ที่มา Thai E-News
ภาพโดย CBNPress/tik4u
ที่มา CBNPress
14 มีนาคม 2552
คนรักประชาธิปไตย ต้องช่วยกันขับไล่ เผด็จการ
ที่มา Thai E-News
ภาพโดย CBNPress/tik4u
ที่มา CBNPress
14 มีนาคม 2552
ที่มา Thai E-News
ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ภาพโดย honeymoon
14 มีนาคม 2552
ภาพข่าวจากเหตุการณ์ช่วงเช้าวันนี้ (14 มี.ค.) กลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนประมาณ 1000 คน ได้รวมตัวกันบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อประท้วงการมาเยือนของนายอิสสระ สมชัย รมต.ว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่ผู้ประท้วงต้องการขับไล่ เนื่องจากมีที่มาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะัได้รับการสนับสนุนทั้งจากกลุ่มศักดินาอำมาตยาธิปไตย ภายใต้การดำเนินการของทหาร พันธมิตร และตุลาการ
ทางตำรวจได้จัดชุดควบคุมฝูงชนเพื่อรักษาความปลอดภัยจำนวนหลายร้อยนาย แต่ไม่มีรายงานความเสียหายใดๆเกิดขึ้นจากการประท้วงครั้งนี้
หมายเหตุ: นอกจากเหตุการณ์ที่จังหวัดศรีสะเกษวันนี้แล้ว เมื่อวานนี้ทางเสื้อแดงอุบลฯ ภายใต้กลุ่มเสรีชนอุบลฯ ยังได้จัดการประท้วงต้อนรับนายวิทยา แก้วภราดัย อีกด้วย
ที่มา thaifreenews
โดย : tik-tok
ภาพบรรยากาศ แดงทั้งแผ่นดิน พระนครศรีอยุธยา ช่วงบ่าย 4โมง 15/3/2552 ช่วงที่ 5 แกนนำทั้งหมดขึ้นเวที
http://www.cbnpress.com/index.php/2008-11-07-19-28-16/34-headline/1211--1532552
คลิปวีดีโอข่าวการเคลื่อไหวของคนเสื้อแดงวันนี้
บรรยากาศการชุมนุมของชาวเสื้อแดง แดงทั้งแผ่นดิน อยุธยา ช่วงบ่าย
http://www.cbnpress.com/index.php/component/seyret/?task=videodirectlink&id=1390
บรรยากาศการชุมนุมของชาวเสื้อแดง แดงทั้งแผ่นดิน อยุธยา ช่วงเช้า
http://www.cbnpress.com/index.php/component/seyret/?task=videodirectlink&id=1389
เสื้อแดงไล่ปาไข่และขวดน้ำรถของ สุเทพเทือก ที่ปทุมธานี
http://www.cbnpress.com/index.php/component/seyret/?task=videodirectlink&id=1388
เสื้อแดงขับไล่รัฐมนตรีที่ศรีษะเกศ
http://www.cbnpress.com/index.php/component/seyret/?task=videodirectlink&id=1387
แต่แล้วก็มีชื่อติดโผนาทีสุดท้าย
สี่โมงเย็นวันเดียวกัน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หัวหน้าทีมเชือด พรรคเพื่อไทย แถลงยืนยัน มติพรรคเพื่อไทยจะอภิปรายไม่ไว้วางใจและยื่นถอดถอนนายชวรัตน์เพิ่มอีก 1 คน
เนื่องจากมีหลักฐานเพิ่มเติม สามารถโยงใยเอาผิดถึงตัว รมว.มหาดไทยได้
“ชวรัตน์” สะเดาะเคราะห์ไม่หลุด
แต่ที่ชื่อขึ้นป้ายเด่นมาตลอด ไม่เคยหลุดโผเลยก็คือนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ในคาถา “เนวิน”
ตัวละครสำคัญในท้องเรื่อง “สาวไส้คนกินงบฯ” ที่นายสุกิจ เจริญรัตนกุล อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กำลังฉายให้คนทั้งประเทศดู
และเป็นอะไรที่เดาสคริปต์ได้ ตามบทที่ฝ่ายค้านใส่ไว้ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายบุญจงโดนข้อหาก้าวก่าย แทรกแซงการบริหารงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อประโยชน์
ตัวเองและพวกพ้อง
แต่ที่ยังจับทางกันไม่ถูก ฝ่ายค้านยังกำข้อมูลทีเด็ดเอาไว้แค่ไหน
เพราะแว่วๆมีเรื่องที่นายหน้าของบิ๊กมหาดไทย บินโฉบไป “ตีเมืองขึ้น” ในแถบจังหวัดภาคอีสานและภาคตะวันออก ตั้งโต๊ะเจรจากับผู้บริหาร อบต. อบจ. และผู้รับเหมาก่อสร้าง ขอรับหัวคิวเป็นเงินสด เพื่อแลกกับใบอนุมัติงวดงานของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
งานนี้เล่นกัน “ถึงตาย” ไม่ใช่แค่ตีกินตามกระแส
ที่แน่ๆโดยอาการยึกยักของ “ปู่ชัย” นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะ “ชิดชอบ” ผู้พ่อ รีบตั้งแง่ใส่ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ที่ยื่นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 เป็นการขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ และยื่นตามมาตรา 159 ที่เป็นการขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
ตรงนี้นักกฎหมายได้ตั้งข้อสังเกตว่า ส.ส. 1 คนจะร่วมลงชื่อเพื่อเสนอญัตติ 2 ญัตติได้หรือไม่ เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญเขียนก้ำกึ่งอยู่
หากมีปัญหาจริงอาจต้องเสนอให้ตีความในข้อกฎหมาย ถ้าพบว่าญัตติมีปัญหา หรือไม่ถูกต้อง ก็จะส่งให้ฝ่ายค้านไปแก้ไขแล้วเสนอกลับเข้ามาใหม่
สบช่องทำลายจังหวะ ยื้อเกมเชือดช่วยลูกก๊วนเพื่อนเนวิน
แต่ที่สุดแล้วก็เป็นนายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสำนักงานสภาผู้แทนราษฎร ยืนยัน การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ฝ่ายค้านเสนอมาคนละฉบับนั้น เป็นการยื่นญัตติคนละมาตรากัน ซึ่งสามารถทำได้ เนื่องจากในอดีตก็เคยมีการยื่นญัตติในลักษณะนี้มาแล้ว
สรุปว่า บล็อกยังไงก็ไม่อยู่
โดยรูปการณ์มาถึงชั่วโมงนี้ไม่มี “ซูเอี๋ย” ระหว่าง “ก๊วนเนวิน” กับ “นายใหญ่”
เช่นเดียวกับอาการ “ฮั้วแตก” ของขาใหญ่ม็อบพันธมิตรฯกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่นับวันจะเปิดเกมซัดกันแรงขึ้นเรื่อยๆ
จากฉายา “รัฐบาลคิงเพาเวอร์” มาถึงคิวแฉดังๆ รัฐบาลนี้เกิดขึ้นได้เพราะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. บีบบังคับนักการเมืองพรรคเพื่อไทย ให้ย้ายขั้วไปสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้เป็นนายกฯ
