ที่มา มติชนออนไลน์
พรรคร่วมยื่นเงื่อนไข"ชวน"ผู้นำรัฐบาล"สุเทพ" ยันชู "อภิสิทธิ์"นั่งนายกฯ "เพื่อนเนวิน" สงวนสิทธิโหวตนายกฯ ลั่นไม่กลับไปซบเพื่อไทยอีก จ่อเข้าสังกัด "รช." "เสนาะ" ปัดร่วมก๊วนกับ ปชป. "เพื่อไทย" ชง"ชวรัตน์"ยุบสภาอธิการฯมธ.ยันยุบไม่ได้"วีระ"จี้ปชป.เคลียร์ปม"ปรส."
ปชป.ดึง4พรรค-เพื่อนเนวิน250เสียง
พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดึง 4 พรรค และ ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน โดยระบุว่าได้เกิน 250 เสียง ชิงจัดตั้งรัฐบาลตัดหน้าพรรคเพื่อไทยหรือพรรคพลังประชาชนเดิม ขณะที่ทางพรรคเพื่อไทยได้หารือกับแกนนำของพรรคเพื่อแผ่นดินและพรรคประชาราช ยืนยันจะตั้งรัฐบาลแข่ง โดยมีเสียงเบื้องต้น 228 เสียง
ทั้งนี้ เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 6 ธันวาคม หลังจากมีข่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์จะแถลงจัดตั้งรัฐบาล ผู้สื่อข่าวทยอยเดินทางไปที่โรงแรมสุโขทัย ย่านสาทร เป็นจำนวนมาก กระทั่งเวลา 17.00 น. นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ แจ้งกับผู้สื่อข่าวว่า ขอเลื่อนเวลาแถลงไปเป็น 17.45 น. เพราะแกนนำยังเดินทางมาไม่ครบ จากนั้นเวลา 17.45 น. นายสุเทพเดินทางถึงโรงแรมสุโขทัย ตามด้วยนางพรทิวา นาคาสัย อดีตเลขาธิการพรรคมัชฌิมาธิปไตย (มฌ.) และ ส.ส.ของพรรคบางส่วน นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ตัวแทนจากพรรคร่วมใจไทยชาติพัฒนา (รช.) ร.ต.หญิง ระนองลักษณ์ สุวรรณฉวี นายไชยยศ จิรเมธากร ตัวแทนพรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) โดย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตที่ปรึกษาพรรคชาติไทย (ชท.) เดินทางมาเป็นคนสุดท้าย โดยไม่มีตัวแทนจากพรรคประชาราชมาร่วมประชุม
จากนั้นผู้แทนจากทุกพรรคร่วมหารือในห้องนาลินีประมาณ 1 ชั่วโมง โดยมีรายงานข่าวในที่ประชุมเมื่อเวลา 18.00 น. ว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว โดยมีเสียงทั้งหมด 250 เสียง แบ่งเป็น ส.ส.ประชาธิปัตย์ 166 เสียง ส.ส.อดีตพรรคชาติไทย 15 เสียง ส.ส.อดีตพรรคมัชฌิมาธิปไตย 10 เสียง ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดินในสายของนายพินิจ จารุสมบัติ และนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ 22 คน ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน 37 เสียง
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ายังจะมีกลุ่มนายสรอรรถ กลิ่นประทุม ประมาณ 10 เสียง และกลุ่มนายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ 2 เสียง มาร่วมด้วย หลังจากนั้นตัวแทนพรรคการเมืองแถลงถึงเหตุผลที่ตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์
อ่านรายละเอียดต่อ มติชนออนไลน์
เพื่อไทย
Saturday, December 6, 2008
พรรคร่วมยื่นเงื่อนไข"ชวน"เป็นนายกฯ ก่อนหนุน ปชป.แกนนำตั้งรบ."กลุ่มเนวิน"โดดร่วมทิ้งเพื่อไทยคาดซบรช.
ในหลวงพระอาการประชวรดีขึ้นเป็นลำดับ
ที่มา ประชาทรรศน์
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร ฉบับที่ 2 คณะแพทย์ระบุพระอาการโดยทั่วไปดีขึ้น ทรงพระกรรสะ (ไอ) เล็กน้อย พระหทัยเป็นปกติ
คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รายงานพระอาการประชวรว่า พระอาการโดยทั่วไปดีขึ้น มีพระปรอท (ไข้) ต่ำกว่าเมื่อวานนี้ ทรงพระกรรสะ (ไอ) เล็กน้อย ผลการตรวจเอกซเรย์พระอุระไม่พบการอักเสบของพระปัปผาสะ (ปอด) และพระหทัย (หัวใจ) ปกติ ผลการตรวจพระเสมหะโดยกล้องจุลทรรศน์ซ้ำในวันนี้ไม่พบเชื้อแบคทีเรีย ผลการตรวจดีเอ็นเอของไวรัสไม่พบเชื้อไข้หวัดใหญ่ (Influenza A and B) และกำลังตรวจสอบเพื่อหาเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆ ต่อไป นอกจากนั้นยังเสวยพระกระยาหารเหลวได้มากขึ้น คณะแพทย์จึงได้ถวายน้ำเกลือผสมน้ำตาลทดแทนน้อยลง จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 6 ธันวาคม 2551
เปิดแถลงการณ์"เพื่อนเนวิน"พลิกขั้วเพื่อชาติสมานฉันท์
ที่มา ประชาทรรศน์
"กลุ่มเพื่อนเนวิน" ร่อนแถลงการณ์ ชี้แจงกรณีสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล ระบุจำเป็นต้องทำเพื่อความสมานฉันท์ในการฝ่าวิกฤติชาติ ยอมรับอาจสร้างความผิดหวังให้กับประชาชนบางส่วน พร้อมขอโทษรากหญ้า ระบุขอน้อมรับผลกระทบทางการเมืองที่จะตามมา
จากกรณีที่กลุ่มเพื่อนเนวินร่วมแถลงข่าวในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ที่โรงแรมสุโขทัยวันนี้ (6 ธ.ค.) และกลายเป็นประเด็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ในการย้ายขั้วครั้งนี้ อย่างไรก็ตามกลุ่มเพื่อเนวินได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงถึงการสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล และผลักดันนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีรายละเอียดว่า การตัดสินใจวันนี้เป็นการตัดสินใจที่ลำบากที่สุดของกลุ่ม เราใช้เวลาในการตัดสินใจครั้งนี้พอประมาณ และกลุ่มเพื่อนเนวิน คิดว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ที่จะแก้ปัญหาประเทศชาติในภาวะที่เกิดวิกฤติ เพราะฉะนั้นที่ประชุมทั้งหมดจะร่วมทำกิจกรรมการเมืองร่วมกับพรรคประชาชธิปัตย์ โดยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล และหวังว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะแก้ปัญหาของชาติได้ จากวิกฤตประเทศนำมาสู่เหตุการณ์วันนี้ พวกเราตระหนักดีเสียงประชาชนที่ทุกภาคส่วนต้องการเห็นประเทศเดินหน้าต่อไปได้ วันนี้พวกเราในนามกลุ่มเพื่อนเนวิน เห็นพ้องต้องกันที่จะทำให้ประเทศเราเป็นประเทศไทยที่น่าอยู่ และให้รัฐบาลเป็นรัฐบาลที่สามารถบริหารประเทศ ให้ประชาชนมีความ และนี่เป็นแถลงการณ์ฉบับที่สองของกลุ่ม
"ในวันเปิดประชุม พวกเราจะใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.ในการเลือกนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นจึงตัดสินใจเข้าพรรคการเมือง แต่ขอยืนยันว่าจะไม่เข้าเป็นสมาชิกเพื่อไทย การตัดสินใจนี้อาจสร้างความไม่พอใจประชาชนจำนวนหนึ่งที่สนับสนุนพรรคพลังประชาชน และขอเรียนว่า การตัดสินใจครั้งนี้มีความเจ็บปวดไม่น้อยกว่าประชาชนทุกคน แต่ในฐานะประชาชนคนไทย วันนี้ต้องคิดถึงปัญหาบ้านเมือง มากกว่าประโยชน์พรรคการเมือง พวกข้าพเข้าตระหนักดีว่าอาจได้รับผลกระทบทางการเมืองหลังการตัดสินใจครั้งนี้ แต่หากประเทศอยู่รอดประชาชนมีงานทำ การส่งออกกลับมาดี พวกข้าพเจ้าก็พร้อมรับผลนั้น เพื่อให้ไทยเดินหน้าต่อไปได้ เพราะวันนี้ประเทศของเราไม่อาจเสียเวลาอีกแล้ว พวกข้าพเจ้าขออภัยเพื่อนสมาชิกพรรคพลังประชาชน และประชาชนที่ไม่อาจดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในนามพรรคเดียวกันต่อไปได้ แต่ก็ยินดีทำงานร่วมกันในสภาผู้แทนฯ "
เคาะ 250 เสียง ปชป.จัดตั้งรัฐบาล"หนุ่มมาร์ค"นั่งนายกฯ
ที่มา ประชาทรรศน์
ล็อบบี๊ฝุ่นตลบ! โรงแรมสุโขทัยคึกคัก "เพื่อนเนวิน-ชาติไทยพัฒนา-เพื่อแผ่นดิน-มัชฌิมาฯ-รวมใจไทยชาติพัฒนา"สมทบ ปชป. แถลงจัดตั้งรัฐบาล ดัน"มาร์ค"นั่งนายกฯ "บุญจง"อ่านแถลงการณ์ ย้ำพลิกขั้วเพื่อความสมานฉันท์ภายในชาติ การันตี 37 ส.ส.ในกลุ่มไม่มีแตกแถว แย้มมีผู้แทนสนับสนุน 250 เสียง
วันนี้ (6 ธ.ค.)นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางกลับมาของคุณหญิง พจมาน ชินวัตร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า คงมีความวุ่นวายหนักหนาสาหัส และทราบกันดีอยู่แล้วว่าการกลับมาคงมีผลทางการเมือง ซึ่งตนก็ทราบข่าวว่าเมื่อคืนมีการโทรศัพท์กันมากมายในการติดต่อกันเป็นรายบุคคล ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไป
ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ กล่าวว่า อีก 2-3 วัน น่าจะมีการชัดเจนขึ้น เพราะต้องมีการหารือกันหลายนักการเมืองต่างๆ ต้องทบทวนสถานการณ์ และครุ่นคริดถึงแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม ซึ่งก็ต้องให้เวลาพอสมควรส่วนกระแสข่าวเรื่องการขอเปิดประชุมในวันที่ 12 ธ.ค. เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น ตนยังไม่ทราบข่าว เนื่องจากดูเหมือนว่าการรวบรวมรายชื่อของ ส.ส.ที่มีไปถึงสภาผู้แทนราษฏรให้นำความกราบบังคมทูลขอเปิดประชุมสมัยสามัญนิติบัญญัตินั้นรายชื่อดังกล่าวยังไม่ถึงมือประธานสภาฯ ตนจึงเห็นว่าการคิดเองว่าจะเลือกนายกฯ วันที่ 12 ธ.ค. จึงเห็นว่าข้อมูลดังกล่าวคงไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ตนยังเชื่อในสำนึกของบรรดา ส.ส.ส่วนใหญ่ ที่จะคิดถึงเรื่องของประเทศชาติก่อนคิดถึงเรื่องอื่น ทั้งนี้เห็นว่า การเปลี่ยนขั้วทางการเมืองยังสามารถเกิดขึ้นได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการติดต่อประสานกับกลุ่มเพื่อนเนวินหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนในฐานะเลขาธิการพรรคฝ่ายค้าน เมื่อมีเหตุการณ์บ้านเมืองก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อน ส.ส. ทุกกลุ่ม ที่เคยรู้จักกัน ก็เห็นว่าทุกคนคิดเรื่องอนาคตบ้านเมืองทั้งนั้น
“ไม่ได้ไปชักชวนใคร แต่หากมีเพื่อน ส.ส.ที่เห็นว่า อยากจะมาร่วมทำงานกับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคก็ยินดีต้อนรับ มีส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลมาติดต่อขอสมัครเป็นสมาชิกพรรคประมาณ 2-3 คน ซึ่งได้ขอให้ตรวจสอบเรื่องข้อกฎหมายให้ชัดเจน เนื่องจากพรรคที่ถูกยุบต้องมีพระราชกฤษฏีกายุบพรรคก่อน จึงจะสามารถหาพรรคใหม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นช่องว่างอยู่และต้องการเวลา”
เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวส่วนกระแสข่าวเรื่องมีเงื่อนไขเสนอให้ นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อแลกกับการย้ายเข้ามาสังกัดพรรคนั้น ตนไม่เคยเห็นใครเสนอเงื่อนไขดังกล่าวเลย พร้อมทั้งยืนยันว่าถ้ามีการเปลี่ยนขั้วจริง พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังเสนอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี
ด้าน น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวถึงสถานการณ์ในเวลานี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังมีความเป็นห่วงเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจ ดังนั้นผู้นำที่จะเข้ามาบริหารประเทศคนต่อไปต้องไม่สร้างเงื่อนไขใน 3 คือ 1. พรรคร่วมรัฐบาลต้องทบทวนหากจะผลักดันให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีเนื่องจากเป็นเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง 2. การเดินทางกลับมาของคุณหญิง พจมาน ชินวัตร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหากเป็นการเดินทางกลับมาเพื่อสู้คดีก็เป็นสิทธิ์ที่สามารถกระทำได้ แต่หากจะกลับมาเพื่อบัญชาการนักการเมืองขั้วเดิม ก็ขอให้ทบทวนการกระทำดังกล่าว 3. ตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญที่ให้เวลา 60 วัน ในการเข้าสังกัดพรรคการเมืองของ ส.ส.ระหว่างนี้ขอให้ทบทวนให้ดีเพื่อหลีเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้น
น.พ.บุรณัชย์ กล่าวด้วยว่า ผู้ที่จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปจะต้องออกมาตราการเร่งด่วนในการแก้ไขเศรษฐกิจและเร่งกอบกู้ชื่อเสียงของประเทศไทยกลับคืนมา รวมทั้งสร้างความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในประเทศ พร้อมกันนี้ยืนยันด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่ก่อตั้งรัฐบาล หากพรรคการเมืองที่มีเสียงมากที่สุดเกิดความขัดแย้ง
วันเดียวกัน นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้แกนนำพรรคต่างๆ กำลังหารือกันในเรื่องการร่วมจัดตั้งรัฐบาล แต่ไม่สามารถเปิดเผยสถานที่ได้ ซึ่งจะมีการร่วมกันแถลงข่าว ในเวลา 17.00 น. วันนี้ ที่ชั้น 7โรงแรมสุโขทัย ถ.สาทร
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวจากพรรคชาติไทยว่า นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยตอบตกลงที่จะร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเช่นกัน ขณะที่นายโสภณ ซารัมย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยคมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มเพื่อนได้เรียกประชุมด่วน และมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่าจะมีการเปลี่ยนขั้วจัดตั้งรัฐบาล
ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวระดับสูงในกลุ่มเพื่อนเนวิน เปิดเผยว่า ทางกลุ่มเพื่อนเนวิน ได้มีมติสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปแล้ว หลังจากที่ผ่านมามีกระแสข่าวว่า นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาเป็นนายกฯอีกรอบ
ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า นายมานิตย์ นพอมรบดี อดีตส.ส.พรรคมัชฌิมาธิปไตย ได้เดินทางมาถึงโรงแรมสุโขทัยแล้ว เพื่อร่วมแถลงจุดยืนสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล พร้อมยืนยันว่า ได้คุยกับนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน อดีตหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตยแล้ว ขณะเดียวกัน นายไชยยศ จิรเมธากร โฆษกพรรคเพื่อแผ่นดิน ก็ได้เดินทางมาสมทบแล้วเช่นกัน
นอกจากนี้ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ อดีต ส.ส.พรรคพลังประชาชน จ.นครราชสีมา กลุ่มเพื่อนเนวิน พร้อมเพื่อนส.ส.อีกประมาณ 4 คน ได้เดินทางมาถึงโรงแรมสุโขทัยแล้วเช่นกัน พร้อมกับยืนยันว่า ส.ส.ทั้ง 37 คน ในกลุ่มเพื่อนเนวิน จะมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ และนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ได้เดินทางมาที่โรงแรมสุโขทัยแล้วเช่นกัน
ทั้งนี้ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ล่าสุดรัฐบาลใหม่ที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะมีเส ยงสนับสนุนเกิน 250 เสียงแน่นอน
จากนั้นเมื่อเวลา 18.30 น. พรรคประชาธิปัตย์จัดแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคร่วม โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค มี พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี ตัวแทนพรรคเพื่อแผ่นดิน ตัวแทนจากพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคมัชฌิมาธิปไตยหรือพรรคภูมิใจไทย รวมทั้งกลุ่มเพื่อนเนวิน ร่วมกันแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาล
โดยนายสุเทพ กล่าวว่า สภาพการเมืองที่ผ่านมา การเมืองไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ บ้านเมืองแตกเป็นฝักฝ่ายทุกพรรคทุกกลุ่มจึงจัดตั้งรัฐบาล จะดำเนินการให้ดีที่สุด เพื่อเรียกความเชื่อมั่น พลิกฟื้นประเทศชาติให้กลับสู่สภาพที่ดีเร็วที่สุด เท่าที่เป็นไปได้
ด้าน พล.ต.สนั่น กล่าวว่า ตั้งแต่เข้ามาวงการเมือง 30 ปี เป็นครั้งแรกที่มาประสบเหตุการณ์ที่ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร ก็มองเห็นเหตุการณ์บ้านเมืองเข้าสู่ยุคที่ไม่สามารถบริหารประเทศต่อไปได้ เนื่องจากการต่อต้านของพี่น้องประชาชน ความแตกแยกเกิดขึ้นเมื่อเกิดยุบพรรคการเมืองสามพรรค ท่านอดีตฯนายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง จึงเป็นหนทางที่เราจะช่วยกันแก้ไขปัญหาสังคมทุกหมู่เหล่า ทุกแขนง เรียกร้องให้เปลี่ยนขั้วทางการเมืองเสีย เพื่อให้รัฐบาลสามารถแก้ปัญหาความแตกแยกของคนไทยในชาติได้
"อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องเศรษฐกิจ ทั่วโลกประสบปัญหา ประเทศไทยสามาถยืนอยู่บนขาของตัวเองได้ แต่หากรัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้ ก็จะเกิดปัญหา เราจึงดูเสียงเรียกร้องว่าจะให้เราไปอยู่ตรงไหน เราจึงสนับสนุนพรรคแกนนำประชาธิปัตย์ รวมทั้งพรรคอื่นๆเพื่อมาช่วยบริหารประเทศต่อไป"
ขณะที่ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา อดีตพรรคพลังประชาชน พร้อมด้วยนายโสภณ ซารัมย์ ส.ส.บุรีรัมย์ อดีตพรรคพลังประชาชน แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวินได้ร่วมแถลงข่าว พร้อมกับอ่านแถลงการณ์ของกลุ่มที่ต้องการแก้ปัญหาความขัดแย้งของประเทศ และยืนยันว่าจะไม่เข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย
"เพื่อไทย"ลั่นจัดรัฐบาลแข่งพรรคสะตอการันตีไม่ยุบสภา!
