WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, November 8, 2008

hi5‘youngนปช.’ต่อต้านเผด็จการ


* แลกเปลี่ยนความเห็น-ไม่เอาพันธมิตร

ท่ามกลางความวุ่นวายในบ้านเมืองที่กลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาสร้างความปั่นป่วน ให้ร้ายรัฐบาล แบ่งแยกคนออกเป็นฝักเป็นฝ่าย และมีความพยายามเสนอรูปแบบการเมืองใหม่โดยมุ่งล้มล้างประชาธิปไตย และยังเชื้อเชิญให้ทหารออกมาทำการปฏิวัติรัฐประหารอย่างต่อเนื่อง นั้น

ได้เกิดกระแสการต่อต้านอย่างชัดเจนมากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะในรายการ “ความจริงวันนี้สัญจร ต้านรัฐประหาร” เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ที่มีประชาชนมารวมตัวกันโดยไม่มีการกะเกณฑ์เป็นจำนวนนับแสนคน เพื่อร่วมกันแสดงพลังประชาธิปไตย ทั้งยังมีสัญญาต่อกันว่าหากมีการยึดอำนาจอีกครั้ง ทุกคนจะพร้อมใจรวมตัวกันที่ท้องสนามหลวง

ขณะเดียวกันก็ได้เกิดกลุ่มเยาวชนนปช. ที่มีความคิดอ่านทางการเมือง หรือที่เรียกตัวเองว่ากลุ่ม young UDD (United Front of Democracy against Dictatorship) ขึ้นมา และกลุ่มดังกล่าวได้มีการเปิดบล็อกของตัวเองบน hi5 เพื่อเป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันของกลุ่มคนที่รักประชาธิปไตย ไม่เอาเผด็จการ และต่อต่านการกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ

โดยในการเข้าไปยังบล็อกดังกล่าวสำหรับผู้ที่เป็นสมาชิก hi5 แล้ว ให้เข้าไป Search (ค้นหา) คำว่า UDD hi5 นปช United Front of Democracy against Dictatorship ก็จะพบกับหน้า Profile และให้เข้าไปคลิก “เพิ่มเป็นเพื่อน” เพื่อสื่อสารกันได้ทั้ง 2 ทาง โดยจะสามารถไปอ่านความคิดเห็นของเพื่อนสมาชิก และโพสต์ข้อความแลกเปลี่ยนกันได้

ขณะเดียวกันก็จะพบกับข้อความและรูปภาพที่ผู้จัดนำบล็อกนำเสนอเอาไว้มากมาย
ส่วนผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกและต้องการเข้าไปเพื่ออ่านข้อความหรือดูหน้าบล็อกเพียงอย่างเดียว ก็สามารถเข้าผ่านเว็บไซต์
http://hi5udd.hi5.com

สำหรับข้อมูลและรูปภาพที่ปรากฏบนบล็อกดังกล่าวในขณะนี้มีทั้ง ภาพกิจกรรมของคนเสื้อแดง ทั้งที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ที่เมืองทองธานี และกิจกรรมที่เวทีท้องสนามหลวง มีบทความที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านรัฐประหาร มี CHAT ROOM สำหรับ hi5 นปช. Anti young PAD และยังมีลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้พบว่าบล็อกดังกล่าวถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2551 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 2 ปีการรัฐประหาร โดยพบว่าในระยะเวลาเพียงเดือนเศษ มีผู้ลงทะเบียนเข้าเป็นเพื่อนถึง 2,084 คน และมีการโพสต์ความคิดเห็นเอาไว้ 1,871 ข้อความ โดยจำนวนเพื่อและข้อความมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา

นอกจากนี้ยังมีประกาศจาก hi5นปช ระบุว่า “hi5นปช นี้จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มคนรักนปช. โดย hi5นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับแกนนำกลุ่มนปช.ทุกท่านทั้งสิ้น ดังนั้นทางเราจะไม่ขอยุติบทบาท ทาง hi5นปช ลง จนกว่าคำสั่งแกนนำกลุ่ม นปช.จะประกาศให้เราปิดอย่างเป็นทางการ

ทางเราทีมงาน hi5นปช ขอให้ทุกๆ ท่าน ใช้วาจาที่สุภาพเหมาะสม ไม่ใช้คำหยาบคายและห้ามใช้วาจาดูหมิ่นพระบรมราชวงศ์ ในการคอมเมนท์ ฝากข้อความใน hi5นปช นี้ แต่ถ้าท่านไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว ทางเราทีมงาน hi5นปช จะไม่ขอรับผิดชอบใดๆ ต่อสิ่งที่พวกคุณได้กระทำทั้งสิ้น”

ขณะเดียวกันการโพสต์ข้อความส่วนใหญ่ก็เป็นไปในแนวทางให้กำลังใจกันและกันในหมู่คนเสื้อแดง รวมทั้งบอกเล่าข่าวสารบ้านเมืองในแต่ละวัน อาทิตย์

“ได้ข่าวว่าพันธมิตรฯ มันจะดาวกระจายอีกแระ เพื่อไม่ให้รัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะหลอกพวกสาวกไปตายอีกแล้ว เซงจริงๆ ทำอะไรไม่นึกถึงประเทศชาติเลย พันธมารเอ๊ยมากู้ชาติ หรือทำลายชาติวะ”

“หวัดดี เพื่อนร่วมอุดมการณ์ วันนี้ได้เข้าไปอ่านเจอข่าว นายกสมัคร เดินทางถึงต่างประเทศเพื่อรักษาอาการป่วย ได้มีพวก... ซึ่งอ้างตัวเป็นปัญญาชนแต่โดน ลิ้ม สนตะพาย ชูป้าย ขับไล่และ แช่ง ท่านนายกสมัคร พร้อม ภรรยา ขณะกำลังรอรับกระเป๋าเดินทาง การกระทำนี้เป็นที่อับอายต่อสายตาของคนต่างประเทศ นี่หรือ ที่เรียกตัวเอง ว่าพวกปัญญาชน ขาดมนุษยธรรม คนเค้าเดินทางไปรักษาตัว รู้สึกหดหู่และก็เพิ่มความเกลียดแค้นเข้าไส้เลยคะ”

“แวะมาทักทายคร้าบบบ วันที่1นี่สุดยอดเจงๆ เลย ขนลุกเลยอ่า อยากจาร้องไห้ ฮื่อๆๆๆๆๆๆๆๆปรื้มจายจาง”
ทางด้านนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า ตนเคยได้ยินมาบ้างว่ามีการจัดทำ hi5 Young นปช ขึ้นมาแต่ยังไม่เคยเปิดดูเนื้อหาเลย ซึ่งตนคิดว่าน่าจะเป็นกลุ่มเยาวชนที่มีแนวความคิดที่ต้องการรักษาประชาธิปไตย จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นช่องทางแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร หรือแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ และรวบรวมพรรคพวกที่มีอุดมการณ์เดียวกันเพื่อให้เกิดพลังในการต่อสู้กับเผด็จการ

เชื่อว่าน่าจะเป็นกลุ่มนักเรียนนักศึกษากลุ่มเดียวกับที่เจอในการปราศรัยที่สนามหลวง หรืองานกิจกรรมหลาย ๆ ครั้ง และเกิดแนวคิดที่จะใช้มาร่วมตัวกันเพื่อต้องการแสดงออกถึงความรักในประชาธิปไตย ซึ่งตนอยากชื่นชมว่าเป็นความคิดที่น่านับถือ ที่เยาวชนเริ่มมีจิตสำนึกของความเป็นประชาธิปไตยและต้องการจะรักษาเอาไว้


ประชาธิปัตย์พรรคการเมืองของชนชั้นสูง (คอลัมน์ : มุมแห่งความจริง)


คอลัมน์ : มุมแห่งความจริง
ผศ.ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์

“คำถามของผมก็คือ คุณทักษิณเป็นชนกลุ่มไหนถึงไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ในเมื่อทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและรัฐธรรมนูญ มีแต่คุณทักษิณคนเดียวที่กฎหมายทำอะไรไม่ได้ การดึงเอาศาลมาสู่ความขัดแย้งก็จะทำให้บ้านเมืองไม่สงบ ประชาชนก็จะเบื่อหน่ายการเมืองมากขึ้น ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจก็รุมเร้าอยู่ตลอดเวลา” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์รายวัน ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2551
จากคำให้สัมภาษณ์ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สามารถแบ่งข้อกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นประเด็นย่อยได้ดังนี้
1.คุณทักษิณเป็นคนกลุ่มไหน
2.คุณทักษิณไม่อยู่ภายใต้กฎหมาย
3.คนไทยทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและรัฐธรรมนูญ
4.คุณทักษิณคนเดียวที่กฎหมายทำอะไรไม่ได้
5.คุณทักษิณพยายามดึงเอาศาลมาสู่ความขัดแย้ง
6.คุณทักษิณทำให้บ้านเมืองไม่สงบ
7.ประเทศไทยกำลังถูกปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า
ถ้าวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมาในการตั้งคำถามของนายอภิสิทธิ์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือว่าเป็นการตั้งคำถามที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ไร้วุฒิภาวะอย่างยิ่ง เพราะ
1.คำถามแรก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้พาดพิงถึงคนพรรคประชาธิปัตย์แม้แต่คนเดียวในการเขียนจดหมายเปิดผนึกในครั้งนี้
แต่พลพรรคประชาธิปัตย์ กลับเจ็บเนื้อร้อนใจแทน เพราะที่ผ่านมา คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ ทำตัวเป็นนักการเมืองที่เกาะคนชั้นสูงตลอดมา
พรรคประชาธิปัตย์มักกล่าวหาคนรากหญ้าอย่างสาดเสียเทเสีย จนคนทั้งหลายเชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองของคนชั้นสูง ไปแล้ว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยกล่าวหา นายจักรภพ เพ็ญแข ว่า ได้รับการอุปถัมภ์จากไพร่ และเป็นพวกไพร่สามานย์
ทั้งๆ ที่ภายในพรรคประชาธิปัตย์ มีตัวแทนที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากชนบทเป็นส่วนมาก
แต่ พรรคประชาธิปัตย์มักจะดูถูกเหยียดหยามคนยากคนจน คนรากหญ้า ตลอดเวลา
พรรคประชาธิปัตย์มักจะกล่าวหาว่า คนรากหญ้าขายสิทธิและขายเสียง เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนชั้นกลางที่ทำมาหากินจนประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต
แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับ มุ่งมั่นเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มุ่งทุ่มเทการพัฒนาทุกอย่างเพื่อทำสงครามกับความยากจน
คนเราจะเป็นคนกลุ่มไหนไม่สำคัญ ความจริงคือว่า คนทุกคนไม่ว่าจะเป็นชนชั้นไหน ถ้าได้รับโอกาสและเข้าถึงแหล่งทุน ย่อมมีศักยภาพในการพัฒนาตนเอง ได้ทั้งนั้น
2.การที่คุณอภิสิทธิ์ กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าไม่อยู่ภายใต้กฎหมาย เป็นสิ่งที่มีอคติอย่างยิ่งยวด เพราะวันนี้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ต้องระเหเร่ร่อนไปอยู่ต่างประเทศ เพราะถูกการเมืองเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ที่ครั้งหนึ่งพรรคประชาธิปัตย์เคยกล่าวหารัฐบาลทักษิณ การที่อดีตผู้นำประเทศที่มีคนไทยรักมากที่สุดคนหนึ่ง และเป็นนักการเมืองที่ทั่วโลกยอมรับมากที่สุดคนหนึ่ง ถูกกลั่นแกล้งจนไม่มีแผ่นดินจะอยู่ จะถือว่าไม่อยู่ภายใต้กฎหมายไทยได้อย่างไร
ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่เหนือกฎหมายจริงดังที่ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พูด ทำไมต้องปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่าง ตั้งแต่อายุ 21 ต้องไปเกณฑ์ทหาร เป็นตำรวจ ลาออกจากตำรวจไปเป็นนักธุรกิจ ต้องวิ่งแลกเช็ค ถูกดำเนินคดีสารพัด ที่ผ่านมาในชีวิต
แม้เมื่อเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีถูกโค่นล้มโดยคณะปฏิวัติรัฐประหาร และผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้รับความคุ้มครองใดๆ เลย แทบจะเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำไป
3.คนไทยทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและรัฐธรรมนูญ คำถามมีว่า คุณอภิสิทธิ์ยอมรับไหมว่า รัฐธรรมนูญ 2550 เขียนมาเพื่อพรรคประชาธิปัตย์ กฎหมายไทยในปัจจุบันบังคับใช้ได้กับคนทุกกลุ่ม แต่ไม่ใช่กับพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งแกนนำส่วนใหญ่เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์
แม้พวกตนกำลังทำผิดกฎหมายอย่างรุนแรง โดยการยึดสถานที่ราชการ อันเป็นสมบัติของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ก็ไม่ได้รับโทษอะไรเลย
พวกพันธมิตรฯ สังหาร นายณรงศักดิ์ กรอบไธสง และทำร้ายประชาชนที่ไม่เห็นด้วยอีกจำนวนมาก ก็ยังไม่ได้รับโทษ แล้วคุณอภิสิทธิ์จะว่าอย่างไร
กรณีการแจกเงิน 1.3 ล้านบาท ของ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ที่เพชรบูรณ์ ทำไมได้แค่ใบเหลือง
กรณีของรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายวิฑูรย์ นามบุตร ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ทำไมถึงไม่รีบเร่งพิจารณาจนถึงบัดนี้
ทำไมการพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ ตุลาการรัฐธรรมนูญจึงแก้ข้อกล่าวหาให้ คุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย และลูกน้องจนหมดสิ้น จนประชาธิปัตย์พ้นผิดอย่างหน้าตาเฉย
4.การที่คุณอภิสิทธิ์กล่าวหาว่า กฎหมายทำอะไร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ น่าจะไม่เป็นเรื่องจริง
ถ้ามิเช่นนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องหอบครอบครัวหนีไปอยู่ต่างประเทศ
ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีอภิสิทธิ์จริง ทำไมต้องหนีไปพึ่งพาประเทศอังกฤษ ที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง
5.การที่กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พยายามดึงศาลลงมาสู่ความขัดแย้ง นายอภิสิทธิ์ต้องไปถาม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มบุคคลที่ใช้อำนาจตุลาการ ที่กลายมาเป็นตุลาการภิวัตน์ในปัจจุบัน
ถ้าไม่เกิดตุลาการภิวัตน์ คงไม่มีใครที่จะสามารถก้าวล่วงอำนาจศาลได้ เพราะไม่มีใครที่จะไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล โดยเฉพาะในคดีความอาญา และแพ่งทั้งหลาย
แต่ที่ยังมีคนเคลือบแคลงสงสัย เพราะคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นคดีเกี่ยวกับการเมือง ที่มีธงจากคณะปฏิวัติรัฐประหาร และนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามปักตั้งไว้แล้ว ต่างหาก
ถ้าคุณอภิสิทธิ์ยอมรับความจริงตรงนี้ ก็จะทำให้คุณอภิสิทธิ์รักษาความเป็นลูกผู้ชายไว้ได้อย่างสง่าผ่าเผยทีเดียว
6.การที่กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้บ้านเมืองไม่สงบ ถือว่าเป็นการกล่าวหาที่ไร้วุฒิภาวะอย่างยิ่งยวด เพราะวันนี้ต้องบอกว่า พวกที่แสดงความคิดเห็นและพยายามนำความคิดเห็นของตนเองครอบงำสังคมไทย คือพวกพรรคประชาธิปัตย์ และเครือข่ายทั้งสิ้น
ถ้าวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์หยุดให้สัมภาษณ์สื่อสัก 1 วัน ประเทศไทยจะสงบสุข และประชาชนจะพบกับสันติอย่างแท้จริง
พวกที่กำลังทำให้บ้านเมืองสับสนวุ่นวายอยู่ในขณะนี้คือ พวกที่ไม่ยอมรับการตัดสินใจของปวงชนชาวไทยต่างหาก เพราะต้องการขึ้นสู่อำนาจทางลัด โดยไม่ต้องมีคู่แข่งขันทางการเมือง
7.ถ้าคุณอภิสิทธิ์ต้องการให้ประเทศก้าวพ้นจากการรุมเร้าทางเศรษฐกิจจริง
ขอเพียงพรรคประชาธิปัตย์หยุดเล่นเกมทางการเมือง แล้วหันมาดำเนินงานทางการเมืองในกติกาเท่านั้น
การลงทุนของต่างชาติ และธุรกิจการท่องเที่ยวก็จะฟื้นตัวกลับคืนมา ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้นทันตาเห็นทีเดียว
แต่ถ้าประชาธิปัตย์ยังหวังเพียงชัยชนะอย่างเดียวบนซากปรักหักพัง ที่จะต้องได้มาบนเลือดเนื้อของคนไทยด้วยกัน
อย่าว่าแต่เศรษฐกิจเลย ประเทศไทยทั้งประเทศจะพังทลายลงไปในที่สุด!!!

