WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, January 29, 2011

สส.ขายตัว มั่วหรือจริง?

ที่มา thaifreenews

โดย blablabla



ขอบคุณข่าวสด ออนไลน์[/i]

ข่าวเด่นประเด็นฮอท คงไม่พ้นเรื่อง สส.เตรียมย้ายพรรค
เพื่อให้ทันสังกัดพรรคการเมืองครบ 90 วัน เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้ว
ก็ยังเป็นวังวนเดิมๆ คำว่า สส.ขายตัว มันก็เป็นของมันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร เชอะ

อุตริ พอๆ กับนักร้องจอมซ่าส์ เลดี้ กาก้า จะออกน้ำหอมกลิ่นอสุจิ ผสมเลือด
เหอๆ คิดไปได้นะ คนเรา....แล้วเกี่ยวกันมั๊ยเนี่ย


ผู้สันทัดกรณี ต่างชำเลืองตาดู อย่างสมเพชปนเวทนา
ไอ้ความกระสันอยากดูด สส.ด้วยวิชามาร จากพรรคการเมืองบางพรรค
ที่ใช้กลเม็ดเด็ดพรายนี้ทีไร ซะด๊วบเข้าเต็มตีนทู๊กที…ว่ามะ

แม๊ อีแค่เปรยๆ พวกลื้อ ฉนจาย มาอยู่กับพวกอั๊วหรือเปล่า? แค่เนี้ย
จริงๆ ยังไม่มีการเซเยส เซโน อะไรทั้งนั้น พวกมันก็เอาข่าวมาเล่นซะ
จนคนสับสนปนเปไปหมด ไม่รู้อะไรจริง อะไรเท็จ

ตอกย้ำตอแหลแลนด์ ดีแท้ๆ ฮ่วย

เอาล่อเอาเถิดกันเพียงนี้ คนรู้ทัน ก็พากันนั่งขำกับข่าวนี้
โดยเฉพาะเจ้าตัวที่มีชื่อเปิดเผยไปแล้วนั้น
ฮู้วว....ถือว่าเป็นการยิงนกโป้งเดียวได้หลายตัวก็แล้วกัน
ไม่ใช่อะไรหรอก ถือโอกาสโก่งค่าตัวให้สุดลิ่มทิ่มประตูโลด

คนที่ซวย ก็เจ้าของเงินทั้งหลาย ที่ไม่อยากซื้อควายทีละตัว
“อยากซื้อยกฝูงมันคุ้มกว่า”

จะทำอะไรก็รีบทำไปเถิด
เดี๋ยวพวกทะเฮี่ยลากรถถังออกมา อีก

“จะอดแดรกกันยกแก๊งค์” จะหาว่าหล่อไม่เตือน

๓ บลา / ๒๙ ม.ค.๕๔




บันทึกการเข้า

คนดีที่เห็นแก่ตัว คือคนชั่วของแผ่นดิน

สัมภาษณ์พิเศษ โดย อริน เจียจันทร์พงษ์, พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์

ที่มา มติชน



(ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 28 มกราคม 2554)



เพียง "คำถาม" ง่ายๆ แค่ว่า "คนเสื้อแดงเป็นลิ่วล้อทักษิณ และถูกจ้างให้มาชุมนุม" อย่างที่คนเขาพูดๆ กันจริงหรือไม่?

ได้นำทีมวิจัยของอาจารย์ "อภิชาติ สถิตนิรามัย" แห่งคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) บุกเข้าไปใน "พื้นที่สีแดง" หลายจังหวัด อาทิ จ.อุบลราชธานี นครปฐม เชียงใหม่ ฯลฯ ในการวิจัยเฟสแรก ช่วงต้นปี 2553

โดยพบ "คำตอบ" ที่สร้างความฮือฮาในแวดวงนักวิชาการ ที่ว่า "เสื้อแดงไม่ใช่คนจน แม้ส่วนใหญ่จะมีอาชีพรับจ้างและเป็นเกษตรกร แต่มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 17,000 บาท เหตุที่คนเสื้อแดงออกมาชุมนุม เนื่องจากความคับข้องใจ เรื่องความไม่เท่าเทียมทางการเมือง"

ล่าสุด "อภิชาติและคณะ" กลับไปเหยียบถิ่นเสื้อแดงถึง "รัง" ที่ จ.เชียงใหม่และลำพูน ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อทำการวิจัยเฟสที่สอง

ผลที่ได้คราวนี้ทำให้ "นักวิชาการ มธ." ตกใจ ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นผ่านท่าทาง-แววตา-คำพูด ที่แสดงออกถึงความคับแค้น อันน่า ขนลุก!

เขาสรุป "พัฒนาการเสื้อแดง" ในเบื้องต้นจาก 4 สาเหตุคือ 1.กลุ่มคนที่เสพติดนโยบายที่จับต้องได้ของรัฐบาล "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี 2.กลุ่มคนที่ช็อคกับเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 และเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับการเมืองมากขึ้น 3.กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) ที่ปิดสนามบิน แต่ไม่ถูกจับ วาทกรรม "2 มาตรฐาน" จึงกลายเป็นคีย์เวิร์ด-หัวข้อสนทนาสำคัญ

และ 4.หลังเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ได้พบความเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจ คนเสื้อแดงเลิกด่าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) และ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรีแล้วเพราะรู้สึกเป็นแค่หุ่นเชิด ไปด่าคนที่อยู่เบื้องหลังแทน แต่ขณะเดียวกันมีแต่เสียงตัดพ้อว่า..คนตายตั้งเยอะ ทำไมไม่ลงมาช่วย เป็นที่มาของคีย์เวิร์คคำว่า "ตาสว่าง"

"เมื่อรัฐบาลออกนโยบายประชาวิวัฒน์มาก เขาจึงเอาไปเย้ยหยันกันว่าคิดได้แค่นี้เหรอ ขายไข่ชั่งกิโล เพราะประเด็นที่เขาสู้ตอนนี้คือประชาธิปไตย การเลือกตั้ง วันแมนวันโหวต ไม่ให้อำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซง กำหนดผลการเลือกตั้ง สูงกว่านั้นหน่อยก็พูดถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองไทย จัดระบบความสัมพันธ์สถาบันต่างๆ ใหม่ โดยเฉพาะศาลที่เริ่มมีการพูดถึงระบบลูกขุนมากขึ้น"

อีกสิ่งที่ "ทีมค้นหาความจริง" พบคือความสัมพันธ์ระหว่าง "แดงรากหญ้า-แกนนำ นปช.-พรรคเพื่อไทย(พท.)-พ.ต.ท.ทักษิณ" ที่เริ่มถอยห่างจากกันมากขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใด เมื่อแกนนำ นปช.นัดชุมนุมใหญ่ จะมีแต่ "แดงเมืองหลวง+ปริมณฑล" เท่านั้นที่มาร่วมวง

"ใน จ.เชียงใหม่ นอกจากกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ที่เป็นฐานเสียงของ พท.แล้ว ที่เหลือแทบจะเป็นอิสระจากส่วนกลาง หลายคนบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นแค่ผู้ร่วมขบวนการ เป็นผู้สนับสนุนทางการเงิน ขณะที่หลายคนบอกไม่ต้องเอา พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาแล้ว มาสู้ให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรมดีกว่า แต่ส่วนใหญ่คับแค้นใจที่ถูกปราบ"

"อภิชาติ" ยังพบว่า เสื้อแดงแทบทุกคนที่ได้พบ แม้จะอยู่คนละหมู่บ้าน-ดอย-ภูเขา แต่มีพฤติกรรมร่วมอย่างหนึ่งคือ ด่าแกนนำ นปช.ว่ารู้อยู่แล้วว่าทหารจะสลาย ทำไมไม่ยอมถอย และด่า ส.ส.พท.ว่านอกจากชวนให้ไปชุมนุม ก็ไม่เคยมาทำอะไรให้เลย และมีประโยชน์อย่างเดียว คือไถตังค์มาตั้งเวทีได้!

นอกจากนี้ ยังมีการจัดโครงสร้างองค์กรใหม่ที่แตกต่างจากต้นปีที่ 2553 อย่างสิ้นเชิง มีการจัดตั้งแกนนำระดับจังหวัด-อำเภอ-หมู่บ้าน ที่จะทำกิจกรรม ร่วมแบ่งปันทรัพยากร เช่น เครื่องเสียง

ทว่าแต่ละกลุ่มจะรวมตัวกันอย่างหลวมๆ โดยสมาชิกกลุ่มสามารถไปร่วมกิจกรรมกับกลุ่มอื่นๆ ได้ หากกลุ่มไหนมีสถานีวิทยุก็จะมีสมาชิกมากหน่อย

"แต่ละกลุ่มจะประกอบด้วยคนท้องถิ่นหลายระดับ ทั้งอดีตครู สหายเก่า คหบดี แม่ค้า ฯลฯ โดยมีแกนนำของตัวเอง ซึ่งมักเป็นคนที่มีอาชีพอิสระ เป็นพ่อค้าระดับกลางหรือรายย่อย เช่น อำเภอหนึ่งที่ผมไป ประธานกลุ่มเป็นเจ้าของร้านขายของชำในหมู่บ้าน โดยมีครูที่เออร์ลี่รีไทร์ออกมาช่วย คนพวกมีตังค์ มีเวลา คิดเองได้ เขาจะจัดกิจกรรมของตัวเอง และไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมจะต้องไปอยู่ภายใต้ พท."

สำหรับวิธีติดต่อสื่อสารระหว่างกลุ่ม นอกจากความสัมพันธ์ส่วนตัว สื่อที่ฮิตในหมู่ "แดงรากหญ้า" คืออินเตอร์เน็ต ที่แม้พ่อแก่แม่เฒ่าจะเล่นไม่เป็น แต่ลูกหลานในเมืองจะจัดพิมพ์ข้อมูลมาให้ นอกจากนี้ยังมี "ซีดี" ที่ปั๊มกันเอง รวมถึงสื่อกระดาษจำพวก "ใบปลิว" ที่ซีร็อกซ์และโรเนียวกันเอง ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลาย

เมื่อถามถึงความเชื่อมโยงกับ นปช.ส่วนกลาง-พท. "อภิชาติ" บอกว่าเท่าที่ได้คุย เสื้อแดงส่วนใหญ่จะใช้คำว่า "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง" ถ้าแกนนำ นปช.เรียกชุมนุมใหญ่ แล้วประเด็นน่าสนใจ ก็อาจจะเดินทางไปร่วม

แต่ที่แน่ๆ คือไม่ว่าจะเป็น "ธิดา ถาวรเศรษฐ์" รักษาการประธาน นปช. หรือ "จตุพร พรหมพันธุ์" ส.ส.สัดส่วน พท.แกนนำ นปช. ไม่สามารถสั่ง "แดงภูธร" ได้

ส่วนในการเลือกตั้งที่ พท. ชุลมุนอยู่กับการปรับยุทธศาสตร์ "ก้าวข้าม" หรือ "ก้าวคู่" พ.ต.ท.ทักษิณนั้น เขามองว่าเป็นการเถียงกันในเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ เพราะอย่างไรคนเสื้อแดงก็ยังเลือก ส.ส.พท.อยู่ ทั้งที่อาจจะไม่ชอบ หรือด่า ส.ส.พท.ด้วยซ้ำ แต่ที่เลือกเพราะไม่มีตัวเลือกอื่น เลือกเพราะอยู่ตรงข้าม ปชป.แค่นั้น

ส่วนเสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่อง "ตำรวจมะเขือเทศ" และ "ทหารแตงโม" คณะของ "อภิชาติ" ยอมรับว่ามีจำนวนมาก โดยเฉพาะในระดับล่างๆ ซึ่งคนเหล่านี้จะทำหน้าที่เฝ้าเวทีปราศรัย และช่วยตรวจสอบความเคลื่อนไหวของฝ่ายรัฐก่อนแจ้งข่าวสารให้คนเสื้อแดง

"ทีมวิจัย"ยังสอบถามความเห็นของประชาชนใน"พื้นที่สีแดง" ที่มีต่อสีเขียว-กองทัพ หลังกองทัพภาคที่ 3 ส่งทหารไปเคาะประตูบ้าน เพื่อชี้แจง-ทำความเข้าใจ หวัง "สลายความเชื่อ" ฝังหัวคนกลุ่มใหญ่

ทว่า คำตอบจากอาจารย์ มธ.อาจทำให้บรรดา "นายพล" ผิดหวัง เมื่อชาวบ้านส่วนใหญ่ คิดว่าทหารเข้าไปสืบข่าว-เฝ้าระวัง-ติดตามความเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้าม ที่สำคัญคือข่มขู่ประชาชนมากกว่า เพราะมีการเรียกคนไปคุยแล้วให้เงินคนละพันบาท พร้อมบอกว่าถ้านักการเมืองเรียกก็อย่าไปร่วมชุมนุม ทหารเข้าไปด้วยทัศนคติแบบนี้ คือคิดว่าเขาไปชุมนุมเพราะถูกซื้อ

เหล่านี้คือ "ตัวตน" ของ "คนเสื้อแดง" ที่ "ทีมวิจัย" ค้นพบ ท่ามกลาง "มายาคติ" ที่ชนชั้นนำ-ผู้มีอำนาจพยายามชี้ชวนให้สังคมเชื่อว่า คนเหล่านั้นเป็นคนที่อยู่ในวัฏจักรโง่-จน-เจ็บ เป็นลิ่วล้อทักษิณ เป็นม็อบรับจ้าง เป็นพวกก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมือง ไร้การศึกษา

เป็น "คนเสื้อแดงสายพันธุ์ใหม่" ที่แปลงดีเอ็นเอสมบูรณ์ในปี 2554!!!

"พันธมิตร"ปะทะ"ประชาธิปัตย์" "ปัจจุบัน"คือ"คำตอบ"ของอดีต ใครอยู่เบื้องหลังล้ม"ทักษิณ-สมัคร-สมชาย"

ที่มา มติชน





เมื่อเทียบปริมาณผู้ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันก่อนกับวันนี้

น่าใจหายทีเดียว


เมื่อครั้งก่อนตอนที่ "ม็อบพันธมิตร" เผชิญหน้ากับรัฐบาล "ทักษิณ ชินวัตร-สมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์"

ปริมาณผู้ชุมนุมในหลักหมื่นถึงหลายหมื่นคนเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง


จะเคลื่อนขบวนไปทางไหนก็สั่งการผ่าน "เอเอสทีวี" มวลชนก็จะเคลื่อนไปที่นั้นทันที

กลุ่มพันธมิตรฯเป็นผู้เปิดมิติใหม่ของการชุมนุม เพราะเป็น "ม็อบทีวีดาวเทียม"

มีการถ่ายทอดสดตลอดการชุมนุม และสั่งการมวลชนผ่านทีวี


แต่วันนี้นับตั้งแต่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และเกิดภาวะ "น้ำแยกสาย ไผ่แยกกอ" กับกลุ่มพันธมิตร

"ม็อบพันธมิตร" กลับลดปริมาณลงอย่างน่าใจหาย


ตอนที่ชุมนุมที่หน้ารัฐสภา คนที่เข้าร่วมมีเพียงหลักร้อย สูงสุดแค่พันเศษ

"สนธิ ลิ้มทองกุล" จึงตัดสินใจนัดชุมนุมใหญ่ครั้งใหม่ในวันที่ 25 มกราคม 2554 โดยมีการโหมประโคมผ่านเอเอสทีวี และสื่อในเครือผู้จัดการ ล่วงหน้า

ทุกคนจับตามองว่าปริมาณคนที่ร่วมชุมนุมจะมากแค่ไหน

สุดท้าย ปริมาณคนเข้าร่วมในวันแรกสูงสุดประมาณ 5,000 คน และเริ่มร่อยหรอลงเรื่อยๆ

จนกลายเป็นภาระของช่างกล้อง "เอเอสทีวี" ที่ต้องหลบมุม ไม่ถ่ายภาพมวลชนหน้าเวที


ความหวังของแกนนำพันธมิตรฯอยู่ที่ช่วงคืนวันศุกร์ ต่อเนื่องถึงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์

เขาหวังว่าคนต่างจังหวัด และคนกรุงเทพจะเข้าร่วมชุมนุมในหลักหมื่นเหมือนเดิม

คำถามที่น่าสนใจก็คือ ทำไมปริมาณ "ม็อบพันธมิตร" จึงลดน้อยถอยลงอย่างน่าใจหายเช่นนี้

และบางที "คำตอบ" ที่ได้รับจะช่วยคลายปริศนาที่คนสงสัยกันมานาน


ใครอยู่เบื้องหลัง "ม็อบพันธมิตร" ในการล้มรัฐบาลทักษิณ-สมัคร และสมชาย

ใครอยู่เบื้องหลังการขนคนเข้าร่วม "ม็อบพันธมิตร"

"ปัจจุบัน" คือ คำตอบของ "อดีต" ได้เป็นอย่างดี

.................

สาเหตุที่ทำให้ "ม็อบพันธมิตร" ลดพลังลงมาจากเหตุผล 3 ประการ


ประการแรก ประเด็นเรื่อง "กัมพูชา" ที่ชูขึ้นมาในช่วงเวลานี้มี "น้ำหนัก" น้อยเกินไป

ยากระตุ้นที่ใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อใช้บ่อยขึ้นก็ย่อมมีประสิทธิภาพน้อยลง


กระแส "ชาตินิยม" ที่เคยถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงและได้ผลตั้งแต่เรื่องปราสาทพระวิหารเมื่อครั้งรัฐบาล "สมัคร สุนทรเวช" จึงไม่ได้ผลในวันนี้


และข้อเสนอ 3 ข้อของกลุ่มพันธมิตรแรงเกินไป

ประการที่สอง คู่ชกของ "ม็อบพันธมิตร" คือ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"

ไม่ใช่ "ทักษิณ-สมัคร-สมชาย"


ถ้าบอกว่า "ม็อบพันธมิตร" หรือ "ม็อบเสื้อแดง" นั้นเกิดจาก "ความโกรธ-ความเกลียด"

"อภิสิทธิ์" นั้นอาจเรียก "ความโกรธ-ความเกลียด" จาก "คนเสื้อแดง" ได้

แต่ไม่มีแรงดึงดูดที่แรงพอสำหรับ "คนเสื้อเหลือง"


ประการที่สาม มวลชนที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ไม่ขยับ

ที่ชัดเจนคือมวลชนจากภาคใต้อยู่ในระดับนิ่งสนิท

มวลชนของ "พันธมิตร" ในอดีตนั้นประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1.กลุ่มสันติอโศก 2.คนที่ชื่นชม "สนธิ" และ 3. มวลชนของ "ประชาธิปัตย์"


ณ วันนี้มวลชนของกลุ่มพันธมิตรฯยังเหลือถึง 2 กลุ่ม คือ "สันติอโศก" และกลุ่มที่นิยม "สนธิ"

ขาดไปเพียงกลุ่มเดียว คือ มวลชนของ "ประชาธิปัตย์"


ขาดไป 1 กลุ่ม เหลือ 2 กลุ่ม แต่ปริมาณคนกลับหายไปกว่าครึ่ง


นั่นเป็น "คำตอบ" ว่ามวลชนส่วนใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯในอดีตนั้นมาจากไหน

และเป็น "คำตอบ" ว่าพลังมวลชนที่ล้มรัฐบาล "ทักษิณ-สมัคร-สมชาย" มาจากไหน

มีใครอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า??