ที่มา ประชาทรรศน์
บ้านจันทร์ส่องหล้ายังเงียบกริบ!หลังจาก'หญิงอ้อ'กลับถึงไทยพร้อมลูก ด้าน'พงษ์เทพ' ปฎิเสธข่าวกลับมาแก้ปัญหาพรรคเพื่อไทยอ้างแค่มาเยี่ยมแม่ที่ล้มป่วย "เพื่อไทย"ไม่ท้อประกาศจัดรัฐบาลแข่ง ปชป. แต่ยืนยันไม่ยุบสภา!
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่บ้านพักจันทร์ส่องหล้าภายหลังที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภริยาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมนายพานทองแท้ และ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ มาถึงประเทศไทยตั้งแต่กลางดึกเมื่อคืนนี้ ประตูยังปิดสนิททุกด้าน ไม่พบความเคลื่อนไหวหรือมีรถผ่านเข้า-ออก ขณะที่ มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสายสืบ สน.บางพลัด คอยดูแลบริเวณรอบบ้านอย่างเข้มงวดโดยพนักงานสายการบินไทยยืนยันว่าคุณหญิงพจมานเดินทางมาถึงในเวลา 22.20 น. ที่ผ่านมาตามเวลาในประเทศไทยด้วยเที่ยวบินจากฮ่อง เที่ยวบิน TG 6078 โดยใช้ชื่อสกุล 'ดามาพงษ์' ในการเดินทาง
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองยืนยันก่อนหน้านี้ว่าคุณหญิงพจมานพร้อมบุตรชายและบุตรสาวเดินทางถึงประเทศไทยแล้วเช่นกัน โดยมีกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคพลังประชาชนที่ถูกยุบพรรคไปแล้วมารอต้อนรับ แต่คุณหญิงพจมานใช้ประตูทางออกช่องทางอื่น ทำให้ผู้มารอต้อนรับรอเก้อ อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวระบุว่าคุณหญิงพจมานและลูกๆ ได้เดินทางกลับบ้านพักแล้วพร้อมเปิดเผยอีกว่า เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ คุณหญิงพจมานได้สั่งให้รถเข้าไปรับถึงด้านในสนามบินและพากลับเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้าที่ซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 ส่วนขั้นตอนการตรวจลงตราหนังสือเดินทางนั้น มีเจ้าหน้าที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไปอำนวยความสะดวกในการตรวจเอกสารให้บนเครื่องบิน เมื่อเครื่องลงจอดจึงสามารถเดินทางออกได้ทันที
ก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวระดับสูงภายในพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า การเดินทางกลับประเทศไทยครั้งนี้ของคุณหญิงพจมานเป็นการเดินทางเพื่อมาสยบความเคลื่อนไหวและเงื่อนไขต่อรองจากกลุ่มต่างๆ ภายในพรรค โดยเฉพาะท่าทีของกลุ่มเพื่อนเนวิน นอกจากนั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่คุณหญิงพจมานอาจเข้าไปมีส่วนสังเกตการณ์การประชุมพรรคเพื่อไทยในวันที่ 7 ธันวาคมนี้ด้วย
ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวระดับสูงภายในกลุ่มเพื่อนเนวิน เปิดเผยว่า การเดินทางมาของคุณหญิงพจมาน จะไม่มีผลต่อการตัดสินใจทางการเมืองของกลุ่มเพื่อนเนวิน เพราะทางกลุ่มยังคงยืนยันที่จะตั้งรัฐบาลที่สร้างความสมานฉันท์ให้มากที่สุด เพื่อจะคืนความสงบสุขให้กับสังคมไทย และขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า ในยามเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ทั้งนี้ ทางกลุ่มน่าจะมีความชัดเจนในการร่วมจัดตั้งรัฐบาลในวันที่ 7 ธันวาคมนี้ และเป็นไปได้ที่จะมีการสลายขั้วการเมืองหรือไม่สลายขั้วการเมืองก็เป็นได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทางกลุ่มจะตัดสินใจ จะยืนอยู่บนความสมานฉันท์ของชาติเป็นที่ตั้ง
ขณะที่นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยืนยันว่า คุณหญิงพจมาน ได้เดินทางกลับประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว โดยปฎิเสธกระแสข่าวว่าคุณหญิงพจมาน เดินทางกลับมาในครั้งนี้ เพื่อจัดการกับปัญหาภายในพรรคเพื่อไทย ที่จะมีการประชุมพรรคในวันที่ 7 ทั้งนี้นายพงษ์เทพ ยังกล่าวอีกว่า การกลับมาครั้งนี้เพื่อเยี่ยม มารดาที่ล้มป่วย และเป็นการกลับมาอย่างถูกต้องเพราะคุณหญิงพจมาน ไม่มีคดีต้องโทษ
วันเดียวกัน นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รักษาการ รมช.มหาดไทย และ แกนนำกลุ่มอีสานพัฒนา เปิดเผยว่า ในเวลา 16.00 น. พรรคเพื่อไทยจะมีการแถลงข่าวซึ่งเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ใหญ่ และจะมีพรรคร่วมรัฐบาลมาร่วมแถลงด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่บรรยากาศพรรคเพื่อไทย พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาคนที่ 2 และ นายวุฒิพงษ์ ฉายแสง รักษาการ รมว.วิทยาศาสตร์ ได้เดินทางเข้าพรรคด้วย
จากนั้น นายวิทยา บูรณศิริ ประธานวิปรัฐบาล แถลงว่า พร้อมที่จะตั้งรัฐบาล โดยขณะนี้ เสียงเกินกึ่งหนึ่งแล้วเพราะรวบรวม ส.ส.ได้ 220 คนแล้ว ส่วนบุคคลที่จะขึ้นเป็นนายกฯ ไม่จำเป็นต้องมาจากพรรคเพื่อไทย โดยเปิดโอกาสให้พรรคร่วมรัฐบาลเดิม นำเสนอรายชื่อด้วย โดยจะหารือเรื่องนี้กันอีกครั้งในโอกาสต่อไป
ด้าน พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาฯ แถลงว่า ส.ส.หลายคน ที่มีชื่อว่า ไปร่วมงานกับทางพรรคประชาธิปัตย์ เช่นกลุ่มเพื่อนเนวิน ได้ติดต่อมาว่า จะกลับมาทำงานกับพรรคเพื่อไทย และนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ก็ยืนยันว่า พร้อมจะร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยเช่นกัน
ขณะที่ นายศักดา คงเพชร โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า แม้พรรคประชาธิปัตย์จะมีการแถลงจัดตั้งรัฐบาลบกับพรรคร่วมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทางพรรคเพื่อไทยยังยืนยันว่าจะจัดตั้งรัฐบาลแข่ง โดยจะไม่มีการยุบสภาแต่อย่างใด
พรรคเพื่อไทยนัดเลือกหัวหน้าพรุ่งนี้ 9 โมงเช้า
ที่มา ประชาไท
6 ธ.ค.51 - นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ เปิดเผย ถึงการที่อดีตส.ส.พรรคพลังประชาชนซึ่งได้ย้ายไปสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในขณะนี้มีอดีต ส.ส. สมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทยแล้ว 190 ราย โดยจะมีการพิจารณา ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ในการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคในเวลา 09.00 น. วันที่ 7 ธ.ค. ซึ่งควรเป็นผู้มีความสามารถในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสามารถประสานงานทางการเมืองได้ อย่างไรก็ตาม
ทางด้าน นายพงศ์เทพ เทพกาญจน โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ ได้เดินทางกลับมาประเทศไทยแล้ว เพื่อมาเยี่ยม นางพจนีย์ ดามาพงษ์ มารดา เนื่องจากล้มป่วย ไม่ได้เข้ามาจัดการปัญหาพรรคเพื่อไทย และการกลับมาครั้งนี้เป็นการกลับมาอย่างถูกต้อง เพราะคุณหญิงพจมาน ไม่มีคดีต้องโทษ
สนธิอ้างของขวัญจากราชสำนัก
ที่มา thaifreenews
อ้างว่าในวังนี่มีเยอะเส้นสายของเรา แม่งสนิทกันฉิบหาย
รับรองถึงหูพระกรร ผมไม่สนใจหรอก
ว่าสนธิ บัง เจ้าเล่ห์แสนกล
อ้างว่า พล.อ.เปรม ให้คนสนิทโทรมา
ตอนที่ 2 มาแล้ว เปาปุ้นจิ้น ตอนแม่แลกลูก……..รักษาสถานภาพแม่หรือรักษาชีวิตลูก...ตอนที่ 2 ร้องทุกข์ในคืนที่โดนโทษทัณฑ์.....โดย : คุณก็รู้ว่าใคร
ที่มา thaifreenews
ตอนที่ 2 มาแล้ว เปาปุ้นจิ้น ตอนแม่แลกลูก……..รักษาสถานภาพแม่หรือรักษาชีวิตลูก...ตอนที่ 2 ร้องทุกข์ในคืนที่โดนโทษทัณฑ์
โดย : คุณก็รู้ว่าใคร
วันศุกร์ที่ 5 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2551
ตอนที่ 2 ร้องทุกข์ในคืนที่โดนโทษทัณฑ์
ณ.ชานเมือง เวลาเดียวกัน ในหมู่บ้านโคมแดง
กำลังมีงานฉลองให้กับเด็กชายที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้
...เมื่อคืนก่อน....
หญิงสาวชาวรากหญ้าของแผ่นดินอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีชีวิต ธรรมด๊า ธรรมดามากๆก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายมาคนหนึ่งเช่นกัน เธอตั้งใจจะให้ชื่อเด็กชายคนนั้นว่า ปักเทกไท ตามที่สามีของเธอตั้งไว้ให้ก่อนตายไปจากโลกนี้เมื่อเข้าร่วมขบวนการนักศึกษาประชาธิปไตยวันที่ 16 ตุลาคม เพื่อโค่นล้มเสนาบดีซาริด มือขวาของมหาขันทีเฒ่าที่จะก่อการกบฏในแผ่นดินจะสิ้นอำนาจลง
“อุแว้..อุแว้......”เสียงเด็กร้องไห้
สวรรค์ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย หรือนี่คือชะตาฟ้าได้ลิขิตให้เด็กน้อยตาดำๆผู้นี้กลายสิ่งสำคัญที่ถึงกับอาจทำให้ราชบัลลังก์สั่นคลอน ..
ขึ้นอยู่กับชะตาของเด็กคนนี้เสียแล้ว
ค่ำคืนอันมืดมิดปรากฏร่างทะมึนดำ ของชายนิรนามผู้หนึ่งได้ลอบเข้ามาทางหลังบ้านของหญิงสาวผู้นี้
ทันใดที่ย่างกรายเข้าสู่ตัวบ้าน แสงไฟได้ตกกระทบลงบนใบหน้าอันหยาบโลน เอ๊ย..หยาบกร้านของชายผู้นี้
ปรากฏร่างของมหาขันทีเฒ่าที่เต็มไปด้วยสายตาที่เหี้ยนกระหือรือและลุโชนแก่อำนาจที่อาจต้องสูญสิ้นไปถ้าภารกิจในยามค่ำคืนนี้ของเขาไม่ประสพความสำเร็จความเจริญในอาชีพการงาน (เพี้ยงไม่ได้แช่งนะ..ผู้เขียน)
ดวงตาของเขาโลมไล้ไปที่ร่างอันเปลือยเปล่าของหญิงสาว ที่กำลังให้นมลูกน้อยอยู่ในอ้อมแขน
มหาขันทีเฒ่า มองไปพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่...”เฮือก..!..”
พลางครุ่นคิดในใจออกมาดังๆ..(เขาทำเช่นนี้บ่อยเวลาเกิดอาการริษยาอะไรสักอย่างขึ้นมา)
“32-24-35....โอ้..เมื่อไรหนอ ข้าจะมีสัดส่วนเช่นนี้บ้าง นับตั้งแต่ข้าได้ขึ้นตำแหน่งเป็นมหาขันทีมานาน
ข้าเพียรพยายาม ทำทุกวิธีทางมาหลายปี ทั้งตัด ทั้งดูด ทั้งโบ๊ะอะไรต่อมิอะไรที่กล่าวขวัญในยุทธจักร
ว่าสามารถทำให้ข้าได้มีเรือนร่างงดงามดังที่ต้องการ..ก็มิได้พบพานความสำเร็จเลย..
เฮ้อ..หรือนี่คือฟ้าลิขิต..”
พลางถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่....”เฮือก..!”..
(มันถอนบ่อยคงจะใกล้ไปเร็วๆนี้แหละ..ความเห็นของผู้เขียน)
“อุแว้..อุแว้..อุแว้..”เสียงเด็กน้อยดังสวนเสียงเฮือกขึ้นมาด้วยความตกใจ
สาวชาวบ้านผู้นั้นสะดุ้งตื่นและลุกขึ้นมาอุ้มลูกน้อยแล้วเขย่าเบาๆ
“โอ๋..ๆๆๆๆ ลูกเอ๋ย..นอนซะนะ....อย่าร้องเลยลูก..เดี๋ยวตุ๊กแกมากินตับนะ ถ้าเจ้าไม่เงียบ จุ๊ๆ ..”
หญิงชาวบ้านพูดพลางสัพยอกลูกชายของตนเองอย่างน่าเอ็นดุ
“อุแว้..อุแว้..”เด็กน้อยไร้เดียงสา มิรู้ความยังพยายามร้องต่อ
เหมือนกับหยั่งรู้ว่ากำลังมีมหันตภัยคืบคลานมาในไม่ช้านี้
“โอ๋ๆๆๆๆลูกจ๋า เอางี้ ถ้าลูกไม่เงียบเดี๋ยวพันธมิตร จะมาหลอกนะ...แว่ๆๆๆ..”
“....อุ๊บ....”เด็กน้อยเงียบเสียงลงทันที เหมือนมีอะไรมาจุกอกอยู่.....