ศิลปะการพูด วิธีการเอาชนะใจคน (6)


คอลัมน์ : บ้านเลขที่ 111
ดร.อดิศร เพียงเกษ

การรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งทั่วไป เป็นงานที่เหนื่อยมากงานหนึ่ง เพราะผู้พูดจะต้องไปตามเวลาที่เขากำหนดไว้ โดยเฉพาะหัวหน้าพรรค การพักผ่อนแทบจะไม่ได้พักผ่อน อาศัยงีบหลับตอนนั่งรถสิบนาที สามสิบนาที หรือสักชั่วโมงก็ยังดี
ยานพาหนะ หรือเรื่องรถยนต์ ต้องใช้รถที่ดี มีคนขับที่ไว้ใจได้ ไม่งีบหลับไปพร้อมหัวหน้าพรรคเป็นพอ ยานพาหนะ จะใช้กี่คัน จากจุดนี้ไปยังอีกจุดหนึ่ง จะใช้รถคันไหน ต้องเตรียมให้พร้อม
มีครั้งหนึ่ง ต้องปราศรัยเวลาประมาณ 7 โมงเช้า ที่ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม คุณสุชาติ โชคชัยวัฒนาการ ผู้สมัคร ต้องเตรียมระดมคนมาฟังปราศรัยให้เต็มอัตราศึก แต่ในช่วงนั้นชื่อเสียงของหัวหน้าพรรคคือ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ประชาชนนิยมชมชอบมาก แม้จะเช้าสักเพียงไหน อากาศจะหนาวเย็นอย่างไร ประชาชนเขารักและศรัทธาเขาก็พากันหลั่งไหลมาฟังปราศรัยอย่างแน่นขนัด เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ

ผมถูกวางตัวให้เป็นผู้ปราศรัยก่อนหัวหน้าพรรคจะมา เป็นการปราศรัยปูพื้นเรื่องการเมืองทุกอย่าง เรื่องนโยบายพรรค เท่ากับเป็นการปราศรัยเพื่อรวมพล เตรียมความพร้อมทุกเรื่องให้แก่หัวหน้าพรรค ประชาชนเริ่มมีอารมณ์ร่วมในการปราศรัยจากการปูพื้นของผม ท่านหัวหน้าพรรคไม่ต้องออกแรงมาก เพียงทักทาย ส่งรอยยิ้มและปราศรัยเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อย ก็เป็นการปราศรัยที่จัดได้ว่าดีแล้ว แต่บางครั้ง หัวหน้าพรรคก็ติดลมเหมือนกัน เห็นคนมาฟังการปราศรัยมาก ใจคงคึก เลยพูดยาวไปก็มีบ่อยครั้ง
การจัดล็อก จัดคิวกัน ในการปราศรัยใหญ่ประสานกันในแต่ละจังหวัดจึงมีความสำคัญ คนจัดคิวเขาต้องเอาคิวของหัวหน้าว่างเป็นหลัก เมื่อได้คิวแล้วก็จะแบ่งกันว่าจังหวัดไหนจะได้กี่จุดบ้าง คนเป็นหัวหน้าพรรค ผมเห็นใจมาก เพราะต้องแข็งแกร่ง ไม่มีสิทธิ์ป่วย ประเภทห้ามป่วยไปเลย เป็นไข้หวัดไม่ว่าหวัดเล็กหรือหวัดใหญ่จะต้องหาย มียาฉีดยากินอะไร ต้องรักษาให้หาย
คนที่มาจากการเลือกตั้ง จึงเหน็ดเหนื่อยมาก กว่าจะได้ ส.ส.แต่ละคน เลือดตาแทบกระเด็น ไม่เหมือนคนที่อยากได้อำนาจ แต่ไม่ยอมลงเลือกตั้ง เอารถถังซึ่งเป็นทรัพย์สินของราษฎร มาทำการยึดอำนาจ ทำการรัฐประหาร พวกเผด็จการเหล่านี้ จะไม่มีวันเข้าใจว่า การเลือกตั้งคืออะไร เพราะเขาไม่เคยคิดที่จะเลือกตั้ง มิหนำซ้ำยังดูแคลนคนที่มาจากการเลือกตั้งว่า เป็นพวกซื้อสิทธิขายเสียง ซึ่งพวกเขาจะนำมาเป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจของพวกเขาต่อไป

ศิลปะในการพูด จึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสนใจ ในรายละเอียดต่างๆ มากมาย ข้อสำคัญอยู่ที่ตัวของเราเอง
“อตฺตาหิ อตฺโน นาโถ” ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

การพูด ข้อสำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวของเราเอง เราต้องมีความพร้อม เตรียมตัวมาให้ดี การรับฟังความคิดเห็นจากบุคคลอื่น เป็นเรื่องรอง คำแนะนำจากบุคคลอื่น เรารับฟัง และต้องรับฟังอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่เมื่อรับฟังมาแล้ว ต้องแยกแยะว่า จะรับมาได้หรือไม่ การพูด เป็นการเปล่งเสียงจากตัวเราเอง ไม่ใช่ไปยืมเสียงจากใครเอามาพูด ปากของเรา เราต้องบงการ บังคับบัญชาให้ได้
“การเตรียมตัวมาดี มีข้อมูล เพิ่มพูนประสบการณ์ ประมาณการผู้ฟัง รู้ภูมิหลังในเรื่องที่พูด ไม่สะดุดอยู่กับเรื่องไร้สาระ กะเวลาในการพูดอย่ายืดยาว รู้ข่าวสารบ้านเมือง ประเทืองปัญญาด้วยการอ่าน สืบสานวัฒนธรรมประเพณี สามัคคีกับทุกคน มวลชนสนับสนุน ค้ำจุนพรรคพวก สะดวกด้วยเงินตรา วาจาประกาศิต ลิขิตเขียนหัวข้อ ประมวลย่อได้ใจความ พยายามและพยายาม ติดตามรู้ติดตามงาน พูดจาฉะฉานน้ำเสียงดี ทุกอย่างเข้าที ความสำเร็จย่อมมี บันดาลใจ...”

การพูด ก่อนจะได้รับตำแหน่ง และหลังจากการได้รับตำแหน่งแล้ว ย่อมไม่เหมือนกัน ก่อนได้รับตำแหน่งเราไปแข่งขัน จนมีคนมาเลือกเรา และเราได้รับชัยชนะ ก่อนได้รับชัยชนะก็ยากเย็นแสนเข็ญอยู่แล้วกว่าจะผ่านพ้นด่านประชาชนมาได้ เลือดตาแทบกระเด็น
ฉลองชัยชนะอยู่ไม่นาน ชื่นชมยินดีกันไม่นาน คราวนี้ท่านต้องมารับผิดชอบในงานที่ท่านอาสาประชาชนมาทำ ท่านจะทำอย่างไรเมื่อท่านได้รับชัยชนะแล้ว
เมื่อท่านได้เป็น “นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด” แล้ว ได้เป็น “นายกองค์การบริหารส่วนตำบล” แล้ว ได้เป็น “สมาชิกเทศบาล” แล้ว ได้เป็น “สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล” แล้ว เมื่อท่านได้เป็น “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” แล้ว ท่านจะทำอย่างไร ท่านจะ “พูด” อย่างไร กับเพื่อนร่วมงาน “ใหม่” และ “เก่า” ของท่าน และ/หรือ ท่านจะพูดจาในสภาผู้แทนฯ อย่างไร

กล่าวเฉพาะการมาดำรงตำแหน่งเป็นฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็น นายก อบต. นายกอบจ. นายกเทศมนตรี นายกเหล่านี้เป็นการเลือกโดยตรงจากประชาชน ภายในระยะเวลา 4 ปี ที่ดำรงตำแหน่งหากไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นการผิดพลาด ไม่มีใครเอาท่านออกจากตำแหน่งได้ เว้นแต่จะสะดุดขาตัวเอง ไปกระทำผิดคิดทุจริตมิชอบ ประมูลรับเหมา โดยไม่คำนึงตัวบทกฎหมาย ที่ทุกวันนี้มักเรียกว่า “ผลประโยชน์ทับซ้อน” (conflict of interest) ดีไม่ดี อาจจะติดคุกติดตะรางเป็นรางวัลชีวิต ก็อาจเป็นได้
การได้อำนาจรัฐ มีคนบอกว่า เป็นเรื่องที่ยาก แต่การบริหารงานรัฐนั้น กลับเป็นเรื่องที่ยากมากกว่า
เช่นเดียวกัน การได้ตำแหน่งนายก อบจ. นายก อบต. นายกเทศมนตรี เป็นเรื่องที่ยากมาก กว่าจะได้รับชัยชนะ ต้องผ่านคมหอกคมดาบ ผ่านการต่อสู้กันมาอย่างโชกโชน แต่การที่จะบริหารงานในตำแหน่งหน้าที่ กลับเป็นงานที่ยากยิ่ง มากกว่าการได้มาซึ่งตำแหน่งเสียอีก

สมัยหาเสียงเราเป็นผู้ขอคะแนนจากประชาชน พูดจาให้คนมาลงคะแนนให้แก่เรา พอได้รับชัยชนะแล้ว เรากลายเป็นคนสองฐานะ ฐานะหนึ่งคือเป็นตัวแทนของเขา มาทำหน้าที่เป็น นายก อบต. แต่อีกหน้าที่หนึ่ง ต้องเป็นผู้บังคับบัญชาของบรรดาพนักงาน เจ้าหน้าที่ บรรดาข้าราชการ ลูกจ้าง ในองค์การบริหารที่ท่านเข้าไปดำรงตำแหน่งอีกด้วย
ความรู้ความสามารถของท่าน จะต้องแสดงให้ปรากฏ
จะบริหารตน บริหารคน และจะบริหารงาน อย่างไร เป็นงานท้าทายท่านอย่างยิ่ง
จะพูดจากับ “ตนเอง” อย่างไร เพราะต่อไปนี้ ตัวเองมีตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กรนี้แล้ว จะจัดความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอง กับครอบครัว ญาติพี่น้องอย่างไร จะให้สามีหรือภริยา และญาติๆ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของเราหรือไม่ ความสัมพันธ์ตรงนี้ สำคัญ เพราะตามสังคมชนบทการไปมาหาสู่กัน ความสัมพันธ์กัน อาจจะมาติดต่อกับท่านนายก ที่บ้านบ้าง ไปหาที่ทำงานบ้าง แล้วแต่ความสะดวกของประชาชน เขาคิดจะไปหาที่ไหนเขาก็ไป มาหาที่ทำงานคงไม่ลำบากนัก เพราะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิคมประชาสัมพันธ์ คอยให้การต้อนรับขับสู้อยู่ แต่ไปหาที่บ้านนี่สิ หากไม่ให้สามี ภริยา และญาติพี่น้องมายุ่งเกี่ยวเลยใครจะเป็นผู้ต้อนรับประชาชน อย่างไรเสีย สามี ภริยา ญาติพี่น้อง คงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง ตามสถานะ และโอกาสตามประเพณีไทย “แขกไป ไทยมา ต้องต้อนรับ” หน้าบ้าน มักจะเห็นป้ายคำว่า “ยินดีต้อนรับ” อยู่หน้าบ้านเสมอ เพื่อชี้ถึงความจริงใจ ที่จะต้อนรับ ที่จะรับใช้ชาวบ้าน มีอยู่ตลอดเวลา (มีคนมักจะพูดเล่นๆ ว่ามีบางคนได้รับการเลือกตั้งแล้ว หน้าบ้าน เปลี่ยนป้ายเป็นว่า “ระวังหมาดุ” ถ้าเป็นเช่นนี้จริง การเลือกตั้งคราวหน้า มีหวังสอบตกล้านเปอร์เซ็นต์) การบริหารตน เป็นเรื่องสำคัญ เพราะตนเองมีสองฐานะ ทั้งเป็นตัวแทน และเป็นผู้บริหาร ตื่นนอนแต่เช้าไปทำงาน ไปประชุมตรงเวลาหรือไม่ ต้องปรับปรุงตัว เพราะขณะนี้คุณคือ “ผู้นำ” ขององค์กรแล้ว ไม่ใช่ไปกินเหล้าเมายาเหมือนเดิม หามรุ่งหามค่ำเช่นเดิม นิสัยอย่างนั้นต้องลด ละ และเลิกเสีย ไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อการเป็นผู้นำของท่านเอง

คุ้มครองชั่วคราว (คอลัมน์ : คัดท้าย)(ฉ.92)