ตอกย้ำข้อมูลเก่าที่เคยเป็นข่าว จากปากคนวงในด้วยกันเอง
และก็ให้บังเอิญพอดี ข่าวนี้ออกมาในช่วงที่ “เด็กสองคน” กำลังเดินสายขึ้นเวทีอินเตอร์ นายกฯอภิสิทธิ์ กอดคอนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง บินไปเยือนถิ่นผู้ดีอังกฤษ คืนสู่เหย้าในฐานะศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
และโดยคิวที่ “อภิสิทธิ์” จะต้องขึ้นพูดบนเวทีในหัวข้อกระบวนการประชาธิปไตยในเมืองไทย ท่ามกลางข่าวนักวิชาการผู้ดีเคลื่อนไหวคัดค้านนายกฯไทยพูดเรื่องกระบวนการประชาธิปไตย นัยว่า ที่มาของรัฐบาลขัดกับเรื่องที่พูด
สอดรับกับความเคลื่อนไหวของนายใจ อึ๊งภากรณ์ อดีตอาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กำลังหนีคดีอยู่ในอังกฤษ เตรียมรอดักดิสเครดิต
“อภิสิทธิ์” งานเข้าเนื้อๆเลย.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน
ที่มา Thai E-News
โดย สำนักข่าวบลูมเบิร์ก
แปลและเรียบเรียงโดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
14 มีนาคม 2552
สำนักข่าวบลูมเบิร์กนำเสนอข่าวเรื่อง"นักเล่นอินเตอร์เน็ตไทยโดนขังคุกโดยไม่ได้รับสิทธิประกันตัวโทษฐานวิจารณ์สถาบันกษัตริย์" โดยระบุว่านายสุวิชา ท่าค้อ ถูกขังคุกมาครบ2เดือนแล้วในเรือนจำของประเทศไทย เขาถูกตำรวจจับกุมตัวข้อหาหมิ่นพระราชวงศ์ โดยสุวิชากล่าวยืนยันว่า เขาควรได้รับอนุญาตให้แสดงออกความคิดเห็น "เราสามารถที่จะคิดได้อย่างเสรี"สุวิชากล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตา"พวกเขาไม่สามารถจะหยุดความคิดของใครได้ โดยส่งคนเข้ามาขังไว้ในคุก"
ที่มา ข่าวสด
เหล็กใน
ที่มา ไทยรัฐ
มหกรรมศึกซักฟอกครั้งสำคัญในสภาผู้แทนราษฎรกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
หลังจากฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทย เข้าชื่อยื่นเรื่องต่อประธานวุฒิสภา เพื่อขอให้ถอดถอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง
พร้อมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้ วางใจนายกฯ ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร
พ่วงด้วยการยื่นเรื่องถอดถอนและขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลอีก 5 พระหน่อ ได้แก่
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย
โดยคาดว่าจะมีการอภิปรายไม่ไว้ วางใจระเบิดศึกน้ำลายกันในสภาฯได้ในวันที่ 26-27 มีนาคมนี้
สำหรับข้อกล่าวหาของฝ่ายค้าน 7 ข้อ ที่ระบุถึงพฤติการณ์ของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นเหตุแห่งการยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกฯและเป็นหัวเชื้อที่จะนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาฯ ได้แก่
1. การเรียกร้องขอพระราชทานนายกฯตามมาตรา 7 เป็นการตอกย้ำว่านายอภิสิทธิ์ไม่ฝักใฝ่การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2. การเข้าสู่ตำแหน่งของนายอภิสิทธิ์ ไม่เป็นไปตามครรลองระบอบประชาธิปไตย แต่อยู่ภายใต้การชี้นำของคณะบุคคลชั้นสูงบางกลุ่มบางคนผลักดันให้พรรคการเมืองเสียงข้างน้อยเข้ามาบริหารประเทศ
3. มีพฤติกรรมเป็นตัวการ หรือเป็นผู้ให้ หรือผู้สนับสนุน หรือสั่งการกลุ่มพันธมิตรฯที่กระทำการขัดต่อกฎหมายและขัดขวางการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยการเข้ายึดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ และสุดท้ายแต่งตั้งแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรฯเป็นรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรี
4. มีพฤติกรรมจงใจฝ่าฝืนกฎหมายพรรค การเมือง จากการมีส่วนปกปิด ซ่อนเร้น ไม่เปิดเผยการรับเงินสนับสนุนจากบริษัทมหาชน และไม่จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจาก กกต. ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้
5. ปล่อยให้ประเทศเพื่อนบ้านทำถนนบุกรุกยึดครองใช้พื้นที่ดินแดนของไทยเป็นทางขึ้นเขาพระวิหาร
6. ทำเอกสารเท็จแจ้งแก่ กกต.สตูล รับรองนายธานินทร์ ใจสมุทร เป็นสมาชิกพรรคสำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.สตูล ทั้งที่นายธานินทร์ถูก กกต.สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 1 ปี
7. กรณีที่ให้นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง และทีมงาน ประสานไปยังบริษัทเอกชนที่ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ส่งเอส-เอ็มเอสที่เป็นคำพูดของนายกฯ รวมเป็นค่าใช้จ่ายหลายล้านบาท แต่ทางบริษัทได้บริการให้ฟรีแก่นายกฯ เท่ากับได้รับประโยชน์ ฝ่าฝืนกฎหมาย ป.ป.ช.
เบาบาง หน่อมแน้ม หนักหน่วง รุนแรง แล้วแต่สายตาฝ่ายไหนจะมอง?
ถ้าเป็นฝ่ายค้าน ก็ต้องฟันธง “อภิสิทธิ์” ผิดมหันต์ โดน ป.ป.ช.ถอดถอน หลุดจาก เก้าอี้นายกฯแน่
ถ้าในมุมของฝ่ายรัฐบาล ก็ต้องยืนกราน ข้อกล่าวหาเป็นเรื่องเก่า น้ำหนักเบาหวิว ไม่รุนแรงถึงขั้นถอดถอน ไม่ระคายผิว
อยู่กันคนละขั้ว คนละฝ่าย เลยมองแตกต่างกันไปคนละมุมโลก!!!
แต่สุดท้ายแล้ว มุมมองสำคัญที่สุดก็ต้องอยู่ที่ ป.ป.ช.ที่จะเป็นผู้ดำเนินการไต่สวนชี้มูลความผิด ก่อนส่งให้วุฒิสภาลงมติถอดถอน
ถ้า ป.ป.ช.ชี้ว่าไม่มีมูล ข้อกล่าวหาก็ต้องตกไป แต่หากชี้ว่ามีมูลก็อยู่ที่วุฒิสภาว่าจะมีมติถอดถอนหรือไม่ โดยมติถอดถอนต้องมีเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 5
แต่ที่ผ่านมา ส.ว.ยังไม่เคยถอดถอนใครเลยแม้แต่รายเดียว มันเป็นอย่างนี้ซะด้วยซิโยม!!!