หญิงชาวบ้านสีหน้ายิ้มแย้มขึ้นมาทันทีแบบโล่งใจที่ลูกน้อยของตนเองก็ยังรู้เลยว่าพันธมิตรอันตรายเพียงใด
แต่...มัจจุราชที่กำลังคืบคลานเข้ามานั้นกับไม่หยุดยั้งรีรอที่จะฉวยโอกาสนี้กระโดดเข้ามาด้านหลัง
แล้วตามด้วยม้วนหน้า..3รอบ ตีลังกาหลัง 2 รอบครึ่งแล้วเด้งกลับมา ตีลังกาหน้าอีก สองตลบ...
กระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง.พุ่งขึ้นไปเหนือเพดานบ้านไม่ต่ำกว่า สิบเมตร .พลางโผลงมาแตะพื้นยืนด้วยท่าตรง และ....ใช้ท่าฝ่ามือมังกรขยุ้มชีพ....ยืดไปด้านหน้าอย่าง นิ่งสงบ ทุกสิ่งไม่ไหวติง..
..ทุกอย่างอยู่ในบรรยากาศที่เงียบ..สนิท เงียบจนแทบได้ยินเสียงของหัวใจ
“แปะ...แปะ....แปะ....”เสียงปรบมือลึกลับดังขึ้นมาจากนอกบ้านทำลายบรรยากาศอันเงียบสงัดนั้น
“แปะ..แปะ...แปะ....สิบคะแนนเต็ม.......ผ่าน....คนต่อไป.....”
มหาขันทีเฒ่าพลันตาเหลือกเหลือบไปมองตามต้นเสียงนอกชานบ้าน
ที่แท้เป็นเสียงของหญิงสาวชาวบ้านที่หันมาเห็นตั้งแต่ไอ้มหาขันทีเฒ่าค่อยๆคืบคลานทำท่ากระดื๊บๆตามพื้นบ้าน มาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่...ด้วยความสงสัยเธอจึงอุ้มลูกน้อยเดินเลี่ยงหลบไปยืนดูการกระทำที่ติงต๊องของมหาขันทีเฒ่าอยู่นอกชาน แล้วทำท่าระแวงสงสัยอยู่ห่างๆตั้งแต่มันม้วนหน้าท่าแรกแล้ว..ไอ้บ้า
“ท่าน..ท่านเป็นใคร....ท่านบุกรุกเข้ามาในบ้านข้าด้วยเหตุผลอันใด”
หญิงสาวสอบถามด้วยท่าทางตื่นตระหนก
“ช้าก่อน แม่นาง” ขันทีพูดตอบกลับไป
“ช้าเช้อ..อะไรกัน..ข้าไม่ได้รีบไปไหน นี่บ้านข้า ข้าอยู่มาตั้งแต่เกิด แล้วนี่ก็ดึกดื่นมากแล้วข้าก็คงมิรีบออกไปไหนดอก ท่านนั่นแหละ ควรต้องรีบไป ไป ไปไป ชั้นจะลงโทษเธอ ไปไป..ชิ้ว”หญิงชาวบ้านพลางตอบโต้กลับไปเช่นกันกัน
“5555..ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นแม่นาง...อย่าวิตกทุกข์ร้อนอันใด ข้ามาตามระบอบอมาตยาธิปไตย
อย่างแท้จริง มิได้มุ่งมาดปรารถนาดีอันใดแน่นอน”
มหาขันทีเฒ่าพูดพลางยิ้มพลาง ทำคอเอียงพลางอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
“เป็นเช่นนั้น ข้าก็พอจะรู้แล้วหนังสือหนังหาข้าก็พออ่านเป็น...มิได้โง่เง่าเต่าตุ่นเป็นลิงบาบูนอย่างที่สมุนอมาตยาตู้ของพวกท่านอ้างหรอก”
“55555..ฉะฉาน ชัดเจน จะแจ้ง ตอบได้ดี ...งั้นเรามาเข้าเรื่องเด่นเย็นนี้กันเลย....”
“ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะมีเรื่องจะรบกวนท่าน”
“มีเรื่องอันใดเกี่ยวกับข้า...ข้ามันก็แค่สามัญชนคนหนึ่งเท่านั้น”
“มันมิเกี่ยวกับท่านโดยตรงแต่เกี่ยวกับเด็กคนนี้แน่นอน..”พลางผายมือชี้ไปที่เด็กน้อยในอ้อมแขนของหญิงสาวที่กำลังหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
“ข้าไม่อ้อมค้อมหล่ะนะ มอบเด็กน้อยผู้นั้นแก่ข้าเถิด..ข้าจะนำไปชุบเลี้ยงในตำหนักหลวงแล้วท่านจะได้บุตรสาวมาแทนในเร็ววันนี้..”
“ไม่ได้นะ ท่านจะนำลูกข้าไปไหนไม่ได้ทั้งสิ้น...แล้วท่านจะนำบุตรสาวมาให้เราแทนทำไมกัน..เราไม่เอา ลูกเราเราก็รัก ลูกท่าน ท่านก็เก็บไว้ดูแลเองเถิด”
“ไม่ต้องถามให้มากความ สรุปสำนวนส่งตัดสินงดไต่สวนพยานเพิ่มเติมแล้วนัดตัดสินตามใบสั่งเลย ทำไมเจ้าพูดยากเย็นเช่นนี้ เจ้าต้องการทรัพย์สินเงินทองเท่าไหร่ ข้าจะมอบให้..ขอเพียงเจ้าส่งเด็กคนนั้นมาให้เราเพียงโดยดี อย่าให้ข้าต้องใช้กำลังเลย”
“ทำไม ท่านจะใช้กำลังแล้วจะทำไมข้าอยากรู้...”
“ที่ข้าไม่อยากใช้กำลัง เพราะแค่เดินข้าก็ไม่ค่อยจะไหวแล้ว..
แต่ข้าคงต้องใช้กำลังทหารหนุ่มของข้าแทน”
มหาขันทีขึ้นเสียงตอบโต้ด้วยความไม่พอใจ
“ ข้าขอประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินเรียก หม่าพงเผ่า ออกมาเอาตัวเด็กนี้ไปให้ได้..บัดเดี๋ยวนี้....ๆ.ๆ.ๆ..ๆ.”
บัดเดี๋ยวนั้น ก็พลันมีเสียงดังลั่นใกล้ๆมหาขันทีเฒ่า
พรึ่บ..บึม....วี๊ดว้าย..กระตู้วู้..วี๊ด..กรี๊ดๆๆ....ควันขาวคละคลุ้งขึ้นฉับพลันพร้อมกับเสียงร้องแต๋วแตกของมหาขันทีก็ดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงลึกลับของชายหนุ่มผู้หนึ่ง
“คาราวะท่านมหาขันที ..ข้าขอน้อมรับบัญชา...ชา..ชา......ชา...เจ้าค่ะ.”
ทันใดนั้น ปรากฏร่างกำยำของทหารหนุ่มรูปร่างงามแต่จิตใจไม่งดงามดั่งรูป
นั่นย่อมเป็น หม่าพงเผ่า ทหารองครักษ์-บ้านนา-นครนายก ที่จงรักภักดีของมหาขันทีเฒ่า นั่นเอง
เค้าเปรียบเปรยว่า ตูดปอดยอดขุนพล แต่ทหารหนุ่มนายนี้ มีแต่คนตั้งฉายาให้ว่านักฆ่าตูดป๊อด
ได้มาจากการที่ออกอาการป๊อดกับโจรกระจอกบ่อยๆแต่คอยจะเป็นนักฆ่ากับหัวหน้าลูกเดียว
นั่นคือที่มานักฆ่าตูดป๊อด
ร่างนั้น เคลื่อนตัวออกมาจากมุมมืด มิมีผู้ใดทราบว่าเขามาแอบซุ่มอยู่บริเวณนี้ตั้งแต่เมื่อใด
พลันเงยหน้าขึ้น แต่หม่าพงเผ่า ต้องถึงกลับแปลกใจเล็กน้อยถึงปานกลางที่มองมิเห็นร่างของมหาขันทีเฒ่าอยู่บริเวณนั้นเลย คงหลงเหลือแต่หญิงสาวที่ยืนอยู่เพียงเดียวดายคนเดียวโด่เด่
“อ้าว..ท่านมหาขันทีไปไหนซะแล้ว..วิชาตัวเบาท่านเยี่ยมยุทธสุดยอดเหนือใครในพิภพจริงๆ ข้าขอคาราวะด้วยใจจริงๆ”
พลันหันไปถามสาวชาวบ้านนั้นด้วยเสียงกังวาน
“แม่นางพอจะเห็นไหม ว่าท่านเหาะเหินเดินอากาศไปทิศใด”
แม่นางพลันตอบกลับโดยพลันเช่นกัน
“เหาะเหอะที่ไหนกันเล่า...พอได้ยินเสียงระเบิดคงนึกว่าเอ็ม 79มาลงแถวนี้ ขี้หูขี้ตาแตกตื่นวิ่งหางจุกตูดแต๋วแตกออกไปทางประตูนู้นแล้ว..อ้าว..แล้วลูกชายข้าหล่ะ..ลูกชายข้า”
หญิงสาวส่งเสียงแตกตื่นเมือหายตะลึง ตึง ตึง เด็กน้อยได้หายออกไปจากอ้อมอกเธอซะแล้ว
“ช่วยด้วย เจ้าข้าเอ๊ย..มีคนขโมยลูกชายข้าไป ไอ้ขันทีขี้โกง ขี้ขโมย ช่วยด้วย..”พลางวิ่งตามออกไปทางประตูที่เห็นขันทีเฒ่าวิ่งออกไปแวบๆ.. แต่....มิทันแล้ว
ร่างของมหาขันทีเฒ่าหายไปกับกลุ่มควันที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง
พร้อมผ้าที่ห่อร่างของเด็กทารกสาววัยแบเบาะผู้หนึ่ง
วูบหนึ่งเธอคิด...ดูสิ..ดู...ดู ดู๊ ดู..ดูมันทำ.ทำไมถึงทำกับฉันได้...
ดู ดู๊.ดู ดูมันทำ.....ทำไมถึงทำกับเด็กได้
เธอจะต้องเรียกร้องความเป็นธรรม และนำบุตรชายของเธอกลับมาให้ได้
เธอก้มลงไปอุ้มเด็กสาวคนนั้นขึ้นมาแล้วค่อยๆเดินจากไปตามทางที่เธอเห็นก้นเหี่ยวๆของมหาขันทีเฒ่าหายไปทางนั้นแวบๆ
“ต่อไปนี้ หนูน้อยเจ้าจะอยู่กับข้า ในเมื่อแม่ของเจ้าใจร้ายทอดทิ้งเจ้า ข้าจะเป็นแม่ที่คอยดูแลเจ้าเอง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นลูกใคร แม่จะปกปักษ์รักษาเจ้ายิ่งชีพของแม่เองแผ่นดินนี้ยังมีความเป็นธรรมอยู่อีกเยอะ”
“เราจะเดินทางไปทางด้านเหนือไปยังศาลไคฟงเพื่อขอความเป็นธรรมกับผู้ที่รักความยุติธรรมเช่นกัน
ท่าน เปาปุ้นจิ้น จะช่วยพวกเราได้ ไปกันเถิด ลูกสาวข้า
ข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่า เซียวเล่งนุงสี่สุง (แปลว่า รัฐธรรมนูญ 40..ผู้เขียน..)”
.......พรึ่บ..บึม...เสียงดังขึ้นพร้อมหมอกและควันจางๆ ร่างของหม่าพงเผ่า นายทหารองครักษ์-บ้านนา-นครนายก หนุ่มก็หายไปเช่นกันแต่ยังมีเสียงกังวานแนบท้าย
“55....วิชาสับเปลี่ยนกำลังพล ลับ ลวง พราง ขั้นที่ 9 ของท่านมหาขันทีช่างเยี่ยมยอดจริงๆ 55....ข้าขอจำไว้เป็นแบบอย่างบ้าง..555”
ติดตามตอนต่อไปในตอนที่ 3 เทพเจ้าแห่งความเป็นธรรม และโดยชอบธรรม
ตอนหน้าท่านเปาปุ้นจิ้นจะออกโรงพร้อมทั้งมาดูละครที่สนมท้วมแสร้งออดอ้อนว่าตนเองนั้นเป็นแม่ที่แท้จริงของเด็กชาย ปักเทกไท
การเมืองระส่ำระสาย
ที่มา ไทยรัฐ
วิกฤติซ้อนวิกฤติ ที่ทำให้ประเทศไทยอึมครึมเหมือนอยู่ในแดนสนธยา เวลานี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติแต่มาจากทิฐิของคน อันที่จริงมีอะไรซุกซ่อนอยู่ใน คดียุบพรรคการเมือง พอสมควร ควันหลงความเสียหายจากผู้ ชุมนุมประท้วงที่บุกเข้าไปยึดสนามบิน นอกจากความเสียหายที่คำนวณได้เป็นเงินแล้ว ยังจะส่งผลถึงความเชื่อมั่นอย่างแรง
ไปพลิกอนุสัญญาว่าด้วยการปราบปรามการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมาย ต่อความปลอดภัยของการบินพลเรือน การบุกเข้ายึดสนามบินถือว่าเป็นการกระทำความผิดอย่างร้ายแรงในระดับสากลเลยทีเดียว
อะไรเป็นอะไร ผมว่าคนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองมาโดยตลอดคงจะรู้แก่ใจกันดี เพราะทุกฝ่ายก็เปิดหน้าไพ่กันชัดเจน มีโครงข่ายเครือข่ายเชื่อมโยงกันอย่างไร ผมคงไม่ต้องอธิบายให้เมื่อยตุ้ม ชาวบ้านธรรมดาสามัญยังรู้ดีกว่าผมอีก
เพราะฉะนั้น ความพยายามที่จะเปลี่ยนขั้วรัฐบาล หรือลามไปจนถึงจำเป็นจะต้องมีการยุบสภา หรือการที่พันธมิตรฯจะออกมาชุมนุมกันอีกกี่ครั้ง ก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของวิกฤติการเมืองไทย
ความลับย่อมไม่มีในโลก
สักวันก็ต้องฉาวโฉ่ขึ้นมา การจะเรียกร้องอะไรก็ตาม ต่อไปนี้ผมว่าควรคำนึงถึงคนส่วนใหญ่และความฉิบหายที่จะตามมาด้วย ทางที่ดีที่สุดคืออย่าให้หลุดกรอบของกฎกติกาในระบอบประชาธิปไตย
ออกมาสร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองแล้วก็มีคนออกมารับลูกให้สลับขั้วเอา ประชาธิปัตย์ มาเป็นรัฐบาล หรือให้ ตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ขึ้นมา
เป็นความเห็นแก่ตัวมากไปหน่อย
หรือขั้วรัฐบาลเองอยู่ในยามวิกฤติย่ำแย่ ยังมีจิตใจออกมาต่อรองช่วงชิงอำนาจทางการเมือง ฉวยโอกาสวิกฤติเรียกร้องผลประโยชน์
ก็ยิ่งเห็นแก่ตัวเข้าไปใหญ่
บ้านเมืองที่วุ่นวายอยู่ทุกวันนี้สาเหตุมีอยู่นิดเดียวคือความรู้สึกส่วนตัว ซึ่งไม่ว่าจะปลุกปล้ำกันอย่างไร สุดท้ายก็ได้คนจากขั้วอำนาจเดิมมาเป็นนายกฯ อยู่ดี ยึดอำนาจก็แล้ว ออกมาไล่ก็แล้ว ใช้อำนาจสารพัด
ก็ยังไม่ชนะ
เห็นว่านักข่าวต่างประเทศ โทร.ไปสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถามถึงการยุบพรรคพลังประชาชน ได้รับคำตอบเป็นเสียงหัวเราะหึๆ การเมืองไทยหนีไม่พ้นถึงจุดแตกหักที่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ
วนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์.
