WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, February 5, 2011

ตายอย่าง "บ้าๆ-โง่ๆ"

ที่มา มติชน



โดย สรกล อดุลยานนท์

(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2554)

ถามว่ามีคนไทยกี่คนที่ได้เห็นหรือเคยไปสัมผัสพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่เป็น "พื้นที่ทับซ้อน" ของไทย-กัมพูชาบ้าง

เรื่อง "รักชาติ" หรือการรักษา "อธิปไตย" ของชาตินั้นพูดแล้วหล่อ ฟังแล้วเพราะ

แต่ถามว่า เคยตั้งคำถามไหมว่า "ชาติ" คืออะไร "อธิปไตย" คืออะไร

แค่ก้าวข้ามเส้นพรมแดนซึ่งต่างฝ่ายต่างเชื่อไม่เหมือนกัน แล้วหมายความว่า อีกฝั่งหนึ่งกำลังละเมิดอธิปไตยของเรา

คนที่คิดจะเจรจากันดีๆ กลายเป็นคนไม่รักชาติ

นึกถึงเด็กที่ทะเลาะกัน ใช้วิธีขีดเส้นเส้นหนึ่งขึ้นมาเหมือนเป็นเส้นพรมแดน

ท้าทายกันว่าแน่จริงก็เหยียบเส้นนี้สิ หรือเอาเท้าลบเส้นที่ขีดไว้สิ

สุดท้ายก็ชกกัน

เส้นพรมแดนนั้นเป็นแค่เส้นสมมุติ ว่าใครอยู่ประเทศไหน แต่ความจริงก็คือ ความสัมพันธ์ของคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับเส้นเขตแดน ไม่ได้ขึ้นกับเชื้อชาติหรือสัญชาติ

คนภูมิซรอล จังหวัดศรีสะเกษ เขาไม่รู้จักคนกรุงเทพฯที่กำลังพูดเรื่อง "อธิปไตย" หรอกครับ

ทั้งที่เป็น "คนไทย" เหมือนกัน

แต่คนภูมิซรอลกลับคุ้นเคยและสนิทสนมกับคนกัมพูชาที่หมู่บ้านอยู่ติดกัน และเดินไปมาหาสู่กันเป็นประจำมากกว่า

ทั้งที่เป็นคนละชาติกัน

ครับ ระหว่างคนศรีสะเกษกับคนกรุงเทพฯ

ถามจริงๆ เถอะว่าใครควรจะเสียงดังเรื่องเส้นพรมแดน หรืออธิปไตยของชาติมากกว่ากัน

การปะทะกันเมื่อวันก่อน

ใครล่ะที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ

ฟังเสียงของเขาบ้างสิ

แค่ธงชาติเล็กๆ ผืนหนึ่งบนพื้นที่ทับซ้อน เราจะต้องรบกันเชียวหรือ

ถอยออกมาแล้วตั้งสติกันสักนิด

ผมนึกถึงข้อเขียนของอาจารย์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี 2519

"จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน"

เป็นแนวคิดเรื่องความต้องการพื้นฐานของอาจารย์ ป๋วย เป็นความฝันของคนธรรมดาคนหนึ่งที่เรียบง่าย ตั้งแต่วันแรกที่อยู่ใน "ครรภ์มารดา"

จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต

อาจารย์ ป๋วยบอกว่า เมื่อแก่ เขาและเมียก็ควรได้ประโยชน์ตอบแทนจากการประกันสังคม ซึ่งได้จ่ายบำรุงตลอดมา

"เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ๆ อย่างบ้าๆ คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามกลางเมือง ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตายเพราะน้ำหรืออากาศเป็นพิษ หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ"

"เจริญ ผาหอม" ชาวบ้านภูมิซรอล ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คงตั้งคำถามเหมือนกัน

ทำไมเขาต้องตายอย่างโง่ๆ อย่างบ้าๆ ด้วย

สัญชาติมาร์ค

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน

มันฯ มือเสือ




กลายเป็นประเด็นให้ต้องถกเถียงกัน เกี่ยวกับสัญชาติของนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

เรื่องนี้มีจุดเริ่มจากเสียงท้วงติงกรณี นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความนปช.

ยื่นฟ้องรัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกฯอภิสิทธิ์ ในคดี 91 ศพ ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือไอซีซี ว่าไม่น่าทำได้

เนื่องจากเนื้อหาที่นำไปฟ้องร้องไม่อยู่ในขอบข่ายที่ไอซีซีจะรับไว้พิจารณา

ที่สำคัญประเทศไทยไม่ได้เป็นรัฐภาคีกับไอซีซี เนื่องจากไม่ได้ลงสัตยาบันไว้

แต่นายอัมสเตอร์ดัม อ้างว่าการที่ไอซีซีจะรับคดีไว้พิจารณาหรือไม่ ยังต้องรอกระบวนการตรวจสอบหลักฐานทั้งหมดก่อน

ส่วนเรื่องที่ไทยไม่ได้เป็นรัฐภาคีกับไอซีซีนั้น

ตรงนี้แหละที่นำมาสู่ประเด็น ว่าด้วยสัญชาติของนายกฯอภิสิทธิ์

ตามประวัติอันเป็นที่รับรู้กันนายกฯอภิสิทธิ์ เกิดเมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ ไม่ได้เกิดที่บ้านซอยสุขุมวิท 31

นั่นทำให้นายกฯอภิสิทธิ์ ได้รับสัญชาติอังกฤษโดยอัตโนมัติ

เมื่อนายอภิสิทธิ์ มีสัญชาติอังกฤษ และประเทศอังกฤษร่วมเป็นรัฐภาคีกับไอซีซีโดยสมบูรณ์

ถ้ายึดตามหลักตรรกะนี้ ก็จะสามารถฟ้องร้องนายอภิสิทธิ์ ต่อไอซีซีได้

การที่ใครต่อใครหลายคนช่วยตอบโต้ หรือแม้กระทั่งตัวนายอภิสิทธิ์เอง ที่ตอบคำถามนักข่าวยืนยันว่าตนเองสัญชาติไทยนั้น

เป็นการตอบแบบ 'คนละเรื่องเดียวกัน'

นายอภิสิทธิ์ มีพ่อคือหมออรรถสิทธิ์ แม่คือแพทย์หญิงสดใส เป็นคนไทยทั้งคู่ ตามกฎหมายนายอภิสิทธิ์ จึงมีสัญชาติไทยโดยการเกิด

ตรงนี้ไม่มีใครสงสัย

ที่สงสัยกันอยู่ก็คือแล้วนายอภิสิทธิ์ ถือสัญชาติอังกฤษด้วยหรือไม่

ใช่หรือไม่ใช่ ควรตอบต่อสังคมให้ชัดเจน เพราะเรื่องนี้มีแต่ตัวนายอภิสิทธิ์ เท่านั้นที่รู้จริงกว่าใคร

คนเป็นนายกฯ ไม่สมควรตอบแบบคลุมๆ เครือๆ หรือลดเลี้ยวไปมาเกี่ยวกับสัญชาติของตนเอง

เช่นตอบว่า "ผมสัญชาติไทย ไม่มีสัญชาติมอนเตเนโกร"

อย่างนี้คนละเรื่อง

หรือการพยายามจะอธิบายว่า ตอนเรียนหนังสือที่อังกฤษก็จ่ายค่าเล่าเรียนเหมือนคนต่างประเทศ เวลาจะเข้าประเทศอังกฤษก็ต้องขอวีซ่า

ถึงจะชัดขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังไม่ตรงอยู่ดี ไม่รู้จะ'กั๊ก'ไว้ทำไม

เรื่องง่ายๆ ดันทำให้เป็นเรื่องยาก ส่วนเรื่องยากๆ อย่างคดี 91 ศพ ดันไม่ทำอะไรเลย

สมควรแล้วถ้าจะโดนจับขึ้นศาลโลกเสียให้เข็ด

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย วันที่ 05/02/54

ที่มา thaifreenews

โดย blablabla



ทั้งหน้าด้าน ทั้งเส้นใหญ่ กว่าใครหมด
ผู้กำหนด คือเบื้องหลัง สั่งอุ้มสม
หวังอำนาจ พวกตน คนโสมม
ความโง่งม ครอบงำ จึงทำไป....

ฆาตกร ผู้สั่งฆ่า ประชาราษฎร์
ยังสามารถ ลอยตัว ทำชั่วได้
ทั้งสั่งปราบ สั่งล่า ฆ่าคนไทย
ยังเฉไฉ ยิ้มร่า อย่างหน้ามึน....

ทุกปัญหา ถาโถม จนล่มสลาย
ยังกรีดกราย โน้นนี้ ว่ามีกึ๋น
นิติรัฐ นิติธรรม ซ้ำพังครืน
ยังหยัดยืน ว่าตน คนทำงาน....

มาช่วยงัด เก้าอี้ เด็กมีเส้น
แม้นยากเข็ญ เรื่องราว ที่กล่าวขาน
เพราะคนอยู่ เบื้องหลัง คอยสั่งการ
ยังสามานย์ ด้วยเล่ห์กล คนระยำ....

จะจบลง แบบไหน ก็ไม่แปลก
ช่วยชำแรก เรื่องชั่วช้า มาตอกย้ำ
ช่วยเปิดโปง เรื่องจริง ทุกสิ่งทำ
เพื่อประชา ตาดำดำ ได้ทำใจ....

ช่วยซักฟอก เด็กอัปรีย์ คนมีเส้น
พวกกากเดน ทรชน แต่หนไหน
เพื่อประชา มีหวัง กำลังใจ
มันเส้นใหญ่ ช่างมัน อย่าหวั่นเกรง....

๓ บลา / ๕ ก.พ.๕๔
จากมุมหนึ่งของประเทศไทย

ประชาชนวิเคราะห์ข่าว ปรี๊ดแตก ออกโรงฉะ ปชป.

ที่มา thaifreenews


“เจ๊วา” ปรี๊ดแตก ออกโรงฉะ “เด็กปชป.” ไล่ส่งให้หยุดเหยียบบ่าพรรคร่วมฯได้แล้ว ยันทุ่มเทแก้ปัญหาของแพงเต็มที่ เผยราคาน้ำมันปาล์มพุ่ง ให้ไปดูที่ "ต้นทาง" ของปัญหาว่าทำไมถึงแพง และใครรับผิดชอบอยู่ เหน็บเป็นส.ส.น่าคิดให้รอบคอบ ไม่ใช่มาเอะอะโวยวายแบบนี้


แฉ "นักการเมืองใหญ่" สมคบ "ผู้ผลิต" ได้ประโยชน์วิกฤติน้ำมันปาล์มขาด รวมหัวทำให้ขาดแคลนจนต้องขึ้นราคาและนำเข้า เปิดรายชื่อบอร์ดน้ำมันปาล์ม พบตัวแทนกลุ่มโรงงานโรงสกัดเพียบ


วันที่ 3 ก.พ. 2554 ที่รัฐสภา นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เปิดแถลงข่าวตอบโต้นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กรณีตีปี๊บแถลงข่าว กล่าวหารมว.พาณิชย์ไม่แก้ปัญหาราคาน้ำมันปาล์มแพง จากปี๊บละ 560 บาท เป็น 1,150 บาท และราคามะขามเปียกที่ราคากิโลกรัมละ 45 บาท เป็น 110 บาทว่า นายวัชระควรที่จะไปดูที่ต้นน้ำของปัญหา ว่าทำไมสินค้าถึงแพง เพราะกระทรวงพาณิชย์มีหน้าที่แก้ปัญหาที่ปลายน้ำ นายวัชระควรที่จะวิคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นให้ถูกต้อง ไม่ใช่ตีปี๊บพูดเอามัน ตีกิน เหยียบบ่าเพื่อนพรรคร่วมรัฐบาล เพราะถือว่าไม่ถูกต้อง คนเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล น่าจะเข้าใจ ยืนยันว่าตนได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แต้ต้องดูว่าต้นทางอยู่ที่ไหน ใครรับผิดชอบเรื่องปาล์ม กระบวนการมันมีอยู่ ถ้าตนมีอำนาจคนเดียวก็จะสามารถสั่งการได้เร็ว แต่ตนต้องรับนโยบายจากกรรมการหลายชุด แต่กระทรวงพาณิชย์ได้พยายามตรึงราคา และต้องดูในมุมดีด้วยว่าปัญหาสินค้าแพง ผู้ที่ได้รับประโยชน์คือเกษตรกร ดังนั้นคนเป็นส.ส.ไม่ใช่จะมาเอะอะโวยวาย น่าจะคิดให้รอบคอบกว่านี้


ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่บอกให้ดู "ต้นทาง" หมายถึงในพื้นที่ภาคใต้ขชองพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพื้นที่ปลูกปาล์ม ด้วยหรือไม่ นางพรทิวา กล่าวยอมรับว่า พื้นที่ภาคใต้มีผลผลิตปาล์มมาก แต่เมื่อผลผลิตออกมาน้อย ราคาก็ต้องสูงเป็นธรรมดา และเกษตรกรก็เป็นผู้ได้ประโยชน์จากราคาที่สูงขึ้น เป็นไปตามกลไกตลาด อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องที่มีส.ส.ออกมาพูด คงไม่ต้องมีการพูดคุยกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล เพราะแกนนำก็เข้าใจว่าตนเป็นคนทำงาน ทั้งนี้ ภายหลังจากที่นายวัชระแถลงข่าวเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา นายวัชระได้เข้ามาขอโทษตน โดยบอกว่าได้แถลงข่าวเรื่องของแพง ซึ่งตนก็ไม่ทราบรายละเอียด แต่พอตื่นเช้า เห็นข่าวแล้วก็โมโห ปรี๊ดขึ้นมาทันที


เมื่อถามว่า "ต้นน้ำ" ที่ว่า หมายถึงคณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มแห่งชาติ ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เป็นประธาน ใช่หรือไม่ นางพรทิวา กล่าวว่า คณะกรรมการชุดดังกล่าวรับผิดชอบเรื่องตรงนี้อยู่แล้ว แต่ต้นทางคือการเพาะปลูก แต่ปลายทางกระทรวงเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวแกนนำหรือผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์เข้าใจดี แต่นายวัชระไม่เข้าใจมาทำภาพรัฐบาลเสียหาย เพราะเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เกิดกับใครคนใดคนหนึ่ง


สถานการณ์การขาดแคลนน้ำมันปาล์มบรรจุขวด ยังคงเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น แม้ว่ากระทรวงพาณิชย์จะอนุมัติให้มีการปรับราคาจำหน่ายขึ้นขวดละ 9 บาท เป็น 47 บาท และคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีมติให้นำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์จำนวน 30,000 ตัน เพื่อนำมาบรรจุขวด 23 ล้านขวด วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกทั่วไปแล้วก็ตาม


ล่าสุด คณะกรรมการนโยบายปาล์มฯ ได้มีมติให้นำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งสำเร็จรูปอีก 120,000 ตัน เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลน แต่พบว่าปัญหาดังกล่าวไม่ได้คลี่คลายลง แต่กลับมีมากขึ้น

ทั้งนี้มีรายงานว่า ส่วนหนึ่งของการขาดแคลนน้ำมันปาล์ม นอกจากปัญหาน้ำท่วมในช่วงปลายปี 2553 แล้ว ยังมาจากการคาดการณ์การผลิตที่ผิดพลาดของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสต็อกคงเหลือ ณ สิ้นเดือน ม.ค.2554 อยู่ที่ 67,787 ตัน จากคาดการณ์ในเดือน ธ.ค.2553 ที่คาดว่าจะมี 80,005 ตัน หรือลดลง 25.34%


ขณะเดียวกัน สศก.คาดการณ์ว่า ในปี 2554 สำหรับเดือนม.ค.จะมีผลผลิตปาล์มสด 328,418 ตัน เป็นน้ำมันปาล์มดิบ 51,083 ตัน, เดือนก.พ. ปาล์มสด 443,090 ตัน เป็นน้ำมันปาล์มดิบ 69,107 ตัน, เดือนมี.ค. ปาล์มสด 922,875 ตัน เป็นน้ำมันปาล์มดิบ 143,753 ตัน, เดือนเม.ย. ปาล์มสด 1,031,124 ตัน เป็นน้ำมันปาล์มดิบ 162,196 ตัน, เดือนพ.ค. ปาล์มสด 1,027,455 ตัน เป็นน้ำมันปาล์มดิบ 171,27 ตัน และเดือนมิ.ย. ปาล์มสด 988,925 ตัน เป็นน้ำมันปาล์มดิบ 165,052 ตัน

ขณะที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า สถานการณ์น้ำมันปาล์มดิบขาดแคลนรุนแรงมากขึ้น จากการแจ้งปริมาณการผลิตน้ำมันปาล์มดิบของโรงงานสกัดเดือน ธ.ค.53 ผลิตได้ 45,360 ตัน ต่ำกว่าที่ผลิตได้เฉลี่ยเดือนละ 110,000 ตัน ขณะที่ความต้องการเฉลี่ยเดือนละ 100,000 ตัน โดยเป็นน้ำมันพืช 65,000 ตัน และไบโอดีเซล 35,000 ตัน และราคาผลปาล์มสดเพิ่มขึ้น ณ วันที่ 20 ม.ค.เป็น กก.ละ 8.85-9.90 บาท และน้ำมันปาล์มดิบเป็น กก.ละ 58.75-63.50 บาท และได้เสนอให้มีการนำเข้าแค่ 50,000 ตันเท่านั้น แต่ในที่สุดคณะกรรมการฯ ได้อนุมัติให้นำเข้าสูงถึง 120,000 ตัน

อย่างไรก็ดี มีการตั้งข้อสังเกตว่าน้ำมันปาล์มขาดแคลนจริงหรือไม่ และใครเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการปรับราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดและการนำเข้า น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์จากต่างประเทศ

แหล่งข่าวจากวงการผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม ระบุว่า จริงๆ แล้วน้ำมันปาล์มไม่ได้ขาดแคลนหนักอย่างที่เป็นข่าว เพียงแต่ปริมาณลดลง เนื่องจากผลผลิตออกน้อยจากภาวะน้ำท่วมในช่วงปลายปี 2553 แต่การที่น้ำมันปาล์มหายไปจากตลาดเนื่องจากมีกระบวนการที่ต้องการให้เกิด ความปั่นป่วนเพื่อจะได้ขอปรับราคาขึ้น

โดยในส่วนของผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มในปัจจุบันมี 9 ราย แต่มีอยู่ประมาณ 5 รายที่เป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด เนื่องจากบางรายผลิต 2 ยี่ห้อ โดยผู้ผลิตกลุ่มนี้จะวิ่งหานักการเมืองที่มีตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลโดยอ้างว่า สินค้าขาดแคลนจำเป็นต้องขอปรับราคาขึ้น ซึ่งหลังจากที่กระทรวงพาณิชย์อนุมัติให้มีการปรับราคาน้ำมันปาล์มขวดขึ้นอีก ขวดละ 9 บาท จาก 38 บาทเป็น 47 บาท แต่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลายลง ขณะเดียวกันผู้ผลิตกลุ่มดังกล่าวยังกดดันให้รัฐบาลต้องนำเข้าน้ำมันปาล์ม กึ่งบริสุทธิ์จากต่างประเทศ เนื่องจากผู้ผลิตกลุ่มนี้มีการติดต่อและร่วม มือกับกลุ่มผู้ผลิตในมาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งมีผลผลิตปาล์มจำนวนมาก กระทั่งคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติต้องมีมติให้มีการนำเข้าน้ำมัน ปาล์มล็อตแรก 30,000 ตัน ภายในเดือนม.ค.และอีก 120,000 ตัน ภายในเดือนก.พ.-มี.ค.