ม็อบจิ๊บๆ

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน

มันฯ มือเสือ




รัฐบาลอภิสิทธิ์อาศัยทักษะทางการเมือง

ฝ่าด่านพรรคร่วมรัฐบาลที่ร่วมกันตีกรอบ กระชับวงล้อมวิกฤตแก้ไขรัฐธรรมนูญมาได้อีกครั้ง

นั่นเพราะประชาธิปัตย์จับจุดถูก นาทีนี้ไม่มีพรรคร่วมรัฐบาลใดพร้อมลงสนามเลือกตั้งตามกติกาเดิม คือแบบเขตใหญ่เรียงเบอร์

แต่ที่เป็นทีเด็ดมัดใจพรรคร่วมจนอ่อนระทวยเหมือนงูเจอเชือกกล้วย

คือการให้หลักประกันว่าทุกพรรคจะกลับมาร่วมรัฐบาลกันอีกครั้งหลังเลือกตั้งครั้งหน้า ในโควตากระทรวงและเก้าอี้รัฐมนตรีตัวเดิม

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของงบประมาณกลางปีแสนล้าน และงบประมาณประจำปี 2555 อีก 2.25 ล้านล้าน ที่ยั่วน้ำลายจนพรรคร่วมไม่กล้าแข็งข้อ

ละครการเมืองเลยจบลงแบบละครน้ำเน่า

พระเอก-นางเอกที่ทำตัวเป็นพ่อแง่แม่งอนกันมาเกือบตลอดทั้งเรื่อง

ถึงฉากจบกลับมายืนจูบปากกอดกันกลม

สงสารแต่ม็อบพันธมิตรฯ แฟนเก่าพระเอกที่เคยอุ้มชูกันมา ตอนนี้กลับถูกเฉดหัวแบบไม่เหลือเยื่อใย

พยายามปลุกกระแส"คลั่งชาติ"มานานนับเดือน

ลงทุนส่งคนของตัวเองเดินดุ่ยๆ ไปเข้าคุกเขมรก็แล้ว ลาก"ท่านพ่อ"มาขึ้นเวทีก็แล้ว "จำลอง"ก็แล้ว "สนธิ"ก็แล้ว มากันครบ

แต่ก็ยังจุดไม่ติด

คิดแล้วก็ใจหายแทน ม็อบเรือนหมื่นเรือนแสนที่เคยร่วมสร้างวีรกรรมบุกยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน มาวันนี้ไม่รู้หายไปไหนหมด

ปล่อยให้"เทพเทือก"เยาะเย้ยถากถาง

ม็อบข้างทำเนียบบวกกับม็อบสะพานมัฆวานฯ วันแรกมากันครึ่งหมื่น

พอวันถัดมาก็ลดวูบ ขนาดสื่อในเครือข่ายเดียวกันยังไม่กล้าระบุลงไปตรงๆ

บางฉบับด้วยความเกรงใจระบุแบบคลุมๆ ใช้คำว่าจำนวนมาก แต่บางฉบับไม่พูดถึงเลย หรือบางฉบับอวยกันสุดๆ ยังให้แค่ 3 พัน

ไม่ได้คิดดูถูกดูแคลน

แต่พูดกันตามตรง ด้วย"ต้นทุน"ขนาดนี้

เทียบกับ 3 เงื่อนไขที่ยื่นคำขาดให้รัฐบาลต้องปฏิบัติ คือ 1.ถอนตัวจากกรรมการมรดกโลก 2.ยกเลิกเอ็มโอยู 2543 และ 3.ขับไล่คนกัมพูชาออกจากพื้นที่พิพาท

ออกจะค้ากำไรเกินไปมาก

ส่วนข่าว"ปฏิวัติ"ที่สะพัดออกมาว่าคือหมุดหมายแท้จริงของกลุ่มพันธมิตรฯ ในการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองโดยวิธีลัด

จากสถานการณ์ตอนนี้ เห็นทีจะแค่ฝันกลางวันเสียแล้ว

สัจจธรรม อธิบายความเป็นไประหว่างคนเสื้อแดง และ เสื้อเหลือง ได้ดีที่สุด

ที่มา thaifreenews

โดย kajokkub

เสื้อเหลือง ทำไมเสื่อม วันนี้พูดได้เต็มปากแล้วว่าเสื่อม
แกนนำพวกเสื้อเหลืองเองก็ต้องยอมรับ คนที่สถาปนาตัวเอง
เป็นเสื้อเหลือง เอง ก็ไม่เถียงว่า พวกตนเสื่อม คนมาน้อย
ถ้าแค่วันเดียวอาจพูดไม่ได้ แต่นี้นัดชุมนุมล่วงเลยมาหลายวัน
จำนวนผู้มาชุมนุมก็ยังไม่ถึง 3000

ความจริง ความเสื่อมได้ทำให้ แกนนำพันธมิตรประจักรมาหลายครั้งแล้ว
เพราะสันธิ ลิ้มเคยนัดพบมาก่อนนี้แล้ว จนที่สุดต้องเก็บเวทีหนีไป
แม้ครั้งนั้น ประเด็นอาจไม่มีนัก แต่วันนี้ อุตสามีประเด็นเล่น ระดับชาติ
ไม่ใช่เรื่องเล็กๆอีกต่อไป ระดับลิ้มต้องงานใหญ่ เล็กไม่ พินาศทั้งชาติทำ
วันนี้ พันธมิตรมาช่วยชาติให้สงบ ปากรักสงบ แต่เรียกร้องให้ทำสงคราม
กับชาติรอบบ้านตนเอง คงคิดว่าประเทศไทยคือมหาอำนาจ ประเทศเขมร
คือ ประเทศต่ำต้อย ความรุนแรงให้ได้มาในสิ่งที่ตนต้องการว่างั้น
แสดงความรักชาติด้วยวิธีคลั่งชาติ เขมรเคยคลั่งชาติมาก่อน
ผลคือสร้างความเสียหาย เผาทูตไทย สร้างความเสียหายต่อประเทศตนเอง
วันนี้ สิ่งนั้น ได้สอนคนเขมรเอง ว่าเรื่องระหว่างประเทศติดกัน ควรคิดอย่างไร

แต่วันนี้ พันธมิตรกลายเป็นม็อบหัวรุนแรง โลกนี้ไม่ต้องเจรจาว่างั้น ปืนอยู่ไหน
ยิงเลยว่างั้น โอ้ว สันติอโศก หรือ พินาศ สงครามเศร้าโศก กันแน่
พวกนี้คงเหมาะกับการยกเผ่าพันธุ์ไปอยู่ดาวดวงใดดวงหนึ่งกลุ่มเดียวให้มันครองไปเลย
ไม่แน่พวกมันเองก็จะกัดกันเองอีก เหมือนตอนนี้

เสื่อม การที่แกนนำพันธมิตร เล่นทุกบท เล่นทุกมุข แต่มวลชนไม่มา มันหมายความว่าอะไร
เสื่อม คำนี้ ใช้ได้หรือไม่

ทำไมต้องเสื่อม เสื่อมเพราะอะไร แล้วครั้งโน้นทำไมคนดูเยอะ แกนนำบอกอะไรเชื่อหมด
ให้ทำผิดก็ทำ ทำเลวก็ทำ ฆ่าคนก็ทำ ยึดบ้านยึดเมือง ก็ทำหมด

ถูกนำมาเป็นเครื่องมือมวลชนทางการเมืองทำลายฝ่ายตรงข้ามแกนนำพันธมิตรก็ทำ ถูกหลอกให้ขับไล่ผู้นำประเทศคนหนึ่งชื่อทักษิณก็ทำ ท่านสมชายก็ทำ ท่านสมัครก็ทำ อันนำมาเป็นเหตุผลการแตกแยกทางความคิดมาสู้การแตกแยกทางการปฏิบัติของประชาชนทั้งประเทศมาจนวันนี้ โดยเฉพาะท่านทักษิณ เขาคนนี้ที่มาทำให้พวกมันพันธมิตรมีอยู่มีกิน มาทำให้ประเทศผลิกพื้น จากคำว่าศูนย์ทุกด้าน กับมาแข็งแกร่งทุกด้าน วันนั้น แกนนำว่าอะไร เชื่อหมด เชื่อจนคลั่งอยากฆ่าทักษิณทุกวินาที เหมือนที่มันกำลังบ้าคลั่งชาติอยากฆ่าอุนเซ็นและเขมรทั้งชาติวันนี้ โดย ทุกเรื่องทุกชนิดได้ยินมาเชื่อหมดเลย ไม่ได้ค้นหาความจริงใดๆ

ความเชื่ออย่างหนึ่งพระท่านว่าการขับไล่คนดีสักคน โดยเฉพาะคนที่เคยทำให้ให้คนไทยพ้นทุกข์ รอดตายจากโรคภัยร้ายแรง อนิสงค์นี้ จะทำให้คนคิดไม่ดีต่อเขา กล่าวหา ใส่ร้ายให้อับอายเสียหาย ทำลายเขา ทุกอย่าง จะเป็นบาปหนัก ใครมีส่วนก็รับกันไปตามกรรม วาระของแต่ละคนว่ามีส่วนทำลายเขาขนาดไหน ถ้าเชื่อในทางศาสนาพุทธ

นั้นก็หมายความว่า บาปกรรมนี้ หรือไม่ ที่ย้อนมาทำลายพวกพันธมิตร ที่เคยรักกัน ร่วมมือกันทำลาย
ทักษิณ ตามฆ่า ตามไล่ไม่ให้อยู่อย่างสงบสุข วันนี้คนที่แสดงตัวว่าเกลียดทักษิณ ทำลายทักษิณ
ไม่ให้มีความสุขทั่วโลกอย่าง กษิต พิรมย์ กำลังได้รับกรรมอะไร จากพวกเดียวกันเอง เอาเป็นว่า
พันธมิตร รัฐบาล พรรคปชป นักวิชาการทั้งหมด ที่เคยร่วมกันกล่าวหาสร้างเรื่อง ใส่ร้ายทำลายทักษิณ
และครอบครัวจนมีสภาพยับ ถ้าเป็นบางคนอาจจบชีวิต ยอมแพ้ชะตากรรม ก็เป็นได้

กรรมหนักพวกนี้ กระมั่ง ที่ได้ย้อนมาให้พวกพันธมิตรร่วมทั้งหมด หันมาเกลียดกัน ผิดใจกัน ด่ากัน หยาบคาย
เสื่อม ต่อเสื่อม นำความทุกข์ร้อนทางใจกาย คำว่า พวกมาร กำลังกัดกัน มันมาเกิดในชาตินี้ ได้อย่างทันตา กรรมติดจรวจ เห็นกันในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า
อย่างไม่น่าเชื่อ (ไม่บังคับให้เชื่อตามครับ) แต่ทำไมละ

ส่วนคนเสื้อแดง ทั้งหมด ที่ฟังเรื่องที่เกิดปุ๊บ เห็นสิ่งที่ปรากฏปุ๊บ เจอเหตุการณ์ปุ๊บ แล้วเห็นต่างจากพันธมิตรทันที
แม้จะมีหลายหลายสาเหตุที่เห็นต่างกับพันธมิตร อาจมาจาก

1..ชื่นชอบทักษิณเลยตองชะตา
2..ชอบแนวทางการทำงาน ชอบผลงาน ชอบแนวคิด ชอบการกระทำ
3..อาจไม่ได้ชอบในตัวทักษิณเลย แต่มีใจปกติ มีจิตสัมผัสในความไม่ถูกต้อง ในเรื่องความไม่ยุติธรรมได้ไว ทนไม่ได้กับความไม่ยุติธรรมที่ปรากฏกับท่านทักษิณ
4..มีข้อมูลจริง มีสติปัญญาแยกแยะถูกผิดได้เอง จิตใจไม่สามารถทนเห็นคนไทยด้วยกันถูกกระทำฝ่ายเดียวอย่างผิดๆไม่ได้ บางคนมาทนไม่ได้ตอนเห็นเสื้อแดงถูกฆ่าอย่างป่าเถื่อน มันเกินที่มนุษย์จะรับได้
5..อาจมีหลายคนมี่ รวมหลายข้อด้วยกัน
-
- หรืออาจจะมีเหตุผลอีกมากกว่านี้ ก็ช่าง แต่สุดทายก็ส่งผลให้ท่านมาเป็นส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดงไปแล้วตอนนี้

ทำไมคนเสื้อแดงไม่มีวันดับ หมด ลด สิ้นไป แม้จะถูกกระทำ กดทับ กดดัน ขู่ ปราบ ฆ่า ตามจัดการ จับเข้าคุกด้วยอำนาจป่าเถื่อนเท่าที่มี วันนี้ทำไมไม่เสื่อม ไม่หมดไป อย่างที่กระบวนการชั่วอยากให้เป็น ก็ตรงกันข้ามอีกกับพันธมิตร อำนาจ กฏหมายจะอวยพร อวยชัย ผ่อนความผิดเหมือนผ่อนของกันได้ ไม่ผิด กันจนวันนี้ ทำไมเสื่อม มันเกิดอะไรขึ้นแน่

คงไม่ต้องอธิบาย รายละเอียด ว่าเกิดอะไรบ้าง กับคนเสื้อแดง ตลอดมา

ดูปัจจุบันดีกว่า เสื้อแดง ได้สถาปนาตนเอง เพื่อเอาตัวให้รอด เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ เพื่อรักษาความถูกต้อง ความยุติธรรม
ไม่ยอมสยบต่อสิ่งใด ไม่มีอะไรจะเสีย แพ้ไม่ได้ไปมากกว่านี้อีก กลายเป็นศูนย์รวมความรักกัน สามัคคี แบบไม่เคยเป็นแบบนี
มาก่อนในการเป็นมนุษย์ในแผ่นดินในลักษณะนี้มาก่อน
เสื้อแดงทุกคนรับรู้อะไรบางอย่างในแผ่นดินนี้ว่า ไม่มีเทวดา สิ่งศักดิ์ใด ปาฏิหารใด จะเห็นใจและช่วยชีวิตคนเสื้อแดงได้เลย นอกจากเสื้อแดงด้วยกันเอง จนวันนี้อาจจะรู้กันหมดแล้วก็ได้ว่า ตัวเทวดาเองนั้นแหละตัวการใหญ่ ขนาดพระสยามเทวาฯ ยังถูกบางคนนำมาเป็นพวก นำมาอ้างเป็นของพวกมัน แม้จะเป็นคนอำมหิตขนาดนั้น แล้วจะให้เสื้อแดงหวังอะไรจากแผ่นดินนี้

ปัจจุบันนี้ เหตุผลหลักที่ทำให้คนเสื้อแดงอยู่มาได้ และพร้อมจะแกร่ง แข็งแรง เพิ่มขึ้นๆคงเพราะ
เสื้อแดงทำแต่เรื่องถูกต้อง เฉกเช่นคนที่เจริญทางปัญญา เจริญทางสติ จะคิดทำกัน
คนเสื้อแดงคือ คนที่ฉลาด มีความดีประกอบ มีเหตุผลที่ดีและถูกต้องมารองรับก่อนตัดสินใจ
เสื้อแดงไม่ว่าจะเป็นเด็ก สตรี คนชรา หนุ่มสาว ยากจน ร่ำรวย
พวกเขาเหล่านี้ก็จะต้องเห็นด้วยในที่สุด แม้ก่อนนี้อาจยังไม่ทัน ยังไม่ได้คิดเอง ยังไม่ได้ค้นหาความจริง
ยังฟังด้านเดียว ยังเชื่อง่ายไป ยังแยกแยะถูกผิดไม่ได้

เหลืองสามารถเปลี่ยนมาเป็นแดง แต่แดงไม่กลายเป็นเหลืองเพราะมีคำว่าถูกต้องรองรับอยู่

ยกตัวอย่าง นักศึกษาเยาวชนที่ได้ออกมา แสดงตน อธิบายความจริงเพิ่มมากขึ้น มากขึ้นในทุกรูปแบบ
หรือทำไมเสื้อแดงมากขึ้นมากขึ้น

อาการนี้เรียกกว่า ตาสว่างนั้นเอง

และสิ่งนี้ถ้าได้เกิดขึ้นกับใครกลุ่มใดแล้วละก็ จะปรากฏต่อไปอย่างมั่งคง และยั่งยืน ไม่มีเบี่ยงเบน ท้อถอยอีกต่อไป

เหมือนคนเสื้อแดง ที่นับวันจะมากทวีคุณขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ จากการตาสว่าง ตาสว่าง
และตาสว่าง

ขนาดคนธรรมดา ทั้งความรู้น้อย ความรู้ปานกลาง กระทั้งคนมีความรู้สูงๆ ก็ยังตาสว่าง

แล้วยังมีคนตระกูลใด อีกที่ยังตาบอด ใจบอดเห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักร... เป็นดอกบัวกันอยู่อีก
แสดงว่า หลายชาติภพส่งกรรมหนักมาให้ จนหน้ามืดตาบอดสนิท และชาตินี้ดูเหมือนอาจจะมีบุญหนัก
แต่พวกเขากลับเกิดมาเพื่อสร้างกรรมหนักเพิ่มไปอีกชาติ หลังตายคงไม่มีที่สำหรับเกิดใหม่ได้อีก
(ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่)