“แม่ลูกจันทร์”
ที่มา ไทยรัฐ
บทบรรณาธิการ
รัฐบาลเข้าตาจนแล้วหรืออย่างไร? มีรายงานข่าวว่ากระทรวงการคลังเตรียมออกกฎหมาย เพื่อนำเงินกำไรสะสมจากการขายหวยบนดิน 1.7 หมื่นล้านบาท มาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานสลาก กินแบ่งรัฐบาลหารือเรื่องนี้กับคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้ตีความให้ชัดเจนว่าเงินดังกล่าวอยู่ในสถานะใด
ข่าวที่ว่ารัฐบาลอาจจะเอาเงินกำไรหวยบนดินมาใช้ มาพร้อมๆกับข่าวร้ายต่างๆในแวดวงเศรษฐกิจ เช่น รายงานข่าวที่ว่ากระทรวงการคลังกุมขมับ เพราะเก็บภาษีได้ต่ำกว่าประมาณการถึง 8.8 หมื่นล้านบาท ใน 5 เดือนแรกของปี 2552 คาดว่าปีนี้จะเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ลดลงกว่าแสนล้านบาท และรัฐบาลกำลังเตรียมจะขอกู้เงินอีกถึง 1.4 ล้านล้านบาท
แสดงว่าวิกฤติเศรษฐกิจของโลกขณะนี้ร้ายแรงกว่าที่คิด ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหม่เมื่อ 70-80 ปีก่อน ต้นตออยู่ที่สหรัฐอเมริกา แม้แต่ ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ซึ่งเป็นความหวังของคนอเมริกันและของโลก ก็เอาไม่อยู่ ผู้เชี่ยวชาญบางคนคาดว่าจะต้องทุ่มเงินถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อกอบกู้ แต่สหรัฐฯรวบรวมได้เพียง 1 ล้านล้านดอลลาร์
นักเศรษฐศาสตร์ไทยบางคนมองว่าขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย อันเนื่องมาจากภาวะฟองสบู่ แตกในสหรัฐฯ และลุกลามไปถึงยุโรป เอเชีย ซึ่งรวมทั้งญี่ปุ่นและจีน ซึ่งล้วนเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย จึงทำให้เราขายสินค้าไปต่างประเทศไม่ได้ และได้รับผลกระทบรุนแรง เพราะเราต้องพึ่งพาการส่งออกมากกว่า 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี
ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งก็คือ วิกฤติเศรษฐกิจโลกคราวนี้อาจยืดเยื้อยาวนาน กลายเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหลายปี กระทบต่อเศรษฐกิจไทยรุนแรง และไม่มั่นใจว่าสินค้าด้านการเกษตรหรืออาหาร จะเป็นหลักพิงไม่ให้ไทย ถูกกระทบรุนแรงได้หรือไม่ เพราะการส่งออกอาหารก็ลดลงไม่น้อย มาตรการที่รัฐบาลใช้อยู่ ในขณะนี้ คือการทุ่มเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆโดยรัฐเป็นผู้ลงทุน
กำไรหวยบนดินที่มีอยู่แม้จะไม่มากนัก แต่ก็อาจจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ให้ตกต่ำได้ในระดับหนึ่ง รัฐบาลสุรยุทธ์ ได้เลิกล้มหวยบนดินไปหลายปีมาแล้ว ผลที่ตามมาคือการฉวยโอกาสขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาบ้าเลือด จากคู่ละ 80 บาท เป็น 90, 95, 100 จนถึง 120 บาท พร้อมกับการเฟื่องฟูของหวยใต้ดิน และความร่ำรวยของเจ้ามือหวยเถื่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐอาจมีเอี่ยวด้วย
ไหนๆรัฐบาลก็คิดที่จะเอากำไรหวยบนดินไปใช้ ทำไมจึงไม่คิดฟื้นฟูหวยบนดินอย่างตรงไปตรงมา เพราะดูเหมือนว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายแล้ว ในสมัยรัฐบาล คมช. รัฐบาลไม่ควรทำเป็น “เกลียดตัวแต่กินไข่” รีด “ภาษีบาป” จากคอเหล้าและผู้สูบบุหรี่ ไปอุ้มทีวีสาธารณะ เหล้าก็อบายมุข หวยก็อบายมุข สลาก กินแบ่งก็เป็นอบายมุข และคนไทยก็ยังเล่นหวยบนดินกันอยู่
ที่มา ไทยรัฐ
สำนวน เกลียดขี้ขี้ตาม เกลียดความความถึง ที่มีความหมายว่า เกลียดสิ่งไหน ได้สิ่งนั้น สมัยนี้ไม่ค่อยมีคนพูดกันแล้วครับ
กาญจนาคพันธุ์ เล่าไว้ใน “หนังสือสำนวนไทย” ว่า ที่มาของสำนวนนี้มาจากนิทาน
ชายคนที่หนึ่ง อยู่ในหมู่บ้านที่มีแต่คนหัวหมอ วันๆก็ตั้งแง่ กฎหมาย หาเรื่องฟ้องร้องเป็นความกัน เกิดความเบื่อหน่ายถึงขั้น หนีไปอยู่ในป่า ใช้ชีวิตอย่างคนป่า
ตกค่ำก็ปีนขึ้นไปนอนบนต้นไม้
ชายคนที่สอง เป็นคนอนามัยจัด แต่อยู่ในอีกหมู่บ้านที่ผู้คนไม่ยอมทำส้วมไว้ขี้ พอปวดก็เดินไปขี้ เรี่ยราดเหม็นคลุ้งไปทั้งหมู่บ้าน นานเข้าก็ทนไม่ไหว เดินหนีเข้าป่า ตั้งใจจะอยู่ในป่า
แต่ยามนอนก็เลือกนอนโคนต้นไม้ ปะเหมาะ...เป็นต้นไม้ที่ชายคนแรกนอนอยู่ข้างบน
เช้ามืด ชายเกลียดความปวดท้องขี้ คิดว่าอยู่บนต้นไม้ไม่มีใครเห็น ก็ขี้ลงมา ชายคนเกลียดขี้กำลังนอนสบาย เปรอะเลอะเทอะไปทั้งตัว
ชายเกลียดขี้โกรธถึงที่สุด อุตส่าห์หนีมหกรรมขี้มาจากหมู่บ้าน มาเจอขี้บนต้นไม้เข้าอีก คุมตัวชายเกลียดความไปในเมือง ฟ้องร้องต่อขุนนางผู้ใหญ่
ชายเกลียดความคับแค้นเต็มที อุตส่าห์หนีความไปอยู่บนต้นไม้ ก็ยังมีเรื่องถูกฟ้องร้อง
นิทานเรื่องนี้จบลง ตรงชายเกลียดความและชายเกลียดขี้ ไม่รู้จะทำอะไรด้วยกันทั้งคู่
สำนวน เกลียดขี้ขี้ตาม เกลียดความความถึง ไม่เกี่ยวกับเรื่องราวปัจจุบัน ผมอ่านแล้ว ขออนุญาตบันทึกไว้ให้ลูกหลานช่วยกันจดจำ เผื่อใช้ในวันหน้า
ส่วนสำนวนที่เข้ายุคเข้าสมัย ก็ “เกลียดตัวกินไข่” ที่อาจารย์กาญจนาคพันธุ์ ท่านอธิบายความหมายว่า เกลียดตัวเขา แต่อยากได้ผลประโยชน์จากเขา นั่นปะไรครับ
สำนวนนี้มีตัวอย่างมากมาย แต่อธิบายด้วยสำนวน “เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” น่าจะเข้าใจได้มากกว่า ปลาไหลตัวเหมือนงู คนพวกหนึ่งเกลียดงู จึงรังเกียจปลาไหลไปด้วย
แต่เมื่อมีคนเอาปลาไหลมาแกง กลิ่นน้ำแกงหอมฉุยชวนกิน ก็ทนไม่ไหว แทนที่จะตักเนื้อปลา
ก็เลี่ยงไปตักน้ำแกงซด
ท่านนายกฯอภิสิทธิ์ เล่นบทเสี่ยสั่งลุย แจกเงินคนจน แจกเบี้ยต่อไส้ให้คนแก่ ให้เงินเดือนอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน ทั้งที่ใช้เขาฟรีมานานแสนนาน ฯลฯ
แจกเพลินพักใหญ่ แล้วดูจะเพิ่งรู้สึกตัวว่า เงินทองหมดจากท้องพระคลัง
เร่งสั่งรีดภาษี แรกมีข่าวจะขึ้นภาษีผักบุ้ง เอ๊ย! น้ำชา กาแฟ แต่พอถูกทักเข้า ก็หันทำไม่รู้ไม่ชี้รีดภาษีน้ำมัน นี่คือที่มาราคาน้ำมันตลาดโลกลด แต่ราคาน้ำมันเมืองไทยขึ้น
รีดเต็มที่แล้ว แต่กระนั้นก็ยังหาได้ไม่พอ ข่าวล่า...ท่านตั้งใจจะเอาเงิน 1.7 หมื่นล้าน เงินที่ได้จากหวยบนดิน ที่ค้างอยู่กองสลาก...เอามาใช้
ผมแก่แล้ว ความจำย่ำแย่เต็มที เดินไปถามเพื่อนนักข่าวการเมือง
เพื่อนหัวเราะ! แล้วก็บอกว่า คนที่ช่วยกันหาเงินก้อนนี้ ตั้งแต่หัวยันหางอยู่ในรัฐบาลทักษิณ ถูกฟ้องเหมาเข่งทั้ง ครม. หาว่าทำผิดกฎหมาย ตอนนี้ยังเป็นคดีความคาศาล
เรื่องแบบนี้ จะใช้สำนวนเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ก็ยังเหมาะเจาะเหมาะใจไม่พอ เพราะที่กำลังทำกัน มันเข้าตำรา เกลียดปลาไหล แต่เผลอกินทั้งน้ำแกง กินทั้งเนื้อปลาไหล
หล่อเท่แค่ไหน ยามหิวตาลาย ก็กินไม่เลือก...เหมือนๆกัน.