"แม้ว่าเวลานี้จะไม่มีใบเสร็จระบุได้ชัดว่าใครได้ประโยชน์จากการปรับราคา น้ำมันปาล์มและนำเข้าครั้งนี้ แต่เป็นที่รับรู้กันว่านักการเมืองที่กลุ่มผู้ผลิตวิ่งหานั้นเป็นเจ้าของ พื้นที่ปลูกปาล์มทางภาคใต้ถึง 50,000 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ครอบครองในชื่อของตัวเอง แต่ใช้นอมินีถือแทน ซึ่งก็รู้ๆ กันอยู่"แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าว กล่าวย้ำว่า กระบวนการของกลุ่มผู้ผลิตและนักการเมืองคนดังกล่าวพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ เกิดภาวะขาดแคลนในตลาดจนต้องมีการขึ้นราคาและนำเข้าสินค้า ซึ่งจะเป็นช่องทางได้ระบายสินค้าที่ได้กักตุนเอาไว้โดยผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม ทั้ง 9 ราย เช่น ยี่ห้อโอลีน แวว มรกต ทับทิม เกษร หยก ผึ้ง เป็นต้น

สำหรับคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติมีนายสุเทพเป็นประธาน ส่วนรองประธานมี นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน และนายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรฯ ส่วนกรรมการมาจากกระทรวงเกษตรฯ, กระทรวงพลังงาน, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, กระทรวงอุตสาหกรรม เป็น ต้น ส่วนกรรมการจากภาคเอกชนมาจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มแห่งประเทศไทย สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยโดยมี เลขาธิการ สศก.เป็นกรรมการและเลขานุการ

แหล่งข่าวจากห้างหุ้นส่วนจำกัด วันไชยปิโตรเลียมแอนด์เซอร์วิส เปิดเผยว่า จากภาวะที่ปาล์มได้ขยับราคาสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อ พลังงานเชื้อเพลิงไบโอดีเซล น้ำมันดีเซลบี 5 และดีเซลบี 3 แล้ว โดยคลังน้ำมันบางแห่งได้บอกกับผู้ค้าส่งว่าภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 นี้จะงดขายน้ำมันดีเซลบี 5 และบี 3

แหล่งข่าวจากวงการปาล์มน้ำมัน เปิดเผยว่า ปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มว่าราคาจะขยับ สูงขึ้นถึง 15 บาท/กก. ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปาล์มราคาสูงขึ้นมาก เนื่องจากเป็นที่สงสัยว่ามีการกักตุนทั้งน้ำมันปาล์มดิบ ทั้งที่น้ำมันปาล์ม ดิบที่เก็บสต็อกไว้เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมามีประมาณ 5 ล้านล้านลิตร ซึ่งในขณะนั้นน้ำมันไบโอดีเซลบี 3 และ 5 เพิ่งแจ้งเกิดใหม่โดยกระจายไปตามแท็งก์น้ำมันในภาคใต้และภาคอีสาน เชื่อว่าสินค้าเหล่านี้ทยอยออกสู่ตลาดเพราะจะได้ราคาที่ดี

http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I10203632/I10203632.html

ต้องทำลายรัฐบาลประชาชน และเปลี่ยนเป็นรัฐทหารปิดประเทศเท่านั้น

ที่มา thaifreenews

โดย poonnook

สถานการณ์ประเทศในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานี้..เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนแทบจะปรับจิตใจไม่ทัน.. นับตั้งแต่การเสื่อมความนิยมลงอย่างรวดเร็วจากกระแส “ตาสว่าง” ที่เกิดขึ้นทั้งแผ่นดิน.. ความขัดแย้งของประชาชนในประเทศที่แผ่ขยายจนรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้... แม้ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จะได้รับการอุ้มสมให้ขึ้นมาบริหารประเทศโดยมีอำนาจที่มองไม่เห็นหนุนหลังอยู่อย่างเต็มที่เพียงไร ก็ไม่สามารถทำให้กระแสความนิยมกลับคืนมาได้..และมีแต่จะลดถอยลงไปอย่างน่าตกใจ..


การจุดกระแสให้เกิดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาในเรื่องเขตแดนทับซ้อน.. ซึ่งใครๆ ก็มองออกว่าเป็นเพียงการปลุกกระแสคลั่งชาติขึ้นมาสร้างสถานการณ์เพื่อบังหน้าเท่านั้น.. การที่นายวีระ สมความคิด.. และพรรคพวก เดินข้ามเขตแดนเข้าไปยังพื้นที่ ที่ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ จนถูกทหารกัมพูชาจับไปนั้น จะมองไปเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากว่าเป็นการจงใจเข้าไปเพื่อเป็นการจุดชนวนความขัดแย้งขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา แล้วกลุ่มพันธมิตร และกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ก็ออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล...


จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่กระแสการจุดชนวนคลั่งชาติเพื่อสร้างความขัดแย้งกับกัมพูชาในครั้งนี้จึงไม่มีประชาชนไทยให้ความสนใจมากนัก.. พูดง่ายๆ ก็คือเพราะเราไปหาเรื่องเขาก่อน..


แต่สิ่งที่น่าจะพิจารณาและนำมาวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ในขณะนี้ก็คือ.. ทำไมกลุ่มพันธมิตร ที่เคยแนบแน่นอยู่กับ รัฐบาลประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เคยถึงขั้นเดินทางไปเยี่ยม พันธมิตร ถึงหน้าเวทีการชุมนุมและแสดงความเห็นอกเห็นใจมาแล้ว.. และที่สำคัญ พันธมิตรที่เรียกกันว่า “ม๊อบมีเส้น” กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ก็เป็น “รัฐบาลที่มีเส้น” เช่นกัน.. และที่แน่ๆ เส้นของทั้งสองฝ่ายก็เป็นเส้นชนิดเดียวกัน.. แล้วทำไมถึงมาเกิดความขัดแย้งกันได้..ชนิดผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ...


ความขัดแย้งจนถึงขั้นชุมนุมขับไล่นี้มิได้เกิดขึ้นระหว่าง “พันธมิตรและรัฐบาลอภิสิทธิ์” ด้วยตัวเอง.. เพราะถึงอย่างไรทั้งสองกลุ่มก็มีคนหนุนหลังที่เป็นคนเดียวกัน.. แต่ทว่าภาพความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นขับไล่กันนี้ น่าจะพิจารณาได้ว่าเป็นความขัดแย้งเทียม (หรือภาพเบื้องหน้า) ที่แสดงให้คนทั้งโลกและทั้งชาติเห็นว่า “เกิดความขัดแย้งและความวุ่นวาย” ขึ้นภายในประเทศนี้.. และต้องการให้เรื่องลุกลามจนกลายเป็นปัญหาระหว่างชาติ.. เพื่อเพิ่มน้ำหนักของความวุ่นวายให้มากยิ่งขึ้น.. เพื่อสอดคล้องกับกระแสข่าวการรัฐประหาร หรือการเข้ายึดกุมอำนาจรัฐของทหาร


การที่จะให้ทหารเข้ามายึดกุมอำนาจรัฐนั้นมิใช่เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดน หรือแก้ปัญหาการบริหารประเทศของรัฐบาลอภิสิทธิ์... แต่เป็นการให้ทหารเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติศรัทธาที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในขณะนี้.. เวลานี้หนทางเดียวที่จะทำให้เกิดการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาทุกปัญหาของฝ่ายเผด็จการอมาตย์ที่กำลังประสบอยู่นั้นก็คือ การยึดกุมอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด.. และหนทางเดียวที่ทำได้ก็คือ การทำรัฐประหาร.. หรือ การประกาศกฎอัยการศึก เพื่อให้ทหารมีอำนาจเต็มในการควบคุมประเทศ

ปูนนก

Re:

แต่ดูเหมือนว่าหนทางทั้งสองก็เป็นหนทางที่เลือกที่สุ่มเสี่ยงมิใช่น้อย.. ท่ามกลางกระแสการต่อต้านเผด็จการที่กำลังดำเนินอยู่ทั่วโลกในขณะนี้.. ทว่าเวลาก็มีน้อยลงเรื่อยๆ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ได้ยื่นฟ้อง ICC ต่อรัฐบาลไทยโดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี.. และให้บังเอิญเปิดช่องให้ฟ้องได้ในฐานะเป็นผู้มีสัญชาติอังกฤษ


เจ้าของอำนาจเผด็จการคงจะไม่ยอมให้นายอภิสิทธิ์ ถูกนำตัวขึ้นไต่สวนในคดีนี้อย่างแน่นอน เพราะทุกอย่างจะถูกเปิดเผยต่อหน้าชาวโลก..ด้วยเหตุนี้ การใช้อำนาจสุดท้ายที่มีอยู่ควบคุมประเทศนี้จึงเป็นหนทางสุดท้ายในเวลาอันจำกัดนี้..


แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าจะให้ทหารออกมาทำรัฐประหารหรือไม่.. หรือจะปล่อยให้นายอภิสิทธิ์บริหารประเทศต่อไป ท่ามกลางกระแสประชาธิปไตยที่กำลังไหลเชี่ยวกรากไปทั่วทั้งโลกเวลานี้ ไม่มีทางที่อำนาจเผด็จการที่ครอบประเทศอยู่ขณะนี้จะดำรงอยู่ได้อีกแล้ว.. ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย คนเสื้อแดงและผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตลอดหลายสิบปี ต่างรอคอยเวลานี้มาอย่างยาวนาน


ต้นไม้ประชาธิปไตยที่ถูกราดรดด้วยน้ำตา..คราบเลือด.. และชีวิตของวีรชนเหล่านั้น กำลังเกิดดอกออกผลแล้ว.. วันที่ประชาชนจะโห่ร้องด้วยความยินดีที่ได้รับประชาธิปไตยกลับมาอย่างแท้จริงกำลังจะมาถึงแล้ว.. “และครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้กับเผด็จการครั้งสุดท้ายอย่างแท้จริง” แล้วเราจะร่วมถือป้ายประชาธิปไตยด้วยกัน


“To banish the trace of a tear from eyes;
A thousand deaths would I gladly die;
If one more life were granted me;
I’d spend that life in serving thee.”
By Awetik Issaakjan

“เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์
สักพันชาติจักสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์
แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน
จักน้อมพลีชีพนั้นเพื่อมวลชน”
จิตร ภูมิศักดิ์ (ผู้แปล)

"ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาปสูญ
ไม่มีใครต่างล้ำเลิศน่าเทิดทูน ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป
เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่ ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่
เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน"


วิสา คัญทัพ


ปูนนก

ด่วน! กัมพูชาส่งจดหมายชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีปะทะกับไทย ให้สหประชาชาติ

ที่มา thaifreenews

โดย bozo

เขียนโดย pal






http://www.go6tv.com/2011/02/un.html

ขอเชิญร่วมงานคอนเสิร์ตเสื้อแดงตาสว่าง ที่ อ. ฝาง เชียงใหม่

ที่มา thaifreenews

โดย namome

อย่าลืมงานเสื้อแดง 12 กพ คอนเสิร์ตเสื้อแดงที่ อ ฝาง เชียงใหม่ นะครับ



http://www.facebook.com/home.php#!/photo.php?fbid=164602563588079&set=a.163928396988829.34356.100001150083953

ภาพกิจกรรมของกลุ่มที่เข้มแข็งแห่ง"แดงเชียงใหม่สายเหนือ " นี้นะคะ









เปิดบ้านหลังงาม"บิ๊กบัง" ในค่ายทหาร เผย"ศัตรูถาวร 3 อย่าง ที่ต้องระวัง!!!

ที่มา มติชน


บ้านพักและรถหรู


บ้านพักในค่ายทหาร


ห้องรับแขกบรรยากาศสบายๆ


ห้องรับประทานอาหาร 20 ที่นั่ง




ก่อนรัฐประหาร


นายกฯกับผบ.ทบ.


บทบาทหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ

4 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก อดีตผู้นำ คมช. และอดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ช่อง"ทีวีไทย" เมื่อค่ำวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ยืนยันว่า รัฐประหาร 19 กันยายน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้...ต้องทำ

บิ๊กบัง ฟันธงว่า การเมืองไทย เสียหาย เพราะ"คน" ไม่ใช่"ระบบ"

การรัฐประหาร 19 กันยายน ส่งผลดีต่อการเมืองไทยมากกว่าผลเสีย

นี่คือ ความเชื่อมั่นจนถึงวันนี้ของผู้กระทำการรัฐประหาร

แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี .... ไม่เชื่อเช่นนั้น

ผู้ถูกรัฐประหาร ออกมาแฉว่า การรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน คนไทยไม่ได้อะไรเลย นอกจากได้เศรษฐีใหม่ส่วนใหญ่เป็นยศพลเอกและได้ทหารที่เข้มแข็งมีอาวุธมากขึ้น

ต่อมา พรรคเพื่อไทย รับลูกยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบความมั่งคั่งของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เครือญาติ

"มติชนออนไลน์" เปิดดู กรุสมบัติของอดีตผู้นำ คมช.ที่ยื่นแสดงต่อ ป.ป.ช. ตอนรับตำแหน่งรองนายกฯ ในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ พบข้อมูลที่น่าสนใจ

"บิ๊กบัง" รวมภรรยา 2 คน ไม่ได้ทำธุรกิจ และ บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 1 คน รวม 4 คน มีทรัพย์สินรวมกันกว่า 90 ล้านบาท ไม่รวมบุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้ว 4 คน

ย้อนไปเมื่อ วันที่ 5 ต.ค. 2550 ตอนรับตำแหน่งรองนายกฯ พล.อ.สนธิแจ้งว่ามีทรัพย์สิน 38.7 ล้านบาท นางสุกัลยา คู่สมรส คนที่หนึ่ง 14 ล้านบาท นางปิยะดา คู่สมรส คนที่สอง 36.9 ล้านบาท น.ส.ศศินภา บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 3 แสนบาทเศษ รวม พล.อ.สนธิ นางสุกัลยา และน.ส.ศศินภา 53.1 ล้านบาท แต่ถ้ารวมนางปิยะด้วยเท่ากับ 90.1 ล้านบาท

ต่อมา วันที่ 6 ก.พ.2551 ตอนพ้นตำแหน่ง ทรัพย์สินของ พล.อ.สนธิ นางสุกัลยา และน.ส.ศศินภา เพิ่มเป็น 60.1 ล้านบาท

กระทั่งพ้นตำแหน่งครบ 1 ปีวันที่ 5 ก.พ. 2552 ทรัพย์สินของพล.อ.สนธิ นางสุกัลยา และน.ส.ศศินภา เพิ่มเป็น 62.2 ล้านบาท น่าสังเกตว่าการยื่นบัญชีฯ 2 ครั้งหลัง พล.อ.สนธิ มิได้แจ้งทรัพย์สินของภรรยาคนที่สอง แต่อย่างใด

