสันติอโศก ตั้งตัวเป็น “พระเถื่อน” ออกมาเคลื่อนไหวร่วมกับม็อบข้างถนน สร้างความเสื่อมเสียให้กับพุทธศาสนา ต้องรีบจัดการอย่างจริงจัง หวั่นในอนาคตมีบทบาทการเมือง จะเป็นตัวการทำลายความมั่นคงชาติสร้างความแตกแยกต่อประชาชนและทุกศาสนาในเมืองไทย

หลังจากหลายฝ่ายร่วมวงไพบูลย์ออกมาเปิดโปง “สันติอโศก” กันเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดกระแสสังคมต่อต้านลัทธินอกรีตว่าเป็นบ่อนทำลายพระ ตามที่ “ประชาทรรศน์” ได้นำเสนอมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พล.อ.ธงชัย เกื้อสกุล รองประธานศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา กล่าวถึงกรณีกลุ่มสันติอโศกออกมาเคลื่อนไหวในทางการเมืองว่าเป็นการสร้างภาพความเสื่อมเสียให้พุทธศาสนา ซึ่งยังไม่รวมถึงการกระทำที่แต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์หรือปฏิบัติกิจตามหลักของพระสงฆ์ ทุกประการ ซึ่งจะส่งผลทำให้พระพุทธศาสนาขาดความน่าเลื่อมใสศรัทธาและเกิดการเข้าใจผิดได้

พล.อ.ธงชัย กล่าวอีกว่า การกระทำดังกล่าวอาจทำให้ประชาชนหลงเข้าใจผิด คิดว่าเป็นหนทางการปฏิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนา และแท้ที่จริงแล้ว เป็นไปตามหลักของนายโพธิรักษ์ที่ตั้งตนเป็นศาสดาต่างหากโดยต้องเรียกว่าเป็นพระเถื่อนด้วยซ้ำไป

ดังนั้น ตนจึงอยากขอเรียกร้องให้หน่วยงานทางราชการโดย เฉพาะอย่างยิ่ง สำนักงานพระพุทธศาสนาต้องรีบเข้ามาดูแลเอาผิดกับทางลัทธิสันติอโศกอย่างเคร่งครัดและจริงจัง เพราะมีหลักฐานปรากฏให้เห็นชัดเจน

“ผมไม่เข้าใจทำไมถึงยังมีคนวางเฉยในเรื่องนี้ ทั้งที่มีการปฏิบัติให้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้วว่าผิดกฎหมายและทำลายพุทธศาสนา” พล.อ.ธงชัย กล่าว

พล.อ.ธงชัย กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อพระพุทธศาสนาและเป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขอย่างจริงจัง เข้าข่ายเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ซึ่งสาเหตุคือมีการกระทำตัวคล้ายพระ แต่ไม่ยึดถือตามหลักธรรมคำสอนและไม่ยึดกฎเกณฑ์ที่มีการปฏิบัติสืบทอดตามหลักพระพุทธศาสนา

นอกจากนี้ประการสำคัญคือ การออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนทางการเมืองโดยที่ไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่ควรจะกระทำ และที่น่าเป็นห่วงคือในอนาคตหากทางสันติอโศกมีบทบาทในทางการเมืองอาจจะมีการบัญญัติตนเองขึ้นเป็นศาสนา ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นจริงจะเป็นบ่อนทำลายหลักคำสอนที่แท้จริงเพราะแนวทางของสันติอโศกมีแต่วิธีการที่แปลกแยกออกไปมาก และศาสนาอื่นๆ ที่มีการยอมรับอยู่ในประเทศไทยก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นอันตรายและน่ากลัวอย่างยิ่ง และไม่เพียงแค่นั้นจะเป็นการทำลายไปถึงความมั่นคงของประเทศชาติได้ด้วยเช่นกัน เพราะสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นต่อประชาชนหมู่มาก ทั้งพระสงฆ์ และบุคคลทั่วไป

“พวกสันติอโศก ผมอยากจะเปรียบเทียบโดยถือได้ว่าเป็นพวกที่ชอบเล่นนอกกติกา การสอนของโพธิรักษ์ถือได้ว่าเป็นกระทำที่ถือได้ว่านอกแนวทางประชาธิปไตย และกำลังดึงประเทศชาติบ้านเมืองสู่หายนะ” พล.อ.ธงชัย กล่าว