WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, November 21, 2008

โฆษกฯ เผยนายกฯ มอบหมายทำความเข้าใจประชาชน


ดอนเมือง 21 พ.ย.- “ณัฐวุฒิ” แจงนายกฯ มอบหมายให้ติดตามสถานการณ์และทำความเข้าใจกับประชาชน ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหากเกิดเหตุรุนแรง ย้ำ 24 พ.ย.แค่พิจารณาร่างบันทึกความตกลงเพื่อใช้ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่เชียงใหม่ ไม่มีญัตติแก้ไข รธน.มาตรา 291

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ประเทศเปรู จึงมอบหมายให้ตนติดตามสถานการณ์การเมืองที่ประเทศไทย เนื่องจากสถานการณ์การเมืองในช่วง 2-3 วันนี้ มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่าง ๆ เพื่ออธิบายให้กับประชาชนได้รับทราบ และติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง หากสถานการณ์บานปลาย นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล และนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนตามลำดับ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลเคารพการเคลื่อนไหวของทุกกลุ่ม หากทำภายใต้กฎหมาย ซึ่งในวันที่ 24 พฤศจิกายน ไม่มีญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 แต่อย่างใด แต่จะพิจารณาร่างบันทึกความตกลง และร่างความเข้าใจต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่จะนำไปใช้ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน หากมีการปิดล้อมทำให้สมาชิกรัฐสภาไม่สามารถประชุมได้ จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยและความน่าเชื่อถือ รวมถึงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ จ.เชียงใหม่ ในกลางเดือนธันวาคม. - สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-11-21 18:43:03


ผวาบึ้ม!ม็อบอยู่ไม่ติดทำเนียบ หาเหตุรวมพลใหญ่ไล่รัฐบาล

บึ้ม! ลึกลับอีกข้างเวทีพันธมิตรฯ ส่งผลตาย 1 ราย สังเวยทำเนียบรัฐบาล เชื่อเป็นระเบิดเอ็ม-79 ถูกยิงมาจากด้านนอก ทั้งม็อบ-ฝ่ายค้าน-40 ส.ว. สบช่องหาเหตุเล่นงานรัฐบาล ขณะที่ พธม.ชั่วหากินกับคนตายตามฟอร์ม จ้องซัดทั้งตำรวจ-ทหาร ขณะที่แกนนำอยู่ไม่ติดเตรียมเรียกระดมพลอ้างชุมนุมใหญ่อีกแล้ว กังขา!สร้างสถานการณ์ เพราะเกิดเหตุรุนแรงทุกครั้งก่อนวันระดมคน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลาประมาณ 03.30 น. วันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 ได้เกิดเหตุระเบิดใกล้เวทีปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ภายในทำเนียบรัฐบาล ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บเบื้องต้น 12 รายเสียชีวิต 1 คน ทราบชื่อคือ นายเจนจิต กลัดสาคร อายุ 48 ปี ซึ่งโดนสะเก็ดระเบิดที่บริเวณลำคอ และมีผู้บาดเจ็บสาหัส 1 คนคือนายยุทธชัย ลือพักตร์ โดนสะเก็ดระเบิดฝังในที่บริเวณลำคอ ต้องผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิต โดยคาดว่าเป็นระเบิดชนิด เอ็ม 79 ที่ถูกยิงมาตกห่างจากเวทีประมาณ 15 เมตร

จากเหตุระเบิดดังกล่าวทำให้เข้าทางของกลุ่มพันธมิตรฯ และแนวร่วมอย่างประชาธิปัตย์ กลุ่ม 40 ส.ว. ที่พยายามโบ้ยให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบ จนมีการตั้งข้อสังเกตกันว่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์เองเหมือนอย่างที่ผ่านๆมา เพื่อโยนขี้ให้รัฐบาล และปลุกระดมคนให้ร่วมการชุมนุมในวันที่ 23 พ.ย.นี้หรือไม่
"โกวิท"สั่งตำรวจดูแลเต็มที่

พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีเหตุระเบิดว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เข้าไปดูแลเรื่องนี้อย่างเต็มที่ โดยในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ยังไม่ได้มีการสั่งการอะไรเพิ่มเติม

ขณะที่ในเวลา 10.00 น. วันเดียวกัน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. ได้เรียกประชุมตำรวจที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีเกิดเหตุระเบิด โดย พล.ต.อ.จงรัก ปฏิเสธการเชิญ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก มาสอบสวน เพราะต้องสอบสวนผู้บาดเจ็บตามโรงพยาบาลต่างๆ ว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร หารายละเอียดให้มากที่สุดการจะเชิญใครมาสอบสวนต้องมีพยานหลักฐานพอสมควรก่อน แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รายละเอียดในส่วนนี้เลย

"ด้านการป้องกันตำรวจทำงานเต็มที่ ทุกวันนี้ก็ไม่ได้หลับได้นอน ตำรวจอยู่กับม็อบมานานก็ป้องกันทุกอย่าง เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงอยู่แล้ว" พล.ต.อ.จงรัก กล่าว
กองทัพรับบึ้ม!พธม.ระวังยาก

ขณะที่ พล.อ.อภิชาติ เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง เหตุระเบิดดังกล่าว ว่า ตนได้สั่งการให้ตรวจสอบเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัดว่าเป็นระเบิดชนิดใด ทั้งนี้ยอมรับว่า มีความเป็นห่วงสถานการณ์ ซึ่งยืนยันว่า ในส่วนของกองทัพไม่ได้ละเลย โดยมีการตรวจสอบทางด้านการข่าว รวมไปถึง เตรียมมาตรการในการดูแลในเรื่องนี้ แต่เห็นว่า สถานการณ์ปัจจุบันจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดูแลสถานการณ์ก่อน

ขณะเดียวกัน พล.อ.อภิชาติ กล่าวถึงความเหมาะสมในการประกาศพื้นที่ฉุกเฉิน หลังจากมีการลอบยิงระเบิดในพื้นที่การชุมนุมหลายครั้ง และล่าสุดมีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บจำนวนมากนั้น ระบุว่า การประกาศขึ้นอยู่กับการพิจารณาของรัฐบาล ส่วนตัวไม่ขอแสดงความคิดเห็น

"เสธ.แดง"ลั่นไม่เกี่ยวบึ้ม
ขณะเดียวกัน พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง กล่าวว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่คาดว่าผู้ก่อเหตุเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย และหลังจากนี้อาจเกิดเหตุลักษณะเดียวกันนี้อีก แต่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลากลางวัน

พล.ต.ขัตติยะ กล่าวถึงการตรวจสอบเหตุที่เกิดขึ้นว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่มีกฎหมาย เพราะเป็นเหมือนรัฐอิสระ ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่สามารถดำเนินการได้

ด้าน พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รอง ผอ.รมน.) กล่าวยืนยันว่าตน ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นใกล้เวทีพันธมิตรฯ ภายในทำเนียบรัฐบาล แม้หลายฝ่ายอาจตั้งข้อสงสัย เนื่องจากตนได้มีโอกาสไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนก่อเหตุ แต่หากต้องการให้ตนดำเนินการกับพันธมิตรฯ ตนก็เลือกใช้สันติวิธี จะไม่ใช้ความรุนแรงเด็ดขาด พร้อมทั้งไม่ขอประเมินว่าหลังจากนี้พันธมิตรฯ จะเจอกับเหตุการณ์อะไร เพราะกลัวว่าจะเป็นการสร้างบาป

อย่างไรก็ตาม อดีตรอง ผอ.กอ.รมน. ยังกล่าวยอมรับว่า สาเหตุที่ถอนตัวจากพันธมิตรฯ เพราะไม่พอใจที่ถูกตั้งให้เป็นเพียงที่ปรึกษา ตามที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวอ้างนั้น มีส่วนจริงอยู่บ้างแต่ไม่ทั้งหมด เพราะยังมีสาเหตุด้านอื่นประกอบกันด้วย

สันนิษฐานยิงระเบิดจาก ก.พ.
ด้าน พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ ผบก.น.1 พร้อมตำรวจที่เกี่ยวข้องนำเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิดของ บช.น.เข้าตรวจสอบบริเวณจุดเกิดเหตุระเบิดภายในทำเนียบรัฐบาล โดยมี พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ เป็นผู้พาดูที่เกิดเหตุ ทำการเก็บสะเก็ดระเบิดที่ตกอยู่โดยรอบ และตัดหลังคาเต็นท์ผ้าใบที่เป็นรูไปตรวจสอบ โดยใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 30 นาที

พล.ต.ต.อนันต์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบสะเก็ดระเบิดที่อยู่โดยรอบ และร่องรอยที่เต็นท์ ซึ่งได้ให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานตัดหลังคาเต็นท์ตรงจุดที่เป็นรูออกไปตรวจสอบแล้ว ทั้งนี้ จาการสอบถามเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้ทราบว่าต้องรอตรวจคราบเขม่าที่ติดอยู่ที่เต็นท์ คราบเขม่าที่ศพผู้ตาย และสะเก็ดระเบิดทั้ง 3 อย่างก่อนจึงจะวิเคราะห์ได้ว่าเป็นระเบิดชนิดใด

จากการตรวจสอบเบื้องต้นสันนิษฐานว่าวิถีการยิงน่าจะยิงมาจากทิศเหนือ ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ว่าอาจจะยิงมาจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ. ทั้งนี้ เป็นเพียงงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ต้องรอการตรวจพิสูจน์ที่ชัดเจนอีกครั้งก่อน

ยืนยันตร-ทหารไม่เกี่ยว
ขณะที่พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่แกนนำพันธมิตรมากล่าวอ้างว่าการยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าไปในบริเวณเวทีของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นฝีมือตำรวจทหารว่า ขอยืนยันตำรวจทหารไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง รู้เห็นเป็นใจ หรือสนับสนุนการก่อเหตุความรุนแรง เพราะตลอดการชุมนุมที่ผ่านมาตำรวจทหารทำหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยมานาน พยายามดูแลประคับประคองไม่ให้สถานการณ์บานปลาย เชื่องว่าเป็นการกระทำของกลุ่มที่หวังผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งหน่วยข่าวกำลังตรวจสอบข้อมูลแต่เปิดเผยรายละเอียดไม่ได้ ต้องรอการรวบรวมพยานหลักฐาน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ บช.น.มีคำสั่งให้ตั้งจุดตรวจจุดสกัดในพื้นที่จุดที่มีการชุมนุม เนื่องจากพื้นที่ข้างเคียงบริเวณกว้างจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มในการตรวจสอบต่อไป สำหรับการนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 23 พ.ย.ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.วางมาตรการดูแลความปลอดภัยให้ดีที่สุด ซึ่งขณะนี้ กลุ่ม นปช.ไม่ได้มีการเคลื่อนไหว ทำให้ไม่ยุ่งยากในการควบคุม ซึ่ง ผบ.ตร.ได้กำชับให้ บช.น. และปริมณฑล ให้มีการตรวจสอบเพิ่มเติมของผู้ที่เข้ามาในพื้นที่ชุมนุม ไม่ให้มีการพกพาอาวุธเข้ามา

เสธ.แดงย้อนพธม.มั่วข้อมูล
ต่อมาในช่วงเย็นวันที่ 20 พฤศจิกายนแกนนำพันธมิตรฯ ได้อ้างบนเวทีอีกครั้งว่าข่าวกรองทหารบก แจ้งว่า ก่อนหน้าเกิดเหตุระเบิดในทำเนียบรัฐบาลในช่วงประมาณ 03.00 น. ช่วงเช้ามืดของวันที่ 20 พฤศจิกายน ชุดปฏิบัติการของ เสธ.แดง ได้นัดประชุมวางแผนพร้อมกับชายฉกรรจ์ตัดผมเกรียนกว่า 10 นาย ที่ร้านกาแฟชื่อดังในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า

โดยมอบหมายให้ “จ่าหลิม” หรือ “จ่าหลิว” เป็นหัวหน้าชุดยิงระเบิด M-79 และมีชุดก่อกวนด้วยวัตถุระเบิด นำโดย “จ่าเทพ” ทหารนอกราชการ นั้น

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้ออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้งในกรณีดังกล่าว ว่าไม่รู้สึกตกใจ หรือ ตื่นเต้นกับข้อมูลที่ทางกลุ่มพันธมิตรฯ เปิดเผย ซึ่งทั้ง “จ่าหลิม” และ “จ่าเทพ” คือลูกน้องของตนที่ทำงานร่วมกับตนเป็นคนขับรถให้ ทั้งคูไม่ได้มีพิดมีภัยอะไร

“จ่าหลิม เป็นนักดื่มเหล้า มีอาการเมาทั้งวันทั้งคืน และอายุมากแล้วตอนนี้ก็นับวันที่จะเกษียณอายุราชการจะเอาแรงที่ไหนไปถืออาวุธสงครามมายิง ส่วนจ่าเทพ ก็ได้ลาออกจากราชการไปแล้ว จ่าเทพ มีน้ำหนักเป็น 100 กิโลกรัม เดินเหินก็ค่อนข้างลำบาก ดังนั้นข้อมูลที่กลุ่มพันธมิตรฯเปิดเผยล้วนแต่มั่วสิ้นดี” พล.ต.ขัตติยะ กล่าว

พธม.รวมพลครั้งสุดท้ายไล่รัฐบาล
ขณะเดียวกันพันธมิตร ได้ออกมาประกาศรวมพลใหญ่ขับไล่รัฐบาล ในวันที่ 23 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ เวลา 14.00 น. ที่หน้ารัฐสภา หากรัฐบาลปล่อยให้มีการเดินหน้าพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ต่อไป

โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศรวมพลเคลื่อนไหวใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลอีกครั้งในเวลา 14.00 น. วันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ หลังจากล่าสุดมีคนร้ายลอบขว้างระเบิดสังหารใส่กลุ่มผู้ชุมนุมฯ กลางดึกเมื่อคืนนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย บาดเจ็บ 23 ราย ซึ่งในจำนวนนี้สาหัส 2 ราย ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯ เชื่อว่าเป็นฝีมือของคนในรัฐบาล

แถลงการณ์ฉบับที่ 24 ของกลุ่มพันธมิตรฯ ระบุว่า จะเรียกระดมมวลชนครั้งใหญ่ เพื่อเผด็จศึกหยุดยั้งอำนาจรัฐบาลทรราชฆาตกรหุ่นเชิดและหยุดสภาทาสระบอบทักษิณ เนื่องจากมีการใช้อาวุธสงครามประเภทระเบิดเข่นฆ่าผู้มาชุมนุมร่วมกับพันธมิตรฯ ..