หากเปรียบเทียบครั้งแรก กับ ครั้งหลัง ช่วงเวลาเพียงปีเศษ เพิ่มประมาณ 9 ล้านบาท ถือว่า"ไม่น้อย"

เมื่อเจาะลึกพบว่า พล.อ.สนธิมีเงินลงทุน ได้แก่ หุ้นการบินไทย ,กองทุนเปิดทหารไทยพันธบัตร และ หุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์ นสค. รวม 11.2 ล้านบาท ไม่เปลี่ยนแปลง แต่รายการที่เพิ่มขึ้นคือ "ที่ดิน " และ "เงินฝาก"

เงินฝาก ตอนรับตำแหน่ง พล.อ.สนธิแจ้งว่ามี 23.5 ล้านบาท นางสุกัลยา 3.9 ล้านบาท ตอนพ้นตำแหน่งพล.อ.สนธิมี 29.3 ล้านบาท นางสุกัลยาลดลงเหลือ 1.3 ล้านบาท ตอนพ้นตำแหน่ง 1 ปี พล.อ.สนธิมี 26.6 ล้านบาท นางสุกัลยาเพิ่มเป็น 1.6 ล้านบาท

ส่วนที่ดิน ตอนรับตำแหน่ง พล.อ.สนธิแจ้งว่าไม่มี นางสุกัลยามี 1 แปลง 1.3 ล้านบาท ตอนพ้นตำแหน่ง พล.อ.สนธิ มี 1 แปลง มูลค่า 3.3 ล้านบาท นางสุกัลยา 4 แปลง 5.2 ล้านบาท ตอนพ้นตำแหน่ง 1 ปี พล.อ.สนธิมีที่ดิน 6 แปลง 6.3 ล้านบาท ส่วนนางสุกัลยามี 4 แปลง

เบ็ดเสร็จที่ดินของคนทั้งสองเพิ่มขึ้นประมาณ 9 แปลง

ขณะที่ พรรคมาตุภูมิ ที่พลเอกสนธิ นั่งเป็นหัวหน้าพรรค ในรอบปี 2553 มีเงินบริจาคเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดสาย แม้จะไม่ก้อนโตเท่าพรรคประชาธิปัตย์ หรือ พรรคเพื่อไทย แต่ก็มากกว่าอีกหลายพรรค

ผู้บริจาครายใหญ่ในช่วงปี 2553 ได้แก่ นายศุภกาญจนะ หิรัญญะเวช บริจาค 1.22 ล้านบาท นายกมลศักด์ สีวาเมาะ บริจาค 2 แสนบาท นายอภิชาติ สุดแสวง 2 80,000 บาท นายอนุมัติ ชูสารอ 280,000 บาท และนางอัมพร อิ่มสกุล บริจาค กว่า 1.2 ล้านบาท

แต่ใครจะเชื่อว่า พลเอกสนธิ เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เพียงคนเดียว ที่มีบ้านพักหลังงามตั้งอยู่ในค่ายทหาร !!!

ต้นกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นิตยสาร WHO ? นำเสนอบทสัมภาษณ์"บิ๊กบัง"ใน บ้านพักหลังงามย่านพหลโยธิน

สิ่งที่น่าตื่นใจคือ ในโรงรถและรอบบ้าน มีรถหรูจอดอยู่หลายคัน ...บางคันยังป้ายแดง

จริง ๆ แล้ว บ้านพักหลังงามหลังนี้จะมิใช่ กรรมสิทธิ์ของ พล.อ.สนธิ แต่เขาก็พำนักมาแล้วร่วม 3 ปี ด้วยเป็นหนึ่งในบ้านพักของ 5 เสือ ทบ. (ผู้บัญชาการทหารบก รองผู้บัญชาการทหารบก ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก 2 นาย เสนาธิการทหารบก) ซึ่งสร้างเสร็จไปแล้ว 4 หลัง

บ้านแต่ละหลังจะมีภาพสนามกอล์ฟกว้างสุดลูกหูลูกตาเป็น "หลังบ้าน" ซึ่ง พล.อ.สนธิชี้ชวนชม พลางว่า หากเป็นยามเช้าด้วยแล้วมักจะต้องหยิบกล้องคู่ใจขึ้นมาบันทึกภาพไว้ไม่ขาด จากนั้นก็จะใช้เป็นฉากหลังสำหรับกาแฟถ้วยโปรดและหนังสือพิมพ์ในมือทุกเช้า

"ผมถึงได้บอกกับทุกๆคนว่า อย่าไปเอาความทุกข์มาใส่ตัว ผมเองไม่เคยมีความทุกข์ ปล่อยวางได้ แม้จะผ่านเรื่องราวอึมครึมมาก็ไม่เคยมีความทุกข์ ใครเห็นผมเมื่อวันที่ 19 กันยายน 49 (วันที่ทำรัฐประหาร) ผมยังหัวเราะ ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม จะไปซีเรียสทำไม อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด "

" ทุกวันนี้กิจวัตรที่ผมต้องทำคือการเรียนหนังสือปริญญาเอก ยิ่งตอนนี้เรียนหนักมาก ถ้ากลางคืนไม่มีงานอะไรก็ต้องดูหนังสือ แล้ววิถีชีวิตประจำวันของผมเป็นคนตื่นเช้า จะนั่งดื่มกาแฟแก้วหนึ่ง พร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ ส่วนอินเทอร์เน็ตตอนนี้ไม่ค่อยได้เล่นเท่าไร เพราะต้องทุ่มเวลาให้กับการเรียน "

"ที่ผ่านมาอาจมีคนกลั่นแกล้งกันบ้าง เป็นสิ่งที่ต้องระวังไม่ให้เกิด ส่วนศัตรูที่เป็นศัตรูถาวร 3 อย่าง จะต้องไม่ให้เกิดเด็ดขาด คือ 1.เรื่องผู้หญิง 2.เรื่องอำนาจ 3.เรื่องทรัพย์สมบัติ เรื่องผู้หญิงเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่สอนผมมา การขัดแย้งเรื่องผู้หญิงคือศัตรูถาวร เช่น เรากับเพื่อนชอบผู้หญิงคนเดียวกัน เราตัดปัญหาอย่างไปแย่งเขา(ซี) เพราะถ้าแย่งเรื่องผู้หญิงก็จะเป็นศัตรูถาวร เขาว่าถ้าเป็นศัตรูที่เกิดจากความอิจฉาจะเป็นศัตรูชั่วคราว ผมมีภาษิตไว้ท่องขึ้นใจคือ จงทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย ไม่มีใคร อยากเห็น เราเด่นเกิน"

สำหรับนโยบายของพรรคมาตุภูมิ พลเอกสนธิ แจกแจงผ่าน นิตยสาร WHO ? ว่า "การแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการเสนอตั้งทบวงการบริหารกิจการชายแดนภาคใต้ โดยมีรัฐมนตรีทบวงนั้นเป็นผู้ดูแล "

"นโยบายของพรรคเราคือหยิบเงื่อนไขของประเทศในเวลานี้มากำหนดตัวนโยบาย เช่น ตอนนี้ประเทศไทยมีความขัดแย้งทางสังคม หลักที่ 1 เราต้องสร้างความรักและความผูกพัน ความสมานฉันท์ ความปรองดองในชาติ ปัญหาที่เป็นวิกฤต ในขณะนี้คือ ประชานิยมเรื่องความเหลี่ยมล้ำทางสังคม นโยบายของเราก็คือถ้าเราต้องการที่จะพัฒนาประเทศให้เป็นประชาธิปไตย อย่างแรกเราต้องทำให้สังคมมีความเสมอภาคกัน จะทำยังไงให้คนจน-คนรวย ลงมาหากันได้ง่ายขึ้น ผมยืนยัน เรื่องพวกนี้ถ้าเราทำให้ประชาชนได้มีความเข้าใจ มันก็จะทำได้เร็ว "

ผมขอยกตัวอย่าง ประเทศไทยเราประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ถ้าเกษตรกรมีนา 1 ไร่ สมมติว่าผลิตข้าวได้ 50 ถัง ทำนามาเป็น 20 ปีก็ยังได้แค่ 50 ถัง เราจะทำอย่างไรให้เขามีความรู้มากขึ้น ลงทุนน้อยลง แต่ได้ข้าว 80 ถัง นโยบายของเราทำยังไงให้มีคนรวยมากขึ้น ทำอย่างไรให้คนมีการศึกษาเพิ่มขึ้น เมื่อคนมีความรู้มากขึ้น ความฉลาดของคนก็จะเพิ่มสูงขึ้น จะได้นำความรู้ไปพัฒนาอาชีพของเขาได้มากขึ้น"

พรรคการเมืองมักจะมาควบคู่กับเงินที่ต้องใช้ ต้องทุ่ม "บิ๊กบัง" คิดอย่างไร

"ผมขอเรียกเงินตรงนี้ว่างบประมาณ ซึ่งในระเบียบของ กกต. คนหนึ่งก็ใช้เงินได้ไม่มาก แต่มันมีวิธี การที่เรามีเงินน้อย กับที่เราทำให้คนมาเลือกเรามากๆ ได้นั้นมีหลายวิธี เราต้องอธิบายให้กับคนที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน ให้มองให้เห็นว่าคนที่มีเงินมากกว่านั้นมีผลดี ผลเสียอย่างไร แต่เรามีแต่อุดมการณ์ มีความคิดที่จะแก้ปัญหาชาติ ต้นทุนก็จะลดลง และความรัก ความสงสารกับเราก็จะมีมากขึ้น"

" ผมไม่เกี่ยวกับการทำงานข้ามกลุ่ม ข้ามสี หากแต่เป็นการทำงานเพื่อประเทศชาติ"

" ใครอยู่ใกล้ก็ต้องรักผม" พลเอกสนธิ ยืนยัน

( ภาพและบทสัมภาษณ์ บางส่วนจาก นิตยสาร WHO ? เดือนกุมภาพันธ์ 2554 )

สงครา่มบ้าๆ ของพวกจนตรอก สิ้นคิดทางการเมือง

ที่มา thaifreenews

โดย ลูกชาวนาไทย


ซุนหวูกล่าวว่า "สงครามเป็นเรื่องเป็นตายของชาติ เป็นการดำรงอยู่หรือดับสูญ พึงพินิจพิเคราะห์ให้จงดี"

เคล้าซ์เซวิตท์ ผู้เขียนตำรา "การทำสงคราม" On war กล่าวว่า "สงครามคือเครื่องมือทางการเมืองชนิดหนึ่ง" เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายทางการเมืองระหว่างประเทศ ควบคู่ไปกับเครื่องมือชนิดอื่น เช่น การทูต จารชน เป็นต้น แต่สงครามเป็นเครื่องมือที่มีต้นทุนสูง ราคาแพง จะใช้ก็ต่อเมื่อมันไม่มีทางอื่นหลีกเลี่ยงแล้วเท่านั้น

สงครามจึงไม่ได้ตอบสนองต่อ วัตถุประสงค์ของตัวมันเอง แต่ต้องตอบสนองเป้าประสงค์ทางการเมืองของชาติ

ดังนั้น การก่อสงครามจึงต้องถามว่ามันไปตอบสนองเป้าประสงค์อะไรของชาติ

คนโง่ก่อสงคราม เพื่อผลประโยชน์ของตน หรือกลุ่มตน เช่น เกียรติยศและศักดิ์ศรีของตน หรือเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นอื่นๆ ให้พ้นไปจากสิ่งที่ตัวเองทำชั่วเอาไว้่ เพื่อดึงความสนใจของคนในชาติไป

การก่อสงครามที่ไม่ใช่ "เพื่อผลประโยชน์ใดๆ ของชาติ" คือ การทำลายชาติอย่างจงใจ ไม่ใช่เป็นการรักชาติ เหมือนอย่างที่อ้างกัน เพราะสงครามเป็นเครื่องมือราคาแพงของชาติ ทั้งชีวิตผู้คน เีกียรติภูมิต่างๆ ทรัพย์สินของชาติที่ต้องสูญไป เพื่อตอบสนองต้ณหาของคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ชาติไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย คือ สงครามบ้าๆ ของพวกทรยศต่อชาติ

สงครามกับเขมร รับใช้ผลประโยชน์อะไรของชาติ
- คำถาม เขมรได้รุกรานไทยหรือไม่ คำตอบอย่างสัตบุรุษคือ ไม่ แต่ไทยต่างหากที่ไปหาเรื่องเขมรเขา
- ทำสงครามแล้วจะได้พื้นที่คืนหรือไม่ คำตอบชัดๆ คือ "ไม่ได้แน่นอน" เพราะพื้นที่พิพาทตรงนั้นมีข้อตกลงที่แน่ชัดในกฎหมายระหว่างประเทศอยู่ และไทยก็เคยแพ้การพิสูจน์ในเวทีนานาชาติมาแล้ว ต่อให้ใช้กำลังทหารไปยึดพื้นที่นั้นไว้ ในอนาคตก็ต้องถอนกำลังออกมา เพราะมันไม่มีพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศอยู่

- แล้วอย่างนั้นทำสงครามไป "หาพระแสงอะไร"

ตอบ เพื่อสนองตัณหาของทหารบ้าๆ และโง่กลุ่มหนึ่ง รวมทั้งชนชั้นนำไทยที่กำลังอับจนกับปัญหาภายในประเทศ ในการเข่นฆ่าสังหารประชาชนของตนเอง ดังนั้นจึงพยายามใช้สงครามกับประเทศเพื่อนบ้านดึงดูดความสนใจของประชาชนออกไป

สงครามครั้งนี้มันจึงตอบสนองต่อประโยชน์ของ "รัฐบาลกับอำมาตย์" เท่านั้น
คนไทยไ่่ม่ได้ประโยชน์อะไรกับสงครามครั้งนี้

ผมจึงไม่ต้องการเข้าไปยุ่ง สนับสนุนกับสงครามของพวกคนบ้าเหล่านี้

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องรักชาติ แต่เป็นเรื่องของ "โง่ คลั่ง" เท่านั้นเอง

Re:

ผมเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อให้เืพื่อนๆ ใช้เป็นพื้นฐานในการตอบโต้กับพวกลัทธิคลั่งชาตินะครับ

ที่จริงไม่ใช่ชาตินิยมหรืออะไร แต่เป็น "คลั่งชาติ" แบบไม่มีเหตุไม่มีผล ลัทธินี้ิอันตราย และเราไม่ควรไปตกหลุมง่ายๆ กับการพยายามสร้างกระแส "เป็นคนไทยไปเชียร์เขมรทำไม๐

เราเป็นคนไทย แต่ไม่จำเป็นต้องโง่ ใ้ห้คนพวกหนึ่งปั่นหัวเอาได้ง่ายๆ แล้วเสพย์สุขกับความโง่ บ้า และคลั่งของคนบางกลุ่ม

เราเป็นคนไทย แต่เราก็เป็นมนุษย์ด้วย มนุษย์คือ คนที่มีสติ มีเหตุมีผล ไม่ใช่บ้าคลั่งไปอย่างไร้เหตุไร้ผล

สงคราม ไพ่ใบสุดท้ายของอำมาตย์

ที่มา thaifreenews


โดย แสงเทียน

การที่อำมาตย์ดึงเอาตุลาการและทหาร รวมทั้งเหล่านักการเมืองขี้โกงทั้งหลายเข้าสู่วังวนหายนะ ประเทศไทยในสายตาชาวโลกตกต่ำสุดๆเท่าที่เคยมีมา เหล่าอำมาตย์และสมุนดิ้นเป็นควายพันหลัก เข้าสู่กับดักที่ตัวเองตั้งขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะเหล่าศาลเหี้ย ที่ไม่มียางอาย เมื่อมาถึงจุดที่เกินเยียวยา เหล่าอำมาตย์พยายามจุดไฟกระแสคลั่งสถาบัน แต่จุดไม่ติด สังเกตุจากเทปซาบซึ้งรวมทั้งปฏิทินที่ขายไม่ได้ แจกยังหาคนรับไม่ได้ เลยเข้าสู่มุขแป๊ก จุดกระแสคลั่งชาติ โดยใช้ไข่ซ้ายเสื้อเหลือง ไข่ขวาเหงียนมาร์ค เข้าไปแหย่เขมร แต่จุดไม่ติดตามเคย แถมโดนเขมรสอนมวยมาอีก เลยปลุกระดมหน้าทำเนียบทำเนียนไล่เหงียนมาร์คเพื่อดึงเสื้อแดงเข้าร่วม หน้าด้านถึงขนาดปลอมเป็นเสื้อแดงขึ้นเวที สุดท้ายจนมุม เลยต้องดึงทเหี้ยออกมาเปิดศึกกับเขมร สรุปลูกไพร่ตาย ส่วนอำมาตย์ซึ่งเปิดสงครามเพื่อปิดข่าวชั่วเริ่มหน้าระรื่น เริ่มออกมาให้ข่าวโดยกระทรวง(หาเรื่อง)ต่างประเทศว่าเราโดนละเมิดดินแดนเลยจำเป็นเปิดศึก ครั้งนี้เข้าทางเขมรแน่นอน เหมือนที่ พล.อ พัลลภกล่าวไว้ ประเทศไทยจะถูกโดดเดี่ยว พูดง่ายๆจะถูกรุมจาก ลาว, เวียดนาม, เขมร โดยจีนกับรัสเซียเป็นพี่เอื้อย ไม่ต้องคิดว่ามาเลเซียกับสิงคโปร์จะมาช่วย เพราะตอนนี้สองประเทศนี้พูดเหมือนไอ้เปรมว่า ประเทศมาเลเซียกับสิงคโปร์โชคดีที่ไอ้เหงียนมาร์คเป็นนายกประเทศไทย สุดท้ายอยากบอกว่าแถวบ้านผมเขาพูดว่าทำไมไม่ส่งทหารหมาลูกเหี้ยแห่งตะวันออกรวมทั้งเสื้อเหลืองไปรบกับเขมร เวลาพวกมันโดนเขมรฆ่าตายกรูจะได้หัวเราะให้ดังๆกว่านี้