โดย : พิธาน คลี่ขจาย

ตั้งแต่กลุ่มพันธมิตรพันธมารยึดสะพานมัฆวานฯ และทำเนียบรัฐบาล ตั้งเป็นอาณาจักรใหม่ซ้อนกับราชอาณาจักรไทย โดยใช้สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีเป็นกระบอกเสียงในการปลุกระดมให้ประชาชนที่หลงเชื่อกับการปลุกระดมเดินทางมาชุมนุม และเป็นเครื่องมือในการใส่ร้ายป้ายสีทุกคนที่แสดงความคิดเห็นไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมประท้วงที่ยืดเยื้อยาวนาน เพราะข้อเรียกร้องไม่ชัดเจน มีเป้าหมายแสวงหาผลประโยชน์ให้กับพวกพ้องเท่านั้น ไร้อุดมการณ์ประชาธิปไตย
เมื่อประชาชนจับได้ไล่ทันว่า มีการแอบอ้างคำว่า “ประชาธิปไตย” มาต่อท้ายชื่อของกลุ่ม ทั้งที่ความจริงแล้วโหยหาเผด็จการ เพราะเคยทำสำเร็จมาแล้วและได้รับประโยชน์กันถ้วนหน้า จึงได้คิดมุกใหม่เพื่อหลอกให้ประชาชนหลงเชื่อ จึงจินตนาการระบอบการเมืองขึ้นมาใหม่ เรียกชื่อให้ดูกิ๊บเก๋ เพื่อจะได้เป่านกหวีดเรียกคนให้มาร่วมชุมนุม จะได้เป็นข้ออ้างในการขอรับบริจาคจากคนที่เสียผลประโยชน์จากการที่พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล
รวมทั้งคนที่จำใจบริจาค ซึ่งว่ากันว่ามีตัวเลขมากกว่าคนที่อยากบริจาค เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมได้แสดงสัญลักษณ์บอกใบ้ให้ทราบกันแล้ว กรณีที่มีการทำนาในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งคนไทยรู้กันดีว่าก่อนจะหว่านข้าวในนานั้น ชาวนาจะต้องทำอะไรเป็นอันดับแรกคือ ไถนา
นอกจากนั้นได้มีการโฆษณาว่าผู้ที่ชุมนุมอยู่ในทำเนียบรัฐบาล สะดวกสบายในเรื่องของการซักเสื้อผ้า เพราะได้นำเครื่องซักผ้ามาบริการจำนวนมาก
นี่ก็เป็นสัญลักษณ์บอกใบ้ให้ทราบทั่วกันว่า หลังจากผ้าแห้งแล้ว ก่อนจะนำมาสวมใส่ต้องนำไป “รีด”
ทั้งไถนาและรีดผ้า เป็นสัญลักษณ์ชัดเจนที่ทำให้มีผู้บริจาคเงินให้กับกลุ่มพันธมิตรพันธมารด้วยความจำใจ เพื่อตัดความรำคาญ ทำให้มีทุนยืนระยะอยู่ได้นาน เพราะจะมีการเป่านกหวีดประกาศสงครามครั้งสุดท้ายกันเป็นระยะๆ เพื่อกระตุ้นเตือนให้ระลึกถึงสัญลักษณ์
ด้วยเหตุนี้มีคนจำนวนมาก ตั้งคำถามว่า การที่ศาลปกครองให้การคุ้มครองชั่วคราวสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี จะสิ้นสุดการคุ้มครองเมื่อไร เพราะหลายคนมั่นใจว่า หากไม่มีสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี เป็นเครื่องมือปลุกระดม ใส่ร้ายป้ายสีคนที่ไม่เห็นด้วยตลอด 24 ชั่วโมงนั้น การชุมนุมคงไม่ยืดเยื้อมาจนถึงวันนี้ เพราะไม่สามารถประกาศเตือนสัญลักษณ์เพื่อขอรับบริจาคได้
หลายคนเชื่อกันว่าหากไม่มีสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี จะทำให้พลังเงียบกล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง เพื่อให้ประชาชนหูตาสว่าง ไม่หลงเชื่องมงายอยู่กับการปลุกระดมตลอด 24 ชั่วโมง
แต่เมื่อสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวียังได้รับการคุ้มครองชั่วคราว ทำให้พลังเงียบ ก็จะเงียบต่อไป เพราะไม่อยากจะให้ชื่อเสียงและวงศ์ตระกูลถูกนำมาใส่ร้ายป้ายสีบนเวทีปราศรัย
ขนาดบรรณาธิการอาวุโสของหนังสือพิมพ์มติชน นายบุญเลิศ ช้างใหญ่ แต่พรรคพวกเพื่อนฝูงเรียกว่า “ช้างเล็ก” เพราะ “ช้างใหญ่” ตัวจริงเสียงจริงในหนังสือพิมพ์มติชนคือ นายขรรค์ชัย บุนปาน คนหนังสือพิมพ์ที่ผมยกมือไหว้ได้สนิทใจ
ไม่ทราบว่าด้วยเหตุนี้หรือเปล่า นายบุญเลิศจึงเปลี่ยนนามสกุลใหม่ เป็น นายบุญเลิศ คชายุทธเดช ซึ่งฟังดูน่าเกรงขาม เหมาะกับฝีมือในการเขียนบทความและฝีปากในการจัดรายการวิทยุ
แต่กับเรื่องที่กลุ่มพันธมิตรพันธมารส่งนักรบมือตบไปแสดงความกักขฬะรังควานไม่ให้ประชาชนซื้อหนังสือพิมพ์ในเครือมติชน ตามคำบัญชาของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำคนสำคัญ”
สั้นๆ ได้ใจความที่ออกมาจากปากของบรรณาธิการอาวุโส เจ้าของฝีปากกล้าปากกาคมกริบ
หลายคนอาจจะงง แต่ผมไม่งง และเข้าใจความรู้สึกของนายบุญเลิศดี และผมเชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจนายบุญเลิศมากขึ้นแจ่มแจ้งแดงแจ๋ เมื่อ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ตอบโต้ท้ารบกับ นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เพราะนายสุเมธได้แสดงทรรศนะในงานประชุมเครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรม ในทำนองเรียกร้องให้ประชาชนหันหน้าสามัคคีกัน โดยอัญเชิญพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขึ้นมาเตือนสติ ซึ่งเท่าที่อ่านเนื้อหาจากข่าว ก็ไม่มีตอนไหนที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ต้องออกอาการตอบโต้อย่างรุนแรงและท้ารบกับ นายสุเมธ ตันติเวชกุล ซึ่งใครก็ทราบทำงานรับใช้ใกล้เบื้องยุคลบาทมาตลอด ไม่มีใครสงสัยในเรื่องความจงรักภักดี
งั้นคงจะเป็นประเด็นนี้กระมังที่ทำให้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล โกรธ เพราะแย่งกันจงรักภักดี ที่นายสนธิได้ประกาศแบ่งประชาชนคนไทยไว้แล้ว หากใครไม่เห็นด้วยกับพันธมิตรพันธมารถูกแยกเป็นพวกไม่จงรักภักดี
ผมเชื่อว่า นายสุเมธ ตันติเวชกุล คงจะงงและสงสัยว่าถูกด่าบนเวทีและมีการถ่ายทอดสดไปทั่วนั้น ไปพูดอะไรที่ทำให้ ฯพณฯ ไม่สบอารมณ์ และท้ารบกันกลางอากาศ
นี่คือเครื่องสำคัญของกลุ่มพันธมิตรพันธมารที่ใช้ได้สารพัดในการชุมนุมยึดทำเนียบรัฐบาล
ด้วยเหตุนี้ผมถูกถามเรื่องการคุ้มครองชั่วคราวจากศาลปกครองมาก แต่บอกกับผู้ที่สงสัยว่า ผมไม่มีความรู้พอที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ รู้เพียงงูๆ ปลาๆ ขืนตอบไป จะทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดๆ
ผมจะตอบที่ผมรู้ว่า คำว่า “ชั่วคราว” หากใช้ในการไปพักผ่อนที่โรงแรมม่านรูด ก็จะรู้ว่ามีระยะแค่ 3 ชั่วโมง ไม่มีผ้าห่มให้ ต่างจากการพักค้างคืน จะมีเวลานานกว่าและมีผ้าห่มให้ห่มแก้หนาวครับ

‘31 ตุลา วันต่อต้านรัฐประหารแห่งชาติ’

คอลัมน์ : รำลึก 2 ปี ‘นวมทอง ไพรวัลย์’

แกนนำ นปช. เรียกร้องให้กำหนดวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวัน ต่อต้านการรัฐประหารแห่งชาติ เพื่อร่วมรำลึกในเหตุการณ์พลีชีพของ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ โชเฟอร์แท็กซี่ขับชนรถถัง และท้าพิสูจน์อุดมการณ์กับนายทหารปากพล่อย ด้วยการแขวนคอตาย เพื่อต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหารในประเทศไทย
นายชินวัฒน์ หาบุญพาด แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ (นปช.) เปิดเผยผ่านรายการวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ ว่า เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2551 กลุ่ม นปช. และมวลชนจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปที่อาคารรัฐสภา เพื่อยื่นหนังสือต่อ นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เพื่อเรียกร้องให้วันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปีเป็น “วันต่อต้านการรัฐประหารแห่งชาติ” ซึ่งตรงกับวันที่ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ได้ตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเอง เพื่อพิสูจน์ว่ายังมีคนที่มีอุดมการณ์รักในประชาธิปไตย และไม่อยากอยู่ร่วมโลกกับคณะรัฐประหาร ในวันที่ 31 ตุลาคม 2549 ที่ผ่านมา
สำหรับประวัติของ นวมทอง ไพรวัลย์ อดีตพนักงานการไฟฟ้าบางกรวย เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้ขับรถแท็กซี่ยี่ห้อโตโยต้า โคโรลล่า สีม่วง ทะเบียน ทน 345 กทม. ของบริษัทสหกรณ์แหลมทองแท็กซี่ จำกัด พุ่งเข้าชนรถถังเบา M41A2 Walker Bulldog ตรากงจักร 71116 ของคณะปฏิรูปฯ และได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งที่ต้องการจะสละชีวิตของตนเองในเหตุการณ์ดังกล่าว แต่เนื่องจากไม่ต้องการให้พลทหารเฝ้ารถถัง 4 นาย ที่ยืนอยู่ได้รับบาดเจ็บ จึงต้องหักหลบ ทำให้รถเสียโมเมนตั้ม เข้าชนไม่เต็มแรง
ต่อมา พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ รองโฆษก คปค. ได้สบประมาทว่า "ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้"
ในคืนวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2549 ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ จึงได้ตัดสินใจผูกคอตายกับราวสะพานลอย บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต ฝั่งขาออก เยื้องกับที่ตั้งสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ (บริษัท วัชรพล จำกัด) โดยในจดหมายลาตายระบุว่าเพื่อลบคำสบประมาทดังกล่าว
โดยในคืนที่ ลุงนวมทอง แขวนคอตาย เขาตั้งใจสวมเสื้อยืดสีดำ สกรีนข้อความเป็นบทกวี ที่เคยใช้ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ด้านหน้า เป็นบทกวีของ รวี โดมพระจันทร์ และด้านหลังเป็นบทกวีของ กุหลาบ สายประดิษฐ์
/////////////////////////////////

เขาชื่อ...นวมทอง ไพรวัลย์


นวมทองขอพลีชีพ จุดประทีปแห่งสมัย
เกิดมาเพื่อรับใช้ พิทักษ์ไว้อุดมการณ์
เชื่อมั่นต่อจุดยืน เขาลุกขึ้นอย่างกล้าหาญ
คัดค้านเผด็จการ รัฐประหารน่าชิงชัง
เป็นเพียงสามัญชน พุ่งรถยนต์ชนรถถัง
หนึ่งคนมิอาจยั้ง เกินกำลังจะประลอง
วีรชนไม่ตายเปล่า หากปลุกเร้าเราทั้งผอง
คนซื่อชื่อนวมทอง จักเรียกร้องความเป็นธรรม



BBCตีข่าวอังกฤษห้ามทักษิณบินเข้าประเทศ บัวแก้วยืนยันข่าวแล้ว

ที่มา สำนักข่าวBBC AFP
8 พฤศจิกายน 2551

BBCเผยรัฐบาลอังกฤษห้ามสายการบินต่างๆรับทักษิณเข้าประเทศแล้ว ส่วนกระทรวงต่างประเทศของไทยยืนยันข่าวเป็นความจริงหลังจากสอบถามสถานทูตอังกฤษแล้ว เผยเป็นสิทธิ์ไม่ต้องแจ้งล่วงหน้าหรือไม่ต้องแจ้งเหตุผลก็ได้


BBCเผยรัฐบาลอังกฤษเพิกถอนวีซ่าเข้าอังกฤษของทักษิณแล้ว
BBCรายงานข่าวว่า รัฐบาลอังกฤษได้เพิกถอนวีซ่าอดีตรัฐมนตรีไทยและภรรยา โดยสถานทูตอังกฤษในกรุงเทพฯส่งอีเมล์ถึงสายการบินต่างๆว่า ไม่อนุญาตให้ทั้งคู่ขึ้นเครื่องบินเดินทางเข้าสหราชอาณาจักร โดยขณะนี้เชื่อว่าทั้งคู่เดินทางอยู่ในย่านเอเชีย

สำนักข่าว
bloombergรายงานว่า ปรียานันท์ มงคลศรี โฆษกของการบินไทยกล่าวว่ายังไม่ขอยืนยันรายงานข่าวที่ว่า สถานทูตอังกฤษมีอีเมล์ดังกล่าวมาถึงสายการบินต่างๆ

ส่วนนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โษกของพ.ต.ท.ทักษิณกล่าวให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับbloombergว่า "ทักษิณยังไม่ได้รับแจ้ง หรือเอกสารอย่างเป็นทางการจากทางการอังกฤษ และผมก็ไม่สามารถตรวจสอบกับสถานทูตอังกฤษในไทยได้ เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด"

AFPเผยจนท.สถานทูตอังกฤษไม่ให้ข่าว แต่อ้างแหล่งข่าวสายการบินได้รับคำสั่งจากทางการอังกฤษ

ล่าสุดสำนักข่าวAFPรายงานว่าแม้สถานทูตอังกฤษยังปฏิเสธที่จะตอบรับหรือยืนยันรายงานข่าวที่ว่าอังกฤษระงับการเดินทางเข้าประเทศของอดีตนายกฯทักษิณ แต่AFPอ้างแหล่งข่าว"เจ้าหน้าที่สายการบินไม่ขอเปิดเผยนาม"ว่า สถานทูตอังกฤษได้แจ้งไปยังสายการบินต่างๆจริงทางอีเมล์เมื่อวันศุกร์ห้ามไม่ให้รับทักษิณ กับคุณหญิงพจมานเดินทางเข้าอังกฤษ

กระทรวงต่างประเทศยันรายงานข่าวอังกฤษเพิกถอนวีซ่าทักษิณ
ข่าวสดรายงานเมื่อช่วง15.18 น.วันนี้ว่า นายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวว่า ทางการอังกฤษเพิกถอนวีซ่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ว่า เท่าที่ติดต่อเป็นการภายในกับเจ้าหน้าที่สถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ทราบว่า ได้มีการดำเนินการตามที่มีรายงานข่าวออกมาจริง ว่าได้ติดต่อกับทางสายการบินในการเพิกถอนใบอนุญาตเข้าเมืองหรือวีซ่าของพ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จริง ซึ่งเรื่องนี้เป็นอำนาจของรัฐบาลอังกฤษที่จะเพิกถอน โดยได้ปฏิบัติระเบียบของเขา ไม่ต้องอธิบายว่าเป็นเพราะอะไร และไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าต่อทางการอีกประเทศหนึ่ง


ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อทราบว่ามีการเพิกถอนวีซ่าของพ.ต.ท.ทักษิณ ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศติดตามเรื่องนี้อย่างไร นายธานีกล่าวว่า ส่วนของกระทรวงติดตามดูอยู่ แต่เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของทางการอังกฤษ เป็นสิทธิที่จะให้หรือยกเลิกวีซ่าของบุคคลที่เดินทางเข้าประเทศอังกฤษ


เมื่อถามว่า รัฐบาลอังกฤษแจ้งสาเหตุการยกเลิกวีซ่าของพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ นายธานีกล่าวว่า ทราบว่าการตัดสินใจนั้น เป็นเรื่องที่ปฏิบัติตามระเบียบ โดยไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลว่าเหตุใดยกเลิกการให้วีซ่า เป็นอำนาจของประเทศที่จะให้หรือเพิกถอนวีซ่า ไม่จำเป็นต้องแจ้งทางการของอีกประเทศหนึ่งให้ทราบล่วงหน้า


เมื่อถามถึงพาสปอร์ตแดงหรือพาสปอร์ตการทูตของพ.ต.ท.ทักษิณ นายธานี กล่าวว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาของฝ่ายการเมืองถึงความเหมาะสม ฝ่ายนโยบายกำลังดูอยู่ กระทรวงส่งเรื่องไปตั้งแต่สมัยนายกฯสมัคร และเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลคงต้องมาทบทวนอีกครั้งเรื่องกฎระเบียบ


เมื่อถามว่า ที่บอกว่าสถานทูตอังกฤษ เป็นสาเหตุเพราะใช้สถานที่โจมตีการเมืองชัดเจนแค่ไหน นายธานี กล่าวว่า ไม่ได้ให้เหตุผลในการเพิกถอนวีซ่าครั้งนี้ ต้องถามรัฐบาลอังกฤษ


จาก Thai E-News

ภารกิจนายกฯ ที่ประเทศเวียดนาม

เวียดนาม 7 พ.ย.-นายกรัฐมนตรี ให้ความมั่นใจประเทศสมาชิก ACMECS ในการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม รวมถึงพัฒนาความร่วมมือในทุกๆ ด้านเพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศสมาชิก.

