WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, February 14, 2009

แกนนำ นปช. ยืนยันกินโต๊ะจีนเสร็จแยกย้ายกลับบ้าน

ที่มา MCOT News
พรรคเพื่อไทย 13 ก.พ. - แกนนำ นปช. เผยได้เตรียมงานระดมทุนกลุ่มคนเสื้อแดงพรุ่งนี้พร้อมแล้ว มียอดจองโต๊ะจีนกว่าพันโต๊ะ ไม่มีการโฟนอินจากอดีตนายกรัฐมนตรี ติงรัฐบาลอย่าวิตกเตรียมรับมือเกินเหตุ ย้ำไม่มีการเคลื่อนพล

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คณะทำงานฝ่ายการเมืองของพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และผู้จัดรายการความจริงวันนี้ กล่าวถึงการเตรียมจัดเลี้ยงโต๊ะจีน เพื่อระดมทุนของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันพรุ่งนี้ (14 ก.พ.) ที่วัดไผ่เขียว ดอนเมืองว่า ขณะนี้ด้านพื้นที่ ระบบเทคนิค เวที องค์ประกอบการจัดงานต่าง ๆ มีความพร้อมแล้ว รวมถึงการติดป้ายบอกทางเข้างาน และได้ทราบฝ่ายติดต่อประสานงาน ได้มีการจองโต๊ะจีนไว้แล้วกว่า 1,000 โต๊ะ แต่คาดว่าจะมีประชาชนร่วมงานมากกว่านั้น จึงสำรองโต๊ะจีนเพิ่มเติม ไม่ทราบว่าจะเพียงพอรองรับพี่น้องคนเสื้อแดง ที่เข้าร่วมงานหรือไม่ โดยเงินที่ได้จะนำไปใช้โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ เพื่อไปทวงข้อเรียกร้อง 4 ข้อ ต่อรัฐบาลชุดนี้ และวันพรุ่งนี้ คงจะมีการประกาศจุดยืนและแนวทางการเคลื่อนไหวต่อไป

นายณัฐวุฒิ ยืนยันว่า ในงานครั้งนี้คงไม่มีการโฟนอินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ถือเป็นการพบปะสังสรรค์ มีการพูดทางการเมือง สิ่งสำคัญจะได้มีการพบปะมีโอกาสได้ทักทายกระชับความสัมพันธ์กับคนเสื้อแดงกันอย่างใกล้ชิดมากกว่าในการร่วมชุมนุมที่ผ่านมา น่าจะเป็นบรรยากาศที่ดี ที่เราจะเคลื่อนไหวครั้งสำคัญหลังจากนี้ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ อย่างแน่นอน

นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงการรักษาความปลอดภัยของการจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ว่า ได้เตรียมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไว้อย่างเต็มที่ โดยได้รับความร่วมมือจากอาสาสมัครในพื้นที่เขตดอนเมือง อปฟร. ตำรวจบ้าน มาร่วมด้วย แต่ทราบข่าวว่า รัฐบาลก็ตกอกตกใจตื่นตัวในการจัดกิจกรรมครั้งนี้มากผิดปกติ ถึงขนาด นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เรียกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ไปประชุมกำหนดมาตรการเตรียมรับมือ ในแง่ดีจะมีตำรวจส่วนหนึ่งมาอำนวยความสะดวกในงาน

“อยากฝากไปยังรัฐบาลว่า อย่าได้ตกใจอะไรจนเกินไป เพราะสิ่งที่แถลงออกมาเหมือนเตรียมการรับมือกับกลุ่มคนจะเข้ายึดทำเนียบฯ การจัดจะไปกินโต๊ะจีน กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ซึ่งความจริงไม่ใช่ เพราะคนเสื้อแดงจะไปกินโต๊ะจีน เสร็จแล้วก็เลิก แยกย้ายกันกลับบ้าน ไม่มีการเคลื่อนขบวนไปไหน เพราะจัดหน้าวัดไผ่เขียว ดอนเมือง เรายืนยันว่า ถ้ารัฐบาลและ นายสุเทพ กำลังเครียดนอนไม่หลับ ขอยืนยันว่า วันพรุ่งนี้คนเสื้อแดงกินเสร็จจะกลับบ้าน ไม่ไปยึดวัดไผ่เขียว หรือไปกดดันเจ้าอาวาส อย่างไรก็ตาม เราเป็นห่วงในเรื่องมาตรฐานในการปฎิบัติ” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวแสดงความเป็นห่วงถึงสถานการณ์การเผชิญหน้ากรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะไปจัดงานที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งอาจถูกต่อต้านจากกลุ่มคนรักอุดรว่า ทราบว่าคนเสื้อแดงที่อุดรฯ ไม่สบายใจอาจการจัดชุมนุมเผชิญหน้ากัน ตนก็มีความห่วงใยได้สอบถามประเมินสถานการณ์กับประชาชนที่จังหวัดอุดรฯ หลายส่วน ซึ่งทราบว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ได้ไปปักหลักตั้งเวทีที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ มีการกางเต็นท์ขึ้นป้าย จึงแปลกใจว่า ก่อนนี้ทราบว่าทางจังหวัดและหน่วยงานด้านความมั่นคง ได้วิตกกังวลในการจัดการชุมนุมของพันธมิตรฯ เพราะเกรงจะมีการปะทะกัน ทางจังหวัดได้ประกาศปิดพื้นที่หนองประจักษ์ ตั้งแต่วันที่ 13 – 15 กุมภาพันธ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในการชุมนุม แต่เมื่อถึงเวลาจริง ๆ พื้นที่ที่หนองประจักษ์กลับปิดเอาไว้ให้พันธมิตรฯ เข้าไปปักป้าย ตั้งเต็นท์ดำเนินกิจกรรม จึงแปลกใจท่าทีของทางจังหวัดและทางราชการที่แสดงออกมาก่อนหน้านี้.- สำนักข่าวไทย

ขายสำนวน-เป่าคดีใน กกต.

ที่มา มติชน

คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์ prasong_lert@yahoo.com



ได้อ่านคำวิฉัยสั่งการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ยื่นต่อศาลฎีกาให้เพิกถอนการสรรหานายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว) โดยอ้างว่า นิติบุคคลอาคารชุดเซ็นจูเรียนปาร์ค ที่เสนอชื่อนายเรืองไกรเป็น ส.ว. เป็นองค์กรที่ไม่มีสิทธิเสนอชื่อตามกฎหมายแล้ว เชื่อว่า มติของ กกต.ในเรื่องนี้ (ไม่เอกฉันท์) จะสร้างความยุ่งยากให้แก่ กกต.อย่างน้อย 2 คน ถึงขั้นต้องคดีอาญา

ยิ่งเมื่ออ่านเอกสารอื่นๆ ประกอบแล้วยิ่งทำให้เชื่อได้ว่า มีการจ้องเล่นงานนายเรืองไกรโดยตรง เนื่องจากที่ผ่านมา นายเรืองไกรเป็น ส.ว.ตัวแสบที่ยื่นเรื่องตรวจสอบผู้มีอำนาจอุตลุดแบบไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม

คดีนี้ กกต.แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสืบสวนสอบสวนองค์กรที่เสนอรายชื่อบุคคลเข้าสรรหาเป็น ส.ว. 5 องค์กร ซึ่งคณะกรรมการสรุปผลว่า ทั้ง 5 องค์กร มีคุณสมบัติครบถ้วนถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดทุกประการ ส่วนของกระบวนการสรรหา ส.ว.ภาคเอกชนก็ดำเนินการโดยเปิดเผยภายในกรอบกฎหมาย เห็นสมควรให้ยกคำร้องคัดค้าน

ปรากฏว่า กกต.มีมติเอกฉันท์เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการสืบสวนฯ เพียง 4 องค์กร

ยกเว้นองค์กรที่เสนอชื่อนายเรืองไกรที่ กกต. 2 คนเห็นว่า มิใช่เป็นหน่วยงานที่ดำเนินกิจการเพื่อสังคมหรือประโยชน์สาธารณะ อันจะยังประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของวุฒิสภาแต่ประการใด จึงมิใช่องค์กรที่มีสิทธิเสนอชื่อบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็น ส.ว.ตามรัฐธรรมนูญ กับทั้งนิติบุคคลประเภทนี้มีอยู่มากมาย หากได้รวมกันเป็นสมาคมแล้วให้สมาคมเป็นผู้เสนอชื่อบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็น ส.ว.ก็จะเหมาะสมยิ่งกว่าให้นิติบุคคลอาคารชุดเป็นผู้เสนอชื่อโดยตรง

ความเห็นของ กกต.ทั้ง 2 คน เป็นเพียงความเห็นลอยๆ และข้อเสนอแนะในกระบวนการสรรหามากว่าข้อวินิจฉัยทางกฎหมาย และยังขัดกับมติของคณะกรรมการสรรหา ส.ว.ที่กำหนดคุณสมบัติขององค์กรไว้ตั้งแต่ต้น

ความจริงความเห็นของ กกต. 2 คน ไม่ใช่เสียงข้างมาก เพราะมีผู้เข้าประชุม 4 คน แต่อาศัยเทคนิคในการลงคะแนนซ้ำ ในฐานะประธานที่ประชุม เสียงที่เท่ากันจึงกลายเป็นเสียงข้างมากไป (อ่านรายละเอียดใน "มติชนออนไลน์"http://www.matichon.co.th/)

ขณะเดียวกันคำวินิจฉัยเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นมาตรฐานการทำงาน กกต.ได้เป็นอย่างดี

สัปดาห์ที่ผ่านมา มี กกต.ท่านหนึ่งบรรยายในหลักสูตรการฝึกอบรมหนึ่ง ยอมรับว่า กกต.มีปัญหามากมายจากบุคลากรที่มาจากหลายหน่วยงาน ปัญหาหนึ่งคือ เจ้าหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์จากสำนวนคดีเลือกตั้งที่มีอยู่จำนวนมาก มีการดึงคดีหรือทำให้คดีล่าช้า

ความจริงข้อมูลที่ กกต.ท่านนี้พูด ซึ่งเรียกกันว่า "การขายสำนวน" หรือ "เป่าดคี" เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ยืนยันชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะตรวจสอบอย่างจริงจังก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง แต่ กกต.ต้องทำด้วยการรื้อระบบสารสนเทศใหม่ทั้งหมด เพื่อให้รู้ว่าแต่ละสำนวนคดีอยู่ที่ไหน มีสถานะอย่างไร เพื่อสะดวกในการบริหารและติดตามคดี

แต่ที่สำคัญกว่า กกต.ต้องเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใสว่า มีคดีอยู่ที่ไหน อย่างไร ให้ประชาชนตรวจสอบได้ง่าย โดยเฉพาะผ่านทางเว็บไซต์ เพราะถ้ายังคงปกปิดหมกเม็ดอยู่เหมือนทุกวันนี้ ก็ไม่มีทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้

มีคำถามง่ายๆ ให้ กกต.เปิดเผยข้อมูลเป็นตัวอย่างอยู่ 3 เรื่อง

หนึ่ง หลังจาก กกต.มีมติเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2550 ให้ดำเนินคดีอาญากับนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล และ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยในข้อหาเป็นผู้จ้างวานพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 การดำเนินคดีกับบุคคลทั้งสองไปถึงไหน อย่างไรแล้ว