Re:

โดย ลูกชาวนาไทย



ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ลามไปสมใจอำมาตย์แน่นอนครับ เพราะเขมรคงเล่นเป็น ดึงประเด็นนี้ขึ้นสู่เวทีโลกในเวลาอันรวดเร็วสุดท้ายประเทศไทยจะถูกบีบให้ต้องหยุดการทำอะไรที่ไร้สาระ

เรื่องรบนั่นอย่าไปคิดว่าจะทำได้นะครับ เพราะกระสุนปืนใหญ่ ลูกปืนทั้งหลายไม่ได้มีการสะสมไว้เพื่อเปิดสงครามใหญ่ ขนาดช่วงที่รบสงครามร่มเกล้า ยิงถล่มกันลูกปืนใหญ่ไม่เหลือ ต้องไปขอเพื่อนบ้านอาเซียน ที่ใช้ระบบอาวุธเหมือนกัน แต่ครั้งนั้นโอเคเพราะเป็นสงครามป้องกันและกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์โจมตี ยังอยู่ในยุคสงครามเย็น

แต่วันนี้โลกไม่มีขั้วทางการเมืองแล้ว กระสุนปืนใหญ่ราคานัดละเป็นหมื่นบาท การเคลื่อนพลขนาดใหญ่เป็นกองพลเพื่อเข้าทำสงครามจริง (ไม่ใช่ยิงคนมือเปล่าแบบเสื้อแดงโดน) ต้องใช้เงินมหาศาล และอเมริกาคงไม่ได้ขายให้ง่ายๆ เพราะนี่เป็นสงครามรุกราน

ผมฟันธงว่ามันแค่ยิงปืนใหญ่ไม่กี่นัด ปะทะกันเล็กน้อยเพื่อสร้างกระแสเื้ท่านั้น มีกำลังระดับหมวด หรืออย่างมากไ่ม่เกินกองร้อย ยิงกันในระยะห่างสักสี่ห้าร้อยเมตร แล้วออกข่าวเสียดัง สร้างกระแสวีรบุรุษ

แต่ผมว่าเสื้อแดงคงไม่มีอารมณ์ร่วมด้วยหรอกครับ

มุกแป๊กเหมือนเดิม

กวีประชาไท"ไพร่ผ่านศึก"

ที่มา ประชาไท

สีเขียวเอ๋ย เคยอยู่ คู่แนวหน้า

ทหารกล้า คุ้มประชา น่ายกย่อง

ปกป้องเถิด อธิปไตย แผ่นดินทอง

เพื่อปวงชน ทั้งผอง พี่น้องไทย..

ทหารเอ๋ย เคยกล้า ท้าออกศึก

ด้วยสำนึก ศักดิ์ศรี พลีชีพให้

เกียรติยศ โปรดจำ ทำเพื่อใคร

ประชาชน ใช่ไหม ใครสาบาน..

เราจะปก ป้องไทย ให้คงมั่น

เราจะรบ โดยพลัน ไม่หวั่นคร้าน

เราจะรุก และรบ ประสบการณ์

ขจัดภัย หมู่มาร ให้บ้านเรา..

ดอกป๊อปปี้ สีแดง แรงใจนี้

ซื้อมอบให้ สักที มิให้เศร้า

3 กุมภา เป็นแรงใจไม่เสียเปล่า

เฝ้าบอกกล่าว วันทหาร ผ่านศึกไทย..

................

ณ ใจกลางมหานคร...

ผ้าพันคอ สีฟ้า มากันครบ

บรรจงจบ กระบอกปืน ยืนแข็งกร้าว

กระทืบซ้ำ กระหน่ำยิง ยิ่งปวดร้าว

ไพร่มือเปล่า ยังสู้ กูไม่ยอม!

ทหารกล้า เดินหน้า ระดมยิง

สไนเปอร์ ผีสิง ยิ่งเตรียมพร้อม

กระหยิ่มยิง ยิ้มเย้ย เฮ้ย..จงยอม

พวกจอมปลอม คิดต่อ ก่อการร้าย..

กลางบางกอก กระบอกปืน ยิงขึ้นฟ้า

ประทับบ่า เล็งมา ตรงหน้าไพร่

เฝ้าหลบหลีก ลนลาน คลานออกไป

จะปลีกลี้ หนีไปไหน ไพร่อาสาฯ

หนังสติ๊ก บรรจงจับ ก้อนหินใส่

พลุตะไล จุดไป ให้ขึ้นฟ้า

ไม้เหลาแหลม ช่วยกันยัน "อย่าเข้ามา..

พวกกูจัก รักษาป้อม จนยอมตาย!"

บ้างวิ่งลาก เพื่อนพ้อง ต้องหลีกหลบ

บ้างต้องจบ ชีวิต ปลิดปลิวหาย

บ้างยังสู้ ถึงรู้ กูต้องตาย

แต่อย่าหมาย เข้าไปได้ ใกล้เวที!

เสียงปืนเงียบ เยียบเย็น ไม่เห็นแล้ว

ไม่มีแว่ว แม้เสียงใจ เต้นในนี้

ไม่มีแม้ พลุ ตะไล ที่เคยมี

ไม่มีแม้ สดุดี วีรชน...

แล้ววันไหน เป็นวันไหว้ "ไพร่ ผ่าน ศึก"

เพื่อรำลึก นึกถึงกัน วันถูกโค่น

เพื่อรำลึก ศึกเทวดา ในคราบโจร

เพื่อรำลึก พวกห้อยโหน ศักดินา..

แล้ววันไหน เป็นวัน "ไพร่ ผ่าน ศึก"

เพื่ออยู่ใน สำนึก ศึกอาสาฯ

สู้มือเปล่า วิ่งเข้าใส่ ไร้ศาสตรา

ทหารกล้า อายบ้างไหม ไพร่อย่างกู!

** เขียนให้ในวันที่ 3 กุมภา "วันทหารผ่านศึก" แล้วไพร่เสื้อแดง ที่สู้รบกับความอยุติธรรมอย่างกล้าหาญ คุณจะกำหนดวันไหน ให้เป็นวัน "ไพร่ผ่านศึก" สำหรับพวกเค้า?? เขียนพร้อมกับนึกถึงภาพวันที่พี่น้องเราสู้สุดชีวิต คำว่าประชาธิปไตย เป็นแรงผลักดัน ให้เราสู้ ขอให้พี่น้องจงภูมิใจ พี่น้องเก่งกล้ากว่าทหารจัญไรใส่ผ้าพันคอสีฟ้าพวกนั้นเสียอีก กราบที่หัวใจไพร่ผ่านศึก ศิษย์เก่า ผ่านฟ้า คอกวัว สตรีวิทย์ อนุสรณ์สถาน สามเหลี่ยมดินแดง รางน้ำ งามดูพลี ราชประสงค์ และวัดปทุมฯ ทุกท่าน

ซามีร์ อามิน: ว่าด้วยการปฏิวัติตูนีเซียและการเคลื่อนไหวในอียิปต์

ที่มา ประชาไท

เกี่ยวกับซามีร์ อามิน

ศาสตราจารย์ ซามีร์ อามิน (Samir Amin) เกิดที่ไคไรเมื่อในปี 1931 และได้รับการศึกษาจากโรงเรียนฝรั่งเศสที่นั่น เขาได้รับปริญญาเอกทางด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองจากปารีส ประเทศฝรั่งเศส เช่นเดียวกับปริญญาจากสถาบันสถิติและสถาบันศึกษาการเมืองชั้นสูง เมื่อกลับประเทศได้เข้าทำงานในสังกัดฝ่ายวางแผนเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลนัสเซอร์ สำหรับอาชีพทางวิชาการ เขาได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 1966 และดำรงตำแหน่งประธานของสถาบันเพื่อการพัฒนาและวางแผนทางเศรษฐกิจ แผนกอาฟริกันของสหประชาชาติระหว่าง 1970-1980 และตั้งแต่ปี 1980 ดำรงตำแหน่งประธานของสำนักงานอาฟริกันของ Third World Forum องค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยและถกเถียงประเด็นต่างๆ ปัจจุบันยังเป็นประธานของ World Forum for Alternatives

1.สัมภาษณ์ซามีร์ อามิน ว่าด้วยการปฏิวัติตูนีเซีย

เผยแพร่เป็นภาษาอารบิคในนิตยสาร Aydinlik Magazine ที่มาของภาษาอังกฤษ: http://democracyandclasstruggle.blogspot.com/2011/02/samir-amin-on-tunisian-revolution.html (เผยแพร่วันที่ 1 ก.พ. 54)

ศาสตราจารย์ซามีร์ อามิน นักคิดฝ่ายซ้าย นักเศรษฐศาสตร์และนักเขียนที่มีชื่อเสียง ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับ Aydinlik Magazine เกี่ยวกับเหตุการณ์ในตูนีเซีย รวมทั้งแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเยือนอเมริกาของนายหูจิ่นเทาและนโยบายในปัจจุบันของจีน มีใจความสำคัญดังต่อไปนี้

ขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชน

AYDINLIK: คุณตีความการเคลื่อนไหวในตูนีเซียอย่างไร?

SAMIR AMIN: เราต้องทำความเข้าใจเหตุการณ์ของตูนีเซียในฐานะการลุกฮือของขบวนการประชาชนที่มีพลังมาก เป็นการลุกฮือครั้งใหญ่ ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของประชาชนของประเทศนี้ในหลายพื้นที่รวมทั้งเมืองหลวงออกมาตามท้องถนนเป็นเวลา 45 วันและยังคงทำอย่างนั้นต่อไป พวกเขาประท้วงและถึงแม้จะมีการปราบปรามก็ไม่ยอมหยุด การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีทั้งมิติการเมือง สังคมและเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ระบอบของปธน.เบน อาลีคือหนึ่งในรัฐตำรวจที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลก ชาวตูนีเซียหลายพันคนถูกสังหาร จับกุมและทรมาน แต่เพื่อนรักมหาอำนาจตะวันตกกลับไม่ยอมปล่อยให้ข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นที่รู้จัก ประชาชนตูนีเซียจึงเรียกร้องประชาธิปไตยและการเคารพสิทธิของพวกเขา

ปัจจัยด้านเศรษฐกิจและสังคมนั้นมีอิทธิพลกับการลุกฮือของประชาชน ตูนีเซียประสบกับการพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วของการว่างงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของกลุ่มวัยรุ่น รวมทั้งคนหนุ่มสาวที่มีการศึกษา คุณภาพชีวิตของประชากรส่วนใหญ่ก็ต่ำลงถึงแม้ธนาคารโลกและหน่วยงานระหว่างประเทศจะปลาบปลื้มกับการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของประเทศก็ตาม ความเหลื่อมล้ำที่สูงขึ้นตอบคำถามนี้ รวมทั้งอิทธิพลขององค์กรผู้มีอิทธิพลก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ ระบบนั้นถูกบริหารเพื่อประโยชน์เกือบจะเฉพาะของครอบครัวเบน อาลีและองค์กรที่เกี่ยวข้อง

มีอีกแง่หนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหวที่ถือว่าสำคัญมาก อิทธิพลอิสลามไม่ได้มีผลนักกับการลุกฮือนี้ ตูนีเซียนั้นที่จริงแล้วเป็นรัฐฆราวาส (secular state) ประชาชนสามารถแยกศาสนาออกจากการเมืองได้สำเร็จ มันเป็นปัจจัยที่สำคัญและช่วยส่งเสริมมาก มีคำกล่าวว่าเบน อาลีได้ปกป้องประเทศจากกลุ่มมุสลิมคลั่งศาสนา เขาใช้ข้ออ้างนี้ได้ผลมาเป็นเวลาหลายปี จริงๆ แล้วไม่ใช่เบน อาลีแต่เป็นประชาชนที่ปกป้องประเทศจากพวกคลั่งศาสนาเหล่านี้

ข้อเท็จจริงว่าทหารนั้นไม่ได้อยู่ตรงข้ามประชาชนช่วยเพิ่มกำลังให้แก่ประชาชนบนท้องถนน รัฐบาลเบน อาลีสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือทางการเงินกับตำรวจไม่ใช่ทหาร นี่คือเหตุผลว่าทำไมตำรวจจึงมีบทบาทสำคัญในการปราบปรามในหลายเหตุการณ์ในอดีต

มันจึงไม่ง่ายที่จะสถาปนาประชาธิปไตยและระบอบฆราวาสในตูนีเซีย

AYDINLIK: ใครหรืออำนาจฝ่ายไหนนำการเคลื่อนไหวครั้งนี้?

AMIN: ผมอยากจะเน้นอีกครั้งว่าการเคลื่อนไหวนี้ไม่ได้เป็นของคนกลุ่มไหนโดยเฉพาะ มันเป็นการเคลื่อนไหวใหญ่ของประชาชน ไม่มีต่างชาติประเทศหรือกลุ่มไหนอยู่เบื้องหลัง มันเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมโดยเนื้อแท้ อย่างไรก็ตาม มันจำเป็นต้องพูดว่ามหาอำนาจตะวันตกพยายามจะสร้างอิสลามทางเลือกและพยายามจะสนับสนุนการเคลื่อนไหวแบบนี้เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เกิดทางเลือกของประชาธิปไตยที่แท้จริง พวกเขาได้เริ่มต้นทำมันแล้วโดยนำภาษาของ “ซาอุดิอารเบีย” เข้ามาใช้ในประเทศอีกครั้งอย่างที่มีการวิจารณ์กันในกลุ่มประชาชน

มันยากมากที่จะพยายามคาดเดาว่าอนาคตของประเทศจะไปทางไหน ที่แน่ก็คือการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยและระบอบฆราวาสไม่ง่าย ลองนึกภาพที่ดีที่สุด คือเกิดรัฐบาลประชาธิปไตยที่สนับสนุนโดยประชาชน (และไม่มีอะไรเป็นหลักประกันอย่างแน่นอนว่าจะเกิดขึ้น) รัฐบาลที่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมที่ว่า จะเชื่อมโยงกระบวนการประชาธิปไตยเรื่องการจัดการด้านการเมืองกับความรุดหน้าทางสังคมอย่างไร? มันไม่ง่ายเพราะ “ความสำเร็จ” ของตูนีเซียในช่วงที่ผ่านมาตั้งอยู่บนปัจจัยสามเรื่อง คือ การย้ายฐานอุตสาหกรรมเบาจากยุโรปเข้ามา การท่องเที่ยวและการอพยพโยกย้ายถิ่นจำนวนมากไปประเทศลิเบีย ช่องทางทั้งสามตอนนี้ถึงจุดอิ่มตัวและเริ่มที่จะสวนทางกลับด้วยซ้ำ นโยบายมหภาคแบบไหนที่จะถูกนำมาแทนที่? ไม่ง่ายที่จะหาคำตอบสำหรับประเทศเล็กที่บอบบางและมีทรัพยากรน้อย (ไม่มีน้ำมัน!) ความเป็นหนึ่งเดียวและความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนาจะกลายเป็นทางเลือกที่มีความสำคัญ มหาอำนาจตะวันตกจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยไม่สำเร็จเพื่อที่จะสร้างเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์แก่ “อิสลามทางเลือก” จอมปลอมที่ถูกเรียกว่า “สายกลาง (moderate)”

จีนจะไม่ยอมยกเลิกนโยบายแบบของตน

AYDINLIK: ประธานาธิบดีจีนหูจิ่นเทาได้พบกับนายโอบามาที่วอชิงตัน ก่อนเดินทางไปสหรัฐฯ นายหูจิ่นเทาพูดว่า “ระบบที่ถูกครอบงำโดยสกุลเงินดอลลาร์เป็นผลผลิตของอดีต” คุณมีความเห็นอย่างไร?