สันดานโกง


คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ

เวรกรรมมีจริง...สื่อใดทำความเลวระยำฉิบหายกับประเทศชาติ สื่อนั้นมีอันวิบัติ ไม่ต้องรอไปชาติหน้าตอนบ่ายๆ แต่เห็นผลในชาตินี้...นั่นแหละ

เหตุการณ์การล่มสลายของสื่อในเครือพันธมาร จากคำสั่งศาลในการให้เป็นบริษัทที่ต้องคดีความ “ล้มละลาย” พนักงาน เจ้าหน้าที่ มีอันต้องอพยพลี้ภัยไปอยู่บริษัทอื่น นับ 1 เริ่มต้นใหม่

ที่จริงหลายๆ คนพอจะทราบจนแทบจะไม่ต้องเท้าความเดิม เกี่ยวกับการทำธุรกิจของสื่อในเครือพันธมาร ที่มีนิสัยตบทรัพย์ถาวร ไม่พอใจใครก็ด่า ใครไม่ให้ผลประโยชน์ตามที่ตนต้องการจะโดนด่า หากใครสยบยอมจะกลายเป็นเทวดาสำหรับสื่อม็อบโกเต๊กซ์ ทันที

การข่มขู่กรรโชกทรัพย์ จึงทำให้ดูเป็นนิสัยถาวรของสื่อในเครือพันธมาร และมีนักการเมืองหลายพรรค หลายคน ไปตก “หลุมดำ” ดังว่า โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ หรือเพราะความสงสารเห็นใจ เพราะคนพวกนี้จะออเซาะเก่ง

การกู้เงินจากสถาบันการเงินจำนวนมากมายมหาศาล โดยใช้ที่ดินแปลงเดียวค้ำประกันเงินกู้ 7-8 ครั้ง เป็นเรื่องที่พิลึกพิลั่นที่สุดแล้วในสยามประเทศแห่งนี้ คงจะมีเพียงสื่อในเครือพันธมารเท่านั้นแหละที่ทำได้ ส่งผลให้สถาบันการเงินซวนเซ ล้มละลาย

กู้เงินไปแล้วแทนที่จะเอาไปลงทุน ทำให้ผลกำไรงอกเงย กลับเอาไป “ไซฟ่อน” ออกนอกประเทศ โดยใช้วิธีการไปฟอกเงินในต่างประเทศ เข้าบัญชีส่วนตัว แล้วสถาบันการเงินต้องเจ๊ง ต้องฉิบหาย แล้วสุดท้าย มาเอาภาษีประชาชนไปชดใช้หนี้โดยที่พวกเราไม่ได้ก่อเอาไว้

ส่วนไอ้พวกนักธุรกิจจอมปลิ้นปล้อน ร่ำรวย อู้ฟู่ มีรถชั้นดีนั่ง มีแฟนสาวสวยเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาผลัดมาให้เชยชม บ้างก็เป็นดารา บ้างก็เป็นนักศึกษา ทำตัวไม่ต่างอะไรกับวัวแก่กินหญ้าอ่อนนั่นเอง คนคนนี้พร้อมเสพสมในราคาเลข 7 หลักต่อครั้ง เพราะรวยเป็นพันๆ ล้าน

แต่...มันก็สุดขี้ตืดเป็นตังเม เพราะสันดานโกงมาแต่กำเนิด

ก่อนเสพสมบอกราคาหนึ่ง หลังเสพสมไม่พอใจจะจ่ายเป็นเช็คมาให้...แต่เด้ง!!! แล้วให้ไปเอาใหม่กับบริษัทสื่อในวงศ์วานว่านเครือ หน้าเช็คเขียนเพียง 1 ใน 4 ของที่ตกลงกันไว้ บรรดาสาวๆ ต้องยอม ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้อะไรกลับไป นอกจากความขยะแขยงในเกมกามของ “ศาสดาโกเต๊กซ์”

ถึงบอกว่าเป็น กมลสันดาน เรื่องข้อตกลงลูกผู้ชายกับผู้หญิงแท้ๆ แค่นี้มันยังโกง...มิน่าจึงนิยมชมชอบเล่นของสกปรก โกเต๊กซ์เปื้อนประจำเดือน!!!

ลักษณะเดียวกัน...บริษัทบางแห่งในเครือจะฉิบหายป่นปี้ช่างมัน เพราะไม่ได้ลงทุนอะไรเอาไว้ มีการแยกธุรกิจออกไป
อันไหนมีมูลค่าเพิ่ม แท่นพิมพ์ ออฟฟิศ สำนักงาน ยักย้ายถ่ายเทไปอีกบริษัท
อันไหนไม่มีมูลค่าเพิ่ม ทำให้เป็นหนี้ ทำให้บริษัทมันเจ๊งๆ ไป แล้วเอาภาษีประชาชนไปจ่ายให้พวกมันแทน

หลังการ “ไซฟ่อน” เงินจำนวนมหาศาลแล้ว เขายอมที่จะเป็น “บุคคลล้มละลาย” เขาลงทุนเพื่อที่จะ พังบ้าน พังเมือง ที่เป็นของประชาชน 63 ล้านคน เพียงสนองความต้องการของตนเองที่จะช่วยเพื่อนคนหนึ่งที่ถูกตรวจสอบข้อหาทุจริตคดโกง ใน การอนุมัติธุรกรรมในสถาบันการเงิน

มาวันนี้จึงไม่แปลกที่มีคำสั่งให้บริษัทสื่อในเครือพันธมารต้องฉิบหายไป เพราะมันสร้างความฉิบหาย...ให้กับประชาชนคนทั้งชาติเอาไว้...แต่สันดานโกงของคนพวกนี้ยังจะไปสร้างความฉิบหาย...ต่อไป มีการตระเตรียมการเรื่องนี้เอาไว้พอสมควร มีการยักย้ายถ่ายเทคนไปสู่สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ ที่พิลึกพิลั่น อ้างตัวเป็นโทรทัศน์ของประชาชน เอาเงินรายได้จากพี่น้องประชาชน แต่เอนเอียงเข้าข้างคนทำลายบ้านทำลายเมือง พนักงานที่ย้ายมานั้นรับเงินที่สถานีแห่งนี้ แต่ไปทำงานที่ม็อบโกเต๊กซ์แล้ว คนในบริษัทที่ล้มละลาย เข้าไปอยู่ในบริษัทนั้นแทน เลวไหมล่ะ พ่อแม่พี่น้อง...


อีกครั้งหนึ่งของตุลาการภิวัตน์

คอลัมน์ : ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

“...ความเป็นองค์กรอิสระของศาลจึงมิได้หมายความเพียงศาลจะกระทำอะไรก็ได้ตามแต่ที่ศาลจะคิดเอาเอง หรือเป็นอย่างอัตวิสัย หากความอิสระนั้นหมายถึงการที่ต้องใช้ดุลพินิจพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมายได้อย่างอิสระ ตามความคิดเห็นที่มั่นใจได้ว่าคือความยุติธรรมภายใต้กฎหมาย...”

ในที่สุด ประเทศไทยก็ได้หวนกลับไปสู่บรรยากาศแบบเดิมๆ ที่เคยเป็นเมื่อปี 2549 กล่าวคือ เป็นบรรยากาศที่ทุกคนต้องรอผลการดำเนินการของ “ตุลาการภิวัตน์”

เป็นบรรยากาศที่ได้เห็นศาลพิพากษาลงโทษทางอาญากับกรรมการการเลือกตั้ง เป็นบรรยากาศของการเพิกถอนการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ และที่สุดคือ การยุบพรรคการเมืองที่เป็นพรรครัฐบาล

คราวนั้นดูเสมือนว่าหากใช้กลไก “ตุลาการภิวัตน์” แล้วจะทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ความสงบเรียบร้อย และสามารถจะเดินหน้าต่อไปได้

แต่ทว่าคราวนั้น สถาบันตุลาการต้องกระทบกระเทือนอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง เพราะดูเสมือนว่าสถาบันตุลาการได้ถูกกับดักในเชิงการเมือง ประชาชนแยกไม่ออกระหว่างสภาวะการเป็นอำนาจที่เข้าไปตรวจสอบฝ่ายบริหารในรัฐบาล กับการกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ในทางการเมือง

ในห้วงเวลานั้น ความขัดแย้งทางการเมืองที่ฝ่ายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และแนวร่วมในปีกที่ต่อต้านรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ดำเนินการชักนำและผลักดันให้เกิดวิธีคิดว่า ทุกๆ อำนาจจะต้องเข้ามาร่วมกันทัดทานและต่อต้านระบอบทักษิณ เพราะระบอบนี้ได้ซื้อและยึดครองกลไกต่างๆ ไว้หมดสิ้น

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความหวั่นไหวไปกับอิทธิพลทางการเมืองและกระแสสังคมได้บังเกิดขึ้นไม่เว้นแม้แต่สถาบันตุลาการ ซึ่งเมื่อพิจารณาความเป็นจริงแล้ว ก็นับว่าเป็นจริงที่ต้องยอมรับ เพราะเมื่อกระบวนการยุติธรรมจำเป็นต้องเข้ามาเล่นบทบาทใหม่ที่เกี่ยวข้องอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งดูเหมือนว่าสิ่งที่กล่าวมานี้มิได้เป็นความคุ้นชินของกระบวนการยุติธรรม หรือเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีประสบการณ์มาก่อนเลย

เสียงวิพากษ์วิจารณ์จึงเกิดขึ้นว่า สถาบันตุลาการที่ไม่เชี่ยวชาญในประสบการณ์ของการเข้าไปสะสางปัญหาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ดูเสมือนว่าจะมิได้คำนึงถึงอำนาจขององค์กรอิสระ และอำนาจสิทธิทางการเลือกตั้งและการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน

ด้วยวิธีคิดที่มิได้คำนึงถึงสองส่วนดังกล่าวแล้ว จึงเกิดคำถามว่า การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ว่า การจัดการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และได้มีการเพิกถอนการเลือกตั้ง แล้วให้องค์กรที่เกี่ยวข้องยกเลิกและแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาเพื่อจัดการเลือกตั้งขึ้นมาใหม่นั้น กระบวนการตุลาการภิวัตน์ได้สั่งการที่หมิ่นเหม่หรือไม่ในการก้าวล่วงอำนาจนิติบัญญัติ และเท่ากับศาลรัฐธรรมนูญได้ออกกฎหมายเสียเอง ในการสั่งยกเลิกและให้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดการเลือกตั้ง คำถามมีถึงขนาด อำนาจตุลาการได้เข้าไปยึดอำนาจนิติบัญญัติที่มีรากฐานรองรับจากตัวแทนของประชาชนหรือไม่ ซึ่งคำถามเหล่านี้ยังคงดำรงอยู่และยังคงค้างอยู่ในใจของประชาชนจำนวนไม่น้อย

และนั่นคือบรรยากาศที่เกิดขึ้นในห้วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และในวันนี้บรรยากาศดังกล่าวก็ได้หวนกลับคืนมาอีกครั้ง เพราะดูเหมือนว่าสถานการณ์ในวันนี้ก็ดูไม่แตกต่างจากวันนั้น และแท้จริงแล้วความรุนแรงกลับมีมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ หลายฝ่ายจึงมีการเรียกร้องให้กระบวนการตุลาการภิวัตน์ได้เข้ามาทำหน้าที่ “อัศวินขี่ม้าขาว” อีกครั้ง โดยความคาดหวังว่า หากกระบวนการนี้ได้ขับเคลื่อนเดินหน้าแล้ว ปัญหาทุกอย่าง สถานการณ์ที่เลวร้ายมานาน จะยุติและสงบลง และทำให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ความเรียบร้อย และสามารถเดินหน้าต่อไปดังเดิม

ความคิดดังกล่าวฟังดูง่าย แต่คำถามก็คือ ที่ว่าง่ายนั้นง่ายจริงหรือไม่ เพราะจากเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าภาคประชาชนเองได้เรียนรู้อะไรมากมาย ซึ่งกระบวนการตุลาการภิวัตน์คงจะเข้าใจและตระหนักดีว่า การใช้วิธีตุลาการภิวัตน์ในคราวนี้ จะต้องมีความรอบคอบเที่ยงธรรมและรัดกุมอย่างยิ่งยวด เพราะคราวนี้การจะเข้าไปคลี่คลายวิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองยิ่งจะมีนัยสำคัญ ที่ไม่ได้อยู่เพียงว่าจะเข้าไปสวมบทบาทในฐานะอัศวินม้าขาวเท่านั้น หากในคราวนี้บทบาทของตุลาการภิวัตน์จะต้องถูกจับจ้อง และเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดจริงจังจากประชาชนผู้เห็นว่าตนคือผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย

ดังนั้น ในคราวนี้ความเป็นองค์กรอิสระของศาลจึงมิได้หมายความเพียงศาลจะกระทำอะไรก็ได้ตามแต่ที่ศาลจะคิดเอาเอง หรือเป็นอย่างอัตวิสัย หากความอิสระนั้นหมายถึงการที่ต้องใช้ดุลพินิจพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมายได้อย่างอิสระ ตามความคิดเห็นที่มั่นใจได้ว่าคือความยุติธรรมภายใต้กฎหมาย



ยุวประชาธิปัตย์....“กล้านรงค์ จันทิก” ต้องโดนนนน!!!