สอง สมัย กกต.ชุดที่มี พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธาน มีสำนวนการทุจริตเลือกตั้งกว่า 20 สำนวน ที่การร่างคำวินิจฉัยไม่ตรงกับมติ กกต. กล่าวคือ มติ กกต.ที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) เขียนคำวิจฉัยเป็นใบเหลือง (แค่จัดการเลือกตั้งใหม่) มติที่ให้ใบเหลือง เขียนเป็นไม่มีความผิด ซึ่งน่าสงสัยว่า เป็นการขายสำนวนของเจ้าหน้าที่ระดับสูง

มีข่าวว่า กกต.ชุดปัจจุบันตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน และลงโทษเจ้าหน้าที่สถานเบาแค่ตัดเงินเดือน ทั้งๆ ที่น่าจะเป็นการละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งเป็นคดีอาญา

สาม กตต.มีมติเมื่อมิถุนายน 2551 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง เจ้าหน้าที่ 2 นายกรณีปลอมลายมือชื่อในเอกสารที่ยื่นต่อศาลฎีกาคดีทุจริตเลือกตั้ง นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน (เอกสารข่าว สำนักงาน กกต. เลขที่ 95_2551 วันที่ 26 มิถุนายน 2551)

แต่บัดนี้เวลาผ่านไปกว่าครึ่งปียังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ขณะที่มีข่าวว่า ระดับ "บิ๊ก" ใน กกต.พยายามปิดคดีช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ ทั้งๆ ที่การปลอมแปลงลายมือชื่อในเอกสารราชการเป็นความผิดอาญาและวินัยร้ายแรง

ทั้งๆ ที่เอกสารข่าวของ กกต.ระบุว่า นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.บอกว่า สำนักงาน กกต.ให้ความสำคัญและติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด

เรื่องเหล่านี้ ถ้าชี้แจงอย่างตรงไปตรงไป ไม่ปกปิด มีเหตุมีผล ไม่เอาสีข้างเข้าถูคงไม่มีใครตอบโต้หรอกครับ

"ยุวรัตน์"ฟันธง! "มติข้างมาก"ทำกกต.ติดลบ

ที่มา มติชน

สัมภาณ์พิเศษ

โดย พนัสชัย คงศิริขันธ์




การทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในช่วงที่ผ่านมา ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมาก ทั้งการพิจารณาคำร้องเรียนเลือกตั้งและเขียนคำวินิจฉัยล่าช้า เกิดปัญหาถูกตั้งข้อหาเรื่อง "ความไม่เป็นกลาง" เอนเอียงเข้าข้างพรรคนั้นพรรคนี้

"ยุวรัตน์ กมลเวชช" อดีต กกต.ชุดแรก ที่ได้เครดิตจากการเป็น "มือปราบนักเลือกตั้ง" สั่งใบแดง-แจกใบเหลืองกับนักการเมืองเป็นว่าเล่น จนบางจังหวัดกว่าจะได้ ส.ส.หรือ ส.ว.ครบจำนวน ก็ต้องหย่อนบัตรไป 5-6 ครั้ง ได้ให้ทรรศนะเกี่ยวกับการทำงานของ "กกต.รุ่นน้อง" ผ่าน "มติชน" ไว้ว่า...

"ผมมองว่ารัฐธรรมนูญจะทำให้ กกต.เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ และคิดว่าเคยติติงเอาไว้แล้ว ผมมอง 3 ข้อที่อยากเปลี่ยนแปลง 1.การลงมติของ กกต.ไม่ควรเป็นมติเสียงข้างมาก 4 ใน 5 ควรเป็นมติเอกฉันท์เหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 ผมคิดว่าหากยังทำความเข้าใจกับ กกต.ทุกคนไม่ได้ มันก็ไม่ควรลงโทษเขา 2.เปิดโอกาสให้ทำความเข้าใจกันให้ได้ก่อน จะไม่ใช่ใช้วิธีลงมติแบบรวบรัดเพื่อตัดปัญหา เมื่อก่อนตีหนึ่งตีสองยังประชุมไม่เลิกเลยหากยังไม่เข้าใจตรงกัน และ 3.กกต.ต้องช่วยกันปิดปากเมื่อลงมติเสร็จแล้ว หากจะพูดก็ต้องให้สอดคล้องกัน คำตัดสินขององค์กรก็จะยังคงความศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีความแตกแยก ไม่เป็นจุดอ่อนทำให้เสียรูปคดี

"หลักของผมมีอยู่ว่า 1.คุณต้องคิดว่าความเห็นของคุณผิด ความเห็นคนอื่นถูก คุณถึงมีใจฟัง และผมก็จะเถียงกับใครไม่มาก และการทำงาน กกต.ชุดแรกมีเอกภาพมีการลดการโต้เถียงกัน และ 2.มีความอดทนมากทั้ง กกต.ชุดแรกถึงรักกัน หากจะโกรธก็เดี๋ยวเดียว เมื่อมติเอกฉันท์ การฟ้องร้อง กกต.ทั้ง 5 ต่างเป็นจำเลยหมด แต่เมื่อเป็นมติ 4 ใน 5 คนที่ไม่เห็นด้วยอาจไม่ถูกฟ้อง ทำให้ขาดความรับผิดชอบต่อองค์กร เรื่องคุณสมบัติของ กกต.ก็ควรมีการแยกตามสาขางานที่ กกต.ต้องทำ ต้องหาคนที่เชี่ยวชาญมาทำ ที่สำคัญตอนนี้นักการเมืองเขาไม่กลับใบเหลืองแล้ว แต่กลัวใบแดง ทำให้การทุจริตเลือกตั้งยังมีอยู่"

- คิดว่าโครงสร้างการทำงานของ กกต.ชุดแรกกับชุดปัจจุบันเป็นอย่างไร

ต่างกันนิดเดียว คือการลงมติโดยใช้เสียง 4 ใน 5 กับการลงมติเอกฉันท์ คิดว่าเสียงเอกฉันท์มีความยุติธรรมมากกว่า 4 ใน 5 เพราะการลงมติเอกฉันท์ คุณจะไม่ลงคะแนนต้องบอกเหตุผล

- ในการสรรหา กกต.นั้น คิดว่ารัฐธรรมนูญให้น้ำหนักไปศาลยุติธรรมมากเกินไปหรือไม่

มาจากศาลมากก็ไม่เป็นไร เพราะของชุดผม มีศาลมา 3 คน (นายจิระ บุญพจนสุนทร นายสวัสดิ์ โชติพานิช และนายธีรศักดิ์ กรรณสูต) ซึ่งทั้ง 3 คนก็ถนัดไม่เหมือนกัน ท่านธีรศักดิ์มาจากศาลแพ่ง เป็นประธาน กกต. ได้ควบคุมเรื่องเงินทอง อาจารย์สวัสดิ์เก่งด้านวินิจฉัย ก็จัดให้ลงจุดที่เหมาะ และหากงานไม่ตรงกับตัวคนก็จะติดขัดได้ สำหรับเรื่องคุณสมบัตินั้น ผมอยากให้เลือกความซื่อสัตย์สุจริตเป็นสำคัญที่สุด มากกว่าผู้เชี่ยวชาญของสาขา แต่ถ้าคำนึงความแตกต่างซึ่งกันและกันเพื่อมาดูงานก็ควรพิจารณาด้วย ซึ่งงานของ กกต.มันเป็นงานที่มีคนมาร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก

- กกต.ชุดท่านแจกใบเหลืองใบแดงชนิดไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่ชุดนี้ถูกมองกันว่าไม่กล้าฟันนักการเมือง

(หัวเราะ) ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ คงเป็นในลักษณะเหมือนการจราจร ที่ในระยะที่มีกล้องจับจ้องคนอาจจะไม่กล้าฝ่าไฟแดงคนเลยอาจจะกลัว

- จะต้องมีการปรับระบบการสืบสวนสอบสวนของ กกต.ใหม่อย่างไร เพื่อไม่ให้ถูกวิจารณ์มาก

พูดกันจริงๆ ก็คงต้องบอกว่า กกต.ชุดปัจจุบัน ท่านเสียเปรียบเพราะคนทำงานให้ท่าน (พนักงาน) ท่านไม่ได้เลือกมารองรับงานที่ท่านจะทำ เนื่องจากมีการบรรจุข้าราชการไว้อยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ชุดพวกผมไปเลือกไปเฟ้นกันมา ผมได้แต่เพียงว่าเอาพนักงานออกมันเหนื่อยกว่าเอาเข้า

- เรื่องนี้ก็เลยเป็นที่มาว่า กกต.ถูกลองของหรือหมกเม็ดจากพนักงานอยู่เรื่อยๆ

(พยักหน้า) ครับ มันเหนื่อยตรงนั้น เพราะท่านไม่ใช่เป็นคนเลือก สมัยผมเลือกคนมาช่วยได้หมด ผมคิดว่าความไว้วางใจที่ กกต.จะมอบให้พนักงานระดับล่าง 1- % คงไม่มี เพราะยังไม่ค่อยเชื่อใจเท่าไร ยังหวาดผวาอยู่

- ในฐานะขององค์กรอิสระ ทำอย่างไรจะได้ชื่อว่าเป็น "องค์กรอิสระ" มีความใสสะอาดโปร่งใสเสียที

อย่าไปพูดว่าใสสะอาด เพราะเขาใสสะอาดอยู่แล้ว เพียงแต่เกิดความรู้สึกจากคนข้างนอก แต่ผมไม่อยากเปรียบเทียบกับชุดเก่า เพราะพวกผมจะลงมติในทิศทางเดียวกันได้ต้องใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง

- ชุดปัจจุบันในการลงมติเกิดกรณีเสียงแตกออกเป็น 2 กลุ่ม

ก็ 5 คนนี่นะ พูดมากทั้ง 5 คน และเถียงกันโดยไม่ต้องไปคอยเจอใคร (หัวเราะ) และ กกต.ทุกคนเถียงกันหมด

- แล้วท่านมองคดีนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา เขต 6 ที่ถูก กกต.มีมติให้ดำเนินคดีอาญาเมื่อครั้งไม่ได้รับเลือกตั้งอย่างไร

พูดตามความจริงของมติเสียงข้างมากนั้น มีภาพให้เห็นชัดเจนแล้วในสภา มันทำให้คนรวมกลุ่มกัน แต่ถ้าคุณเอามติเอกฉันท์ คุณจะไม่มีการแบ่งแยกฝ่ายเลย เรื่องนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่ชอบเสียงข้างมาก เพราะจะทำให้มีการรวมกลุ่มเพื่อควบคุมองค์กรเหมือนสภา

- แต่ก็มองจุดดีของการลงมติของ กกต.ปัจจุบันว่าเป็นอิสระจากกัน เพราะไม่มีการปรึกษาหารือกันก่อนลงมติ

เรื่องนี้ไม่ใช่ทำแบบตัวใครตัวมัน จะทำกันเป็นกลุ่ม ไม่ใช่ว่าถ้าเป็นคนนี้ไม่ต้องไปพูด เหมือนฝ่ายค้านเราไม่ต้องไปพูดกับมัน เอาฝ่ายรัฐบาลอย่างเดียวเดี๋ยวมันก็ผ่าน

- มีการพูดกันว่า กกต.ปัจจุบันอยู่ข้างพรรคประชาธิปัตย์ และอยู่กับฝ่ายทหาร

ผมว่า 5 ท่านชุดปัจจุบันโดนด่าน้อยกว่าชุดผมเสียอีก ยุคแรกโดนด่ามากและผมโดนหนักสุด เรื่องนี้เกี่ยวกับการลงมติ หากเป็นมติเอกฉันท์มันก็ไม่ทำให้คนภายนอกมององค์กรว่ามีความแตกแยกไม่เป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน เสียงเอกฉันท์มันจะบังคับให้คุณต้องเห็นด้วยไปในตัว

- แล้วจะทำอย่างไรกับความล่าช้าในการพิจารณาสำนวนร้องเรียนของ กกต.