AMIN: จีนอาจจะยิ้มแย้มให้พวกอเมริกันแต่พวกเขาจะไม่มีทางประณีประนอมในเรื่องนโยบาย ฝ่ายที่ได้เปรียบในการพบปะกันระหว่างประธานาธิบดีทั้งสองคนคือ หูจิ่นเทาตามที่คาดหมายกัน จีนไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องการจัดการค่าเงินหยวนของตนอย่างอิสระ เงินดอลลาร์ที่ควบคุมระบบการเงินระหว่างประเทศก็จะใกล้สิ้นอายุขัยของมันไม่ช้าก็เร็ว คนจีนตระหนักเรื่องนี้ดี แต่ในระหว่างนี้จีนจะไม่เสนอให้สร้างสกุลเงินโลกทางเลือกขึ้นมาใหม่ (จีนเข้าใจดีว่ามันยังไม่ถึงเวลาสุกงอมและก็ยังคงเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน) ตอนนี้จีนทุ่มเทให้กับการสร้างพันธมิตรในภูมิภาคที่เป็นอิสระและพึ่งตนเอง จีนจะพยายามหาคำตอบที่เป็นไปได้สำหรับความท้าทายนี้ คือ ผลักดันข้อตกลงระดับภูมิภาคในเอเชียและลาตินอเมริกา ไม่ใช่ในระดับโลก

2. การเคลื่อนไหวในอียิปต์

แปลจาก The Movement in Egypt: The US realigns, Movements in Egypt: The US realigns, Samir Amin, Pambazuka News, 2011-02-02, Issue 515 http://www.pambazuka.org/en/category/features/70615

หมายเหตุ: ศาสตราจารย์ซามีร์ อามินได้เขียนบทความวิเคราะห์ถึงบทบาทและท่าทีและสหรัฐฯ ต่อการเคลื่อนไหวที่กำลังเกิดขึ้น รวมทั้งอิทธิพลของกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ ในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของประวัติศาสตร์อียิปต์ เผยแพร่ในเว็บของสำนักข่าว Pambazuka เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 โดยมีเนื้อหาดังนี้

อียิปต์คือหมุดหมายสำคัญของแผนการณ์ครอบครองโลกของสหรัฐฯ รัฐบาลวอชิงตันจะไม่ยอมทนต่อความพยายามใดๆ ของอียิปต์ที่จะขยับออกไปจากการควบคุมโดยสมบูรณ์ของสหรัฐฯ ซึ่งก็เป็นที่ต้องการของอิสราเอลเพื่อที่จะสานต่อการสร้างอาณานิคมส่วนที่ยังคงเหลือจากปาเลสไลน์ นี่เป็นเป้าหมายที่เฉพาะของรัฐบาลอเมริกาในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบ “การเปลี่ยนผ่านอย่างนุ่มนวล (soft transition)” มองในแง่นี้ อเมริกาอาจเห็นว่าประธานาธิบดีมูบารัคควรลาออก รองประธานาธิบดีที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งนายโอมาร์ โซไลมาน หัวหน้าของหน่วยข่าวกรองของกองทัพอาจเข้ามารับหน้าที่ ที่ผ่านมา กองทัพระมัดระวังมากที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการปราบปรามซึ่งเป็นการรักษาภาพพจน์ของตน

นายบาราดัยเข้ามาในจุดนี้ เขายังคงเป็นที่รู้จักจากภายนอกประเทศมากกว่าในอียิปต์แต่ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาไม่ช้า เขาเป็น “เสรีนิยม” คนหนึ่งที่ไม่มีแนวคิดเรื่องการบริหารจัดการเศรษฐกิจมากไปกว่าปล่อยให้ดำเนินไปอย่างที่มันเป็นและเขาไม่สามารถเข้าใจว่าเรากำลังอยู่ที่จุดเริ่มต้นของความหายนะทางสังคม เขาเป็นนักประชาธิปไตยในความหมายว่าเขาต้องการ “การเลือกตั้งอย่างแท้จริง” และการเคารพกฎหมาย (หยุดจับกุมและทรมาน ฯลฯ) แต่ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

มันไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมร่วมมือในการเปลี่ยนผ่านที่พูดถึง แต่กองทัพและข่าวกรองจะไม่ยอมปล่อยอิทธิพลครอบงำของตนในการนำสังคม นายบาราดัยจะยอมรับจุดนี้ได้หรือไม่?

ในเรื่องของ “ความสำเร็จ” และ “การเลือกตั้ง” กลุ่มมุสลิมบราเตอร์ฮู้ด [Moslem or Muslim Brotherhood ขบวนการเคลื่อนไหวข้ามชาติและองค์กรการเมืองฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศอาหรับ: ผู้แปล] จะกลายเป็นกำลังหลักในสภา อเมริกายินดีรับจุดนี้และรับรองว่ากลุ่มนี้เป็นพวก “สายกลาง” นั่นหมายถึงว่านอนสอนง่าย ยอมรับวิถีทางสยบยอมต่อสหรัฐฯ และปล่อยให้อิสราเอลมีอิสระในการรุกรานปาเลสไลน์ต่อไป นอกจากนี้ กลุ่มมุสลิมบราเธอร์ฮู้ดยังพึงพอใจกับระบบ “ตลาด” ที่พึ่งพาภายนอกอย่างเต็มที่แบบที่เป็นอยู่ จริงๆ แล้ว พวกนี้ก็ยังเป็นหุ้นส่วนในชนชั้นนำ “พ่อค้าคนกลาง” [จากคำว่า compradore มีความหมายถึงพวกที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของบริษัทธุรกิจต่างชาติภายในประเทศและอาจหมายถึงพวกพ่อค้าชาวจีนที่หากำไรจากส่วนต่างของราคาสินค้า: ผู้แปล] พวกเขามีจุดยืนที่ต่อต้านการผละงานของชนชั้นแรงงานและการต่อสู้ของชาวนาเพื่อที่จะรักษาสิทธิในที่ดินของตน

แผนของสหรัฐฯ สำหรับอียิปต์นั้นคล้ายกับโมเดลของปากีสถานมาก คือ ส่วนผสมระหว่างอิสลามการเมืองและหน่วยข่าวกรองของกองทัพ กลุ่มมุสลิมบราเธอร์ฮู้ดอาจจะถ่วงดุลกับนโยบายนี้โดยวางตัวแบบ “ไม่เป็นสายกลาง”ต่อพวกคริสเตียนในอียิปต์ [อามินใช้คำว่า Copts หมายถึงชนกลุ่มน้อยทางศาสนากลุ่มใหญ่ที่สุดในอียิปต์ มีพื้นเพดั้งเดิมในประเทศอียิปต์ตั้งแต่สมัยโรมัน มีจำนวนประชากรน้อยแต่มีความมั่งคั่งและเป็นเจ้าของทรัพย์สินจำนวนมาก ปัจจุบันมีการรวมตัวเป็นองค์กรและเครือข่ายข้ามชาติ: ผู้แปล] ระบบแบบนี้จะสามารถให้กำเนิด “ประชาธิปไตย” ได้หรือไม่?

ส่วนการเคลื่อนไหวนั้นเป็นของคนหนุ่มสาวในเมือง โดยเฉพาะพวกที่มีจบการศึกษาสูงแต่ไม่มีงานทำ ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มของชนชั้นกลางที่มีการศึกษาและพวกที่เชื่อในประชาธิปไตย ระบอบการปกครองใหม่อาจจะเปิดช่องให้กลุ่มนี้ได้บ้าง เช่นเพิ่มตำแหน่งงานในหน่วยงานของรัฐ แต่ก็ไม่น่าจะได้มากเท่าใด

แน่นอนว่าการณ์อาจจะเปลี่ยนแปลงไปถ้าหากการเคลื่อนไหวของชนชั้นแรงงานและชาวนามีบทบาทมากขึ้น แต่ก็ดูเหมือนกับว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ และตราบที่ระบบเศรษฐกิจถูกจัดการไปตามกฎเกณฑ์ของ “เกมโลกาภิวัตน์” ปัญหาที่เป็นต้นเหตุของการเคลื่อนไหวประท้วงทั้งสิ้นก็ไม่อาจจะได้รับการแก้ไขจริง

สืบพยานคดี พ.ร.บ.คอมฯ ผอ.ประชาไท นัดแรก

ที่มา ประชาไท

จีรนุช เปรมชัยพร ผอ.ประชาไท ขึ้นศาลในการสืบพยาน ปากแรกไม่จบ นัดสืบต่ออังคารหน้า ศาลสั่งย้ายห้องพิจารณาเนื่องจากผู้สังเกตการณ์ไทย-เทศเข้าฟังกว่า 40 คน

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 701 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์สืบพยานโจทก์ปากแรก ในคดีอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนางสาวจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการและผู้ดูแลเว็บบอร์ดประชาไท เป็นจำเลยในความผิดตามมาตรา 15 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 เพราะไม่ได้ลบข้อความในเว็บบอร์ดที่เข้าข่ายขัดต่อกฎหมายดังกล่าว โดยทีมทนายจำเลยประกอบด้วยนายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ นายรัษฎา มนูรัษฎา และนายธีรพันธ์ พันธ์คีรี

นายอารีย์ จิวรรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักกำกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) พยานโจทก์ปากแรก เบิกความถึงกรณีพบข้อความเข้าข่าย ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 จำนวน 10 กระทู้ทั้งจากการแจ้งโดยประชาชน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และหน่วยข่าวกรอง รวมถึงตรวจพบด้วยตนเอง และขั้นตอนในการดำเนินการปิดกั้นหน้าเว็บนั้นๆ ผ่านการขอความร่วมมือจากไอเอสพี ผู้ดูแลเว็บ จากนั้นจึงรวบรวมข้อมูลเพื่อขออำนาจศาล และทำหนังสือถึงผู้บังคับบัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดต่อไป

ช่วงบ่าย นายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ ทนายจำเลยซักค้านถึงเกณฑ์การพิจารณาข้อความที่เข้าข่ายความผิดหมิ่นสถาบันฯ กระบวนการในการพิจารณา และการดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่โพสต์ข้อความเข้าข่ายหมิ่นสถาบันฯ ต่อมา เวลาประมาณ 16.00น. ศาลเห็นว่า ยังมีคำถามซักค้านอีกมาก จึงมีคำสั่งเลื่อนการสืบพยานโจทก์ไปเป็นวันที่ 8 ก.พ. เวลา 9.00-16.30 น.

สำหรับบรรยากาศในการเข้าฟังการสืบพยาน มีเจ้าหน้าที่องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงสถานทูตต่างประเทศส่งผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์พร้อมด้วยผู้แปลภาษากว่า 40 ราย ผู้พิพากษาจึงให้ย้ายห้องพิจารณาคดีจากห้อง 703 ไปที่ห้อง 701 ซึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่กว่าแทน อย่างไรก็ตามผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์มีปัญหาในการรับฟังการสืบพยานช่วงเช้า เนื่องจากไมโครโฟนเสียงเบา ทำให้ผู้ร่วมสังเกตการณ์ไม่ค่อยได้ยินเสียงการพิจารณาคดี จนกระทั่งช่วงบ่าย เมื่อทนายแจ้งแก่เจ้าหน้าที่จึงแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ทั้งนี้ผู้สังเกตการณ์และผู้แปลภาษาส่วนใหญ่ยืนยันว่าจะมาฟังการพิจารณาคดีนัดต่อๆ ไปด้วย

เวทีพันธมิตรฯ ปรบมือให้ทหารไทยหลังปะทะเขมร "สรรเสริญ" ลั่นไม่กลัวกัมพูชา

ที่มา ประชาไท

ทหารกัมพูชายิงสกัดหลังทหารไทยประชิดวัดแก้วสิกขาคีรีสวายเรียะ ก่อนลุกลามเป็นการปะทะ กัมพูชาแถลงสามารถจับทหารไทยได้ 5 นาย ทำลายรถถัง 2 คัน ขณะที่มีกระสุนปืนใหญ่ตก "บ้านภูมิซรอล" ได้รับความเสียหาย ชาวบ้านเสียชีวิต 1 ราย "สรรเสริญ แก้วกำเนิด" ลั่นทหารไทยตอบโต้สมน้ำสมเนื้อและไม่กลัวกัมพูชา ด้านเวทีพันธมิตรฯ รายงานข่าวปะทะสลับปราศรัยเป็นระยะ "อมรเทพ" เรียกร้องทหารรุกต่อ

ไทย-กัมพูชาปะทะ กระสุนปืนใหญ่ตกบ้านภูมิซรอล ชาวบ้านดับ 1

เว็บไซต์เดลินิวส์ รายงานว่า เมื่อเวลา 15.15 น. วันนี้ (4 ก.พ.) เกิดเหตุทหารไทยยิงปะทะกับทหารกัมพูชา บริเวณบ้านภูซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยเบื้องต้นทราบว่าขณะทหารไทยยกกำลังประชิดวัดแก้วสิกขาคีรีสวายเรียะ ซึ่งทหารกัมพูชาควบคุมพื้นที่อยู่ ทำให้ทหารกัมพูชาเปิดฉากยิง ทำให้เกิดเกิดการปะทะกันระหว่าง 2 ฝ่าย

โดยเบื้องต้นพบศพนายเจริญ ผาหอม อายุ 59 ปี ถูกกระสุนปืนใหญ่ของกัมพูชา เสียชีวิตอยู่ในหมู่บ้านภูมิซรอล โดยนางสดศรี ผาผอม ภรรยานายเจริญ กล่าวว่า เมื่อเวลา 15.00 น. มีเจ้าหน้าที่มาบอกชาวบ้านเตรียมตัวอพยพหรือหาที่หลบ แต่ไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์จะรุนแรงขนาดนี้

เวลา 17.00 น.มีกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายทหารกัมพูชายิงเข้ามาตกในพื้นที่หมู่บ้านชุมชนของ ต.เสาธงชัย อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังตกลงบริเวณโรงเรียนบ้านภูซรอล ทำให้อาคารได้รับความเสียหาย และจุดใกล้ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เสาธงชัยด้วย

พล.ท.ธวัชชัย สุมทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า ทหารเขมรได้เปิดฉายยิงทหารไทยก่อนโดยมีลูกกระสุนปืนใหญ่มาตกในฝั่งไทยกว่า 10 ลูก อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้อพยพชาวบ้านในจุดเกิดเหตุไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว หลังมีลูกกระสุนของฝ่ายกัมพูชาตกลงมาในหมู่บ้านโนนเจริญ บ้านภูซรอล บ้านโนนดู่

"สรรเสริญ" ลั่นทหารไทยตอบโต้สมน้ำสมเนื้อและไม่กลัวกัมพูชา

ขณะที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก แถลงว่า ตรวจสอบทราบว่า เวลา 15.15 น. ได้มีประสุนมาตกใกล้ๆ กับที่วางกำลังของทหารไทยบริเวณภูมะเขือ ทหารจึงยิงตอบโต้กลับไป หลังจากนั้นกองกำลังของกัมพูชาได้ยิงกระสุนนานาชนิดเข้ามา เราจึงยิงตอบโต้กลับไปแบบสมน้ำสมเนื้อ ตลอดระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. อยู่ระหว่างเจรจากับนายทหารระดับสูงของกัมพูชา เพื่อควบคุมการปะทะและให้จบสิ้นโดยเร็ว ขอแจงว่าเราไม่ได้อ่อนด้อยกว่ากัมพูชา ทหารไทยมีความพร้อมและมั่นใจในการดูแลพื้นที่

พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ทหารไทยที่ถูกจับตัวอยู่ขณะนี้ทราบว่าทหารของเรายังอยู่ในจุดประสานงาน ขณะที่เกิดควันที่วัดแก้วฯ คาดว่ามาจากสะเก็ดระเบิด อย่างไรก็ตามมีทหารไทยบาดเจ็บเล็กน้อย 2 นาย เนื่องจากถูกสะเก็ดระเบิด ทางด้านสุรินทร์ยังไม่มีเหตุการณ์อะไร ผู้บังคับบัญชาพยายามติดต่อกันและเจรจา แต่ยืนยันว่าเราไม่ได้กลัวกัมพูชาแต่อย่างใด

นอกจากนี้มีข้อมูลทหารที่ได้รับบาดเจ็บทราบชื่อ ส.อ.ธีรวัฒน์ ศรีวรินทร์ จ.ส.อ.มงคล พลเยี่ยม อาสาสมัครทหารพรานดำรง พรมโอตร จ.ส.ต.นิรัตน์ งามสูงเนิน และ อาสาสมัครทหารพรานสุวรรณ ก่อแก้ว ซึ่งมทั้งหมดได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

ด้าน พล.อประยุทธิ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า เกิดจากความเข้าใจผิดอะไรบ้างอย่าง โดยมีเสียงปืนดังตามแนวชายแดน ทหารที่ตรึงกำลังอยู่ได้ยิงเตือนกลับไป แต่ไม่ได้มุ่งหมายชีวิตต่อมาทหารทั้ง 2ฝ่ายได้มีการเจรจาและหยุดยิง ส่วนการแก้ไขปัญหาต้องใช้การเจรจาเป็นไปตามขั้นตอนการทะเลาะเบาะแว้งไม่เกิดประโยชน์กับใคร

ผู้อำนวยการโรงเรียนภูมิซรอลเผยโรงเรียน-บ้านเรือนได้รับความเสียหาย

ด้านนายบุญรวน พงษาปาน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านภูมิซรอล กล่าวว่า ขณะนี้รั้วด้านหน้าโรงเรียนพังทั้งแถบ และเกิดหลุมขนาดใหญ่ 2 หลุมขึ้น ประชาชนที่อยู่ในหมู่บ้านภูมิซรอลไฟไหม้ถึง 4 หลังคาเรือน ทำให้ชาวบ้านต้องอพยพออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน และบางส่วนช่วยกันดับไฟหลังลูกปืนใหญ่ตกใส่บ้านและพบชาวบ้านเสียชีวิต 1 รายชื่อ นายเจริญ ผาหอม