คอลัมน์ : ประชาทรรศน์วิชาการ

โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


สั่งซื้อหนังสือของ “วาทตะวัน” ไม่ว่าจะเป็น “นินทาประชาธิปัตย์ (ฝ่ายค้าน-ดักดาน หรือ “เหี้ยส่องกระจก” และเล่มอื่นๆ ได้ที่ www.vattavan.com

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมได้เขียนบทความชื่อ “ประชาธิปไตย-ลิปสติก”
(‘แดมโมแครต’ หรือ ‘แดมโนแครต’) วิพากษ์วิจารณ์คนสำคัญในพรรคประชาธิปัตย์ คือ นาย อภิรักษ์ โกษะโยธิน ซึ่งมีกรณีทุจริตรถและเรือดับเพลิง และ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดไปแล้ว จนในที่สุดนักการตลาดที่เข้ามาเป็นผู้ว่าฯ กทม. ต้องมีอันพ้นตำแหน่งไปด้วยการ ลาออก!

นอกจากนายอภิรักษ์แล้ว ผมยังได้เขียนวิจารณ์บทบาทของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ลูกพรรคพยายามยกย่องเทียบ นายบารัค โอบามา ทำให้ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองหัวร่อกันด้วยความขบขัน

การที่ลูกพรรค ปชป. อย่าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เล่นบทจำอวดแบบ
“ไอ้เท่ง-ไอ้ทอง” ยกย่องหัวหน้าของตนเองเทียบชั้นนายโอบามานั้น ไม่ใช่รายแรก

แต่เป็นรายที่สอง ต่อจาก “บักยะใส” ที่แอบอ้างอย่างเดียวกัน แต่ไอ้หมอนั่นมันไม่มีราคาค่างวดอะไร เพราะร่วมอยู่ในแก๊งพันธมาร เก็บเบี้ยป่วนเมืองไปวันๆ หาสาระไม่ได้

ตัวบักยะใสเอง ก็ไม่เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง บางคราวไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งด้วยซ้ำไป ซึ่งต่างจากนายอภิสิทธิ์ที่ลงเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แต่กลับไม่ศรัทธาใน “เสียงข้างมาก” และแสดงบทบาทที่เห็นแล้วขัดหูขัดตานัก เช่น

ปล่อยให้ลูกพรรคที่เป็นทั้ง ส.ส. และพวกสอบตกทั้งหลาย แห่กันเข้าไปร่วมขบวนการป่วนเมือง และแสดงอาการไม่สนับสนุนระบอบที่ถูกต้อง โดยไม่ยอมเข้าประชุมสภา กลับปล่อยให้สมาชิกพรรคเดียวกันยกพลปฏิบัติการเข้ายึดอาคารรัฐสภา ซึ่งเป็นเขตพระราชฐาน โดยมีพวก ส.ส. ของพรรคตัวเอง ไม่ยอมเข้าประชุมสภาตามหน้าที่ กลับออกไปยืนหน้ารัฐสภา แสดงอาการเหมือนจะหนุนพวกแก๊งป่วนเมือง เห็นแล้ว ต้องบอกว่า...ทุเรศ (ว่ะ)!

โชคดีของบ้านเมือง ที่รัฐบาลไทยไม่ถึงคราวฉิบหายป่นปี้เหมือนทำเนียบรัฐบาล เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจป้องกันรัฐสภาเอาไว้ได้สำเร็จ แถมไอ้ตัวที่นำระเบิดมาหวังจะถล่มเมือง กลับโดนระเบิดตัวเอง เพราะเมียดันโทรเข้าไปในมือถือพอดิบพอดี เลยจุดชนวน “ฆ่าผัวตัวเอง”...ในฉับพลันทันที!

หลังจากที่ข้อเขียนของผม ชื่อ “ประชาธิปไตย-ลิปสติก” ลงตีพิมพ์เรียบร้อยแล้ว ก็มีคนโทรมาคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน โดยเฉพาะแฟนๆ ที่แห่กันเข้ามาจองหนังสือ “นินทา-ประชาธิปัตย์ (ฝ่ายค้าน-ดักดาน)” ซึ่งทุกท่านคงจะได้อ่านกันเต็มอิ่ม เพราะมีความหนามากกว่าทุกเล่มที่เขียนมา

เมื่อท่านอ่านหนังสือสำคัญเล่มนี้จบลง ผู้เขียนเชื่อว่า ใครก็ตามที่คิดจะลงคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์ อาจถึงคราวต้องเปลี่ยนใจ เพราะคนเขียนหนังสือเล่มนี้ มุ่งที่จะขุดสันดอนแห่งสันดานของพรรคการเมืองนี้ออกมาตีแผ่ให้ผู้คนเห็นกันจะๆ ความจริงหนึ่งที่จะปรากฏขึ้นมาสู่สาธารณชนนั้น คือ พรรคเก่าแก่นี้มีปัญหาอย่างใหญ่หลวงในเรื่อง “สปิริต”

กรณีของนายอภิรักษ์นั้น ผู้คนจำนวนมากยังพูดกันถึงเรื่องความรับผิดชอบของประชาธิปัตย์ว่าจะรับผิดชอบกับสังคมอย่างไร เพราะเป็นตัวการที่ทำให้รัฐต้องเสียเงินเพื่อการเลือกตั้งใหม่อีก 200 ล้านบาท (โดยประมาณ) รวมทั้งค่ารถค่าเรือของคนกรุงเทพ กับเวลาที่ชาวกรุง ต้องเสียกับการออกไปลงคะแนนอีกครั้ง

เงินจำนวนนี้เป็นเครื่องสังเวยความดื้อด้านของพรรคเก่าแก่นี้ เพราะหัวหน้าพรรคและคนในแก๊งเดียวกัน ไม่ฟังคำเตือนที่ผู้คนทักกันว่าอย่าส่งนายอภิรักษ์ลงไปเลย เพราะต้องเกิดปัญหาแน่ๆ และก็เป็นจริงอย่างที่ผู้คนคาดกันเอาไว้

ก่อนหน้าปัญหาจะเกิดเพราะ ป.ป.ช. ชี้มูลตัวนายอภิรักษ์ พรรคประชาธิปัตย์ก็ก่อความอัปยศอีกครั้ง ด้วยการจัด “ระดมทุน” กวาดต้อนเงินจากผู้คนที่อ้างว่าเป็นผู้สนับสนุน แต่ผู้คนกลับลือกันให้แซ่ดว่า แท้จริงแล้วผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่เอื้อต่อการระดมทุนก็คือนายอภิรักษ์นั่นเอง! ทำกันอย่างนี้เอง เป็นเหตุนายชูวิทย์ถึงกับออกมาโจมตีอย่างหนักว่า ที่นาย
หล่อเล็กต้องยื้ออยู่ในตำแหน่งผู้ว่าฯ ต่อไปอีก จนถึงวันที่ 19 พฤศจิกายน แท้ที่จริงเพราะเคลียร์บิลยังไม่จบ เนื่องจากเขตใหญ่เขตเล็ก สำนักงานโยธาต่างๆ ยังไม่เข้าเป้าทั้งหมด

จึงอยากให้ รมว.มหาดไทย ขอความร่วมมือไปยัง รมว.ยุติธรรม สั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดการสอบสวนข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหาของ “เสี่ยอ่างแตก” เป็นการด่วน คงจะได้ข้อเท็จจริงมาตีแผ่กันให้สนุกสนานอีกแน่ๆ

นายอภิรักษ์นั้น แม้จะพ้นตำแหน่งไปเพราะการลาออกก็ตาม บรรดาสมาชิกพรรค ปชป. ได้มีความพยายามแก้เกี้ยวว่า
เป็นการแสดงสปิริต และนายอภิรักษ์นั้นถึงกับบอกว่าเป็นการสร้างมาตรฐานการเมืองใหม่ แต่ผมอยากจะบอกท่านผู้อ่านว่า

ต่อให้นายอภิรักษ์หน้าด้านอยู่ในตำแหน่งต่อไปก็ทำงานต่อไม่ได้แล้ว เพราะกฎหมาย ป.ป.ช. บังคับให้ “ต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่” จึงขอยืนยันอีกครั้งว่า

การที่นายอภิรักษ์ลาออกนั้น เป็นเพราะจำนนต่อหลักฐาน ไม่ใช่ความมีสปิริตอย่างเด็ดขาด ใครจะคิดไปหาสปิริตอะไรก็ตาม จากพรรคหรือสมาชิกพรรคฝ่ายค้าน ต้องใคร่ครวญให้จงหนัก เพราะคงหาได้ยาก เหมือนความเจริญของบ้านเมืองที่ยังไม่เคยมองเห็นว่า พรรคนี้อยู่มานานจนป่านนี้ ได้ “เคยทำ” อะไรในเรื่องที่เป็นประโยชน์...

จนทำให้ประเทศของเรา ก้าวเดินไปสู่ความเจริญอย่างไรบ้าง!?

ดังนั้น อย่าพูดถึงสปิริตของพรรคฝ่ายค้านดักดานเลย เพราะหากพวกเขามีสปิริตจริง จะต้องลงโทษตัวและพรรคด้วยการไม่ส่งผู้สมัครลงชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งเรื่องอย่างนี้ไม่มีวันเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองที่ชื่อ “ประชาธิปัตย์” เด็ดขาด แต่วันนี้จะพูดถึงเรื่อง “สปิริต” ของอดีตยุวประชาธิปัตย์คนหนึ่ง ที่ชื่อ“นายกล้านรงค์ จันทิก”

เรื่องของอีตาคนนี้น่าสนใจ เพราะแม้ผมเองจะได้ยินข่าวมานาน แต่เพิ่งเห็นหลักฐานชัดเจนว่า บัดนี้ได้มีข้อกล่าวหาที่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของบุคคลผู้นี้ กล่าวคือ นายกล้านรงค์ จันทิก จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินโดยปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบขณะเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการ คณะป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อ พ.ศ.2543 และพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ พ.ศ.2546

ดังนั้น นายกล้านรงค์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีในฐานะเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ การยื่นบัญชีทรัพย์สินนั้น เป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจก่อนที่จะเข้าดำรงตำแหน่งของผู้ที่อยู่ในฐานะซึ่งเป็นที่ไว้วางใจต่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการองค์กรอิสระ คณะรัฐมนตรี ฯลฯ

ความจริงแล้ว ถ้าเจ้าตัวผู้ยื่นมีความสุจริต มีทรัพย์สิน หรือหนี้สินเท่าใด ก็ยื่นกันไปตามนั้น แต่การยื่นบัญชีทรัพย์นั้น ผู้ที่ดำรงตำแหน่งจะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินของคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเข้ามาด้วย

ขอให้ดูตัวอย่าง เมื่อไม่กี่วันนี้ ได้มีการดำเนินการกับอดีตรัฐมนตรีที่มีเรื่องอื้อฉาวคาวโลกีย์ กรณีพาสาวเข้าโรงแรม จนต้องลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีไป ขนาดเจ้าตัวได้พ้นจากตำแหน่งไปตั้งหลายปีแล้ว ปรากฏว่า

จากการตรวจสอบข้อมูล พบการไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินของภริยาอีกนับร้อยล้านบาท เจ้าตัวเลยมีเรื่องจะต้องขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ที่ว่านายกล้านรงค์จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดยปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ขณะเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการ ป.ป.ช. เมื่อ พ.ศ.2543 และพ้นจากตำแหน่ง 2546 มีรายละเอียดพอสรุปได้ย่อๆ ดังนี้

1. กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2543 นายกล้าณรงค์ได้ยื่นรายการทรัพย์สินของนางพันทิพาคู่สมรส ว่ามีหลักทรัพย์และเงินลงทุนอื่น คือ หุ้นบริษัท บิ๊กบูล เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด “มูลค่า 3 ล้านบาท” โดยที่ไม่ได้แจ้งว่า นางพันทิพามีหุ้นของ “บริษัทภานันทน์จำกัด” ทั้งๆ ที่นางพันทิพาเป็นผู้เริ่มก่อการ เป็นผู้ขอจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2532 และมีหุ้นอยู่ในวันยื่นบัญชีด้วย
2. กรณีพ้นจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2546 นายกล้าณรงค์ได้ยื่นรายการทรัพย์สินของนางพันทิพาคู่สมรส ว่ามีทรัพย์และเงินลงทุนอื่น คือ “หุ้นของบริษัท บิ๊กบูล เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด” มูลค่า 3 ล้านบาท โดยที่ไม่ได้แจ้งว่านางพันทิพาได้เป็นกรรมการผู้จัดการแต่เพียงผู้เดียว บริษัท ภานันท์ จำกัด ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท บูลเบิร์ด เทคโนโลยี จำกัด ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 45/1-2 ซอยอารีสัมพันธ์ 3 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ ซึ่งเป็น...บ้านที่นายกล้านรงค์กับนางพันทิพาอาศัยอยู่ด้วยกันจนทุกวันนี้!!!

ท่านผู้อ่านที่เคารพครับเมื่อพิจารณาดูจากพยานหลักฐานทั้งหมด ซึ่งมีทั้งรายการแจ้งทรัพย์สินของ นายกล้านรงค์ทั้ง 2 ช่วงของการยื่นบัญชีทรัพย์สินแล้ว เห็นว่าหลักฐานนั้นชัดเจน ยิ่งเห็นหลักฐานของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งคัดมาให้เห็นสดๆ ร้อนๆ คือ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2551 นี่เอง ยิ่งจะแสดงให้เห็นโดยปราศจากข้อสงสัยว่า
นอกจากจะยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จแล้ว นายกล้านรงค์ จันทิก ก็ยังลอยหน้าลอยตา ปล่อยให้ภริยาใช้บ้านพักของตนเองเป็นสถานที่ประกอบการค้า ช่างไม่เกรงการตกเป็น “ขี้ปาก” สังคมบ้างเลย!

ดังนั้น การกระทำของนายกล้าณรงค์เป็นการจงใจปกปิดทรัพย์สินของนางพันทิพาคู่สมรส ทั้งขณะเข้ารับตำแหน่ง (พ.ศ.2543) และขณะพ้นจากตำแหน่ง (พ.ศ.2546) อันเป็นการกระผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 41 ซึ่งมาตรานี้...