จะว่าไปแล้วพวกผมเป็น กกต.ที่เลขาธิการ กกต.ไม่อยากได้มากที่สุด เพราะลงไปทำงานเอง (หัวเราะ) แต่ที่ผมต้องทำงานเองเพราะเป็นคนวางรากฐานตั้งแต่ต้น แต่ กกต.ตอนนี้อาจจะมองว่าหากลงไปยุ่งก็หาว่าล้วงลึก ดังนั้นต้องเห็นใจท่านด้วย ก็อยู่ที่ท่านจะตัดสินใจอย่างไร เราบอกไม่ได้หรอก ผมพูดทั้งหมดแค่เป็นตัวเลือกว่าจะเลือกตรงไหน อย่างประกาศผลหรือลงมติประชุมเสร็จแถลงเลย ไม่ต้องรอ เรื่องใบเหลืองใบแดง สมัยก่อนต้องส่งไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษดูด้วย ส่วนใหญ่ก็ยืนตามมติของ กกต. แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิม ต้องรับงานเลือกตั้งท้องถิ่นด้วย

- ถ้าตั้งศาลเลือกตั้งท้องถิ่นขึ้นมาดูแลเรื่องร้องเรียนเลือกตั้งท้องถิ่นจะช่วยแก้ปัญหาได้หรือไม่

ก็อาจเป็นรูปหนึ่งที่จะต้องมี ผมอยากให้เป็นเหมือนเป็นศาลแขวง เป็นการฟ้องปากเปล่า ใช้วิธีพิจารณาแบบไต่สวน อาจมีการแต่งตั้งผู้พิพากษาสมทบมาช่วยดูด้วย คดีจะได้ไว

- นักการเมืองไทยไม่รู้จักแพ้-ชนะ พอเลือกตั้งเสร็จถ้าแพ้ก็ร้องคัดค้าน

การร้องคัดค้านไม่เป็นปัญหา อยู่ที่ตัวเรา (กกต.) เหมือนการเลือกตั้ง ส.ว. 2- คน ที่พวกผมสอยไป 60 คน ขณะที่เลือกตั้ง ส.ส.กลับโดนตั้งเยอะ แต่พอมีกฎ 30 วันต้องรับรองผลก็เลยโดนกันไม่รู้กี่คน

พรึบวันนี้"แดง-เหลือง" ชุมนุมใหญ่ ดอนเมือง-อุดรระทึก

ที่มา ข่าวสด


แบ่งเขต - นายอำนาจ ผการัตน์ ผวจ. อุดรฯ ดูแลความเรียบร้อยในสวนสาธารณะหนองประจักษ์ฯ เมื่อวันที่ 13 ก.พ. ก่อนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร โดยมีการสร้างรั้วกำแพงกั้นแยกกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ระดมพลมาต่อต้าน

ม็อบเสื้อแดงชุมนุมใหญ่วันนี้ที่วัดไผ่เขียว ดอนเมือง ตร.ระดม 4 พันรับสถานการณ์ แกนนำนปช.ยันแค่กินเลี้ยงโต๊ะจีนระดมทุนแล้วกลับบ้าน ไม่มีเคลื่อนไปไหน และ"แม้ว"ก็ไม่โฟนอินเข้ามาครั้งนี้ อุดรฯตึงเครียดพันธมิตรตั้งเวทีที่หนองประจักษ์ เตรียมปราศรัยการเมืองใหม่ 14 ก.พ. ผู้ว่าฯสั่งปิดหนองประจักษ์เพื่อความสะดวกในการรักษาความปลอดภัย "ขวัญชัย ไพรพนา"นัดรวมพลคนเสื้อแดงที่วิทยุชุมชน คุยมาเป็นหมื่นแต่ไม่ออกไปไหน ออกตัวถ้าถูกยั่วยุท้าทายก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น จวกพันธมิตรรู้ทั้งรู้ว่าอุดรฯเป็นพื้นที่ต้องห้ามแต่ยังบุกมา ถือว่าท้าทายกัน "มาร์ค"ยอมรับการชุมนุมแต่ต้องไม่ทำผิดกฎหมาย ถ้าบุกทำเนียบ ยึดสถานที่ราชการต้องจับกุม ส่วนแก๊สน้ำตาเป็นมาตรการสุดท้าย

-"มาร์ค"เคารพม็อบแต่ต้องไม่ผิดกม.

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 13 ก.พ. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการรับมือกลุ่มผู้ชุมนุมว่า เจ้าหน้าที่ต้องเตรียมรับมือไว้ ขณะเดียวกันต้องให้เกิดความเข้าใจว่ารัฐบาลเคารพในการใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุม แต่รัฐบาลไม่ต้องการให้มีการกระทำผิดกฎหมาย เมื่อทั้งสองฝ่ายระบุว่าจะไม่มีการบุกรุกสถานที่ราชการ รัฐบาลจึงขอให้ชัดเจนว่ากรณีที่มีความพยายามจะบุกรุกสถานที่ราชการนั้นภาครัฐจำเป็นต้องใช้มาตรการใด ซึ่งยึดหลักการใช้ความนุ่มนวล และปฏิบัติตามมาตรฐานที่เราเคยเรียกร้องมาตลอด คือ ต้องเจรจา ประกาศล่วงหน้า ตรงนี้ต้องประกาศให้สาธารณชนรับทราบเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดหากเกิดเหตุการณ์ใดที่อาจเป็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นมา เพื่อทุกฝ่ายเข้าใจว่ารัฐบาลมีความตั้งใจอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ให้วางกำลังทหารในทำเนียบรัฐบาล จะยิ่งเป็นการยั่วยุหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ในปีที่ผ่านมา บ่งบอกว่าตำรวจต้องการมีคนมาช่วยเสริม และการที่ทหารจะเข้ามาในสถานการณ์ที่ไม่ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินนั้นเป็นไปในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงาน โดยผ่านที่ประชุม และเป็นความเห็นร่วมกันว่าจำเป็นให้ทหารมาเป็นผู้ช่วยตำรวจได้

-ลั่นจับกุมแกนนำถ้าบุกทำเนียบ

เมื่อถามว่าจะถึงขั้นต้องประกาศใช้พ.ร.ก. ฉุกเฉินหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ยังไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ขนาดนั้น เมื่อถามว่านายกฯมั่นใจหรือไม่ว่าจะรักษาพื้นที่ทำเนียบไว้ได้ โดยไม่ถูกยึดเหมือนอดีต นายกฯกล่าวว่า เป้าหมายเป็นเช่นนั้นและต้องทำให้ได้ตามเป้าหมายนั้น เมื่อถามว่าขณะนี้มีข่าวลือว่าจะจับกุมตัวแกนนำของกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง นายกฯกล่าวว่า หากไม่ได้ทำผิดกฎหมายจะไปจับได้อย่างไร แต่ถ้าทำผิดกฎหมายย่อมต้องถูกจับเหมือนคนอื่น เมื่อถามว่าหากบุกรุกเข้าทำเนียบจะจับกุมหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า มีขั้นตอนวิธีปฏิบัติอยู่แล้ว ต่อข้อถามว่ามั่นใจว่ายังมีทำเนียบรัฐบาลทำงานหลังการชุมนุมใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ตั้งใจเช่นนั้นและต้องทำให้ได้ตามเป้าหมาย

-ใช้แก๊สน้ำตามาตรการสุดท้าย

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีรายงานแจ้งว่าจะใช้แก๊สน้ำตาสลายผู้ชุมนุม นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า นั่นเป็นขั้นตอนสุดท้ายแล้ว หลังจากมีมาตรการอื่นๆ มาก่อน สมัยที่เป็นฝ่ายค้านและเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นตนเคยบอกว่า แก๊สน้ำตานั้นทำได้ แต่ต้องทำตามมาตรฐานสากล อาทิ ต้องประกาศเตือน ดูแลว่าการใช้ การยิง ถูกต้องตามหลัก ไม่ใช่ยิงแล้วทำให้คนเสียชีวิต และกำชับว่าต้องตรวจสอบคุณภาพให้เรียบร้อยก่อน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่รายงานมาเป็นระยะๆ ว่าได้ฝึกและเตรียมการอยู่แล้ว ทั้งนี้ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาใดๆ ขึ้นเลย เพียงแต่ต้องมีความพร้อมและไม่ประมาท เพราะมีบทเรียนจากอดีตมาแล้ว และมีเวลาในการทำงานมาระยะหนึ่งแล้วด้วย ตนไม่ต้องการให้ใช้อาวุธใดๆ อยากให้ทุกคนสามารถใช้สิทธิของตัวเองและทุกอย่างเรียบร้อย

-"ณัฐวุฒิ"แจง"แม้ว"ไม่โฟนอิน

ที่พรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คณะทำงานฝ่ายการเมืองของพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำนปช. กล่าวถึงการจัดเลี้ยงโต๊ะจีนระดมทุนของกลุ่มคนเสื้อแดงวันที่ 14 ก.พ. ที่วัดไผ่เขียว ดอนเมือง ว่า ขณะนี้สถานที่พร้อมแล้ว รวมถึงการติดป้ายบอกทางเข้างานและทราบว่าฝ่ายติดต่อประสานงานได้จองโต๊ะจีนไว้แล้วกว่า 1,000 โต๊ะ ส่วนยอดระดมทุนครั้งนี้ ต้องรอประเมินต้นทุนค่าใช้จ่ายจัดงานเลี้ยง แต่ขอให้มั่นใจว่าเงินระดมทุนที่ได้จะนำไปใช้โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญเพื่อไปทวงข้อเรียกร้อง 4 ข้อต่อรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งวันที่ 14 ก.พ.จะครบ 15 วันที่กำหนดไว้ จะประกาศจุดยืนและแนวทางการเคลื่อนไหวต่อไป นัดวัน เวลาชุมนุมใหญ่เพื่อเคลื่อนไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อทวงถามข้อเรียกร้องดังกล่าวด้วย

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะไม่โฟนอินเข้ามาอย่างแน่นอน แต่ถือเป็นการพบปะสังสรรค์ พูดคุยทางการเมือง สิ่งสำคัญจะได้พบปะมีโอกาสทักทายกระชับความสัมพันธ์กับคนเสื้อแดงกันอย่างใกล้ชิดมากกว่าการร่วมชุมนุมที่ผ่านมา ส่วนการรักษาความปลอดภัยได้รับความร่วมมือจากอาสาสมัครในเขตดอนเมือง อปพร. ตำรวจบ้าน มาร่วมด้วย จึงเชื่อว่าไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง แต่ทราบว่าสุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงกลับเรียกผบ.ตร.และผบช.น.ไปประชุมกำหนดมาตรการเตรียมรับมือ ทั้งที่เรารวมตัวกันอย่างสงบ แต่ถ้ามองในแง่บวกก็ถือเป็นเรื่องดีที่ตำรวจมาอำนวยความสะดวกให้

