บึ้ม! ลึกลับอีกข้างเวทีพันธมิตรฯ ส่งผลตาย 1 ราย สังเวยทำเนียบรัฐบาล เชื่อเป็นระเบิดเอ็ม-79 ถูกยิงมาจากด้านนอก ทั้งม็อบ-ฝ่ายค้าน-40 ส.ว. สบช่องหาเหตุเล่นงานรัฐบาล ขณะที่ พธม.ชั่วหากินกับคนตายตามฟอร์ม จ้องซัดทั้งตำรวจ-ทหาร ขณะที่แกนนำอยู่ไม่ติดเตรียมเรียกระดมพลอ้างชุมนุมใหญ่อีกแล้ว กังขา!สร้างสถานการณ์ เพราะเกิดเหตุรุนแรงทุกครั้งก่อนวันระดมคน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลาประมาณ 03.30 น. วันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 ได้เกิดเหตุระเบิดใกล้เวทีปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ภายในทำเนียบรัฐบาล ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บเบื้องต้น 12 รายเสียชีวิต 1 คน ทราบชื่อคือ นายเจนจิต กลัดสาคร อายุ 48 ปี ซึ่งโดนสะเก็ดระเบิดที่บริเวณลำคอ และมีผู้บาดเจ็บสาหัส 1 คนคือนายยุทธชัย ลือพักตร์ โดนสะเก็ดระเบิดฝังในที่บริเวณลำคอ ต้องผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิต โดยคาดว่าเป็นระเบิดชนิด เอ็ม 79 ที่ถูกยิงมาตกห่างจากเวทีประมาณ 15 เมตร
จากเหตุระเบิดดังกล่าวทำให้เข้าทางของกลุ่มพันธมิตรฯ และแนวร่วมอย่างประชาธิปัตย์ กลุ่ม 40 ส.ว. ที่พยายามโบ้ยให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบ จนมีการตั้งข้อสังเกตกันว่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์เองเหมือนอย่างที่ผ่านๆมา เพื่อโยนขี้ให้รัฐบาล และปลุกระดมคนให้ร่วมการชุมนุมในวันที่ 23 พ.ย.นี้หรือไม่
"โกวิท"สั่งตำรวจดูแลเต็มที่
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีเหตุระเบิดว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เข้าไปดูแลเรื่องนี้อย่างเต็มที่ โดยในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ยังไม่ได้มีการสั่งการอะไรเพิ่มเติม
ขณะที่ในเวลา 10.00 น. วันเดียวกัน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. ได้เรียกประชุมตำรวจที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีเกิดเหตุระเบิด โดย พล.ต.อ.จงรัก ปฏิเสธการเชิญ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก มาสอบสวน เพราะต้องสอบสวนผู้บาดเจ็บตามโรงพยาบาลต่างๆ ว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร หารายละเอียดให้มากที่สุดการจะเชิญใครมาสอบสวนต้องมีพยานหลักฐานพอสมควรก่อน แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รายละเอียดในส่วนนี้เลย
"ด้านการป้องกันตำรวจทำงานเต็มที่ ทุกวันนี้ก็ไม่ได้หลับได้นอน ตำรวจอยู่กับม็อบมานานก็ป้องกันทุกอย่าง เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงอยู่แล้ว" พล.ต.อ.จงรัก กล่าว
กองทัพรับบึ้ม!พธม.ระวังยาก
ขณะที่ พล.อ.อภิชาติ เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง เหตุระเบิดดังกล่าว ว่า ตนได้สั่งการให้ตรวจสอบเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัดว่าเป็นระเบิดชนิดใด ทั้งนี้ยอมรับว่า มีความเป็นห่วงสถานการณ์ ซึ่งยืนยันว่า ในส่วนของกองทัพไม่ได้ละเลย โดยมีการตรวจสอบทางด้านการข่าว รวมไปถึง เตรียมมาตรการในการดูแลในเรื่องนี้ แต่เห็นว่า สถานการณ์ปัจจุบันจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดูแลสถานการณ์ก่อน
ขณะเดียวกัน พล.อ.อภิชาติ กล่าวถึงความเหมาะสมในการประกาศพื้นที่ฉุกเฉิน หลังจากมีการลอบยิงระเบิดในพื้นที่การชุมนุมหลายครั้ง และล่าสุดมีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บจำนวนมากนั้น ระบุว่า การประกาศขึ้นอยู่กับการพิจารณาของรัฐบาล ส่วนตัวไม่ขอแสดงความคิดเห็น