เป็นผลให้นายกล้านรงค์ จะต้องพ้นจากการเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตั้งแต่วันที่พบการกระทำผิดดังกล่าว คือวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 และเป็นความผิดที่มีโทษจำคุก ด้วยตามความแห่งมาตรา 119 ในกฎหมายเดียวกันนี้ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่ง 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่าทำไม “วาทตะวัน” จึงไม่นำเอกสารประกอบการพิจารณา เช่น หลักฐานการยื่นบัญชีทรัพย์สินแต่ละครั้งของนายกล้านรงค์ นำมาเปรียบเทียบให้เห็นกันจะๆ จะได้ชี้ผิดชี้ถูกกันได้ ก็ต้องบอกว่า
เนื้อที่คอลัมน์...ไม่พอครับ

อยากจะกราบเรียนกับแฟนๆ ว่า เรื่องหลักฐานทั้งหลายทั้งปวงนั้น หากคนที่เป็นพนักงานสอบสวนมานานๆ ย่อมรู้ดีว่าหลักฐานแค่ไหนพอที่จะทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลงได้
เรื่องนี้...ก็เหมือนกัน

คนที่เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณามีมติให้ นายกล้านรงค์ จันทิก หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น เขาเคยเป็นทั้งพนักงานสอบสวน หัวหน้าพนักงานสอบสวนส่วนจังหวัด และหัวหน้าพนักงานสอบสวน กองบังคับการในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางมาก่อน เรียกว่าน้ำหนัก ชื่อชั้น ขึ้นชกกับนายกล้านรงค์ได้สบายมาก!

ว่ากันว่า บุคคลผู้นี้ถ้ายื่นหลักฐานฟาดใครแล้ว “รอดยาก” เพราะเขาละเอียดพิถีพิถันในการจัดลำดับพยานหลักฐานเข้าสนับสนุน จนน่าจะเปลี่ยนนามสกุลให้เป็น “ชุนละเอียด” ตามที่ คุณไชยา สะสมทรัพย์ อยากจะเปลี่ยนให้ท่านรองนายกฯ โอฬาร ไชยประวัติ ด้วยซ้ำไปที่ยืนยันได้หนักแน่นอย่างนี้ เพราะเขาผู้นั้นชื่อ...“พล.ต.ต.ดร.เสวก ปิ่นสินชัย” เจ้าของฉายา “อัศวินดำ” ผู้เขย่า กกต. จนขวัญหนีดีฝ่อ และคดียังคงค้างคากันอยู่ที่ DSI...นั่นเอง!!!


สันดารมาร "โกตั๊บ ณ โกเต็กซ์"


คอลัมน์ : สามเหลี่ยมดินแดง

โดย เอกฉัตร


๐๐ หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ สื่อทางเลือกของประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ เอกฉัตร เข้าเวรรายงานข่าว ฉบับวันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2551 ต้องยอมรับกัน ตั้งแต่วันที่ 14-19 พฤศจิกายน ในห้วงเวลาพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสียงพระสวดในงานพระราชพิธีที่ทีวีพูลถ่ายทอดสด ได้สร้างความร่มเย็นให้กับบรรยากาศรอบกาย สามารถกลบความร้อนของอุณหภูมิการเมืองได้เหมือนกัน แต่เวลาสั้นๆ ได้ผ่านไปแล้ว

๐๐ นับจากนี้ไป หากข่าวของหน่วยต่างๆ ไม่ผิดพลาดร้อยเปอร์เซ็นต์ จะต้องจับตาสถานการณ์ให้ทำเนียบรัฐบาล เขตปลดปล่อยของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ใฝ่หาเผด็จการ ตั้งเป็นขบวนการกู้ชาติ แต่กลับสร้างวิกฤติให้ประเทศชาติ

๐๐ เป็นไปตามที่ เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เตือนไว้ หลังวันที่ 19 พฤศจิกายน คนที่จองกฐินนรก จะทยอยทอดในทำเนียบรัฐบาล เมื่อคืนวันวาน คนจองกฐินเจ้าแรกเริ่มบึ้มนำร่องปฐมฤกษ์ ตายเจ็บเท่าไรยังไม่แน่ชัด ไม่มีใครยืนยัน ทำเอาแม่ยกไม่ถึงร้อยคนในทำเนียบอกสั่นขวัญแขวน ตำรวจท้องที่ก็ปวดหัว จะรักษาความปลอดภัยให้ก็ต้องเสี่ยงกับเสียงด่าและถูกลอบยิงด้วยหนังสติ๊ก จะเข้าไปตรวจที่เกิดเหตุก็ถูกกีดกัน ไม่รู้กลัวว่าตำรวจจะเจอคลังแสงในทำเนียบหรืออย่างไร

๐๐ วันนี้ยังไม่สายเกินไปที่พี่ๆ ในวงการน้ำหมึก ที่เรียกตัวเองว่า “สื่อแท้” เริ่มโผล่ออกจากมุมมืด กล้าที่จะนำเสนอความจริง กล้าวิพากษ์วิจารณ์ขบวนการของ โกตั๊บ ณ โกเต๊กซ์ ที่ออกอาการพล่านแว้งกัดเขาไปทั่ว หลังจากที่นั่งสมาธิเห็นสัมภเวสีในทำเนียบรัฐบาล ตั้งตัวเป็นศาสดาผีบุญ พรมน้ำมนต์ให้กับสาวก และยังกล้าย่ำยีหัวใจคนไทย นำโกเต๊กซ์ใช้แล้วไปถูทาถูทาฐานพระบรมรูป ร.5 เพื่อสะกดวิญญาณและมนต์ดำของหมอเขมร ซึ่งเป็นเรื่องที่จินตนาการจากการนั่งสมาธิ พฤติกรรมที่แสดงออกมาทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า เป็นการสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อนอนโรงพยาบาลคนบ้า หากวันใดเดินออกทำเนียบ ประตูคุกเปิดรอรับอยู่ โดยไม่ต้องล้างคุกรอ เพราะสภาพในทำเนียบรัฐบาลวันนี้สกปรกเหม็นอับกว่าในคุกเสียอีก

๐๐ เอกฉัตร เขียนเล่นๆ ให้อ่านกันจริงๆ กรณีที่ นายสมชาย วงสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี คิดจะสร้างทำเนียบรัฐบาลใหม่ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ เป็นการโยนหินถามทางเพื่อจะผลาญงบประมาณ อย่าลืมว่าวันนี้ยังไม่มีใครสามารถตอบคำถามว่า กลุ่มพันธมิตรพันธมาร จะออกจากทำเนียบ คืนพื้นที่ให้รัฐบาลวันไหน ซึ่งยังไม่มีคำตอบ และมีคำถามว่า วันที่กลุ่มพันธมิตรพันธมารออกจากทำเนียบรัฐบาล ตัวอาคารในทำเนียบรัฐบาลยังอยู่ในสภาพเดิมหรือเหลือแต่ซาก

๐๐ คำถามนี้น่าคิด น่าคิดเพราะ มีรายงานข่าวว่า เจ้าหน้าที่สำนักปลัดนายกรัฐมนตรี ได้รายงานให้ นายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้รับทราบ ห้องทำงานของข้าราชการถูกงัด โต๊ะทำงานถูกรื้อค้น ทรัพย์สินหายไปมากมายหลายร้อยล้านบาท ไม่ต้องถามหรอก จะมีไอ้อีหน้าไหนออกมาแสดงความรับผิดชอบ ทุกคนจะปฏิเสธตรงกัน ไม่รู้ไม่เห็น สงสัยเป็นมือที่สามต้องการดิสเครดิตพันธมิตรพันธมาร

๐๐ ถามหน่อยเถอะ ความผิดที่เกิดจากการกระทำของขบวนการโกตั๊บ ณ โกเต๊กซ์ เคยมีสักครั้งไหมที่ยอมรับทันทีทันใดว่า ใช่...พวกเราเอง อย่าง นักรบศรีวิชัยใบกระท่อม บุกยึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที พอถูกจับได้ นายสุริยะใส กตะศิลา ปฏิเสธทันที ไม่ใช่การ์ดพันธมิตรฯ เป็นมือที่สามสร้างสถานการณ์ ทั้งๆ ที่ผู้ต้องหาที่ถูกจับบางคน เป็นเพื่อนกับไอ้หน้าดำ กินเหล้าลงอ่างมาด้วยกัน ยังปฏิเสธหน้าด้านๆ หรือการ์ดพันธมิตรฯ ถูกตำรวจจับได้พร้อมอาวุธนานาชนิด ทั้งปืนและระเบิดปิงปอง ทั้งหัวหงอกหัวดำและหัวเกรียน ปฏิเสธพัลวัน แล้วจะไปหาความรับผิดชอบกับสิ่งของที่สูญหายในทำเนียบรัฐบาลจากไอ้อีตัวไหน เปลืองน้ำลายเปล่าครับทั่น โฆษกณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่จะหาคนรับผิดชอบ เผาทำเนียบทำลายหลักฐาน มีโอกาสเกิดขึ้นได้ โดยโยนความผิดให้กับมือที่สามสร้างสถานการณ์ น่าเป็นห่วง อ่านว่า น่าเป็นห่วง

๐๐ การเผาทำเนียบรัฐบาลแล้วโยนความผิดให้กับมือที่สามทำได้อย่างง่ายดาย อุปกรณ์ต่างๆ เตรียมไว้พร้อมแล้ว ยางรถยนต์ที่กองพะเนินรอบๆ ทำเนียบรัฐบาล ราดน้ำมันเป็นหัวเชื้อ เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี จุดง่ายดับยาก ยิ่งหน้าหนาวได้ลมโหมกระพือดีนักแล ทำเนียบรัฐบาลจะเหลือแต่ตอพร้อมกับหลักฐาน เอกฉัตร ฟังเรื่องนี้มา ได้แต่ภาวนาอย่าให้เกิดขึ้นเลย
๐๐ มีท่านผู้อ่านโทรศัทพ์มาคุย อยากจะให้ผู้จัดละครทีวีค่ายไหนก็ได้ เชิญ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไปแสดงละครดีกว่าเป็นนักการเมือง ให้สัมภาษณ์แต่ละเรื่อง น่าจะแสดงละครดีกว่าเป็นนักการเมือง ลอยหน้าลอยตาปัดสวะโยนความผิดให้คนอื่นตลอด ไม่รู้กลัวอะไรนักหนากับการโฟนอินของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร จึงต้องตั้งข้อกล่าวหาไม่เว้นแต่ละวัน หาว่าสร้างความแตกแยกให้กับสังคม แต่กับกรณีรู้ทั้งรู้ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. จ่อคิวเชือดคดีรถและเรือดับเพลิง ยังดันทุรังส่งลงสมัครให้ประชาชนเลือก ทำให้สูญงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์ จะว่างบประมาณที่เสียไปเปล่าประโยชน์ อาจจะไม่ถูกทีเดียว อย่างน้อยยังมีประชาชนที่ชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประโยชน์ได้สร้างภาพฉาบหน้าว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยจริยธรรม เพื่อล้างภาพ มาร์ค ม.7 เลือกตั้งซ่อมผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่จะมีขึ้นในวันที่ 11 มกราคม ปีหน้า คนกรุงเทพน่าจะช่วยกันตัดสินอนาคต มาร์ค ม.7 ช่วยกันเลือกผู้สมัครจากพรรคอื่น จะดูสิว่า มาร์ค ม.7 จะแสดงความรับผิดชอบอะไรมั้ย หรือยังรักษาความเดิม เรื่องของตัวเอง ต่อมสปิริตและจริยธรรมไม่ทำงาน

๐๐ เพี้ยง...ขอให้ข่าวลือเป็นข่าวจริงทีเถอะ กรณีที่ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส. ชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ใส่เสื้อตราพระแม่ธรณีบีบมวยผม และเพื่อให้เกิดความชัดเจน ก็น่าจะเปิดตัวอดีตคณะกรรมการ คตส. เป็นรองผู้ว่าฯ ประชาชนจะได้เลิกคลางแคลงใจว่า เพราะเหตุใดนายอภิรักษ์จึงหลุดคดีในขั้นตอนการสอบสวนของ คตส.


ระเบิด...ปลุกระดม ?

คอลัมน์ : ละครชีวิต

โดย ลวดหนาม


ผมเคยได้คุยกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก หรือ เสธ.แดง กับการออกมาจองกฐินพวกพันธมิตรฯ ในทำเนียบรัฐบาลหลังงานพระราชพิธี

เสธ.แดงบอกว่า คำขู่ดังกล่าว ไม่ได้หมายถึงไปลงมือปาระเบิด แต่เป็นการใช้หลักจิตวิทยา ที่ต้องการให้พวกมารออกจากทำเนียบ

กรณีเหตุระเบิดที่ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ในทำเนียบรัฐบาล เมื่อคืน 20 พฤศจิกายน หลายคนมุ่งมาที่เสธแดงว่าเป็นคนกระทำหรือไม่ ?