-ห่วงเสื้อแดงอุดรโดนพธม.ท้าทาย

"คนเสื้อแดงจะไปกินโต๊ะจีน เสร็จแล้วก็เลิก แยกย้ายกันกลับบ้าน ไม่มีการเคลื่อนขบวนไปไหน ขอยืนยันว่าวันพรุ่งนี้คนเสื้อแดงกินเสร็จจะกลับบ้าน ไม่ไปยึดวัดไผ่เขียวหรือไปกดดันเจ้าอาวาส จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันทุกคน" นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิกล่าวแสดงความเป็นห่วงถึงสถาน การณ์เผชิญหน้ากรณีกลุ่มพันธมิตรไปจัดงานที่ จ.อุดรฯว่า ทราบว่าคนเสื้อแดงที่อุดรฯไม่สบายใจอาจจัดชุมนุมเผชิญหน้ากัน เกรงว่าจะเกิดเหตุปะทะกัน จึงรู้สึกแปลกใจว่าก่อนนี้ทางจังหวัดและหน่วยงานด้านความมั่นคงประกาศปิดพื้นที่หนองประจักษ์ตั้งแต่วันที่ 13-15 ก.พ.นี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา แต่กลับเปิดให้พันธมิตรเข้าไปปักป้าย ตั้งเต็นท์ดำเนินกิจกรรมได้

"แม้ว่าการชุมนุมของประชาชนจะเป็นสิทธิโดยชอบมีกฎหมายรองรับ แต่ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงด้วยว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรมีหลายเหตุการณ์ที่ออกนอกแนวทางประชาธิปไตย ซึ่งคงมีคนส่วนหนึ่งไม่พอใจและอาจแสดงอาการคัดค้าน ต่อต้าน ขอฝากไปยังชาวอุดรฯ ขอให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย คำนึงถึงความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของทุกคนที่ร่วมต่อสู้ด้วย อีกทั้งอยากให้คำนึงด้วยว่ากลุ่มพันธมิตรก็เป็นคนไทยด้วยกัน หากพูดจาทำความเข้าใจกันได้ก็เป็นเรื่องที่ดี" นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า มองว่าการเคลื่อนไหวชุม นุมของกลุ่มพันธมิตรมีเจตนาต้องการท้าทายไปกระทบกระทั่งความรู้สึกของคนอุดรฯโดยเจตนา เหมือนต้องการไปปักธงประกาศศักดิ์ศรี ซึ่งท่าทีดังกล่าวยิ่งไปกระทบความรู้สึกคนอุดรฯ เราไม่อยากเห็นภาพเหตุการณ์ปะทะกันจนนองเลือด เพราะจะยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดได้ ขอฝากไปยังรัฐบาลแทนที่รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงจะมากังวลกับคนเสื้อแดงจัดโต๊ะจีนที่ดอนเมือง ควรจัดกำลังไปดูแลสถานการณ์ที่จ.อุดรฯ เพราะทุกคนรู้ว่าที่นั่นมีเสื้อแดงจำนวนมาก รวมกันเข้มแข็ง เป็นปึกแผ่นเหนียวแน่น อยู่ๆ อีกกลุ่มจะเข้าไปประกาศศักดาอย่างนั้น คิดว่าต้องระวังเรื่องการยั่วยุ และหากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น หวังว่าคนเสื้อแดงจะได้รับการปฏบัติจากเจ้าหน้าที่ในมาตรฐานเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นประชาชนที่ไม่มีเส้น

-แฉพิรุธงบลับ 2 พันล้าน

นายณัฐวุฒิกล่าวถึงผู้นำเหล่าทัพและฝ่ายความมั่นคงปฏิเสธเรื่องจัดงบลับ 2 พันล้านบาทในโครง การมุ่งสลายเสื้อแดงว่า การปฏิเสธของทางกองทัพ เป็นสิ่งที่ทำได้ซึ่งจะนำเสนอข้อมูลออกมาอย่างไร แต่ความคลางแคลงสงสัยจากตนยังมีอยู่ ไม่ได้หมดไป และทราบมาว่าข้อมูลที่ได้รับรู้ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ยังเตรียมการและกำหนดเป้าหมายเป็นคนเสื้อแดงซึ่งงบประมาณก็มากกว่านี้ซึ่งเรื่องนี้มีข้อสังเกตมากมาย และยังมีข้อมูลอยู่อีกบางส่วน หลังเสร็จสิ้นการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงแล้ว คงจะได้สอบถามตรวจสอบกันต่อไป

นายณัฐวุฒิยังตั้งข้อสังเกตว่า 1.ในช่วงแรกที่ตนปิดเผยข้อมูลงบประมาณ 2 พันล้านบาทที่จะจัดการกับคนเสื้อแดง โฆษกกองทัพบกปฏิเสธว่าไม่จริง จริงๆ ใช้เพียง 520 ล้านบาท หลังจากนั้น 2 วัน ออกมาแถลงชี้แจงใหม่ บอกว่าจริงๆ แล้วใช้ไป 650 ล้านบาท ภายหลังทราบว่าพูดถึงตัวเลข 1,000 ล้านบาท ที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ 2.การที่ระบุว่าจะจัดสรรกำลังพลไปเพื่อปฏิบัติการนี้ หมู่บ้านละ 6-8 นาย จากข้อมูล 74,427 หมู่บ้าน ตนให้ไปเลยหมู่บ้าน 7 คน คำนวณแล้วประมาณ 5 แสนกว่าคน ซึ่งยังไม่นับรวมชุมนุมอีก 1,856 ชุมนุม กองทัพไม่ได้พูดทั้งๆ ที่ในแผนยังมีอยู่ เพราะเกรงว่าจะเกินงบประมาณพันล้าน ขณะที่กำลังพลที่จัดลงไป 5 แสนคน มีกำลังจริงหรือเปล่า เท่าที่ทราบ 3 เหล่าทัพ มีกำลังทั้งหมด 2 แสนนาย กองทัพบกมีนายทหารชั้นสัญญาบัตร 6,000 นาย ชั้นประทวน 1.3 แสนนาย เป็นกำลังหลัก 5 หมื่นนาย และปฏิบัติภารกิจในภาคใต้ 3 หมื่นนาย ที่เหลืออยู่ตามชายแดน แสดงว่ามีกำลังเหลืออีกไม่กี่หมื่นนาย

"อยากถามว่ากำลังส่วนไหนจะไปทำหน้าที่โครงการนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะลงพื้นที่พร้อมกัน 7 หมื่นหมู่บ้านพร้อมกันทั่วประเทศและทำเสร็จภายใน 6 เดือน แต่ที่เป็นไปได้มากที่สุด คือเป็น การเลือกลงเฉพาะบางพื้นที่ บางหมู่บ้าน บางตำบลที่เป็นเป้าหมายหลัก ถ้าเป็นเช่นนั้น เรื่องคนกับเงินถึงจะมีความเป็นไปได้ และการที่รมว.กลาโหมระบุว่าเป็นโครงการงบของกอ.รมน. จากที่ตรวจสอบแผนงานของกอ.รมน.ก็ไม่มีอยู่ มีเพียงโครง การเศรษฐกิจแก้วิกฤตให้ประชาชน งบเพียง 91 ล้านบาท ไม่ถึง 650 ล้านบาท เพราะยิ่งชี้แจงก็ยิ่งยุ่ง เพราะไม่ได้เริ่มต้นจากฐานความเป็นจริง ดังนั้นเรื่องนี้จะรอดูท่าทีของกองทัพและรัฐบาล ซึ่งผมมีคำถามและประเด็นจะได้สอบถามต่อไป" นายณัฐวุฒิกล่าว

-"เหวง"ยื่น"อนุพงษ์"แจงข้อเท็จจริง

ก่อนหน้านั้นเวลา 10.00 น. ที่บก.ทบ. น.พ. เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ยื่นหนังสือถึงพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เพื่อขอทราบข้อมูลกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่า ฝ่ายยุทธการ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก จัดทำโครงการโดยใช้งบประมาณเกือบ 2 พันล้านบาท และใช้กำลังพลของทุกเหล่าทัพปฏิบัติงานในพื้นที่ 74,474 หมู่บ้าน โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือกลุ่มเสื้อแดง

น.พ.เหวงกล่าวว่า ทางกลุ่มมีความไม่สบายใจต่อบทบาทของผู้นำบางคนในกองทัพไทย โดยเฉพาะกองทัพบก ซึ่งมีส่วนสำคัญในการยึดอำนาจล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 และมีบทบาทขัดขวางกระบวนการประชาธิปไตยมิให้ดำเนินการไปตามวิถีทางอย่างราบรื่น เช่น บทบาทของผบ.ทบ. ที่กดดันรัฐบาลประชาธิปไตยให้ยุบสภาหรือลาออก รวมถึงการวางเฉยของผู้นำบางคนในกองทัพ ในการจัดการกับผู้ก่อการร้าย ยึดสนามบิน และทำเนียบรัฐบาล ตลอดจนแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพ

"หากข่าวสารที่ปรากฏในสื่อเป็นความจริงย่อมแน่ชัดว่า มิใช่เพียงคนเสื้อแดงที่ตกเป็นเป้าหมายของการทำลายล้างทางการเมือง โดยอาศัยข้ออ้างในการปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และความสมานฉันท์ของคนในชาติ แต่หมายถึงระบอบประชาธิปไตยกำลังถูกคุกคามอีกครั้งหนึ่ง โดยกองทัพใช้งบประมาณจากเงินภาษีของประชา ชนทั้งประเทศ ซึ่งขัดแย้งกับคำขวัญโฆษณาชวน เชื่อของกองทัพ ที่ว่าเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน ทางกลุ่มจึงขอใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 56 ว่า บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะ ในครอบครองของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐและ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ.2540 มาตรา 11 ว่าถ้าบุคคลใดขอข้อมูลข่าวสารอันใดของราชการ และคำขอนั้นระบุข้อมูลข่าวสารที่ต้องการในลักษณะที่จะเข้าใจได้ตามสมควรให้หน่วยงานของรัฐรับผิดชอบ จัดหาข้อมูล ข่าวสารนั้น ให้แก่ผู้ขอภายในเวลาอันควร ทางเราจึงขอให้กองทัพเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ด้วย" น.พ.เหวง กล่าว