“หมัดเหล็ก”
นอมินีรุ่น 3
ที่มา ไทยรัฐ
แม้จะยุบ 3 พรรคการเมืองทำให้รัฐบาล “สมชาย” ต้องพ้นไปแล้ว แต่การเมืองก็หาใช่ว่าจะจบ คงเป็นเพียงสงบชั่วคราวไปก่อนเท่านั้น การที่ ส.ส.ของ 3 พรรคที่จะต้องดิ้นไปหาพรรคการเมืองใหม่สังกัดก็ไม่ง่ายอย่างคิด แม้จะมีการเตรียมการเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็ตาม
ตัวเลขล่าสุดของ ส.ส.ทั้งหมดมี 441 คน พลังประชาชน 219 คน ชาติไทย 15 คน เพื่อแผ่นดิน 24 คน มัชฌิมาธิปไตย 11 คน รวมใจไทยชาติพัฒนา 9 คน ประชาราช 5 คน ประชาธิปัตย์ 165 คน
พลังประชาชนลอกคราบไปอยู่พรรคเพื่อไทยที่รองรับเอาไว้แล้ว อยู่ที่ว่าจะเลือกใครเป็นหัวหน้าพรรคและขึ้นเป็นนายกฯ หากได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
พรรคชาติไทยก็ต้องกลายเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา คาดว่านายชุมพล ศิลปอาชา น้องชายนายบรรหาร ศิลปอาชา เข้ามาเป็น “นอมินี” เพราะลูกชาย-ลูกสาวก็โดนเว้นวรรคการเมือง 5 ปีเหมือนกัน ซึ่งนายบรรหารบอกว่า อีก 5 ปี อายุ 81 ปี ก็พร้อมจะกระโดดลงมาเล่นอีก
พรรคมัชฌิมาธิปไตยแม้จะมีพรรคภูมิใจไทยมารองรับ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปได้หรือไม่ เพราะนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ให้ นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน ภรรยา เป็นหัวหน้าพรรค “นอมินี” แต่เมื่อพรรคถูกยุบนางอนงค์วรรณจึงถูกเว้นวรรคการเมืองตามไปด้วย
พลังประชาชนที่ขับเคลื่อนไปสู่พรรคเพื่อไทยนั้น แม้ดูจะไม่มีปัญหา เพราะเตรียมการล่วงหน้าเอาไว้อย่างดีแล้ว แต่ก็ต้องดูว่าจะมี ส.ส.ไปครบทั้งหมดหรือไม่ โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนเนวินยังไม่เข้าไปสมัครเป็นสมาชิกพรรค
เพราะคงต้องดูทิศทางการเมืองต่อไป จะเลือกใครเป็นนายกฯก็สำคัญ เพราะการเมืองข้างหน้าไม่ใช่ง่าย หากหยิบเอาคนที่ภาพพจน์ ไม่ดี ไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่ได้รับการยอมรับ ก็คงจะเป็นไปในทำนองว่าเริ่มต้นก็ถูกต้าน
นั่นจะทำให้สถานการณ์การเมืองกลับไปสู่จุดเดิม
การตั้งนายกฯจึงเป็นประเด็นที่จะต้องหาทางออกให้ดี ไม่ใช่ ดันทุรังเหมือนที่ผ่านมา แนวทางที่จะให้หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลมาเป็นนายกฯ เพื่อไม่ให้เกิดการต่อต้านจนทำให้การเมืองวุ่นวายขึ้นมาอีก
อีกประเด็นก็คือ ส.ส.สัดส่วนของพลังประชาชนที่แม้ว่าจะมีการลาออก ก่อนยุบพรรคเพื่อให้มีการเลื่อน ส.ส.สัดส่วนจนครบจำนวนแล้วก็ตาม แต่มีประเด็นว่า ส.ส.สัดส่วนจะย้ายพรรคได้หรือไม่
แม้รัฐธรรมนูญจะไม่ได้กำหนดชัดเจน แต่มีการตีความทำนองว่าไม่น่าจะมีปัญหามันครอบคลุมความเป็น ส.ส.อยู่แล้ว
แต่มีการแย้งว่าการเลือก ส.ส.ระบบปาร์ตี้ลิสต์นั้นเป็นการเลือกพรรค ส.ส.สัดส่วนของพลังประชาชนจึงมาจากการที่เลือกพรรคพลังประชาชน ดังนั้น การจะย้ายไปอยู่เพื่อไทยซึ่งเป็นคนละพรรคกัน
การไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ของ ส.ส.สัดส่วน จึงไม่น่าจะถูกต้อง แต่ควรจะหมดสมาชิกภาพไปพร้อมกับการยุบพรรคพลังประชาชน
อีกประเด็นหนึ่งก็คือ เมื่อพรรคเพื่อไทยที่ตั้งใหม่ แต่ไม่มี ส.ส.สัดส่วนเพราะยังไม่ได้เลือกตั้ง หากเอา ส.ส.สัดส่วนของพลังประชาชนเข้ามาก็จะเกิดปัญหา ถ้าเกิดปัญหาพ้นจากสมาชิกภาพจะเลื่อนใครขึ้นมาเป็นแทนก็ไม่ได้
นี่ก็คือปัญหา
อย่างไรก็ดี แม้แต่ กกต.ก็ให้ความเห็นต่างกัน นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.บอกว่า ไม่สามารถย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทย หรือพรรคการเมืองอื่น แต่นางสดศรี สัตยธรรม บอกว่า ส.ส.สัดส่วนย้ายพรรคตาม ม.106 (8) เรื่องการย้ายพรรคไม่ได้กำหนดเฉพาะ ส.ส.เขต หรือ ส.ส.สัดส่วน แต่เขียนแบบรวมๆ ซึ่งชัดเจนแล้ว พูดง่ายๆก็คือย้ายได้
เรื่องนี้คงยังไม่จบ เพราะมีการเสนอให้ตีความกันแล้ว
“นอมินี” รุ่นที่ 3 ไม่ใช่จะ “ลอกคราบ” กันง่ายๆ.
“สายล่อฟ้า”
เกมยื้อพลิกได้ทุกหน้า
ที่มา ไทยรัฐ
ใจหายไปตามๆกัน สำหรับคนเฒ่าคนแก่ ประชาชนชาวไทยที่เฝ้ารอหน้าวิทยุ โทรทัศน์ คอยฟังพระราชดำรัสอันทรงคุณค่า
วาระมงคลประจำปี
แต่ปีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯแทนพระองค์ ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดาฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และคณะบุคคลต่างๆเข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม
ในอารมณ์ที่สังคมกำลังว้าเหว่ สถานการณ์ประเทศไทยไม่สู้ดี
พ่อแผ่นดินป่วย ในขณะที่บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย
และก็เป็นนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุม ครม.รักษาการวาระด่วนพิเศษที่กระทรวงการต่างประเทศในช่วงหัวค่ำ ก่อนมีมติยกเลิกการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมร่วมสมัยวิสามัญของรัฐสภา ในวันที่ 8-9 ธันวาคม
เลี่ยงวาระรบกวนเบื้องยุคลบาท
นั่นก็หมายถึงว่า คิวโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
โอกาสยังพลิกได้ทุกหน้า
ที่แน่ๆ โดยการเอ่ยอ้างเอกสิทธิ์ ส.ส. ขอสงวนสิทธิออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี ล่าสุดกลุ่มเพื่อนเนวิน ชิงเล่นบท “โจรกลับใจ” ออกอาการยักท่า ไม่สนับสนุนคนของพรรคเพื่อไทยขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี “นอมินีแถวสาม”
เพื่อลดเงื่อนไขความขัดแย้งกับม็อบพันธมิตรฯและฝ่ายต่อต้านเครือข่าย “ทักษิณ”
และยังมีแนวร่วมกลุ่ม 16 เก่าอย่างนายสรอรรถ กลิ่นประทุม อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ที่ล็อกแขนผู้แทนฯกลุ่มภาคกลาง 10 กว่าหัว
ยื้อใบสมัครเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย
นั่นก็ทำให้ตัวเลข ส.ส.ของอดีตพรรคพลังประชาชนที่ยังไม่ชัวร์เรื่องสังกัด คึกคักอยู่ในตลาดนัดกว่า 40 คน ไม่นับรวมกับต้นทุนของพรรคเพื่อแผ่นดินในสังกัดของนายพินิจ จารุสมบัติ นายปรีชา เลาห-พงศ์ชนะ และว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี ที่พร้อมออกหน้าไหนก็ได้
งานนี้มีลุ้นพลิกขั้วก็แล้วกัน
ที่แน่ๆโดยขีดระดับความหวังที่ไม่ใช่ลมๆแล้งๆ “เทพเทือก” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ รีบออกมาจีบทางอากาศ เอ่ยปากชมกลุ่มเพื่อนเนวินที่ออกแถลงการณ์จะไม่รับนายกรัฐมนตรีที่จะสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นอีก
“ผมไม่ทราบว่ากลุ่มเพื่อนเนวินคิดอย่างไร แต่เท่าที่ติดตามข่าว เห็นว่ามีความชัดเจนที่จะร่วมแก้วิกฤติของประเทศ เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดี ผมเอาใจช่วย ขอให้เดินแนวทางนี้ต่อไป ยังไม่ได้คุยกับพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะร่วมงานกันหรือไม่
แต่ถ้ากลุ่มเพื่อนเนวินยังยืนยันแนวทางนี้ ภายใน 1-2 วัน ก็จะหาโอกาสไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ว่าจะทำงานร่วมกันได้อย่างไร”
คำก็ชื่นชม สองคำก็ยินดี ประชาธิปัตย์ลืม “ยี้” ยี่ห้อ “เนวิน ชิดชอบ” ชั่วคราว
เพราะมันคือโอกาสดีโอกาสเดียวที่จะพลิกสถานการณ์เลิกเป็นฝ่ายค้านค้างปี
และก่อนอื่นใด โดยลูกเก๋าของพรรคประชาธิปัตย์ ล่าสุดโยนชื่อของรุ่นเก่าลายครามอย่างนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ออกมาประกบกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง “เต็งหาม” นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย
เปรียบมวยวัดใจสังคม
แต่ก็แค่หักอารมณ์ กระพือกระแสในเรื่องความเหมาะสมของตัวบุคคล เพราะนายชวนก็บอกปัดเองว่า เป็นไปได้ยากมาก เนื่องจากในระบบพรรคโดยหลักต้องยกย่องหัวหน้าพรรค
ทั้งหมดทั้งปวง ประชาธิปัตย์ต้องตอกลิ่ม เขย่าให้สวิงขั้วให้ได้
แม้จะเป็นอะไรที่คนกันเองอย่างนายชวนก็ออกปากยอมรับว่า เป็นเรื่องยากมาก
ขณะที่คนนอกอย่างนายสุขุม นวลสกุล นักวิชาการทางรัฐศาสตร์ ก็อ่านเกมว่า ถ้าตัวแทนของพรรคเพื่อไทยไม่รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทนนายสมชาย วงส์ศวัสดิ์ มีความเป็นไปได้สูงที่พรรคเพื่อไทยจะใช้วิธีการให้นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รักษาการนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา แทนที่จะให้บุคคลอื่นที่ไม่ได้มาจากพรรคเพื่อไทยเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เนื่องจากพิจารณาว่า พรรคเพื่อไทยอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าในการเลือกตั้งครั้งใหม่
แต่ก็อีกนั่นแหละ ภายใต้ปรากฏการณ์ปิดเกมเร็วของศาลรัฐธรรมนูญ ล้มโต๊ะรัฐบาลนอมินี เชือดนิ่มไม่ไว้หน้า และก็เป็นอะไรที่ส่อเค้าว่าจะลากเกมยาว เปิดสภาเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไม่ได้
นักเลือกตั้งกำหนดเกมเล่นเองได้หมดซะเมื่อไหร่.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน
คุณหญิงพจมาน กลับไทยแล้ว
บรรยากาศที่หน้าห้องรับรองพิเศษ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีกลุ่มผู้ชุมุนมสวมเสื้อแดงจำนวนหนึ่งเดินทางมารอให้กำลังใจคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเดินทางกลับเข้าประเทศเมื่อเวลาประมาณ 22.30 น.ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายปรีชา ประสพดี ส.ส.พรรคพลังประชาชน เดินทางมาต้อนรับ โดยมี พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 มาดูแลความปลอดภัย
และทันทีที่สายการบินไทย เที่ยวบินทีจี 6078 ฮ่องกง-สุวรรณภูมิ ลงจอดที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คุณหญิงพจมาน ได้ให้รถเข้าไปรับในท่าอากาศยาน ก่อนรถจะขับหลบสื่อมวลชนซึ่งมาดักรอทำข่าวจำนวนมากออกไป
ทั้งนี้ นายสงครามยืนยันว่า คุณหญิงพจมานเดินทางกลับมาเพียงลำพัง ไม่ได้พามีบุตรชายและบุตรสาวทั้ง 2 คน เดินทางกลับมาด้วย.-สำนักข่าวไทย
อัพเดตเมื่อ 2008-12-06 01:02:54
การเมืองพลิกสลายขั้วกู้วิกฤติ
ที่มา ประชาทรรศน์
* ต่อรอง “ชวน หลีกภัย” ขึ้นนายกฯ
50 ส.ส.รัฐบาลผ่าทางตัน สลายขั้วการเมืองฝ่าวิกฤติ เจรจาพรรคประชาธิปัตย์หนุน “ชวน หลีกภัย” เป็นนายกฯ เชื่อยุติปัญหาความรุนแรงในบ้านเมืองได้ พร้อมแจงเหตุไม่เอา “อภิสิทธิ์” เพราะไม่มั่นใจจุดยืนประชาธิปไตย จากท่าทีที่เหมือนสนับสนุนรัฐประหารและทำตัวเหมือนเข้าข้างม็อบพันธมิตรฯ ปล่อยลูกพรรคไปป้วนเปี้ยนบนเวที ซ้ำร้ายที่เป็นตราบาปไปชั่วชีวิตก็คือการขอนายกฯ พระราชทาน จนได้ฉายา “มาร์ค ม.7” ขณะที่บรรดา ส.ส.-นักวิชาการ เรียงหน้าต้านกระแส “เฉลิม อยู่บำรุง” เป็นนายกฯ ห่วงเป็นการจุดไฟเผาบ้าน ชี้คนที่เหมาะต้องเป็นที่ยอมรับในความดี
ท่ามกลางกระแสการย้ายพรรคของอดีต ส.ส. จาก 3 พรรคการเมืองที่ถูกพิษคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมกับการเฟ้นหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ นั้น
เป็นเหตุให้การเคลื่อนไหวทางการเมืองตลอดทั้งวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมาเป็นไปอย่างคึกคัก โดยด้านหนึ่งได้มี ส.ส.บางส่วนจากพรรคพลังประชาชนเดิม ทยอยกันสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยแล้ว 155 คน โดยมีกระแสยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นคนสำคัญของพรรคมีความประสงค์สนับสนุน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ขณะเดียวกันก็กลายเป็นว่าทำให้ ส.ส.อีกส่วนหนึ่งแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม ส.ส.ภาคกลางและภาคใต้ของพรรคพลังประชาชนที่มีอยู่เกือบ 10 คน ส.ส.กลุ่มนายสรอรรถ กลิ่นประทุม อีก 11 คน กลุ่มส.ส.บ้านริมน้ำอีก 12 คน และกลุ่มเพื่อนเนวินอีก 37 คน และส่งผลให้ส.ส.เหล่านี้ ยังไม่ตัดสินใจเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย
แหล่งข่าวระบุว่า ส.ส.กลุ่มดังกล่าวมองว่าการจับขั้วแบบเดิม และการนำเอา ร.ต.อ.เฉลิม มาเป็นนายกรัฐมนตรี จะยิ่งสร้างปัญหาและไม่สามารถยุติวิกฤติของบ้านเมืองได้ โดยล่าสุดได้มีการเจรจากับพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยยังไม่ได้ลงรายละเอียดว่ากลุ่มเหล่านี้จะอยู่ในสังกัดพรรคใด ซึ่งอยู่ภายใต้เงื่อนไข นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี
โดยกลุ่ม ส.ส.กว่า 50 ชีวิตดังกล่าวปฏิเสธ ที่จะให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกฯ เนื่องจากมีพฤติกรรมที่น่ากังวลหลายประการ โดยเฉพาะแนวคิดตามระบอบประชาธิปไตย ว่าจะเป็นการเข้าไปแสดงท่าทีเสมือนสนับสนุนการรัฐประหาร สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ เคยปฏิเสธการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 และยังเคยเสนอเรื่องนายกพระราชทาน
ทั้งนี้สูตรดังกล่าวเชื่อกันว่าเป็นทางออกทางการเมืองที่ดีที่สุดของทุกฝ่ายในขณะนี้ ซึ่งหากพรรคประชาธิปัตย์รับเงื่อนไข ก็จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ที่มีส.ส. 164 คน มีเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ขณะเดียวกันหากพรรคเพื่อไทย มีตัวบุคคลที่น่าสนใจและสามารถเข้ามาแก้ปัญหาบ้านเมืองได้ ซึ่งไม่ใช่ ร.ต.อ.เฉลิม ก็อาจเป็นเงื่อนไขที่น่าสนใจเช่นกัน
อย่างไรก็ตามในกรณีของ ร.ต.อ.เฉลิม นอกจากจะถูกปฏิเสธจากกลุ่ม ส.ส.แล้ว ก็ยังได้รับการคัดค้านจากบุคคลอื่นๆ อย่างกว้างขวาง
นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช มองว่ารัฐบาลชุดใหม่คงไม่ใช่รัฐบาลแห่งชาติ แต่เป็นรัฐบาลที่มาจากประชาชน นำคนกลางที่มีอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งมีทั้งนายทหาร ตำรวจ และยามนี้สิ่งที่ต้องห้ามคือ คนจากพรรคพลังประชาชนและพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทุกคนต้องอยู่ในระบบ
ขณะเดียวกัน ยืนยันยังไม่มีใครทาบทามให้นั่งนายกรัฐมนตรี และที่ผ่านมาได้ปลดระวางตัวเองไปแล้ว แต่หากมีความจำเป็นก็ไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ
ส่วนกรณี ร.ต.อ.เฉลิม มีชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี นั้น นายเสนาะ กล่าวว่า คนนี้ตัดไป แต่ไม่ได้หมายความว่า ร.ต.อ.เฉลิม เป็นคนไม่ดี แต่ถ้ามาก็เหมือนเอาไฟมาเผาบ้าน และยังมองว่าความพยายามของพรรคประชาธิปัตย์จะเปลี่ยนขั้วการเมือง เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
นายสุริชัย หวันแก้ว อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่านายกรัฐมนตรีคนต่อไปจะต้องเป็นคนที่ไม่ยั่วเย้าให้เกิดความขัดแย้งอีก เรื่องนี้สำคัญมาก ประเทศไทยต้องการนักการเมืองที่เป็นผู้ใหญ่ ที่ไม่เอาประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง คนที่จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีต้องไม่ทำให้เกิดเรื่องขัดแย้ง และจะต้องเพิ่มพื้นที่ในการพูดคุยกันได้
เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ร.ต.อ.เฉลิมจะได้มานั่งในตำแหน่งสำคัญตามกระแสข่าวลือ นายสุริชัย กล่าวว่าก็เกิดปัญหาเก่าอีก เชื้อเชิญให้เกิดปัญหาอีก ทุกวันนี้บ้านเมืองยังไม่เจ็บป่วยกันอีกหรือ นายกรัฐมนตรีต้องเป็นคนที่ประชาชนให้ความเคารพในเรื่องความดีงาม
นายโคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าไม่ขอวิจารณ์ตัวบุคคล แต่ขอเปรียบการเมืองที่ผ่านมาว่าเปรียบเสมือนทีมฟุตบอล
ซึ่งนักฟุตบอลของทีมเอมีผู้เล่นเด็กๆ ลงสนาม แล้วก็โดนใบแดง 111 คน เมื่อเลือกทีมบีมาลงสนามแทน ก็โดนใบแดงไปอีก ขณะนี้จึงเหลือผู้เล่นสำรองของตัวสำรองอีกที คือทีมซี ซึ่งก็ต้องหาผู้เล่นเกรดเอ ซึ่งก็ต้องสรรหาบุคคลที่จะไปรอด แต่ก็ต้องมาคิดอีกว่าจะหาผู้เล่นเกรดเอได้จากที่ไหนบ้าง
จะเป็นจากคนในพรรคร่วมรัฐบาล จากพรรคฝ่ายค้าน หรือจากคนนอก แต่คนนอกนั้นจะต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์ โดยให้เข้ามาตั้งหน้าตั้งตาบริหารอย่างเดียว แล้วใครจะบริหารพรรคก็ปล่อยให้สมาชิกพรรคได้บริหารไป ต้องเลือกทีมที่ดีที่สุด
“แต่ถ้ายังจะเสนอแต่ทีมซี ซึ่งครั้งที่แล้วทีมบี นายกฯ เองก็เคยบอกว่าคณะรัฐมนตรีดูจะขี้เหร่หน่อย แล้วทีมซีไม่ยิ่งขี้เหร่ไปใหญ่เหรอ” รศ.ดร.โคทมกล่าว
ด้านนายศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส. นครพนม และรองโฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวปฏิเสธตอบคำถามที่ว่าคิดเห็นอย่างไรกับร.ต.อ.เฉลิมที่มีท่าทีจะได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี กล่าวเพียงว่ายังไม่ได้มีการคุยกับสมาชิกในกลุ่ม ว่าจะเลือกใครมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพียงแต่คุยกันเรื่องอนาคตของบ้านเมืองต่อจากนี้ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะทุกคนต้องการเห็นบ้านเมืองสงบสุข
และโดยส่วนตัวแล้วก็ไม่ได้มีชื่อของใครไว้ในใจ ยังคงคิดอยู่ ทั้งนี้ตนไม่เกี่ยงว่าจะเป็นใคร เท่าที่เห็นก็มีคนที่เหมาะสมอยู่หลายคน แต่ส.ส.ก็ยังไม่ได้มีการคุยกัน โดยตามมารยาทก็ต้องให้พรรคการเมืองใหญ่ที่มีเสียงอยู่ในสภามากเป็นพรรคเลือกบุคคลที่จะมาทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ต้องดูความเห็นจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วย
ทั้งนี้ ต้องการให้บรรยากาศเลือกบุคคลมาทำหน้าที่ดังกล่าว เป็นแบบการปรึกษาหารือกันมากกว่า ถ้าคนของพรรคพลังประชาชนเหมาะสมก็ดี แต่ถ้าคนในพรรคร่วมรัฐบาลเหมาะสมกว่าก็อาจจะปรึกษาให้เลือกคนนั้นดีหรือไม่
ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรงค์ ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชาชน กล่าวว่าชื่อของร.ต.อ.เฉลิมปรากฏอยู่ในสื่อ แต่ส.ส.ยังไม่ได้คุย หรือตัดสินใจกัน ที่จริงจะเป็นใครก็ได้ที่มีคุณสมบัติครบ ขณะนี้ตั้งสเปกไว้ว่าของให้บุคคลนั้นที่ได้เสนอชื่อตั้งมาแล้ว ไม่ใช่บุคคลที่จะสร้างความแตกแยกในประเทศ ไม่มีการปิดล้อมสนามบิน หรืออะไรก็ตามแต่ สิ่งเหล่านี้ต้องไม่เกิด ส่วนจะย้ายไปอยู่พรรคใดนั้น ยังไม่ได้ตัดสินใจ เรื่องนี้มองว่ายังพอมีเวลา 60 วันว่าจะไปสังกัดพรรคใด และหลังวันที่ 5 ธันวาคมจะมีการพูดคุยอย่างชัดเจนมากขึ้น
ทางด้านนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม ของพรรคเดียวกัน ก็ได้กล่าวว่าไม่ได้มีชื่อของร.ต.อ.เฉลิมเพียงคนเดียว แต่ยังคงมีชื่อของ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร และอีกหลายคน แต่ก็ยังไม่ได้มีข้อสรุป ยังเดาได้ยาก เพราะมีปัจจัยหลายอย่าง คนที่จะถูกเลือกมานั้นนอกจากปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายใน แล้วยังมีปัจจัยของสังคมอีกหลายอย่าง
ซึ่งตนเองก็ยังไม่ได้ประชุมกับเพื่อนในกลุ่ม แต่เท่าที่ทราบคือยังไม่มีการตัดสินใจว่าจะเป็นใคร กำลังดูคนที่เหมาะสมอยู่ ถึงอย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้ คงจะหาคนที่ถูกใจ 100 เปอร์เซ็นต์ได้ยาก ก็ต้องเลือกจากคนเท่าที่มีอยู่
“แต่ละคนก็มีข้อดี ข้อด้อยต่างกัน แต่ใครก็ได้ แต่ขอให้เห็นตรงตามเอกภาพของพรรคร่วมด้วย ตัวคนไม่สำคัญ แต่ความเป็นเอกภาพของพรรคและพรรคร่วมต่างหากที่จะเห็นว่าใครเหมาะสมก็จะเป็นคนนั้น” นายสุทินกล่าว
เช่นเดียวกับ นายนิสิต สินธุไพร อดีตส.ส.ร้อยเอ็ด และอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ที่กล่าวไม่ขอออกความเห็นกรณี ร.ต.อ.เฉลิม เป็นตัวเก็งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป โดยกล่าวว่าตนไม่สามารถโหวตเลือกใครได้ เนื่องจากถูกตัดสิทธิทางการาเมืองในฐานะกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนที่ถูกยุบพรรคไปเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา
สตช.เดินหน้าฟ้องพธม.ยันฟ้องข้อหากบฏ-พร้อมเปิดให้แกนนำแก้ต่าง
ที่มา ประชาทรรศน์
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า เมื่อมีผู้มาร้องทุกข์และกล่าวโทษพนักงานสอบสวนมีหน้าที่ต้อง สอบสวนไปตามกระบวนการกฎหมาย โดยจะนำคำสั่งศาลแพ่งตามคดีหมายเลขดำที่ 6453/2551 ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2551 มาประกอบการพิจารณา ซึ่งคำสั่งศาลแพ่งได้ระบุว่าการปิดกั้นท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งที่ทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวท่าอากาศยานดอนเมือง ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 34 วรรคหนึ่งซึ่งเมื่อศาลแพ่งชี้ขาดไว้เช่นนี้ พนักงานสอบสวนก็ต้องยึดถือตามคำชี้ขาดของศาลว่าการชุมนุมไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และสอบสวนตามขั้นตอนเว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามตนได้กำชับให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีการด้วยความเป็นธรรมไปตามพยานหลักฐาน เมื่อได้พยานหลักฐานมาก็ต้องดูกฎหมายว่าเข้าองค์ประกอบความผิดฐานใดบ้าง ก็ต้องดำเนินไปตามนั้น จะไม่มีการตั้งข้อหาลอยๆ โดยปราศจากพยานหลักฐานอย่างเด็ดขาด และแม้ว่าจะถูกดำเนินการแล้วแต่ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาก็สามารถนำพยานหลักฐานมาหักล้างว่าไม่เป็นความจริงได้ ตำรวจพร้อมจะให้ความเป็นธรรม
ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ ถูกกล่าวโทษให้ดำเนินคดีในความผิดฐานก่อการร้าย พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า ความผิดฐานก่อการร้ายเป็นความผิดที่กำหนดขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ.2546 ซึ่งมีสาระสำคัญว่าผู้ใดกระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม ซึ่งการกระทำนั้นมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทยให้กระทำการหรือไม่กระทำการใด อันก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหรือเพื่อสร้างความปั่นป่วน หวาดกลัวในหมู่ประชาชนให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดฐานก่อการร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 3-20 ปี ซึ่งตั้งแต่มีกฎหมายนี้ยังไม่มีใครเคยถูกกล่าวโทษกระทำผิดฐานนี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนต้องสอบสวนว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอเข้าองค์ประกอบความผิดฐานนี้หรือไม่ หากเพียงพอก็จะสรุปส่งเรื่องให้พนักงานอัยการพิจารณาต่อไป
ร้องกองปราบปราม แจ้งความพันธมิตรฯ ผิดฐานก่อการร้าย
ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : สิทธิประชาชน
6 องค์กรประชาธิปไตย ยื่นหนังสือแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษแกนนำพันธมิตรฯ ฐานก่อการร้ายต่อกองปราบปราม พร้อมทั้งมอบอำนาจให้ นพ.เหวง โตจิราการ เป็นผู้ดำเนินการติดตามเรื่อง ความดังนี้
หนังสือแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษและมอบอำนาจให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา135/1(2)
2003/3 สี่แยกเกษตร พหลโยธิน
ลาดยาว จตุจักร กทม.10900
โทรศัพท์-สาร 0-2561-2051
3 ธันวาคม 2551
เรื่อง ขอแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษว่ามีการกระทำความผิดเข้าข่ายมาตรา 135/1(2)
เรียน เจ้าหน้าที่กองปราบปราม
ด้วยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจำนวน12 คน อันประกอบด้วย 1.นายจำลอง ศรีเมือง 2.นายสนธิ ลิ้มทองกุล 3.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 4.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 5.นายพิภพ ธงไชย 6.นายสุริยะใส กตะศิลา 7.นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 8.นายสำราญ รอดเพชร 9.นายศิริชัย ไม้งาม 10 นายสาวิทย์ แก้วหวาน 11.นายศรัณยู วงษ์กระจ่าง 12 นางมาลีรัตน์ แก้วก่า
ได้นำคนจำนวนหลายพันคน เข้ายึดสนามบินดอนเมืองและสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ตั้งแต่กลางคืนของวันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน 2551 จนถึง วันที่ 3 ธันวาคม 2551 รวมทั้งได้เข้ายึดหอบังคับการบินด้วย เพื่อบีบบังคับรัฐบาลของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ในขณะนั้นให้ลาออก สร้างความปั่นป่วนโดยทำให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน และสร้างความเสียหายอย่างมากมายแก่ประชาชนทั้งชาวไทยและต่างชาติที่โดยสารเข้าออกผ่านสนามบินดังกล่าว รวมทั้งสร้างความเสียหายทั้งทางเศรษฐกิจการเมืองและเกียรติภูมิของประเทศไทยอันประเมินค่าไม่ได้
การกระทำดังกล่าวมีความผิดอันเข้าข่าย (ประมวลกฎหมายอาญา) มาตรา 135/1 (2) ที่กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดกระทำการอันเป็นความผิดอาญาดังต่อไปนี้ ... (2) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ ... ถ้าการกระทำนั้นได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย ... ให้กระทำการหรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้นั้นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย...