กลุ่ม 40 ส.ว.จอมเพี้ยน นำโดย นายไพบูลย์ นิติตะวัน นายสมชาย แสวงการ นายประสาร มฤคพิทักษ์ นายคำนูณ สิทธิสมาน นายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา นายสาย กังกเวคิน ส.ว.ระยอง ออกมากดดันให้กองทัพบกเล่นงาน เสธ.แดง ทันที

ผมมองว่าเรื่องนี้ ไม่ยุติธรรมกับ เสธ.แดง เพราะคนที่ต้องการเล่นงานพันธมิตรฯ ในทำเนียบรัฐบาลมีมากมายเหลือเกิน
คนหมั่นไส้กันทั่วประเทศ ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดระเบิดอีกกี่ครั้ง ก็ไม่สมควรที่จะโทษใครคนใดคนหนึ่ง เพราะคนที่หมั่นไส้พันธมิตรฯ จริงๆ ไม่จำเป็นต้องออกมาประกาศแบบ เสธ.แดง ให้เป็นเป้าหรอก

ผมเข้าไปดูข้อมูลจากเว็บไซต์แห่งหนึ่ง ระบุหัวข้อว่า “ลึกแต่ไม่ลับ ระเบิด พันธมิตรฯ เรื่องของคนกันเอง” ซึ่งน่าสนใจมาก

ผู้ให้ข้อมูลท่านนี้ระบุว่า การ์ด พธม. ระดมกำลังทุกทางเข้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อกันตำรวจที่จะเข้าไปตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ

ปมลึกของเหตุระเบิด เกิดจากระหว่างการปราศรัยของของแกนนำบนเวทีได้ร้องรำทำเพลง โดยมีผู้ร่วมชุมนุมลุกเต้นกันอย่างสนุกสนานรวมทั้งการ์ดพันธมิตรฯ คนหนึ่งที่อยู่ในอาการเมามาย ระหว่างนั้นกลุ่มนักรบศรีวิชัยที่ติดตามแกนนำ ได้เข้ามากันการ์ดนายนี้ออกไป

ต่อมาเกิดการโต้เถียงจนเกือบบานปลาย แต่ทางแกนนำขอร้องไว้ ภายหลังจากเหตุทะเลาะวิวาทประมาณ 10 นาที ได้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและตายดังกล่าว ส่วนการ์ดพันธมิตรฯ คนดังกล่าวได้หายตัวไปจากที่ชุมนุม

ทั้งนี้ คาดว่าทางกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ทำลายหลักฐานบริเวณที่เกิดเหตุทั้งหมด และแถลงข่าวว่า มีการยิงระเบิด M79 มาจากด้านนอกของทำเนียบรัฐบาล

พร้อมกล่าวหาว่ารัฐบาลต้องมีส่วนรับผิดชอบ และคนลงมือปฏิบัตการน่าจะเป็นนายทหารชื่อดังที่ถูกกองทัพตรวจสอบวินัย ในขณะนี้

เป็นที่น่าสังเกตว่า ภายในทำเนียบรัฐบาล กลุ่มผู้ชุมชุมค่อนข้างบางตา เหลือเพียงผู้สูงอายุเท่านั้น อีกทั้งมีข่าวเรื่องเงินสนับสนุนที่น้อยลง เนื่องจากผลมาจากพิษเศรษฐกิจและผู้คนที่เคยสนับสนุนพันธมิตรฯ เริ่มกลับเข้าสู่ทางสายกลางเป็นจำนวนมาก และไม่เห็นด้วยกับการชุมชุมที่ ขาดเป้าหมายที่ชัดเจนและข้อเรียกร้องมีมากมาย

พร้อมทั้งมีกระแสข่าวตลอดเวลาว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล อาจถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุกในเร็ววันนี้ และกระแสที่นายสนธิอาจหนีคดีไปอยู่ที่จีนก็เป็นได้

ดังนั้น พันธมิตรฯ จึงปลุกระดมเพื่อชุมนุมวันที่ 23 พฤศจิกายน ซึ่งได้ประกาศว่าเป็นการชุมนุมใหญ่ ครั้งสุดท้ายของสุดท้าย และจะสิ้นสุดแบบม้วนเดียวจบ ไม่มีม้วนต่อไป

จากข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ แสดงให้เห็นการเชื่อมโยงของ “เผด็จการ” ที่หวังกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และฝ่ายประชาธิปไตยไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด

แม้ผมจะมีความคิดเห็นตรงกันข้ามกับ นายเจนจิต กลัดสาคร พันธมิตรฯ ผู้เสียชีวิตจากระเบิด แต่ก็รู้สึกเสียใจไม่ใช่น้อย

เพราะนายเจนจิตคือ “เหยื่อ” ของเผด็จการจอมอำมหิตที่ต้องการเพียงแค่ทำลายประชาธิปไตย แค่นั้นเอง!



‘เหวง’สมเพช‘ศาสดาโกเต็กซ์’อมเงินบริจาคมั่วผู้หญิง


แกนนำสมาพันธ์ประชาธิปไตยแฉ! "ศาสดาโกเต็กซ์" อมเงินบริจาค 'พันธมาร' ปรนเปรอผู้หญิง-ถ่ายเข้าบัญชีสถานีโทรทัศน์เถื่อน แนะผู้ชุมนุมอย่าหน้ามืดตามัว!หลงเชื่อลมปาก "โจรกบฏ"

นายเหวง โตจิราการ แกนนำสมาพันธ์ประชาธิปไตย กล่าวว่า ตนได้ติดตามการรายงานข่าวกรณีพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมเกี่ยวกับผู้หญิงของ “ศาสดาโกเต็กซ์” อย่างต่อเนื่อง มีหลายกระแสข่าวรายงานถึงพฤติกรรมของ “ศาสดาโกเต็กซ์” ว่า หาเงินไปปรนเปรอความสุขของตนเอง โดยใช้เงินที่มีผู้บริจาคกลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งตนอยากให้ผู้ที่บริจาคเงินสนับสนุนพันธมิตรฯใด้รู้สึกตัวบ้าง เพราะบางครั้งผู้บริจาคอาจจะไม่ได้ใช้สติปัญญา แต่เมื่อมีหลักฐานปรากฏ ผู้บริจาคเงินให้กับกลุ่มพันธมิตรฯน่าจะหยุดเพราะเงินดังกล่าวจะนำไปสู่การสนับสนุนพฤติกรรมอันเลวร้าย นอกจากนี้ยังนำไปใช้อย่างไม่มีประโยชน์รวมถึงนำไปใช้กับสถานีโทรทัศน์ที่ตนเองเป็นเจ้าของ ซึ่งเป็นสถานีข่าวที่ไม่มีประโยชน์มีแต่สร้างความแตกแยก

ส่วนพฤติกรรมของ “ศาสดาโกเต็กซ์” ที่มีการรายงานผ่านสื่อนั้นไม่ได้ดูเป็นการค้าประเวณีแต่เป็นการซื้อบริการทางเพศ คือเป็นพวกที่ชอบขูดรีดทางเพศแสดงออกถึงการไม่เคารพเพศแม่ นอกจากนี้ “ศาสดาโกเต็กซ์” ยังมีนิสัยชอบโกหกอย่างเช่นไปพูดบนเวที ว่า คปพร. ที่เราได้เสนอไปนั้นเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญทั้งที่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติ่มบางส่วนเท่านั้น เป็นการใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวของ “ศาสดาโกเต็กซ์” ทำให้หมดความชอบธรรมไม่สมควรได้รับเงินบริจาคอีกต่อไป อย่างไรก็ตามตนอยากให้กรมสรรพากรเข้าตรวจสอบและจัดเก็บภาษีเงินดังกล่าวด้วย หากไม่เข้าตรวจสอบจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

นอกจากนี้นพ.เหวง ยังกล่าวอีกว่ายังมีส.ส.ที่สังกัดอยู่ในพรรคการเมืองบางพรรค มีพฤติกรรมเช่นเดียวกับ “ศาสดาโกเต็กซ์” ตนขอเตือนส.ส.ว่าเป็นตัวแทนของประชาชนต้องทำตัวเป็นผู้นำ หากนักการเมืองคนไหนที่เคยไปใช้ฮาเล็มเดียวกับ “ศาสดาโกเต็กซ์” ก็ควรสารภาพบาปกับประชาชนและขอโทษประชาชนด้วย

ส่วนกรณีที นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี ออกมาบ่นว่าการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ(กปร.)เป็นไปด้วยความยากลำบาก หลังถูกกลุ่มพันธมิตรฯเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล เพราะสำนักงานอยู่ในทำเนียบรัฐบาล

นพ.เหวง กล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯ รู้อยู่แก่ใจว่าที่ผ่านมาได้สร้างความลำบากให้เจ้าหน้าที่ดังกล่าว แต่ก็ยังไม่สนใจ รวมถึงวันที่ 7 ธ.ค.จะมีการจัดงานสันนิบาตซึ่งเป็นงานสำคัญ และจัดประจำทุกปีในทำเนียบรัฐบาล แต่กลุ่มพันธมิตรฯก็ยังเฉยไม่ยอมออกตนจึงอยากถามไปยังกลุ่มพันธมิตรฯว่า นี่หรือ ความจงรักภักดีที่กลุ่มพันธมิตรฯได้แสดงออก


ธนบัตรปลอมระบาดหนัก'จตุพร'จี้ผู้เกี่ยวข้องตรวจสอบ

'จตุพร' แฉ แบ๊งค์พันปลอมระบาดหนักหวั่นเชื่อมโยง "สถานที่ห้ามตำรวจเข้า" วอนเจ้าหน้าที่เร่งสอบเกรงกระทบความมั่นคงของชาติ

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน ผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้ ได้กล่าวเตือนประชาชนผ่าน"สำนักข่าวประชาทรรศน์" ว่าขณะนี้มีกลุ่มมิจฉาชีพนำธนบัตรชนิด หนึ่งพันบาท ปลอมออกมาใช้สอยกันมาก ซึ่งหากไม่สังเกตุจะไม่รู้ว่าแบงค์ไหนปลอมแบงค์ไหนจริงเพราะมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก แต่เบื้องต้นหากจะสังเกตุให้ดูที่แถบนูนด้านข้างแบงค์เพราะจะมีลักษณะที่นูนผิดปกติ ซึ่งหลังจากทราบข่าวตนก็ได้เข้าหารือ กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ว่าขณะนี้มีการลักลอบใช้ธนบัตรชนิด 1000 ปลอมกันอย่างแพร่หลาย

“นายกรัฐมนตรีได้ทราบข่าวดังกล่าวและได้สั่งการไปยังเจ้าที่ตำรวจทันที เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มา เพื่อป้องกันไม่ให้ระบาดมากขึ้น เนื่องจากประชาชนจะได้รับความเดือดร้อน” นายจตุพร กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายจตุพรยังกล่าวเตือนประชาชนให้ช่วยกันสังเกตุและระมัดระวัง เพราะประชาชนจะเฝ้าระวังได้ดีกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจขณะที่ตนเป็นห่วงว่า การนำธนบัตรปลอมออกมาจำหน่ายใช้สอยจะมีนัยซ่อนเล้น แอบแฝง ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นคงของชาติและเศรษฐกิจของชาติ และจะนำไปสู่ความทำลายล้าง โดยใช้ธนบัตรดังกล่าวมาเป็นอุปกรณ์สร้างความวุ่นวาย

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ตนขอตั้งข้อสังเกตคือเจ้าหน้าที่ควรเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ห้ามเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปตรวจสอบว่ามีการแอบหรือทำอะไรที่ผิดกฏหมายหรือเปล่า เพื่อความสบายใจของประชาชน

'จตุพร'ปัด'ทักษิณ'กลับไทย25พย.

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน และผู้ร่วมดำเนินรายการ ความจริงวันนี้ กล่าวปฎิเสธกรณีที่นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชาชน ออกมาระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯจะเดินทางกลับไทยในวันที่ 25 พย. เวลา 9.45 น. และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภริยา จะมาร่วมฟังในรายการความจริงสัญจรที่จัดขึ้นที่วัดสวนแก้ว ในวันที่ 23 พย.นี้

โดยระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คิดถึงอยากกลับมาเมืองไทยเสมอ แต่ยังไม่ได้กำหนดช่วงเวลาที่แน่นอน ส่วนคุณหญิงพจมานก็ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมาเช่นกัน ส่วนกรณีที่จะให้ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมโฟนอินในวันที่ 23 พย. ที่วัดสวนแก้ว นัน ขณะนี้ทีมงานที่ได้รับการมอบหมาย ได้เดินทางไปที่เมืองฮิวสตันประเทศอเมริกาแล้ว ซึ่งอยู่ในระหว่างรอฟังคำตอบรับจากนายสมัครว่าสามารถโฟนอินเข้ามาได้หรือไม่



คนที่เกษียณแล้วในต่างประเทศเขาทำอะไรกัน????

คนที่เกษียณแล้วในต่างประเทศเขาทำอะไรกัน????


โดย : ป้าพลอย

วันศุกร์ที่ 21 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2551

คำถามที่ว่าคนฝรั่งที่เขาปลดเกษียณแล้วเขาทำอะไรกัน? คนที่ปลดเกษียณสมควรที่จะพักผ่อนร่างกายเพราะทำงานหนักมาครึ่งค่อนชีวิต อายุก็ปา 65 ปีกว่าแล้ว ในต่างประเทศคนเกษียณแล้วเขาจะออกท่องเที่ยวไปไหนต่อไหนในระหว่างที่ยังเดินเหินสะดวก บางคนมีสวนครัวปลูกผักพืชผลเล็กๆน้อยๆเป็นงานอดิเรก หรือไม่ก็ไปช่วยเพื่อนฝูงทำโน่นทำนี่จะได้ไม่เหงา ส่วนคนที่เคยเป็นนักการเมืองหลังจากปลดเกษียณพวกเขาจะไม่ไปยุ่งเรื่องการเมืองอีก ปล่อยให้นักการเมืองรุ่นหลังทำหน้าที่ของตน อีกอย่างกฎระเบียบของเขาก็ห้ามคนนอกมายุ่งหรือมาชักใยเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ยิ่งทหารไม่มีสิทธิ์มาออกความเห็น

มีครั้งหนึ่งประเทศที่ป้าอาศัยนักการเมืองอายุในราว 70 ปี ยังไม่ยอมเลิกเป็นนักการเมืองยังหัวแข็งคิดว่าตัวเองยังมีพาวเว่อร์ ทุกครั้งตอนเข้ารัฐสภาอภิปรายพวกนักการเมืองรุ่นหนุ่มๆสาวๆฟังไอเดียของนักการเมืองผู้เฒ่าท่านนี้แล้วต่างหัวเราะงอหาย เพราะแกขุดเอาแต่เรื่องเก่าสมัยไดโนเสาร์ออกมาเป็นไอเดีย บางทีคนฟังทนไม่ไหวก็โห่กันทั้งสภา บางคนตะโกนใส่ไมโครโฟนให้กลับไปเลี้ยงหลานเหลนเถอะ คนแก่ก็ใจน้อยที่ถูกเด็กๆฉีกหน้ากลางรัฐสภา หน้าแกบอกบุญไม่รับกลับเข้ามานั่งเก้าอี้เหมือนเดิมภายหลังแกเลยลาออก