กิเลน ประลองเชิง
หลังจากชักเข้าชักออกอยู่หลายรอบ สุดท้ายพรรคเพื่อไทยก็ตัดสินใจยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคลรวม 6 คนคือนายกฯ และรัฐมนตรีอีก 5 คนเรียบร้อยไปแล้ว ก่อนหน้านี้ได้ยื่นถอดถอนนายกฯไปแล้ว ด้วยความผิดพลาดบกพร่อง 7 ข้อหา
และที่แน่นอนมีการเสนอชื่อ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” เป็นนายกฯ
เมื่อครบกระบวนการต่างๆแล้วก็อยู่ที่รัฐบาลจะกำหนดให้วันไหนเป็นวันซักฟอก ซึ่งมีการกำหนดคร่าวๆแล้วว่าน่าจะเป็น 26-27 มี.ค. เวลา 2 วันนั้นฝ่ายค้านบอกว่า เหลือเฟือเพราะสามารถที่จะอภิปรายได้ครบถ้วนกระบวนความ
การถอดถอนนายกฯ 7 ประเด็นนั้นคงเป็นเรื่องของนายกฯที่จะไปแก้ต่างกับ ป.ป.ช. แต่การถูกซักฟอกนั้นต้องว่ากันในที่ประชุมสภาผู้แทนฯ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะมีข้อมูล มีทีเด็ดมากน้อยแค่ไหน แม้จะมีเสียงน้อยกว่าคงจะชนะยาก แต่มันก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลมากกว่า เพราะหากข้อมูลเจ๋งจริงก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน
นอกเหนือจากนายกฯที่ถูกซักฟอกจำนวน 14 ประเด็น ซึ่งก็คงจะเป็นภาพกว้างมากกว่าเพราะถ้าไม่อภิปรายนายกฯมันก็ไม่สนุก ไม่เข้มข้นและไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แน่นอนว่านอกจากเรื่องทรัพย์สินแล้ว นัยว่าจะมีเรื่องการใช้เงินจาก กกต.สำหรับการพัฒนาการเมืองผิดวัตถุประสงค์ ที่ฝ่ายค้านระบุว่าจะน็อกได้
แต่ดูเหมือนว่าเป้าจริงๆน่าจะอยู่ที่เงิน 250 กว่าล้านมากกว่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับทีพีไอ ส.ส.ปชป. และพรรคประชาธิปัตย์
สังเกตให้ดีว่าไม่เคยมีระแคะระคายมาก่อนว่าจะมีการยื่นซักฟอกนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และรัฐมนตรีช่วยคลัง แต่เมื่อมีชื่อขึ้นมาก็คงสงสัยว่าทำไมต้องมีชื่อนี้ เพราะปัญหาในการทำงานไม่เคยปรากฏ หรือมีเรื่องอื้อฉาว
คำตอบก็คือ เพราะอดีตของนายประดิษฐ์ที่เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์สมัยที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค และน่าจะเกี่ยวข้องกับเงินบริจาค 250 กว่าล้านนั่นแหละครับ...
พูดง่ายๆว่านายประดิษฐ์จะเป็น “จิ๊กซอว์” สำคัญในกรณีนี้ เพราะคนที่เกี่ยวข้องไม่ได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้เหลือเพียงคนเดียวที่เกี่ยวข้อง แม้จะต่างพรรคก็ตาม
ก็อย่างที่เรื่องนี้ฉาวขึ้นมาปรากฏว่า หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ต่างก็ปฏิเสธเสียงเดียวกันว่าไม่เกี่ยว ไม่รู้ เพราะคนละยุคคนละสมัยกัน
ทีเด็ดของฝ่ายค้านน่าจะอยู่ตรงนี้ และจะมีผลต่อประชาธิปัตย์แน่นอน
นอกจากนั้น ก็มีนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลัง คงว่ากันถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การกู้เงิน ประชานิยมที่ไม่เข้ายุค และการถือครองหุ้น คงเป็นสีสันเพื่อเพิ่มน้ำหนักการบริหารของนายกฯมากกว่า
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งมีการ “จองกฐิน” ล่วงหน้ามานานแล้วว่าด้วยความเกี่ยวพันกับพันธมิตรฯ และการปิดสนามบินขึ้นอยู่กับคำตอบของรัฐมนตรีมากกว่า
อีก 2 คนคือ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล มท.1 และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยมือขวาของนายเนวิน ชิดชอบ นอกจากปัญหาส่วนตัวที่ไปแจกเงิน แจกนามบัตร การเลือกตั้งซึ่งคดียังค้างอยู่ที่ กกต.
แต่เรื่องใหญ่ก็คงเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ควบคุมทุกอย่าง โดยเฉพาะกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งมีงบประมาณหลายหมื่นล้าน
ยิ่งอธิบดีกรมนี้เพิ่งถูกย้ายด่วน เพื่อไม่ให้ลงนามคำสั่งต่างๆว่ากันว่า 3,000 กว่าเรื่อง แต่ละเรื่องมีเม็ดเงินจำนวนมาก เมื่อถูกเด้งก็คงจะต้องเปิดข้อมูลถึงเหตุว่าทำไมต้องถูกย้าย
ว่ากันว่าฝ่ายค้านได้ข้อมูลเด็ดไปเพียบ ใครทำอะไร ใครสั่งอย่างไร เม็ดเงินเท่าใด ดูท่าว่าจะเป็นอีกเรื่องที่หวังทลายห้างได้เลยทีเดียว
เอาเข้าจริงแล้วมี 2 จุดใหญ่คือเรื่องเงิน 250 กว่าล้าน ที่มุ่งเล่นงานประชาธิปัตย์โดยตรงและมหาดไทยที่จะเล่นงานกลุ่มเพื่อนเนวินให้อยู่หมัด ไม่ใช่แค่ซักฟอกตามฤดูกาลแล้ว
แค่ 2 เรื่องนี้เล่นเอารัฐบาลกินไม่ได้นอนไม่หลับเหมือนกัน.