ข้าพเจ้าดังรายนามต่อไปนี้ จึงขอร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อให้ผู้บังคับการกองปราบปรามหรือเจ้าหน้าที่กองปราบปรามได้โปรดพิจารณาดำเนินการกับบุคคลดังกล่าวให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าวหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องสืบต่อไป
1.(ศ.เกียรติคุณ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์)
2.นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ
3.นพ.เหวง โตจิราการ
4.นายประสิทธิ์ ค่ายกนกวงศ์
5.นายเมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์
6.นายทรงชัย วิมลภัตรานนท์
7.นางสุนันทา ธรรมธีระ
ในการนี้ข้าพเจ้าทั้ง 7 ขอมอบอำนาจให้ นพ.เหวง โตจิราการ ได้ดำเนินการตามจุดประสงค์ดังกล่าวข้างต้นจนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ทุกประการ
ชัยชนะที่เพิ่งประกาศของพันธมิตรฯ
ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : ประชาทรรศน์วิชาการ
โดย ศรัทธา สารัตถะ
ที่มา : ประชาไท
กลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศยุติการชุมนุมยืดเยื้อทันที ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน ซึ่งมีผลให้รัฐบาลสมชายต้องมีอันพ้นสภาพไปพร้อมกัน การประกาศยุติการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สอดประสานรับลูกอย่างเหมาะเจาะกับการตัดสินยุบพรรคการเมือง นับเป็นปฏิบัติการทางการเมืองที่ไม่ธรรมดา เพราะการเดินเกมสอดรับกันอย่างแยบยลระหว่างการเมืองในระบบกับการเมืองนอกระบบ ส่งผลให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจ และเกิดวิกฤติความชอบธรรมขึ้นโดยพลัน
ไฮไลต์ของกระแสทางการเมืองพุ่งสูงสุด เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคการเมืองพร้อมกันถึง 3 พรรค ตามด้วยการประกาศยุติการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งยึดสนามบินสองแห่งเอาไว้ จนทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกือบจะกลายเป็นอัมพาตตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่การตัดสินคดียุบพรรคการเมืองของศาลรัฐธรรมนูญ ถูกตั้งข้อสังเกตจากนักการเมืองและสาธารณชนอย่างกว้างขวางว่า เป็นการตัดสินที่ค่อนข้างรวบรัดและรวดเร็วอย่างผิดปกติ นำไปสู่ความคลางแคลงใจเกี่ยวกับบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งในแง่ที่มาของอำนาจ ตัวผู้ใช้อำนาจ และวิธีการใช้อำนาจ
ท่ามกลางความสงสัยและไม่มีความพยายามใดๆ ที่จะให้คำอธิบายเกี่ยวกับเหตุผลเบื้องหลังการเร่งตัดสินคดีดังกล่าวแล้ว การตัดสินคดียุบพรรคที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความขัดแย้งทางการเมืองกำลังเขม็งเกลียว ได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกมการเมืองพลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ จึงเลี่ยงไม่พ้นคำถามที่ตามมาว่า ตุลาการภิวัตน์จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการชิงความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองหรือไม่
ในขณะที่สาธารณชนยังไม่หายข้องใจกับบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญ การประกาศยุติการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ กลายเป็นข่าวที่มาเร็วเหนือความคาดหมาย เพราะก่อนหน้านี้กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่มีท่าทีแม้แต่น้อยว่าจะยุติการชุมนุม เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนการประกาศยุติการชุมนุม แกนนำพันธมิตรฯ ยังประกาศว่าจะไม่ถอนกำลังออกจากสนามบิน รวมถึงมีการตระเตรียมความพร้อมเพื่อรักษาพื้นที่สนามบินดอนเมืองให้แน่นหนามากขึ้น เพราะเหตุนี้ จึงมีผู้ตั้งข้อสังเกตผ่านเว็บบอร์ดประชาไทว่า แม้แต่พันธมิตรฯ ก็ยังไม่รู้ตัวว่าต้องเลิกชุมนุมวันนี้ (http://www.prachatai.com/webboard/wbtopic.php?id=755680)
ดูเผินๆ ราวกับว่าการประกาศเลิกชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นสิ่งที่ไม่ได้จงใจหรือวางแผนไว้ล่วงหน้า หรือเป็นเพียงปฏิกิริยาตอบสนองในทางบวกต่อผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ พูดง่ายๆ ว่า เพราะพอใจผลการตัดสินของศาล จึงเลิกชุมนุม ตรรกะง่ายๆ นี้ฟังดูสมเหตุผล หากไม่พิจารณาข้ออ้างที่แกนนำยกมา ได้แก่ 1.ได้รับชัยชนะในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้เป็นผลสำเร็จ และ 2.ได้รับชัยชนะในการขับไล่รัฐบาลทรราชฆาตกรหุ่นเชิดเป็นผลสำเร็จ
หากพิจารณาเหตุผลที่ยกมาอ้างเพื่อเลิกชุมนุมกะทันหัน สาธารณชนคงไม่ปักใจเชื่ออย่างง่ายดายว่า พันธมิตรฯ ได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กล่าวอ้างมาแล้วจริงๆ เพราะหากพันธมิตรฯ มั่นใจในชัยชนะจริง ก็คงไม่จำเป็นต้องประกาศชัยชนะไป พร้อมกับตั้งเงื่อนไขข่มขู่ไปว่า จะกลับมาชุมนุมอีกครั้ง หากเงื่อนไขที่ตั้งเอาไว้ไม่เป็นไปดังต้องการ ประเด็นที่น่าสังเกตอยู่ที่ว่า แถลงการณ์ยุติการชุมนุม (ชั่วคราว) ของกลุ่มพันธมิตรฯ ครั้งล่าสุด คือเงื่อนงำสำคัญที่ชี้ให้สาธารณชนเห็นถึงสถานะที่แท้จริงของกลุ่มพันธมิตรฯ
ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก สังคมเริ่มตั้งข้อสงสัยถึงเป้าหมายของกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะข้อเรียกร้องที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อเรียกร้องไม่มีที่สิ้นสุด มาจนถึงข้อเรียกร้องเรื่องการเมืองใหม่ ซึ่งความหมายที่แท้จริงยังไม่มีความชัดเจน จนมาถึงวันที่กลุ่มพันธมิตรฯ เข้ายึดพื้นที่สนามบินทั้งสองแห่ง ทั้งๆ ที่กลุ่มพันธมิตรฯ เองรู้ดีว่าการยึดสนามบินย่อมสร้างความเดือดร้อนและความไม่พอใจให้กับคนทั้งในและต่างประเทศ แต่พันธมิตรฯ ก็ยังคงเลือกยุทธศาสตร์ปิดสนามบินเพื่อต่อรองทางอำนาจกับรัฐบาล ข้ออ้างที่ว่าต้องการชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อต้อนรับนายกสมชายที่เดินทางกลับจากต่างประเทศฟังไม่ขึ้น เพราะแม้นายกสมชายประกาศว่าจะไม่เดินทางมาที่สุวรรณภูมิ พันธมิตรฯ ก็ยังคงยึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองต่อไป การยึดสนามบินเป็นตัวประกัน สร้างความงุนงงสงสัยให้กับสาธารณชนวงกว้างว่า แท้จริงแล้วพันธมิตรฯ ต้องการอะไรกันแน่
แล้ววันที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรคการเมือง ก็กลายเป็นวันที่พันธมิตรฯ เฉลยสถานะแท้จริงของตนเอง เพราะหากไม่มีพันธมิตรฯ คอยประณามรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างหนักหน่วง และยึดสนามบินสร้างกระแสความปั่นป่วนตึงเครียดให้กับสังคมวงกว้าง การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญก็คงไม่มีน้ำหนักมากถึงเพียงนี้ หรืออาจถูกต่อต้านอย่างหนักจากมวลชนอีกฝ่ายหนึ่ง ในทางกลับกัน หากไม่มีตุลาการภิวัตน์เป็นบันได พันธมิตรฯ ก็คงหาทางลงให้กับปฏิบัติการยึดสนามบินที่ไร้ความชอบธรรมได้ยากขึ้นทุกที
เงื่อนไขที่กลุ่มพันธมิตรฯ ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “ขอให้หยุดยั้งอย่าให้มีนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณ ขอให้สะสางความผิดนักการเมืองในระบอบทักษิณ และขอให้ร่วมกับประชาชนสร้างการเมืองใหม่เพื่อปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง” ชี้ชัดว่าชัยชนะที่พันธมิตรฯ เพิ่งประกาศไปนั้น ยังไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด หากเป้าหมายสูงสุดยังไม่บรรลุผล พันธมิตรฯ ก็ยังคงไม่ยอมลงจากเวทีเป็นแน่
การเคลื่อนไหวทางการเมืองในฐานะกลุ่มกดดันนอกสภาที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อชัยชนะ คอยส่งลูก รับลูก สอดประสานกับกลุ่มอื่นๆ ทำให้พันธมิตรฯ กลายเป็นกลุ่มกดดันทางการเมืองที่ทรงอิทธิพล ยากที่กลุ่มการเมืองในระบบจะแข่งขันได้ ปฏิบัติการยึดสนามบินที่ส่งผลให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองขึ้นสำเร็จในขณะนี้เป็นการปูทางให้กับการเปลี่ยนขั้วอำนาจในระบบ ภายใต้การกำกับของอำนาจนอกระบบ ซึ่งจะมีที่ทางและความชอบธรรมมากขึ้นซึ่งจะเข้ามากำหนดทิศทางการเมืองขั้นต่อไป
ชัยชนะที่เพิ่งประกาศของพันธมิตรฯ จึงไม่ใช่ชัยชนะของประชาชน!
"ฤๅจะล้างบางสถาบันการเมือง"
ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : สามเหลี่ยมดินแดง
โดย เอกฉัตร
00 หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ สื่อทางเลือกของประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ฉบับวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2551 วันเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
00 ความเป็นธรรมและความยุติธรรมในสังคมไทย ที่คนไทยมั่นใจว่ายังเชื่อมั่น แต่หลังจากที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ลุกลี้ลุกลน รวบรัด วินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และ พรรคมัชฌิมาธิปไตย ตัดสิทธิหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคทั้ง 3 พรรค ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อย ตั้งคำถาม ประเทศไทยวันนี้ ยังมีความเป็นธรรมและความยุติธรรมหลงเหลือให้สังคมได้ชื่นชมอยู่อีกหรือไม่? หากไร้คำตอบ น่าเป็นห่วงอนาคตของประเทศไทย ความอยุติธรรมนี่แหละคือคำตอบสุดท้าย สร้างความแตกแยกของประชาชนในแผ่นดินนี้
00 บันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของชาติไทยให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ หากขวานทองยังมีสภาพครบสมบูรณ์ ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกนี้ ที่รัฐธรรมนูญฉบับปีศาจคาบไปป์ กากเดนของเผด็จการ ตั้งธงให้ร่างขึ้นมา ด้วยสมมุติฐาน นักการเมืองชั่วร้าย ซื้อสิทธิขายเสียง ตั้งเป้าไว้ให้รัฐบาลอ่อนแอ ให้อำนาจตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ชะตายุบพรรคการเมืองได้ง่าย เหมือนกับรื้อเพิงหมาแหงนริมถนน
00 เห็นภาพข่าว นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย มังกรการเมือง วัย 74 หลั่งน้ำตา สั่งคลุมผ้าดำ ปิดตำนาน 34 พรรคชาติไทย ท่ามกลางบรรยายกาศเศร้าโศกเสียใจ จริงอยู่มีเกิดต้องมีดับ เกิดได้ดับได้ แต่กรณียุบพรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค เปรียบได้กับการเกิดอุบัติเหตุ แม้รู้ทั้งรู้ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเวลา แต่ไม่ง่ายที่จะทำใจให้รับได้ในระยะเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะพรรคชาติไทย นายบรรหาร เปิดใจอัด ศาลรัฐธรรมนูญ ลุกลี้ลุกลน อ่านผิดอ่านถูก ตั้งธงกันไว้ล่วงหน้า ตุลาการ 8 ใน 9 คน ที่ลงมติยุบพรรคชาติไทย มังกรเฒ่าบรรหาร พูดชัด เจ้าหน้าที่ไหน จะไม่พูดด้วย
00 บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมอันธพาลทางการเมือง ที่เรียกตัวเองกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สามารถแห่กลองยาวเข้าไปยึดสนามบินแห่งชาติได้ทั้ง 2 แห่งในวันเดียวกัน สร้างความเสียหายทางด้านภาพลักษณ์ของประเทศ สร้างความฉิบหายให้กับเศรษฐกิจ ประเทศถูกลดเครดิตในทุกๆ ด้าน เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่กล้าดำเนินการใดๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ผวากับคำว่า “ม็อบมีเส้น”
00 บันทึกไว้ด้วยความอัปยศอดสู ทหารที่ประชาชนฝากความหวังไว้ในการรักษาความสงบเรียบร้อย สนับสนุนการทำงานของตำรวจ แต่กลับไม่กล้าที่จะยกกำลังมาป้องกันไม่ให้สนามบินแห่งชาติถูกกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีพฤติกรรมเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งๆ ที่ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร้องขอไปแล้ว แต่ได้รับคำตอบว่า ไม่ใช่หน้าที่ แถม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก กลับสั่งให้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกออกมาชี้แจง สถานการณ์ปกติ ตำรวจยังควบคุมสถานการณ์ได้
00 ในขณะที่ตำรวจแม้จะจัดกำลังตำรวจเต็มอัตราเพื่อป้องกันไม่ให้สนามบินถูกยึด กลับปฏิบัติหน้าที่เหมือนคนไร้วิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เมื่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายยึดสนามบินไว้เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจที่วางกำลังไว้ตามจุดต่างๆ ก็ถูกเรียกออกมาจัดแถว ตบเท้าเดินออกจากสนามบินอย่างสง่าผ่าเผย เหมือนกับว่าภารกิจรอต้อนรับผู้ก่อการร้ายเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อยึดพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมืองไว้อย่างเบ็ดเสร็จ ปิดทำการสนามบินร้อยเปอร์เซ็นต์ เดือดร้อนกันทั่วโลก เมื่อนักท่องเที่ยวไม่สามารถออกประเทศได้ ติดค้างอยู่นับแสนคน ส่วนคนไทยจำนวนไม่น้อยกว่ากัน ติดค้างอยู่ที่สนามบินต่างประเทศ ความเดือดร้อนของประชาชน ความเสียหายของประเทศ กลับเรียกว่า “กู้ชาติ”
00 อัปยศอดสูเจ้าข้าเอ้ย ผู้ก่อการร้ายยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง และทำเนียบรัฐบาล ทำให้ประเทศชาติหายนะ เมื่อถึงเวลาคืนสถานที่ให้กับรัฐ บาดใจบาดตาเหลือเกินกับภาพ เจ้าหน้าที่ของรัฐไปยืนรับส่งคืนจากผู้ก่อการร้าย แทนที่ตำรวจจะควบคุมผู้ก่อการร้ายไปทำแผนประกอบประทุษกรรม เหมือนกับคดีทั่วๆ ไป อเนจอนาถใจเหลือเกินเจ้าข้าเอ้ย
00 ผลการตรวจรับคืนทำเนียบรัฐบาล ระบุชัดแล้วว่า ในห้วงเวลาที่ถูกยึดครอง ทรัพย์สินเสียมากมายมหาศาล แต่ ส.ว.ลากตั้ง นายสมชาย แสวงการ กลับเสือกพูดออกมาได้ ไม่มีอะไรเสียหาย ถุย (ส์)
00 ขบวนการต้านเผด็จการ ของคนเสื้อแดง นายวีระ มุสิกพงศ์ พิธีกรรายการความจริงวันนี้ ปิดลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร นัดรวมพลคนเสื้อแดงกันอีกครั้งที่หน้ารัฐสภา วันที่ 8 ธันวาคม เพื่อคุ้มครองรัฐสภา ไม่ให้กลุ่มพันธมิตรพันธมาร ปิดล้อม ขัดขวางการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ
00 ส่วนจะมีการคัดเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่หรือไม่ เอกฉัตร บอกได้เลยว่า ยังไม่ถึงเวลา ฝุ่นการเมืองยังตลบ ไม่ง่ายที่จะชี้ขาดลงไปได้ ใครคือนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ยิ่ง ส.ว. ลากตั้งเจ้าเก่า ไม่อยากจะเอ่ยชื่อให้เป็นเสนียดกับหน้ากระดาษ ยื่นเรื่องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตีความ ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ ยังมีสมาชิกภาพหรือไม่เมื่อพรรคถูกยุบไปแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นั่งสุมเศียรตีความกันอย่างรวดเร็ว เหมือนปฏิบัติการสายฟ้าแลบ ยุบ 3 พรรคภายในเวลาชั่วโมงเดียว
00 ส่วน 29 เขตเลือกตั้ง ที่ยังว่าง ส.ส. จากการที่อดีต ส.ส. ซึ่งเป็นกรรมการบริหารถูกตัดสิทธิ เอกฉัตร ไม่ใช่นักกฎหมาย แต่เท่าที่อ่านรัฐธรรมนูญ ผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อไทย และ พรรคภูมิใจไทย ไม่น่าจะมีสิทธิส่งใครลงรับสมัครได้ ในเมื่อพรรคเพิ่งตั้งยังไม่ครบ 90 วัน ที่สมาชิกพรรคจึงจะมีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งได้ เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ (หากมี) ไม่ใช่การยุบสภา ที่กำหนดให้ผู้สมัคร ส.ส. สังกัดพรรคในเวลาแค่ 45 วัน แต่นี่เป็นการเลือกตั้งซ่อม ผู้สมัคร ส.ส. ต้องสังกัดพรรค 90 วัน นั่นหมายความว่า ทุกเขตเลือกตั้ง ผู้สมัคจากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต่อทุกพื้นที่ น่าคิด อ่านว่า น่าคิด