ชมรายละเอียด สำนักข่าวไทย

อัพเดตเมื่อ 2008-11-07 20:20:17




สมชาย เผยผู้นำพม่าให้กำลังใจแก้ปัญหาการเมือง

เวียดนาม 7 พ.ย.- นายกรัฐมนตรี เผยผลการหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีพม่า ระบุ “พล.อ.อาวุโสตาน ฉ่วย” ให้กำลังใจแก้ปัญหาการเมือง พร้อมเชื่อมั่นความสามารถจะผ่านพ้นสถานการณ์ไปได้

ดาวี ไชยคีรี ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย ติดตามคณะนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และร่วมประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS Summit) ครั้งที่ 3 รายงานว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุม ACMECS ว่า ได้มีการหารือกับกลุ่มประเทศสมาชิก ถึงความร่วมมือด้านต่าง ๆ ภายใต้กรอบ ACMECS พร้อมกับมีการรับรองปฏิญญา 2 ฉบับ คือปฏิญญาการประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งที่ 3 และปฏิญญาผู้นำเรื่องการอำนวยความสะดวก และการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมมีการเพิ่มประเด็นความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจาก 7 สาขาที่เคยร่วมมือกัน ประกอบด้วยการค้า การลงทุน การเกษตร การท่องเที่ยว การเชื่อมโยงคมนาคม อุตสาหกรรมและพลังงาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และด้านสาธารณสุข นอกจากนี้ ประเทศสมาชิก ACMECS ได้กล่าวขอบคุณที่ไทยช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในโครงการคมนาคม ทรัพยากรมนุษย์ และโครงการมอบทุนการศึกษา ระดับปริญญาโท จำนวน 100 ทุน สำหรับการประชุม ACMECS ครั้งที่ 4 จะมีขึ้นในปี 2553 ที่ประเทศกัมพูชา

นายสมชาย ยังกล่าวถึงผลการหารือทวิภาคีกับพล.อ.เต็ง เส่ง นายกรัฐมนตรีพม่า ว่า ได้แนะนำตัว และบอกว่าจะไปเยือนประเทศพม่าในเร็ว ๆ นี้ เพื่อสานความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โดยเฉพาะในปีนี้จะครบ 60 ปี วันสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-พม่า นายกรัฐมนตรีพม่ายังนำความปรารถนาดีจาก พล.อ.อาวุโส ตาน ฉ่วย ผู้นำรัฐบาลทหารพม่า มาบอกให้ตนใจเย็น ๆ และให้กำลังใจในการแก้ไขปัญหาการเมืองของไทย

ด้านนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ในการประชุม ACMECS ไม่มีประเทศใดสอบถามถึงสถานการณ์การเมืองของไทย ยกเว้น ประเทศพม่าที่ได้ให้กำลังใจและแสดงความเชื่อมั่นในความสามารถของนายกรัฐมนตรี ว่าจะผ่านพ้นสถานการณ์ต่าง ๆ ไปได้.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-11-07 20:00:22


ก.คลังยันหวยบนดินคลอดแน่

นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง กล่าวว่า เรื่องหวยบนดินเป็นเรื่องที่ผ่านมามิได้ทำให้ ถูกกฎหมาย จึงต้องให้มีการทบทวนใหม่ครั้ง ทั้งนี้ตนเห็นใจผู้ที่วางเงินมัดจำเครื่อง และคนเดินโพย แต่ต้องขอเวลาอีกสักระยะหนึ่ง เพื่อให้บอร์ดของกองสลากพิจารณาใหม่

"ความผิดทั้งหมดไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ขณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน ซึ่งคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันจะเข้ามาแก้ไข และจะทำให้ดีทีสุดและถูกกฎหมายแต่มั่นใจว่าหวยบนดินจะต้องคลอดแน่นอน" รมช.คลัง กล่าว



นายกฯปัดตอบถอนวีซ่า'ทักษิณ'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธว่าไม่ทราบเรื่องที่ทางอังกฤษถอนวีซ่า ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชอนวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และไม่ขอแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวแต่ถ้าหากมีการถอนจริงก็คงเป็นเรื่องของประเทศอังกฤษที่ดำเนินการ จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปทำบุญที่สำนักสงฆ์สันโค้ง ต.ดอยงาม อ.พาน ก่อนที่จะมีการเตรียมตัวเดินทางไปยังจังหวัดเชียงใหม่ โดยทางเฮลิคอปเตอร์ต่อไป

ไม่คืนสิทธิ111ทรท.แม้เลิกคปค.27 กกต.ชี้ทางออก'นิรโทษกรรม'

‘ประพันธ์’ ยันแม้เลิกประกาศ คปค.ฉบับ 27 ไม่สามารถคืนสิทธิ์ 111 ทรท.ได้ 'ตุลาการภิวัฒน์' พ่นพิษ! ย้ำคำพิพากษายังคงอยู่ ชี้ทางออกให้ขอนิรโทษกรรม

นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารการเลือกตั้ง กล่าว ถึงกรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคพลังประชาชน เสนอยกเลิกการตัดสิทธิ์ทางการเมืองของอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ว่า ตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องของผู้ที่มีอำนาจโดยตรงจะพิจารณา และเห็นว่าบรรยากาศขณะนี้ ไม่เหมาะสมที่จะแก้กฎหมาย หรือ รัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ควรให้ผ่านงานพระราชพิธีต่างๆ ไปก่อน เพราะการแก้ไขต้องมีประเด็นชัดเจน ให้ทุกฝ่ายเห็นตรงกันก่อนที่จะตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ไม่เช่นนั้นอาจก่อให้เกิดความสงสัยได้

“ แม้จะแก้ไขประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระ มหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 27 เพื่อยกเลิกการตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ผลของคำพิพากษายังคงอยู่ นอกจากจะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะลำพังเพียงการยกเลิกประกาศ คปค. คงไม่ทำให้สิทธิกลับคืนมา”นายประพันธ์ กล่าว

ขณะที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ระบุว่าจะทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไปและการทำงานครั้งนี้ เป็นการทำงานเพื่อประเทศชาติ และไม่เคยทำหน้าที่เพื่อใครบางคน ตามที่มีกระแสข่าวออกมา



'ความจริงวันนี้สัญจร' ครั้งที่ 3 จัดที่วัดสวนแก้ว

ที่มา รายการความจริงวันนี้ทาง NBT
7 พฤศจิกายน 2551

คุณวีระ มุสิกพงศ์ แจ้งว่า พระพิศาลธรรมพาที (พระพยอม กัลยาโณ) จะเปิดวัดสวนแก้ว เป็นเวทีสำหรับจัดรายการ 'ความจริงวันนี้สัญจร' ครั้งที่ 3 ในวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2551 เริ่มประมาณบ่ายโมงเป็นต้นไป

แผนที่ วัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี


จาก Thai E-News

จดหมายถึงพี่ป๊อก...

คอลัมน์ ลายคราม

พี่ป๊อกครับจะหาคนพูดหมิ่นสถาบันหนะ ไม่ต้องไปประชุมเรื่องทักษิณพูดหรอก

ท่านพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ผู้เป็นหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการป้องกันการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงของไทยแลนด์ครับ ท่านหูไม่ดี หรือว่าทีวีที่บ้านเสียครับ ถึงได้ไม่รู้ "ห่า" อะไรเลยว่า การป้องกันการหมิ่นสถาบันที่ท่านออกมาเจื้อยแจ้วเป็นนกแก้วนกขุนทองผ่านทีวี นักหนาหนะ กับการปฏิบัติของท่านนั้น มันสร้างความอึดอัด ให้กับปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ พาลนึกไปถึงว่าตัวท่านสร้างภาพหรือเปล่า

ผมจะทบทวนอะไรให้ท่านฟังนะ หากท่านความจำเสื่อม หรือความจำสั้น พฤติกรรมเกาะสถาบันทำมาหากินของสนธิ ลิ้มทองกุล ชาติชั่วผู้นี้ มันหมิ่นสถาบันมานานแค่ไหนแล้ว กรณีทำบุญประเทศในวัดพระแก้ว มันหยิบยกขึ้นมาปลุกระดมแล้วขายเสื้อเราจะสู้เพื่อนายหลวงไปกี่ล้านบาท พฤติกรรมจาบจ้วง กล่าวอ้าง จากปากของอะมนษย์ผู้นี้ ใน 2 3 ปีที่ผ่านมา มีกี่ครั้งกี่หน ? ? ? ?

การจาบจ่วงขอพระราชทานนายกฯ มาตรา 7 ร่วมกับลูกชายมาร์คแห่งค่ายแมงสาปก็ดี

การยืนเท้าสะเอวอ่านฎีกาก็ดี

การออกมาพูดว่า หากนายกทักษิณ (ในขณะนั้น) ต้องลาออก........(เซ็นเซอร์)...ก็ต้องลาออกแทน ก็ดี

พี่ป๊อกตาบอด/หูหนวก หรือครับ ? ? ?

กี่ครั้ง กี่หน ที่พวกมันกล่าวอ้างเอาเสื้อสีเหลืองเป็นเกราะกำบัง แต่ประพฤติตัวสร้างความเดือดร้อนร้าวฉานไปทั่วประเทศ ไม่ว่าปิดถนน ยึดสถานที่ราชการ จนคนทั้งประเทศเอือมระอาไปทั่ว

หนำซ้ำ อีขี้เมาใจทรามสันดานหยาบอย่างนังอัญชลี ไพรีรักษ์ ลูกน้องไอ้สนธิ บนเวทีพันธมิตรได้ทำร้ายจิตใจคนไทยทั้งประเทศ โดนการออกมาเรียกด่าผู้ที่บริจาคเงินในนามสมาคมสราญรมย์ จำนวน 2 ล้านบาท ในการเป็นทุนในการต่อสู้คดีของข้าราชการระดับสูงจำนวน 4 คน ที่โดนพันธมิตรฟ้อง กรณีแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เรื่องการขึ้นทะเบียนประสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก

ท่านไม่ทราบจริง ๆ หรือครับว่าจำนวนเงิน 2 ล้านบาทนั่น มีใครบริจาคมั่ง

พี่ป๊อกครับ งานข่าวของท่านปากอมสากกระเบืออยู่หรือครับ หรือเขารายงานแล้วท่านเห็นว่า ไม่เป็นการหมิ่นเบื้องสูง ต่อมาไอ้สนธิ อีกนั่นแหละ มันสั่งสาวกเอาโกเต็กใช้แล้ว ท่านทราบมั้ยครับว่าคำว่าใช้แล้ว มันคืออะไร ท่านทราบมั้ยครับว่าโกเต๊กเขาไว้ทำอะไร หากท่านไม่ทราบก็ลองกระซิบถามหน้าห้องของท่านผู้หญิงของท่านนะครับว่ามันคืออะไร เผื่อท่านจะหูตาสว่าง

ท่านไม่ทราบข่าวหรือครับว่า ไอ้สนธิ มันทำอย่างไรกับพระบรมรูปทรงม้า อันเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ ท่านทราบมั้ยครับว่ามันเอาโกเต๊กใช้แล้วไปทำอะไรกับสถานที่ศักดิ์สิทธินั้น ลองให้ลูกน้องของท่านเอาเทปที่ไอ้สนธิมันปราศรัยมาให้ท่านดูอีกที สิครับ หากท่านยังไม่เข้าใจท่านเมลมาที่เวปนี้เลยครับ ผมจะอธิบายแบบภาษาชาวบ้านให้ท่านทราบ

พี่ป๊อกทราบมั้ยครับว่าในรั้วแดงกำแพงเหลือง มีรูปปั้นใดเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของว่าที่ทหารหาญของชาติ ท่านมีรู้สึก รู้สา หรือละอายใจในการโดนหยามเกียรติ์ครั้งนี้ สักนิดเลยหรือครับท่านกลัวอะไรพวกมันครับ ท่านกลัวอะไร หรือท่านมีแผล ที่นอกจากมันจะกล่าวหาท่านรายวัน หรือมันจะแฉท่านเรื่องงบลับการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน

ลูกผู้ชายนะท่าน ถ้าท่านยังไม่เข้าใจท่านลองไปถามโรงเรียนชายล้วน โรงเรียนใดในกรุงเทพฯ ก็ได้ หรือจะให้ชัด ๆ ลองไปถามเด็กโรงเรียนช่างกลปทุมวัน หรือวิทยาเขตอุเทนถวาย ก็ได้ ว่าการโดนหยามสัญลักษณ์ของสถาบันที่ตนเองจบมา พวกเขายอมได้มั้ย

และที่ประชาชนทั้งประทศ สุดจะอึดอัด และจะทนไม่ได้อยู่แล้ว ก็ในกรณี ม๊อบพันธมิตร ปิดเส้นทางเสด็จ ที่บริเวณถนนราชดำเนิน ในงานพิธีที่จะมีขึ้นในไม่กี่วันนี้ โดยอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและพวกพร้องนั้น กองทัพยังทนอยู่ได้อย่างไร วันนี้ นาทีนี้ อย่าไปนั่งประชุมเป็นวัน ๆ เพื่อพยายามยัดเยียดข้อหาหมิ่นเบื้องสูง ให้แก่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร อยู่เลยครับ ถ้ากระเหี้ยนกระหือรือจริง ๆ เอาไว้ที่หลังก็ยังทัน

ดำเนินการ Take Action กับไอ้พวกระยำนี้ก่อนเถอะครับ โต ๆ กันแล้ว ยังต้องให้สอนว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำกันอยู่อีกหรือ

พี่ป๊อกครับ ถ้าท่านยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แบบเก่งทุกอย่างยกเว้นงานในหน้าที่อยู่หละก็ ระวังนะครับคำนินทาของชาวบ้านที่เขาบอกกับท่านว่า "ตาขาวกับพันธมิตรแต่มาตาเขียวกับรัฐบาล " มันจะสวิงกลับมาหาท่านนะครับ อย่าให้ชาวบ้านเขาทนไม่ไหว ตัดผ้าถุงลายพราง ส่งพัสดุส่งไปให้พี่ไว้ใส่ แทนเครื่องแบบนายทหารอันทรงเกียรติ์ จะหาว่าผมไม่เตือน

ยังนับถือพี่ป๊อกแต่ งง กับท่าที

สายลมรัก



จาก thaifreenews

‘ณัฐวุฒิ’แนะปชป.จัดรายการ‘ดันทุรังเพื่อความหวังของหล่อใหญ่’

โฆษกรัฐบาลสุดเซ็งปชป.จ้องจับผิด‘ความจริงวันนี้’สัญจรที่วัดสวนแก้ว เผยพระหนุนเพราะเนื้อหาต่อต้านเผด็จการ แนะไปจัดรายการแข่งในชื่อ‘กระบวนการดันทุรังเพื่อความหวังของหล่อใหญ่’

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ร่วมดำเนินรายการ ความจริงวันนี้ ให้สัมภาษณ์ "สำนักข่าวประชาทรรศน์" ถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาระบุว่า การจัดรายการ ความจริงวันนี้สัญจร ครั้งที่ 3 ที่วันสวนแก้ว เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากไม่ควรนำการเมืองไปสู่ศาสนา โดยนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เรื่องนี้อยากให้พรรคประชาธิปัตย์ใจเย็นๆอย่าเพิ่งลุกลี้ลุกลนคัดค้านหรือขัดขวาง เกี่ยวกับการดำเนินรายการความจริงวันนี้มากนัก

เพราะจากการสอบถามจากผู้ดำเนินรายการเบื้องต้นเข้าใจว่า ในวันอาทิตย์ทางวัดจะมีเรื่องพูดคุยกับประชาชนที่ไปทำบุญที่วัดอยู่แล้ว ทั้งนี้เนื่องจากทางวัดเห็นว่ารายการความจริงวันนี้ มีแนวทางในการส่งเสริมการต่อต้านรัฐประหารและเป็นการชุมนุมที่ปราศจากอาวุธและสันติอย่างแท้จริง ทางวัดจึงเปิดโอกาสให้ใช้สถานที่ของวัดทำกิจกรรมได้ แต่รูปแบบและรายละเอียดยังไม่ได้มีการพูดคุย เพียงแต่คิดว่าจะไปจัดที่วัดเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นยังไม่ได้ข้อสรุป