“สายล่อฟ้า”
ที่มา เดลินิวส์
วิกฤติเศรษฐกิจทำให้อาชีพรับจ้างทวงหนี้เฟื่องฟูมาก บางแห่งประกาศรับทีเดียว 200 อัตรา เป็นภาพสะท้อนวิถีชีวิตของคนไทยที่น่าเศร้ามาก ยิ่งหนี้นอกระบบ ยิ่งน่าห่วง
มีวิธีทวงหนี้ที่ป่าเถื่อนโหดอำมหิตมาก เข้าไป ฉุดลูกสาวในมุ้งมาใช้หนี้ก็ มี เอามีดตัดนิ้วขาดเหมือน ยากูซ่าก็มีมาแล้ว !!!
วันนี้ มีจดหมายเข้ากับเหตุการณ์พอดี คุณพัชรินทร์ เขียนมาระบายความอัดอั้นตันใจ ดังนี้
“คนใกล้ชิดดิฉัน ถูกชายหญิงรวม 8 คนรุมล้อมรถ ชาย 2 คนฉุดกระชากลากถูลงจากรถ อีกคนชิงกุญแจรถไปท่ามกลางสายตาประชาชนย่าน 4 มุมเมืองที่นึกว่าถูกปล้นทรัพย์ เพราะเพิ่งออกจากธนาคาร จึงร้องเรียกให้คนช่วย ชายกลุ่มนี้จึงหยุดการกระทำ
มารู้ว่าเป็นพวกติดตามยึดรถจากบริษัท....(2 พยางค์เป็นต่างชาติ) เมื่อถูกลากลงจากรถแล้ว ชายที่ถูกกระทำจึงแจ้งว่าติดต่อกับบริษัทแล้ว ค้างอยู่เพียง 1 งวดเท่านั้น คุยกันเข้าใจ แต่หันหลังจะขึ้นรถ รถหายไปแล้ว ภายในรถมีโฉนดที่ดิน 23 แปลง กระเป๋าเงิน นาฬิกา สร้อย ของมีค่าหลายรายการ
บริษัทให้ไปรับทรัพย์สินคืนได้ แต่ภายในกระเป๋าไม่มีเงินเหลือ
ดิฉันจึงพาไปแจ้งความชาวต่างชาติที่เป็นผู้บริหารบริษัทกับพวกที่ สภ.คูคต ตั้งแต่ มิ.ย. 51 นำหลักฐานการผ่อนชำระ พยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ และคำแนะนำของนักกฎหมายที่บอกว่า การยึดรถลักษณะนี้ ผิดกฎหมายอาญา ม. 309 และเมื่อมาเกินกว่า 3 คน เข้าข่ายกระทำผิด ม. 340 ในข้อหาปล้นทรัพย์
นี่ก็ผ่านมา 9 เดือน คดีไม่คืบ เพราะพนักงานสอบสวนไปสอบถามเรื่องสัญญาเช่าซื้อจาก สนง.คุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งให้คำตอบกลับมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 51 แต่ที่จริงแล้ว เป็นคดีแพ่งไม่เกี่ยวกัน
ดิฉันสอบถามคดีไปที่ผู้บังคับการตำรวจปทุมธานี ก็ให้รองผู้การตอบสั้น ๆ ว่ากำลังดำเนินการ ซึ่งเป็นคนละประเด็น จนไม่กี่วันนี้ ดิฉันไปขอความเป็นธรรมจาก พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 อีก
หน้าห้องซึ่งเป็นผู้หญิงปฏิเสธที่จะบอกชื่อ คงกลัวจะต้องมารับผิดชอบ ซ้ำเมื่อโทรฯกลับไปถามว่าได้รับเอกสารหรือยัง เธอพูดใส่ว่า ส่ง ๆ มาเถอะ
ดิฉันมีโอกาสพบ พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ฟังคดีเสร็จ เผอิญ ผกก. สภ.คูคต อยู่ตรงนั้นพอดี รับปากพรุ่งนี้จะโทรฯ มาแจ้งผลคดี ผ่านไปเป็นอาทิตย์ เงียบอีกเช่นเคย
คุณดาวประกายพรึกคิดว่า ดิฉันจะพอมีที่พึ่งที่ไหนได้อีกไหมคะ”
จดหมายคุณพัชรินทร์ลงท้ายน่าคิด เห็นสโลแกนตำรวจมีว่า ตำรวจไทยอยู่ที่ไหน ประชาชนอุ่นใจที่นั่น อย่าให้กลายเป็น ตำรวจไทยอยู่ตรงไหน ประชาชนทุกข์ใจที่นั่น เลย
หวังว่า พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ จะเป็นที่พึ่งของคุณพัชรินทร์อีกครั้ง ยังไงก็รบกวนฝากไว้ด้วย.
ดาวประกายพรึก
ที่มา manaotoon
นับตั้งแต่กระทรวงมหาดไทยออกบัตรประจำตัวประชาชนชนิดใหม่
ที่เรียกกันว่าสมาร์ทการ์ดนั้น เดี๋ยวนี้บัตรเดียวใช้ได้ทุกอย่าง
บัตรประจำตัวผู้เสียภาษีถูกยกเลิกบัตรรักษาพยาบาลไม่ต้องมี
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคหรือไม่ก็ตาม
เรื่องต่อไปนี้เกิดขึ้นกับ บุญโฮม แต่ไม่แน่...
อาจเกิดขึ้นกับคุณด้วยก็ได้.........
กริ๊งงงง....กริ๊งงงง.....กริ๊งงงง....กริ๊งงงง...
พนักงาน : สวัสดีค่ะ พิซซ่าเวิลด์ ดิฉันสายคนึง
ยินดีรับใช้ค่ะ
บุญโฮม : ขอสั่งพิซซ่าหน่อยครับ
สายคนึง : กรุณาแจ้งเลขประจำตัวประชาชนของคุณหน่อยค่ะ
บุญโฮม : อืม์ม์ม์...เดี๋ยวๆ... ถือสายรอสักครู่ อ้าาา...
88971003542864
สายคนึง : คุณบุญโฮม ใช่ไหมคะ ? คุณอยู่บ้านเลขที่ 39/7512
ซอยวิภาวี 47แขวงทุ่งกาหลง เขตดอนกรุง หมายเลขโทรศัพท์
บ้าน0299765651 หมายเลขที่ทำงาน 0201184927
เบอร์มือถือ 0798052473คุณโทรมาจากบ้านใช่ไหมคะ ?
บุญโฮม : เอ๊ะ นี่คุณรู้ได้อย่างไร ? รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคล
ของผมด้วย
สายคนึง : สายโทรศัพท์ของเราเชื่อมกับระบบฐานข้อมูลแห่งชาติค่ะ
ขอโทษคุณจะสั่งอะไรคะ ?
บุญโฮม : ขอสั่งพิซซ่าทะเลสองถาด
สายคนึง : ไม่ได้ค่ะนโยบายเราจะไม่ยอมให้ลูกค้าสั่งสิ่งที่อาจมี
ผลกระทบต่อสุขภาพของลูกค้าตามประวัติแล้ว
คุณไม่เพียงแต่แพ้อาหารทะเล แต่คุณยังมีความดันโลหิตสูง
และมีระดับคอเรสเตอรอลสูงเกินเกณฑ์อีกด้วย
บุญโฮม : อะไรนะ ? แล้วผมจะกินอะไรได้นี่ ?