-ผบช.น.ระดมปจ.26กองร้อย

วันเดียวกัน พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. มีหนังสือศปก.น. ด่วนที่สุดถึงผู้ปฏิบัติ ผบช.ภาค 1, 2, 3, 6, 7, ตชด., บช.ก., ผบก.ป., ผบก.น.1-9, ตปพ., จร. และอก. ตามที่ปรากฏสถานการณ์ด้านการข่าวกรณีกลุ่มนปช. มีแนวโน้มรวมตัวปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลและสถานที่อื่นที่เกี่ยวข้อง แต่ยังไม่ทราบวันเวลาที่แน่ชัด อาจเป็นวันที่ 16-17 หรือ 23-24 ก.พ. ซึ่งจะได้สืบสวนหาข่าวอย่างใกล้ชิดต่อไปนั้น เนื่องจากรัฐบาลและผู้บังคับบัญชาระดับตร. มีนโยบายให้จัดวางกำลังรักษาความปลอดภัยป้องกันมิให้กลุ่มผู้ชุมนุมยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นอันขาด ดังนั้นเพื่อให้การปฏิบัติภารกิจเป็นไปด้วยความเรียบร้อยจึงเรียนมาเพื่อขอความร่วมมือดำเนินการดังนี้ ภาค 1, 2, 3, 6 และ 7 จัดกำลังปจ.หน่วยละ 2 กองร้อยต่อผลัด บช.ตชด.จำนวน 4 กองร้อยต่อผลัด(รวม ตชด.หญิง) บช.ก.(บก.ป.) จำนวน 1 กองร้อยต่อผลัด บก.น. 1-9 จำนวนหน่วยละ 1 กองร้อยต่อผลัด บก.ตปพ. จำนวน 2 กองร้อยต่อผลัด (รวมกำลัง ปจ.ทั้งสิ้น 26 กองร้อย จำนวน 3,900 นายต่อผลัด) กำหนดให้สับเปลี่ยนกำลังผลัดละ 24 ช.ม. ดังนั้นกำลังที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจต้องเตรียมการเกี่ยวกับเรื่องการส่งกำลังบำรุง อุปกรณ์เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว หน้ากากกันแก๊สน้ำตา(หากมีการใช้ อาจใช้แว่นตาสำหรับว่ายน้ำและผ้าปิดจมูกแทน) และเสื้อเกราะกันกระสุน เป็นต้น

หน่วยปฏิบัติให้แจ้งรายชื่อ รองผบก. และผบ. ร้อยผู้ควบคุมกำลัง พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ รายงานบช.น. ภายในวันจันทร์ที่ 16 ก.พ. ก่อนเวลา 12.00 น. กรณีสถานการณ์การชุมนุมยืดเยื้อ ให้แต่ละหน่วยจัดเตรียมกำลังกำลังชุดที่ 2 รอสับเปลี่ยน แจ้งมาเพื่อทราบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

-ผวจ.อุดรฯตรวจหนองประจักษ์

วันเดียวกันเวลา 14.00 น. นายอำนาจ ผการัตน์ ผวจ.อุดรธานี ไปตรวจความเรียบร้อยบริเวณสวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม พบกลุ่มพันธมิตรกำลังจัดแต่งสถานที่ ได้สอบถามแกนนำโดยขอให้ควบคุมไม่ให้นำเครื่องของมึนเมามาภายใน ทางแกนนำพันธมิตรรับรองจะไม่มีการนำสุราเข้ามาในงาน จากนั้นผวจ.อุดรฯออกมาเดินตรวจริมกำแพงซึ่งเมื่อปีที่แล้วม็อบชมรมคนรักอุดรใช้ปีนเข้าไปทำร้ายกลุ่มพันธมิตร โดยครั้งนี้เจ้าหน้าที่ทำรั้วลวดหนามมากั้นเสริมเพิ่มเติม

จากนั้นนายอำนาจไปตรวจเยี่ยมสถานีวิทยุชมรมคนรักอุดร ซอยบ้านหนองเหล็ก ต.หมากแข้ง อ.เมือง นายขวัญชัย สารคำ หรือพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดรฯ นำสมาชิกมาต้อนรับ โดยรับปากว่าวันพรุ่งนี้จะนำสมาชิกมาชุมนุมกันที่ลานข้างสถานีของชมรมเท่านั้น จะไม่นำสมาชิกไปสวนสาธารณะหนองประจักษ์อย่างแน่นอน เพื่อความสงบเรียบร้อยของจังหวัด จากนั้นนายอำนาจเข้าไปพูดออกอากาศเป็นภาษาอีสาน ขอร้องประชา ชนชาวอุดรฯในวันที่ 14 ก.พ.นี้ไม่ให้ออกไปปะทะกับกลุ่มพันธมิตร โดยขอให้เห็นแก่บ้านเมืองด้วย

ต่อมาเวลา 16.00 น. นายอำนาจไปเป็นประธานเดินรณรงค์ "พลังรัก พลังสามัคคี อุดรธานีร่วมมือ" ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด เพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ และสร้างจิตสำนึกร่วมของคนในชาติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีนายสมบัติ ตรีวัฒน์สุวรรณ รองผวจ.อุดรฯ นำคณะข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน นักเรียน นักศึกษานับหมื่นคน เข้าร่วมเดินรณรงค์ไปตามถนนในเขตเทศบาลนครอุดรธานี

-พธม.อุดรฯฟุ้งมากันเป็นหมื่น

นายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ แกนนำพันธมิตรอุดรธานี กล่าวว่าขณะนี้เตรียมงานที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์เกือบ 100% คาดว่าจะมีประชาชนทั่วประเทศมารับฟังการเมืองใหม่นับหมื่นคน สำหรับการรักษาความปลอดภัยเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ส่วนเราจะมีเจ้าหน้าที่อาสาความปลอดภัย แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญในการเตรียมการอะไรมากนัก ซึ่งการชุมนุมครั้งนี้อยู่ภายใต้กฎหมาย และเชื่อว่าจะไม่มีการเคลื่อนไหวออกมาต่อต้านในรูปขบวนการก็มีเพียงแค่การกระทำของส่วนบุคคล เช่น มีการท้าทายหรือโห่ร้องเท่านั้น ส่วนการรักษาความปลอดภัยเวลาตอนกลางคืนวันนี้ ได้รับการประสานงานจากผบช.ภาค 4 จะส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารมาเฝ้ารักษาความปลอดภัยรอบพื้นที่ ซึ่งทางจังหวัดสั่งปิดการใช้สวนสาธารณะหนองประจักษ์แล้ว ทำให้การรักษาความปลอดภัยดูแลได้ทั่วถึง

-"ขวัญชัย"ขออยู่ในที่ตั้งแต่อย่ามายั่ว

ที่สถานีวิทยุชุมชนคนรักอุดร นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร คนเสื้อแดง กล่าวว่าช่วงเช้าของวันที่ 14 ก.พ.ชมรมมีกิจกรรมทำบุญเลี้ยงพระ ในการได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น 4 เพื่อเป็นสิริมงคลให้กับตนเองและวงศ์ตระกูล พวกเราเองจะใช้ความอดทนให้มากที่สุด ถึงแม้จะถูกยั่วยุหลายๆเรื่อง เมื่อก่อนพวกเราหลงทางจากเหตุ การณ์วันที่ 24 ก.ค.51 นำคน 2,000 คนไปสวนสาธารณะหนองประจักษ์ แล้วมีการทำร้ายกัน เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นมาทำให้เป็นคดีความในตอนนี้

ประธานชมรมคนรักอุดรกล่าวอีกว่า วันพรุ่งนี้พวกเราจะอยู่ในที่ตั้ง โดยเสื้อแดงจะมารวมกันอย่างต่ำหมื่นคนขึ้นไป และอย่ามายั่วยุ แต่ถ้าหากเข้ามาใกล้ชายคาเมื่อไร พวกเราทำอะไรไปแล้วอย่ามาโทษเรา รัฐบาลต้องรับผิดชอบ เพราะให้ความร่วมมือกับส่วนราชการว่าจะอยู่ในที่ตั้ง ซึ่งตอนนี้คนเสื้อแดงจากหนองบัวลำภู หนองคาย และอีกหลายจังหวัดกำลังทยอยเข้ามาจ.อุดรฯ เป็นภาพลักษณ์ที่ดีหรือที่ระดมเจ้าหน้ามารักษาความปลอด ภัย ควรเป็นวันแห่งความรักรับดอกกุหลาบและรอยยิ้มต่อกัน แต่ต้องมาเคร่งเครียดในเรื่องนี้ อุดรฯกลายเป็นเมืองโหดร้ายแล้วหรือ ตนเป็นคนของสังคม ทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม แต่วันนี้กลุ่ม พันธมิตรมาระบายสีตีไข่ ทำให้คนอื่นมองเป็นคนก้าวร้าว โหดร้าย ป่าเถื่อน นี้คือสิ่งที่ยอมไม่ได้

-แฉมือที่ 3 เตรียมสร้างสถานการณ์

นายขวัญชัยกล่าวอีกว่า คนเสื้อแดงทั้งหมดจะอยู่ที่นี้ ถ้ามีคนจำนวนมากเกินไปจะนำคนเสื้อแดงไปกราบกรมประจักษ์ศิลปาคมในวันพรุ่งนี้ และยืนยันว่าจะอยู่ในที่ตั้งตามที่นายกฯต้องการความสมานฉันท์ พวกเราไม่ใช่คนเริ่มต้น พวกคุณเป็นฝ่ายเริ่มต้นที่เข้ามาในพื้นที่อันตรายที่มีการต่อต้านอยู่แล้ว แต่ยังดื้อดึงเข้ามา และยังปลุกระดมคนทั่วประเทศเข้ามาจ.อุดรฯ ทำเพื่ออะไร ส่วนมือที่ 3 นั้นทางเจ้าหน้าที่สืบเชิงรุกคงรู้เอง แต่ถ้าพวกเราไม่เคลื่อนไหวก็จะมีการสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง แบบเดียวกันกับแถวทำเนียบรัฐบาล ที่มีการยอมเสียเบี้ยเพื่อหวังผล ซึ่งพวกเขาเตรียมนักข่าวมาเยอะก็ขอให้เจ้าหน้าที่หรือนักข่าวมาบันทึกภาพกิจกรรมการชุมนุมของคนรักอุดรฯว่ามีการเคลื่อนไหวหรือไม่ และถ้าใครมาสวมรอยเป็นมือที่ 3 ประชาชนทั้งประเทศและทั้งโลกจะตัดสินเอง

-รวมพลที่ขอนแก่นก่อนมาอุดรฯ

เวลา 18.30 น. สถาบันเสื้อแดงขอนแก่น นำโดยนายยงยุทธ คงปฏิมากร ประธานกลุ่มนปช. ขอนแก่น เปิดเวทีปราศรัยในสนามกีฬาต้านยาเสพติด ริมบึงแก่นนคร เทศบาลนครขอนแก่น ซึ่งห่างจากบ้านนายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ รมช.คมนา คม กลุ่มเพื่อนเนวินประมาณ 300 เมตร โดยมีสมาชิกคนเสื้อแดง 100 คนเข้าร่วมชุมนุม และมี สมาชิกคนเสื้อแดงจากอำเภอต่างๆในจ.ขอนแก่น พร้อมคนเสื้อแดงจ.มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด นครราชสีมา มุกดาหาร ทยอยมาร่วมชุมนุม และเตรียมเคลื่อนพลจากจ.ขอนแก่นไปร่วมกับคนเสื้อแดงที่จ.อุดรธานี โดยมีพ.ต.อ.ฉลอง ภาคย์ภิญโญ รองผบก.ภ.จว.ขอนแก่น พ.ต.อ.สุจินต์ นิจพานิช ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น พ.ต.ท.วุฒิศักดิ์ รองเมือง สวป.สภ.เมืองขอนแก่น ตำรวจชุดเฉพาะกิจภ.จว. ขอนแก่นประมาณ 200 นาย มาคอยดูแลความ สงบเรียบร้อย และกันไม่ให้มีมือที่ 3 เข้ามาสอดแทรก นอกจากนี้มีกำลังทหารสังกัดในค่ายศรีพัชรินทร์ จ.ขอนแก่น ประมาณ 50 นายมาดูแลความสงบเรียบร้อย