กัมพูชาแถลงจับกุมทหารไทยได้ 5 นาย ทำลายรถถังได้ 2 คัน

ด้านนายเขียว หันหะริธ โฆษกรัฐบาลกัมพูชา แถลงว่า มีการปะทะกันจริง ส่วนสื่อของกัมพูชาได้รายงานข่าวว่า ขณะนี้ทหารกัมพูชาสามารถจับกุมทหารไทยได้ 5 นาย และสามารถทำลายรถถังของฝั่งไทยอีกอีก 2 คัน

พันธมิตรปรบมือ "อมรเทพ" เรียกร้องทหารรุกต่อ

ขณะที่การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งปักหลักติดต่อกันเป็นวันที่ 11 ที่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมว่า เมื่อเวลา 22.50 น. นายรัชต์ชยุตม์ ศิรโยธินภักดี หรือชื่อเดิมคืออมรเทพ อมรรัตนานนท์ โฆษกบนเวที ได้กล่าวถึงการปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาว่า ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 2 ราย บ้านของชาวบ้านภูมิซรอลพัง 10 หลัง ที่ทำการ อบต.เสาธงชัย ได้รับความเสียหาย มีข่าวในพื้นที่ด้วยว่าชาวบ้านที่สูญเสียหัวขาด โดนปืนใหญ่ เป็นความสูญเสียที่ชาวไทยต้องจดจำ พี่น้องทหารหาญจะหยุดแค่นี้หรือ จะรุกคืบต่อ หรือจะตั้งโต๊ะคุยยืดเยื้อเป็น 10 ปี

นอกจากนี้ได้มีการนัดหมายให้ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ เตรียมปักหลักพักค้างในวันที่ 5 ก.พ. ด้วย โดยช่วงเย็นแกนนำจะมีมติว่าจะปฏิบัติมาตรการใดต่อ

ส่วนนายอำนาจ พละมี โฆษกบนเวทีอีกคน ได้บอกผู้ชุมนุมให้ปรบมือให้ทหาร และให้ผู้ชุมนุมส่งเสียงโห่ให้ทหารที่จะตั้งโต๊ะคุยกัน

ในเวลา 23.28 น. นายศรันยู วงศ์กระจ่าง ได้ขึ้นแสดงดนตรีบนเวทีการชุมนุมพันธมิตรฯ และได้นำเพลง "แผ่นดินของเรา" ที่นายสันติ ลุนเผ่ นักร้องฝ่ายอนุรักษ์นิยมมาร้อง

โทรเลขวิกิลีกส์ฉบับล่าสุด (16 พฤศจิกายน 2550) พระบรมฯบอกทูต: "ทักษิณเป็นผู้เผด็จการที่มาจากการเลือกตั้ง"

ที่มา Thai E-News

ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ที่มา กระดานสนทนาInternet freedom

คำชี้แจง: ข้อความต่อไปนี้ ไมใช่การแปลหรือวิเคราะห์ โทรเลขวิกิลีกส์ฉบับล่าสุด เป็นเพียงการสรุปเนื้อหาอย่างสั้นๆ


(1) ทูตสหรัฐ เข้าเฝ้า พระบรมฯ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 เพื่อถวายบังคมลาในโอกาสพ้นจากตำแหน่ง

(2) พระบรมฯ ทรงกล่าวถึงในหลวง ที่ทรงสามารถร่วมเล่น "แจม" เพลงแจ๊ซ (Jazz jam session) เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ในวันที่ 11 พฤศจิกายน (แม้จะไม่ทรงทราบมาก่อน ตามที่ทูตสังเกต)

(3) พระบรมฯ ทรงกล่าวว่า ถ้าไม่มีสถาบันกษัตริย์ ประเทศไทยอาจจะเป็นเผด็จการเต็มที่แบบที่เคยเป็นสมัย พิบูลสงคราม

(4) พระบรมฯ กล่าวถึงการเมืองไทย ว่ามีความซับซ้อนยากเข้าใจ และว่า พรรคพลังประชาชน อาจจะได้เสียงมากกว่าใครในการเลือกตั้งทีจะมาถึง แต่คงไม่สามารถตั้งรัฐบาลใหม่ได้ เพราะผู้คนจะตระหนักว่า พรรคนี้ เป็นเพียง พรรคไทยรักไทย แปลงรูปมา ซึ่ง การให้พรรคนี้เป็นรัฐบาลจะนำประเทศไปสู่ความวุ่นวายอีก (disarray)

(5) พระบรมฯ กล่าวว่า สมัคร ไม่เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี (ทรง rolled his eyes เมื่อทูตเอ่ยชื่อสมัคร) และว่า รัฐบาลชุดใหม่ อาจจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับพรรคอื่น โดยมี พลังประชาชน เป็นฝ่ายค้าน

(6) พระบรมฯ กล่าวว่า เป็นเรื่อง "ตลกร้าย" (ironic) ที่ทักษิณสามารถเป็นผู้เผด็จการ ทั้งๆที่มาจากการเลือกตั้ง ("He said he found it ironic that Prime Minister Thaksin had essentially been able to act as a dictator, although coming to power through elections.")

เรื่องนี้ ทูตได้ หมายเหตุ ความเห็นตัวเองว่า ก่อนหน้านี้ พระบรมฯกับทักษิณ มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ต่อมาได้ had a spectacular falling-out - โปรดอ่านรายละเอียดกันเองครับ)

(7) พระบรมฯกล่าวว่า ทรงเสด็จภาคใต้เมื่อไม่นานมานี้ สถานการณ์ภาคใต้ดีขึ้นเรือ่ยๆ

(8) พระบรมฯ กล่าวว่า ชีวิตของ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล หลังจากได้เป็นเจ้า (princess) แม้ว่าพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ จะทรงปฏิบัติพระราชจริยวัตรในที่สาธารณะได้อย่างสมบูรณ์และงดงาม แต่ก็ทรงมีปัญหาในการปรับพระองค์บ้าง แต่พระบรมฯทรงกล่าวว่า ประชาชนรัก พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ เพราะมาจากสามัญชน เช่นเดียวกับสมเด็จย่า

(9) ทูตสหรัฐเล่าว่า ก่อนหน้านั้น ในวันที่ 10 พฤศจิกายน เมื่อทูตได้ร่วมงานแสดงเพลงแจ๊ส ที่พระบรมฯและพระองค์เจ้าศรีรัศม์ เสด็จ และทูตได้นั่งติดกับพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ ทูตได้ถาม พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ว่า มีปัญหาเรื่องการปรับตัวหรือไม่ ทรงตอบว่า ไม่มี เพราะได้ทรงถวายงานรับใช้พระราชินี เป็นเวลา 15 ปี ที่พระราชวังบางปะอิน

(10) พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ กล่าวถึง องค์ทีปังกร ว่า มีความสามารถ (prodigy) พูดเก่ง

ทูตได้ หมายเหตุ ความเห็นส่วนตัว ว่า ถ้าเรื่องนี้ เป็นจริง ก็แสดงว่า ข่าวลือเรื่องทรงเป็น autism ไม่เป็นความจริง

(11) ทูต ชวน พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ คุยเรืองสัตว์เลี้ยง ตอนแรกก็เรื่องในหลวงกับทองแดง แต่เมื่อทูตเอ่ยถึง พระเทพฯ ว่า ได้ยินว่า ทรงมีสุนัขตัวโต ทูตกล่าวว่า body language ของพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด (ทูตใช้คำว่า freeze up - อ่านรายละเอียดกันเองครับ)

(12) พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ ทรงบอกทูตว่า "ฟูฟู" มีตำแหน่งทางทหาร (อ่านรายละเอียดกันเองนะครับ)

(13) ทูตกล่าวว่า พระบรมฯ ทรงมีพระพลานามัยดี (appeared healthy) และว่า ปรีดียาธร เทวกุล บอกกับเขาว่า ไม่กี่เดือนก่อน ที่พระบรมฯ ทรงเดินเหิรลำบาก (จนทำให้มีข่าวลือเรื่องสุขภาพ) เพราะพระองค์ทรงสรวมใส่ชุดข้างในที่รัดพระองค์บางอย่างอยู่ (he was wearing some kind of constricting apparel under his clothing) ต่อมาแพทย์แนะให้เอาออก จึงทำให้ดูว่าทรงเดินเหิรได้อย่างปกติในทันที ทูตบอกว่า ในการสนทนากับพระบรมฯ พระบรมฯทรงสามารถสนทนาแลกเปลี่ยนกับทูตได้อย่างสบายๆโดยตลอด ("was able to engage in easy back-and-forth discussion throughout.")


*****

เรื่องเกี่ยวเนื่อง:

หมายเหตุไทยอีนิวส์:ผู้อ่านพึงใช้วิจารณญาณในการติดตามข้อมูลข่าวสาร ไทยอีนิวส์ไม่จำเป็นต้องมีความเห็นหรือทัศนะสอดคล้องกับรายงานต่างๆเหล่านี้แต่อย่างใด และควรอย่างยิ่งที่จะต้องรับฟังข้อมูลข่าวสารการชี้แจงใดๆจากทางราชการประกอบการพิจารณาด้วย

-ข่าวภาษาอังกฤษเรื่องนี้ที่ตีพิมพ์ใน THE TELEGRAPH:CROWN PRINCE DISCUSSES MONARCHY, POLITICS IN AMBASSADOR'S FAREWELL CALL

-คำแปลฉบับเต็ม โทรเลขวิกิลีกส์ 25 มกราคม 2553 (ทูตอเมริกันพบ เปรม, สิทธิ, อานันท์) ใน ฟ้าเดียวกัน ฉบับใหม่

-ข่าวคึกโครมระดับโลกที่เงียบเชียบในสื่อไทย วิกิลีกส์ตีแผ่อีกเปรม-อานันท์ปูดข้อมูลลับระดับสูงสู่ทูตสหรัฐฯ

-อภิสิทธิ์:"ในหลวงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระบรมฯสืบต่อพระราชบัลลังก์"

ยุทธวิธีแดงสยามไม่ต้านทันทีหากเกิดรัฐประหาร ปล่อยเหี้ย2ตัวกัดกันน่วมก่อนค่อยออกมาซ้ำทีหลัง

ที่มา Thai E-News



โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
5 กุมภาพันธ์ 2554

สุรชัยแดงสยามไม่เชื่อจะเกิดรัฐประหาร แต่หากเกิดก็จะไม่ผลีผลามออกมาต้านทันที ปล่อยเหี้ย2ตัวกัดกันให้น่วม แล้วค่อยออกมาตลบหลัง ไม่แอ่นอกรับกระสุนปกป้องรัฐบาลนายอภิสิทธิ์แน่นอน สวนทางจตุพรแดงทั้งแผ่นดินที่เรียกร้องคนเสื้อแดงออกต้านทันทีที่มีประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่1 เพื่อยืนยันว่าไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย ไม่ใช่ใครนึกจะทำอะไรตามใจก็ได้ งานนี้คนเสื้อแดงตัดสินใจเองจะเอาแนวไหน?...


นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำแดงสยาม กล่าวปราศรัยว่า เขาไม่เชื่อว่าจะเกิดรัฐประหารยึดอำนาจปิดประเทศ กวาดล้างเสื้อแดง เพราะสวนทางกับกระแสสูงในการเรียกร้องประชาธิปไตย ขับไล่เผด็จการทั่วโลก แต่ก็อาจเป็นไปได้ที่จะเกิดการยึดอำนาจเงียบ ด้วยการปลดรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ออกไป งดใช้รัฐธรรมนูญ แล้วตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลเพื่อสร้างความปรองดอง มานิรโทษกรรมนักโทษการเมืองจากความขัดแย้งตั้งแต่ปี2548เป็นต้นมา แล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และจัดการเลือกตั้งทั่วไป เป็นการล้างไพ่ใหม่ทั้งหมด

อย่างไรก็ตามหากเกิดรัฐประหารยึดอำนาจขึ้นจริง แดงสยามจะไม่รีบออกมาต่อต้านทันที จะใช้กลยุทธ์"มึงมากูมุด มึงหยุดกูแหย่ มึงแย่กูตี มึงหนีกูตาม" ใครจะออกมาต่อต้านก็เชิญ แต่แดงสยามไม่ออกมาต้าน เพราะเท่ากับเอาชีวิตไปเสี่ยงไปรักษารัฐบาลนายอภิสิทธิ์

"ให้มันรบกัน เหี้ย2ตัวกัดกัน ตัวหนึ่งตาย อีกตัวบาดเจ็บ มันแย่แล้วเราค่อยออกมาซ้ำ เรื่องอะไรจะโผล่เข้าไปตรงกลางให้เหี้ยมันรุมกัดเรา"

ก่อนหน้านี้เมื่อ 2 กุมภาพันธ์ อาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานนปช.แถลงว่า ได้นำคู่มือต้านรัฐประหาร 10 ข้อเป็นแนวปฏิบัติในการต้านรัฐประหารทันที แต่ไม่ให้สุ่มเสี่ยงจนเป็นอันตราย



นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.แดงทั้งแผ่นดินกล่าวว่า ทหารเตรียมพร้อมแล้วเหลือแค่"รอเขาสั่ง" เรียกร้องให้ประชาชนออกมาต่อต้านการรัฐประหารทันที โดยหากมียึดอำนาจรัฐประหารให้ออกมารวมตัวต่อต้านที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยโดยทันที เมื่อมีคำประกาศฉบับที่1ไม่ต้องรอฟังอีกครั้งหนึ่ง แล้วเริ่มต้นแตกหัก ส่วนตัวเขามาแน่ เหตุที่ไม่มาคือ หนึ่งตาย หรือ สองโดนจับเท่านั้น ผมจะสู้ตายในประเทศไทย ไม่ยอมลี้ภัยไปไหน(ดูในคลิปนปช.แดงทั้งแผ่นดินแถลง จตุพรพูดอยู่ในนาทีที่25เป็นต้นไป)

******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:

-สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล:ความเป็นไปได้(น้อย)ของการรัฐประหารขณะนี้ ถ้ารัฐประหาร สมัคร-สมชาย ยังไม่ต้องใช้ทหาร ทำไม จะมีใครคิดรัฐประหารอภิสิทธิ์ และคิดจะใช้ทหารรัฐประหารด้วย?

-ใบตองแห้งออนไลน์:ความแทบจะเป็นไปไม่ได้ของการรัฐประหาร นี่คือสถานภาพที่ทหารมีความสุขที่สุดแล้ว ทำไมจะต้องขับรถถังออกมาหาเหาใส่หัว เอาตัวเป็นหนังหน้าไฟ ทำรัฐประหารให้สมความคิดพวกพันธมิตร ซึ่งเผลอๆ ตอนนี้ทหารอาจจะเกลียดพันธมิตรไม่น้อยกว่าเสื้อแดง เพราะจิกหัวด่าทหารทุกวัน

เหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ สมัยรัฐบาลนี้ ตายแค่ 900 ศพ …!!!!