ฉะนั้นคนแก่สมควรที่จะพักผ่อนได้แล้วอายุ 70- 80 ยังจะมาเล่นการเมืองสมองและความคิดล้าสมัยคิดแต่เรื่องเก๋ากึก ตัวอย่าง นาย คาสโต ผู้นำประเทศ คูบา อายุปาเข้าไป 80กว่า เดินเหินแทบไม่ค่อยจะไหวแถมป่วยอีกด้วย แต่ก็ยังไม่ยอมละอำนาจเป็นประธานาธิบดีของตน สุดท้ายอาการหนักลุกขึ้นพูดไม่ไหวเลยสละเก้าอี้ให้น้องชายเป็นแทน ตลอดเวลาที่แกเป็นผู้นำประเทศคอมมิวนิสต์คูบาไม่มีอะไรเจริญขึ้นเลย ประชาชนยากจนบ้านช่องของประชาชนก็พังไม่พังแหล่ไม่ปรับปรุงอะไรทั้งนั้น เพราะแกถือหลักพอเพียง ระบบของคอมมิวนิสต์ที่ไม่ให้ประชาชนฟุ้งเฟ้อชาวคูบาหวานอมขมกลืนกับผู้นำสมองเก่าๆพันปี ยิ่งใครไปแนะนำอะไรตาแก่ผู้นำของคูบาจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ยิ่งอเมริกาพูดเกี่ยวกับประเทศของตน เพราะคาสโตเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอเมริกา ทั้งที่อเมริกาก็ยึดเกาะของคูบาไว้แห่งหนึ่งที่ทำเป็นสถานกักกันนักโทษ ตาลีบาล และนักโทษชาวอิรักสมัยสงครามอิรัก เห็นภาพที่อเมริกาทรมานนักโทษ น่าสงสารมาก มันจับมัดมือมัดเท้าปิดตาสวมชุดสีส้ม จะเดินไปไหนทหารอเมริกันสองคนหิ้วปีกพยุงไป อเมริกานี่มหาโหดจริงๆ จะว่าพวกอาหรับโหดกับอเมริกาก็ไม่ได้เพราะอเมริกาไปรังแกพวกเขาก่อน อย่างเช่น โอซามาบิน ลาเดน พ่อจอดร์บุชก็ค้าน้ำมันกับพ่อของบินลาเดนมาก่อนเรื่องราวมันซับซ้อนวันหลังจะนำมาเล่าให้ฟัง ว่าทำไมบินลาเดนจึงเกลียดอเมริกาเข้ากระดูกดำ

จะเล่าเรื่องคนปลดเกษียณเลยดันมาเล่านอกเรื่องซะอีก คนแก่ไทยที่ปลดเกษียณไปแล้วไง๋ยังไม่เลิกเล่นการเมืองยังวนเวียนชักใยเด็กรุ่นหลังอยู่อีก ไม่อายตัวเองบ้างหรือทั้งที่หมดหน้าที่ตัวเองแล้ว เห็นคนที่หมดหน้าการงานในไทยแล้วยังไม่ละกิเลส ลุงเอ๋ยลุงปล่อยให้เด็กๆมันบริหารบ้านเมืองไปเถอะ ลุงจะเอาสังขารที่เก๋ากึกไปสู้กับเด็กทำไม? ความคิดเห็นสู้เด็กๆมันไม่ได้หรอก เดี๋ยวนี้เขาพากันขึ้นไปดาวอังคารแล้ว ขนาดโลกพระจันทร์ที่อเมริกาโกหกว่าไปเหยียบมาแล้วไม่มีใครเขาไปแล้วล้าสมัย โน่นเขาไปโลกอันใหม่ที่ยังไม่มีใครไปคือดาวอังคารจ๊ะลุง โหแก่แล้วยังโง่ๆเซ่อๆก็ช่วยไม่ได้น๊ะลุง เดินดีๆละเดี๋ยวตกใต้ถุนขาแข้งหักต้องเดือดร้อนลูกหลานแก่แล้วยังไม่เจียมตัวก็อย่างนี้แหละ.......

ป้าพลอย

จาก thaifreenews

ปลัดกทม. เตรียมถก"โกวิท"หารือทางออกรถดับเพลิง

นายพงษ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ในฐานะรักษาการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวเมื่อวันที่ 21 พ.ย. ถึงกรณี พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะเดินทางมาตรวจเยี่ยมการทำงานของ กทม.ในวันที่ 3 ธ.ค. ว่า ตนจะเตรียมหารือแนวทางออกเรื่องรถดับเพลิงด้วย ซึ่งขณะนี้ยังรอรายละเอียดคำวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่จะส่งมาให้อย่างเป็นทางการ


ปลัด กทม. กล่าวต่อว่า ได้เตรียมสรุปแนวทางการทำงานของ กทม. ให้กระทรวงมหาดไทยรับทราบ โดยเฉพาะโครงการที่ต้องประสานความร่วมมือกับรัฐบาล อย่างเช่นการแก้ไขปัญหาการจราจร

ไขปม ทำไม“เครือผู้จัดการ” ล้มละลาย ไม่เกี่ยวต้าน"แม้ว" อะไรจะเกิดขึ้นกับหนี้ก้อนโต 4,726 ล้านบาท

การมีหนี้สินล้นพ้นตัวของ บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จึงไม่เกี่ยวกับการต่อสู้หรือต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตรงกันข้ามนายสนธิกลับนำบริษัทแมเนเจอร์ มีเดีย ไปสนิทสนมใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ถึงขั้นออกมาเขียนปกป้องพ.ต.ท.ทักษิณหลายครั้งหลายหน

หลังจากศาลล้มละลายกลาง พิจารณาเห็นสมควร ให้ บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) หรือบริษัทเครือผู้จัดการ เจ้าของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ผู้จัดการรายสัปดาห์ และนิตยสารผู้จัดการรายเดือน ล้มละลาย จึงมีคำสั่งเมื่อบ่ายวันที่ 18 พฤศจิกายน 2551 ให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด บริษัทดังกล่าว

ผลที่ตามมาทันที นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เจ้าของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ตัวจริง ไม่สามารถออกหนังสือพิมพ์ในชื่อ ผู้จัดการ รายวัน ได้ต่อไป เพราะ หัวหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ เป็นทรัพย์สินของ บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดไปแล้ว

ดังนั้นในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 นายสนธิ จึงสั่งให้ กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันออกหนังสือพิมพ์ในชื่อ ผู้จัดการ 2551 เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหาว่า นำทรัพย์สิน (ชื่อหนังสือพิมพ์) ของผู้อื่นมาใช้

อย่างไรก็ตาม การใช้ชื่อหนังสือพิมพ์ว่า ผู้จัดการ 2551 อาจเป็นการลอกเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นได้

ประกอบกับกระบวนการจดแจ้ง ก่อตั้งหนังสือพิมพ์รายวันฉบับใหม่ ตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550 ยังไม่เสร็จสิ้น ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ทีมงานผู้จัดการจึงออกหนังสือพิมพ์ในชื่อ "สารจาก ASTV โดยทีมงาน ผู้จัดการ "

ขณะที่พนักงานของบริษัทว่า 500 ชีวิตนั้น ได้รับการชี้แจงจากฝ่ายบริหาร บริษัทแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จะต้องเลิกจ้าง(เนื่องจากถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเพื่อเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย) แต่จะให้ไปสมัครงานใหม่กับ บริษัท เอเอสทีวี จำกัดของ นายสนธิ โดยพนักงานจะทำงานในตำแหน่งเดิม และเงินเดิมเท่าเดิมทุกอย่าง

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนทั่วไปที่มิได้อยู่ในวงการธุรกิจแล้ว อาจสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไม บริษัทบริษัทแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จึงล้มละลาย

แต่สำหรับผู้ที่ติดตามข่าวสารทางด้านธุรกิจ และผู้คนในแวดวงสื่อสารมวลชนรู้ดีกว่า บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ประสบปัญหาทางด้านธุรกิจมาตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 และ มีหนี้สินหลายพันล้านบาทหรือที่เรียกกันว่า หนี้สินล้นพ้นตัว จนต้องการสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ตั้งแต่ปี 2541

การมีหนี้สินล้นพ้นตัวของ บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จึงไม่เกี่ยวกับการต่อสู้หรือต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ตรงกันข้าม ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ เรืองอำนาจตั้งแต่ต้น ปี 2544 นายสนธิ ลิ้มทองกุล กลับนำบริษัทในเครือ บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ปไปสนิทสนมใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ถึงขั้นออกมาเขียนปกป้องพ.ต.ท.ทักษิณ หลายครั้งหลายหน โดยเฉพาะในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเผชิญกับ คดีซุกหุ้นภาคแรก จนศาลรัฐธรรมนูญให้ พ.ต.ท.ทักษิณรอดคดีหวุดหวิดด้วยเสียง 8 ต่อ 7

ในช่วงดังกล่าวบริษัทในเครือแมเนเจอร์ฯเฟืองฟูอย่างมาก มีเม็ดเงินโฆษณาจากหน่วยงานของ รัฐและรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นจำนวนมาก

เมื่อมี หนี้สินล้นพ้นตัว การที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดต่อไปได้ก็คือการนำบริษัทเข้าสู้กระบวนการฟื้นฟูกิจการซึ่งมีเป้าหมายหลัก 2 ประการ คือ

1.ฟื้นฟูกิจการของบริษัท ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติที่เรียกกันว่า การออกจากแผนฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ

2.สามารถหาเงินมาชำระคืน ให้แก่เจ้าหนี้ที่ยื่นขอชำระหนี้ ในการฟื้นฟูกิจการดังกล่าว

อย่างไรก็ตามในกรณีของบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป เมื่อเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการแล้ว แม้จะมีการแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการหลายครั้ง แต่ไม่สามารถทำสำเร็จได้ตามแผนทั้งๆที่เวลาผ่านมาเกือบ 10 ปี ยังคงอยู่ในขั้นตอนที่ 1 ของกระบวนการฟื้นฟูกิจการเท่านั้น เมื่อศาลพิจารณาจากรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และพยานหลักฐานต่างๆ จึงเห็นควรให้บริษัทล้มละลาย จึงมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดดังกล่าว

การมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ก็เพื่อมิให้ทรัพย์สินของบริษัทบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ปที่เหลืออยู่ เสื่อมค่าลงไปอีก ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการชำระบัญชีโดยกฎหมายล้มละลาย และนำทรัพย์สินที่เหลืออยู่ดังกล่าวออกขายทอดตลาดเพื่อนำมาเฉลี่ยคืนให้แก่เจ้าหนี้ที่ยื่นขอชำระหนี้ไว้แล้วตั้งแต่การยื่นขอฟื้นฟูกิจการ และเจ้าหนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างการฟื้นฟูกิจการซึ่งเจ้าหนี้เหล่านั้นต้องมายื่นขอชำระหนี้ใหม่ในคดีล้มละลายภายในเวลา 2 เดือนนับแต่วันประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดสำหรับเจ้าหนี้ภายในประเทศไทย และ 4 เดือนสำหรับลูกหนี้นอกประเทศไทย

ในปัจจุบัน ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป มีหนี้สินอยู่เท่าไหร่ แต่จากข้อมูลการยื่นขอชำระหนี้ไว้ตั้งแต่การยื่นขอฟื้นฟูกิจการแล้ว ปรากฏว่า มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ 359 ราย เป็นจำนวนหนี้ที่ขอรับชำระหนี้ 4,726,097,449.67 บาท

แต่เมื่อนำทรัพย์สินที่เหลืออยู่ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ มาขายทอดตลาดแล้ว จะเหลือทรัพย์สินเฉลี่ยคืนให้แก่เจ้าหนี้ตามสัดส่วนคนละกี่บาท

สำหรับพนักงานบริษัทนั้นมีโอกาสที่จะได้รับการชำระหนี้ในอันดับต้นๆพร้อมกับค่าภาษีที่ต้องชำระภายใน 6 เดือน หลังจากชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ค่าธรรมเนียมของเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์และค่าทนาย ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 257 บัญญัติว่า

บุริมสิทธิในเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเพื่อการงานที่ได้ทำให้แก่ลูกหนี้ซึ่งเป็นนายจ้างนั้น ให้ใช้สำหรับค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าล่วงเวลาในวันหยุด ค่าชดเชย ค่าชดเชยพิเศษ และเงินอื่นใดที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเพื่อการงานที่ได้ทำให้ นับถอยหลังขึ้นไปสี่เดือน แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกินหนึ่งแสนบาทต่อลูกจ้างคนหนึ่ง

เพื่อให้เห็นภาพว่า บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป มาถึงจุดจบ จึงขอนำขั้นตอนกระบวนการฟื้นฟูกิจการมานำเสนอดังนี้

ผู้ร้องขอต่อศาลให้เข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการประกอบด้วย

ธนาคาร ทหารไทย จำกัด(มหาชน) ที่ 1

ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ที่ 2

บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ลูกหนี้ ที่ 3

ผู้บริหารแผน น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์

ทุนทรัพย์ 2,737,587,388.35 บาท

วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอ 9 ตุลาคม 2541

ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ 6 พฤศจิกายน 2541

มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ 359 ราย เป็นจำนวนหนี้ที่ขอรับชำระหนี้ 4,726,097,449.67 บาท

ที่ประชุมมีมติพิเศษยอมรับแผน และมีมติตั้งคณะกรรมการเจ้าหนี้รวม 7 รายคือ

1. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) รายที่ 125

2. นายสุวิทย์ จินดาสงวน รายที่ 200

3. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) รายที่ 216

4. บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ (ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ) รายที่ 262

5. บริษัทโรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด รายที่ 61

6. ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) รายที่ 44

7. บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอสจีสินเอเชีย จำกัด รายที่ 208

วันที่ 3 สิงหาคม 2542 ศาลแพ่งมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 90/58 วรรค 1 โดยมี นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้บริหารแผน

ศาลมีคำสั่งเมื่อ วันที่ 29 พฤษภาคม 2543 ตั้ง น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ เป็นผู้บริหารแผนคนใหม่

กำหนดนัดประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาข้อเสนอขอแก้ไขแผนของผู้บริหารแผน วันที่ 29 ธันวาคม 2546 เวลา 9.30. ห้องประชุม 1105 ชั้น 11 อาคารกรุงเทพประกันภัย

กำหนดนัดประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาข้อเสนอขอแก้ไขแผนของผู้บริหารแผน วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2547 เวลา 9.30. ห้องประชุม 1105 ชั้น 11 อาคารกรุงเทพประกันภัย

ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยข้อเสนอขอแก้ไขแผนของผู้บริหารแผน วันที่ 23 พฤษภาคม 2547

นัดประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาข้อเสนอขอแก้ไขแผน วันที่ 13 มีนาคม 2550 เวลา 09.30 น. ห้องประชุม 1105

คำสั่งเห็นชอบด้วยข้อเสนอขอแก้ไขแผน ของผู้บริหารแผน วันที่ 28 มิถุนายน 2550

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารแผน ซึ่งก็คือมือขวาของ นายสนธิไม่สามารถบริหารแผนให้เป็นไปตามเป้าหมายได้ จึงยื่นคำร้องต่อศาลขอขยายระยะเวลาซึ่งศาลนัดพิจารณาไปเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2551 แต่มีการเลื่อนพิจารณามาวันที่ 18 พฤศจิกายน จนศาลมีคำสั่งให้ บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ล้มละลายในที่สุด


เลขาฯก.พ.จวกพันธมารใส่ความยิงระเบิด

วันนี้ (21 พ.ย.) นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ให้สัมภาษณ์กรณีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ระบุมีการยิงระเบิดมาจากตึกสำนักงานก.พ.ใส่กลุ่มผู้ชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บว่า เมื่อช่วงเช้าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาตรวจสอบพื้นที่บริเวณสำนักงานก.พ. ซึ่งหากจะยิงระเบิดไปตกที่ทำเนียบรัฐบาลได้นั้น วิถีการยิงต้องไกลกว่านี้ดังนั้นจึงไม่น่าจะยิงมาจากสำนักงาน ก.พ.