"เสธ.แดง"ลั่นไม่เกี่ยวบึ้ม
ขณะเดียวกัน พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง กล่าวว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่คาดว่าผู้ก่อเหตุเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย และหลังจากนี้อาจเกิดเหตุลักษณะเดียวกันนี้อีก แต่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลากลางวัน
พล.ต.ขัตติยะ กล่าวถึงการตรวจสอบเหตุที่เกิดขึ้นว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่มีกฎหมาย เพราะเป็นเหมือนรัฐอิสระ ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่สามารถดำเนินการได้
ด้าน พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รอง ผอ.รมน.) กล่าวยืนยันว่าตน ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นใกล้เวทีพันธมิตรฯ ภายในทำเนียบรัฐบาล แม้หลายฝ่ายอาจตั้งข้อสงสัย เนื่องจากตนได้มีโอกาสไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนก่อเหตุ แต่หากต้องการให้ตนดำเนินการกับพันธมิตรฯ ตนก็เลือกใช้สันติวิธี จะไม่ใช้ความรุนแรงเด็ดขาด พร้อมทั้งไม่ขอประเมินว่าหลังจากนี้พันธมิตรฯ จะเจอกับเหตุการณ์อะไร เพราะกลัวว่าจะเป็นการสร้างบาป
อย่างไรก็ตาม อดีตรอง ผอ.กอ.รมน. ยังกล่าวยอมรับว่า สาเหตุที่ถอนตัวจากพันธมิตรฯ เพราะไม่พอใจที่ถูกตั้งให้เป็นเพียงที่ปรึกษา ตามที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวอ้างนั้น มีส่วนจริงอยู่บ้างแต่ไม่ทั้งหมด เพราะยังมีสาเหตุด้านอื่นประกอบกันด้วย
สันนิษฐานยิงระเบิดจาก ก.พ.
ด้าน พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ ผบก.น.1 พร้อมตำรวจที่เกี่ยวข้องนำเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิดของ บช.น.เข้าตรวจสอบบริเวณจุดเกิดเหตุระเบิดภายในทำเนียบรัฐบาล โดยมี พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ เป็นผู้พาดูที่เกิดเหตุ ทำการเก็บสะเก็ดระเบิดที่ตกอยู่โดยรอบ และตัดหลังคาเต็นท์ผ้าใบที่เป็นรูไปตรวจสอบ โดยใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 30 นาที
พล.ต.ต.อนันต์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบสะเก็ดระเบิดที่อยู่โดยรอบ และร่องรอยที่เต็นท์ ซึ่งได้ให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานตัดหลังคาเต็นท์ตรงจุดที่เป็นรูออกไปตรวจสอบแล้ว ทั้งนี้ จาการสอบถามเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้ทราบว่าต้องรอตรวจคราบเขม่าที่ติดอยู่ที่เต็นท์ คราบเขม่าที่ศพผู้ตาย และสะเก็ดระเบิดทั้ง 3 อย่างก่อนจึงจะวิเคราะห์ได้ว่าเป็นระเบิดชนิดใด
จากการตรวจสอบเบื้องต้นสันนิษฐานว่าวิถีการยิงน่าจะยิงมาจากทิศเหนือ ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ว่าอาจจะยิงมาจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ. ทั้งนี้ เป็นเพียงงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ต้องรอการตรวจพิสูจน์ที่ชัดเจนอีกครั้งก่อน
ยืนยันตร-ทหารไม่เกี่ยว