สายคนึง : ดิฉันขอเสนอพิซซ่าสมุนไพร ดิฉันเชื่อว่า
คุณต้องชอบแน่ๆเลย
บุญโฮม : คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมต้องชอบ ?
สายคนึง : ก็เมื่ออาทิตย์ที่แล้วคุณยังไปยืมหนังสือ สมุนไพรไทย
และสมุนไพรยาอายุวัฒนะ จากหอสมุดแห่งชาติ นี่คะ
บุญโฮม : เอาล่ะๆ ผมยอมแพ้ ขอพิซซ่าสมุนไพรสองถาด
เป็นเงินเท่าไหร่ครับ ?
สายคนึง : สองถาดกำลังดีสำหรับคุณ ภรรยา และลูกสาวสองคน
ทั้งหมด 540 บาทค่ะ
บุญโฮม : คุณรับบัตรเครดิตหรือเปล่า ?
สายคนึง : ปกติเรารับบัตรเครดิตค่ะ แต่วันนี้เราขอโทษที่รับบัตร
เครดิตคุณไม่ได้เพราะคุณใช้เต็มวงเงินแล้ว
นอกจากนั้น คุณยังมียอดหนี้ค้างจ่ายตั้งแต่พฤศจิกายนปีที่แล้ว
อีก 24,754 บาท นี่ไม่รวมค่าผ่อนบ้านที่ยังค้างชำระ
อีกสองเดือนดังนั้นออร์เดอร์นี้ คุณต้องชำระเป็นเงินสดค่ะ
บุญโฮม : อย่างนั้นผมจะไปกด เอทีเอ็ม เตรียมเงินสดไว้จ่าย
ตอนเด็กมาส่งพิซซ่า
สายคนึง : ดิฉันคิดว่าวันนี้คุณกดไม่ได้แล้วค่ะเพราะคุณกดครบ
จำนวนเงินที่กำหนดแล้ว
บุญโฮม : เอาเถอะๆ คุณให้เด็กมาส่งเดี๋ยวนี้เลย ผมมีเงินสดจ่ายให้
ก็แล้วกันคาดว่าอีกนานเท่าไหร่ ?
สายคนึง : ประมาณ 40 นาฑีค่ะแต่ถ้าคุณรอไม่ไหวคุณจะขี่มอเตอร์ไซค์
มารับเองก็ได้นะคะ
บุญโฮม : หา... คุณว่าอะไรนะ ?
สายคนึง : ก็คุณมีมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าอาร์เอฟ 120 หมายเลขทะเบียน
มยว 093 อยู่นี่คะ ถ้าคุณมารับเองจะเร็วกว่าค่ะ
บุญโฮม : โอเคๆ แล้วโค้ก สองกระป๋องที่จะแถมตามโปรโมชั่น
ยังมีอยู่หรือเปล่า ?
สายคนึง : ตอนนี้เรายังแถมอยู่ แต่ขอโทษค่ะ
เราคงแถมให้คุณไม่ได้เพราะคุณมีประวัติเป็นเบาหวานเรื้อรัง
บุญโฮม : ไอ้.. ? ระยำที่สุด
สายคนึง : ขอโทษค่ะ คุณใช้คำไม่สุภาพอีกทั้งๆที่เคยถูกภาคทัณฑ์
จากศาลเมื่อ 13 มิถุนายน 2547 ในคดีมีปากเสียงกับเพื่อน
ที่มา ประชาไทเวปบอร์ท เขียนโดยคุณ Chaiworamon
ที่มา มติชนออนไลน์
"อภิสิทธิ์"ถึงอังกฤษร่วมประชุม จี 20 แล้ว ได้รับพระราชทานเลี้ยง ที่พระราชวังบักกิ้งแฮม ถกนายกฯเมืองผู้ดีปัญหาเศรษฐกิจ เดินสายบรรยายเพียบ สำนักข่าวนอกรุมขอสัมภาษณ์ แต่เจอ"ไทมส์" ดิสเครดิต ตีข่าวอัดมีที่มาที่ไม่เป็นประชาธิปไตยก่อนสุนทรพจน์ที่ อ็อกซฟอร์ด
"ไทมส์" ดิสเครดิต "มาร์ค" ตีข่าวอัดก่อนสุนทรพจน์ที่ อ็อกซฟอร์ด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ปรากฏว่า หนังสือพิมพ์ The Times ของอังกฤษ ตีพิมพ์บทวิพากษ์ของ นายริชาร์ด ลอยด์ แพร์รีย์บรรณาธิการภาคพื้นเอเชีย ซึ่งเคยเป็นศิษย์ร่วมมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดกับ นายอภิสิทธิ์
นายแพร์รีย์ ระบุว่า ถึงแม้น นายอภิสิทธิ์เป็นนักการเมืองหนุ่มไฟแรงที่มีหน้าตาดี ฉลาดหลักแหลม และเป็นขวัญใจของชนชั้นกลางในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งการที่ นายอภิสิทธิ์เคยเป็นอดีตนักเรียนเก่าของ Eton College โรงเรียนเอกชนชายล้วนชื่อดังระดับโลกของอังกฤษ ร่วมกับนายบอริส จอห์นสัน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนคนปัจจุบัน วัย 44 ปี ซึ่งถือเป็นเพื่อนสนิทของ นายอภิสิทธิ์ ในสมัยนั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะนำมาเป็นปัจจัยดังกล่าวมาเบี่ยงเบนความสนใจของประชาคมโลกจากความจริงอันน่ารังเกียจของสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ที่ทำให้ประเทศไทยกลายสภาพจากการเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเสรีภาพและมีเสถียรภาพมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นประเทศที่มีความวุ่นวายและแตกแยกมากที่สุดในภูมิภาค
นายแพร์รีย์ ยังระบุถึงการผลักดันกลุ่มผู้อพยพชาวโรฮิงยานับพันคนจากพม่าที่หมดหนทาง และสิ้นหวังให้ออกไปพบกับความตายในทะเล การที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยถูกบีบและกดดันให้พ้นจากอำนาจไป
นายแพร์รีย์ยังระบุด้วยว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวนายอภิสิทธิ์ไม่เหมาะที่จะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ Taking on the Challenges of Democracy ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นประชาธิปไตยในวันพรุ่งนี้ที่ออกซ์ฟอร์ด
นายแพร์รีย์ ระบุด้วยว่า นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ไม่ได้เกิดขึ้นจากเจตจำนงของคนส่วนใหญ่ และได้รับการสนับแบบไม่ชอบธรรมจากกลุ่มที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จนได้ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในที่สุด ทั้งกองทัพ รวมทั้งพันธมิตรฯ ซึ่งพันธมิตรฯ นี้เอง
นายแพร์รีย์ ยังระบุอีกว่า นายอภิสิทธิ์ มีความชาญฉลาดมีความสามารถ และมีคุณสมบัติที่ดีครบถ้วนทุกประการ ยกเว้นเพียงอย่างเดียว คือ ความถูกต้องชอบธรรมตามหลักประชาธิปไตย
"มาร์ค" ถึงอังกฤษ สื่อนอกรุมขอสัมภาษณ์
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะที่ออกเดินทางจากประเทศไทยเมื่อกลางดึกวันที่ 13 มีนาคม เดินทางถึงกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษแล้วเมื่อเวลา 07.20 น. วันที่ 13 มีนาคม ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 7 ชั่วโมง จากนั้นเดินทางจากสนามบินฮีธโทรว์ไปถึงที่พัก โรงแรมกรอสเวเนอร์เฮ้าส์ โดยมีผู้บริหารบริษัท เทสโก้เข้าหารือ