“เพราะฉะนั้นผมอยากให้พรรคประชาธิปัตย์สำรวม อย่าเพิ่งตกใจ เนื่องจากประชาชนจะจับสังเกตุได้ว่า มีอะไรน่าตกใจ และหากประชาธิปัตย์ เห็นว่าการจัดรายการความจริงวันนี้ เกิดความเสียหาย ก็ไปจัดรายการ ประชาธิปัตย์ สัญจร ในทำเนียบรัฐบาลก็ได้ เพราะเชื่อว่าคนที่เป็นเจ้าของเวทีเค้าน่าจะมีความน่ายินดีอยู่แล้ว รวมทั้งพี่น้องประชาชนจะได้เข้าใจในข้อมูลข่าวสารและข้อเท็จจริงทางการเมืองอย่างชัดเจน”นายณัฐวุฒิ กล่าว

นอกจากนี้ นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคปชป. เปรียบเทียบการเคลื่อนไหว 8 ประการทั้งการชุมนุมของกลุ่มนปช.การขออภัยโทษ การแก้รธน.การตั้งสถานีสีแดงที่ใช้ชื่อว่าชินทีวี และการจัดรายการความจริงวันนี้สัญจร เป็น "กระบวนการดันทุรังเพื่อความหวังของนายใหญ่" นั้นเพื่อช่วยพ.ต.ท ทักษิณ เพียงอย่างเดียว ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับชินทีวี เพิ่งทราบจากข่าวว่ามีความคิดอ่านอะไร ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะทำจริงหรือไม่ หรือจะชื่อเวทีสีแดงหรือสีส้มก็ยังไม่รู้ ฉะนั้นเชื่อว่าวันนี้ไม่มีการทำอะไรเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างแน่นอน เพราะแนวทางในบ้านเมืองวันนี้ไม่ว่า คนชื่อทักษิณจะหายไปอยู่ที่ไหนในโลก กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือกลุ่มอื่นๆที่ไม่หวังดีก็จะไม่หยุดการเคลื่อนไหว เพราะเรื่องของพ.ต.ท.ทักษิณขณะนี้ได้ถูกดึงมาเป็นเครื่องมือมากกว่า อีกทั้งแนวทางการเมืองในประเทศจะต้องเป็นแนวทางการเมืองที่พันธมิตรฯพอใจเท่านั้น ดังนั้นขอยืนยันว่าวันนี้จะไม่มีใครทำอะไรเพื่อนายใหญ่แต่จะมีก็ที่เห็นหลังไวๆเดินอยู่ในทำเนียบรัฐบาลนั้น จึงเชื่อว่าจะมีการทำรายการ"กระบวนการดันทุรังเพื่อความหวังของหล่อใหญ่"มากกว่า



‘พันธมาร’ประกาศก้อง'ข้าคือผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริง'

ปากบอกว่ารักชาติแต่ทำอีกอย่าง เมื่อ‘พันธมาร’ประกาศก้องไม่เปิดถนนราชดำเนิน ให้ขบวนเสด็จฯเคลื่อนพระศพ‘พระพี่นางฯ’ผ่าน พูดมาได้กลัวไม่ปลอดภัย

เหลือเวลาไม่ถึงสัปดาห์แล้ว ที่งานพระราชพิธี พระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในระหว่างวันที่ 14-19 พ.ย. จะมีขึ้น แต่กลุ่มก้อนแก๊งพันธมารฯยังคงประกาศศักดาว่า จะไม่ยอมเปิดพื้นที่เส้นทางบริเวณสะพานมัฆวานฯอย่างเด็ดขาด โดยกลุ่มแกนนำฯให้เหตุผลสนองความรักชาติ รักสถาบัน ว่า กลัวกลุ่มผู้ชุมนุมจะได้รับอันตรายจากการเปิดเส้นทาง

จนถึงปัจจุบันกลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ นำโดย "มหา 5 ขัน" พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถึงกับต้องออกมาจากรังโจรพันธมิตรฯออกมาตอบโต้เรื่องของการเปิดเส้นทางขบวนเสด็จฯ ในงานพระราชพิธี พระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระพี่นางฯ ว่า ทางกลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ ที่ได้หารือร่วมกันแล้ว มีมติ จะไม่เปิดเส้นทางการจราจร ถนนราชดำเนินบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ที่ตามกำหนดจะใช้เป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯวันที่ 14-19 พ.ย.นี้ โดยให้เหตุผลที่หลายคนฟังแล้วต้องอึ้งกิมกี่กันไปเลยว่า ที่ผ่านมากลุ่มพันธมิตรฯ โดนจ้องทำร้ายผู้ชุมนุม มีการปาระเบิดเข้ามาหลายครั้ง จึงต้องเน้นความปลอดภัยของผู้ชุมนุมมาก่อน

จากคำกล่าวอ้างของ มหา 5 ขัน ที่ระบุว่าหากเปิดเส้นทางบริเวณสะพานมัฆวานฯแล้วนั้น จะส่งผลให้ผู้ชุมนุมได้รับความไม่ปลอดภัยจากการเปิดเส้นทางดังกล่าว สรุปให้เห็นว่า กลุามพันธิมตรฯเห็นความปลอดภัยของกล่มผู้ชุมนุมมากกว่าประเทศชาติ และสถาบัน ขณะเดียวกัน มหา 5 ขัน โยนบาปให้ตำรวจ ให้ไปเตรียมเส้นทางอื่นแทน

สิ่งที่ มหา 5 ขันรายนี้กล่าวออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แสดงให้เห็นว่าเขาคำนึงถึงของปลอดภัยชองผู้ชุมนุม มากกว่ากาลเทศะ ความเหมาะสม ว่าขณะนี้ประเทศกำลังอยู่ในสภาวะเช่นไร ในขณะที่งานพระราชพิธี พระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระพี่นางฯ กำลังจะเริ่มขึ้นในเร็ววันนี้

หลังจากที่มหา 5 ขันรายนี้ และกลุ่มแกนนำ ได้ประกาศว่าจะไม่เปิดเส้นทางขบวนเสด็จแล้ว ประชาชนผู้ที่ไม่ฝักใฝ่เสื้อสีใด ต่างสงสัยว่า กลุ่มพันธมิตรฯ เป็นใคร ทำไมถึงวางกล้ามใหญ่โต และกล้าเอ่ยอ้างวาจาว่าจะไม่เปิดถนนเส้นนี้โดยเด็ดขาด แล้วจึงมีคำถามจากประชาชนว่า ทำไมตำรวจ ทหาร ถึงไม่สามารถจัดการกับการกระทำอันจาบจ้วงของกลุ่มแกนนำได้

เมื่อกลุ่มพันธิมตรฯ ไม่ยอมเปิดเส้นทางให้กับขบวนเสด็จฯแล้ว ทางออกของงานี้คือ พล.ต.ต.วีระพัฒน์ ตันศรีสกุล ผู้บังคับการตำรวจจราจร ( ผบก.จร.) สรุปว่า อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ จากเดิมที่มีกำหนดใช้เส้นทางถนนพระราชดำเนิน เปลี่ยนเป็นใช้เส้นทางถนนหลานหลวงเป็นหลัก โดยให้เหตุผลว่า เมื่อพันธมิตรฯไม่ยอมเปิดเส้นทาง การปรับปรุงภูมิทัศน์ และสภาพพื้นผิวจราจร ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 สัปาดาห์

นอกจากนี้คำสั่งของศาลปกครอง ที่ออกมาให้ความคุ้มครองกลุ่มพันธมิตรฯที่เบรคตำรวจห้ามใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม ส่งผลให้การจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯเป็นเรื่องที่ยาก ทั้งหน่วยงานตำรวจ และทหาร จึงไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยไม่จำเป็น

ที่ผ่านมา ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองต่างมีความพยายามที่จะให้ทุกฝ่ายหันหน้ามาพูดคุยกันอย่างสันติวิธี และที่สำคัญต้องไม่นำสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ใครก็ตามที่มีความเห็นแตกต่างจากกลุ่มพันธมิตรฯแล้วนั้น ล้วนแล้วจะถูกจากโจมตีอย่างถล่มทลายจากแกนนำพันธมิตรฯทั้ง 9 อย่างไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหม ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นแล้ว อย่าง นสพ.ข่าวสด ที่โดนนายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาโจมตีอย่างหนัก ถึงกับประกาศกร้าวบนเวทีว่า ห้ามทุกคนสนับสนุนในหนังสือพิมพ์ในเครือมติชน รวมทั้งมีการให้นักเลงไปก่อกวนตามแผงหนังสือไม่ให้รับหนังสือในเครือมมติชน

ส่วนด้าน ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เองก็ไม่วายโดนนายสนธิถล่มด้วยถ้อยคำที่หยาบคายผิดวิสัยของคนที่ได้รับการศึกษามาอย่างดี และอีกหลายๆคนที่ออกมาพูดในทางตรงกันข้ามกับพันธมิตรก็จะโดนด่าสาดเสียเทเสียอย่างชนิดไม่ลืมหูลืมตา

การชุมนุมของพันธมิตรฯกว่า 150 วันที่ผ่านมา มักจะกล่อมให้ผู้ชุมนุมฝันหวานว่า กลุ่มพันธิมตรฯคือกลุ่มที่มีความรักชาติ ศาสนา และสถาบันอย่างแท้จริง ใครที่มีความเห็นแตกต่างจากพวกตนนั้นคือ กลุ่มทรราชย์ที่ขายชาติ แต่การกระทำของพันธมิตรฯวันนี้ที่ไม่ยอมเปิดเส้นทางขบวนเสด็จนั้น มันตรงข้ามกับการพูดของกลุ่มพันธมิตรอย่างแท้จริง เชื่อว่าวันนี้ประชาชนคงจะเห็นเนื้อแท้ของพันธมิตรฯแล้วว่าใครกันแน่ของคนขายชาติ

บทสรุปของเรื่องนี้ คือ ประชาชนเท่านั้นควรพิจารณาให้รอบครอบว่า ใครคือผู้ที่รักชาติ ศาสนา และสถาบันอย่างแท้จริง!!!



‘พันธมาร’กระเหี้ยนกระหือรือ โหยหา‘รัฐประหาร’

ชำแหละจุดหมายปลายทาง‘โจรพันธมาร’สวมวิญญาณบ่างช่าวยุ ตีแผ่ซอกหลืบแห่งหายนะประเทศบนความไม่รู้ตัวของประชาชนตาดำๆที่ถูกเดินเกมแลกผลประโยชน์


มติล่าสุดของกลุ่มพันธมิตรฯที่ต้องการให้มีการรัฐประหารเกิดขึ้น เป็นเพียง “ฝันร้าย” ที่มิอาจเป็นไปได้ เมื่อ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ออกมาย้ำนักย้ำหนาชัดแจ้งแดงแจ๋ว่า ข้อเสนอของ 5 แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯครั้งล่าสุด ที่ต้องการให้ “ทหารออกมาใช้อำนาจ” นั่นเป็นเพียงฝันกลางวัน ฝันลมๆแล้งๆ เท่านั้น

ถึงแม้ว่า ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯจะใช้ถ้อยคำที่กำกวมว่า “ขอเรียกร้องให้ทหารทำหน้าที่ของตัวเองและทำตามคำสัตย์ปฏิญาณที่ให้ไว้ต่อธงชัยเฉลิมพลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”ซึ่งการกระทำของโฆษกกลุ่มพันธมิตรฯที่มีขึ้นทุกครั้ง แม้กระทั่งการยิ้ม ทางฝั่งโฆษกกองทัพบกก็มองเห็นถึงเหงือก ทะลุปรุโปร่งไปถึงลำไส้ใหญ่กันเลยทีเดียว

แม้ว่าโฆษกกลุ่มพันธมิตรฯจะใช้ถ้อยคำที่กำกวมเช่นไร ก็มิอาจรอดพ้นสายตาและความคิดของโฆษกกองทัพบกไปได้

การเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯครั้งนี้ทหารคงไม่หลงเชื่อเหมือนอย่างยุคของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิวัติ ที่ตัดสินใจยึดอำนาจโดยกระบวนการรัฐประหาร เมื่อครั้งวันที่ 19 กันยายน 2549 ได้ดังเช่นแต่ก่อน

ซึ่งปัจจัยหลักที่กลุ่มพันธมิตรฯต้องการให้เกิดการยึดอำนาจโดยการรัฐประหารนั้นมีอะไรซ่อนเร้นอยู่เป็นแน่ เพราะการระดมพลของกลุ่มพันธมิตรฯ เพียงเพื่อปูทางและสร้างเงื่อนไขให้กับรัฐประหารเท่านั้น

เนื่องจากที่ผ่านมา “มหา 5 ขัน” จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ที่เคยพ่ายแพ้มาแล้ว แม้ว่าจะออกมาชี้ชัดว่า พลพรรค มีไม่เพียงพอ จึงทำให้พลาดพลั้ง ไม่ชนะอย่างที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามภายใต้ความสำเร็จของการอยู่รอด กลับต้องมาแลกด้วยอาการหืดขึ้นคอ เพราะวิ่งแก้เกมกันไม่ทัน เนื่องจากภายใต้ยุทธศาสตร์เดียวที่อ่านทะลุ คือ ความยับยั้งชั่งใจ ซึ่งอาจรวมไปถึงความ “ไม่กล้า” ออกมาทำรัฐประหาร

แต่อย่ามองข้าม เพราะคำพูดของ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ผบ.ทบ. ที่บอกว่า กำลังหาช่องทางแก้วิกฤตการเมืองอยู่ ซึ่งนั่งอาจหมายถึงมีนัยยะสำคัญอยู่

แล้วความกระเหี้ยนกระหือรือ โหยหารัฐประหารของกลุ่มพันธมิตรฯจะเป็นจริงหรือไม่

แต่กลุ่มพันธมิตรฯอย่าเพิ่งเป็นกิ้งก่าได้ทองไป ถึง “ผบ.ทบ.” จะพูดมีนัยยะสำคัญ แต่หารู้ไหมว่าสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นและท่าทีสนับสนุนของประชาชนต่อการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มผู้ไม่สนับสนุนพันธมิตร ปรากฏว่า ลดลงจากร้อยละ 47.7 และร้อยละ 42.9 ในการสำรวจช่วงหลังเกิดเหตุ 7 ตุลาคม มาอยู่ที่ร้อยละ 26.3 และร้อยละ 29.6 ในการสำรวจครั้งล่าสุด แต่กลุ่มประชาชนส่วนมากกลับไปอยู่จุดยืนทางการเมืองจุดเดิม คือ ขออยู่ตรงกลางร้อยละ 44.1

นั่นหมายความว่า ประชาชนรู้ซึ้งในเรื่อง “ผิด ชอบ ชั่ว ดี” รู้ซึ้งว่าเข้าร่วมชุมนุมก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่รั้งจะทำให้บ้านเมืองเสื่อมเสีย เหมือนดังเช่นคำพูดของ “ดิสธร วัชโรทัย” ที่ประกาศชัดเจนว่า เป็น “ตัวจริง-เสียงจริง” ที่รับพระราชกระแสมา ขอให้ทุกคนที่รักในหลวงอยู่บ้าน ไม่ต้องออกมาแสดงพลัง

ทั้งนี้คำพูดของ “ดิสธร วัชโรทัย” ยิ่งเป็นเหมือนการสาดเลือดเข้าตา “สนธิ ลิ้มทองกุล” ที่ยังออกมา ฉะ แฉ แม้จะไม่ระบุชื่อ แต่ก็เป็นการตอบโต้ ที่ไม่ยอมรับความจริงอย่างไรก็ดี เมื่อตรวจสอบท่าทีของ กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ไม่ได้แสดงออกถึงความต้องการ “สันติ” อยู่แล้ว

ซึ่งจากที่ดูแล้ว อาการของสองฝ่าย ยิ่งพุ่งเข้าหา ความรุนแรงเปรียบเสมือน“กลิ่นเหม็นไหม้ เหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้นล้วนมีแนวโน้มไปสู่สิ่งไม่ดี”เป็นคลื่นแทรกจาก “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ออกมาจี้ให้ สมชายวงศ์สวัสดิ์ ปรับครม.เป็น “รัฐบาลแห่งชาติ” ภายใน 2 วัน แต่แล้ว ไอเดียของ “บิ๊กจิ๋ว” ก็เป็นเพียงคลื่นกระทบฝั่ง เพราะรัฐบาลแห่งชาติจากมือของ “สมชาย” ยากที่จะเกิดขึ้นได้นอกจากวนไปสู่การโหยหาการปฏิวัติ