แน่นอนปรากฏการณ์เกิดของคนเสื้อแดง มันจะตรงข้ามกับพวกม็อบเสพแต่เรื่องโกหก หลอกลวง เบี่ยงเบน อย่างพันธมิตร นั้นไง พิสูจน์ง่ายๆ

เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ สิ่งที่และได้ทำลาย ม็อบพันธมิตรอย่างหนัก เพราะเวลาจะค่อยๆ คลี่ เฉลยๆ แก้ปม แก้ไข ทุกอย่างของมันเอง
อำมาตย์จะพินาศก็เพราะวันหนึ่งประชาชนรู้ความจริง พรรคบางพรรคคนทั้งชาติรู้ความจริงมาหมดแล้วว่า โง่ เลว ไร้ความสามารถจนไม่สามารถชนะการเลือกตั้งเลย ถ้าเลือกตั้งปกติเหมือนคนดีๆเขาทำกัน พรรคนี้จะเดิมตามทางถูกต้องมีคุณธรรมทางการเมืองไม่ได้ ต้องอาศัยอำนาจอื่น แม้วันนี้พรรคนี้ก็ยิ่งเสวยกรรมหนักเข้าไปอีก มีอำนาจเลวๆพิเศษ นำมาเป็นรัฐบาล กลายเป็นพวกมันก็ยังฆ่าตัวตายทำลายตนเองชนิดไม่ได้เกิดอีกเลย ตอนนี้มันก็ทำได้อย่างเดียวคือ หาทางตอนมีอำนาจ จะทำอย่างไร ให้พวกตนชนะการเลือกตั้งครั้งหน้า ตอนนี้พวกมัน กำลังแก้ ปั้น เสกกฏหมาย กันอยู่ แต่เชื่อเถอะ ยุคนี้คือยุคคนชั่วครองเมือง คนชั่วจะเห็นใจกัน ไหลมารวมกัน และอีกนิด รอให้คนเลวๆที่ไม่รู้ตัว ให้มันเปลี่อนพรรคก่อน นั้นแหละจะเป็นการล้างพวกชั่วให้หมดไปจากแผ่นดินทีเดียว จบไปเลย

เพราะอย่างไร ยุคกาขาวก็จะหมดไป ตอนนี้สิ้นหมดขัง ต่อไปคือสิ้นทุกอย่าง ก็จะเหลือแต่แดนศิวิไลซ์ ฟ้าสีทองผ่องอำไพ นั้นเอง
แล้วคนเลวๆพวกนี้ มันจะมามีอำนาจได้ไง

นี้คือการอธิบาย คำว่า พันธมิตร เสื้อเหลือง และคนเสื้อแดง ได้ดีที่สุด ณ วันนี้

ใครตัวใด ตระกูลใด พรรคใด ถ้ามันไม่เลือกข้างประชาชนส่วนที่ถูกต้องส่วนใหญ่แล้วละก็
มันก็จะพบกับความวิบัติ พินาศ ในที่สุด

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย วันที่ 29/01/54

ที่มา thaifreenews

โดย blablabla



จำได้ไหม วันวาน เคยหวานอยู่
ใครคือผู้ ส่งเสริม ต่อเติมฝัน
ใครเคยส่ง กำลังใจ มาให้กัน
ใครคนนั้น ช่างเสแสร้ง ทำแกล้งลืม....

ยึดทำเนียบ ปลูกข้าว เมื่อคราวนั้น
แล้วใครกัน ยิ้มร่า ว่าสุดปลื้ม
แถมส่งคน มากหน้า ช่วยฮาตรึม
มาทำลืม วันวาน ที่ผ่านไป....

มาวันนี้ เปลี่ยนคำ ระยำแท้
โถเพื่อนแย่ แสนรัก พูดผลักใส
เคยจูบปาก ดูดดื่ม ลืมหรือไร
กำลังใจ เคยมี มาหนีจาง....

เลวสมชื่อ แถมใจดำ อำมหิต
วิปริต ชั่วช้า มาตัดหาง
เคยกอดคอ เลวระยำ คอยอำพราง
ทุ่มทุนสร้าง หลอกควาย ให้ช่วยเอ็ง....

เนรคุณ บ้าน้ำลาย แถมขายชาติ
จิตอุบาทว์ ขาดสติ ริข่มเหง
มาขู่ฟ่อ เลอะเลือน เหมือนนักเลง
ทำอวดเก่ง เบ่งกล้าม พูดหยามกัน....

เอาให้เนียน เถิดหนอ รอชมอยู่
แสนหดหู่ บทละคร ตอนขำขัน
หลอกสาวก ดักดาน มานานวัน
รอดูมัน บทสุดท้าย ใครตายจริง....


blablabla32@hotmail.co.th
http://www.facebook.com/profile.php?id=100001177832717
วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

แดงเมืองกาญจน์คึกคัก'จตุพร'ยันอีกข่าวปฏิวัติ!

ที่มา thaifreenews

โดย bozo



เสื้อแดงกาญจน์กว่าพันคนเปิดเวทีปราศรัย"จตุพร"สับแหลกอย่าคิดว่าไม่ปฏิวัติ
เผยพิรุธ"อัศวิน"จับคนเสื้อแดงเตรียมก่อเหตุ รีบร้อนแถลงข่าวใส่กระสุน RPG ผิด
กลายเป็นเรื่องโจ๊กทั่วโลก...

เมื่อเวลา 18.00 น.วันที่ 28 ม.ค.กลุ่มคนเสื้อแดง เปิดเวทีปราศรัย
บริเวณสวนสุขภาพเทศบาลเมืองกาญจนบุรี ต.บ้านเหนือ เขตเทศบาลเมืองกาญจนบุรี
โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 1 พันคนมาร่วมงาน
โดยตั้งแต่ช่วงเย็นแกนนำทยอยกันขึ้นปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล
จนกระทั่งเวลา 20.40 น.นายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้ขึ้นเวทีปราศรัยถึงกระแสข่าวปฏิวัติ ว่า
มีคนในวงทหารที่พูดคุยกันในเรื่องนี้ ส่งข่าวมาให้ ตนไม่ได้พูดเอง
และที่ผ่านมาพูดอะไรก็ถูกต้องเกือบ 100%

นอกจากนี้ นายจตุพร ยังกล่าวถึงกรณีศาลให้ประกันตัวชั่วคราว
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และ นายสมบูรณ์ ทองบุราณ
โดยเปรียบว่า นายชัยวัฒน์ ถูกดำเนินคดีในข้อหาก่อการร้ายสากล
แต่เมื่อขอประกันตัวบอกว่าไม่มีพฤติกรรมหลบหนี ใช้หลักทรัพย์เพียง 6 แสนบาท
แต่แกนนำเสื้อแดง จะขอประกันตัวกลับไม่ให้
โดยบอกว่ามีพฤติกรรมหลบหนีออกนอกประเทศ นี่หรือไม่ใช่ 2 มาตรฐาน
นอกจากนี้ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา (สบ 10) รรท.ผบช.ภ.1 ได้แถลงข่าว
จับกลุ่มคนเสื้อแดงเตรียมก่อความไม่สงบ โดยมีกระสุนปืนใหม่ ๆ ทั้งนั้น
แต่ใช้เครื่องยิงจรวด RPG เก่ามาก แถมรีบร้อนแถลงข่าวใส่กระสุนไว้ที่ท้ายกระบอก RPG
แทนที่จะใส่ปลายกระปืน แบบนี้พอยิงพวกเดียวกันเองก็ตายหมด กลายเป็นเรื่องโจ๊กทั่วโลก
อย่างไรก็ตามวันที่ 13 ก.พ.ขอให้เสื้อแดงทุกคนรวมตัวกันที่หน้าศาลโดยพร้อมเพรียงกัน

ผู้สื่อข่าวรายงาน่วา สำหรับบรรยากาศการปราศรัยของแกนนำเสื้อแดงในครั้งนี้
นอกจากจะมีคนเสื้อแดงกว่า 1 พันคนเดินทางมาร่วมฟังการปราศรัยแล้ว
ทาง พล.ต.ต.โชต วีรเดชกำแหง ผบก.ภ.จ.กาญจนบุรี ยังมีคำสั่ง
ให้จัดกำลังดูแลความปลอดภัยแก่กลุ่มคนเสื้อแดงอย่างเข้มงวด
โดยภายในบริเวณงานการปราศรัยมีกำลังหลักของ พ.ต.อ.ภัทรชัย กอสนาน ผกก.กสส.ภ.จ.กาญจนบุรี
ที่จัดกำลังผสมกับคนเสื้อแดงภายในงานกว่า 10 นาย และรอบทางเข้าออก
งานมีกำลังของ พ.ต.อ.กษณะ แจ่มสว่าง ผกก.สภ.เมืองกาญจนบุรี
ในเครื่องแบบคอยอำนวยความสะดวกด้านการจราจรราว 20 นาย
และรอบ ๆ อ.เมืองกาญจนบุรี มีคำสั่งให้ สภ.ต่าง ๆ โดยรอบ
ตั้งจุดตรวจจุดสกัดรถต้องสงสัยทุกคันที่ผ่านมา
และสุดท้ายได้สั่งให้ชุดกองร้อยควบคุมฝูงชนกองร้อยที่ 2 เตรียมพร้อม ณ ที่ตั้ง บก.ภ.จ.กาญจนบุรี
ให้สามารถเคลื่อนกำลังพลได้ภายใน 5 นาทีเมื่อมีคำสั่งกรณีมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน
แต่สถานการณ์ทั่ว ๆ ไปยังปกติเรียบร้อย.


http://www.thairath.co.th/content/pol/144906

ไทยรัฐ-ไทยร้าว

ที่มา vattavan

ไทยรัฐ-ไทยร้าว

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

งครามยิงเกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเราเรียกว่า “วันเสียงปืนแตก” เกิดขึ้นเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 ซึ่งเป็นวันที่กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก
เหตุเกิดที่ บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
หลังจากนั้นเพียงสองปี ฐานปฏิบัติการตำรวจตระเวนชายแดนแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ได้ถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ลอบเข้าตีตอนใกล้รุ่ง
ตัวนายตำรวจซึ่งทำหน้าที่ผู้บังคับหมวด เป็นนายร้อยใหม่ๆเพิ่งสำเร็จจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สามพราน เขาและผู้ใต้บังคับบัญชายิงตอบโต้แบบสู้เย็บตา จนสามารถรักษาฐานที่มั่นเอาไว้ได้ และได้วิทยุรายงานเหตุการณ์ ไปยังกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน
พล.ต.ต.กระจ่าง ผลเพิ่ม รองผู้บัญชาการในขณะนั้น ตอบวิทยุ กลับไปว่า
“สมน้ำหน้า! ที่ถูกโจมตี ก็เพราะ...ขาดการลาดตระเวนรอบฐาน!!”
ตั้งแต่นั้นมา ผู้บังคับหมวดคนนี้ ก็ไม่เคยลืมคำตำหนิเชิงสั่งสอน ของผู้บังคับบัญชาท่านนี้เลย
นายตำรวจที่ผมเล่าให้ฟังนี้ เป็นลูกหม้อของตำรวจตระเวนชายแดนตั้งแต่มียศเป็นร้อยตำรวจตรี ต่อมาได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการในที่สุด และได้เกษียณอายุราชการไปหลายปีแล้ว

เมื่อ 4 ม.ค.พ.ศ.2547 ค่ายทหาร ที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ชื่อ ‘ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์’ ถูกผู้ก่อการร้ายเข้ายึด และฆ่าทหาร ปล้นเอาอาวุธปืนไปเป็นจำนวนมาก
ผู้คนตกตะลึง!
นับว่าเป็นค่ายทหารที่ถูกตีแตกพ่าย เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 200 ปี ของประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์!
ขายขี้หน้า...เป็นที่สุด!!
ในครั้งนั้น ผมยังอยู่ที่ค่าย ‘ผู้จัดการ’ ก็ได้เขียนบทวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง และคิดว่า
เหตุการณ์ที่ถูกผู้ก่อการร้ายสั่งสอนเอาในครั้งนั้น น่าจะเป็นบทเรียนให้ฝ่ายทหาร คิดทบทวนหามาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้อีก
ความคาดหมายของผม...ผิดไป!

ปีใหม่ปีนี้เพิ่งผ่านไปไม่เท่าไร ในวันที่ 18 ม.ค.2554 ผู้ก่อการร้ายไม่ได้ได้บุกปล้นค่ายทหารอีกก็จริง แต่ครั้งนี้บุกเข้าถล่มฐานทหาร “พระองค์ดำ” ของฉก.นราธิวาส 38 เป็นเหตุให้นายทหารหนุ่มยศร้อยเอก กำลังจะแต่งงาน ต้องสังเวยชีวิต พร้อมผู้ใต้บังคับบัญชาอีกหลายนายไป อย่างน่าเสียดาย
ปืนในคลังถูกปล้นไปกว่า 50 กระบอกพร้อมกระสุนอีกกว่า 5,000 นัด
การโจมตีครั้งนี้ มีลักษณะอุกอาจ มีการวางแผนเป็นอย่างดี ยิ่งกว่าการปล้นค่ายทหารครั้งแรก ที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส...
ใช่แต่เพียงแค่นั้น...
ต่อมาอีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ชาวบ้าน จะไปเก็บหาของป่า ถูกระเบิดของฝ่ายผู้ก่อการร้าย ตายไปอีก 9 ศพ น่าอเนจอนาถนัก เหตุเกิดที่อำเภอยะหา จังหวัดยะลา
สะเทือนขวัญราษฎร เป็นอย่างยิ่ง!

การโจมตีฐานทหาร เมื่อ 18 ม.ค.2554 นั้น ในวันเกิดเหตุ มีทหารพักถึงครึ่งหนึ่งของกำลังที่มีอยู่ ซึ่งการพักในพื้นที่ซึ่งมีสถานการณ์เข้มข้นนั้น โดยปกติแล้วเขาจะพักกัน 1 ใน 5 ของกำลังที่มีอยู่
ในวันดังกล่าว มีทหารอยู่ในฐานน้อย ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะทหารมีภารกิจในการรับทั้งนายกฯ และผู้บังคับบัญชาของตนมาแล้วก่อนหน้านั้น เลยทำให้บางส่วนพักซ้อนกัน
นอกจากนั้นในวันที่โดนโจมตี หน่วยทหารเรือฝ่ายนาวิกโยธิน มีการจัดเลี้ยงในวันกองทัพไทยในเมือง ทางฐานก็ต้องมีกำลังทหารจากฐานนี้ ไปร่วมงานตามธรรมเนียมด้วย
ดังนั้น ความระมัดระวังตามปกติถดถอยลง การดูแลรักษาความปลอดฐานจึงย่อหย่อนลง และ เรื่องการจัดชุดลาดตระเวนรอบฐาน ก็คงไม่ได้ทำ
ความสูญเสียจึงเกิดขึ้น!

ผู้บัญชาการทหารบก คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งรับผิดชอบกองทัพบก นอกจากจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ แล้ว ยังไม่ได้ออกมาพูดจาให้ความอุ่นใจกับประชาชน แต่กลับบอกว่า ประชาชนไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของทหารเสียอีกด้วย
ตัวท่าน ผบ.ทบ.เอง ก็เพิ่งมีปัญหากับสื่อ เพราะการออกอารมณ์ฉุนเฉียว จนถูกวิพากษ์วิจารณ์เอามากๆ เมื่อไม่นานมานี้ มาคราวนี้ก็เอาอีก ด้วยการพูดจา ‘ขัดหู’ ชาวบ้าน
ผมคิดว่า สื่อมวลชนมีสิทธิ์ไต่ถามเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะประชาชนเองก็มีสิทธิ์รู้ว่า กองทัพมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน ในการรักษาแผ่นดินของบรรพบุรุษผืนนี้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้อาสามาทำหน้าที่ ‘ทหาร’ และบัดนี้ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลนี้ ให้ดูแลรับผิดชอบเหนือหน่วยราชการอื่นๆ แต่กลับทำงานไม่ ‘เข้าตา’ ชาวบ้าน แล้วยังมาพูดจาในทำนองต่อว่าชาวบ้านเสียอีก
ยิ่งกลายเป็น ‘ขี้ปาก’ ผู้คนหนักขึ้นอีก!
ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก คือการแสดงออกด้วยภาษากายของท่าน มีการออกแอ๊คชั่นลีลาด้วยท่าทาง ที่เหมือนจะพยายามแสดงว่า เป็นคนเอาจริงและดุดัน คล้ายตั้งใจทำให้ภาพลักษณ์ออกมาดูเหี้ยมเกรียมน่ากลัว แต่แทนที่ชาวบ้านจะกลัว เขากลับมีความไต่ถามกันว่า
‘เว่อร์’ เกินเหตุไป หรือเปล่า!!?

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ฯมาเป็น ผบ.ทบ.นั้น ทั้งสื่อและประชาชนก็ทราบดีว่า ตัวท่านเองยังไม่เคยมีประวัติในการรบ จนเป็นที่ประทับใจทหารและชาวบ้าน เหมือนกับอดีตผู้บังคับบัญชาทหารบกบางท่าน
แต่นั่น ยังไม่ใช่ประเด็น...
เรื่องหลักจริงๆอยู่ตรง ทั้งสื่อและชาวบ้าน เขาต้องการทราบว่า เมื่อมีเหตุร้ายอย่างนี้เกิดขึ้นในยุคสมัยที่ท่านรับผิดชอบ
ท่านและกองทัพบก มีกลยุทธ์ที่จะใช้แก้ปัญหาภาคใต้นั้นได้ดีแค่ไหน?
ตรงนี้และที่สำคัญ!

สำหรับสื่อและประชาชน เขาเห็นว่าการก่อการร้ายที่ปลายด้ามขวานของไทยเรา มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และนี่เอง คงชี้ให้เห็นว่า
ท่าน ผบ.ทบ.มี ‘กึ๋น’ อยู่แค่ไหน!!?