ต้องกำจัด“อำนาจมืด”
ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว
โดย*อัฐศิริ*
ไม่ต้องแปลกใจ ที่ผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯ ยุติการชุมนุมลงชั่วคราว เมื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้ยุบ 3 พรรคร่วมรัฐบาล เพราะนั่นเป็นธงที่ปักไว้แล้ว จึงเป็นบทพิสูจน์ว่า ซากเดนทรราช ลิ่วล้อเผด็จการและอำมาตยาธิปไตย สามารถทำได้ทุกอย่าง เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วนำ “การเมืองใหม่” มาใช้ให้ได้
แม้จะถูกขัดขวางโต้แย้งว่า ขัดกับหลักการประชาธิปไตย ก็ตาม
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ถือเป็นความเจ็บปวดของการเมืองไทย และเป็นความด่างพร้อยของแวดวงของกฎหมาย ใครจะอ้างอะไรก็อ้างไปเถอะครับ
แต่ถ้าดูถึงเจตนาแล้ว บอกได้คำเดียวว่า มันชัดเจนเสียยิ่งกว่าชัดเจนครับ
เราได้เห็นอาการลุกลี้ลุกลน การรวบรัดวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล ถึงขนาดอ่านผิดอ่านถูก เพื่อใช้เวลาให้เร็วที่สุด ในการถอนรากถอนโคน รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งให้ได้อย่างเด็ดขาดเฉียบพลัน
ซึ่งก่อนหน้านี้ มีเสียงเรียกร้องจากนักวิชาการสายเผด็จการ นักสินติวิธีจอมปลอม ที่ให้มีการ “ยุบสภา” โดยอ้างว่าเพื่อคืนอำนาจไปให้กับประชาชน แล้วที่ประชาชนมอบความไว้วางใจ เลือกให้พรรคการเมืองที่ถูกยุบไป เข้ามาบริหารประเทศ ในตอนนี้จะเอาพวกเขาไปไว้ที่ไหน
อย่างนี้เท่ากับเป็นการตบหน้าประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ตามวิถีทางประชาธิปไตยทั่วประเทศ
ถึงแม้ว่าผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯ ประกาศยุติการชุมนุมลงไปแล้ว โดยอ้างว่าเป็นชัยชนะ บนความหายนะของประเทศชาติ แต่ “สงครามกลางเมือง” ยังมีสิทธิปะทุขึ้นได้อีกครับ เพราะพันธมิตรฯ ยังทิ้งเชื้อเอาไว้
ตราบใดยังมีผู้คนต้องการเห็นกฎหมายเป็นกฎหมาย ต้องการให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ และคนที่บังคับใช้กฎหมายมีความสง่างาม ไม่ด่างพร้อยด้วยประการทั้งปวง โดยเฉพาะเรื่องของความน่าเชื่อถือ
กับอีกฝ่ายหนึ่งที่ปฏิเสธกฎหมายบ้านเมือง กระทำการละเมิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง หยามหน้าคนที่รักษากฎหมาย มาตลอด
สถานการณ์ยังคุกรุ่นอยู่ ด้วยเงื่อนไขของม็อบพันธมิตรฯ ที่ระบุว่า ไม่เอารัฐบาลนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับไม่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ
จะถือว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ ที่ผ่านมามีเสียงเรียกร้องจากฝ่ายที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ออกมากดดันให้ทหารออกมายึดอำนาจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตกยุคไปแล้ว เพราะสังคมโลกมองว่าเป็น “ความป่าเถื่อน” การทำรัฐประหารยึดอำนาจจึงยังไม่เกิดขึ้น
ดังนั้น “รัฐประหาร ซ่อนรูป” หรือ “ตุลาการภิวัตน์” คือการใช้กฎหมายมายึดอำนาจ จึงต้องถูกนำมาใช้แทน
ชัดเจนว่า ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเรื่องที่กำหนดไว้แล้ว อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ถามใจคนที่รักความเป็นธรรม คนต้องการความถูกต้อง ต่างยอมรับไม่ได้ กรณีที่พรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรคต้องถูกยุบพรรค จากน้ำมือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยังเป็นเรื่องที่คาใจกันอยู่ลึกๆ
เนื่องจากฝ่ายที่ต้องการล้มล้างประชาธิปไตยเชื่อว่า นี่เป็นหนทางเดียว ที่จะจัดการกับฝ่ายประชาธิปไตยได้
ทั้งๆ ที่นายกรัฐมนตรี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่รับไม้จาก นายสมัคร สุนทรเวช ยืนยันแข็งขันไม่ลาออก ไม่ยุบสภา ยืนหยัดปกป้องรักษาประชาธิปไตย ไม่โอนอ่อนผ่อนตามที่แม่ทัพนายกองต้องการ แต่ก็ต้องมามีอันเป็นไปด้วย เกมที่เผด็จการวางไว้ ถูกอำนาจนอกระบบเล่นงานจนหลุดพ้นเส้นทางประชาธิปไตยไป
ถามว่า การยุบพรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค ภายใน 1 ชั่วโมง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ตายหมู่” นั้น มีผลกับม็อบก่อการร้ายพันธมิตรฯ อย่างไรแค่ไหน
มีแน่ครับ เพราะนี่เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่ผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯ ที่รู้กันดีว่าเป็น “ม็อบมีเส้น” และผู้สนับสนุน จะใช้เป็นข้ออ้าง ใช้เป็น “ทางลง”
เพราะบรรดาซากเดนทรราช ลิ่วล้อเผด็จการ คมช. และอำมาตยาธิปไตยเห็นตรงกันว่า ถ้ายังดันทุรังดื้อด้านต่อไป มีแต่ “แพ้กับแพ้” เพราะความชั่วช้าสามานย์ที่สร้างความหายนะให้กับแผ่นดิน
สิ่งที่น่าเสียดายคือ การนัดหมายเพื่อประชุมสุดยอดอาเชียน มีอันต้องเลื่อนไป ทั้งๆ ที่ทุกอย่างเตรียมงานไว้พร้อมแล้ว
ทำให้ประเทศไทยและประเทศสมาชิก รวมทั้งประเทศอื่นๆ ต้องเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย แทนที่จะได้มาช่วยกันคิดแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของโลกที่เกิดขึ้น และมีผลกระทบอย่างรุนแรงในขณะนี้
ดูเอาเถอะครับ คนที่เป็นประธานอาเซียน แต่จัดการประชุมในบ้านตัวเองไม่ได้ตามกำหนด ต้องถือว่าเป็นความเสียหายอย่างยิ่ง ทั้งชื่อเสียงเกียรติภูมิ ความเชื่อถือศรัทธามีปัญหา เพราะคนกลุ่มนี้
เพราะฉะนั้น นายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะเป็นใครก็ตาม ต้องจับเรื่องที่ผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯกระทำย่ำยีจนประเทศชาติเกิดความเสียหายอย่างมหาศาล มาจัดการก่อนเป็นเรื่องแรก
เพื่อให้กฎหมายเป็นกฎหมาย ให้ต่างชาติยอมรับเชื่อถือว่า จะไม่มีคนนอกกฎหมายมาทำอะไรตามใจชอบอย่างที่เคยทำมาได้อีก
การจัดการกับแกนนำพันธมิตรฯ ต้องรีบทำ อย่าได้เตะถ่วงซื้อเวลาออกไปอย่างเด็ดขาด เพราะที่ผ่านมานั้น เห็นได้ชัดว่า สาเหตุสถานการณ์ลุกลามใหญ่โต จนเปรียบได้กับ “นรกกลางกรุง” เป็นเพราะผู้รักษากฎหมาย ไม่เอาจริง
การยึดทำเนียบรัฐบาล ทำเป็นที่ซ่องสุมกองกำลัง เป็นคลังอาวุธมาทำร้ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง การยึดสนามบินดอนเมือง การยึดสนามบินสุวรรณภูมิ จนเป็นข่าวฉาวโฉ่ออกไปทั่วโลก สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างมหาศาล แค่นี่ก็ติดคุกกันหัวโตแล้ว
ความเสียหายเป็นแสนล้าน ใครจะรับผิดชอบ
วันนี้แค่ถอนประกัน แกนนำพวกนี้ก็พากันหมดสภาพแล้วครับ
สิ่งที่ต้องจับตาต่อจากนี้ไปคือ พันธมิตรฯ จะกลับมาชุมนุมอีกเมื่อไหร่ และมีใครเป็นแกนนำ
ในเมื่อพรรคร่วมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชน ยังรวมตัวกันเข้ามาบริหารประเทศ ก็จะต้องถูกต่อต้านอีก จนกว่าจะกลับขั้วการเมือง ให้ “พรรคประชาธิปัตย์” มาเป็นแกนนำ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ต้องบอกว่า “เสี่ยงแสนเสี่ยง” เสียงจริงๆ ครับ เพราะมีเสียงเกินครึ่งไปเพียง 5 เสียงเท่านั้น
ถามว่าวิกฤติที่ประเทศชาติได้รับในตอนนี้ เราจะ “เสี่ยง” ให้พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นฝ่ายที่สนับสนุนการชุมนุมประท้วง จนเกิดความเสียหาย ขึ้นมาบริหารประเทศนี้อย่างนั้นหรือ
บอกตรงๆ ว่า กรณี สปก. 4-01 ยังตามหลอกหลอนเกษตรกรคนยากคนจนมาถึงวันนี้ และกรณี ปรส.ก็เป็นเรื่องที่ลืมไม่ได้เช่นกัน
อีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญ ที่จะนำไปสู่จุดแตกหักคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เนื่องจากฝ่ายประชาธิปไตยต้องการแก้ แต่ฝ่ายเผด็จการออกมาต่อต้านขัดขวาง ก็จะเป็นข้ออ้างในการออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาลของพันธมิตรฯ อีก
มาถึงวันนี้ ประเทศชาติต้องเดินหน้าไปให้ได้
สิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางในการบริหารงานของฝ่ายประชาธิปไตย
ดังนั้น ต้องขจัดเครื่องมือของระบอบเผด็จการออกไปจากประชาธิปไตย
หมดความขลัง !
ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : โต๊ะข่าวประชาทรรศน์
โดย อัชฌาวดี
ยังจำคำของ นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ที่บอกว่าเห็นคนทำนาในทำเนียบแล้ว “อยากร้องไห้”
แต่วันนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบความเสียหายในทำเนียบรัฐบาล และช่างภาพถ่ายภาพออกมาให้ประชาชนทั่วประเทศได้ชมกันแล้วนั้น
บอกได้คำเดียวว่า อยากร้องดังๆ ร้องอย่าง เวทนา สงสาร “ทำเนียบรัฐบาล” สงสารประเทศชาติที่โดนพันธมิตรฯ ย่ำยีขนาดนี้
ทำเนียบรัฐบาล เป็นสถานที่สำคัญในการใช้บริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร
ทำเนียบรัฐบาล เป็นหนึ่งในหน้าตาของประเทศชาติ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ที่นั่งทำงานในฐานะเป็นศูนย์บัญชาการบริหารประเทศเป็นสถานที่ประชุมระดับสูงสุด และใช้เป็นที่ต้อนรับ “อาคันตุกะ” แขกบ้านแขกเมือง
ข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลกระจายกันออกสำรวจในส่วนของตึกบัญชาการ ทั้ง 1 และ 2 พบร่องรอยงัดแงะรื้อค้นข้าวของ รวมถึงทำลายทรัพย์สินเสียหายเป็นจำนวนมาก
ลิ้นชักโต๊ะทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกรายถูกรื้อค้นนำทรัพย์สินไปจนหมด เจ้าหน้าที่หลายคนที่เห็นสภาพดังกล่าวถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่
พากันกอดคอร้องไห้เสียงดังระงมไปทั่ว เบื้องต้นทรัพย์สินที่สูญหายไปประกอบด้วย เครื่องโปรเจ็กเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ โดยบางส่วนถูกชำแหละถอดชิ้นส่วน
ห้องทำงานรัฐมนตรี หลายๆ ห้อง พบว่าห้องรับรองถูกงัดประตูเข้าไปทำลายทรัพย์สิน โต๊ะทำงานบางห้องมี “กองอุจจาระ” และร่องรอยอุจจาระทาอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่ว
ผนังและฝ้าเพดานถูกงัด รูปถ่ายที่มีความเกี่ยวพันกับพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกฉีกกระจัดกระจายไปทั่วห้อง
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ เหรียญตรา พระเครื่องและพระบูชา สูญหายทั้งหมด เก้าอี้โซฟาหลุยส์ราคาแพงถูกมีดกรีดเสียหายใช้งานไม่ได้ กระจกถูกทุบทำลายเกือบทุกบาน
สภาพความเสียหายที่กล่าวมาข้างต้นนี้ คือส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด
แต่เท่าที่ประเมิน คาดว่าจะเสียหายมากกว่านี้หลายร้อยเท่า !
ไม่รู้ว่าจะเขียนเพื่อว่ากล่าวพวกที่คิดทรยศต่อประเทศชาติอย่างไรดี แต่ ณ วันนี้คิดว่าผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองต้องคิดสร้างทำเนียบรัฐบาลแห่งใหม่แล้ว
เพราะสถานที่สำคัญอย่าง “ทำเนียบรัฐบาล” หมดความสง่างาม หมดความขลัง หมดความน่าเชื่อถือไปแล้ว
ในช่วงที่พันธมิตรฯ ปักหลักอยู่ในทำเนียบก็มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บล้มตายในนั้นจำนวนไม่น้อย แถมยังมีระเบิดซุกซ่อนอยู่อีก
พฤติกรรมเยี่ยงนี้ผิดกับประโยคที่ว่าเป็นม็อบชนชั้นนำและชนชั้นกลาง ชุมนุมโดยสงบ
แต่สิ่งที่เห็น มันไม่ใช่ สิ่งที่พวกพันธมิตรฯ ทำคือ การปล้นและทำลาย ดังนั้นขอร้องให้หน่วยงานที่ได้รับความเสียหายออกมาดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด
ร่วมกันฟ้องร้อง อย่าให้ประเทศชาติต้องแปดเปื้อนมากไปกว่านี้เพราะความเลวทรามของพวกมัน !
ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา
ที่มา ประชาทรรศน์
บทบรรณาธิการ
เนื่องในมหาวโรกาสยิ่งใหญ่ วันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เวียนมาบรรจบครบอีกวาระหนึ่ง ปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายพระพร ขอพระองค์ทรงพระเกษมสำราญ มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน เป็นร่มบรมโพธิสมภารให้กับอาณาประชาราษฎรไทย ตลอดกาลนานเทอญ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์
ปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์แห่งมหาชนชาวสยาม” ดังกึกก้องกัปนาท ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในจิตใจคนไทย 63 ล้านคน เป็นแม่นมั่นในการที่จะสนองพระราชประสงค์ขององค์พระมหากษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐ
“ธรรม” สำหรับพระราชา ซึ่งเป็นแบบแผนในการปกครอง
ทศพิธราชธรรม มีดังนี้ 1.การให้ 2.การบริจาค 3.ความประพฤติดีงาม 4.ความซื่อตรง 5. ความอ่อนโยน 6.ความทรงเดช 7.ความไม่โกรธ 8.ความไม่เบียดเบียน 9.ความอดทน 10.ความไม่คลาดเคลื่อนในธรรม
จักรวรรดิวัตร 12 คือธรรมอันเป็นพระราชจริยานุวัตร ทรงถือและอาศัยธรรมข้อนี้เป็นหลักสำหรับการปกครองประเทศ ดังนี้ 1.ควรอนุเคราะห์คนในราชสำนักและคนภายนอกให้มีความสุข ไม่ปล่อยปละละเลย 2.ควรผูกไมตรีกับประเทศอื่น 3.ควรอนุเคราะห์พระราชวงศานุวงศ์ 4.ควรเกื้อกูลพราหมณ์ คหบดี และคฤบดีชน คือเกื้อกูลพราหมณ์และผู้ที่อยู่ในเมือง 5.ควรอนุเคราะห์ประชาชนที่อยู่ในชนบท 6.ควรอนุเคราะห์สมณพรามณ์ผู้มีศีล 7.ควรจักรักษาฝูงเนื้อ นก และสัตว์ทั้งหลายมิให้สูญพันธ์ 8.ควรห้ามชนทั้งหลายมิให้ประพฤติผิดธรรม และชักนำด้วยตัวอย่างให้อยู่ในกุศลสุตจริต 9.ควรเลี้ยงดูคนจน เพื่อมิให้ประกอบการทุจริตและอกุศลต่อสังคม 10.ควรเข้าใกล้สมณพราหมณ์เพื่อศึกษาบุญและบาป กุศล และอกุศลให้แจ่มชัด 11.ควรห้ามจิตมิให้ต้องการไปในที่ที่พระมหากษัตริย์ไม่ควรเสด็จ 12.ควรระงับความโลภมิให้ปรารถนาในลาภที่พระมหากษัตริย์มิควรจะได้
และ ราชสังคหวัตถุ 4 คือ พระราชจริยานุวัตรอันเป็นที่ยึดเหนี่ยวนำใจประชาชน สำหรับเป็นแนวทางในการวางนโยบายปกครองบ้านเมือง ดังนี้ ทรงพระปรีชาในการบำรุงธัญญาหารให้บริบูรณ์ ทรงพระปรีชาในการสงเคราะห์บุรุษที่ประพฤติดี ทรงพระปรีชาในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎร และการตรัสพระวาจาที่อ่อนหวานแก่ชนทุกชั้นโดยควรแก่ฐานะ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้ทรงบำเพ็ญคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างใหญ่หลวง ดังปรากฏ ตลอดห้วงเวลาในการเสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติภายใต้นปพดลมหาเศวตรฉัตรแห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ทรงครองตนในธรรมแห่งพระราชา ทำให้ไพร่ฟ้าประชาชนได้รับอาณาบารมีแผ่ไพศาล ราษฎรไทยทั้ง 63 ล้านคน อยู่ดีมีสุขตามอัตภาพ ประเทศไทยมีความเจริญพัฒนาก้าวหน้าตามนานาอารยประเทศ
ดังนั้นใครก็ตามที่แอบอ้างหรือผูกขาดความจงรักภักดีในพระบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริย์เจ้า เพียงฝ่ายเดียว มุ่งหวัง แบ่งแยก แบ่งฝัก แบ่งฝ่าย จนทำให้ประเทศชาติมีความแตกแยกในทุกมิติ ทั้งทางกว้างและทางลึก เพียงมุ่งผลประโยชน์ทางการเมือง เฉพาะตน เฉพาะกลุ่ม จึงเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ในดวงใจของราษฎรไทยทั้ง 63 ล้านคน จักสักการะเทิดทูน และประชาชนคนไทยทั้ง 63 ล้านคนพร้อมจักสละชีวิตเป็นราชพลี…ดังนั้นใครก็ตามอย่าได้แม้แต่คิดนำสถาบันเบื้องสูง ไปแอบอ้างทางการเมือง ผูกขาด แบ่งแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายอีกต่อไป...