ทั้งนี้ ภารกิจแรกของนายกฯเริ่มเวลา 10.00 น. โดยจะเข้าหารือกับนายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิ่ง โดยหยิบยกเรื่องความเชื่อมั่นไทยในสายตาชาวอังกฤษและยุโรปมาหารือ พร้อมเสนอความเห็นของอาเซียนเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจที่จะเสนอต่อที่ประชุมจี 20 ในฐานะประธานอาเซียน จากนั้นนายกรัฐมนตรีจะให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซี
ต่อมาเวลา 12.30 น. ดยุกออฟยอร์ก พระราชทานเลี้ยงรับรองอาหารกลางวัน เพื่อเป็นเกียรติ ที่พระราชวังบักกิ้งแฮม เวลา 15.00 น. จะกล่าวสุนทรพจน์ต่อกลุ่มนักธุรกิจอังกฤษ ในหัวข้อ "การฟื้นฟู สร้างความเชื่อมั่น และขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า" ที่แมนชั่นเฮ้าส์ ซิตี้ออฟลอนดอน เวลา 17.00 น. กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดงาน "Thailand Tourism Meeting" ที่โรงแรมรอยัล แลงคาสเตอร์ ขณะที่เวลา 19.00 น. จะรับประทานอาหารค่ำ ร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ ที่รัฐสภาอังกฤษ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯเดินทางเยือนอังกฤษครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน โดยสำนักข่าวต่างๆ อาทิ บีบีซี, เวิลด์นิวส์, ไฟแนนเชียล ไทมส์ ได้ขอนัดสัมภาษณ์พิเศษ ซึ่งต้องใช้เวลาในช่วงรอยต่อระหว่างงานแต่ละงาน
ก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางว่า ไปเยือนอังกฤษในฐานะประธานอาเซียน ทั้งนี้ เพื่อใช้ในการเตรียมเอกสารสำหรับการประชุมจี 20 ทั้งนี้ ในอดีตอังกฤษอาจจะเชื่อถือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจริง แต่ขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว โดยการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะมีขึ้น น่าจะทำให้ต่างชาติเห็นว่าไทยมีประชาธิปไตย และตนกล้าพูดว่ารัฐบาลนี้เป็นชุดแรกในรอบหลายปีที่พร้อมให้มีการตรวจสอบ
ส่วนกรณี นายใจ อึ๊งภากรณ์ อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ถูกกล่าวหาในคดีหมิ่นสถาบันที่หลบหนีอยู่ที่ประเทศอังกฤษ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มั่นใจว่าจะได้เจอที่อังกฤษหรือไม่ แต่ทราบว่าจะเคลื่อนไหวต่อต้านการเดินทางไปบรรยายของตนที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด "จะได้รู้ว่านายใจเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ที่ขัดขวางการแสดงความเห็นของคนอื่น ทั้งนี้ได้ประสานทางการอังกฤษให้ดำเนินการกับนายใจไว้บ้างแล้ว เพราะนายใจเองก็มีหมายจับอยู่ แม้คดีจะยังไม่ถึงที่สิ้นสุดคิดว่าทางอังกฤษคงไม่ยอมให้นายใจใช้ประเทศของตนเป็นฐานในการโจมตีความมั่นคงของประเทศอื่นแน่" นายอภิสิทธิ์กล่าว
ที่มา thaifreenews
บทความโดย...ลูกชาวนาไทย
ผมได้ยิน ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าออกมาเคลื่อนไหวเพื่อปฎิรูปการเมือง แล้วผมรู้สึกขบขันเป็นอย่างยิ่ง
พวกคุณคิดว่าประชาชนไทยโง่นักหรือครับ ที่จะไม่รู้ว่า วิกฤติการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองไทยครั้งนี้ใครเป็นตัวกลาง ใครเป็นคู่กรณี ใครเป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้งทางการเมือง
ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้ไม่ได้เป็นความขัดแย้งระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคเพื่อไทย หรือความขัดแย้งระหว่าง กลุ่ม พธม. กับกลุ่มคนเสื้อแดง แต่เป็นความขัดแย้งระหว่าง "อำมาตรยาธิปไตย" กับ "ระบอบประชาธิปไตยแบบมวลชน" นักการเมืองไม่ใช่สาเหตุแห่งการขัดแย้งครั้งนี้ นักการเมืองทั้งหลายเป็นเพียงแต่คนแสดงบนเวทีเท่านั้น แต่ไม่ใช่คู่กรณี
คู่กรณี คือ คนที่เขารู้กันทั่วประเทศ แต่ห้ามพูดนั่นแหละ หากไม่ยอมรับความจริง คิดว่าชาวบ้านโง่ แล้วพยายามหลอกตัวเองว่าเป็นกลาง มันก็ไม่มีทางแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ได้
สถาบันพระปกเกล้านั้น เป็นองค์กรที่เป็น "ตัวแทนของอำมาตรยาธิปไตย" โดยแท้ เป็นแหล่งซ่องสุมของบริวารอำมาตย์โดยตรง และ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโน คือ ลูกสมุนสำคัญของอำมาตรยาธิปไตยเลยทีเดียว การเสนอตัวเองมาเป็นคนกลางเพื่อแก้วิกฤติการณ์ทางการเมือง คือ "ความหน้าด้าน" อย่างเห็นได้ชัด ยังหลงตัวเองอยู่อีกหรือว่า ไม่มีใครรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมการเมืองครั้งนี้ของอำมาตรยาธิปไตย
ตอนนี้ผมไม่คิดว่าประเทศไทยจะมีคนกลางแล้ว และสังคมไทย ไม่มีผู้ใหญ่ที่ทั้งสองฝ่ายให้ความเคารพอีกต่อไป ดังนั้น การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ตัวการแห่งความขัดแย้งทั้งหลาย ที่เป็น "ตัวการจริงๆ " จะต้องแสดงความจริงใจออกมาก่อนว่าต้องการแก้ไขปัญหาครั้งนี้
การเสนอตัวเองเข้ามาของ สถาบันพระปกเกล้า ผมแทบจะมองออกเลยว่า รัฐธรรมนูญที่ออกมาจะเป็นอย่างไร มันคงเป็นรัฐธรรมนูญ "ระบอบ 70/30 " แบบเนียนๆ นั่นแหละครับ เป็นรัฐธรรมนูญที่ สงวนอำนาจของอำมาตยาธิปไตยเอาไว้ และไม่เคารพในอำนาจของปวงชนอย่างแท้จริง คงมีองค์กรอิสระที่ท้ายสุดแล้วที่มาขององค์กรเหล่านี้ คือ ตัวแทนของอำมาตยาธิปไตย ที่เข้ามา "ขัดขวางอำนาจของปวงชน" นั่นเอง แทบจะเดาได้เลยว่ามันจะมีหน้าตาออกมาเป็นอย่างไร