นายยงยุทธกล่าวว่าคนเสื้อแดงขอนแก่นรวมพลังกับคนเสื้อแดงหลายจังหวัดภาคอีสาน เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมและประชาธิปไตยกลับคืนมา เพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ทำให้ประชาชนผิดหวังอย่างมาก และคนไทยกำลังเป็นหนี้ต่างประเทศ คนเสื้อแดงจึงต้องออกมารวมพลัง ซึ่งจะไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ปะทะกับใคร แต่จะใช้ปัญญาและวาทศิลป์เรียกร้องความเป็นธรรมต่อสู้เพื่อให้มีประชาธิปไตย เช่นเดียวกับสมัยพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ

-เสื้อแดงโคราชไล่"บุญจง"

เมื่อเวลา 13.30 น.ที่โรงแรมสีมาธานี จ.นคร ราชสีมา นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย เป็นประธานเปิดอบรมสัมมนาโครงการเสริมสร้างศักยภาพและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของผู้นำท้องถิ่นประจำปี 2552 โดยมีประธานชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้านจากทุกอำเภอ ทั้ง 19 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าร่วม 322 คน ก่อนงานจะเริ่มมีกลุ่มคนเสื้อแดงมารวมตัวประท้วงนายบุญจงบริเวณชั้นล่างของโรงแรม พร้อมตะโกนขับไล่และถือป้ายด่าทอ ทั้งนี้นายประหยัด เจริญศรี รองผู้ว่าฯนครราชสีมา พร้อมกำลังตำรวจกว่า 10 นายเข้ามาพูดคุยขอร้องให้ผู้ชุมนุมออกจากโรงแรม ทางแกนนำกลุ่มจึงฝากข้อความไปยังนายบุญจงว่า ทำไมทรยศต่อประชาชน ก่อนสลายการชุมนุม

เพื่อความยุติธรรม

ที่มา เดลินิวส์

ก็นี่แหละ โรคเก่า ปชป.โต้ทุกเม็ด เทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นอกเหนือจาก โฆษกพรรค โฆษกรัฐบาล

นี่ถ้าคนใน ปชป.ทำงานเก่งได้ซักครึ่งที่เล่นการเมืองเก่ง ก็คงได้รับเลือกตั้งเป็นรัฐบาลด้วยตัวเองไปแล้ว

ไม่ต้องใช้วิธีพิเศษ ปฏิวัติซ่อนรูป

ทั้งกองทัพ ทั้งพวกอนาธิปไตย อุ้มสม จนได้บริหารประเทศตามแผนบันได 4 ขั้นจนได้ ทั้งที่เลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2549 คมช.ก็ช่วยมัดมือมัดเท้าคู่แข่ง (พลังประชาชน) ทุกรูปแบบ

แต่ ปชป. ก็ยังแพ้ไม่เป็นท่า

แถมเอกสารลับ คมช.ยังหลุดไปอยู่ในมือ สมัคร สุนทรเวช เหมือนตอนนี้ เพื่อไทย โวยถูกกองทัพใช้งบฯ ลับ 2,000 ล้าน (อีกแล้ว) เพื่อไล่ บดขยี้ “เสื้อแดง” ให้สูญพันธุ์

ทำให้รัฐบาลกับกองทัพต้องออกมาปฏิเสธชุลมุนชุลเก (อีกแล้ว)

ข่าวของเทพไท ที่กลายเป็น เรื่องเต้า เพราะปูดว่า สหรัฐขึ้นบัญชีดำห้าม “ทักษิณ” เข้าประเทศแล้ว

แต่หลักฐานชิ้นไหน ก็ไม่เด็ดเท่า อีริค จี จอห์น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย เข้าพบ นายชวน หลีกภัย เพื่อเยี่ยมคารวะ แล้วออกมาบอกเอง

สหรัฐไม่มีแผนการที่จะถอนวีซ่าหรือยกเลิกวีซ่าของทักษิณรวมทั้ง นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ (มีข่าวถูกห้ามเข้า เพราะครอบครัวทำธุรกิจอาบอบนวด โพไซดอน ซึ่งเป็นธุรกิจสีเทา) แต่อย่างไร

ท่านทูตยังย้ำ ปกติสถานทูตจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการขอวีซ่าของบุคคลทั่วไปอยู่แล้ว

“แต่เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับอดีตนายกรัฐมนตรีและนางพรทิวา จึงจำเป็นต้องออกมาพูด เพราะข่าวการถอนวีซ่าของทั้ง 2 คน ล้วนเป็นข่าวลือทั้งสิ้น”

ทูตสหรัฐบอกขนาดนี้ แทนที่โฆษกฯ หัวหน้าพรรค จะยอมรับผิด ขอโทษ ที่ข้อมูลพลาด กลับแถดื้อ ๆ ว่า ทูตสหรัฐแค่ใช้ภาษาทางการทูต คือไม่ยืนยันและไม่ปฏิเสธ

เหมือนลูกพี่ เทพเทือก ที่บิดเบือนคำพูดคนดื้อ ๆ ว่า ทักษิณจะขอกลับมาเป็นประธานาธิบดี ทั้งที่เค้าพูดว่า จะขอกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี

ถูกด่ามากเข้า ก็เล่นลิ้นว่า พูดโดยบริสุทธิ์ใจ เพราะเชื่อเช่นนั้น

ราวกับแค่เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจ ก็ฆ่าคนได้ ข้อหานี้สมัยก่อน ตัดหัวเจ็ด ชั่วโคตรนะ จึงไม่ควรเล่นการเมืองน้ำเน่า ทำลายล้างแบบไม่ลืมหูลืมตาขนาด นี้เลย !!!

ทั้งที่จะว่าไป เรื่องทักษิณจะกลับมาเล่นการเมืองอีก เห็นด้วยเลย ถ้ากล้าหาญจริง ก็ควรเข้ามาติดคุกเลย อย่างนั้นถึงจะสง่างาม ไม่ใช่เอาแต่ร้องแรกแหกกระเชออยู่นอกประเทศ

แต่นั่นละ วิธีเล่นการเมืองน้ำเน่าของ ปชป.ก็ไม่ได้ชั่วร้ายน้อยกว่ากันเลย

ก่อนปิดต้นฉบับ ยังไม่รู้ผลที่ “พันธมิตรฯ” ประกาศยกพลบุกสวนสาธารณะหนองประจักษ์ อุดรธานี เพื่อประกาศชัยชนะว่า จะถึงนองเลือดหรือ ไม่ เพราะไปเหยียบจมูกคนเสื้อแดงถึงบ้านเขา

ทั้งที่เป็นวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ เจตนายังไง สาธุชน ตรองดูเถอะ.

ดาวประกายพรึก

สายใยจากอกแม่ รักแท้..แก้ตาบอด

ที่มา ไทยรัฐ

14 กุมภาพันธ์ เป็นวันวาเลนไทน์ทั่วโลก อุปโลกน์ให้วันนี้เป็น วันแห่งความรักหลายที่จึงเต็มไปด้วยดอกกุหลาบ รูปหัวใจ และช็อกโกแลต

แต่จริงๆแล้ว วาเลนไทน์ เป็นชื่อของนักบุญองค์หนึ่ง...

นักบุญที่ทำให้ จักรพรรดิที่โรมเกิดความสำนึก และผู้พิพากษาซึ่งเคยเยาะเย้ยท่านในเรื่องที่คริสตังชอบกล่าวว่า พระคริสต์ทรงเป็นองค์ความสว่างของโลก ได้กลับใจมาเป็นคาทอลิก เพราะทำให้บุตรสาวของเขาหายจากตาบอด

วาเลนไทน์จึงเป็นแบบอย่างและกำลังใจในเรื่องของความเชื่อ และความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์

โดยเฉพาะความรักที่บริสุทธิ์ปราศจากเงื่อนไขใดๆ เช่น ความรัก ที่แม่มีต่อลูก

และก็น่าแปลกที่เรื่องราวของอาการตาบอดกับเรื่องราวของความรักถูกจับมาโยงใยเข้าหากันในพ.ศ.นี้อย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อล่าสุดแพทย์ค้นพบว่าสายใยรักจาก อกแม่หรือ น้ำนมมีสารอาหารชนิดหนึ่ง ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากอาการตาบอดของทารกและเด็กเล็กๆ

ลูทีนคือ สารที่ว่านั้น

รศ.นพ. สรายุทธ สุภาพรรณชาติ กุมารแพทย์จากชมรมเวชศาสตร์ ทารกแรกเกิดแห่งประเทศไทย เปิดเผยเรื่องราวนี้ ในงานประชุมวิชาการของชมรมเวชศาสตร์ทารกแรกเกิดแห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆนี้

คุณหมอสรายุทธ บอกว่า ลูทีน...เป็นสารอาหารในกลุ่มที่เรียกว่า แซนโทฟิลส์ (Xanthophylls) มีลักษณะเป็นสารสีเหลือง ที่มีผลต่อการปกป้องดวงตาของคนเรา

มีการศึกษาพบว่า ในจอประสาทตาจะมีร่องเล็กๆ อยู่จุดหนึ่งที่มีเซลล์รับภาพ ซึ่งเป็นจุดที่แสงตกกระทบ ทำให้สามารถมองเห็นภาพที่ชัดเจนในแต่ละวัน ซึ่งบริเวณที่มีปริมาณของสารลูทีนอยู่หนาแน่นมากที่สุด เป็นจุดที่สำคัญมากต่อการมองเห็น

หากจุดที่ว่านี้ เกิดเสื่อมหรือเสียไป ก็จะทำให้ตาบอดหรือสูญเสียการมองเห็นได้

สารลูทีนในเซลล์รับภาพในจอประสาทตานี้ จะทำหน้าที่สำคัญ คือ คัดกรองแสงสีฟ้า ซึ่งเป็นอันตรายต่อจอประสาทตา และเป็นแสงที่หลีกเลี่ยงได้ยากเพราะมีอยู่ทั่วไป...

ทั้งแสงแดดในเวลากลางวัน แสงจากโทรทัศน์ แสงจากจอคอมพิวเตอร์ และแสงจากหลอดไฟคุณหมอสรายุทธ บอก

คุณหมอสรายุทธ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อเด็กอายุมากขึ้น สารลูทีน ในเลือดจะลดลง หากไม่ได้รับสารนี้จากอาหารอย่างเพียงพอ เพราะลูทีนถือเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญในการปกป้องจอประสาทตา

มีกรดไขมัน DHA และ AA ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างพัฒนาการด้านการมองเห็นของเด็ก

ซึ่งนอกจากจะพบลูทีนในดวงตาของคนเราแล้ว สารนี้ยังพบได้ในสมองส่วนที่เกี่ยวกับการมองเห็นถึง 66% พิสูจน์ว่า ลูทีนมีส่วนช่วยในการรับภาพและส่งต่อไปยังสมอง นอกจากนี้ ลูทีนยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ในดวงตาของคนเรา

เพราะในดวงตาของเราจะมีสารอนุมูลอิสระอยู่ ที่เป็นตัวทำลายเซลล์รับภาพและทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับจอประสาทตาทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

การศึกษาในต่างประเทศ พบด้วยว่า ปริมาณของลูทีนในกลุ่มเด็กแรกเกิดที่กินนมแม่กับกลุ่มเด็กแรกเกิดที่ได้รับนมผสม มีปริมาณลูทีนในเลือดอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน แต่หลังอายุ 1 เดือน กลุ่มเด็กที่ได้รับนมแม่จะมีปริมาณลูทีนเฉลี่ยในเลือดอยู่ในระดับสูง แต่กลุ่มเด็กที่ได้รับนมผสมจะมีปริมาณลูทีน เฉลี่ยในเลือดลดลง

ตรงกับข้อมูลของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุว่า...