ขณะที่พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่แกนนำพันธมิตรมากล่าวอ้างว่าการยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าไปในบริเวณเวทีของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นฝีมือตำรวจทหารว่า ขอยืนยันตำรวจทหารไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง รู้เห็นเป็นใจ หรือสนับสนุนการก่อเหตุความรุนแรง เพราะตลอดการชุมนุมที่ผ่านมาตำรวจทหารทำหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยมานาน พยายามดูแลประคับประคองไม่ให้สถานการณ์บานปลาย เชื่องว่าเป็นการกระทำของกลุ่มที่หวังผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งหน่วยข่าวกำลังตรวจสอบข้อมูลแต่เปิดเผยรายละเอียดไม่ได้ ต้องรอการรวบรวมพยานหลักฐาน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ บช.น.มีคำสั่งให้ตั้งจุดตรวจจุดสกัดในพื้นที่จุดที่มีการชุมนุม เนื่องจากพื้นที่ข้างเคียงบริเวณกว้างจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มในการตรวจสอบต่อไป สำหรับการนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 23 พ.ย.ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.วางมาตรการดูแลความปลอดภัยให้ดีที่สุด ซึ่งขณะนี้ กลุ่ม นปช.ไม่ได้มีการเคลื่อนไหว ทำให้ไม่ยุ่งยากในการควบคุม ซึ่ง ผบ.ตร.ได้กำชับให้ บช.น. และปริมณฑล ให้มีการตรวจสอบเพิ่มเติมของผู้ที่เข้ามาในพื้นที่ชุมนุม ไม่ให้มีการพกพาอาวุธเข้ามา
เสธ.แดงย้อนพธม.มั่วข้อมูล
ต่อมาในช่วงเย็นวันที่ 20 พฤศจิกายนแกนนำพันธมิตรฯ ได้อ้างบนเวทีอีกครั้งว่าข่าวกรองทหารบก แจ้งว่า ก่อนหน้าเกิดเหตุระเบิดในทำเนียบรัฐบาลในช่วงประมาณ 03.00 น. ช่วงเช้ามืดของวันที่ 20 พฤศจิกายน ชุดปฏิบัติการของ เสธ.แดง ได้นัดประชุมวางแผนพร้อมกับชายฉกรรจ์ตัดผมเกรียนกว่า 10 นาย ที่ร้านกาแฟชื่อดังในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า
โดยมอบหมายให้ “จ่าหลิม” หรือ “จ่าหลิว” เป็นหัวหน้าชุดยิงระเบิด M-79 และมีชุดก่อกวนด้วยวัตถุระเบิด นำโดย “จ่าเทพ” ทหารนอกราชการ นั้น
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้ออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้งในกรณีดังกล่าว ว่าไม่รู้สึกตกใจ หรือ ตื่นเต้นกับข้อมูลที่ทางกลุ่มพันธมิตรฯ เปิดเผย ซึ่งทั้ง “จ่าหลิม” และ “จ่าเทพ” คือลูกน้องของตนที่ทำงานร่วมกับตนเป็นคนขับรถให้ ทั้งคูไม่ได้มีพิดมีภัยอะไร
“จ่าหลิม เป็นนักดื่มเหล้า มีอาการเมาทั้งวันทั้งคืน และอายุมากแล้วตอนนี้ก็นับวันที่จะเกษียณอายุราชการจะเอาแรงที่ไหนไปถืออาวุธสงครามมายิง ส่วนจ่าเทพ ก็ได้ลาออกจากราชการไปแล้ว จ่าเทพ มีน้ำหนักเป็น 100 กิโลกรัม เดินเหินก็ค่อนข้างลำบาก ดังนั้นข้อมูลที่กลุ่มพันธมิตรฯเปิดเผยล้วนแต่มั่วสิ้นดี” พล.ต.ขัตติยะ กล่าว
พธม.รวมพลครั้งสุดท้ายไล่รัฐบาล
ขณะเดียวกันพันธมิตร ได้ออกมาประกาศรวมพลใหญ่ขับไล่รัฐบาล ในวันที่ 23 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ เวลา 14.00 น. ที่หน้ารัฐสภา หากรัฐบาลปล่อยให้มีการเดินหน้าพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ต่อไป
โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศรวมพลเคลื่อนไหวใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลอีกครั้งในเวลา 14.00 น. วันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ หลังจากล่าสุดมีคนร้ายลอบขว้างระเบิดสังหารใส่กลุ่มผู้ชุมนุมฯ กลางดึกเมื่อคืนนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย บาดเจ็บ 23 ราย ซึ่งในจำนวนนี้สาหัส 2 ราย ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯ เชื่อว่าเป็นฝีมือของคนในรัฐบาล
แถลงการณ์ฉบับที่ 24 ของกลุ่มพันธมิตรฯ ระบุว่า จะเรียกระดมมวลชนครั้งใหญ่ เพื่อเผด็จศึกหยุดยั้งอำนาจรัฐบาลทรราชฆาตกรหุ่นเชิดและหยุดสภาทาสระบอบทักษิณ เนื่องจากมีการใช้อาวุธสงครามประเภทระเบิดเข่นฆ่าผู้มาชุมนุมร่วมกับพันธมิตรฯ ..