ที่มา Thai E-News


หญิงชาวมุสลิมปลอบใจหญิงชาวพุทธเพื่อนบ้านของเธอ ที่สามีถูกสังหารเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ ในเหตุยิงถล่มมีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บอีก 2 ในเหตุการณ์ความรุนแรงชายแดนภาคใต้(ภาพข่าว:รอยเตอร์)


โดย ปาแด งา มูกอ

นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย:เรามาถูกทางแล้ว ในสมัยรัฐบาลนี้ตายแค่ 900 ศพ


สถานการณ์ ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่ อ.จะนะ เทพา สะบ้าย้อย และนาทวี เริ่มเกิดเหตุความรุนแรงตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.47 จากเหตุการณ์ปล้นปืนที่ค่ายกองพันพัฒนาที่ 4 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส จนมาถึงวันนี้ร่วม 7 ปี

ศอ.บต.สรุปสถานการณ์ความไม่สงบตลอดปี 2547 ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. เกิดเหตุรวมทั้งสิ้น 1,324 ครั้ง วางเพลิง 415 ครั้ง วางระเบิด 105 ครั้ง โจมตีสถานที่ราชการ 31 ครั้ง ทำร้ายประชาชน 341 ครั้ง ทำร้ายเจ้าหน้าที่ 316 ครั้ง และอื่นๆ 116 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตตลอดปี 2547 ทั้งหมด 566 คน บาดเจ็บ 639 คน เจ้าหน้าที่รัฐ เสียชีวิต 179 คน บาดเจ็บ 278 คน ประชาชน เสียชีวิต 271 คน บาดเจ็บ 351 คน และคนร้ายเสียชีวิต 116 คน

ปี 2548 เกิดเหตุการณ์ 1,889 ครั้ง วางเพลิง 295 ครั้ง วางระเบิด 256 ครั้ง โจมตีสถานที่ราชการ 33 ครั้ง ทำร้ายประชาชน 540 ครั้ง ทำร้ายเจ้าหน้าที่ 376 ครั้ง และอื่นๆ 389 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 574 คน บาดเจ็บ 1,113 คน แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เสียชีวิต 209 คน บาดเจ็บ 409 คน ประชาชน เสียชีวิต 355 คน บาดเจ็บ 686 คน คนร้าย เสียชีวิต 10 คน บาดเจ็บ 18 คน

ปี 2549 เกิดเหตุการณ์ 2,064 ครั้ง แบ่งเป็นวางเพลิง 302 ครั้ง วางระเบิด 320 ครั้ง โจมตีสถานที่ราชการ 19 ครั้ง ทำร้ายประชาชน 654 ครั้ง ทำร้ายเจ้าหน้าที่ 332 ครั้ง และอื่นๆ 437 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 648 คน บาดเจ็บ 1,187 คน แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เสียชีวิต 222 คน บาดเจ็บ 373 คน ประชาชน เสียชีวิต 410 คน บาดเจ็บ 799 คน คนร้าย เสียชีวิต 16 คน บาดเจ็บ 15 คน

ช่วงที่พันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์เดินประท้วงขับไล่รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ มีการโฆษณาชวนเชื่อว่าทักษิณออกไปคนเดียวปัญหาภาคใต้ก็สงบ หลังยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณในปี2549 ผลปรากฎว่า...ปีรุ่งขึ้น

ปี 2550 เกิดเหตุการณ์ 2,664 ครั้ง แบ่งเป็น วางเพลิง 426 ครั้ง วางระเบิด 488 ครั้ง โจมตีสถานที่ราชการ 81 ครั้ง ทำร้ายประชาชน 834 ครั้ง ทำร้ายเจ้าหน้าที่ 364 ครั้ง และอื่นๆ 471 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 943 คน บาดเจ็บ 1,687 คน แบ่งเป็น เจ้าหน้าที่รัฐ เสียชีวิต 221 คน บาดเจ็บ 567 คน ประชาชน เสียชีวิต 678 คน บาดเจ็บ 1.111 คน คนร้าย เสียชีวิต 44 คน บาดเจ็บ 9 คน

ปี 2551 มีเหตุการณ์ 1,067 ครั้ง แบ่งเป็น วางเพลิง 36 ครั้ง วางระเบิด 229 ครั้ง โจมตีสถานที่ราชการ 38 ครั้ง ทำร้ายประชาชน 429 ครั้ง ทำร้ายเจ้าหน้าที่ 259 ครั้ง และอื่นๆ 76 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 536 คน บาดเจ็บ 970 คน แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เสียชีวิต 155 คน บาดเจ็บ 504 คน ประชาชน เสียชีวิต 339 คน บาดเจ็บ 455 คน คนร้ายเสียชีวิต 42 คน บาดเจ็บ 11 คน

ปี 2552 มีเหตุการณ์ไม่สงบ 919 ครั้ง แบ่งเป็น วางเพลิง 26 ครั้ง วางระเบิด 221 ครั้ง โจมตีสถานที่ราชการ 21 ครั้ง ทำร้ายประชาชน 504 ครั้ง ทำร้ายเจ้าหน้าที่ 122 ครั้ง ก่อกวน 16 ครั้ง และอื่นๆ 9 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 544 คน บาดเจ็บ 1,035 คน แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 51 คน บาดเจ็บ 305 คน ประชาชนเสียชีวิต 455 คน บาดเจ็บ 728 คน คนร้ายเสียชีวิต 38 คน บาดเจ็บ 2 คน

ปี 2553 มีเหตุการณ์ไม่สงบทั้งหมด 922 ครั้ง แบ่งเป็น วางเพลิง 15 ครั้ง วางระเบิด 207 ครั้ง โจมตีสถานที่ราชการ 24 ครั้ง ทำร้ายประชาชน 538 ครั้ง ทำร้ายเจ้าหน้าที่ 64 ครั้ง ก่อกวน 36 ครั้ง และอื่นๆ 38 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 489 คน บาดเจ็บ 938 คน แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เสียชีวิต 41 คน บาดเจ็บ 334 คน ประชาชนเสียชีวิต 428 คน บาดเจ็บ 604 คน คนร้ายเสียชีวิต 20 คน

นับจากเหตุการณ์ปล้นปืน 4 ม.ค.47 จนถึงสิ้นปี 2553 มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นทั้งหมด 10,849 ครั้ง แบ่งเป็นวางเพลิง 1,515 ครั้ง วางระเบิด 1,826 ครั้ง โจมตีสถานที่ราชการ 247 ครั้ง ทำร้ายประชาชน 3,840 ครั้ง ทำร้ายเจ้าหน้าที่ 1,833 ครั้ง ก่อกวน 52 ครั้ง และอื่นๆ 1,536 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 4,300 คน บาดเจ็บ 7,569 คน แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1,078 คน บาดเจ็บ 2,770 คน ประชาชนเสียชีวิต 2,936 คน บาดเจ็บ 4,734 คน คนร้ายเสียชีวิต 286 คน บาดเจ็บ 65 คน

ต้นปี 2554 ความไม่สงบก็ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง เพิ่มรูปแบบขึ้นเป็นการบุกถล่มฐานปฏิบัติการกองร้อย 15121 ที่จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 4 นาย บาดเจ็บอีก 4 นาย พร้อมปล้นปืนไปกว่า 50 กระบอก

สวนทางที่รัฐบาลบอกว่ามาถูกทาง นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย ถึงขนาดภูมิใจว่าในสมัยรัฐบาลนี้ตายแค่ 900 ศพ

*****

เรื่องเกี่ยวเนื่อง:

-ไฟใต้่ที่รัฐไม่กล้ามอง ไม่กล้าแก้ และไม่กล้าพูด! :“เกลือเป็นหนอน,หนอนบ่อนใส้ หรือ มีใส้ศึก ” เกิดขึ้นในเหตุการณ์บุกทะลวงฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ

-ปมไฟใต้ ที่รัฐแก้ไม่ออก :การจัดตั้งในระดับ มณฑล หรือกลุ่ม วีลายะห์ เรียกว่า “กัส” ซึ่งถือเป็นเขตอำนาจที่ใหญ่ที่สุดใน “รัฐปัตตานีดารุสลาม” มีตำแหน่งหน้าที่ผู้ควบคุมที่เรียกว่า “กัส”

-ใครจุดไฟใต้ ?: “ตุรงแง” คือกลุ่มคนที่มีหน้าที่ในการปฏิบัติการ ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ดอกไม้หายไปไหน-WHERE HAVE ALL THE FLOWERS GONE?

ที่มา Thai E-News



กระหายสงครามVSเหยื่อสงคราม-(บน)เวบไซต์ASTV นำเสนอภาพข่าวพันธมิตรซึ่งประท้วงอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล พากันดีใจไชโยโห่ร้องเมื่อได้ยินข่าวทหารไทยกับกัมพูชาเปิดสงคราม (ล่าง)ผู้หญิง เด็ก คนแก่ ตามแนวชายแดน พากันอพยพไปอยู่ที่พักพิงฉุกเฉินหลังเกิดสงคราม ซึ่งมีชาวบ้านแนวชายแดนเป็นเหยื่อสังเวยไป 1 ศพ บาดเจ็บร่วม 10 คน ชาวบ้านเหล่านี้เคยต่อต้านพันธมิตรไม่ให้มายั่วยุให้เกิดสงคราม เพราะพวกเขาจะหาสันติไม่ได้ (ภาพข่าว:AP)




บทเพลง WHERE HAVE ALL THE FLOWERS GONE โดย Pete Seeger
บทกวีถอดความโดย วิสา คัญทัพ

ผ่านมานาน ดอกไม้หายไปไหน
ดอกไม้หายไปไหน นานมาแล้ว
ถูกเก็บไปกับสาวผู้พราวแพรว
เมื่อไรเพื่อนร่วมแนวรู้เรื่องราว

แล้วสาวผู้แพรวพรายหายไปไหน
ผ่านมานานทำไมไม่เห็นสาว
สาวมีสามีสุขอยู่ทุกคราว
ไม่รู้ข่าวเธอบ้างหรืออย่างไร

เวลานานผ่านพลัดให้กลัดกลุ้ม
เมื่อชายหนุ่มทั้งหลายหายไปไหน
หายไปเป็น ทหาร – ผู้ชาญชัย
จะเข้าใจได้เมื่อใด ยังไม่รู้

และทหารทั้งหลายก็หายลับ
นานเกินนับเนิ่นผ่านการต่อสู้
หายไปกับหลุมศพรบศัตรู
กี่บทเรียนเป็นครู ไม่เข้าใจ

ซึ่งสุดท้ายหลุมศพถูกกลบสิ้น
โปรยปรายปก คลุมดิน ด้วยดอกไม้
จึงหลุมศพทั้งหลายก็หายไป
เมื่อไรหนอ..อีกเมื่อไร – เราได้รู้.



WHERE HAVE ALL THE FLOWERS GONE

words and music by Pete Seeger
performed by Pete Seeger and Tao Rodriguez-Seeger

Where have all the flowers gone?
Long time passing
Where have all the flowers gone?
Long time ago
Where have all the flowers gone?
Girls have picked them every one
When will they ever learn?
When will they ever learn?

Where have all the young girls gone?
Long time passing
Where have all the young girls gone?
Long time ago
Where have all the young girls gone?
Taken husbands every one
When will they ever learn?
When will they ever learn?

Where have all the young men gone?
Long time passing
Where have all the young men gone?
Long time ago
Where have all the young men gone?
Gone for soldiers every one
When will they ever learn?
When will they ever learn?

Where have all the soldiers gone?
Long time passing
Where have all the soldiers gone?
Long time ago
Where have all the soldiers gone?
Gone to graveyards every one
When will they ever learn?
When will they ever learn?

Where have all the graveyards gone?
Long time passing
Where have all the graveyards gone?
Long time ago
Where have all the graveyards gone?
Covered with flowers every one
When will we ever learn?
When will we ever learn?


IMAGINE-จินตนาการ

ที่มา Thai E-News


หากไม่มีประเทศมีเขตแคว้น ไม่มีแม้เขตแดนขีดแบ่งด่าน อยากให้คุณลองจินตนาการ ไม่ยากหรอกหากท่านคิดอ่านทำ




บทเพลง จอห์น เลนนอน
บทกวีถอดความโดย วิสา คัญทัพ

หากไม่มีสวรรค์ในชั้นฟ้า
จินตนาการดูสิว่า เป็นไปได้
ไม่มีนรกเบื้องล่างว่างเปล่าไป
มีแต่ฟ้ากว้างไกลอยู่เบื้องบน

จินตนาการว่ามนุษย์อยู่ที่นี่
มีชีวิตเพื่อวันนี้อย่างเข้มข้น
อยู่เพื่ออยู่เพื่อสู้เยี่ยงผู้คน
จะทุกข์สุขรวยจนไม่รนราน

หากไม่มีประเทศมีเขตแคว้น
ไม่มีแม้เขตแดนขีดแบ่งด่าน
อยากให้คุณลองจินตนาการ
ไม่ยากหรอกหากท่านคิดอ่านทำ

ยุติการ ทำลาย อย่าไปคิด
แม้ชีวิตเพื่อใดก็ไม่ย้ำ
เสียสละเพื่อใครในเวรกรรม
ศาสนาแห่งธรรม มิจำเป็น

ศาสนาใดๆไร้ความหมาย
คนทั้งหลายสันติสุขหมดทุกข์เข็ญ
จินตนาการ ใครต่อใคร ไร้ลำเค็ญ
มีแต่เห็นคนทั้งหลายสบายดี

คุณอาจมองว่าฉันนั้นฝันเพ้อ
หลงละเมอเรื่อยไปที่ไหนนี่
ใช่ฉันเดี่ยวเดียวดายทำไมมี
ยังมีเธออีกที่เพื่อนร่วมทาง

เพราะฉันรู้ ว่าต้อง มีวันนั้น
วันที่เธอกับฉันร่วมสรรค์สร้าง
เราจับมือกันไว้และไม่วาง
โลกไม่ต่างลึกซึ้งเป็นหนึ่งเดียว

ลองจินตนาการ ดูต่อไป
เราไม่มีสมบัติใดให้ยึดเหนี่ยว
สลัดทิ้งมันได้โดยง่ายเชียว
ไม่แลเหลียวหิวกระหายโลภใฝ่ทราม

ผู้คน บนโลก ล้วนรื่นราบ
โดยภราดรภาพทุกทั่วท่าม
จินตนาการดูสิว่า สง่างาม
แบ่งปันอยู่ร่วมตามความเท่าเทียม

คุณคงว่า ฉันเพ้อ ละเมอฝัน
โดยลำพังเชื่อมั่นจนล้นเปี่ยม
แท้มีเพื่อนร่วมแนวเข้าแถวเตรียม
ย้ายโลกเยี่ยม เข้าสู่ยุค สุขนิรันดร์



กระหายสงคราม-พันธมิตรดีใจหลังจากได้ข่าวเกิดการปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา มีผลให้ราษฎรหมู่บ้านภูมิสรอลตาย1เจ็บ5 ชาวหมู่บ้านภูมิสรอลเคยต่อต้านพันธมิตรไม่ให้ไปยั่วยุให้เกิดสงคราม เพราะคนที่อยู่ติดชายแดนจะหาสันติสุขไม่ได้




Imagine there's no heaven,
It's easy if you try,
No hell below us,
Above us only sky,
Imagine all the people
living for today...

Imagine there's no countries,
It isnt hard to do,
Nothing to kill or die for,
No religion too,
Imagine all the people
living life in peace...

Imagine no possesions,
I wonder if you can,
No need for greed or hunger,
A brotherhood of man,
imagine all the people
Sharing all the world...

You may say Im a dreamer,
but Im not the only one,
I hope some day you'll join us,
And the world will live as one.

Friday, February 4, 2011

"แดง"จุดพลุ"2 มาตรฐาน" ชุมนุมหน้าศาลอาญา และหลักฐานใหม่"วิกีลีกส์""ทูตสหรัฐรู้ล่วงหน้า 1 เดือน ยุบ"พลังประชาชน"

ที่มา มติชน







การตัดสินใจปรับขบวนการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ จากเดิมที่ตั้งขบวนที่เรือนจำคลองเปรม และมุ่งหน้าไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย


ล่าสุด แกนนำ "คนเสื้อแดง" ตัดสินใจเปลี่ยน "จุดเริ่มต้น" ใหม่


จาก "เรือนจำคลองเปรม" เป็นหน้า "ศาลอาญา"


แน่นอน เป้าหมายของ "คนเสื้อแดง" คือการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับ "แกนนำ" ที่ไม่ได้รับการประกันตัว

การเคลื่อนไหวของ "จตุพร พรหมพันธุ์" และ "ธิดา ถาวรเศรษฐ์" ในช่วงหลังพุ่งเป้าไปที่กระบวนการยุติธรรมอย่างชัดเจน

ไม่ว่าจะเป็นการส่งจดหมายถึงผู้พิพากษา 1,300 คน


หรือการชุมนุมที่หน้าศาลอาญาในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ และอีกครั้งที่หน้าศาลฎีกาในวันที่ 19 กุมภาพันธ์


แม้จะบอกว่าเป็นการเรียกร้องความเป็นธรรม แต่ภาพที่ออกมาถือว่าเป็นการกดดันอำนาจศาลอย่างเปิดเผย


เพราะ "คนเสื้อแดง" รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมที่"แกนนำ"ถูกกุมขังมาเป็นเวลา 8 เดือน ไม่ได้รับการประกันตัว


ในขณะที่แกนนำ "เสื้อเหลือง" อย่าง "ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์-สมบูรณ์ ทองบุราณ" ซึ่งเจอข้อหาก่อการร้ายเหมือนกันได้รับการประกันตัวในวงเงินที่ต่ำมาก


แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มีคนแย้งว่าแม้ "ข้อหา" จะเหมือนกัน แต่ "ความรุนแรง" ของคดีแตกต่างกัน

"เสื้อเหลือง" ยึดสนามบิน แต่ "เสื้อแดง" มีการใช้อาวุธและเผาบ้านเผาเมือง


ดุลพินิจของผู้พิพากษาจึงแตกต่างกัน


อย่างไรก็ตาม เมื่อ "คณิต ณ นคร" อดีตอัยการสูงสุด ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ(ศอป.) ออกมาให้ความเห็นว่าแกนนำ นปช.ควรได้รับการประกันตัว

"น้ำหนัก" ของ "คนเสื้อแดง" จึงเพิ่มขึ้น


วันนี้ "จตุพร-ธิดา" มั่นใจแล้วว่าพลังของ "คนเสื้อแดง" กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

และเชื่อกว่าวันที่ 13 นี้ ปริมาณคนที่มาร่วมชุมนุมจะเพิ่มขึ้นกว่าครั้งก่อน


เขาจึงรุกฆาตไปยังที่ "อำนาจ" ซึ่งไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์มาก่อน

และเปิดประเด็นเรื่อง"2 มาตรฐาน"อีกครั้ง
........................