ชี้ชัด"ปู่ชัย"ไม่มีหน้าที่ขอเปิดสภาเลือกนายกฯ
ที่มา ประชาทรรศน์
วันนี้ (5 ธ.ค.) นายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดรักษาการมีมติให้ถอนร่างพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ วันที่ 8-9 ธ.ค.ที่จะพิจารณาวาระเกี่ยวกับข้อตกลงและบันทึกความเข้าใจที่จะใช้ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ซึ่งเลื่อนไปจัดในเดือน มี.ค.ปีหน้าว่า เมื่อ ครม.มีมติดังกล่าวในวันที่ 8-9 ธ.ค. ก็จะไม่มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา หรือการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ไปด้วย
ส่วนที่ ครม.ระบุว่าการกำหนดวันเลือก ส.ส.ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นหน้าที่ของประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น นายพิทูร กล่าวว่า เมื่อไม่มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสภาสมัยสามัญแล้ว ในกระบวนการเรียกประชุมไม่ใช่หน้าที่ของประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้เริ่ม แต่สามารถทำได้ 2 วิธี คือ ครม.ขอให้ทรงมีพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมใหม่ และสมาชิกของทั้งสองสภา รวมกัน หรือ ส.ส.เข้าชื่อจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ตามรัฐธรรมูญ มาตรา 129 เพื่อมีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญได้ ทราบว่าขณะนี้ประธานวิปรัฐบาลกำลังให้สมาชิกเข้าชื่อกันอยู่
เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรกล่าวถึงจำนวนส.ส.ที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร ณ ปัจจุบันว่า มี ส.ส.อยู่ทั้งหมด 447 คน แบ่งเป็น พรรคพลังประชาชน 218 คน พรรคเพื่อแผ่นดิน 24 คน พรรคชาติไทย 15 คน พรรคมัชฌิมาธิปไตย 11 คน พรรครววมใจไทยชาติพัฒนา 9 คน และพรรคประชาราช 5 คน ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ มี 165 เสียงเท่าเดิม
"สำหรับพรรคพลังประชาชนที่เหลือ ส.ส. 218 คนนั้น เนื่องจาก นายวีระพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี พรรคพลังประชาชน ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2550 ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค. 2550 ขณะที่ความผิดที่เกิดขึ้นของนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ในคดีทุจริตเลือกตั้ง มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 28 ต.ค. 2550 ที่เป็นวันตรวจพบการกระทำความผิด ทำให้ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนลดลงจากเดิม 1 เสียง จาก 219 คน เหลือ 218 คน และส่งผลให้เสียง ส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาลรักษาการเหลืออยู่ 282 คน อย่างไรก็ดี มีส.ส.ที่ถูกพักงานอยู่ 9 คน ทำให้เหลือยอด ส.ส.ที่สามารถทำงานได้อยู่ทั้งสิ้น 438 คน" นายพิทูร กล่าว
'จงรัก'จี้'ม็อบชั่วมือฉก'คืนทรัพย์สินในทำเนียบฯ
ที่มา ประชาทรรศน์
พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงทรัพย์สินของทางราชการ และส่วนตัวภายในทำเนียบรัฐบาล ที่ได้สูญหายไประหว่างการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยขณะนี้ได้สั่งการให้ตำรวจนครบาล 1 นำนักประดาน้ำงมหาอาวุธภายในคลองผดุงกรุงเกษม เพราะอาจมีการทำลายหลักฐาน พร้อมส่งสายสืบไปหาเบาะแสตามร้านรับซื้อของเก่า ว่ามีคนกลางนำมาจำหน่ายหรือไม่ ซึ่งจะมีความผิดฐานเข้าข่ายลักทรัพย์
พร้อมทั้งขอความร่วมมือ ผู้ที่มีอยู่ในครอบครอง ขอให้นำมาคืนที่ สน.ดุสิต ส่วนจะมีความผิดหรือไม่ต้องดูที่เจตนา ซึ่งรัฐบาลจะไม่เอาผิดก็ไม่ได้ เพราะขัดต่อกฎหมาย สำหรับข้าราชการที่ทรัพย์สินสูญหาย สามารถแจ้งความได้ที่ สน.ดุสิต
เลื่อนประชุมอาเซียน'นายกฯสิงคโปร์'ซัดการเมืองไทยดิ่งเหว!
ที่มา ประชาทรรศน์
นายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง ของสิงคโปร์ กล่าวถึงการเลื่อนการประชุมสุดยอดผู้นำชาติสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย ถือเป็นการก้าวถอยหลังของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง 10 ชาติสมาชิกอาเซียนจะต้องไม่ถูกขัดขวางจากปัญหาการเมืองในชาติสมาชิก และการเลื่อนการประชุมสุดยอดนับเป็นการก้าวถอยหลัง เพราะความร่วมมือภายในอาเซียนเป็นสิ่งสำคัญต่อทุกชาติสมาชิก และจะต้องเดินหน้าต่อไปโดยไม่คำนึงถึงปัญหาทางการเมืองในแต่ละชาติสมาชิกแต่อย่างใด
นายลี ยังได้ย้ำทัศนะของสิงคโปร์ที่ว่า การประชุมสุดยอดอาเซียนไม่ควรจะเลื่อนออกไปนาน เนื่องจากปัญหาวิกฤตการเงินโลกกำลังส่งผลกระทบต่อทุกชาติสมาชิก สิงคโปร์เสนอให้จัดการประชุมสุดยอดในเดือนมกราคม และว่า อาเซียนควรพิจารณาจัดการประชุมที่สำนักงานเลขาธิการอาเซียนในกรุงจาการ์ตา ของอินโดนีเซีย โดยมีไทยเป็นประธานการประชุม นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ยังมองปัญหาการเมืองไทยเป็นเรื่องความแตกแยกในสังคมที่ยากจะเยียวยา
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่1'ในหลวง'ทรงเจ็บพระศอ
ที่มา ประชาทรรศน์
สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 พระอาการประชวร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจ็บพระศอ ไข้สูงแต่ไม่พบเชื้อในเสมหะ ทรงเสวยอาหารเหลวได้
แถลงการณ์พระราชวัง เรื่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรฉบับ ที่ 1
เมื่อค่ำวันพุธที่ 3 ธันวาคม 2551 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระอาการเจ็บภายในพระศอลงไปถึงหลอดพระกระยาหารส่วนต้น ทำให้ทรงเจ็บเวลาทรงกลืนพระกระยาหาร มีพระปรอท(ไข้) สูงเล็กน้อย แพทย์ได้ถวายตรวจพระวรกาย พบการอักเสบของพระศอบริเวณด้านหลังช่องพระโอษฐ์ และได้ถวายตรวจพระโลหิต และถวายพระโอสถรักษา
ต่อมาในวันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม 2551 หลังจากตื่นพระบรรทม มีพระอาการเจ็บพระศอมากขึ้น จนไม่ทรงสามารถเสวยพระกระยาหาร และพระโอสถได้ แพทย์จึงได้ถวายน้ำเกลือและน้ำตาลทดแทน ตลอดจนถวายพระโอสถปฏิชีวนะผ่านทางหลอดพระโลหิตมีพระปรอทลดลงในช่วงกลางวัน แต่ในตอนค่ำกลับมีพระปรอทเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม 2551 พระปรอทลดลงในตอนเช้า และสูงขึ้นในตอนเย็น เสวยพระกระยาหารเหลวได้บ้างเล็กน้อย ผลการตรวจพระโลหิต เมื่อค่ำวันพุธที่ 3 ธันวาคม 2551 บ่งว่ามีอาการอักเสบ ส่วนการเพาะเชื้อในพระโลหิต และพระเสมหะ ได้รับรายงานผลการตรวจในวันนี้ว่า ไม่พบเชื้อและแบคทีเรีย
จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
'หญิงอ้อ'บินคุมเกมจัดตั้งรัฐบาล'เพื่อนเนวิน'ไม่หวั่นไหว!ลั่นยึดแนวทางสมานฉันท์
ที่มา ประชาทรรศน์
"นางพญา"รีเทิร์น เที่ยวบิน "ลับ-ลวง-พราง" จนสื่อเสื้อเหลืองปล่อยข่าวมั่ว สะพัด "ทักษิณ"ส่ง"คุณหญิงอ้อ"กล่อม"กลุ่มเพื่อนเนวิน"ร่วมจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่คนใกล้ชิด"เนวิน"เผย"พจมาน"คัมแบ็คไม่กระทบการตัดสินใจของกลุ่ม ย้ำชัดยึดหลักรัฐบาลเพื่อความสมานฉันท์ภายในชาติเป็นที่ตั้ง
วันนี้ (5 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางจากเกาะฮ่องกงมาถึงประเทศไทย โดยสายการบินไทย เที่ยวบินพิเศษ ทีจี 6078 ซึ่งเป็นเครื่องบินจัมโบ้ และเป็นเที่ยวบินจากฮ่องกงมาสนามบินอู่ตะเภา โดยจะลงจอดในเวลา 22.30 น. วันนี้ อย่างไรก็ดี การเดินทางกลับมาครั้งนี้ของคุณหญิงพจมาน จะมีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางการบินเล็กน้อย เพราะเครื่องบินจะแวะส่งคุณหญิงพจมานที่สนามบินสุวรรณภูมิก่อนในเวลา 22.00 น.
อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้ มีหลายเว็บไซต์เสนอข่าวว่า คุณหญิงพจมาน จะเดินทางมาถึงประเทศไทยโดยสายการบินไทย เที่ยวบิน ทีจี 607 ซึ่งจากกรณีดังกล่าว น.ต.ถนิต พรหมสถิตย์ กัปตันอาวุโสสายการบินไทยเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเที่ยวบินที่จะมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิของสายการบินไทย พบว่า เครื่องทีจี 607 ไม่มีการขึ้นบินในวันนี้ และในวันนี้ เที่ยวบินจากฮ่องกงมาประเทศไทยไม่มีการขึ้นบิน
ด้าน นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง อดีต ส.ส.กทม. พรรคไทยรักไทย เปิดเผยว่า ยอมรับว่าคุณหญิงพจมาน จะเดินทางกลับมาเมืองไทยในคืนนี้จริง โดยเดินทางกลับมาพร้อมกับลูกสาว โดยเที่ยวบินการบินไทยเวลาประมาณสามทุ่มครึ่งถึงสี่ทุ่ม
ขณะที่ พล.ต.ท.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ผบช.สตม. กล่าวว่า คุณหญิงพจมาน จะเดินทางกลับเข้าประเทศไทยวันนี้เวลา 22.00 น.โดยเครื่องจะลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นการเดินทางเข้าเมืองปกติ ออกช่องทางปกติเหมือนผู้เดินทางเข้าเมืองอื่นๆ เพราะไม่มีหมายจับแล้ว หมายจับก่อนหน้านี้ก็ยกเลิกแล้ว ทาง ตม.ไม่มีบันทึกหมายจับ และไม่มีการเตรียมการเชิญตัวหรือจับกุมตัวแต่อย่างใดทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองปกติ
ทั้งนี้ แหล่งข่าวระดับสูงภายในพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า การเดินทางกลับประเทศไทยครั้งนี้ของคุณหญิงพจมานเป็นการเดินทางเพื่อมาสยบความเคลื่อนไหวและเงื่อนไขต่อรองจากกลุ่มต่างๆ ภายในพรรค โดยเฉพาะท่าทีของกลุ่มเพื่อนเนวิน นอกจากนั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่คุณหญิงพจมานอาจเข้าไปมีส่วนสังเกตการณ์การประชุมพรรคเพื่อไทยในวันที่ 7 ธันวาคมนี้ด้วย
ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวระดับสูงภายในกลุ่มเพื่อนเนวิน เปิดเผยว่า การเดินทางมาของคุณหญิงพจมาน จะไม่มีผลต่อการตัดสินใจทางการเมืองของกลุ่มเพื่อนเนวิน เพราะทางกลุ่มยังคงยืนยันที่จะตั้งรัฐบาลที่สร้างความสมานฉันท์ให้มากที่สุด เพื่อจะคืนความสงบสุขให้กับสังคมไทย และขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า ในยามเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ทั้งนี้ ทางกลุ่มน่าจะมีความชัดเจนในการร่วมจัดตั้งรัฐบาลในวันที่ 7 ธันวาคมนี้ และเป็นไปได้ที่จะมีการสลายขั้วการเมืองหรือไม่สลายขั้วการเมืองก็เป็นได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทางกลุ่มจะตัดสินใจ จะยืนอยู่บนความสมานฉันท์ของชาติเป็นที่ตั้ง
"สุเมธ"ชวนชาวไทยปรองดองถวายพ่อหลวง
ที่มา ประชาทรรศน์
"สุเมธ"ชักชวนประชาชนร่วมใจส่งไปรษณียบัตรให้คนไทยรักกันถวายในหลวง "พ่อคูณ"ถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงหายประชวรโดยเร็ว เพื่ออยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของปวงชนชาวไทย
วันนี้ (5 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอด่านขุนทด จ.นครราชสีมาว่า นายมุรธาธีร์ รักชาติเจริญ นายอำเภอด่านขุนทด ได้นำเหล่าข้าราชการ พ่อค้าประชาชนชาวอำเภอด่านขุนทด จำนวนกว่า 1,000 คน ทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งแด่พระภิกษุสงฆ์ และลงนามถวายพระพรชัยมงคล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ เนื่องในวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช โดยมีพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เดินทางมาประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ในพิธีดังกล่าวพร้อมนำน้ำมนต์ประพรมให้ข้าราชการและประชาชนที่มาร่วมงานด้วย
จากนั้น พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา กล่าวถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช เป็นภาษาบาลีสันสกฤต ที่มีความหมายว่า “ขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จงทรงพระเจริญ และขอให้พระองค์ทรงทุเลา หายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว เพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของปวงพสกนิกรชาวไทย อยู่ยั่งยืนยาวนานตลอดกาลสืบไป”
วันเดียวกัน นายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานโครงการทำดีเพื่อพ่อขอคนไทยให้รักกัน เปิดเผยว่า โครงการทำดีเพื่อพ่อขอคนไทยให้รักกัน เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ และรณรงค์ให้คนไทยทุกหมู่เหล่าร่วมกันทำความดี มีจิตสำนึกในการให้รูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างคนไทยด้วยกัน และสร้างความสมานฉันท์ในสังคม ผ่านการเขียนไปรษณียบัตรของโครงการ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ต่อเนื่องไปจนถึงโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา
"ประชาชนสามารถร่วมส่งไปรษณียบัตรแสดงพลังแห่งการให้ 10 ประการ คือ ให้อภัย ให้โอกาส ให้ร้อยยิ้ม ให้เวลา ให้ความรู้สึกที่ดีต่อกัน ให้ความช่วยเหลือ ให้ความใกล้ชิด ให้ความจริงใจ ให้ความซื่อสัตย์ และให้ความรัก" นายสุเมธ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า รูปแบบของไปรษณียบัตร ประกอบด้วย ไปรษณียบัตร 2 ส่วน คือสีเหลืองและสีชมพู สามารถเขียนข้อความบอกเล่าแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้กับคนที่เป็นมิตร หรือผู้ที่ต้องการปรับความเข้าใจกัน แล้วแยกส่ง โดยส่วนที่เป็นสีเหลือง ส่งมาที่โครงการทำดีเพื่อพ่อ ตู้ปณ.81 กรุงเทพมหานคร 10330 หรือที่เว็บไซต์ www.dogood.or.th ส่วนสีชมพู ส่วนสีชมพู เขียนชื่อที่อยู่และส่งให้บุคคลที่เขียนถึง พร้อมทั้งติดแสตมป์ หลังจากนั้น โครงการทำดีเพื่อพ่อขอคนไทยให้รักกัน จะนำไปรษณียบัตรที่ประชาชนส่งมาทั้งหมด นำมาร้อยเรียงเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ขนาดใหญ่ แล้วจัดแสดงในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 81 พรรษา โดยสามารถดาวน์โหลดไปรษณียบัตรได้ฟรีจากเว็บไซต์ www.dogood.or.th หรือสอบถามที่ โครงการทำดีเพื่อพ่อขอคนไทยให้รักกัน โทรศัพท์ 0-2610-2376