กระนั้น “เสธ.อู้” พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช วิเคราะห์ว่า ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ยังคงไม่เกิดขึ้นในอีก 1- 2 เดือนข้างหน้า แต่อาจจะมีผลหลังจากการตัดสินคดียุบพรรค “หากจะเกิดความรุนแรงช่วงนี้จนถึงเดือนธันวาคมคงไม่มีอะไรและคงไม่เกิดก่อนงานพระราชพิธี อย่างแน่นอน”แต่ “เสธ.อู้” ก็ทิ้งปมเอาไว้ว่า ถ้าเกิดจลาจลถึงขั้นนองเลือด จำเป็นจริงๆทหารก็ต้องออกมา

กระนั้น สถานการณ์ในขณะนี้ก็ยังไม่มีเบาะแสใดบ่งบอกว่าจะมีการปะทะและขัดแย้งเกิดขึ้นอีกระหว่างกองทัพกับรัฐบาล แม้ว่าจะมีความพยายามจากบางฝ่ายทำให้เกิดขึ้นและมีขึ้นก็ตาม

เป็นอันว่ารัฐบาลชุด “สมชาย 1” ของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จึงน่าจะผ่านเดือนพฤศจิกายน 2551 ไปได้อีก 1 เดือน



‘พงษ์เทพ’ยันอังกฤษยังไม่ยกเลิกวีซ่า‘ทักษิณ-พจมาน’


โฆษกส่วนตัวอดีตนายกฯสวนข่าวลวง‘แก๊งนักเลงทำเนียบฯ’ ยันอังกฤษยังไม่ยกเลิกวีซ่าเข้าประเทศ เชื่อ‘ทักษิณ’ชี้แจงต่างชาติเข้าใจได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมีความเป็นมาอย่างไร

นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ กับสำนักข่าวประชาทรรศน์ เกี่ยวกับ อีเมล์ อ้างถึง นายแอนดี้ เกรย์ ผู้จัดการฝ่ายติดต่อกิจการตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานพรมแดนสหราชอาณาจักร สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงเทพฯ ได้ส่งอีเมล์ถึงสายการบินที่เป็นสมาชิกคณะกรรมการดำเนินงานด้านธุรกิจการบิน (Airport Operations Committee: AOC) เพื่อแจ้งเตือนให้ทราบว่า สำนักงานพรมแดนฯ ได้ยกเลิกวีซ่าเข้าสหราชอาณาจักรที่ถือโดย บุคคลสัญชาติไทยดังนี้พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร หนังสือเดินทางไทยหมายเลข D215863 และ คุณหญิง พจมาน ชินวัตร หนังสือเดินทางไทยหมายเลข D206635 เพราะวีซ่าที่ประทับในหนังสือเดินทางดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้ต่อไป จึงขอแนะนำสายการบินทั้งหลายว่าอย่าได้นำผู้โดยสารทั้งสองคนเข้าสหราชอาณาจักร ว่า เรื่องดังกล่าวหากเป็นเรื่องจริงเชื่อว่าทางประทเศอังกฤษทำตามขั้นตอนของกฎหมายภายใน แต่เท่าที่ทราบจากเลขาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ได้รับเอกสารชี้แจงรายละเอียดอย่างเป็นทางการ และถ้าข้อมูลนี้ออกมาจากทางอังกฤษจริง ก็เป็นสิทธิของประเทศอังกฤษ ที่จะเพิกถอนวีซ่าดังกล่าว ซึ่งก็คงเป็นการทำตามขั้นตอน

“ส่วนตัวเชื่อว่า ท่านคงชี้แจงให้รัฐบาลอังกฤษเข้าใจได้ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่มีความเป็นมาอย่างไร เกิดจากอะไรบ้าง และสืบเนื่องมาอย่างไร ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าห่วง”นายพงษ์เทพ กล่าว

ส่วนจะสามารถเดินทางกลับเข้าประเทศอังกฤษได้อีกหรือไม่ นายพงศ์เทพ กล่าวว่า เชื่อว่าหากพ.ต.ท.ทักษิณ จะชี้แจงให้ประเทศอังกฤษเข้าใจได้ ก็สามารถเดินทางกลับได้ แต่สุดท้ายอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับประเทศอังกฤษ พร้อมกันนี้ นายพงษ์เทพ กล่าวอีกว่า ไม่ได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ มานานแล้ว แต่ก็ขอขอบคุณประชาชนชาวไทยที่แสดงความเป็นห่วงต่อพ.ต.ท.ทักษิณ

อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนระดับสากล ไม่ว่าจะเป็น BBC CNN AP AFP หรือ หนังสือพิมพ์แทบลอยด์ mirror ของอังกฤษไม่มีการรายงานข่าวเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งที่สื่อดังกล่าวเกาะติดสถานการณ์การเมืองของประเทศไทย

ด้าน นายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการว่ามีการเพิกถอนวีซ่า แต่ก็ได้รับทราบจากข่าวแล้ว ทั้งนี้เห็นว่า ทางการอังกฤษ มีสิทธิ์ที่จะเพิกถอนวีซ่าเป็นรายบุคคล โดยไม่ต้องชี้แจงถึงเหตุผล

"พันธมารฯ"เตรียมตัว วิบากกรรมที่ก่อรอคืนสนอง

คอลัมน์ : สามเหลี่ยมดินแดง

โดย เอกฉัตร


00 หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ สื่อทางเลือกของประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ยึดมั่นอุดมการณ์ต้านรัฐประหาร ระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ ประจำวันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2551 เอกฉัตร รายงานตัว รายงานข่าวตามปกติ เจตนารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลง สนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปีศาจคาบไปป์ ด้วยเหตุผลเป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมาจากปากกระบอกปืน บอนไซระบบพรรคการเมืองไม่ให้มั่นคงแข็งแรง

00 เป็นไปตามความคาดหมายของโพลสำนักต่างๆ ยกเว้นหมอดูคนไทย ชื่ออะไรจำไม่ได้ ไปทำมาหากินอยู่ที่อเมริกา ทำนายและยืนยันกับ นายชิบ จิตนิยม นักข่าวช่อง 3 ว่าหาก นายบารัค โอบามา จากพรรคเดโมแครต ได้เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรก จะใช้หัวเดินแทนเท้า คำทำนายขี้เท่อพอๆ กับโหร คมช. ในบ้านเรา แต่นั่นแหละ คิดอีกทีก็ไม่เคยเห็นหมอดูหมอเดาคนไหนเคยมีจิตสำนึกรับผิดชอบในคำทำนายให้คนหลงเชื่อแตกตื่น มีแต่จัดงานโน่นงานนี่ หลอกลวงประชาชนไปวันๆ

00 ติดตามข่าวการเลือกตั้งชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาด้วยตาร้อนผ่าว ในความเป็นอิสระทั้งการหาเสียงเลือกตั้งจนถึงวันลงคะแนน ไม่มีข้อห้ามหยุมหยิมสารพัดให้หงุดหงิดใจ ทั้งคนลงสมัครรับเลือกตั้งและคนหย่อนบัตรในคูหา คนที่มีสิทธิเลือกตั้ง ออกจากบ้านไปคูหาเลือกตั้งมีสิทธิติดคุกได้ หากทำผิดกฎหมายหยุมหยิมที่พลั้งเผลอได้

00 ส่วนผู้สมัครหนักกว่าผู้หย่อนบัตร แม้ผลการเลือกตั้งคะแนนชนะท่วมท้น แต่ใช่ว่าจะเลี้ยงฉลองชัยได้ หากยังไม่ได้รับการรับรองจาก 5 ผู้ยิ่งใหญ่ที่เรียกกันว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ซึ่งเห็นกันแล้วจากผลงานที่ผ่านมา ยังไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจนกับการชี้ขาดเรื่องที่ร้องเรียนกัน ไม่รู้ดูจากพยานหลักฐานหรือชื่อพรรคที่ผู้สมัคร ส.ส. คนถูกร้องเรียนกล่าวหา ก่อนจะชักใบเหลืองใบแดงหรือใบขาว และยังตามไปประหารชีวิตให้ตายทั้งพรรค หากคนที่ได้ใบแดงเป็นกรรมการบริหารพรรค เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปีศาจคาบไปป์ระบุไว้ด้วยคำว่า “ให้ถือว่า” แค่นี้ก็ไม่มีสิทธิดิ้นหนีตาย วันนี้ พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และ พรรคมัชฌิมาธิปไตย ขึ้นเขียงรอวันประหาร แล้วอย่างนี้ยังจะขืนใช้กันต่อไปอีกหรือรัฐธรรมนูญฉบับปีศาจคาบไปป์

00 เอกฉัตร เห็นอาการ ส.ส. ในซีกรัฐบาลวันนี้ ไม่รู้ผวากับคำขู่ หรือ ต้องมนต์โกเต๊กซ์ของโกตั๊บ ที่จะประกาศสงครามครั้งสุดท้ายขึ้นมา ขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมรับการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. จึงดูเหมือนว่าเกิดอาการฝ่อกันไปหมด ทำท่าเห็นคล้อยตามพวกปกป้องรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลที่เกิดจากการจินตนาการ ไม่อยากให้บ้านเมืองวิกฤติ เลือดจะนองแผ่นดิน เป็นข้ออ้างฟังแล้วดูดี แต่ไม่มีเหตุผลเพียงพอ

00 เชื่อเหอะน่า ไม่ว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ สงครามครั้งสุดท้ายของกลุ่มพันธมิตรพันธมารจะประกาศขึ้นอีกในไม่ช้า เพื่อระดมทุนระดมคนสู้กับพลังเสื้อแดง ที่ทำให้แกนนำตกใจปากกล้าขาสั่น เมื่อเห็นภาพเสื้อแดงเต็มสนามราชมังคลากีฬาสถาน หากใครไปร่วมงานจะรับรู้พลังเสื้อแดงส่วนใหญ่ที่ออกมาชุมนุม เพราะอึดอัดสุดจะทนกับพฤติกรรมการชุมนุมยืดเยื้อ เพราะยื่นเงื่อนไขไม่สิ้นสุด ละเมิดกฎหมายเห็นตำตาทุกวี่ทุกวัน พลังเสื้อแดงที่แสดงกันในวันนั้น แกนนำเริ่มรู้ชะตากรรม ภูติผีปีศาจในทำเนียบรัฐบาลคงกระซิบบอกโกตั๊บในวันที่นั่งสมาธิเห็นผีเห็นเปรต แต่ถ้าภูติผีใจร้ายไม่กระซิบบอกล่วงหน้า เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก บอกใบ้ให้รับรู้แทบทุกวัน ทำให้ทำเนียบรัฐบาลมีสภาพไม่ต่างจากคุก เพราะหัวหน้าขบวนการเจ้าอาณาจักร เกิดอาการประสาทหลอน วิตกจริตคิดว่าจะมีคนบุกยึดทำเนียบคืน รอบๆ ทำเนียบรัฐบาลจึงเป็นพื้นที่หวงห้าม เป็นเขตปลดปล่อย ใครหลงเข้าไปมีสิทธิ์ตายและเจ็บตัว เหมือนประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม จะห้ามเครื่องบินต่างชาติบินล้ำน่านฟ้า บ้าไหมครับ หรือว่าบ้าไปแล้ว ซึ่งจะเป็นผลดีกับคดีที่ดำเนินการ คนวิกลจริตถูกดำเนินคดีไม่ได้

00 ก็น่า ประสาทหลอนวิตกจริตอยู่หรอก เมื่อแกนนำปลุกระดมให้ผู้ชุมนุมเปิดศึกกับตำรวจ ใส่ร้ายป้ายสีกล่าวหา ตำรวจเป็นฆาตกรฆ่าประชาชน เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย คงรู้ตัวดีจากพฤติกรรมเหิมเกริมเพาะบ่มศัตรูรอบด้าน ด่าทุกคนด้วยคำหยาบคาย หากแสดงความคิดเห็นต่างจาก เจ้าของมนต์ดำโกเต๊กซ์ที่ชื่อโกตั๊บ หรือ แม้แต่แสดงความคิดเห็นต้องการให้เกิดความสมานฉันท์ ที่คนส่วนใหญ่ต้องการจะเห็น ก็ถูกด่าไม่ยั้งปากจากขุนศึกหน้าไมค์ จึงต้องขอกำลังสารวัตรทหารมาช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับเขตปลดปล่อย

00 เอกฉัตร ฟังมา ตั้งแต่กลุ่มพันธมิตรพันธมารร่วมชุมนุมกันตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม ห้วงเวลานี้ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสบายใจที่สุด แม้จะถูกป้ายร้ายกล่าวหาฆ่าประชาชน ซึ่งเมื่อความจริงปรากฏออกมา เริ่มจะเห็นกันแล้ว ใครบงการให้ประชาชนไปตาย การปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย โดยไม่ต้องไปอารักขาให้ความปลอดภัยกับผู้ชุมนุม ทำให้ตำรวจพ้นข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เห็นผู้กระทำผิดกฎหมายตำตาแล้วไม่ดำเนินการจับกุม แถมยังมาคุ้มครองรักษาความปลอดภัยให้อีกต่างหาก ใครร้องทุกข์กล่าวโทษขึ้นมา โดนดำเนินคดีกันระนาว เวรกรรมจึงตกไปที่บรรดาสารวัตรทหารที่มาทำหน้าที่แทนตำรวจ แม้จะพ้นข้อกล่าวหาทางคดี แต่ทำหน้าที่ด้วยความอึดอัด ไม่ต่างกับคุ้มครองโจร

00 ตีตนไปก่อนไข้ ก่อนงานครอบครัวความจริงวันนี้ สัญจร ครั้งที่ 2 จะเริ่มขึ้น ไม่รู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะพูดอะไรในการโฟนอินเข้ามาพูดคุยกับประชาชนคนเสื้อแเดง พอได้ฟังกันเต็มๆ ก็ตั้งวงวิเคราะห์จินตนาการอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คำพูดเข้าข่ายหมิ่นสถาบันหรือไม่ นักกฎหมายต้องแปลความกันทีละพยางค์ ทีละประโยค จนวันวานตำรวจสันติบาลมีหน้าที่โดยตรง สรุปผลออกมาแล้ว คำพูดของอดีตนายกฯ ทักษิณ ไม่เข้าข่ายหมิ่นสถาบัน ฝ่ายที่จงเกลียดจงชังก็ต้องเปิดตำรากันใหม่เพื่อหาความผิดให้ได้

00 ส่วน ผู้นำเหล่าทัพที่สุมเศียรกันเพื่อวิเคราะห์คำพูดที่อดีตนายกฯ ทักษิณ โฟนอินคุยกับแฟนคลับในทันทีทันใดแค่ข้ามคืน จิตสำนึกตื่นตัวกับงานในหน้าที่ น่าจะเกิดขึ้นกับปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เคยสุมเศียรคุยกันจริงจังบ้างหรือยัง จะแก้ปัญหากันอย่างไรให้เห็นเป็นรูปธรรม เพื่อคุ้มกับงบประมาณที่ทุ่มลงไป ชะเอย



พรรคประชาธิปัตย์ ต้นตอ “ความวุ่นวาย” ?!!


คอลัมน์ : มารศาสนา

โดย สอาด จันทร์ดี


ความวุ่นวายทางการเมืองของประเทศไทย พรรคประชาธิปัตย์มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะเป็นต้นตอทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างตามมา โดยเริ่มมาจากคำพูดเพียงประโยคเดียว “ระบอบทักษิณ” หลังจากนั้น คำพูดประโยคนี้ได้ขยายความหมายที่น่าสะพรึงกลัว หาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเป็นประธานาธิบดี?!