ในช่วงเดียวกัน "พงศ์เทพ เทพกาญจนา" อดีตผู้พิพากษา และแกนนำพรรคไทยรักไทยในอดีต ก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์แวดวงตุลาการอย่างรุนแรงในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ


เขาเปิดประเด็นเรื่องเบื้องหลังการตัดสินคดีแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา สมัยที่ "นพดล ปัทมะ" เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ


"ตอนหลังมีข้อมูลซี่งมีน้ำหนักว่ามีการจ่ายสำนวนไปแล้วโดยองค์คณะลงมติแล้ว 3 ต่อ 2 หลังจากนั้นมีการโอนสำนวนไปให้อีกคณะหนึ่ง ซึ่งประธานศาลศาลปกครองเป็นหัวหน้าคณะเอง แล้วตัดสินมาเป็นอีกอย่างหนึ่ง ผมทราบว่าผู้ที่เกี่ยวข้องไปขอคัดสำนวนนี้แล้วถูกกีดกันไม่ให้คัด ไม่ให้ดูบางส่วนของสำนวน มีการมาควบคุมเคร่งครัดซึ่งผิดปกติมาก ภายหลังทราบจากสื่อมวลชนว่าเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 ป.ป.ช. มีมติให้รับเรื่องกล่าวหาอดีตประธานศาลปกครองปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการสั่งเปลี่ยนองค์คณะ"


หรืออีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องการยุบพรรคพลังประชาชน


เขาบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญนัดเรื่องการสืบพยานในวันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน2551 เพื่อฟังว่าจะสืบพยานกี่ปาก จะได้กำหนดวันต่อไป


"แต่พอไปถึงศาลสั่งไม่ต้องสืบพยานแล้ว แล้วให้นัดแถลงการณ์ปิดคดีในวันอังคารที่ 2 ธันวาคม ให้เวลาในการเตรียมตัว 3 วัน ซึ่งเป็นวันหยุด 2 วัน ทั้งๆ ที่ทั้ง 3 พรรคไม่คิดว่าคดีจะเสร็จ คดีสำคัญที่มีผลยุบพรรคการเมือง 3 พรรค ซึ่งมีส.ส.ในสภา เยอะแยะ ลองไปถามผู้พิพากษาที่คุณเห็นว่าเที่ยงธรรม ดูซิว่ามีท่านใดเห็นควรให้เวลาเตรียมเพียง 3 วันบ้าง"


"พอคู่ความแถลงการณ์ปิดคดีเสร็จ ศาลประชุมปรึกษา ตุลาการแต่ละคนต้องแถลงความเห็นส่วนตน แล้วต้องมีการเขียนคำวินิจฉัยกลาง ศาลใช้เวลาประมาณ 40 นาที ในขั้นตอนนี้ แล้วออกไปอ่านคำวินิจฉัย"


นั่นคือ บทสัมภาษณ์ของ"พงศ์เทพ"


ในขณะเดียวกัน "วิกีลีกส์" ก็เปิดเอกสารลับของสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ฉบับวันที่ 6 พฤศจิกายน 2551
เอกสารนี้เผยแพร่ออกมาเมื่อประมาณ 1-2 เดือนก่อน


เอกสารลับฉบับนี้ระบุว่าทูตสหรัฐได้พบกับ "แหล่งข่าว" ที่เป็น "ชนชั้นสูง" คนหนึ่งที่บ้านพักทูตเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน

ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรคเกือบ 1 เดือน


"แหล่งข่าว" คนนั้นบอกทูตสหรัฐว่า "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" นายกรัฐมนตรีคงไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งได้นานนัก เพราะเขาคงจะถูกปลดโดยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคพลังประชาชน


ซึ่งเขาเชื่อว่าศาลจะมีคำตัดสินก่อนวันที่ 5 ธันวาคม


นี่คือ คำทำนายเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2551


ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดเรื่องสืบพยานในวันที่ 28 พฤศจิกายน2551และเปลี่ยนใจไม่ต้องสืบพยาน


ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีนี้ในวันที่ 2 ธันวาคม 2551

เป็นไปตาม "คำทำนาย" ของ "แหล่งข่าว"

.........................................................................

หลักฐานจากวิกีลีกส์

(1.)

Thursday, 06 November 2008, 07:30
S E C R E T SECTION 01 OF 03 BANGKOK 003317
NOFORN
SIPDIS
NSC FOR WILDER AND PHU
EO 12958 DECL: 11/06/2018
TAGS PGOV, KDEM, MOPS, ASEC, TH

เอกสารของสถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2551 ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินประมาณ 1 เดือน (ข้อมูลจากเว็ปไซต์ การ์เดี้ยน www.guardian.co.uk )

(2.)

3. (C) Ambassador met privately at the Residence on November 4 with XXXXXXXXXXXX

เอกสารข้อ 3 ระบุว่าทูตสหรัฐได้นัดเจอกับ"แหล่งข่าว"คนนี้เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน (การ์เดี้ยน ปิดชื่อแหล่งข่าว)

(3.)


5. (C) XXXXXXXXXXXX claimed to have spoken to Prime Minister Somchai Wongsawat about the current standoff. XXXXXXXXXXXX told the Ambassador that Somchai had agreed that the government could meet with the PAD and reach a compromise, but the time was not yet ripe. In his conversation with the Ambassador, XXXXXXXXXXXX spoke highly of Somchai, saying he was "very good" and had many qualities that made him suitable to be Prime Minister, including a sense of fairness and a moderate temperament. Nevertheless, XXXXXXXXXXXX predicted that Somchai could not remain long in office because he would likely be forced out by an adverse Constitutional Court ruling in the People′s Power Party (PPP) dissolution case (ref A), which XXXXXXXXXXXX believed the Court might issue before the King′s birthday (December 5). XXXXXXXXXXXX guessed Somchai would dissolve the parliament before being forced from office.

5. (C) แหล่งข่าวอ้างว่าได้คุยกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากันในตอนนี้. เขาบอกทูตสหรัฐว่านายสมชายเห็นด้วยที่รัฐบาลจะนัดเจอกับตัวแทนพันธมิตรและตกลงประนีประนอมได้ แต่ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา การสนทนาครั้งนี้ แหล่งข่าวกล่าวพูดถึงนายสมชายอย่างยกย่อง บอกว่านายสมชาย "ดีมาก" มีคุณสมบัติหลายอย่างที่ทำให้เขาเหมาะเป็นนายกรัฐมนตรี เช่น ความสำนักในเรื่องความเป็นธรรมและไม่เจ้าอารมณ์ อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวคาดว่านายสมชายคงอยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานนักเพราะจะถูกปลดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดียุบพรรคพลังประชาชน (เอกสารอ้างอิง A)

แหล่งข่าวเชื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษา (5 ธันวาคม). แหล่งข่าวคาดว่านายสมชายอาจจะยุบสภาก่อนพ้นจากตำแหน่ง

ในเอกสารฉบับนี้ "แหล่งข่าว"ทำนายถูกต้องว่าพรรคพลังประชาชนจะถูกยุบพรรคก่อนวันที่ 5 ธันวาคม 2551 แต่คาดการณ์ผิดเพราะคิดว่านายสมชายจะยุบสภาฯก่อนถูกตัดสินยุบพรรค

รุกรบ โต้ต้าน “เครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป” ที่มี เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นประธาน

ที่มา Thai E-News


การประชุมดังกล่าว จัดขึ้นตามแผนการปฏิรูปประเทศไทยของรัฐบาลที่มือเปื้อนเลือด เป็นหัวหอกทางการเมืองให้กับชนชั้นนำในระบบเก่า ที่ประชุมนักเขียนเชียงใหม่จึงมิอาจเห็นด้วยกับการปฏิรูปแบบกำมะลอ ทั้งจะไม่เข้าร่วม การประชุมแบบจัดฉากนี้


โดย วิสา คัญทัพ



เครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูปที่มี นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นประธาน เป็นองค์กรจัดตั้งภายใต้การกำกับของคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) ของรัฐบาลชุดที่มี หมอประเวศ วะสี เป็นประธาน

พวกนี้พยายามขับเคลื่อนตัวเพื่อเข้ายึดครองพื้นที่ และผูกขาดศิลปวัฒนธรรมเพื่อรับใช้ คนชั้นสูง อำมาตย์ และศักดินา

โดยศิลปินที่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบางคนเต็มใจ แต่บางคนก็อาจจะอยู่ในฐานะรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ความจริงแม้พวกเขาเฉลียวใจสักนิดว่า กำลังนั่งทำหน้าที่เป็นศิลปินรับใช้รัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งของคณะทหารในค่ายทหาร และทั้งยังมือเปื้อนเลือดเข่นฆ่าประชาชนคนชั้นล่าง พวกเขาก็น่าจะสะเทือนใจ จนไม่อาจข้ามซากศพคนทุกข์ยากไปได้

“วันนี้ (18 ส.ค.) ณ ห้องประชุมนิทรรศการหมุนเวียน ชั้น 1 ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) เปิดตัว 22 กรรมการเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป ซึ่งมีนายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นประธาน

พร้อมด้วยคณะกรรมการเครือข่ายศิลปินหลากหลายแขนงทุกเครือข่ายทั่วประเทศ อาทิ รศ.ดร.สุกรี เจริญสุข คณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล, นายเทพศิริ สุขโสภา ศิลปินอิสระสาขาจิตรกรรม,นายอัศศิริ ธรรมโชติ กวีซีไรต์, นายนิวัติ กองเพียร ช่างภาพอาวุโสและนักวิจารณ์ศิลปะ, นายไพจิตร ศุภวารี ประธานสมาพันธ์ศิลปินเพื่อสังคม และนายสมชาย เสียงหลาย เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ,นางรัศมี เผ่าเหลืองทอง นักวิจารณ์และนักการละคร,นายเจะปอ สะแม ศิลปินพื้นบ้านจาก จ.ปัตตานี เป็นต้น เพื่อร่วมระดมสมองกำหนดทิศทางการทำงานปฏิรูปประเทศไทยโดยบทบาทของศิลปิน ทั้งนี้ ประธาน คสป. ได้ปาฐกถาเปิดประชุมคณะกรรมการเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูปครั้งที่ 1”


คณะกรรมการเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป มีนพ.ชัย โชควิวัฒน เป็นรองประธานฯ และประกอบด้วยกรรมการ 20 คน ได้แก่ นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์,รศ.ดร.สุกรี เจริญสุข, นายอานันท์ หาญพาณิชย์พันธุ์, นายเทพศิริ สุขโสภา, นายนิวัติ กองเพียร, นายอัศศิริ ธรรมโชติ, นายไพจิตร ศุภวารี,คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์, นายเอนก นาวิกมูล, รศ.ดวงพร คำนูณวัฒน์, นางรัศมี เผ่าเหลืองทอง, นายสถาพร ศรีสัจจัง, ดร.นนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน, นายณรงค์ จันทร์พุ่ม, นายธีรภาพ โลหิตกุล, ดร.ฉวีวรรณ พันธุ, นายเจะปอ สะแม, นายสังคม ทองมี, นางสมชาย เสียงหลาย และนายดนัย หวังบุญชัย

ภารกิจหลักของคณะกรรมการเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูปนี้ มี 6 ประการ

1.จัดระดมความเห็นและการมีส่วนร่วมจากศิลปินทุกประเภทและทุกระดับต่อการปฏิรูปประเทศไทย
2. ศึกษา รวบรวม ประมวล วิเคราะห์ ความเห็นของศิลปินทุกประเภทและทุกระดับจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการปฏิรูป
3.สนับสนุนศิลปินทุกประเภทและทุกระดับในการสร้างสรรค์งานเพื่อสื่อสาร กระตุ้นจิตสำนึกและสร้างจินตนาการแห่งการปฏิรูป
4.จัดกระบวนการสมัชชาและการขับเคลื่อนของเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป
5.แต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทำงานเพื่อดำเนินงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็น และ
6. ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ คสป.มอบหมาย


ผมติดตามความคืบหน้าทราบว่า จะมีการจัดสัมมนากันที่ภาคเหนือในนาม “เครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป (ภาคเหนือ)

ศิลปิน นักคิด นักเขียน กวี ภาคเหนือมีความคิดเห็นเป็นเช่นใดบ้าง ติดตามดูก็ได้เห็น คำผกา,เพ็ญ ภัคตะ,และเพื่อนพ้องศิลปินออกมาคัดค้าน โดยออกเป็นแถลงการณ์ของ “กลุ่มนักเขียนเชียงใหม่” มีข้อความบางตอนดังนี้

“การประชุมดังกล่าว จัดขึ้นตามแผนการปฏิรูปประเทศไทยของรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษ์นิยม มือเปื้อนเลือด ไร้ความเป็นกลาง ขาดความน่าเชื่อถือและความชอบธรรม มีพฤติกรรมเป็นหัวหอกทางการเมืองให้กับชนชั้นนำในระบบเก่า

ทั้งจะนำพาประเทศไทยไปสู่การปกครองระบอบเดิมๆที่ไม่พึงประสงค์ ที่ประชุมของนักเขียนเชียงใหม่แม้สนับสนุนการปฏิรูป แต่ไม่เชื่อว่าการดำเนินการตามแผนการนี้จะนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยที่แท้จริง เป็นแต่เพียงการจัดฉากหรือเป็นการปฏิรูปกำมะลอแบบขอไปที เพื่อสร้างความชอบธรรมและเป็นข้ออ้างในการดำรงไว้ซึ่งอำนาจเก่า ตามเป้าหมายเบื้องต้นที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว

การปฏิรูปที่แท้จริงตามความหมายของกลุ่มนักเขียนเชียงใหม่คือ การผ่าตัดโครงสร้างอำนาจทางการเมืองเสียใหม่ทั้งระบบ คือการสร้างความยุติธรรมทางสังคม คือการกระจายอำนาจ กระจายงบประมาณและผลประโยชน์ ทำลายการกระจุกตัวของอำนาจและผลประโยชน์ สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในทางการเมือง

ทั้งสร้างการเมืองที่ประชาชนควบคุมได้ โดยปลอดจากการครอบงำของอำนาจภายนอก ที่เป็นปกาศิตจากเบื้องบน หรืออำนาจอาวุธจากกองทัพ หรืออำนาจตุลาการที่ไร้มาตรฐานความยุติธรรม สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เกิดขึ้นได้เพียงด้วยการปฏิรูปที่แท้จริง มิใช่การปฏิรูปกำมะลอที่หลอกลวงและไร้ยางอาย”


กลุ่มนักเขียนเชียงใหม่สรุปในท้ายที่สุดว่า

“ที่ประชุมนักเขียนเชียงใหม่ไม่เคยมีส่วนร่วมและไม่เคยรับทราบว่า ‘เครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป’ และ ‘เครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป(ภาคเหนือ)’ เป็นใครและจัดตั้งมาตั้งแต่เมื่อใด อีกทั้งหัวข้อการปาฐกถาและเสวนา เช่น ‘ศิลปินกับกระบวนการคิดสร้างสรรค์เพื่อสังคมไทย’ และหรือ ‘ศิลปะจะมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมได้อย่างไร’ มิใช่ประเด็นที่เหมาะสมกับสถานการณ์การปฏิรูปประเทศไทย ทั้งมิควรเป็นหัวข้อที่จะนำมาแลกเปลี่ยนความเห็นกันเพื่อจะสร้างข้อสรุปไปสู่การปฏิรูปประเทศไทย”

กลุ่มนักเขียนเชียงใหม่จึงมิอาจเห็นด้วยกับการปฏิรูปแบบกำมะลอ ทั้งจะไม่เข้าร่วม การประชุมแบบจัดฉาก ที่มีขึ้นในจังหวัดน่าน ในระหว่างวันที่ 28-29 มกราคม”


ถึงตรงนี้ก็คงอยากทราบชื่อศิลปิน นักเขียน กวี ที่ร่วมกันประกาศคัดค้าน เครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูปกำมะลอ ดังกล่าวว่ามีใครกันบ้าง

รายชื่อนักเขียนที่ร่วมลงนาม... คำผกา, เพ็ญ ภัคตะ, มิตร ใจอินทร์. แพรจารุ, ถนอม ไชยวงษ์แก้ว, ชลธี ตระพัง,อัคนี มูลเมฆ, มาลานชา,วิภู ชัยฤทธิ์, อรรคพล สาตุ้ม, อรุณรุ่ง สุตย์สวี, มหรรณพ โฉมเฉลา, รวิวาร, พรพิศ ผักไหม, ภัควดี ไม่มีนามสกุล, กานต์ ณ กานท์, ทองธัช เทพารักษ์, นฤมล บุญญานิตย์, ชานนท์ แก้วบุปผา, สุชาดา แก้วบุปผา, สมชาย กุศลทรามาศ, เสรี ตรีศักดิ์, จรรยา ยิ้มประเสริฐ, ธณรัช โอฐเอี่ยม, สร้อยแก้ว คำมาลา, การะเกต ศรีปริญญาศิลป์. เมธี อมฤตเรืองศักดิ์, อันยา โพธิวัฒน์, ทองธัช เทพารักษ์, ปานจิต จันทรา, แสงดาว ศรัทธามั่น

ศิลปิน นักเขียน กวี ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคใต้ ที่ไม่เห็นด้วยกับ “เครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป” ที่มี เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นประธาน รีบรวมกลุ่มกันแสดงตนออกแถลงการณ์คัดค้านโดยด่วน นี่คือเครื่องมือของกลุ่มอำนาจคนชั้นสูงโดยแท้ เป้าหมายรุกรบทางวัฒนธรรมเพื่อจัดการและขจัดบทบาทศิลปวัฒนธรรมประชาชน

ฝากย้ำเตือนมายังกลุ่มศิลปินเสื้อแดงบนเวที นปช. ด้วยครับว่า ควรร่วมกันแถลงการณ์ในนามศิลปินเสื้อแดง นปช.ด้วย ควรให้ความสำคัญและพูดถึงประเด็นเหล่านี้ในหน้าสื่อของคนเสื้อแดงบ้าง