ขอบอกกันตรงๆ เลยว่า
ความเป็นผู้นำหน่วย ที่จะทำให้ผู้คนเขาเคารพนับถือ นอกจากมีความสามารถในการนำหน่วยแล้ว การพูดจากับสาธารณะชน ไม่ว่าจะเป็นสื่อหรือประชาชน ควรจะแสดงความเป็น ‘ผู้ดี’ และที่สำคัญจะต้องแสดงความเป็น ‘มิตร’ด้วยน้ำใสใจจริง
จึงจะเอาชนะใจชาวบ้านได้!
หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. หากท่านต้องการที่จะลดการวิพากษ์วิจารณ์ ของสื่อและชาวบ้าน นั้น
ท่านจะต้องทำให้กองทัพ มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ และต้องมีความตั้งใจจริง ที่จะกวาดล้างทุจริตในกองทัพ ซึ่งบ่อนทำลายและกัดเซาะความเชื่อมั่นของผู้คน
รวมทั้งคนในกองทัพด้วย!!

ผมอยากให้ท่านลองศึกษาเรื่องเจ้ากรมทหารสื่อสาร ยศ พล.อ. 3 นาย ที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลไปเรียบร้อย และยกเป็นตัวอย่างเตือนใจทหารผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านด้วย
นี่ยังไม่นับรวมเองคอรัปชั่นในกองทัพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “เรือเหาะ” ที่ไม่เคยเหาะได้เหมือนชื่อ หรือเรื่อง “ไม้ชี้หลุมขี้” ที่พี่น้องประชาชน เขาพากันขบขันปนสมเพชไปทั้งประเทศ แล้วพากันพูดเป็นเสียงเดียวว่า
“ทำไมมัน ‘ทุเรศ’ อย่างนี้! (วะ)”
ดูอย่างกลุ่มพันธมารที่กำลังไปเปิดเวทีอยู่ที่มัฆวาน ยังเอาเรื่องคอรัปชั่นของทหารมาด่าโครมๆ ผมไม่เห็นมีทหารหน้าไหน ออกไปเถียงว่า...
พวกตัวเองนั้น ไม่ได้คดโกงแผ่นดินสักคน หรือไม่กล้าสู้หน้าพวกพันธมารก็ไม่รู้
กลัวกันมาก...ขนาดนั้นเลยหรือ?
สรุปว่า พล.อ.ประยุทธ์ฯ จะต้องหมั่นเตือนผู้ใต้บังคับบัญชา ในเรื่องความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน และตัวท่านเอง ก็จะต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างอันดีด้วย
ก็เตือนกันไว้ แค่นี้แหละ!!

ารแก้ไขปัญหาภาคใต้นั้น มีการทุ่มเทงบประมาณมหาศาล แต่ผลที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง ความรุนแรงก็กลับเพิ่มมากขึ้น
แม้ทางทหารและทางราชการ จะออกมาโปรปะกันดา ผ่านช่องทางต่างๆว่า สถานการณ์ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ การก่อการร้ายเป็นรายครั้งลดลง ระดับความรุนแรงลดลง เสร็จแล้วกล่าวสรุปสถานการณ์ ด้วยคำกล่าวที่เป็น cliché หรือซ้ำซากน่าเบื่อหน่ายว่า
เรามาถูกทางแล้ว!
ผมคิดว่า ในการแก้ปัญหาภาคใต้นั้น จะต้องมีการศึกษาหนทางปฏิบัตินอกกรอบ แต่มีความเป็นไปได้ แล้วนำมาลองใช้กันบ้าง
จะขอยกตัวอย่างแนวความคิด ของคนใกล้ตัว ที่เป็น ก.ตร.เลือกตั้ง คือ พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ได้ให้สัมภาษณ์ น.ส.พ.ไทยโพสต์ ฉบับแทปลอยด์ ประจำวันอาทิตย์ ที่ 23 ม.ค.2554 ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า
สมควรจะยกมาให้ท่านผู้อ่านพิจารณากันในวันนี้ เพราะนานๆครั้งจะมีคนคิดหาแนวทางใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องที่เป็นความทุกข์ของแผ่นดินกันอย่างจริงจัง
ก.ตร.หมาดๆผู้นี้ เขาได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ อย่างนี้ครับ....

“...มมีแนวคิดที่จะแก้ไขปัญหาภาคใต้ด้วย ได้เคยบรรยายในหลักสูตรต่างๆว่า
ถ้าแก้ไขปัญหาในแนวทางที่ผมศึกษามากว่า 40 ปี ผมไม่เห็นด้วยกับ ‘การเมืองนำการทหาร’ หรอก
ผมจะใช้ ‘ศาสนานำการปกครอง’
ที่นั่นคนเคร่งศาสนา คนที่ไปอยู่ที่นั่นต้องยึดมั่นในศาสนา ต้องเป็นคนดี การแก้ไขปัญหาต้องแก้ไขให้ถูกจุด
7 ข้อที่ ‘หะยีสุหรง’ ขอไว้ มีข้อใดบ้างที่ทำได้ ต้องทำ เพราะฉะนั้น ผมหยิบปัญหาตรงนี้มาพิจารณา
วันนี้ผมเป็น ก.ตร. ผมจะผลักดันการรับบุคลากรตำรวจที่ 3 จังหวัด...ให้รับคนพื้นที่
วันนี้ ผมไปสำรวจตำรวจใน 3 จังหวัดถูกฆ่า คนเป็นมุสลิมที่เกษียณและยังไม่เกษียณ ถูกฆ่ามาก จนกระทั่งเหลือประมาณพันคนเท่านั้น ในอัตรากำลังที่มีอยู่ 12,000 คน
ถ้าวันนี้เราเปลี่ยนเอาคนพื้นที่อื่นที่ลงไป กลับไปปฏิบัติงานที่บ้านของเขา และรับคนพื้นที่ทั้งหมด เราอาจจะรับ 2 ระดับ ชั้นประทวนในระดับที่จบปริญญา แต่จบ ม.ปลาย หรือศาสนา ระดับ 10 ที่จบโรงเรียนธรรม เป็นคนที่รู้ศาสนาอิสลามดี เรารับเพราะเทียบเท่า ม.ปลาย
ผมว่าเราเพิ่มตำรวจมุสลิม สัก 5,000 คน ใน 20 ปี ข้างหน้า เราจะครองใจผู้คนได้ วางระบบการรับทั้งสัญญาบัตร ในพื้นที่ที่เขามีพ่อแม่ลูกเมียอยู่ที่นั่น มีข้อแม้อย่างเดียวว่าต้องพูดอ่านเขียนไทยคล่อง ภาษาไทยต้องลึกซึ้ง
ผลจากการนี้ สมมติ 5,000 คน จะมีคนหันกลับมาเรียนภาษาไทยกันมากขึ้น
คนเหล่านี้จะไปเป็นตำรวจในพื้นที่ ที่สามารถสื่อสารประชาชนได้ในภาษาเดียวกัน เข้าใจวัฒนธรรม มีศรัทธา ความเชื่อในศาสนาเดียวกัน ความผสมกลมกลืนในพระบรมราโชวาท เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ย่อมทำได้โดยง่าย
ทำเช่นนี้ลองคิดดูว่า 5,000 คูณ 20 คือ 10 จากฝ่ายพ่อแม่ของเขา และ10 จากฝ่ายพ่อแม่ภรรยา เราจะได้คน 100,000 คน (หนึ่งแสนคน) มาเป็นพวกรัฐ
ถ้าเอาคนหนึ่งแสนคน ไปดูคน 2.3 ล้านเท่ากับ 1 ต่อ 23
คุณว่าการข่าว...จะดีขึ้นไหม?
การเข้าถึง(ประชาชน)...จะดีขึ้นไหม?
ก่อนจ่าเพียรตาย ก่อนผมจะลาออก ผมยังพูดกับท่านอดุลย์ (แสงสิงแก้ว) ว่า
พี่กลับไปนี่ พี่จะไปจัดสรรเงินกองทุนสวัสดิการ ที่พี่เป็นคนหามา เอามาจัดศูนย์สอนภาษาถิ่น เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานพูดภาษาถิ่นได้ การเข้าใจภาษาถิ่นก็เหมือนกับรู้เขารู้เรา

ฉะนั้น ปัญหาภาคใต้ผมว่าแก้ได้ แต่ไม่ได้แก้ด้วย ‘ราคาคุย’ ที่บอกว่า 6 เดือน 99 วัน 1 ปี ไม่มีทาง
ถ้าเรายอมรับความจริง ต้อง 1 generation ต้อง 20 ปี ผมตายไปแล้วนั่นแหละ
จะแก้ไขปัญหาภาคใต้ให้ลุล่วงได้ ต้อง ‘กลับความรู้สึก’ ของชาวบ้าน เขาเป็นเจ้าของพื้นที่ เขาไม่อยากไปอยู่ประเทศอื่นหรอก แต่...
ให้เขามีเกียรติ มีศักดิ์ศรี รักษาอัตลักษณ์ เชื้อชาติมาลายูและ อิสลามของเขา แต่ขณะเดียวกันในหลักศาสนาอิสลาม เกิดแผ่นดินไหน ก็เป็นของแผ่นดินนั้น
เขาเป็นคนไทย คนสยาม คนที่นั่นข้ามไปมาเลย์ เขาก็ไม่รับ เขาบอกว่าคุณไม่ใช่บุตรของแผ่นดิน (ภูมิปุตรา)
คุณเป็นคนสยาม! ...”

นั่นเป็นแนวความคิดนอกกรอบ ของคนที่เฝ้าติดตามศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นที่นั่นมานาน แต่รัฐบาลยังไม่เคยคิด
รัฐบาลจะลองนำไปคิดต่อกันดู ก็คงไม่ผิดกติกาอันใด
สำหรับตัวผู้เขียนเองนั้น ก็มีแนวความคิดในเรื่องกลยุทธ์ในการลดปัญหาความรุนแรง โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อทั้งสองฝ่ายด้วย แต่การเสนอผ่านหน้าสื่อ ดูจะไม่สมควร อย่างไรรับรองว่า ผมจะเสนอแน่...
ถ้าเรามีรัฐบาล ที่ดีกว่าชุดปัจจุบันนี้!

ปัญหาการก่อการร้ายที่ปักษ์ใต้นั้น ก็เป็นโจทก์ใหญ่ก็จริง แต่โจทก์มหึมากว่า ผมว่ายังคงอยู่ที่กรุงเทพและจังหวัดทั่วไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนเอง ไม่สบายใจเอามากๆ และต้องนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง คือ
ไม่กี่วันมานี้ ผมมีโอกาสได้นั่งแท็กซี่ และสนทนากับคนขับรถหลายเรื่อง และคุยกันถึงเรื่องการโจมตีฐานทหาร เขาแสดงความเห็นด้วยความ ‘สะใจ’ ว่า
“สมน้ำหน้า แม่งงงงงง!”

content/picdata/276/data/sodier.jpg

ถามถึงเหตุผล เขาก็บอกว่า ที่สะใจก็เพราะทหารได้แสดงความโหดเหี้ยม ในเหตุการณ์สังหารประชาชนที่ราชดำเนินและราชประสงค์ ปีที่แล้วนั่นเอง
ผมลองสดับตรับฟังดู ในฐานะที่ตัวเองก็เป็นมือข่าวเก่า คนที่คิดอย่างโชเฟอร์แท็กซี่คนนี้ มีจำนวนไม่น้อยทีเดียว
คิดแล้วก็น่าใจหาย!
เมื่อครั้งที่บ้านเรา ยังที่การเผาศพทหารตำรวจและพลเรือน จำนวนมาก ที่ต้องล้มตายไปในการสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์ ณ เมรุวัดพระศรีมหาธาตุ เป็นประจำปี หลายปีติดต่อกัน ในยุคนั้นเรามีพิธีพระราชทานเพลิงศพที่ให้กับผู้กล้าหาญ อย่างน่าประทับใจมาก
ประชาชนคนที่เป็นชาวบ้าน แม้จะไม่รู้จักผู้ตายคนไหนเลย ต่างก็ไปร่วมงานอย่างคับคั่ง เพราะพวกเขาคิดว่า
คนเหล่านั้นเป็น ‘วีรบุรุษ’ เป็นผู้เสียสละให้ชาติไทยอันเป็นที่รักของเรา เมื่อตายตามหน้าที่ พวกเขาก็ไปแสดงความเคารพ เป็นการเกียรติ กับ...
ผู้มีบุญคุณต่อแผ่นดิน!

มาถึงวันนี้ ทหารจะตายก็ตายไป ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ นอกจากไม่สนใจไต่ถามแล้ว ยังมีจำนวนมากที่สมน้ำหน้าให้เอาด้วย
อย่างนี้ก็มี!
ที่น่าแปลกใจจริงๆก็คือ เมื่อมีข่าวทหารไทยจะรบกับเขมร ชาวบ้านคนไทยแท้ๆจำนวนไม่น้อย ก็พลอยดีใจ เพราะอยากให้เขมร ช่วยล้างความรู้สึกคั่งแค้น ของพวกเขาออกไปบ้าง หลังจากพี่น้องเพื่อนร่วมชาติ ต้องถูกกลุ่มทหารสังหาร อย่างทมิฬหินชาติ จนอื้ออึงไปทั่วโลก

ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
ยามนี้ คนในบ้านเมืองของเรา นอกจากหมดรักกันแล้ว ยัง ‘เกลียดชัง’ กันอย่างลึกซึ้งอีกด้วย
น่าเป็นห่วงยิ่งนัก!

บ้านเมืองของเรา ไม่ใช่ ‘ไทยรัฐ’ แต่กลายเป็น ‘ไทยร้าว’ เสียแล้ว!!

...............

(คอลัมน์ ไทยรัฐ-ไทยร้าว ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 29 มกราคม พ.ศ.2554)

ปฏิวัตินะจ๊ะ!

ที่มา thaifreenews

โดย bozo



“ปีเถาะ 2554 เป็นปีที่ต้องต่อสู้กันทรหดทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ
ใครก็ตามที่เป็นรัฐบาลต้องเผชิญวิกฤตการณ์รุนแรงที่สุด
ฝ่ายค้านจะแย่งอำนาจ คนในเครื่องแบบจะรอให้ทั้ง 2 ฝ่ายเพลี่ยงพล้ำลง
ส่วนประชาชนตาดำๆและยากจนจะหวาดผวา
ปัญหาคอร์รัปชันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ต้นปี ถึงขนาดรัฐบาลต้องมีอันเป็นไป
เหตุการณ์ของประเทศจะพลิกผันอย่างที่ไม่เคยเห็น
และจะเกิดความว่างเปล่า ไม่มีนัก การเมืองพรรคใดหลงเหลืออยู่ในระบบ
พรรคการเมืองจะสูญสิ้นไปจากประวัติศาสตร์การเมืองไทย”

คำพยากรณ์ของโหราจารย์ชื่อดัง “โสรัจจะ นวลอยู่” ที่พยากรณ์ดวงเมืองปี 2554
และชี้ว่าดาวสีเลือดได้รับแสงจากดาวมฤตยู
ในช่วงเดือนมีนาคม 2554 เป็นดาวปฏิวัตินองเลือดในมุมร่วมธาตุ
เกิดสภาพการณ์เดือดพลุ่งพล่านไม่สงบ
เกิดเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า
เกิดศึกสงครามทั้งภายในและภายนอก
เกิดความยุ่งยากทางการเมืองขนาดหนัก
ซึ่งผู้เป็นใหญ่และผู้คนสำคัญจะร่วงหล่นกันมาก
อำนาจเก่าๆของคนเก่าๆจะเสื่อมถอย
จะเกิดเหตุการณ์นองเลือดรุนแรง
กลุ่มชน ฝูงชนอาจจะเคลื่อนไหวโดยการสนับสนุนของผู้มีอำนาจเก่าอย่างเร้นลับ
และเกิดการปฏิวัติรัฐประหารอีกครั้ง

“นักการเมืองชั่วพึงระวังเอาไว้ ถึงเวลานั้นประชาชนอาจลุกฮือขึ้นมาฆ่าเอง
โดยไม่แคร์ขื่อแปบ้านเมือง ดวงของบ้านเมืองใกล้ถึงจุดนี้แล้ว”

“สฤษดิ์ 2” ทหารครองเมือง!

การพยากรณ์ของโหรโสรัจจะจึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากมายในทุกวงการ
ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เช่นเดียวกับหมอนิด (กิจจา ทวีกุลกิจ) ที่ยืนยันว่า
การปฏิวัติรัฐประหารมีโอกาสเกิดสูงมาก ไม่ว่าก่อนหรือหลังการเลือกตั้ง
เพราะการเมืองและบ้านเมืองวุ่นวายหนัก ทั้งเคยพยากรณ์ว่าทหารเกิดการปีนเกลียวกัน
แต่ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนจะชิงลงมือก่อน ปีสองปีนี้ทหารยังมีบทบาทและมีอำนาจยิ่งกว่าปีที่ผ่านมา
ทั้งอาจได้เห็น “สฤษดิ์ 2” พรรคการเมืองจึงมีสิทธิพักงานยาว

แม้ที่ผ่านมา “ผู้นำรอด แต่ประเทศไม่รอด”
เพราะคนรับกรรมคือพ่อค้า ประชาชน ไม่ใช่นักการเมือง
หมอนิดยังเตือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ว่า
จะทำการอะไรต้องรอบคอบและระวังจะผิดพลาด
หรือทำสำเร็จแล้วแต่ส่งไม้ต่อให้กับคนดวงไม่ดีประเทศก็จะเสียหาย

ขณะที่นายภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ
เตือนให้ระวังจะเกิดความรุนแรงถึงขั้นนองเลือด เช่นเดียวกับ
นายภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ประธานกรรมการสถาบันศาสตร์แห่งชีวิตแห่งประเทศไทย
พยากรณ์ว่า บ้านเมืองจะปั่นป่วนถึงขั้นมีอาวุธ ระเบิด ปืนไฟ
สร้างปัญหาจนคนในเครื่องแบบต้องออกมาดูแลบ้านเมือง
แต่ถ้าสถานการณ์รุนแรงถึงขั้นนองเลือดก็หนีไม่พ้นปฏิวัติรัฐประหาร
ถ้าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ต้องการให้ถึงขั้นนั้นต้องอดทนและใจเย็น เอาน้ำเย็นเข้าลูบ
และให้ผู้มีความสามารถประสานมือทั้งสิบทิศคุยกับทุกฝ่าย

รัฐบาลชนวนวิกฤต?