นายปรีชากล่าวเปิดเผยว่าก่อนหน้านี้สำนักงานก.พ.ก็ยังโดนระเบิดจนหลังคาแตกได้รับความเสียหายมาแล้ว ยืนยันว่าตึกสำนักงานก.พ.ไม่ใช่จุดยิงระเบิดแน่นอน เพราะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด โดยได้สั่งเจ้าหน้าที่ทุกคนออกจากตึกกลับบ้านตั้งแต่เวลา 19.00 น.และนำกุญแจมาล็อคประตูทุกตึก รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนเฝ้าอยู่บริเวณนอกตึกตลอด 24 ชม. ในช่วงนี้ได้เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมากขึ้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะแอบขึ้นไปได้ พร้อมกันนี้เส้นทางที่จะเข้ามายังสำนักงานก.พ.ทั้งทางฝั่งวัดเบญจมบพิตร หรือถนนพิษณุโลกก็มีการ์ดของกลุ่มพันธมิตรฯเฝ้ายามอยู่อย่างหน่าแน่นทุกวัน จึงเป็นไปได้ยาก หากใครจะนำอาวุธระเบิดเข้ามายังสำนักงานก.พ.เพื่อก่อเหตุความรุนแรง


‘ม็อบมาร’เหิมเกริม!ติดอาวุธ-สวมเสื้อเกราะ‘โหรขัตติยะ’เตือน!บึ้มซ้ำ23พ.ย.


กองกำลังติดอาวุธ พธม.เหิมเกริม! ปล้นยุทธปัจจัยกองทัพ ใส่เสื้อเกราะ-พกปืนเดินแกว่งรอบทำเนียบฯ ‘เสธ.แดง' เตือน!พันธมารให้หดหัวอยู่ในรู เชื่อมีเหตุบึ้มซ้ำ 23 พ.ย.นี้ ชำเรา!มารศาสนา ‘สันติอโศก’ สับแหลก!ไอ้ฆราวาสหัวเกรียนนุ่งจีวร ทำศาสนาวิบัติ

จากกรณีการ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่วางกำลังรักษาการณ์โดยรอบพื้นที่ชุมนุม ได้สวมเสื่อเกราะสีดำ พร้อมพรางหน้าด้วยไหมพรม เดินตรวจตราความปลอดภัยภายในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเสื้อเกราะถือว่าเป็นยุทธปัจจัยของกองทัพ ที่คนทั่วไปไม่สามารถใช้ได้หากไม่ได้รับอนุญาต ยกเว้นแต่กองทัพโจรที่ทำตัวเป็นกฎหมายเสียเอง โดยมีการตั้ง สน.พันธมิตรฯขึ้นมา แล้วให้การ์ดแต่ละคนพกอาวุธและใส่เสื้อเกราะ

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ระบุว่า เรื่องนี้เป็นอย่างที่ทราบกันดีว่าผิดกฎหมายในการนำยุทธปัจจัยของกองทัพมาใช้ นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบอาวุธปืนและกระสุนปืนจำนวนหลายรายการ หายไปจากทำเนียบรัฐบาลหลังจากที่กลุ่มพันธมิตรฯเข้าบุกยึดทำเนียบ ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องเร่งดำเนินการ

“เรื่องนี้มันผิด และมันก็หายไปเยอะด้วย แสดงว่ามันมีการลักลอบเอาไป เรื่องนี้ตำรวจต้องรีบจัดการ ตนได้โทรศัพท์ไปบอกตำรวจแล้ว แจ้งไปแล้วว่าต้องจัดการ เพราะมันผิดกฎหมาย” พล.ต.ขัตติยะ กล่าวย้ำ

เมื่อถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพันธมิตรฯ ต่อจากนี้ไปจะรุนแรงอย่างที่เคยได้ให้สัมภาษณ์ไว้จริงหรือไม่ พล.ต.ขัตติยะกล่าวว่า ครั้งล่าสุดที่เกิดเรื่อง ตนตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทั้งที่ได้ทำการเตือนไปแล้ว ให้ทำบังเกอร์เพื่อป้องกัน แต่กลับเมินเฉยและออกมาเต้นรำทำเพลงกัน ก็เจ็บตายเป็นเบือกันขนาดนี้

ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นคนกระทำหรืออยู่เบื้องหลัง ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าพวกพันธมิตรฯโดน “ของจริง” เข้าให้แล้ว และในวันที่ 23 พ.ย.นี้ก็เช่นกัน อาจจะเกิดความสูญเสีย เพราะมีคนอีกจำนวนมากที่เกลียดชังกลุ่มพันธมิตรฯ

“ในวันที่ 23 พ.ย.นี้ บอกได้คำเดียว มีลูกเตือนลูก มีปู่ย่าตายายและพ่อแม่ด้วย เรียกกลับบ้านให้หมด อย่ามากัน ถ้าแห่กันมาก็บอกคำเดียวจองวัดได้เลย ถ้าใครมาเดินเตร่อยู่ ก็ขอเตือนไว้ คนเขาจองกันเยอะ ทีนี้ก็จะเหลือแต่สันติอโศก ซึ่งไอ้มารศาสนาพวกนี้ก็ต้องจัดการให้หมดไปจากประเทศด้วย เพราะมันไม่ใช่พระ ทำให้ศาสนาวิบัติ” พล.ต.ขัตติยะ ระบุชัด


'ม็อบโกเต็กซ์'เต้าข่าว!แต่งนิยายตุ๋นผู้ชุมนุม

ก่อนหน้านี้ พล.ต.ขัตติยะ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ระเบิดที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อช่วงเช้าวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บกว่า 20 ราย ซึ่งพันธมิตรฯ ได้กล่าวหาว่ามีนายพลคนดังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้

พล.ต.ขัตติยะ กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า ตนไม่รู้สึกตกใจ หรือตื่นเต้นกับข้อมูลที่ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาเปิดเผยว่ามีนายพลคนดังไปร่วมวางแผนที่ห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ก่อนที่จะนำอาวุธสงคราม เอ็ม 79 มายิงถล่มใส่กลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งทั้ง “จ่าหลิม” และ “จ่าเทพ” คือ ลูกน้องของตนที่ทำงานร่วมกับตน เป็นคนขับรถให้ ซึ่งทั้งคู่ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร

“จ่าหลิมเป็นนักดื่มเหล้า ซึ่งจะมีอาการเมาทั้งวันทั้งคืน และจ่าหลิมก็อายุมากแล้ว ตอนนี้ก็นับวันที่จะเกษียณอายุราชการ จะเอาแรงที่ไปถืออาวุธสงครามมายิง ส่วนจ่าเทพก็ได้ลาออกจากราชการไปแล้ว ซึ่งตัวของจ่าเทพก็มีน้ำหนักเป็น 100 กิโลกรัม เดินเหินก็ค่อนข้างลำบาก ดังนั้นข้อมูลที่กลุ่มพันธมิตรฯ มาเปิดเผยล้วนแต่มั่วสิ้นดี” พล.ต.ขัตติยะ กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ อ้างแหล่งข่าวจากหน่วยข่าวกรองทหารบก ว่ามีการวางแผนก่อนที่จะนำอาวุธสงครามมาถล่มกลุ่มผุ้ชุมนุมนั้น พล.ต.ขัตติยะ ชี้ว่า มันอ้างไปเรื่อยๆ ตอนนี้มันพยายามดิ้น จึงได้กุเรื่องต่างๆขึ้นมา ทั้งๆที่ข้อมูลที่ได้มาไม่ได้มาจากหน่วยข่าวกรองทหารบก แต่เป็นการแต่งขึ้นมาเอง และตนก็ไม่เคยไปห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ทั้งนี้จ่าหลิมและจ่าเทพ ใครๆ ก็รู้จักทั้งสองคนเป็นอย่างดี รวมถึง 5 นายพลที่ร่วมขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็รู้จักดีกันเป็นอย่างดีแทบทั้งสิ้น

"ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงได้มาอ้าง เพราะรู้ๆกันอยู่ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ หมดความชอบธรรมไปตั้งนานแล้ว ก็พยายามหาเรื่องมาผูกโยงเพื่อเรียกคะแนนจากประชาชนให้ร่วมสังคกรรมขณะนี้ประชาชนเขาเบื่อหน่าย และรู้พฤติกรรมของแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นอย่างดี" พล.ต.ขัตติยะ กล่าว


‘สุขุมพงษ์’ซัด‘พันธมาร’ซ่องสุม!‘องคมนตรี’ชำแหละพธม.ป่วนโครงการพระราชดำริ

‘สุขุมพงศ์’ ทุบโต๊ะ! ซัด ‘ม็อบโกเต็กซ์’ ก่อความวุ่นวาย ย้ำสิทธิการชุมนุมต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ‘องคมนตรี’ สุดทน! ‘ม็อบพันธมาร’ เหิมเกริมยึดทำเนียบฯเป็นที่ซ่องสุม ชี้โครงการพระราชดำริทำยาก-เจ้าหน้าที่ทำงานไม่ได้ หลังสำนักงาน กปร.ถูกปิดตาย ห้ามขนย้ายเอกสารสำคัญ

จากกรณีที่นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี ออกมาระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีสถานที่ทำงานอยู่ในทำเนียบรัฐบาล แต่ตอนนี้เจ้าหน้าที่หลายร้อยชีวิตไม่สามารถเข้าไปทำงานได้ และอุปกรณ์สำคัญหลายอย่างก็ยังอยู่ในทำเนียบรัฐบาล จะเข้าไปก็ต้องทำหนังสือขออนุญาตกลุ่มพันธมิตรก่อน

อย่างไรก็ตาม แม้แต่จะเข้าไปของออกมาแค่ชิ้น 2 ชิ้น ก็จะมีคนมาคุมตลอดเวลา หากเอาอย่างอื่นก็เอาไม่ได้ ทำให้การทำงานของ กปร.มีปัญหามาก ทำให้โครงการพระราชดำริทำงานยาก อีกทั้งเจ้าหน้าที่ทำงานไม่สามารถทำงานได้ จนต้องไปขออาศัยมูลนิธิชัยพัฒนาที่อัดกันแน่นนั่งทำงานในห้องเล็กๆ เหมือนตลาดสด

“ขณะนี้ทาง กปร.กำลังหาสถานที่ทำงานใหม่ ซึ่งจะต้องไปเช่าเขา เพราะที่ของตัวเองโดนยึดไปแล้ว” นายอำพล ระบุ

ต่อเรื่องดังกล่าว นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากหน่วยงานราชการใดที่มีสถานที่ทำงานในทำเนียบรัฐบาล แล้วไม่สามารถเข้าไปทำงานได้ หากจำเป็นต้องการเช่าสถานที่ทำงาน ต้องทำหนังสือมาที่คณะรัฐมนตรี ว่าจะเช่าที่ไหน ราคาเท่าไหร่ เพื่อที่จะนำเข้าเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้หากไม่มีงบประมาณเพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ทางรัฐบาลก็ต้องออกงบให้ เพื่อจะได้ทำงานได้สะดวก

นายสุขุมพงษ์ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯออกมาประกาศว่าในวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ เวลา 14.00 น. จะมีการเผด็จศึกนั้น เรื่องดังกล่าวทางรัฐบาลต้องรักษาความสงบเรียบร้อยอยู่แล้ว เนื่องจากการรักษาความสงบอยู่ในนโยบายของรัฐบาล ต้องมีหน้าที่ระงับเหตุการณ์หากมีความวุ่นวายเกิดขึ้น ทั้งนี้สิทธิการชุมนุมต้องเป็นไปตามกฎหมาย การชุมนุมทุกฝ่ายทำได้ แต่ต้องไม่ทำให้ใครหรือว่าบ้านเมืองเดือดร้อน ไม่มีความสงบสุข



'ชัยสิทธิ์'เล่นการเมือง!ยันไม่กลัวกระแสต้าน

อดีตผบ.สส.ประกาศลงเล่นการเมืองเต็มตัว อุบชื่อพรรคสังกัด ยันไม่หวั่นกระแสต้านนอมินี'ทักษิณ' ท้าแกนนำพันธมารลงสู้ศึกเลือกตั้งตามระบอบปชต. เล็งจับเข่าคุย'บิ๊กป็อก'กู้วิกฤตชาติ

วันนี้ (21 พ.ย.) พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ญาติผู้พี่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดบ้านพักแถลงข่าวประกาศพร้อมลงสู่สนามการเมือง ไม่หวั่นกระแสต่อต้านและถูกมองเป็นนอมินีของอดีตนายกรัฐมนตรี หลังได้รับการทาบทามจากนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน(พปช.) ให้มานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย

อดีตผบ.สส. กล่าวถึงสาเหตุที่ออกมาแถลงข่าวในวันนี้ว่า เนื่องจากมีสมาชิกพรรคพลังประชาชนบางคนออกมาให้ข่าวว่าตนเองไม่พร้อมที่จะลงเล่นการเมือง ยืนยันไม่เป็นความจริง เพราะยินดีที่จะกลับมาทำงานรับใช้ประเทศชาติ และตนมองว่าการลงสู่สนามการเมืองเป็นแนวทางที่ดีที่สุดตามวิถีประชาธิปไตย จึงอยากเรียกร้องให้แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) มาลงสู้ศึกเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยดีกว่าที่จะไปปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล

พล.อ.ชัยสิทธิ์ กล่าวอีกว่า หากได้สังกัดอยู่ในพรรคการเมืองใหญ่ก็จะทำให้สามารถทำงานได้มากกว่าพรรคเล็ก แต่ยืนยันว่าการประกาศลงสู่สนามการเมืองในครั้งนี้ไม่ได้ปรึกษากับ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึงคนในตระกูลชินวัตร ส่วนการจะเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับมติพรรค

อย่างไรก็ตาม อดีต ผบ.สส.ยังกล่าวอีกด้วยว่า อยากหาโอกาสจับเข่าคุยกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)เพื่อหารือปัญหาบ้านเมืองในฐานะที่เคยเป็น ผบ.ทบ.เหมือนกัน ซึ่งได้ประสานไปหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่ได้รับการตอบรับกลับมา เพราะส่วนตัวแล้วเชื่อว่า พล.อ.อนุพงษ์ ก็คงอึดอัดใจต่อสถานการณ์ในขณะนี้ไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งตนก็ไม่เห็นด้วยถ้าหากจะหันหน้าไปแก้ปัญหาด้วยการทำรัฐประหาร



เปิดตัว‘น้องจูน’มือนวดหลังเวที


"ประชาทรรศน์" ประจานต่อ หลังบก.ข่าวคนใกล้ชิดหลุดปากตอนเมา จัดสาวสังเวย ศาสดาโกเต็กซ์ แถมเม้าท์สนั่นหลัง 2 พิธีกร บนเวที เปลี่ยนสรรพนามมาเรียก "พี่" เปิดตัวล่าสุด 'น้องจูน'มือนวดหลังนวดไหล่ ไม่สนแม้สาวปันใจผู้ประสานงานคนดัง

* บก.ข่าวเมาหลุดพาเอ๊าะๆ เซ่นกามโกเต๊กซ์

ฉาวไม่จบไม่สิ้น! ล่าสุดแฉอีกจะจะ “ศาสดาโกเต๊กซ์” ไม่เคยยอมให้หญิงห่างกาย แม้แต่ยามปฏิบัตภารกิจหลอกแม่ยก ลงถึงหลังเวทีขายความเท็จปุ๊บยังต้องมี “น้องจูน” คอยนวดหลังนวดไหล่ใกล้ชิด แม้ว่าสาวทำท่าจะปันใจให้ผู้ประสานงานคนดัง แถม 2 สาวพิธีกรที่เปล่ยนสรรพนามมาเรียก “พี่” ก็ยังถูกเมาท์ว่าทำท่าจะเกิดการ “กินไก่วัด” ขณะเดียวกัน บก.ข่าวคนใกล้ชิด หลุดปากตอนเมาจัดสาวมาสังเวยทุกรูปแบบทั้งดารา-นักศึกษา ตั้งแต่ไซด์ไลน์ไปจนถึงแบบสดๆ ซิงๆ แบบเดียวกับคอลัมน์ที่ชอนไชไปถึงในมุ้งดารา ที่แท้ก็ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือสนองตัณหาตัวเอง

* ‘โกเต๊กซ์’ส่อกินไก่วัด2พิธีกรสาวเวทีกบฏ

ข่าวคราวฉาวโฉ่ของศาสดาโกเต๊กซ์จาระไนอย่างไรก็ไม่หมดไม่สิ้นได้ง่ายๆ เพราะไม่เพียง
แค่ชอบมั่วดารา คว้านางแบบสาวไปกก ตามด้วยการเสพสุขกับสาวไซด์ไลน์ ที่ทุ่มจ่ายไม่อั้นเท่านั้น
แต่คนใกล้ชิดยืนยันว่าแม้แต่คนกันเองก็ยังไม่เว้นวรรค เหมือนอย่าง 2 สาวฝีปากดี บนเวทีขายความเท็จ ก็ยังเปลี่ยนสรรพนามจากที่เคยเรียก “นาย” มาเรียก “พี่” ไปเรียบร้อย จนชาวบ้านชาวช่องเขาเมาท์กันให้แซด ว่าสรรพนามเปลี่ยนไป ตามความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง

แบบเดียวกับ “น้องจูน” ที่ตำแหน่งแห่งที่แท้จริงเป็นอย่างไรไม่ปรากฏ แต่ภารกิจยามอยู่หลังเวทีก็คือการปรนนิบัติพัดวี คอยนวดหลังนวดไหล่ศาสดา และต้องคอยอยู่ใกล้ๆ ไม่ให้ห่าง เพราะดันเกิดมาน่ารักน่าชังและอวบอั๋นตามสเป็ก

ส่วนสาวเจ้าจะเต็มอกเต็มใจ หรือตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าก็อมไว้ หรือเปล่า อันนี้ไม่มีใครยืนยัน เพราะมีคนใกล้ชิดบอกว่าน้องจูนคนนี้แอบไปปิ๊งปั๊ง กับผู้ประสานงานผิวเข้ม ที่มีพฤติกรรมฉาวแฉะไม่แพ้นายใหญ่

ขณะที่พฤติกรรมคาวๆ ของศาสดาโกเต๊กซ์ ก็ยังเคยถูกแฉจากบก.ข่าว คนใกล้ตัวในยามกรึ่มแอลกอฮอล์ ต่อหน้านักข่าวระดับหัวหน้าและบรรณาธิการหลายคน ที่ร้านชื่อเหมือนยาพิษในยุคที่โสเครติส ใช้ฆ่าตัวตาย ใกล้ๆ ร้านกิน ดื่ม

ในวันที่น้อยอกน้อยใจว่าศาสดาไม่เห็นความสำคัญจนต้องหนีออกมาซบค่ายตึกช้างเป็นการชั่วคราว โดยเอาแต่บ่นพึมพำว่าอยากได้อะไรก็จัดหาให้ไม่เคยขาดแต่กลับไม่เห็นความดี ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา สาวออฟฟิศ หรือแม้กระทั่งสาวบริสุทธิ์ผุดผ่องก็ยังจัดให้มาแล้ว พร้อมๆ กันก็ยังเล่าถึงพฤติกามวิจิตรพิสดาร ที่เกินกว่าจะบรรยาย

แต่หลังจากนั้นเมื่อค่ายตึกช้างทำท่าจะไปไม่รอด บก.ข่าวนายนี้ ก็กระโดดกลับไปหาศาสดาโกเต๊กซ์ตั้งหน้าตั้งตารับใช้เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่หนหลัง

ช่วยดูแลทั้งกิจการ และกิจกาม จนได้ดิบได้ดี และมีโอกาสได้ชูคอเป็นผู้ทรงเกียรติอยู่จนถึงทุกวันนี้

ส่วนที่สื่อในมือศาสดาโกเต๊กซ์ เปิดคอลัมน์เขียนถึงกิจกรรมแบบส่วนตั๊ว ส่วนตัวของคนดังและดารา-นางแบบสาว ราวกับตัวเองไปร่วมนัวเนียอยู่กับเขาด้วยนั้น

ว่ากันว่าแท้ที่จริงแล้วก็มาจากประสบกามของศาสดาโกเต๊กซ์ที่ไปเจอมากับตัว หรือไม่ก็ไปเก็บข้อมูลแบบใกล้ชิดสนิทสนมมาด้วยตัวเอง

หรือบางทีก็ยังใช้สื่อในมือเป็นเครื่องต่อรองแบบเอา “ข่าว” แลก “ไข่”

แล้วคนเขียนคอลัมน์นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ทีแรกนึกว่าเป็นนักเขียนบันเทิงรุ่นใหญ่ ชอบชิมอาหาร จริงๆ แล้วไม่ใช่ แต่เป็นนักวิจารณ์บันเทิงฝีปากจัดรุ่นหลัง ที่เคยทำข่าวกีฬาแต่ไม่รุ่ง

แต่จะเป็นใครก็ช่างเพราะได้รับการยืนยันว่าทั้งคู่เป็นแผนกจัดหา ที่เก๋าหน่อยก็ดูแลเรื่องดารา-นักร้อง-นางแบบไป ส่วนรุ่นเด็กกว่าถนัดแนวนักศึกษาไซด์ไลน์ก็ว่ากันไปตามถนัด เพราะว่ากันว่าศาสดาแกใช้บริการได้มากกว่าวันละ 1 คน โดยไม่สนสังขารและคำเตือนข้างขวด


จำลอง เผย สนธิ หมดตัว..ประกาศสู้ตายสงครามครั้งสุดท้าย



"จำลอง" เผย "สนธิ" หมดตัวประกาศสงครามครั้งสุดท้าย ชื่นชมสูญเสียทรัพย์สินมากมาย
แต่ยังเสี่ยงเพื่อหน้าที่ "สนธิ" ไม่สนศาลฟ้องล้มละลาย
ลั่นถ้ายังไม่ตาย มีลมหายใจก็ต้องสู้จนกว่าชีวิตจะหาไม่




เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนว่า หลังจากที่ศาลลัมละลายกลางมีคำสั่งให้บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)เจ้าของหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน ล้มละลายเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2551 นั้น ทางทีมกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ผุ้จัดการได้เปลี่ยนหัวหนังสือพิมพ์
ที่ออกจำหน่ายวันที่ 20 พฤศจิกายน เป็น "สารจาก ASTV โดยทีมงานผู้จัดการ"




"จำลอง"ชี้"สนธิ"หมดตัวจึงประกาศสงครามครั้งสุดท้าย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อคืนวันที่ 19 พฤศจิกายนถึงกรณีศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ล้มละลาย ทำให้นสพ.ผู้จัดการ ออกจำหน่ายในวันที่ 19 พ.ย.เปลี่ยนหัวจาก "ผู้จัดการ" เป็น "ผู้จัดการ 2551" ชั่วคราว จนกว่าจะจดหัวใหม่เสร็จในนามของบริษัท "เอเอสทีวี" ว่า พันธมิตรฯ มีเป็นแสนๆล้านคน แต่คนที่เสี่ยงการสูญสิ้นทรัพย์สินมากที่สุดคือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ทั้งที่ไม่มีใครมาบังคับไม่มีใครมาขอร้องแต่เห็นว่าเป็นหน้าที่ที่ตัวเองเข้ามาเสี่ยง คงไม่แปลกใจทำไม นายสนธิบอกว่าเป็นสงครามครั้งสุดท้ายเพราะเสี่ยงจนหมดแล้วจะมีครั้งหน้าเหลือที่จะไปสู้ได้อย่างไร



"สนธิ" ดิ้นต่อไม่สนศาลฟ้องล้มละลาย
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ เมื่อเวลา 20.00 น. ว่า

"แม้ว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการไม่สำคัญเท่ากับ "เอเอสทีวี" ถ้ายังไม่ตายมีลมหายใจต้องคลานเข้าไปและต้องสู้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ฉะนั้นพรุ่งนี้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการจะออกเหมือนเดิมแต่เราออกเป็นฉบับพิเศษ เขียนตัวเล็กๆว่า "รายงานข่าวการชุมนุมของพันธมิตรผ่านเอเอสทีวีโดยทีมงาน"เขียน"ผู้จัดการ" ตัวใหญ่ๆ"

นายสนธิ กล่าวว่า "ขณะนี้มีรายได้จากค่าโฆษณาประมาณหลายสิบล้านบาทจะหมุนเข้ามาในอีก 30-60 วันข้างหน้า แต่วันนี้เก็บไม่ได้แม้แต่บาทเดียวต้องเริ่มจากศูนย์ "ทุกคนมีเลือดนักสู้เข้มข้นไม่มีใครยอมแพ้แม้แต่คนเดียว ผมโดนอาวุธทุกรูปแบบ เลือดมันไหลอยู่ข้างในอมเลือดไว้ตลอด ยังไงเราต้องออก ภายใต้หัวหนังสือใหม่ ต้องไปกราบกรานเจ้าของโรงพิมพ์กระดาษ ติดหนี้ติดสินก็ต้องยอม เจ๊งเป็นเจ๊งตายเป็นตาย เคยเห็นไหมว่าล้มละลายโดยที่เจ้าหนี้ไม่ได้ฟ้อง เรายื่นคำร้องขอให้พิจารณาขยายแผนฟื้นฟู หรือไม่ก็ออกจากแผนฟื้นฟูเป็นเรื่องลูกหนี้เจ้าหนี้คุยกัน วันนี้เจ้าหนี้หมดไม่เหลือแม้แต่บาทเดียว ทนายความของแบงก์เออกันหมดไม่เข้าใจ " นายสนธิกล่าว

นายสนธิ กล่าวอีกว่า "คิดในใจจะมีอีกมั้ยให้มาเรื่อยๆ ไม่มีอะไรจะห้ามเลือดทุกหยดที่จะเสียสละให้สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่อยากจะทวงบุญคุณว่าการต่อสู้พวกเรายากเย็นแสนสาหัสแค่ไหน และว่า

"ยังไงก็ต้องสู้จะกัดก้อนเกลือกินก็ต้องสู้ ผมไม่ได้ท้อใจไม่ท้อแต่มันยิ่งทำให้ฮึกเหิมทำให้รู้ว่าชัยชนะใกล้เข้ามาแล้ว
ไม่ต้องกลัวถ้าตราบใดที่พี่น้องยังให้ใจกับ พันธมิตรมันจะเป็นอะไรไปกับแค่ความลำบากแค่นี้ และจะเห็นเองว่าบีบกันแค่ไหนจุดยืนของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันรายสัปดาห์ รายเดือน เอเอสทีวี จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอันขาด ล้มละลายแล้วยังไงไม่ล้มละลายแล้วยังไงขอให้ชาติอยู่" นายสนธิกล่าว


ที่มา ผู้จัดการ

จาก thaifreenews