จากคำพูดประโยคนี้ ได้กลายเป็นอสรพิษพ่นใส่คนไทย ทำให้สังคมไทยที่กำลังจะก้าวหน้า พลันถอยหลังพังครืน การเมืองล้มระเนระนาด กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย นักการเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นคน “มีสภาพกลายเป็นควาย” อย่างไม่น่าเชื่อ พวกควายพวกนั้นไล่ฆ่าคนไทยด้วยกันเหมือนหมูเหมือนหมา หาความยุติธรรมไม่ได้

ใครเป็นคนทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน
ตอบได้เลย...หนึ่ง พรรคประชาธิปัตย์!
สอง...พันธมิตรฯ และสันติอโศก!!

ทั้ง 2 กลุ่มนี้ ร่วมกันห้ำหั่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนลืมความถูกต้อง ลืมความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย กล่าวคือ พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเรียกร้องให้พันธมิตรฯ ถอนตัวออกมาจากทำเนียบรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเอ่ยปากห้ามปรามว่าอย่าบุกรัฐสภา

พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยทำหน้าที่ปกป้อง
ตรงกันข้าม มีแต่ก่นด่ารัฐบาล
ด่าแล้วด่าอีก ไม่รู้จะด่าไปถึงไหน?

ผมขอเขียนถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่า พรรคประชาธิปัตย์คือเจ้าของ “ต้นตอ” ความวุ่นวาย ซึ่งไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร รู้แต่ว่าประเทศไทยนับวันแต่จะจมดิ่งลงสู่ความหายนะ

ความหายนะที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ได้แก่ พวกพันธมิตรฯ และสันติอโศก ประกาศกึกก้องว่าพวกเขาทำไปเพื่อการรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นการอ้างเอาสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือในการชักจูงให้คนไทยที่เต็มไปด้วยความจงรักภักดี หลงเข้าใจผิดคิดว่าสถาบันจะไม่ปลอดภัย ก็จะพากันเห็น “พวกเสื้อแดง” เป็นศัตรู ประหนึ่งมิใช่คนไทยด้วยกัน
สิ่งที่เกิดขึ้น มาจากต้นตอพรรค “ปชป.”!

ผมนั่งสยองใจอยู่คนเดียว ไม่เชื่อว่า “ประชาชนที่รักทักษิณ จะแห่ทำลายสถาบันได้” ทั้งนี้ เนื่องจากพวกเขาก็รักพระเจ้าแผ่นดินประหนึ่งชีวิตของตนเองเหมือนกัน แล้วเหตุไฉน คนเหล่านั้นจึงจะกลายเป็นภัยต่อสถาบัน
ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ไม่เคยมีพสกนิกรชาวบ้านกลุ่มใดยึดพระราชอำนาจได้ ต่อให้พสกนิกรรวมกันเป็นล้านๆ ก็ไม่อาจทำได้!

คนที่จะทำได้ ได้แก่ พวกอำมาตย์ที่มีกองกำลังอยู่ในมือ เช่น นายทหารใหญ่ แม่ทัพใหญ่ หากคิดไม่ซื่อขึ้นมาเมื่อใด ก็จะสามารถทำการปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองได้ทันที คนพวกนี้ต่างหากที่น่ากลัวมากที่สุด
ดังนั้น ในการเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ในกองทัพ “ท่านแม่ทัพทั้งหลาย” ต้องสาบานตนว่าจะมีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เสมอด้วยชีวิต

ดังนั้น...ในแง่ของทฤษฎีแห่งความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ประชาชนคือผู้ที่ ไม่มีพิษ ไม่มีภัย ไม่มีอะไรที่จะต้องหวาดกลัวเลย

คนที่มีอำนาจสั่งกองทัพได้ต่างหาก น่ากลัว?!!

เรื่องที่น่ากลัวในวันนี้มิใช่เรื่องมือที่มองไม่เห็น ความจริงเราเห็นมือและใบหน้าอย่างชัดเจน เช่น มือของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มือของ นายชวน หลีกภัย และมือของพวก 9 แกนนำพันธมิตรฯ นอกจากมือดังว่า ยังมองเห็นใบหน้าอย่างเต็มตาอีกด้วย

พรรคประชาธิปัตย์บอกให้พันธมิตรฯ ออกไปจากทำเนียบสิครับ บอกให้หยุดการกระทำ อันบ้าบิ่นหมิ่นเหม่ที่จะทำให้คนไทยฆ่ากันเอง ขอให้พรรคประชาธิปัตย์บอกกับพวกพันธมิตรฯ อย่าเรียกร้องประชาชนให้ออกมาปกป้องสถาบันกษัตริย์

สถาบันกษัตริย์ไม่มั่นคงตรงไหน?
จึงกู่หาประชาชนให้ออกมาปกป้อง

ผมเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ ตกต่ำย่ำแย่ ไม่มีมาตรฐานของพรรคการเมืองเก่าแก่หลงเหลืออยู่เลย มันย่ำแย่เสียกระบวน จนไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นพรรคที่ดีต่อไปได้

ใช่...ผมไม่เถียง พรรคประชาธิปัตย์ยังมีแฟนไม่ใช่น้อย ดังจะเห็นได้จากชัยชนะของ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. และการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. อีกคนก็ชนะ นี่ย่อมหมายถึงคะแนนนิยม

แต่คะแนนนิยมที่นั่งทับความหายนะเลวทราม นั่งทับความอยุติธรรม ผมรับไม่ได้ ผมอยากบอกกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า ผมเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น

“ปรุงอาหารถูกปลด เป็นกบฏถูกปล่อย”
“ยึดทำเนียบไม่มีความผิด” พิลึก?
“พันธมิตรฯ แทงตำรวจไม่มีโทษ” ได้ไง!

ขอถามหน่อย...พรรคประชาธิปัตย์คิดยังไง จึงหนุนพันธมิตรฯ สุดตัว หรือว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นลูกกระจ๊อกของพันธมิตรฯ เขายึดทำเนียบร้ายแรงเพียงนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่เคยตำหนิพันธมิตรฯ เลย...! กลัวพันธมิตรฯ มากใช่ไหมครับ?!

ปชป. รู้ตัวไหมว่า ตัวเองเป็นต้นตอความวุ่นวาย!


‘พันธมาร’สันหลังหวะ! ไม่เปิดรังโจร-ขวางทางเสด็จฯ


‘จำลอง’ ยันไม่เปิดถ.ราชดำเนิน ระบุเกรงคนเข้ามาทำร้าย ย้ายยางรถ-ลวดหนามลำบาก อ้างตร.เตรียมหาเส้นทางอื่น ด้าน ผบก.จร.ยันยังไม่เปลี่ยนเส้นทาง

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงมติแกนนำพันธมิตรฯ ว่าจะไม่เปิดเส้นทางการจราจร ถนนราชดำเนินบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ที่ตามกำหนดจะใช้เป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ วันที่ 14-19 พ.ย.นี้ ว่า เนื่องจากที่ผ่านมา มีการจ้องทำร้ายผู้ชุมนุม มีการปาระเบิดเข้ามาบริเวณผู้ชุมนุม ทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายราย และได้มีการประสานกับตำรวจแล้ว หากเปิดเส้นทางดังกล่าว กังวลว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัย และตำรวจยังแจ้งให้ทราบว่า ได้เตรียมเส้นทางเสด็จฯ เส้นทางอื่นไว้แล้ว

ส่วนการจัดสานเสวนา เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติความขัดแย้ง เพื่อยุติความรุนแรง พล.ต.จำลอง กล่าวว่า หากมีการเปิดให้พูดคุยกันหลายๆ ฝ่าย พันธมิตรฯ คงไม่ร่วมด้วย แต่หากเป็นการเจรจาระหว่างพันธมิตรฯ กับรัฐบาล ที่เป็นคู่กรณี ก็พร้อมเจรจา

ก่อนหน้านี้ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ ผู้ประสานงานกองทัพธรรม หัวหน้าการ์ดพันธมิตรฯ กล่าวว่า เหตุผลที่ไม่สามารถเปิดเส้นทางการจราจร เพื่อความปลอดภัยของกลุ่มผู้ชุมนุม ประกอบกับมีล้อยาง รถเมล์เก่า และรั้วลวดหนามที่พันธมิตรฯ ใช้ปิดขวางถนนอยู่จำนวนมาก ยากต่อการเคลื่อนย้าย ซึ่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลจะประสานไปยังสำนักพระราชวัง เพื่อให้พิจารณาปรับเปลี่ยน หรือออกหมายกำหนดการเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินใหม่ เพื่อให้เกิดความสะดวก ปลอดภัย และสมพระเกียรติต่อไป

ตร.ย้ำไม่เปลี่ยน‘เส้นทางเสด็จฯ’

ตำรวจระบุยังไม่เปลี่ยนเส้นทางเสด็จฯ ต้องรอคำตอบสำนักพระราชวัง ขณะที่พันธมารกร้าว! ไม่ยอมเปิดรังโจรให้งานพระราชพิธี เย้ยกฎหมายเป็นแค่ "เสือกระดาษ" ชี้ต้องปิดจราจร 16 เส้นทางรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ 14 พ.ย.นี้ แม้จะมีการประชุมร่วมหลายฝ่าย ระบุให้เลี่ยง "ถนนราชดำเนิน" แต่ "ม็อบถ่อย" ยังขัดขวาง!

พล.ต.ต.วีระพัฒน์ ตันศรีสกุล ผู้บังคับการตำรวจจราจร (ผบก.จร.) กล่าวถึงกรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ยังไม่ยอมเปิดถนนราชดำเนินบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ที่ตามกำหนดจะใช้เป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ วันที่ 15 พ.ย.นี้ ว่า การเปลี่ยนเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินนั้น จะต้องรอความชัดเจนจากสำนักพระราชวัง อย่างไรก็ตาม ณวันนี้ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ ตำรวจเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ ให้เปิดเส้นทางต่อเนื่องทุกวัน

ทั้งนี้ ตำรวจในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่ต้องรอคำตอบจากทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ และสำนักพระราชวัง ซึ่งประชาชนสามารถสอบถามเส้นทางการจราจรและเส้นทางรับเสด็จฯระหว่างพระราชพิธีได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ของตำรวจจราจร 1197

พล.ต.ต.วีระพัฒน์ ระบุว่า ในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ จะมีการปิดการจราจรในถนน 16 สาย รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่เวลา18.00 น. ของวันที่ 14 พ.ย.เป็นต้นไป

บึ้มขู่‘พันธมาร’-เสียงปืนปริศนา

เมื่อกลางดึกวันที่ 7 พ.ย. ที่ผ่านมาเกิดเหตุระเบิดขึ้น 2 ครั้ง บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์และบริเวณถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษมในเวลาไล่เลี่ยกันจากคำบอกเล่าของการ์ดพันธมิตรฯระบุว่าขณะเกิดเหตุระเบิด พบกลุ่มควันสีขาวขนาดใหญ่และเสียงดังทั่วบริเวณ หลังจากนั้นการ์ดได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ แต่ไม่พบความเสียหายหรือเศษสะเก็ดระเบิดแต่อย่างใดทั้งนี้เชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีและต้องการสร้างสถานการณ์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ยังเกิดเสียงระเบิดปริศนา ตามด้วยเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดบริเวณถนนข้างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ติดกับโรงเรียนเบญจมบพิตรด้วย จากนั้นเกิดเหตุเสียงปืนดังขึ้น 2-3 นัด บริเวณฝั่งตรงข้ามกับสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งใกล้กับจุดเกิดเหตุเดิม ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น

จากการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์ ทราบว่า หลังเกิดเหตุเห็นชายต้องสงสัยวิ่งหนีขึ้นรถจักรยานยนต์ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนหลบหนีไปการ์ดพันธมารโคตรใหญ่!

ปิดทางตร.สอบจุดบึ้ม

ด้าน พ.ต.อ.สมชาย เชยกลิ่น ผกก.สน.ดุสิต เปิดเผยถึงเหตุระเบิดดังขึ้น 2 จุด บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ หน้าตึกอาชีวะ กระทรวงศึกษาธิการ และ ถ.เลียบคลองผดุงฯด้านข้างรั้วกระทรวงศึกษาฯเมื่อเวลาประมาณ 01.00 น.ที่ผ่านมา เกิด ในเวลาไล่เลี่ยกันว่า ยอมรับ เหตุการณ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ได้เข้าไปตรวจจุดเกิดเหตุ เนื่องจาก กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ยอม และได้รับการยืนยันจากการ์ดพันธมิตรฯ ว่า เป็นเพียงเสียงประทัดยักษ์เท่านั้น หลังเกิดเหตุก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.สมชาย กล่าวอีกด้วยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดจากฝ่ายตรงข้ามของกลุ่มพันธมิตรฯ เข้ามาก่อความวุ่นวายหรือไม่นั้น ไม่สามารถตอบได้ เนื่องจาก การ์ดพันธมิตรฯไม่ยอมให้ข้อมูลใดๆ เพียงแต่ระบุว่า ไม่เห็นผู้ก่อเหตุ

'ณัฐวุฒิ'ถามปชป.กล้าพอหรือยังบอกพธม.ทำผิดกฎหมาย

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ยืนยันไม่เปิดเส้นทางเสด็จ ในวันพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ว่า รัฐบาลพยายามทำดีที่สุดเพื่อจะได้จัดงานให้สมพระเกียรติ ให้สมกับคนไทยรอ ส่วนมาตรการในการดำเนินการกับพันธมิตร ขึ้นอยู่กับตำรวจว่าจะทำอย่างไร แต่เชื่อว่าตำรวจมีมาตรการจัดการอยู่แล้ว

นอกจากนี้ นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวอีกว่า ตนอยากถามพรรคประชาธิปัตย์ว่า กล้าพอที่จะพูดได้หรือยังว่าพันธมิตรทำผิดกฎหมาย และกล้าพอที่จะบอกให้พันธมิตรออกจากทำเนียบหรือยัง มีแต่เรียกร้องให้รัฐบาลลาออก


อนาถ!ตุลาเทียมขายตัวเผด็จการ (รายปักษ์) (ฉ.2)

เช้าวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่บริเวณอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 2516 ถนนราชดำเนินกลาง มีประชาชนและนักศึกษา ตลอดจนนักสู้เพื่อประชาธิปไตยจากเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ต่างเดินทางมาร่วมงานรำลึกถึงการจากไปของผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นจำนวนมาก

แห่ร่วมรำลึกวีรชน 14 ตุลาคับคั่ง
โดยตั้งแต่เวลา 07.00 น. ได้มีพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 35 รูป รวมถึงการวางพวงมาลาของตัวแทนองค์กรประชาธิปไตย และการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

หลังจากนั้นในเวลาประมาณ 09.00 น. ได้มีพิธีกล่าวสดุดีวีรชน จากตัวแทนฝ่ายต่างๆ เช่น นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ ส.ส. สัดส่วนและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. นายสามารถ แก้วมีชัย ตัวแทนประธานสภา นายนิคม ไวรัชพานิช ตัวแทนประธานวุฒิสภา และตัวแทนญาติวีรชน ตัวแทนนิสิตนักศึกษา ร่วมกล่าวสดุดี

ขณะเดียวกันก็ได้มีการแสดงความคิดความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน และการมองในเชิงเปรียบเทียบกับเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตย เมื่อ 35 ปีที่ผ่านมา

อยากให้แก้ปัญหาด้วยสันติวิธี
นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานมูลนิธิ 14 ตุลา กล่าวว่า เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 คล้ายสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันตรงที่ประชาชนตื่นตัวเรื่องประชาธิปไตย แต่ 14 ตุลา มีความชัดเจนว่า ประชาชนต่อสู้กับระบอบเผด็จการทหารที่มีการสืบทอดอำนาจมาหลังเปลี่ยนการปกครอง ขณะที่ปัจจุบันเป็นการต่อสู้เชิงความคิดและนามธรรม ซึ่งทางออกที่จะทำให้สังคมไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อเหมือน 14 ตุลา คือ ทุกฝ่ายต้องยึดแนวทางสันติวิธี