การพยากรณ์ของโหรดังหลายคนจึงสอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้
เพราะตั้งแต่ปลายปี 2553 ก็มีสัญญาณความวุ่นวายในบ้านเมืองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่ใช่แค่กรณี 7 คนไทยที่ถูกฝ่ายกัมพูชาจับกุมตัว
และนำมาสู่การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ที่เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกเอ็มโอยู 43 ถอนตัวออกจากคณะกรรมการมรดกโลก
และใช้ความเด็ดขาดผลักดันชาวกัมพูชาออกไปจากแผ่นดินไทย
ส่วนกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน
ยังเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมกรณีเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”

ขณะที่รัฐบาลก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมายว่าล้มเหลว
ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและเต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน
โดยเฉพาะช่วงใกล้จะหมดวาระของรัฐบาลมีการนำงบประมาณไปใช้หาเสียง
และจัดสรรผลประโยชน์ให้กับพรรคร่วมรัฐบาลตามโครงการต่างๆ
หรืออย่างที่เห็นล่าสุดก็คือ นโยบายประชาวิวัฒน์ที่เป็นการลดแหลก แจก แถม
โดยไม่คิดถึงอนาคตของประเทศ
เพราะมัวแต่คิดถึงอนาคตการเลือกตั้งครั้งต่อไปเท่านั้น

แม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เพิ่งผ่านวาระ 2 ที่แก้ไข
เรื่องเขตเลือกตั้งเป็นเขตเดียวเบอร์เดียว
และสัดส่วน ส.ส.เลือกตั้งกับ ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็น 375 ต่อ 125
ก็เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองเองทั้งสิ้น

แม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะประกาศแผนปฏิรูปประเทศ
โดยตั้งคณะกรรมการต่างๆขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคณะของ
นายอานันท์ ปันยารชุน
นายแพทย์ประเวศ วะสี
นายคณิต ณ นคร และ
นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์
ผ่านมาแล้วหลายเดือนแทบจะไม่มีอะไรคืบหน้า
นอกจากข้อเสนอ 6 ข้อของนายสมบัติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่รัฐบาลเลือกเฉพาะประเด็นที่เอื้อประโยชน์กับรัฐบาลและพวกพ้องเท่านั้น
ประเด็นที่เห็นชัดว่าสวนทางระบอบประชาธิปไตยชัดๆ อย่างเช่น
ส.ว.สรรหาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งกลับไม่กล้าแตะต้อง

รักชาติแบบพันธมิตรฯ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯที่เคยให้การสนับสนุนนายอภิสิทธิ์
แต่กลับมาขับไล่รัฐบาลนั้น ได้ออกมาประณามนายอภิสิทธิ์ว่าเป็นจอมโกหก
โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้ไล่เรียงมา
ตั้งแต่ปี 2548 ที่นำพันธมิตรฯออกมาสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนเกิด
การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
และนายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ล้วนสู้เพื่อหลักการทั้งสิ้น ไม่ได้สู้เพื่อพรรคประชาธิปัตย์ หรือเพื่อใคร
แต่มวลชนอีกส่วนหนึ่งต่อสู้เพราะเห็นว่าประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ดีจึงอยากให้ปกครองบ้านเมือง
แต่วันนี้คนที่ชูนายอภิ-สิทธิ์เพราะคิดว่ายังขายได้ ขายได้กับคนโง่ๆ ประเทศไทยฉิบหาย
นอกจากเพราะนักการเมืองเลวแล้วยังมีคนโง่ๆที่หลงในความหล่อ

“ยังไม่เคยเห็นนายกฯคนไหนโกหกเท่านายกฯคนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯที่ปลิ้นปล้อนที่สุด
แต่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯที่โกหกมากที่สุด
วันนี้นอกจากจะใช้วิชามารเรื่องข่าวแล้วเขายังฝันว่าเราจะมีอยู่แค่หยิบมือเดียว
แต่เขาเข้าใจผิด ที่ผ่านมาเราไม่ได้สู้เพื่อประชาธิปัตย์ แต่เราสู้เพื่อชาติบ้านเมือง”

ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ยืนยันว่า
ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อเป็นสิ่งที่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ทำได้ง่าย
และสามารถทำได้นานแล้วแต่ไม่ยอมทำ อ้างว่าจะเกิดสงคราม
ถ้ากลัวก็เปลี่ยนเพลงชาติหรือยกเลิกไปเลย
ถ้าจะเป็นประเทศขี้กลัว ทั้งยังพูดถึงบทบาทของกองทัพว่า

“ทหารอย่างพวกผมไม่ได้มีไว้สำหรับอวดเด็กกับอวดผู้ใหญ่เท่านั้น
อวดเด็กคือจัดงานวันเด็กให้เด็กไปดูแสนยานุภาพที่ซื้อมาด้วยเงินแพงๆ
อวดผู้ใหญ่คือสวนสนาม อวดเด็ก อวดผู้ใหญ่ อวดไป
แต่เขามีไว้เพื่อปกป้องดินแดน พวกผมถูกฝึกมากินเบี้ยเลี้ยง เงินเดือน เพื่อสู้รบทำอย่างเดียวคือ
ปกป้องดินแดน แต่เขมรขู่เอาๆ กำลังที่เราเอามาเป็นกำลังในการต่อรอง
ไม่ต้องใช้อำนาจกองทัพบก กองทัพเรือ ใช้แค่บางส่วนของกองทัพอากาศเขมรก็หงอแล้ว
เพราะเครื่องบินรบที่ทันสมัยเขมรมี 4 ลำ มิก 21 ใช้ไม่ได้แล้ว เก่าเกินไป บินไม่ได้
ของเรามีเอฟ 5 เอฟ 16 เป็นร้อยลำ”

ผลประโยชน์แอบแฝง?

ท่าทีของกลุ่มพันธมิตรฯจึงไม่ใช่แค่เรียกร้อง 3 ข้อ
แต่ยังต้องการให้รัฐบาลและกองทัพใช้มาตรการที่เด็ดขาดรุนแรงกับฝ่ายกัมพูชาอีกด้วย
อย่างที่ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ แกนนำพันธมิตรฯและอดีตประธาน
ที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย ปราศรัยว่า
ภาคใต้เคยมีปัญหาชนกลุ่มน้อยกับมาเลเซีย ลาวมีปัญหาม้ง
แต่ก็เจรจาส่งกลับและไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องมีเอ็มโอยูอะไร
แต่ประเทศไทยกลับแสดงความอ่อนแอกับการยกเลิกเอ็มโอยู 43
ยิ่งนายอภิสิทธิ์เถียงข้างๆคูๆยิ่งชี้ให้เห็นว่าต้องมีผลประโยชน์แอบแฝงแน่นอน
เพราะมีแหล่งทรัพยากรที่ประเทศใหญ่ๆจ้องจะเอา
และเป็นประเทศมหาอำนาจทั้งสิ้น การเป็นสมาชิกยูเนสโกไม่ใช่ออกแล้วจะอดตาย
ทุกวันนี้เข้าร่วมแล้วฉิบหายมากกว่า

“พื้นที่บริเวณชายแดนไทย-พม่าน่าเป็นห่วงเช่นกัน ถ้าไม่เลิกเอ็มโอยู 43
พม่าอาจจะคิดแบบกัมพูชาในอนาคตเพื่อจะเอาดินแดนบ้าง เพราะเรามันอ่อนแอ
พวกเรามาทำหน้าที่ในวันนี้ถูกต้องแล้ว ยิ่งใหญ่กว่า 193 วันที่ผ่านมาอีก
เพราะ 193 วันไล่บุคคลและระบอบที่ชั่วร้ายออกไปแต่ไม่หมดสิ้น ดังนั้น
จะกำจัดให้หมดต้องใช้เวลา แต่การรักษาแผ่นดินไทย
วันนี้ถ้าไม่ออกมาให้มากเสียดินแดนแน่นอน”

ใครขายชาติ?

แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
กลับตั้งคำถามถึงข้อเรียกร้อง 3 ข้อของกลุ่มพันธมิตรฯว่าเป็นอันตรายต่อบ้านเมือง
และนายกรัฐมนตรีทำตามไม่ได้ สงสัยทำไมจึงยื่นข้อเสนอที่เป็นไปไม่ได้
ซึ่งฝ่ายพันธมิตรฯก็ถามกลับทันทีว่าใครกันแน่ที่ขายชาติ
ท่าทีของนายสุเทพจึงสมควรตำหนิอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะบิดเบือนอย่างร้ายกาจแล้ว
หากย้อนหลังบทบาทของนายสุเทพก็มีส่วนสำคัญในการย่ำยีหัวใจคนไทย
ยอมอ่อนข้อให้กับต่างชาติจนทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียอธิปไตย

นายสุเทพเคยระบุว่า 7 คนไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชาลึกเข้าไปถึง 1.2 กิโลเมตร
พร้อมทั้งให้ยอมรับคำตัดสินของศาลกัมพูชา ซึ่งเป็นคำพูดในทำนองเดียวกับผู้นำอื่นๆในรัฐบาล
ไม่ว่าจะเป็นนายอภิสิทธิ์ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ไม่มีกองทัพก็อยู่ไม่ได้ จึงเห็นได้ชัดเจนว่า
ข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯไม่ใช่เพื่อเจรจาและประนีประนอม
แต่ต้องการให้รัฐบาลทำตามที่เรียกร้อง จึงไม่แปลกที่จะมีการตั้งคำถาม
ถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯครั้งนี้ว่ามีเบื้องหลังอะไรมากกว่าที่เป็นข่าวหรือไม่

กลุ่มพันธมิตรฯต้องการให้กองทัพเข้ามามีบท บาทในการแก้ปัญหาอย่างไร แค่ไหน?

เพราะในทางปฏิบัติผู้นำกองทัพต้องทำตามคำสั่งของรัฐบาล
ยกเว้นแต่จะเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า
กองทัพต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดนี้หรือชุดไหน
ก็แก้ปัญหาชายแดนมาตามลำดับ จนท้ายสุดมาอยู่ที่เอ็มโอยู 43
ทหารก็ต้องทำตามกรอบของการพัฒนา ไม่ใช่ทหารจะไปทำอะไรใครก็ได้
ตรงไหนที่มีความชัดเจนของเส้นเขตแดนก็ไม่มีปัญหา
แต่ถ้าตรงไหนมีปัญหาจะมีสัญญาในการดูแลกัน

“ถ้าไม่รักประเทศชาติจะเป็นทหารได้อย่างไร ผมอยากจะรู้นัก
ใครอยากจะพูดอะไรต่างๆก็ตาม ให้กลับไปคิดและทบทวนดูสิว่าอะไรควรพูด ไม่ควรพูด
ที่ทหารไม่พูดเพราะพูดไปแล้วจะทำให้เกิดความเพลี่ยงพล้ำในการเจรจาพูดคุย
มีอะไรต้องมาพูดกันหมดเลยหรือ ซึ่งมันไม่ใช่ รัฐมนตรีกลาโหมก็ทำเต็มที่ กองทัพ

ก็ทำเต็มที่ แล้วท่านมาบอกว่ากองทัพบกกลัวใคร ทำไมไม่ทำ มีผลประโยชน์อะไรหรือเปล่า
ท่านเอาอะไรมากล่าวอ้างผมไม่รู้ กองทัพไม่เคยกลัวใคร ซึ่งผมไม่อยากจะพูดคำนี้
แต่ผมเป็น ผบ.ทบ. ทหารบกทั้งกองทัพมีจำนวน 200,000 กว่าคน เขาก็ดูอยู่ว่า
ผมปกป้องศักดิ์ศรีของเขาหรือเปล่า ผมก็ต้องปกป้องเขา
เพราะผมรู้ว่าลูกน้องผมเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาสูญเสียอะไรต่างๆมามากมาย ลูกเมียเดือดร้อน
ผมพูดไปก็จะหาว่ากองทัพบกทวงบุญคุณอีก และผมจะพูดอะไรได้
ผมต้องปล่อยให้ด่าอยู่ข้างเดียวหรือไง กองทัพถูกด่าข้างเดียวไม่ถูก
ผมว่าไม่เป็นธรรม ท่านต้องช่วยกองทัพ วันนี้ถ้าท่านไม่มีกองทัพ ไม่มีเจ้าหน้าที่ ไม่มีทหาร ไม่มีคนทำงาน
ท่านจะอยู่อย่างไร ท่านไปถามตัวของท่านเองก็แล้วกัน”

“เชื้ออุบาทว์” ยังอยู่

คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์เรื่องบทบาทของกองทัพกับนายสุเทพ
ซึ่งตั้งคำถามถึงข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯที่รัฐบาลทำไม่ได้นั้น
ทำให้มีหลายฝ่ายเห็นด้วยกับคำพูดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ที่กล่าว
ก่อนจะมีการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯว่า “ความพยายามก่อการรัฐประหารยังมีเชื้อหลงเหลือ”

โดย พล.อ.ชวลิตยืนยันว่า โอกาสการทำรัฐประหารเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง
เพราะอีกฝ่ายต้องการยื้ออำนาจต่อไป จึงมีการปล่อยข่าวรัฐประหารเพื่อโยนหินถามทาง
แม้วันนี้จะทำได้ยากเพราะประชาชนตื่นตัว แต่ต้องร่วมกันป้องกันไม่ให้เกิดรัฐประหาร
ซึ่งมีทางเดียวคือต้องให้มวลชนตื่นตัว ใครคิดเปลี่ยนแปลงในทางไม่ถูกต้องประชาชนต้องไม่ยอมรับ

ทำไมต้องรัฐประหาร?

การออกมาเตือนเรื่องการปฏิวัติรัฐประหารของ พล.อ.ชวลิต
จึงไม่ใช่การปล่อยข่าวหรือโกหกตอแหลอย่างไร้สาระเหมือนนักการเมืองมากมายขณะนี้
แต่การปฏิวัติรัฐประหารมีความเป็นไปได้ตลอดเวลาสำหรับการเมือง
ตราบใดที่บ้านเมืองยังอยู่ในมือของกลุ่มผู้มีอำนาจนอกระบบและผู้นำกองทัพ
ขณะที่นักการเมืองยังเป็นแค่ “นักเลือกตั้ง” และ “พวกลากตั้ง” เข้ามา

ที่สำคัญนายอภิสิทธิ์ก็เหมือนน้ำท่วมปากกับกระแสข่าวการทุจริตคอร์รัปชันในรัฐบาล แม้จะไม่มี

ใบเสร็จแต่โครงการมากมายก็มีหลักฐานส่อว่าไม่โปร่งใส โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาล
แต่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่กล้าแตะต้องหรือเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาเพียง
เพื่อไม่ให้รัฐบาลล้มหรือตัวเองยังเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
ซึ่งนายสนธิได้นำมาโจมตีนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด

อย่างการประมูลข้าวมีนักการเมืองได้ประโยชน์หลายพันล้านบาท
การอนุญาตนำเข้าน้ำมันปาล์ม
เพื่อให้นักการเมืองของพรรคเก่าแก่ขนน้ำมันปาล์มเถื่อนเข้ามาได้และมีกำไรมากขึ้น
การตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยข้ามลำดับอาวุโสถึง 50 อันดับ
การแต่งตั้งตำรวจระดับผู้กำกับก็มีการตั้งโต๊ะในทำเนียบรัฐบาลเก็บเงินหัวละ 3-5 ล้านบาท

แต่ขณะเดียวกันก็มีคำถามว่า
พรรคการเมืองใหม่จะมีที่ยืนในเวทีการเมืองหรือไม่
เพราะหลังจากการเลือกตั้ง ส.ก.-ส.ข. ในกรุงเทพมหานคร
ที่พรรคการเมืองใหม่แจ้งเกิดไม่ได้เลยแม้แต่ที่นั่งเดียว
การออกมาของพันธมิตรฯครั้งนี้มีเบื้องหลังเพื่อหาที่ยืนหรือไม่?
บทบาทของพันธมิตรฯจะเป็นอย่างไรต่อไปหากมีการเลือกตั้ง
แต่ถ้ามีการปฏิวัติรัฐประหารก็เท่ากับว่าทุกพรรคการเมืองถูกบอนไซเหมือนกันหมด
หรืออาจถูกล้างไพ่ใหม่ทั้งหมด
หรือการออกมาของพันธมิตรฯ
ก็เพื่อปูพรมแดงให้ทหารเดินออกมาปฏิวัติรัฐประหารเหมือน 19 กันยายน 2549 อีกหรือไม่?

ปฏิวัติ...นะจ๊ะ!

ในขณะที่กองทัพก็มักจะอ้างความมั่นคง การหมิ่นสถาบัน และข้อหาฉกาจฉกรรจ์
เพื่อกำจัดนักการเมืองชั่วที่คอร์รัปชันทุกครั้งในการยึดอำนาจ
แต่ไม่เคยพูดถึงความโปร่งใส การจัดซื้อในกองทัพ งบลับทหาร
หรือแม้แต่การแย่งชิงอำนาจกันเอง
โดยเฉพาะนับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ซึ่งรัฐบาลและนักการเมืองต่างเอาอกเอาใจกองทัพเป็นพิเศษ
ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์นับแสนล้าน
หรืองบประมาณของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ไม่ยอมเปิดเผย
นอกจากนี้ที่ผ่านมายังมีการกล่าวหา
เรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆที่ไม่โปร่งใสหลายโครงการ
ไม่ว่าจะเป็นเรือเหาะที่กลายเป็นเรือเหี่ยวที่บินไม่ได้
ตำนานไม้ล้างป่าช้า-จีที 200
การจัดซื้อรถหุ้มเกราะจากยูเครน
หรือการจัดซื้อรถยุทธวิธี (ปิกอัพ) กันกระสุนจำนวน 300 คัน ราคาคันละ 2.5 ล้านบาท
ที่ยังฝุ่นตลบอยู่

ดังนั้น การปฏิวัติรัฐประหาร
จึงอาจไม่ใช่แค่การปัดกวาดนักการเมืองและพรรคการเมืองเน่าๆออกจากระบบเท่านั้น
แต่ยังอาจเป็นการจัดสรรผลประโยชน์ต่างๆภายในกองทัพและกลุ่มผู้มีอำนาจต่างๆให้ลงตัว
แถมยังสามารถกวาดขยะของกองทัพเองซุกไว้ใต้พรมสีเหลืองอร่ามได้อีกด้วย

นายอภิสิทธิ์จึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร
เพื่อจะอยู่ในอำนาจต่อไปให้นานที่สุด แม้จะเป็นผู้นำที่สั่งการอะไรไม่ได้ก็ตาม
แต่อย่างน้อยนายอภิสิทธิ์ยังสามารถเดิน สายสร้างภาพรำป้อ เป็น “พระเอกลิเก”
ขวัญใจพ่อยกแม่ยก ต่อไปได้เรื่อยๆ...

จนกว่าจะเกิดการปฏิวัติ...นะจ๊ะ!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 296 วันที่ 29 มกราคม - 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
หน้า 16 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน


http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=9495

ของเล่น (?): ประเทศไทย

ที่มา ประชาไท

วีรพัฒน์ ปริยวงศ์
นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (รางวัลทุนฟุลไบรท์และวิทยานิพนธ์เกียรตินิยม)
นิติศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง)

Toy Thailand from joerg on Vimeo.

หมายเหตุ “Toy Thailand” (http://vimeo.com/17942063) เป็นผลงานวิดีทัศน์ของ Joerg Daiber ถ่ายทำที่กรุงเทพฯ ภูเก็ต และ กระบี่ (หาดต้นไทรและอ่าวไรเลย์) ดนตรีประกอบ Air on the G String ประพันธ์โดย Johann Sebastian Bach บรรเลงโดย USAF Strings

“ของเล่น (?): ประเทศไทย” เป็นเพียงความเห็นส่วนตัว (พร้อมบรรณานุกรม) ของวีรพัฒน์ ปริยวงศ์
(เผยแพร่ ณ https://sites.google.com/site/verapat/)

ของเล่น (?): ประเทศไทย
๒๗ มกราคม ๒๕๕๔

บ้านร่มเย็น เหลื่อมหลังคา คุ้มอาราม
กรุงสัญจร ข้ามแม่น้ำ นิ่งสงบ
นัดสะดวก ลัดลอยฟ้า ไม่ผิดพบ
ปลื้มปรุงปรบ ครบกีฬา มหานคร

ศาลทรงสิทธิ สถิตย์กราบ ท่ามกฎไม้
นักท่องโลก ลงลอยกาย ณ ยอดป่า
ปนที่พื้น มิพร่องสี มิเตอร์ตรา
ไถลช้า แหวกเวหา ถลาบิน

บ้านสร้างโบก โยกสลับ คอยนับวัน
แม้นไม่พอ หาดสวรรค์ กรรมาหน้า
สุดแสนสวย สลวยทราย คล้ายมายา
ฤา จะตื่น สะดุ้งคว้า ของเล่นใคร?

บรรณานุกรม

1. กรณีวัดปทุมวนาราม
http://www.innnews.co.th/crime.php?nid=265653

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1294320440&grpid=00&catid&subcatid

http://www.prachatai.com/journal/2010/12/32440

http://www.nytimes.com/2011/01/25/world/asia/25iht-thai25.html?_r=1&ref=asia

http://www.bangkokpost.com/news/local/217419/25-protest-deaths-explained

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=1459244295265&set=a.1451758068114.59976.1658153850

2. ข้อสังเกตวิธีจัดการปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพฯ
http://www.facebook.com/photo.php?pid=1028561&l=ccf6fb5fc8&id=1658153850

3. ประสิทธิภาพการบริหาร BTS
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=354&contentID=117803

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9480000145291

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1295955754&grpid=03&catid&subcatid

4. กรณียึดที่ชาวบ้านเพื่อเพิ่มสวนสาธารณะ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1218869028&grpid=03&catid=01

http://www.banmuang.co.th/sport.asp?id=226577

http://www.thaivisa.com/forum/topic/24663-royal-bangkok-sports-club/

5. ศาลไทยสถิตย์ท่ามกลางกฎหมาย
http://www.facebook.com/album.php?aid=59976&id=1658153850&l=d82911213c

6. แฟชั่นนักท่องเที่ยว
http://www.cnngo.com/bangkok/play/tourist-fashion-crimes-bangkoks-red-light-zones-621130

7. หนึ่งคืนของแท็กซี่กรุงเทพฯ
http://www.cnngo.com/bangkok/life/one-night-behind-wheel-bangkok-taxi-592510

8. เสียงประชาชนกับเสียงเครื่องบิน
http://www.thairath.co.th/content/region/143151

9-11. กรณีปะการังฟอกขาว
http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/161279.html

http://bit.ly/gm2mOI

http://www.cnngo.com/bangkok/visit/closure-18-dive-sites-413619

ใบตองแห้งออนไลน์: มาเอาใจช่วย พธม.กันเหอะ (ฮิฮิ)

ที่มา ประชาไท

เสื้อแดงจัดชุมนุมเมื่อวันอาทิตย์ ตำรวจประเมินว่ามีมวลชน 27,000 คน แต่ไทยรัฐบอกขบวนยาวเป็นกิโล พันธมิตรจัดชุมนุมหญ่ายเมื่อวันอังคาร ถ่ายภาพมุมกว้างดูยังไงก็ไม่เกิน 5,000 (ตอนค่ำนะ ไม่ใช่ตอนเช้าที่เลขศูนย์หายไปตัวนึง) เห็นแล้วใจหาย สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม
น่าสังเกตว่า ม็อบเสื้อเหลืองครั้งนี้ มีแต่ชาวสันติอโศกกับแฟนพันธุ์แท้จังหวัดละหยิบมือ ผู้นำที่อยู่ประจำม็อบก็มีแต่ลุงจำลอง น้าปานเทพ ส่วนสนธิ ลิ้ม พี่พิภพ ธงไชย โผล่หน้ามาแวบๆ อ.สมเกียรติได้ข่าวว่าสุขภาพไม่ดี แต่สมศักดิ์ โกศัยสุข ไม่รู้หายไปไหน ยะใสก็เอาแต่พูดอยู่วงนอก
ยิ่งกว่านั้น ขาเก่า NGO ไฮโซไฮซ้อ คุณพ่อคุณแม่สหภาพรัฐวิสาหกิจ คอลัมนิดคอลัมหน่อย หรือนักวิชาการที่เคยเป็นกองเชียร์ก็หายจ้อย (กลายเป็นอธิการรองอธิการกันหมด) แหม มันน่าน้อยใจจริงๆ ไม่มีใครรักชาติเล้ย กระทั่งกษิต ภิรมย์ ที่เคยด่าฮุนเซนเป็นกุ๊ย ก็เปลี่ยนสีแปรพักตร์ไปสวามิภักดิ์ลูกหลานพระยาละแวกซะแล้ว
ที่เหลืออยู่ก็เลยมีแต่คอเดียวกันระดับฮาร์ด เช่น พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน สุนันท์ ศรีจันทรา เป็นต้น
ที่สะพานมัฆวานน่าจะติดประกาศตามหาคนหายนะครับ พี่น้องเอ๊ย กลับมาด่วน! ชาติต้องการ เพราะถ้าวันเสาร์อาทิตย์นี้ พี่น้องเอ๊ยยังไม่คืนสู่เหย้าละก็ ลุงจำลองคงหาทางกลับบ้านไม่ถูก
คงต้องรอความปรานีจากศาลเขมร ถ้าวันที่ 1 ก.พ.นี้ตัดสินปล่อยตัววีระ สมความคิด พันธมิตรขาลงก็ยังพอมีทางลง หยอดกล่องบริจาคให้วีระ แล้วกลับบ้านใครบ้านมัน แต่ถ้าไม่ล่ะ จะดิ้นทุรังไปทางไหนต่อ
แหม นั่งดู พธม.กับ ปชป.ล่อกันเอง ดูกษิต-ปานเทพ ประปาก ดูพี่เปี๊ยกขุดเรื่อง อ.ปรีดีมาด่าโคตรเหง้าประชาธิปัตย์ แล้วจะไม่ให้ “สะใจ” ได้ไงล่ะ พี่น้องเอ๊ย
เรื่องสนุกของผมก็คือเปิดหนังสือพิมพ์อ่านคอลัมนิดคอลัมหน่อยที่เคยแซ่ซ้องร้องเชียร์พันธมิตรยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน แล้วกาหัวว่าใครบ้างพันธ์แท้ พันธุ์ทาง เอาใจออกห่าง กลับหัวกลับหาง พลิกลิ้นแผล็บๆ
แต่แหม มันน่าน้อยใจดังว่า เพราะใครต่อใครก็ดูเหมือนจะยกตนเป็นผู้รักชาติอย่างมีสติ มีเหตุผล กันไปหมด ปล่อยให้ พธม.ถูกหาว่าคลั่งชาติอยู่หยิบมือเดียว (แล้วตอนนั้นใครวะ บอกว่าพื้นดินใต้ปราสาทพระวิหารยังเป็นของไทย)
แน่นอนว่า ฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเราๆ คงไม่สนับสนุน พธม.หรือเพ้อฝันแบบ “เหลือง-แดง สมานฉันท์” แต่มันก็เป็นวโรกาสอันดีงาม ที่ควรทำใจให้สนุกสนานเพลิดเพลิน นั่งดูฝ่ายตรงข้ามรบรากันเอง พร้อมกับศึกษาวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีของทั้งสองข้าง รวมทั้งแยกแยะขุมกำลัง ว่าใครเปลี่ยนขั้วไปอยู่ข้างไหน
และในฐานะที่พันธมิตรเป็นฝ่ายที่มีขุมกำลังอ่อนด้อยกว่า ผมก็อดไม่ได้ตามนิสัยคนไทย คือชอบเชียร์มวยรอง แบบว่าให้ยืนซดกันได้นานๆ หน่อย (จะได้บอบช้ำมากๆ หน่อย ฮิฮิ)
Hidden Agenda
ถามว่าพันธมิตรยื่นข้อเรียกร้องอะไร ก็คือข้อเรียกร้องที่รัฐบาลไม่สามารถปฏิบัติได้ ซึ่งพันธมิตรรู้อยู่แล้ว
แต่เราจะไปสนใจทำไมกับข้อเรียกร้องของพันธมิตร จำได้ไหมว่าข้อเรียกร้องของพวกเขาเมื่อปี 51 คืออะไร คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พอรัฐบาลยอมไม่แก้ ก็ยังเปลี่ยนไปเรื่อย จนชุมนุมอยู่ได้ 193 วัน
ย้อนไปปี 49 ก่อนรัฐประหาร ทักษิณยุบสภาแล้ว พันธมิตรก็ยังเรียกร้องให้ทักษิณลาออก เป็นข้อเรียกร้องที่ไม่เคยมีในการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ไหนในโลก
ฉะนั้น ข้อเรียกร้องของพันธมิตรจึงมี hidden agenda ตลอด (แม้แต่ข้อเสนอมาตรา 7)
ครั้งนี้ก็เช่นกัน พธม.พยายามเรียกม็อบมาตั้งแต่คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งได้วีระ สมความคิด (และนายตายแน่ มุ่งมาจน กับพวก) เป็นวีรชนพลีชีพ จูง ส.ส.ปชป.เข้าไปให้ทหารเขมรจับ เป็นเรื่องเป็นราวเป็นหอกย้อนแทงอภิสิทธิ์และกษิต ที่พยายามพลิกลิ้นการทูต ตลบถ้อยคำที่ตัวเองเคยพูดไว้สมัยเป็นฝ่ายค้าน เพื่อกลับไปญาติดีกับ “กุ๊ย”
พธม.จึงได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองว่าเรา “ขวาแท้” และ “ขวากว่า” กลับมาชูอุดมการณ์ราชาชาตินิยม ปลุกระดมลูกหลาน “พระองค์ดำ” ให้เอาเอฟ 16 ไปช่วยวีระ จับพระยาละแวกตัดหัวเอาเลือดล้างเท้า
เพียงเสียดายที่ “สังคมไทย” (อันได้แก่สื่อ นักวิชาการ คนกรุงคนชั้นกลาง) กลับมามีเหตุผลอย่างไร้เหตุผล ทีตอนนี้ละก็เห็นด้วยว่าควรใช้สันติวิธี ไม่ใช่ชาตินิยม อย่าทำสนามการค้าให้เป็นสนามรบ แม้เอาใจช่วยให้เขมรปล่อย 7 คนไทย แม้ไม่พอใจฮุนเซ็นอยู่มั่ง แต่ก็ไม่วายบ่นอุบอิบว่ามันเดินเข้าไปให้เขาจับทำไมวะ
ทีสมัยสมัคร-นพดลละก็ จะเป็นจะตาย ช่วยกันปลุกวิญญาณชาตินิยม ทวงคืนปราสาทพระวิหาร อ้างไปได้เรื่อย ที่แท้ก็เพื่อไล่รัฐบาล (แต่รัฐบาลนี้มันถูกจริตกรูนี่หว่า เลยเก็บชาตินิยมเข้าลิ้นชัก)
งานนี้ พธม.จึงเสียเปรียบตั้งแต่ยกแรก เพราะถูกขวัญใจจริตนิยมช่วงชิงมวลชนไปเกือบหมด (ขณะที่ส่วนหนึ่งก็เป็นมวลชน ปชป.มาแต่ต้น) แต่อย่าประมาทไปนะครับ เพราะพวกเขามีความเชี่ยวชาญทางยุทธวิธี ในการก่อม็อบยืดเยื้อ แล้วสามารถทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้มันเป็นเรื่องขึ้นมาได้ จนเปลี่ยนประเด็นไปได้เรื่อยใน 193 วัน
โดยเฉพาะปาก ปชป.นี่แหละสำคัญ ถ้ายั่วถูกจุดเข้าหน่อย ดูอย่างกษิตพูด ก็ปลุกพี่น้องเอ๊ยให้คึกคักขึ้นมาไม่น้อย ยื้อไปเหอะ ให้ไอ้เทือกไอ้ไทหลุดออกมาซักคนละคำสองคำ เดี๋ยวเป็นเรื่อง
นอกจากนี้ ผมยังคาดว่าพันธมิตรจะใช้ความผูกพัน ที่มีกับมวลชนเดิมๆ ออดอ้อนให้ซื้อบัตรซื้อตั๋วมาร่วมงานคืนสู่เหย้ากันหน่อย (ซึ่งอาจมีบ้างในช่วงเสาร์อาทิตย์) รวมถึงความผูกพันที่มีกับสื่อ นักวิชาการ ซึ่งอย่างน้อยๆ ก็ไม่กล้าจิกหัวม็อบเสื้อเหลืองเหมือนที่ทำกับม็อบเสื้อแดง จนเดินเกมของพวกเขาไปได้ระยะหนึ่ง แต่จะลงตรงไหนก็ขึ้นกับ hidden agenda เป็นสำคัญ
แน่นอนว่า agenda ของพันธมิตร ไม่ใช่ MOU ปี 43 หรือข้อเรียกร้อง 3 ข้อนั่น แต่น่าจะเป็นความพยายามต่อรอง แย่งชิงอำนาจ ไม่ให้ตัวเองเป็นเพียงนั่งร้าน
hidden agenda ของพันธมิตร ถ้าดูตามคำพูดสนธิ จำลอง ก็มีนัยเรียกหารัฐประหาร-รัฐบาลแห่งชาติ แต่ถามว่ามันเป็นจริงได้หรือ แม้แกนนำพันธมิตรเองก็คงรู้ดีว่า มีโอกาส ไม่ถึงกับ 0% เสียทีเดียว มีโอกาส แต่เป็นจริงได้ยาก พวกเขาเพียงแค่พยายามขยายโอกาสเท่านั้น
ในสภาพที่เป็นอยู่ขณะนี้ “อำนาจพิเศษ” กองทัพ ตุลาการ พึงพอใจกับการอยู่เบื้องหลังรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งปูทางไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งใหม่ กุมอำนาจได้อย่างน้อยอีก 2 ปีข้างหน้า คนที่ไม่พึงพอใจกับสภาพเช่นนี้มีแต่พันธมิตร ซึ่งยิ่งรัฐบาล “มาร์ค-เนวิน” เข้มแข็ง พันธมิตรยิ่งไม่มีที่ยืน พ่อยกแม่ยกหายหมด และหมดอำนาจต่อรอง มองเห็นคุกอยู่ข้างหน้า เหมือนที่ไชยวัฒน์ สมบูรณ์ ลิ้มรสมาแล้ว
หลังมาร์คได้ “ใบอนุญาตฆ่า” ม็อบเสื้อแดง จากมวลชนเฟซบุค คนกรุงคนชั้นกลาง พันธมิตรก็เริ่มหมดความหมาย แม้จะมีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย ดึงเอา mentor ของพันธมิตรสาย NGO อย่างหมอประเวศเข้าไปบัญชาการ แต่ต่อมาก็แว่วเสียงบ่นจากแกนนำพันธมิตรว่า “อภิสิทธิ์ไม่จริงใจ” มันคงมีอะไรในกอไผ่ละครับ ที่แสดงออกในเรื่องมาบตาพุด กระทั่งคำตัดสินจำคุก 85 นักรบศรีวิชัยบุก NBT
เหนือสิ่งอื่นใด หลับตานึกภาพไม่ออกว่า ถ้ามาร์คชนะเลือกตั้งกลับมากุมอำนาจมั่นคงอีกอย่างน้อย 2 ปี หรือเผลอๆ 4 ปี พันธมิตรจะอยู่อย่างไร (พรรคการเมืองใหม่สู้ๆ-ฮา) นั่นแหละพวกเขาจึงต้องดิ้น เพื่อรักษาสถานภาพ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะดิ้นไปแบบไหน
อย่างเก่ง วุ่นวายนัก อภิสิทธิ์ก็ยุบสภา ให้มหาจำลองคุยได้ว่า ไล่รัฐบาลสำเร็จอีกครั้ง แล้วกลับบ้านใครบ้านมัน (อย่าลืมหยอดกล่องบริจาคนะพี่น้อง)
เหลืองแดงรวมกันไม่ได้
ปรากฏการณ์ที่คนสองสีลุกฮือกระหนาบรัฐบาลอภิสิทธิ์ ทำให้มีคนเพ้อฝัน “เหลือง-แดง สมานฉันท์” แต่ความจริงมันเป็นไปไม่ได้ แม้ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ จะไปลงนวมซ้อมมวยกับณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในคุก หรือกลุ่มเส้นทางสีแดง แวะไปเยี่ยมม็อบคนไทยหัวใจรักชาติ
นี่เป็นแค่ “จุดตัด” ของกระแสมวลชนสองสาย ที่หลังจากนี้ก็จะต่างคนต่างไป ส่วนใครจะเดินไปสู่เอวัง ไม่อยากพูด (แค่อ้าปากคนอ่านก็รู้ทัน อิอิ)
อันที่จริงผมก็เคยเพ้อฝันอยู่เหมือนกันว่าซักวัน เพื่อนพ้องน้องพี่สีเหลืองแดงอาจรวมกันได้ เพราะถ้ายึดอุดมการณ์ที่เสื้อแดงต้องการประชาธิปไตยสมบูรณ์ เสื้อเหลืองต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่น ในหลักการก็ไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกัน
แต่บังเอิ๊ญ ผมลืมไปว่า พันธมิตรไม่มีหลักการ!
พันธมิตรทิ้งอุดมการณ์ประชาธิปไตยไปแล้ว ทิ้งความเชื่อที่ว่ามีแต่ความเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์เท่านั้นที่จะขจัดลดทอนทุจริตคอรัปชั่น เพราะประชาชนจะตื่นตัวช่วยกันตรวจสอบทุกฝ่ายโดยไม่เว้น
พันธมิตรนำมวลชนคิดตัดตอนเพียงว่าการเลือกตั้งคือการซื้อเสียงและนำไปสู่การถอนทุน ฉะนั้นจึงต้องพึ่งประชาธิปไตยที่มีการเซ็นเซอร์ มีอำนาจพิเศษคอยกำกับดูแล หันไปยกย่องเชิดชูอำนาจพิเศษ แกล้งหลับตาข้างหนึ่ง ไม่มองว่าระบอบอุปถัมภ์ของอำนาจพิเศษซึ่งตรวจสอบไม่ได้ก็เป็นที่มาของการทุจริตคอรัปชั่นเช่นกัน ไม่พูดความจริงว่าขุนนางอำมาตย์ ทหาร ตุลาการ ที่อวดอ้างว่าจงรักภักดี สัตย์ซื่อถือคุณธรรม ที่แท้ก็มีเรื่องเน่าเฟะปกปิดอยู่มากมาย แต่สาธารณชนไม่ได้รับรู้เท่านั้นเอง
ถ้าย้อนไปดูคำสัมภาษณ์ของสุริยะใส กตะศิลา ในโพสต์ทูเดย์ เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน เรื่อง “วันหนึ่งพี่น้องจะเข้าใจ พธม.ขาลง?” ยะใสบอกว่า “ถ้าแดงแท้ประกาศปลดแอกจากทักษิณได้ตรงนี้อาจจะเป็นการเกิดใหม่ของ นปช. และสุดท้ายอาจโคจรไปจับมือกับ พธม.ก็ได้ ทั้ง 5 แกนนำ พธม.มีความคิดนี้เสมอ คุณสนธิก็เคยสัมภาษณ์ไม่รู้กี่รอบว่าไม่เคยมองเสื้อแดงเป็นศัตรู ลุงจำลอง (ศรีเมือง) ก็พูดเช่นกัน หลายเรื่องคิดเหมือนกันโดยเฉพาะเรื่องสองมาตรฐานความไม่เป็นธรรม”
แต่ถามว่า “แดงแท้” ของยะใสคืออะไร ก็คือคนเสื้อแดงที่ “ปลดแอก” จากทักษิณและพรรคเพื่อไทย ไม่ได้เคลื่อนไหวเพื่อทักษิณ แต่สู้เพื่อความเป็นธรรมจริงๆ โดยมีแค่ 10% เท่านั้นในแดงทั้งหมด
พูดไปก็เป็นแค่การตีฝีปาก เพราะกระทั่ง บก.ลายจุด ยะใสยังดิสเครดิตว่าไม่ใช่ของแท้ แต่เป็นพวกสร้างกระแสแบบไม่ลงทุน คอยแต่หยิบชิ้นปลามัน เพราะการเคลื่อนไหวยังผูกกับจตุพร
“แดงแท้” ของยะใส คงหมายความว่าถ้าการเคลื่อนไหวอะไรที่ทักษิณ พรรคเพื่อไทย หรือ 3 เกลอมีส่วนร่วม ต้องห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาด ห้ามสนับสนุน ห้ามส่งเสียงเชียร์ ต้องไปเคลื่อนไหวด้วยตัวเองอยู่ที่ปลายโคกโน้น
แม้กระทั่งใครจะเคลื่อนไหวให้แก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น เช่น ล้ม สว.ลากตั้ง ยะใสก็คงบอกว่าเป็นการแก้ไขเพื่อให้ทักษิณกลับมา
นั่นคือจุดยืนที่ไม่มีทางร่วมกันได้ชัดเจน เพราะในฐานะนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แม้เราจะต้องต่อสู้คัดค้านไม่ให้ทักษิณเป็นผู้นำ ไม่ให้ทักษิณกลับมา แต่เราต้องถือว่าทักษิณเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ในฐานะที่ทักษิณเป็นผู้ถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้เพื่อให้กฎกติกาเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ให้บ้านเมืองมีความยุติธรรมมาตรฐานเดียว ถ้ามันจะเอื้อให้ทักษิณได้อานิสงส์ เราก็ต้องพร้อมยอมรับ
พูดไปทำไมมี พันธมิตรอ้างว่าพวกเขาดึง “อำนาจพิเศษ” เข้ามาทั้งที่รู้ว่าเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย เพราะพวกเขาเชื่อว่า “อำนาจพิเศษ” นั้นเปรียบเหมือนอาทิตย์ใกล้อัสดง เดี๋ยวก็หมดพลังแล้ว (แล้วตอนนี้เป็นไงล่ะ)
ถ้าเราบอกว่า ณ วันนี้ ทักษิณยิ่งกว่าอาทิตย์อัสดงล่ะ และมันไม่ใช่แค่นั้น เพราะทักษิณเป็นเรื่องตัวบุคคล แต่นั่นคือเรื่องของระบอบและหลักการ ที่เอาการรัฐประหารมาทำลายประชาธิปไตย ชูวัฒนธรรมระบอบอุปภัมภ์กลับมาครอบงำสังคม ปิดกั้นย่างก้าวไปสู่ความมีเสรี
พันธมิตรกับนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจึงไม่มีวันรวมกันได้ เพราะเราไม่ใช่ลิเกย้ายวิก ไม่ใช่นักการเมืองย้ายพรรค ไม่ใช่มาร์ค-เนวิน หรือ “พี่บรรหาร” กับ ปชป.ด่าพ่อล่อแม่แล้วยังร่วมรัฐบาลกันได้ เพราะความ “อดอยากปากแห้ง” สำคัญกว่า
เพียงแต่ตอนนี้ คงไม่ผิดอะไร ที่เราจะเอาใจช่วยพันธมิตร ให้ยืนซดกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ครบสิบยก (จะได้น่วมๆ หน่อย ฮิฮิ) ขออย่างเดียว อย่าเป็นมวยล้มต้มคนดูก็แล้วกัน ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็เตรียมเสียงโห่ได้เลย
เอ้า...หุย....
ใบตองแห้ง
28 ม.ค.54

นิวยอร์กไทม์: การสืบสวนเรื่องความรุนแรงของไทยไร้ความคืบหน้า

ที่มา ประชาไท

กรุงเทพฯ - ผู้ดูแลสวนสัตว์คนหนึ่งถูกยิงและเสียชีวิตขณะที่กำลังจะออกจากที่ทำงาน ผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลอีกคนหนึ่งที่หลบภัยในวัดแล้วถูกยิงห้าครั้งแต่รอดชีวิตซึ่งอาจเป็นเพราะเหรียญในย่ามของเขาช่วยสะท้อนกระสุน ทหารคนหนึ่งที่รีบรุดไปช่วยเพื่อนที่ล้มลงจากเหตุระเบิด ได้รับบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรงเมื่อเกิดระเบิดครั้งที่สอง

เรื่องราวของผู้เสียชีวิตและ ผู้บาดเจ็บจากความรุนแรงทางการเมืองเมื่อปีที่แล้ว (พ.ศ.2553) ในกรุงเทพฯสามารถบันทึกเป็นหนังสือได้หลายเล่ม แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เข้าไปอยู่ในเอกสารการพิจารณาคดีของศาลไทยเลย

แปดเดือนหลังจากกำลังทหารเคลื่อนพลผ่านกรุงเทพฯ และขับไล่ผู้ชุมนุมออกจากแหล่งชุมนุมที่มีแนวป้องกัน ผ่านไปแล้ว การสอบสวนว่าใครมีส่วนรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิต 90 ศพ และผู้บาดเจ็บราว 2,000 คน ก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด

คณะกรรมการอิสระ ตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป. - ผู้แปล) หน่วยงานที่ตั้งขึ้นโดยรัฐบาลเพื่อสอบสวนความรุนแรง ก็กล่าวว่าทหารและตำรวจปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ

สมชาย หอมลออ กล่าวว่า “เราจำเป็นต้องสัมภาษณ์ทหารหลายคนที่อยู่ในพื้นที่ เราได้ส่งจดหมายหลายฉบับ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับจากพวกเขาเลย” คณะกรรมการดังกล่าวที่เพิ่งเลื่อนการพบปะที่ได้วางแผนกันไว้ว่าจะมีออกรายงานชั้นต้นออกไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ในคราวนี้ก็กล่าวว่าพวกเขาไม่แน่ใจว่ารายงานจะพร้อมเมื่อใด

สมชายกล่าวว่า หน่วยงานนิติวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลไม่ตอบสนองต่อคำขอให้มีการผ่าศพ และบริษัทโทรศัพท์เอกชนทั้งหลายไม่ให้ความร่วมมือเพราะพวกเขาไม่ต้องการ “ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดี”

เหยื่อหลายคนจากความรุนแรงครั้งนั้นยังอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก

วสันต์ ศรีทองเอี่ยม ลูกจ้างขององค์การด้านไฟฟ้าของรัฐบาล (เมื่อตรวจสอบข้อมูลจากข่าวในประเทศไทยแล้วพบว่าวสันต์เป็นลูกจ้างของการไฟฟ้านครหลวง-ผู้แปล) ซึ่งถูกยิงระหว่างเดินกลับจากการทำงานเมื่อเดือนพฤษภาคมกล่าวว่า “ผมยังหวังว่าจะมีความยุติธรรม ผมต้องการรู้ว่าทำไมผมถึงถูกยิงและใครเป็นคนทำ”

พันเอก สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกของทางฝ่ายทหารกล่าวว่าตัวแทนฝ่ายทหารได้พบกับคณะกรรมการค้นหาความจริง (คอป.) เมื่อปีที่แล้วสองครั้ง และได้ให้ “ทุกสิ่งที่เรามี” เขากล่าวว่าเขาไม่ทราบเรื่องคำขอข้อมูลเพิ่มเติมจากคณะกรรมการ

พันเอกสรรเสริญกล่าวว่า “ในเรื่องที่เกี่ยวกับผู้เสียชีวิตในระหว่างการปะทะกันนั้น จุดยืนของเราชัดเจนคือจะให้กระบวนการยุติธรรมทำงานไป เราไม่สามารถสั่งใครในนั้นได้”

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งเทียบเคียงได้กับ FBI (หน่วยงานสืบสวนกลางของสหรัฐอเมริกา – ผู้แปล) มีความกระตือรือร้นในการติดตามคดีที่เกี่ยวข้องกับแกนนำการชุมนุมที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ขณะที่การสืบสวนบทบาทของทหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น ทางกรมฯ บอกว่าพวกเขากำลังอยู่ในขั้นตอนสืบสวนอยู่

ความไม่พอใจหลักๆ อย่างหนึ่งของกลุ่มผู้ชุมนุมคือการที่ประเทศไทยขาดความยุติธรรม ฉะนั้น ความล่าช้าในการสืบสวนยิ่งจะเป็นการขัดขวางความพยายามปรองดองในหมู่ผู้มีสิทธิออกเสียงที่แบ่งขั้วกันมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะในหมู่ผู้ออกเสียงชาวชนบททางภาคอีสานที่แสดงความไม่พอใจเรื่องสองมาตรฐาน ระหว่างพวกชนชั้นนำกับคนส่วนที่เหลือในประเทศ

นักวิจารณ์หลายคนกล่าวหาว่ารัฐบาลยื้อเวลาการสอบสวนเพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง อย่างเช่น ธีระ สุธีวรางกูร อาจารย์ด้านกฎหมายของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในกรุงเทพฯ กล่าวว่าผู้นำทหารกลัว ที่จะต้องเผชิญกับเสียงโจมตีจากสาธารณชนหากยอมรับว่าทหารฆ่าพลเรือน

ธีระกล่าวว่า “รัฐบาลกำลังมุ่งที่จะเอาชนะการเลือกตั้งซึ่งจะต้องมีขึ้นในปลายปีนี้ รัฐบาลจึงต้องยื้อเวลาเรื่องนี้เอาไว้”

ความรุนแรงโกลาหลในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมนั้นโหดร้ายและยากที่จะถอดรหัสอย่างยิ่ง เนื่องจากมีส่วนของการลุกขึ้นสู้ปนอยู่ด้วย มีกลุ่มลึกลับปะปนอยู่กับผู้ประท้วง ซึ่งคนกลุ่มนี้มีระเบิดมือและอาวุธอย่างอื่นได้ทำการต่อสู้กับทหาร แพทย์ต้องทำการรักษาแผลซึ่งปกติแล้วพวกเขาควรจะอยู่ในสมรภูมิรบ ไม่ใช่ในการประท้วงตามท้องถนน

พันโท นพสิทธิ์ สิทธิพงศ์โสภณ ผู้บังคับการหน่วยทหารหน่วยหนึ่งที่เข้าทำการสลายผู้ชุมนุม (จากการตรวจสอบพบว่าเขาเป็นผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ 3 รักษาพระองค์ในช่วงระหว่างการล้อมปราบผู้ชุมนุมในเดือนเมษายน-ผู้แปล) กล่าวว่ากำลังพลในหน่วยของเขา 21 นาย จากทั้งหมด 24นายได้รับบาดเจ็บในระหว่างการประท้วง และมีนายหนึ่งถูกฆ่า

พันโท นพสิทธิ์กล่าวว่า “ทหารไม่ต้องการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราอยากจะนอนอยู่บ้านมากกว่าอย่างยิ่ง” เขาเองได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดซึ่งอาจเกิดขึ้นจากระเบิดมือ

นักวิเคราะห์ทางการเมืองเห็นตรงกันว่าทหารปฏิบัติการในสภาพที่ยากลำบากอย่างยิ่ง แต่ยอดการตายที่ไม่สมดุล --ทหาร 9 คนเสียชีวิต เมื่อเทียบกับพลเรือนซึ่งเสียชีวิตถึง 80 คน หลายคนในที่นี่เป็นเพียงผู้สัญจรไปมา -- และภาพวิดีโอที่ทหารยิงอย่างบ้าคลั่งไปยังทิศทางที่มีผู้ชุมนุมบ่งชี้ว่าทางกองทัพละเมิดกฎของตนเองเกี่ยวกับการยิงพลเรือนเฉพาะในกรณีป้องกันตนเองเท่านั้น

รายงานที่รั่วไหลออกมาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดูเหมือนจะสรุปไปในทางเดียวกัน โดยทหารมีส่วนรับผิดชอบต่อการการเสียชีวิตอย่างน้อย 13 ศพ ตามเอกสารที่รายงานในหนังสือพิมพ์ไทย เดอะเนชั่น (The Nation)

ในกรณีหนึ่ง ผู้สอบสวนสรุปว่า นายมานะ อาจราญ ผู้ดูแลสวนสัตว์ในกรุงเทพซึ่งมีหน้าที่ป้อนอาหารเต่า “น่าจะ” ถูกสังหารโดยทหารบนรถกระบะที่แล่นผ่านมาและเกิดอาการตื่นตระหนก ทหารวิ่งเข้าไปในสวนสัตว์และยิงนายมานะ ซึ่งในภายหลังถูกพบว่าเสียชีวิตพร้อมกับรอยกระสุนที่ด้านหลังศีรษะ ตามที่รายงานที่รั่วไหลออกมาสรุปไว้

รายงานอีกฉบับมาจากรอยเตอร์อ้างถึงเอกสารภายในของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่กล่าวว่าช่าง ภาพของรอยเตอร์ซึ่งถูกสังหารในวันที่ 10 เมษายนว่า “ทรุดลงเมื่อแสงไฟจากปืนสว่างวาบขึ้นจากทางทิศทางฝั่งทหาร”

ช่างภาพคนดังกล่าวคือนายฮิโระ มุราโมโตะมาจากญี่ปุ่น และเจ้าหน้าที่ทางการญี่ปุ่นรู้สึกขัดเคืองใจที่คดีไม่มีความคืบหน้า พวกเขาได้กดดันรัฐบาลไทยให้ปล่อยข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเขาออกมามากขึ้น ทางการไทยตอบสนองโดยบอกว่าพวกเขายังคงสอบสวนอยู่

จรัญ โฆษณานันท์ อาจารย์ด้านกฎหมายประจำมหาวิทยาลัยรามคำแหง กรุงเทพฯ กล่าวว่า “กระบวนการยุติธรรมมีความล่าช้าผิดปกติ อำนาจทางการเมืองบ่อนทำลายกฎหมายในประเทศไทย”

การที่ทหารปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในการสอบสวนเน้นย้ำให้เห็นอำนาจอิทธิพลของทหารในประเทศไทย

งบประมาณของทหารและอิทธิพลโดยรวมต่อการเมืองของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ พ.ศ.2549 เมื่อทหารเข้ายึดอำนาจโดยการรัฐประหารเพื่อล้มล้างทักษิณ ชินวัตร และทำให้ผู้สนับสนุนเขาหลายล้านคนโกรธแค้น

รัฐบาลกล่าวหา ทักษิณ ชินวัตรว่าสนับสนุน “ผู้ก่อการร้าย” ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในหมู่ผู้ชุมนุมเมื่อปีที่แล้วและอาจมีส่วนรับผิดชอบในการโจมตีทหารและตำรวจ

ตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานนั้น ในหมู่ผู้ได้รับบาดเจ็บจากการประท้วง 1,898 คน มีทหารประมาณ 400 คน ส่วนที่เหลือเป็นพลเรือนทั้งหมด

ผู้ได้รับบาดเจ็บบางคนกลับไปทำงานโดยแผลจากกระสุนและสะเก็ดระเบิดมีรอยแผลเป็นปกคลุม ในขณะที่คนอื่นต้องเดินเข้าออกโรงพยาบาลและศูนย์บำบัดฟื้นฟูอย่างอ่อนแรงและ ยังคงสั่นสะท้านด้วยคำพยากรณ์โรคของแพทย์ที่ว่าพวกเขาอาจจะไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตในแบบปกติได้อีก

แพทย์หลายคนบอกกับเสกสิทธิ์ ช้างทอง วัย 28ปี อดีตคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้างว่า เขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือโดยมีกระสุนฝัง อยู่หลังตาของเขา เสกสิทธิ์ผู้ซึ่งตาบอดจากการถูกยิงด้วยปืนในระหว่างการชุมนุมรู้สึกขมขื่น “ผมรู้สึกเสียใจที่ผมสูญเสียการมองเห็น แต่ผมเสียใจยิ่งกว่ากับประเทศไทยเพราะว่าที่นี่ไม่มีความยุติธรรม”

หมายเหตุ : ปรับปรุงแก้ไขบางส่วนจาก Note ใน Facebook ของ "สลักธรรม โตจิราการ" โดยเจ้าตัวอนุญาตให้เผยแพร่

จาตุรนต์ ฉายแสง : ความเห็นต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯ

ที่มา ประชาไท

ผมได้เคยให้ความเห็นไว้ว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ” และกลุ่มพันธมิตรในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามละเลยได้ มาถึงเวลานี้ก็ชัดเจนแล้วว่าการเคลื่อนไหวนี้กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ทั้งต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและต่อสถานะและเสถียรภาพของรัฐบาลไทยเองอย่างที่หลายฝ่ายอาจคาดไม่ถึงมาก่อน

ล่าสุดกลุ่มพันธมิตร นำโดยพลตรีจำลอง ศรีเมืองได้เสนอข้อเรียกร้อง 3 ข้อให้รัฐบาลดำเนินการภายใน 2 วัน มิฉะนั้นก็จะดำเนินการขั้นต่อไป พร้อมทั้งได้ประกาศด้วยว่า ไม่ชนะไม่เลิก (อีกแล้ว) ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อดั่งที่ทราบกันทั่วไปอยู่แล้วนั้น เป็นข้อเสนอที่รัฐบาลไทย ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ไม่ควรทำตาม เพราะเป็นข้อเรียกร้องที่มีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสียหายมากยิ่งขึ้น และอาจจะเสียหายมากถึงกับกลายเป็นการกระทบกระทั่งหรือการรบกันระหว่างทหารของทั้งสองประเทศ

ในความเห็นผม สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับทั้งสองประเทศและสำหรับประเทศไทยเองด้วยก็คือ การมีสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศรวมทั้งกัมพูชาด้วย การมีความสัมพันธ์ที่ดีควรจะเกิดจากการพยายามของทั้งสองฝ่ายที่จะร่วมมือกันในด้านต่างๆ ให้มากขึ้น ทั้งในด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ฯลฯ ซึ่งทั้งสองประเทศมีศักยภาพที่ดีที่จะร่วมมือกันอยู่แล้ว รวมทั้งยังมีพื้นฐานที่ดีจากการที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลและประชาชนของทั้งสองประเทศได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีไว้แล้วด้วย รัฐบาลไทยก่อนการรัฐประหารเมื่อปี 2549 เคยมีนโยบายร่วมมือและช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านให้มากๆ ด้วยแนวความคิดว่ายิ่งประเทศเพื่อนบ้านดีขึ้นเท่าไร เราก็ดีขึ้นด้วยเท่านั้น

ผ่านมาเพียง 4-5 ปีเท่านั้น เรากลับกำลังมีปัญหากับกัมพูชามากขึ้นๆ และกำลังมีความพยายามที่จะผลักดันให้ทั้งสองประเทศขัดแย้งกันจนถึงขั้นรบราฆ่าฟันกันไปเสียแล้ว

ปัญหาเขตแดนระหว่างประเทศนั้นควรแก้ด้วยการเจรจาหารือกัน เหมือนอย่างที่เราทำกับประเทศรอบบ้านเราจนมีผลสำเร็จด้วยดีเสมอมาซึ่งก็รวมถึงกัมพูชาด้วย มาถึงตอนนี้วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายรวมทั้งประเทศไทยเองก็คือการเจรจาหารือ ไม่ใช่ใช้กำลังเข้าใส่กัน การยกเลิกเอ็มโอยู ปี 2543 จึงไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้สองประเทศถอยหลังกลับไปสู่ภาวะที่ตึงเครียดและเสี่ยงต่อการที่ปัญหาจะลุกลามบานปลายโดยไม่เป็นประโยชน์ต่อใครเลย

การถอนตัวจากการเป็นกรรมการมรดกโลกก็เป็นสิ่งที่ไทยไม่ควรทำ เพราะจะทำให้เสียโอกาสในการชี้แจงเรื่องราวต่างๆให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย และไทยก็ไม่ได้มีเรื่องปราสาทพระวิหารอยู่เพียงเรื่องเดียวที่ต้องอาศัยคณะกรรมการนี้ เรายังต้องร่วมมือกับนานาประเทศในเรื่องต่างๆอีกมาก ไทยเราจึงควรแสดงความมีวุฒิภาวะที่พร้อมจะร่วมมือแก้ปัญหาต่างๆ อย่างอารยประเทศเขาทำกัน

สำหรับข้อเสนอข้อที่ 3 ที่เสนอให้ทหารไทยผลักดันประชาชนกัมพูชาให้ออกจากพื้นที่พิพาทนั้น ฟังผิวเผินก็อาจหาเหตุผลมาโต้แย้งได้ยาก เพราะหากไม่ทำก็เหมือนกับยินยอมยกดินแดนตรงนั้นให้กัมพูชาไป แต่ความจริงการจะแก้ปัญหานี้ รัฐบาลไทยควรให้หลักการตามที่กำหนดไว้ในเอ็มโอยู ปี 2543 คือต้องใช้การเจรจาหารือบนพื้นฐานของการพยายามร่วมกันแก้ปัญหาอย่างมิตรต่อมิตรด้วยกัน จะดีกว่าการเผชิญหน้ากันด้วยกองกำลังทหารซึ่งอาจจะบานปลายเสียเปล่าๆ

สรุปว่าผมไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรทั้ง 3 ข้อ ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลไทยจะทำตามข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตร และขอเสนอให้รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยความรอบคอบ พยายามชี้แจงเหตุผลความเป็นมาให้ประชาชนเข้าใจ เคารพสิทธิของประชาชนในการชุมนุมและแสดงความคิดเห็น ไม่ใช้มาตรการหรือวิธีการใดๆ ที่รุนแรงเกินกว่าเหตุต่อประชาชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม

ผมคิดว่าสังคมไทยควรมีการศึกษาทำความเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในกรณีของไทย-กัมพูชากันอย่างจริงจัง เพื่อจะได้มีทางแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม ไม่ไปผสมโรงกับการเคลื่อนไหวที่มีลักษณะคลั่งชาติ ช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของประเทศและความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านไว้บนหลักการที่ถูกต้อง

นอกจากนั้นยังควรช่วยกันติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด บางทีการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรในเรื่องนี้อาจไม่เพียงต้องการให้ไทยกับกัมพูชาขัดแย้งกันมากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่อาจแฝงความพยายามที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่รุนแรงด้วยวัตถุประสงค์ที่ลึกลับซับซ้อนแบบที่หาเหตุหาผลตามปรกติไม่ได้ก็ได้

ถอดรหัสแม้วตาสว่างโฟนอินแฉพลเอก2ผัวเมีย?โค่นอำนาจ กับเจ้าของบริษัทระแวงฆ่าพนักงาน

ที่มา Thai E-News


อ่านดูใจความโดยรวมทั้งหมดดี ๆ และถ้าฟังคลิปเสียงการโฟนอินทั้งหมดของทักษิณด้วยจะพบว่า ครั้งนี้ถือเป็นการแย็บไปที่เป้าสูงเป็นครั้งแรกของทักษิณแล้วนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำว่า "ตาสว่าง"(ซึ่งไม่ค่อยเคยได้ยินจากท่าน) และ คำว่า"เจ้าของบริษัท" (ในขณะที่ อ.สุรชัย ใช้คำว่า "เจ้าของคอกม้า")-
นักท่องเน็ตในกระดานสนทนาInternet Freedom

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
29 มกราคม 2554

คลิปเสียงพ.ต.ท.ทักษิณกล่าวเสวนากับกลุ่มRED IN JAPAN คลิ้ก http://www.mediafire.com/?acna7nffqdh67y3



การโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มายังงาน"ตาสว่างทุกที่ ญี่ปุ่นก็ตาสว่าง"จัดโดย RED IN JAPAN หรือคนเสื้อแดงไทยในประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา ถูกนักสังเกตการณ์ทางการเมืองประเมินว่า เป็นก้าวสำคัญครั้งแรกในรอบกว่า 5 ปีหลังถูกทำรัฐประหารโค่นอำนาจ ที่พ.ต.ท.ทักษิณพูดได้"เฉียดใกล้"ปมปัญหาที่แท้จริงของชาติ เพียงแต่ซ่อนนัยยะเชิงสัญลักษณ์เอาไว้ ที่ไม่ยากจะถูกถอดรหัส

ท่อนแรกคือการกล่าวหาพลเอก 2 ผัวเมีย

อยู่ที่ญี่ปุ่นมียาหยอดตาดีหรืออย่างไรถึงได้ตาสว่าง? ..ความจริงผมไปเห็นมาหลายประเทศ แล้วนึกเสียดายประเทศไทยทำท่ากำลังไปได้ดี แต่ก็เกิดความหวาดระแวงดื้อๆ ทั้งที่ไม่น่าจะเป็น บ้านเมืองวุ่นวายทุกวันนี้ทั้งหมดมาจากพลเอกสองคน คนหนึ่งเป็นผัว อีกคนเป็นเมีย ยศพลเอกทั้งคู่ พลเอกผัวโกรธผมที่โดนผมเตะขึ้นหิ้งข้างบน จากผบ.ทัพไปเป็นผบ.สูงสุด ส่วนพลเอกเมียคอยจะแก้โผ ผมไม่ยอมให้แก้ก็โกรธผม แล้วก็ไปเพ็ดทูลให้บ้านเมืองวุ่นวาย ต่อมาผัวได้เป็นนายกฯ เมียได้แก้รธน.เพื่อให้ตัวเองได้มีโอกาสเป็นใหญ่อีกครั้ง ก็แย่ครับบ้านเมือง


ตามนัยนี้หากถอดรหัสออกมาสำหรับพลเอกคนผัวตามที่ทักษิณกล่าวหานั้น ผู้ที่อาจจะเข้าข่ายน่าจะเป็นพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เพราะเคยถูกรัฐบาลทักษิณให้พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกขึ้นเป็นทหารสูงสุด และต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ปัญหาว่าพลเอกที่เป็นเมียหมายถึงใคร? เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า พลเอกสุรยุทธ์สมรสกับ พันเอกหญิง ท่านผู้หญิงจิตรวดี จุลานนท์

พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินผิดไหม เพี้ยนจากพันเอกเป็นพลเอกหรือไม่? คำตอบคือ ไม่น่าจะเพี้ยน เหตุเพราะว่า

ประการหนึ่ง ในการโฟนอินเที่ยวนี้ได้ย้ำว่าพลเอกอยู่ถึง 4 ครั้ง และย้ำว่าเป็น"พลเอกทั้งคู่" ขณะที่ภรรยาพลเอกสุรยุทธ์นั้นมียศเพียงพันเอก

อีกประการหนึ่ง ในการโฟนอินได้ระบุว่า พลเอกคนเป็นเมีย คอยจะแก้โผโยกย้าย เมื่อไม่ยอมก็โกรธ และภายหลังพลเอกคนเป็นเมียมาแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ตนเองมีโอกาสเป็นใหญ่อีกครั้ง ...ก็ยิ่งไกลห่างจากพันเอกหญิงท่านผู้หญิงจิตรวดีที่ไม่เคยมีข่าวทำนองนี้

แต่หากเป็นพลเอกอีกรายที่ว่ามีบารมีและชอบแก้โผโยกย้ายทหารตำรวจ และแก้ไขรัฐธรรมนูญถึงขั้นให้ตนเองใหญ่ขึ้นมากหลังรัฐธรรมนูญปี 2550 ก็นับว่าใกล้เคียงกับบุคคลนี้มาก

นักท่องเวบบอร์ด กระดานสนทนาการเมืองรายหนึ่ง ถอดรหัสด้วยการใส่รหัสอีกชั้นว่า

555 พลเอกผัว - เขายายเที่ยง
พลเอกเมีย - คงเป็นตุ๊ดเฒ่า 555


ส่วนทักษิณจะมีนัยยะตามนี้หรือไม่...ไม่ทราบ! เพราะหากจะหมายถึงตามนั้นก็นับว่ามีผลเสียหายต่อพลเอกสุรยุทธ์ที่อาจทำให้สังคมเข้าใจท่านไปในทางที่เป็นลบด้วย


ท่อนสองคือการกล่าวหาเจ้าของประเทศขี้ระแวง เจ้าของบริษัทฆ่าพนักงาน


สิ่งที่เขาทำกันภาษิตโบราณเรียกว่าวัวพันหลัก ก็พันคอตัวเองเข้าเรื่อย พันไปพันมา ทำผิดแล้วผิดอีก ทำเรื่องผิดไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรมตลอด เวลานี้ที่เลวร้ายก็คือว่า เปรียบเหมือนบ้าน อยู่ดีๆไม่มีโจรผู้ร้าย มีตำรวจเฝ้าอยู่ดีๆ ไล่ตำรวจออกเอาโจรมาเฝ้า บ้านเลยถูกโขมยของ คอรัปชั่นกันทุกเรื่อง

นี่คือความเลวร้ายในรอบ4-5ปีมานี้ เหตุเพราะเทียบเหมือนบ้าน เจ้าของบ้านระแวงตำรวจ ไล่ตำรวจออก ให้โจรมาเฝ้าแทน มันก็ขโมยเจ้าของบ้าน ก็ปล้นเจ้าของบ้าน อีกหน่อยก็คงข่มขืนเจ้าของบ้าน

เวลานี้ในแง่ส่วนตัวผมเฉยๆ เรื่องกลับเมืองไทย ถ้าไม่ห่วงพี่น้องประชาน ผมก็ทำมาหากินไปได้ สบายๆไม่เดือดร้อนอะไร แต่สงสารชาวบ้านที่ต้องลำบาก จู่ๆเจ้าของประเทศระแวงลูกจ้าง ไล่ลูกจ้างออก เปลี่ยนลูกจ้างไหม่ ไม่ชอบลูกจ้างคนนี้ ไม่ชอบพนักงาน ให้พนักงานออก แจ้งข้อหาพนักงานให้ออก ฆ่าพนักงานมั่ง (เน้นเสียงตรงคำว่าฆ่า) เจ้าของบริษัทไประแวง เสียดายประเทศจริงๆเป็นห่วงพี่น้องคนไทยมากๆ"


ในท่อนหลังนี้จะพบว่าการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณมีคำเปรียบเปรยอยู่ 3 คำหลักๆ คำแรกคือประเทศ-เจ้าของประเทศ,บ้าน-เจ้าของบ้าน,เจ้าของบริษัท-ลูกจ้าง,พนักงาน

ท่อนที่ต้องโฟกัสคือ "จู่ๆเจ้าของประเทศระแวงลูกจ้าง ไล่ลูกจ้างออก" และ"ฆ่าพนักงานมั่ง"

โดยนัยตรงๆแล้ว"เจ้าของประเทศที่ไล่ลูกจ้างออก"คือใคร? ...พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ไล่ทักษิณออกใช่หรือไม่ หรือเป็นคณะทหารคมช.นำโดยพลเอกสนธิ บุณยะรัตกลิน ที่ทำการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549?

หรือเป็นไปตาม ความรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 3 กำหนดว่า"อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้"

คือ"ปวงชนชาวไทย ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย" หรือพูดแบบชาวบ้านคือ"เป็นเจ้าของประเทศ"ได้ไล่ลูกจ้างคือทักษิณออกใช่หรือไม่?

หรือหากไม่ใช่ แล้วใครอีกที่จะเป็นเจ้าของประเทศ?

ส่วนเรื่องเจ้าของบริษัท"ฆ่าพนักงานมั่ง"ตามเสียงที่พ.ต.ท.ทักษิณเน้นในการโฟนอินนั้น คงต้องให้DSIได้สอบสอบสืบสวนกันต่อไปว่า เป็นบริษัทไหนที่มีพฤติการณ์ดังที่ทักษิณกล่าวหา

หากเหลือบ่ากว่าแรงที่DSIจะทำคดีบริษัทนี้ได้ ก็อาจต้องพึ่งศาลโลก ซึ่งทักษิณกล่าวในการโฟนอินคราวนี้ว่า โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายฝรั่งกำลังไปใช้ประเทศญี่ปุ่นเป็นที่แถลงข่าวยื่นฟ้องต่อศาลโลกในวันที่ 31 มกราคมนี้...

ก็อาจขอแรงให้พ่วงคดีบริษัทปริศนานี้ไปด้วยเสียเลย