รัฐธรรมนูญที่ไม่เคารพในอำนาจของปวงชน ให้อำนาจพวกที่มาจาก การแต่งตั้ง หรือจะเรียกอย่างโก้หรูว่า "สรรหา" ที่จริงก็ สรรหามาจากกลุ่มอำมาตรยาธิปไตยนั่นแหละ ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนนัก รัฐธรรมนูญแบบนี้ ก็คงไม่ต่างจาก รธน.ปี 50 ที่มาจาก คมช. นั่นแหละ
อันที่จริงแล้ว ตัวของ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโนเอง ก็ไม่ได้มีเกียรติหรือศักดิ์ศรีเพียงพอที่จะเข้ามาเป็นคนนำการปฎิรูปการเมืองครั้งนี้ การยื่นหนังสือถึงนักวิชาการในมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อให้เข้าไปร่วมมือกันปฎิรูปการเมืองนั้น ผมไม่คิดว่า “นักวิชาการในมหาวิทยาลัย” ยุคนี้จะมีเกียรติพอที่จะเป็นผู้นำในการปฎิรูปทางการเมือง เพราะคนเหล่านี้ แท้ที่จริงแล้วก็ขายตัวให้กับอำมาตยาธิปไตย ไปจนหมดสิ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอธิการบดีนิด้า หรือ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คนเหล่านี้ “ไร้เกียรติในทางวิชาการ” แทบทั้งสิ้น เพราะพวกเขาเข้าไปสยบต่อ คณะรัฐประหาร สยบต่ออำมาตยาธิป แต่ยังจะเสนอหน้าเข้ามาปฎิรูปทางการเมือง
ความขัดแย้งทางการเมืองไทยครั้งนี้ ในความคิดเห็นของผมแล้ว มันไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งทางชนชั้นเท่านั้น แต่มันคือ การพัฒนาการทางการเมือง ของสังคมที่กำลังเคลื่อนตัวจากสังคมเกษตรกรรม เข้าสู่ความเป็นสังคมอุตสาหกรรม ประชาชนทั่วไปที่มีสิทธิในการเลือกตั้ง เริ่มเรียนรู้ในอำนาจของตน และเลือกตั้งตามผลประโยชน์ของชนชั้นตน เช่น คนรากหญ้าก็เลือกพรรคที่มีนโยบายสนับสนุนพวกเขา เหมือนการทุ่มคะแนนให้กับพรรคไทยรักไทย ของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน สังคมไทยที่มีการโปรประกันดากันมาหลายทศวรรษ เกี่ยวกับ “ความศักดิ์สิทธิ์” บารมี หรือที่ ประเทศจีนยุคเหมาเซตุง เคยโปรประกันดายกยอเหมาเซตุง จนเลิศเลอ รวมๆ แล้วเรียกว่า “ลัทธิบูชาตัวบุคคล” หลายทศวรรษมานี้ ประเทศไทยเหมือนอาณาจักรทางศาสนาของยุโรปในยุคกลางเลยทีเดียว ที่มีการบูชาพระเจ้า ใครขัดแย้งต่ออาณาจักรทางศาสนา ก็โดนกฎหมายเล่นงาน ไม่ต่างจาก “ลัทธิเผาแม่มด” ในยุคกลางมากนัก
สังคมเริ่มยุคอุตสาหกรรม ปะทะเข้ากับ “อาณาจักรจิตวิญญาณเก่าที่กำลังตาย” ก็เลยเกิดเป็น วิกฤติการณ์ทางการเมืองขึ้น
ผมอาจเขียนวกวนไปบ้าง เพื่อจะได้ไม่ต้องโดนเผา เหมือนแม่มดในยุคกลางโดนเผา แต่แฟนๆ ที่ติดตามผมก็คงรู้ว่า ผมพูดถึงอะไร
นั่นแหละครับคือ “ต้นตอรากฐานของความขัดแย้ง” หากยังไม่ยอมรับความจริง มันไม่มีทางแก้ไขได้หรอก
ความพยายามในการที่จะปฎิรูปการเมืองของสถาบันพระปกกล้า คงล้มเหลว เข่นเดิม เหมือนที่ ดร.โคทม อารียา เคยพยายามที่จะเริ่ม “สานเสวนา” เพื่อความปรองดองแห่งชาติ เมื่อสองสามเดือนที่แล้วมา ที่สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะไม่มีใครร่วมมือด้วย และคนที่เป็นตัวกลางของความขัดแย้ง พอจะกล่าวนามได้คนหนึ่งคือ “พล.อ.ป.” ก็ไม่ได้เข้ามาเจรจาด้วย
ทีจริงไม่มีทางที่จะสำเร็จได้ไม่ว่าใครริเริ่ม หากไม่ยอมรับความจริงว่า ความขัดแย้งครั้งนี้ เกิดขึ้นระหว่าง “อำมาตยาธิปไตย” กับ “ประชาธิปไตยแบบมวลชน” แล้วพยายามที่จะหลอกตัวเอง “กันใครบางคนบางกลุ่ม” ที่เป็นตัวกลางของความขัดแย้งออกไป
ผมไม่ค่อยกังวลนักกับวิกฤติการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ เพราะผมเชื่อว่า สุดท้ายสังคมจะมีทางออกของมันเอง สังคมไทยมาสู่ยุคที่ “ดักแด้” ต้องกลายเป็น “ผีเสื้อ” โบยบินไป มันถึงเวลาที่ ดักแด้ต้องลอกคราบแล้ว จะดิ้นรนขัดขวางอย่างไร มันก็ไม่มีทางที่จะปิดกั้นการพัฒนา หรือ กันไม่ให้ดักแด้ลอกคราบไปได้
สุดท้าย ประชาชนจะชนะ และอำมาตยาธิปไตยคงเสื่อมสลายไป มันคือพัฒนาการของสังคม
สถาบันบางสถาบันหากไม่ปรับตัว ก็คงล่มสลายไปกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปนี้
ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า “วิกฤติเศรษฐกิจโลกปี 2009” จะเป็นตัวการที่ทำลายอำมาตรยาธิปไตย ลงไปอย่างราบคาบ สังคมที่เคลื่อนเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม คงไม่มีสถาบันใดที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม จะสามารถอยู่ได้ต่อไปได้
สื่อที่พยายามออกมาตีปิ๊ปให้สถาบันพระปกเกล้า ไม่ได้ประเมินตัวเองเลยว่า ยุคปี 2009 นี้ สื่อกระแสหลักได้เสื่อมลงไปหมดสิ้นแล้ว ไม่มีใครเขาเชื่อสื่อกันอีกต่อไปแล้ว ความไม่เป็นกลาง และไปสยบแทบเท้าของอำมาตยาธิปไตยบวกพวกศักดินา ทำให้สื่อกระแสหลักหมดสิ้นคุณค่าต่อสังคมไปนานแล้ว
ปัจฉิมลิขิต
นักการเมืองไม่ได้เป็นตัวกลางของปัญหา นักการเมืองไม่ได้โกงกินชาติมากไปกว่าพวกอำมาตยาธิปไตย ที่สูบเลือดสังคมมานาน แต่นักการเมืองคือ ตัวแทนของประชาชน และประชาชนสามารถเปลี่ยนได้ แต่พวกอำมาตย์ ประชาชนเปลี่ยนไม่ได้ พวกนี้รวยกว่านักการเมืองมากนัก
คนที่สร้างความแตกแยกให้กับคนไทยมาสามปีกว่านี้ คือพวกอำมาตย์นั่นแหละ ไม่ใช่นักการเมือง
ข่าวสารเกี่ยวกับประเทศไทยที่คุณไม่อาจหาอ่านได้จากสื่อ
"ปกติการต่อสู้ทางการเมืองที่เกิดขึ้น จนมีการเปลี่ยนแปลงการเมืองครั้งสำคัญไปทั่วโลก ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เกิดจากการต่อสู้ทางอุดมการณ์และการไม่ได้รับความยุติธรรมทั้งสิ้น ความไม่ยุติธรรมนี่แหละ เป็นเหตุแห่งการที่ประชาชนต้องมารวมตัวกันต่อสู้ เพื่อให้ความยุติธรรมกลับมาสู่สังคมของเขา"
ทักษิณ ชินวัตร
1 พ.ย. 51