แม่ไทยนิยมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนต่ำติดอันดับสุดท้ายเอเชีย และติดอันดับ 3 ก่อนสุดท้ายของโลก ทำให้เด็กไทย มีไอคิวต่ำกว่ามาตรฐาน โดย 1 ใน 3 มีพัฒนาการช้า

นพ.โสภณ เมฆธน รองอธิบดีกรมอนามัย ระบุว่า ผลการศึกษาพัฒนาการและระดับสติปัญญาหรือไอคิวของเด็กไทย มีแนวโน้มลดลง

ล่าสุด พบว่าเด็กไทยอายุ 6-13 ปี มีไอคิวอยู่ที่ 88 จุด ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ มาตรฐานสากลที่กำหนดไว้คือ 90-110 จุด

และผลสำรวจพัฒนาการสมวัยของเด็กวัยต่ำกว่า 5 ขวบ ล่าสุดในปี 2550 มีแนวโน้มลดลง จากร้อยละ 72 ในปี 2547 เหลือร้อยละ 68 ในปี 2550

ถือเป็นดัชนีชี้วัดอนาคตเด็กไทยที่น่าห่วงมาก

ที่น่าวิตกอย่างยิ่ง คือ แม่ไทยในยุคหลังๆ นิยมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ในอัตราที่ต่ำมาก ผลการศึกษาขององค์การยูนิเซฟ (UNICEF) ในปี 2549 พบประเทศไทยมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนเพียงร้อยละ 5.4 ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในเอเชีย และเป็นลำดับที่ 3 ก่อนสุดท้ายของโลก จะต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ส่วนในเรื่องของสุขภาพสายตา มีข้อมูลว่าเด็กไทยทุกวันนี้ มีสายตา แย่ลง หลายคนต้องใส่แว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 5 ขวบ

ผศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ หัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า เด็กไทยในพ.ศ.นี้ มีภาวะของความไม่ปกติทางสายตาสูงมาก ส่วนหนึ่งมาจากกรรมพันธุ์และพฤติกรรมที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และโทรทัศน์เป็นเวลานานๆ

โรคจอประสาทตาเสื่อมในเด็ก แม้จะพบไม่บ่อยแต่ก็รุนแรง เพราะจอประสาทตา ถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดต่อการรับภาพและมองเห็นภาพชัดเจน โดยทำหน้าที่เปลี่ยนแสงที่ตกกระทบเป็นสัญญาณภาพไปแปลผลที่สมอง

เมื่อจอประสาทตาผิดปกติ หรือถูกทำลายจะทำให้เห็นภาพเลือนรางหรือสูญเสียการมองเห็น ซึ่งจอประสาทตานี้อาจถูกทำลายจากแสงสีฟ้าซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของแสงที่อยู่รอบๆตัวเรา

ปัญหาสุขภาพตาของเด็กไทยในปัจจุบันยังน่าห่วง เนื่องจากพ่อแม่ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นความสำคัญของการปกป้องและดูแลสุขภาพดวงตาของลูก แต่มักจะพามาพบจักษุแพทย์ ก็ต่อเมื่อเกิดปัญหากับดวงตาของลูกแล้ว

ทางที่ดีพ่อแม่ควรให้ความสำคัญใส่ใจดูแลสุขภาพดวงตาของลูก ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านการมองเห็นของลูกไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพัฒนาการด้านอื่นๆ

พัฒนาการทางสายตาและการมองเห็นของเด็ก...ถือเป็นประตูสู่การเรียนรู้และการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งจะส่งผลต่อพัฒนาการรอบด้าน

คุณหมอศักดิ์ชัย ย้ำ

สำคัญที่สุด เด็กจะมีการพัฒนาการด้านสายตาสูงสุดช่วงแรกเกิดถึง 4 ขวบ ดังนั้น การที่เด็กได้กินนมแม่ที่มีสารอาหารที่ช่วยพัฒนาทั้งสมองและสายตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายชัดเจนที่จะรณรงค์ให้ แม่ได้ เลี้ยงลูกด้วยนมของตนเองเพื่อสร้างเด็กไทยให้ฉลาด สุขภาพดี อารมณ์ดี

ซึ่งผลวิจัยทั่วโลกยืนยันตรงกันว่า เด็กที่กินนมแม่จะมีปัญญาดี หรือ ฉลาดกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ถึง 11 จุด

ที่สำคัญ การให้ลูกได้ดื่มนมแม่เป็นการถ่ายทอดไออุ่นของความรัก ความผูกพันผ่านน้ำนมจากแม่สู่ลูก

มีคำกล่าวว่า...ความรักทำให้คนตาบอด

แต่จากผลวิจัยที่บรรดาแพทย์ได้ออกมายืนยันตรงกันในครั้งนี้คงเป็นบทพิสูจน์ได้ว่า...รักแท้ๆจากอกแม่ นอกจากจะไม่ทำให้ตาบอดแล้ว

ยังทำให้ตาสว่างและฉลาดอีกด้วย!

ไม่จำเป็น

ทีมา ไทยรัฐ

เวลาเปลี่ยนแปลงอะไรๆ ก็เปลี่ยนไป ตอนเปิดตัวเปลี่ยนขั้วรัฐบาล นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศยึดนโยบายสมานฉันท์เป็นธงนำ

แก้ปัญหาประชาชน ไม่สร้างความขัดแย้ง หลีก เลี่ยงการตอบโต้ทางการเมือง

เพราะรัฐบาลต้องการลดเงื่อนไขแตกแยก ในสังคมไทยโดยเร็ว

แม่ลูกจันทร์ฟังแล้วก็เคลิ้มตาม

เวลาผ่านไปยังไม่ครบ 2 เดือน โรคเก่ากำเริบอีกแล้วโยม!!

รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับมาใช้ลีลาเดิมใช้ ปากเป็นอาวุธประจำกาย เพราะพรรคประชาธิปัตย์มั่นใจในฝีปากตัวเอง มั่นใจอำนาจรัฐในมือ ก็เลยออกอาการฮึกเหิมผิดหูผิดตา

ถ้าถูกฝ่ายค้านแหลมมาหนึ่งดอก ต้องเบิ้ลกลับไปสองดอกทันที!!

เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสั้นก็กลายเป็นเรื่องยาว

ทีมโฆษกพรรคก็มี ทีมโฆษกรัฐบาลก็มี ยังอุตส่าห์ตั้งโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค มาเปิดสงครามนํ้าลายเพิ่มพิเศษอีกหนึ่งคน

แทนที่จะทำให้ภาพรัฐบาลดีขึ้น กลับ ทำให้รัฐบาลเสียรังวัดยิ่งกว่าเดิม

นอกจากนั้น การมีทีมโฆษกมากเกินความจำเป็นก็ทำให้เหยียบตาปลากันเอง

เฮ้อ...เห็นแล้วก็อ่อนใจ

ความจริง นายกฯอภิสิทธิ์ ก็เยี่ยมวรยุทธ์ ชั้นเชิงลีลาการพูดระดับเซียน สามารถชี้แจง ตอบโต้ประเด็นต่างๆได้เองอย่างสบายๆ ไม่มีความจำเป็นต้องตั้งโฆษกประจำตัวมาช่วยชี้แจงตอบโต้แทน

แหม...ทำยังกับ อภิสิทธิ์เป็นเด็ก ฝึกงาน

แม่ลูกจันทร์ เห็นว่ารัฐบาลต้องพิสูจน์ ให้สังคมเห็นว่าได้ยึดมั่นแนวทางสมานฉันท์ หลีกเลี่ยงความขัดแย้งอย่างที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา

เพราะขณะนี้ รัฐบาลต้องแบกภาระแก้ วิกฤติหนักๆของชาติบ้านเมืองสารพัดเรื่องสารพัดประเด็น

รัฐบาลจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องขอความร่วม มือจากฝ่ายค้านในสภาฯและจากทุกฝักฝ่ายในสังคม

การเปิดประเด็นโจมตีตอบโต้เป็นรายวันจึงไม่ได้ช่วยให้รัฐบาลทำงานได้ อย่างสบายใจ

หน้าที่หลักของรัฐบาลคือพุ่งสมาธิไปที่ การทำงานอย่างเดียว!!

ข้อสำคัญ การเป็นรัฐบาลจำเป็นต้องใช้ ความอดทนอดกลั้นและอย่าให้ความสำคัญกับประเด็นปลีกย่อยทางการเมือง

เอาเวลาที่ใช้ตอบโต้ทางการเมืองไปทุ่มเทแก้วิกฤติเศรษฐกิจให้เกิดผลสำเร็จอย่างที่ฉายหนังโฆษณา

เพราะมรสุมเศรษฐกิจครั้งนี้มีความอยู่รอดของประเทศเป็นเดิมพัน

วิกฤติไฟใต้ที่รัฐบาลประกาศจะผ่าตัดยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นความ เปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม

และ...อย่าให้นํ้าหนักฝ่ายค้านเกินไป

เพราะฝ่ายค้านยังไม่มีประเด็นที่เป็น จุดตายที่จะเช็กบิลรัฐบาล

แม่ลูกจันทร์ ฟันธง อภิสิทธิ์ ได้เปรียบฝ่ายค้านทุกประตู

รัฐบาลจะอยู่สั้นหรือยาว ขึ้นอยู่ที่เงื่อนไข 4 ประการ

1, นายกฯอภิสิทธิ์ ต้องควบคุมความประพฤติรัฐมนตรี อย่าปล่อยให้ทำเรื่องอื้อฉาวให้ชาวบ้านเสื่อมศรัทธา

2, บริหารความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลให้ดีๆ อย่า เขี้ยว กับเพื่อนมากเกินไป โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณ

3, อย่าประมาทปัญหาองค์ประชุมสภาฯ เพราะโอกาสสภาฯล่มซํ้าซากยังเกิดขึ้นได้ ตลอดเวลา

ถ้ากฎหมายสำคัญของรัฐบาลไม่ผ่านสภาฯ ก็เก็บฉากกลับบ้านได้เลย

4, รัฐบาลต้องระวังอย่าทำอะไรเข้า ข่ายขัดรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้วางกับดักไว้หลายแง่หลายมุ

ล่าสุด รัฐมนตรี 3 คน ที่ถือหุ้นเกิน กำหนดในรัฐธรรมนูญก็กำลังจะกลายเป็น ปลาตายนํ้าตื้นอีก 3 ตัว??