เช่นเดียวกับญาติผู้เสียชีวิต และวีรชน 14 ตุลา ที่อยากให้คนไทยมีสติ ใช้สันติวิธีแก้ปัญหา จะได้ไม่เกิดความสูญเสียเหมือนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม

การต่อสู้กับเผด็จการเปลี่ยนไป
นายปทุม เกิดศรี วีรชนประชาธิปไตยที่ร่วมเหตุการณ์ 14 ตุลา และได้รับบาดเจ็บเป็นอัมพาตช่วงล่าง เปรียบเทียบการชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือนตุลาคม 2516 กับการชุมนุมทางการเมืองขณะนี้ ว่ามีความแตกต่างกัน จุดมุ่งหมายของประชาชนเดือนตุลา นั้น เป็นการต่อสู้กับระบอบเผด็จการ แต่ปัจจุบันมีความแตกต่างทางความคิดของคนในสังคมเกี่ยวกับวิถีทางประชาธิปไตย

เช่นเดียวกับ นางสมสุข กรมศรีประเทศ ที่สูญเสียลูกชายในเหตุการณ์ 14 ตุลา และนางกิมเตีย ฤทธิวานิช ที่สูญเสียสามีในเหตุการณ์เดียวกัน โดยทั้งสองระบุว่า เป้าหมายในการเรียกร้องทางการเมืองของวีรชนประชาธิปไตย กับปัจจุบันนั้นไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม อยากให้ทุกฝ่ายยึดผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก

คว้ารองเท้าปรี่ตบหล่อเล็ก-หล่อใหญ่
ด้านนายสุขุมพงศ์ กล่าวว่า เหตุการณ์ 14 ตุลา ยังอยู่ในความทรงจำของคนไทย และส่งผลต่อการเมืองการปกครองไทยที่มีการปรับรูปแบบไปสู่ประชาธิปไตย แต่ปัจจุบันเกิดความแตกต่างทางความคิด ขอให้ทุกฝ่าย ยึดความสามัคคีและรู้จักการให้อภัยตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เหตุการณ์ 14 ตุลา ผ่านมาแล้ว 35 ปี แต่สังคมไทยยังมีความอยุติธรรมอยู่ในระบบการเมือง ดังนั้นเจตนารมณ์วีรชน 14 ตุลา จะต้องได้รับการสานต่อ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเวลาประมาณ 9.30 น. ขณะที่พิธีกรดำเนินรายการ ได้มีหญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นญาติวีรชน และมาร่วมงานเป็นประจำทุกปี เกิดโทสะได้ถอดรองเท้าและเดินปรี่เข้าไปหานายอภิรักษ์ และนายอภิสิทธิ์ ที่นั่งอยู่ใกล้กัน พร้อมกับชี้หน้านายอภิรักษ์ ว่าไม่ยอมอำนวยความสะดวกในการใช้รถสุขาให้กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แต่กลับช่วยกลุ่มพันธมิตรฯ มากกว่า แต่สุดท้ายหญิงคนดังกล่าวได้ถูก รปภ.กันตัวออกไป โดยมีนางสุนีย์ ไชยรส มาคอยกันไว้

ผ่านมา 35 ปี กลับถูกฉุดให้ถอยกลัง
ด้าน นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ซึ่งไม่ได้ไปร่วมงานระบุว่าผู้จัดงานในปีนี้ เป็นผู้ที่ไม่ได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในเจตนารมณ์ของ 14 ตุลา อยู่แล้ว การไปร่วมงานกับผู้ที่มีความเห็นตรงกันข้ามกับเจตนารมณ์ของ 14 ตุลา นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์แล้ว ยังจะเป็นการสร้างความสับสนให้กับสังคม ทั้งนี้เหตุการณ์นี้ผ่านมาถึง 35 ปีแล้ว แต่พบว่าเจตนารมณ์ยังไม่ปรากฏขึ้นจริง เพราะบ้านเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตย และมีแนวโน้มที่จะถูกผลักดันให้ล้าหลังไปอีกมาก จนย้อนกลับไปก่อนปี พ.ศ.2475 เสียอีก

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า เมื่อเกิดการต่อสู้ในวันที่ 14 ต.ค.2516 คือการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เคลื่อนไหวให้เศรษฐกิจพัฒนามากขึ้น แต่ขณะนี้การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เผด็จการ มีแนวคิดตรงข้ามการเคลื่อนไหว 14 ต.ค.ชัดเจน เพราะมีแนวทางแบบอนาธิปไตยและคณาธิปไตย คือไม่มีความเคารพในกติกาทำให้บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป ทำให้รัฐบาลใดๆไม่สามารถบริหารประเทศได้ คนไม่กี่คนสามารถกำหนดความเป็นไปของบ้านเมือง ชี้นำให้คนในสังคมต้องทำตาม และมีการใช้กำลังและมีอาวุธเข้าล้มล้างรัฐบาล ขัดขวางการทำงานของรัฐบาล และรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง มีการสร้างเงื่อนไข ที่จะทำให้เกิดความรุนแรง และใช้สถานการณ์เป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหาร ล้มล้างรัฐธรรมนูญ

“จาตุรนต์”ปลุกต่านรัฐประหาร
นอกจากนี้การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯมีข้อเสนอการเมืองใหม่ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นแนวทางที่ล้าหลังอย่างยิ่ง ไม่เคารพเชื่อถือในระบอบประชาธิปไตย ไม่เคารพ ดูถูกประชาชน โดยเรื่องการเมืองใหม่ ไม่มีทางปรากฏขึ้นได้ ยกเว้นจะเกิดการรัฐประหารขึ้นก่อน เพราะฉะนั้นพันธมิตรฯจึงสร้างเงื่อนไข ที่จะให้เกิดความรุนแรง เพื่อนำไปสู่การรัฐประหาร แต่มีคนอ้างว่าเป็นกลาง แสดงความเห็นว่าถ้านองเลือด ต้องมีนายกฯคนกลาง ซึ่งหมายถึงรัฐบาลนี้ต้องออกไป และฉีกรัฐธรรมนูญ เป็นการเคลื่อนไหวอย่างล้าหลัง และคนในสังคมวิตกว่า วิกฤติที่เกิดจากการยึดทำเนียบฯ การบุกปิดรัฐสภา การจะไปล้มสถานที่ราชการ ล้วนเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิดความรุนแรง และเป็นวิกฤติที่ให้กลไกตามระบอบประชาธิปไตยทไงานไม่ได้

นายจาตุรนต์ ยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายออกมาต่อต้านการรัฐประหาร ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด เพราะจะทำให้ประเทศอ่อนแอ ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ถ้ารัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องแก้ไข เพราะฉะนั้นการตั้งส.ส.ร.3 ควนเดินหน้าต่อไป นอกจากนี้ต้องสร้างรัฐบาลและสภาให้เข้มแข็ง แต่ตตรวจสอบได้ และอำนาจตุลากร ควรเชื่อมโยงกับประชาชนให้มากขึ้น และตรวจสอบได้โดยประชาชน ลดบทบาทการของอำนาจตุลาการ เพราะตุลาการเข้ามาจัดการกับการเมืองมาก ทั้งที่ไม่ได้มาจากประชาชน แต่เข้ามาตัดสินฝ่ายบริหาร

“อดิศร”จวกคนเดือนตุลาลืมกำพืด
ด้านนายอดิศร เพียงเกษ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และอดีตนักศึกษาในยุคเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย ช่วงปี 2516-2519 กล่าวถึงคนเดือนตุลาว่า วันนี้ทำให้ตนได้ทราบความจริงว่าคนเดือนตุลาคมบางคนเป็นอย่างไร ถือว่าเข้ากับสุภาษิตที่ระบุว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ตอนนี้ชัดเจนแล้ว เพราะหลังจากเหตุการณ์ 19 กันยา ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญที่มาจากรัฐประหาร แต่กลับมีคนเดือนตุลาไปเห็นดีเห็นงามกับการปฏิวัติรัฐประหารซึ่งผิดจากอุดมการณ์เดิมที่ต่อสู้เพื่อรักษาประชาธิปไตย

นายอดิศร กล่าวว่า คนเดือนตุลาที่ไปรวมหัวกันต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นถือว่าน่าเกลียด และสมเพชเวทนามาก คนเหล่านี้อยากมีอำนาจอยากมีตำแหน่ง แต่ไม่อยากเลือกตั้ง ดังนั้นจึงไปแฝงตัวอยู่ในม็อบพันธมิตรฯ เพื่อทำให้ตัวเองมีราคาและมีอำนาจโดยอาศัยรัฐธรรมนูญทหารเป็นเกาะกำบังไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งที่ตนเองต้องการ

“ผมอยากบอกพี่น้องประชาชนว่าเหตุการณ์ในอดีตที่กล่าวถึงคนเดือนตุลานั้นมีเพียงวันเดียวคือ 14 ตุลา ส่วนวันอื่นๆ ถือว่าลอกเลียนแบบหมด ไม่ใช่ของแท้ เพราะคนเดือนตุลาของแท้ต้องสู้กับเผด็จการ คนเดือนตุลาไม่ยอมก้มหัวให้อำนาจทหาร ไม่เสียศักดิ์ศรีไปก้มหัวให้ทหาร ดังนั้นพวกที่ทำตัวเท่ห์ที่ชอบอ้างว่าเป็นคนเดือนตุลาจึงไม่ใช่ตัวจริง”

ทั้งนี้ ในอดีตคนเดือนตุลาต้องสู้กับเผด็จการโดยใช้มือปล่าวสู้กับทหาร ต่อมาประชาชนได้รับชัยชนะ จึงทำให้เกิดสัญลักษณ์ที่คนรุ่นหลังจดจำได้ดีคือประชาธิปไตย ซึ่งตนรู้สึกว่ายิ่งนานวันเท่าไหร่ก็ทำให้อุดมการณ์ของคนเดือนตุลาเปลี่ยนไป ดังนั้นตนจึงอยากฝากไปถึงคนเดือนตุลาที่ลืมกำพืดตนเองว่าขอให้ไปกราบวิญญาณวีรชนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 14 ตุลาด้วย

“หมอเหวง” อัดพวกทรยศวีรชน
นายแพทย์เหวง โตจิราการ อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ กล่าวว่า จิตวิญญาณที่แท้จริงของคนเดือนตุลาคือโค่นล้มเผด็จการ เชิดชูการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งคนเดือนตุลาได้ยึดถือปฏิบัติมาตลอด 35 ปี

อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะหลังกลับมีคนเดือนตุลาจำนวนหนึ่งทรยศหักหลังทำลายเจตจำนงค์เดิมของวีรชนคนกล้าที่ยอมตายเพื่อปกปักษ์รักษาประชาธิปไตย พวกเขาเหล่านี้ยอมตายเพื่อประเทศชาติ แต่อีก 35 ปีต่อมาปรากฏว่าคนเดือนตุลาทรยศหักหลังพวกเขาถือเป็นความเจ็บปวดและเป็นวิกฤติครั้งร้ายแรงสำหรับกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยในไทย

นายแพทย์เหวง กล่าวด้วยว่า ตอนนี้มีพวกที่ชอบโฆษณาโอ้อวดตัวเองว่าเป็นคนเดือนตุลา โดยสร้างภาพตนเองว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่กลับไปยืนอยู่ในม็อบพันธมิตรฯ ที่ประกาศล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยด้วยการสร้างการเมืองใหม่ที่ สส.มาจากการแต่งตั้ง ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่น่าประณามและเหยียดหยามอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับเป็นการทำลายอุดมการณ์ดั้งเดิมและบิดเบือนเจตนารมย์ของวีรชนอย่างน่าละอาย

“ผมขอเตือนคนเดือนตุลาบางคนว่าอย่าเหยียบซากศพวีรชนเพื่อไปสนองตัณหาตัวเอง เพียงเพราะอยากมีชื่อเสียง หรือเพียงเพื่ออยากมีอำนาจอยากมีราคาจึงไปร่วมเวทีพันธมิตรฯ วันนี้พวกคุณกลับเนื้อกลับตัวมายืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยยังทัน ประชาชนคงจะให้อภัย”

อย่าเอา7ตุลาเทียบประวัติศาสตร์
ด้านนายสันติสุข โสภณศิริ กรรมการจัดงานฝ่ายพิธีกรรมและผู้ร่วมเหตุการณ์ 14 ตุลาคม กล่าวภายหลังพิธีรำลึก 14 ตุลาว่า บรรยากาศเป็นเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา เท่าที่ทราบหรือได้รับจดหมายเชิญงาน 14 ตุลาคือชัยชนะร่วมกันของผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ปกติจะเชิญนายกรัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายรัฐบาลที่มาจาการการเลือกตั้ง ผู้นำฝ่ายค้าน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ญาติของเหล่าวีรชน และประชาชนทั่วไป

แม้ครั้งนี้นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีจะไม่ได้เดินทางมาร่วมพิธี แต่มีตัวแทนมา รองประธานสภาคนที่ 1 ผู้นำฝ่ายค้าน และส.ส.อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็ถือว่าบรรลุเป้าหมาย ผู้คนมากันครบถ้วนและหนาแน่นพอสมควร

นายสันติสุขกล่าวต่อไปว่า นับมาถึงวันนี้ 35 ปีแล้วจากเหตุการณ์ 14 ตุลา บ้านเมืองยังเป็นอยู่ในแง่บรรยากาศที่ไม่แย่ไปจากเดิมก่อนช่วงวันที่ 14 ตุลาคม 2516 โดยตอนนั้นเหล่าประชาชนขยับอะไรไม่ได้เลย ทหารที่เข้ามาดูแลบ้านเมืองช่วงนั้นต้องบอกว่าเป็นทรราช เพราะถ้าไม่ใช่ทรราช ประชาชนก็คงไม่ลุกฮือขึ้นมาเช่นนี้

หากเทียบกับเหตุการณ์ของบ้านเมืองตอนนี้ ในแง่ของปริมาณการเคลื่อนตัวบนท้องถนนถือว่ายิ่งใหญ่สุดๆ เนื่องจากต้องการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ และขณะนั้นก็ยังไม่มีรัฐธรรมนูญด้วย เทียบไม่ได้กับเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมาเลย

คนตุลาต้องอยู่ข้างปชต.-ไม่ขายตัว

กรณีสังคมเริ่มวิพากษ์วิจารณ์คนเดือนตุลาว่าเป็นตุลาเทียม มีบางคนที่เคยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย กลับเปลี่ยนไปยืนอยู่ข้างเผด็จการในวันนี้นั้น นายสันติสุข กล่าวว่าตนเคารพทุกฝ่าย เมื่อก่อนทุกคนต่อต้านเผด็จการทหารซึ่งเป็นทรราช แต่ยุคปัจจุบันคนเดือนตุลาแยกออกเป็น 2 พวก คือคนที่เป็นเดือนตุลาแท้ๆ และยังยึดมั่นยืนยันรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าอย่างไรก็จะเลือกยืนอยู่ข้างรัฐบาลที่มาด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่พบว่ามีคนเดือนตุลากลุ่มหนึ่งปกป้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เมื่อครั้งปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าอาจจะมีการได้รับตำแหน่งหรือของกำนัลอะไรก็แล้วแต่เป็นการตอบแทน แต่ตนเองยังคงเป็นคนเดือนตุลาที่ไม่ขายตัว และไม่ถูกซื้อโดยคมช.

ต้องการฝากไปถึงยังคนเดืนอตุลาว่า ไม่ควรให้ทหารเข้ามามีอำนาจอีก แต่สนับสนุนโครงสร้างของระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชน และได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง 100% แม้ไม่ใช่เงื่อนไขสำคัญของความเป็นประชาธิปไตย แต่ก็ไม่มีประเทศไหนที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้วไม่มีการเลือกตั้งรัฐบาล 100%