แม่ลูกจันทร์

บอกรักวันละนิดจิตแจ่มใส

ที่มา ไทยรัฐ

วันเสาร์สบายๆวันนี้ตรงกับ วันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็น วันแห่งความรัก เพื่อรำลึกถึง นักบุญวาเลนไทน์ ในสมัยจักรวรรดิโรมัน ที่เสียสละแอบช่วยเหลือหนุ่มสาวให้ได้แต่งงานกัน หลังจากที่ จักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ประกาศห้ามแต่งงานในกรุงโรม เพื่อตัดขาดความรักระหว่างครอบครัวและคนรัก ออกไปจากความผูกพันของทหารที่ถูกเกณฑ์ไปทำสงคราม

ดังนั้น วันเสาร์สบายๆที่เต็มไปด้วยไอรักอย่างนี้ ผมมีเรื่อง ความรัก และ การเติมเต็มความรัก มาฝากท่านผู้อ่านเพื่อ เติมเต็มความรักในครอบครัวและคนรัก ให้จิตใจแจ่มใสชื่นบานเหมือนดอกไม้บานในยามเช้า

ความรัก เป็นเรื่องของอารมณ์และความรู้สึก ที่ส่งผลต่อความผูกพันซึ่งกันและกันทางจิตใจมหาศาล ความรักที่เกิดขึ้นด้วยความ บริสุทธิ์ใจ ไม่ว่าจะเป็น ความรักของคู่รัก ความรักของสามีภรรยา ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ความรักของลูกที่มีต่อพ่อแม่ จะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการเสียสละ เป็นความรักที่มอบให้โดยไม่หวังผลตอบแทน

ใน ศาสนาพุทธ ความรักคือการให้ ให้ด้วยความเมตตา ไม่ยึดติดในรูป รส กลิ่น เสียง ไม่หวังผลตอบแทน

ใน ศาสนาคริสต์ ความรักเป็นสิ่งสูงสุด พระเจ้าคือความรัก ไม่มีอะไรเทียม

สัญลักษณ์แห่งความรักที่เรารู้จักกันทั่วไปก็คือ กามเทพชายหนุ่มรูปงามที่มีอาวุธเป็นคันศรและลูกธนู คันศรทำจากอ้อยมีผึ้งตอมอยู่รอบๆ ลูกศรประกอบด้วยดอกไม้หอม 8 ชนิด มีสหายเป็นนกดุเหว่า นกแก้ว ผึ้ง สายลมเอื่อย และฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งก็คือธรรมชาติของฤดูใบไม้ผลินั่นเอง

ดอกไม้ที่นิยมมอบให้กันในวันวาเลนไทน์ เพื่อเป็นสื่อแสดงความรักต่อกันก็คือ ดอกกุหลาบ กุหลาบแต่ละสีก็มีความหมายในการแสดงความรักที่แตกต่างกัน

กุหลาบแดง แสดงถึงความรักของหนุ่มสาวผมรักคุณ

กุหลาบขาว แสดงถึงความรักอันบริสุทธิ์

กุหลาบชมพู แสดงถึงความรักแบบโรแมนติก

กุหลาบเหลือง แสดงถึงความรักแบบเพื่อน

ความรักที่สำคัญที่สุด ที่ผมขอฝากท่านผู้อ่านไว้ตรงนี้ก็คือ ความรักของคนในครอบครัว ซึ่งประกอบด้วย ความรักของสามีภรรยา ความรักของพ่อแม่ต่อลูก ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง

ครอบครัวที่พ่อแม่ไม่รักกัน ทะเลาะกันทุกวัน กลายเป็นครอบครัวมีปัญหา พ่อแม่หย่ากัน มักส่งผลกระทบไปถึงลูกโดยตรง และกลายเป็นปัญหาของสังคม

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้ คนเป็นพ่อแม่ รับรู้ก็คือ ลูกทุกคนจะโหยหาความรักจากพ่อแม่ตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะพูดหรือไม่พูด ไม่ว่าเขาจะแสดงออกหรือไม่แสดงออกก็ตาม และไม่อยากเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันหรือแยกทางกัน

ผมอยาก ให้พ่อแม่ทุกคนบอกรักลูกทุกวัน ถ้าไม่ได้ อาทิตย์ละครั้ง เดือนละครั้ง หรือ ปีละครั้ง ก็ยังดี จะเอาวันวาเลนไทน์ก็ได้ การตอกย้ำความรักที่มีต่อลูก นั่นคือความโหยหาที่ลูกๆทุกคนต้องการ

สามีภรรยาก็เหมือนกัน การบอกรักซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ทำให้ชีวิตคู่ราบรื่น ในนิตยสาร รีดเดอร์ ไดเจสท์ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ เขาได้สำรวจ การบอกรักระหว่างสามีภรรยาแต่ละประเทศ คนชาติไหนทำบ่อยแค่ไหน

อันดับ 1 แอฟริกาใต้ บอกรักทุกวันถึง ร้อยละ 70 รองมา อันดับ 2 สหรัฐฯ บอกรักทุกวัน ร้อยละ 67 ตามมาด้วย อังกฤษ ออสเตรเลีย บอกรักทุกวัน ร้อยละ 65 บราซิล ร้อยละ 56 แต่ ฝรั่งเศส เมืองน้ำหอมกลับบอกรักกันทุกวันแค่ ร้อยละ 57

มาถึง สามีภรรยาไทย ผลสำรวจออกมา อยู่อันดับบ๊วยสุด บอกรักกันทุกวันแค่ ร้อยละ 11 ที่บอกรักกัน สัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละครั้ง ร้อยละ 30 และ จำไม่ได้ว่าเคยบอกรักกันหรือเปล่าปาเข้าไป ร้อยละ 59 แสดงว่า ครอบครัวไทยยังขาดแคลนความรักอีกมาก เริ่มเสียตั้งแต่วันนี้เลยครับ บอกรักกันวันละนิดในครอบครัว รับรองว่าคนในครอบครัวจะมีจิตใจสดชื่นแจ่มใสแน่นอน.

ลม เปลี่ยนทิศ

'งานเข้า' ทำ 'งานกร่อย'

ที่มา ไทยรัฐ

ยิ่งสาวยิ่งมัน กับปมเงินบริจาค 250 ล้านบาท ที่พูดกันไปคนละทางสองทาง แต่สำคัญสุดก็คือเจ้าของเงินอย่างนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ บอสใหญ่ทีพีไอ ได้ออกมายอมรับกับปากเองแล้วว่า จ่ายเงินให้กับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จริง

โดยเป็นเงินค่าโฆษณา

และก็เป็นอะไรที่ได้น้ำได้เนื้อขึ้นมาอีกนิด ท่ามกลางเสียงปฏิเสธของคนประชาธิปัตย์ ทั้งชิ่งทั้งปัดกันพัลวัน แกะรอยจากนายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วน อดีตรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ยืนกราน

นายประชัยไม่ได้บริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ในช่วงนั้น

แต่เข้าใจว่า น่าจะเป็นการจ่ายค่าโฆษณาที่จ้างบริษัทรับทำโฆษณา ป้ายหาเสียง และปฏิทินที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ไปเปิดบริษัท แต่ไม่เกี่ยวกับพรรคแต่อย่างใด

และพรรคได้ไปจ้างบริษัทเดียวกับนายประชัย ในการจัดทำโฆษณาด้วย

ขมวดวงแคบเข้ามา

ที่แน่ๆโดยสภาพของบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ที่ระบุไว้ในต้นขั้วเช็คสั่งจ่าย เป็นบ้านทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น ย่านลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี

และเท่าที่สื่อมวลชนเจาะข้อมูลลึกลงไป บริษัทที่ว่านี้จดทะเบียนทำธุรกิจประเภทประกอบกิจการรับจ้างผลิตสื่อสิ่งพิมพ์บริการ มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท

แต่รับงานมูลค่าสูงถึง 250 ล้านบาท

โดยปมทะแม่งๆที่สังคมภายนอกตามดมกลิ่นตุๆได้ แต่ที่ฉุนกึกกว่า กลับกลายเป็นปมภายในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเอง

นั่นเพราะโดยเงื่อนเวลาการโอนเงินปริศนาที่เกิดขึ้นในปี 2547-2548 มันคาบเกี่ยวการผลัดเปลี่ยนอำนาจในพรรคประชาธิปัตย์

จากสายทศวรรษใหม่ที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค และนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นเลขาธิการพรรค มาเป็นยุคของทีม ผลัดใบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และ เทพเทือกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการพรรค

มองหน้ากันเลิ่กลั่กเลย ใครเอี่ยวกันแน่

แต่ที่แน่ๆโดยการปะติดปะต่อเหตุการณ์ มันก็คาบเกี่ยวพอดีกับยุคที่เกมโค่น ทักษิณ ชินวัตรกำลังก่อตัวจากม็อบสวนลุมฯ

นักธุรกิจที่หมั่นไส้ ลงขันล้มรัฐบาลไทยรักไทย

โดยปมเงิน 250 ล้านบาท ที่เล่นเอาพรรคประชาธิปัตย์ งานเข้า

แต่โดยปมเงิน 250 ล้านบาทเหมือนกัน ก็ทำให้พรรคเพื่อไทย งานกร่อย

ทางหนึ่งสายบู๊ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรค ในฐานะ ผู้นำฝ่ายค้านเงาก็ใส่เกียร์ห้าเหยียบคันเร่งเดินหน้าเต็มกำลัง โหมโรงข้อมูลปึ้กเต็มที่ ชิงสรุปมติพรรคเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ

มั่นใจปม 250 ล้านบาทจะล้มรัฐบาล อภิสิทธิ์ชน กลิ้งไม่เป็นท่า

อีกทางหนึ่ง พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาฯ ก็รับมุกพี่น้องตระกูลชินวัตร เหยียบเบรกหัวคะมำ ออกมายืนยันพรรคเพื่อไทยยังไม่มีมติยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

กลัวข้อมูลไม่แน่น ทำให้ฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทยถูกโห่ ต่ออายุให้รัฐบาลประชาธิปัตย์

พระวัดเดียวกัน แต่สวดมนต์ไปคนละทาง

ยังไม่นับสัญญาณแรงๆที่นายอนุสรณ์ ปั้นทอง ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ออกมาพูดชัดๆในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถ้ายื่นชื่อของ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นนายกรัฐมนตรีประกบกับนายอภิสิทธิ์ จะกระทบต่อคะแนนนิยมของทีม ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทยแน่นอน

ขณะที่เสียงจากสายเหนือ นายอิทธิเดช แก้วหลวง ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ออกมาจุดพลุ เท่าที่คุยกับ ส.ส.ในพรรค เห็นว่านายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตรองนายกฯ มีความเหมาะสมกับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพราะเก่งด้านเศรษฐกิจ

ทั้งหมดทั้งปวง พอจับสัญญาณได้ว่า คิวยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจมีผลผูกโยงกับการหาตัวคนถือธงนำทัพพรรคเพื่อไทย

และที่น่าจับตาจริงๆกับความเคลื่อนไหวของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะน้องเขยอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร

ล่าสุดนัดอดีตรัฐมนตรีรัฐบาลพรรคพลังประชาชนตั้งวงกินข้าวที่โรงแรมหรู

โดยหนึ่งในนั้นคือนายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจในยุครัฐบาลของนายสมชาย ที่ถูกแซวว่า นั่งหัวโต๊ะเพราะจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

มุกอำกันเล่นๆ แต่สะท้อนนัย

นายใหญ่กำลังควาญหา ตัวจริงรับธงนำพรรคเพื่อไทย

ไม่กล้าปล่อย มวยแทนทำโฉ่งฉ่าง.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน