WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, September 19, 2008

อย่าทำให้กองเชียร์ผิดหวัง!!!

บทความ โดย เพื่อนพ้องน้องพี่
อย่าทำให้กองเชียร์ผิดหวัง!!!.....โดย Young PPP

หลังจากที่วันนี้ได้มีการโปรดเกล้า นายกคนใหม่ แล้ว!!!

พวกเราเหล่ากองเชียร์ก็มานั่งลุ้นต่อว่า นายกสมชาย ของประชาชนชาวไทยจะมีแนวทางการต่อสู้กับ "พวกอำมาตย์" ยังไง???

แต่วันนี้หลังจากที่ได้นั่งดูข่าวและฟังการให้สัมภาษณ์ของ ท่านนายก แล้ว...เริ่มรู้สึกว่า ท่านนายก ของเราจะใช้ไม้อ่อนในการจัดการกับเหล่า "กบฏ และ ฝ่ายอำมาตย์"

ด้วยสภาวการณ์ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ และปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมที่มีอยู่ ณ ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีค่ะ...เพราะตอนนี้ประชาชนส่วนใหญ่ คงต้องการความช่วยเหลือในด้านปากท้องมากกว่า...ประกอบกับประชาชนบางส่วน นักวิชาการ สื่อ...(ต้องขออนุญาตใช้คำว่า ก ร ะ แดะ)...ที่เรียกร้องไม่ให้รัฐบาลใช้ความรุนแรงในการกำจัด "ขยะ" ให้หมดไปจากทำเนียบ...

ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อย "ขยะ" พวกนั้นให้แห้งตายอยู่อย่างนั้นแหละค่ะ...เพราะตอนนี้เริ่มเน่าแล้ว ฝนตกทุกวัน...เดี๋ยวพอฝนตกชะไปเรื่อยๆ แล้วแดดออกหน่อย พวกขยะเน่า พวกนี้ก็จะแห้งกลายเป็นปุ๋ยอยู่ในทำเนียบเอง...และตอนนี้ก็เริ่มดูเหมือนว่า บางคนในกลุ่มก็เริ่มหาทางลงแล้ว!!!

การต่อสู้ครั้งใหม่นี้ไม่จำเป็นต้องไปให้เครดิตกับ "พวกขยะสังคม" นี้เลยค่ะ...เพราะนับวัน ขยะ พวกนี้เริ่มจะส่งกลิ่นเหม็น และเริ่มหมดความชอบธรรม!!! ความเสื่อมเริ่มเข้าครอบงำ...และตัวแกนนำเองก็เริ่มมีความลำบากในการควบคุมพวกเหล่านักรบศรีวิชัย ที่นับวันก็ยิ่งเหมือน โจรกบฏภาคใต้เข้าไปทุกที!!!

หลังจากที่ แม่ทัพสมัคร ได้ทำการแก้ผ้าพวกเหลือบที่ซ้อนตัวอยู่ในร่มผ้าทั้งหลายแล้ว...ศัตรูที่ซ้อนตัวอยู่ในร่มผ้าก็โผล่ออกมาดิ้นให้เห็น...และการแก้ผ้าครั้งนี้ก็สามารถ ล่อนจ้อนเหลือบพวกนี้ให้ประชาชนส่วนใหญ่ที่ยังมีสติอยู่ได้เห็นกันทั้งประเทศ เสียด้วยสิ!!! ต้องขอขอบคุณท่านนายกสมัคร มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

เพราะทำให้ตอนนี้เรารู้หมดเลยว่า ใคร เป็น ใคร??? ใครเป็นตัวแม่ ตัวประหลาด ตัวลูก ตัวอ่อน รู้หมด!!

แต่การต่อสู้ครั้งนี้ต้องต่อสู้อย่างมีชั้นเชิง...การใช้ไม้อ่อนด้วยการเข้าหา และเจราจากับทุกฝ่าย เพื่อลดดีกรีความร้อนลงจากครั้งเมื่อตอน "ลุงหมัก" เป็นผู้นำทัพ...และเพื่อให้เหมาะกับบุคลิกของ "ผู้นำทัพคนใหม่" ย่อมสร้างกระแสมวลชนที่สนับสนุนให้เกิดความปรองดอง และเมื่อมีกระแสสนับสนุนเพิ่มขึ้นย่อมสร้างความหวังให้เกิดขึ้นกับกองเชียร์ไม่น้อย...เพราะดูเหมือนสื่อและกระแสนิยม นายกสมชาย กำลังจะเกิดขึ้นเหมือนตอนที่ นายกทักษิณ ดำรงตำแหน่งค่ะ!!!

แต่กองเชียร์อย่างหนูก็แอบวิตกไม่น้อย เพราะกลัว ท่านนายกสมชาย จะเข้าไปเจรจาแล้วหลงกล "แม่เฒ่าสี่เสา" เหมือนครั้ง นายกทักษิณค่ะ!!!

ตอนนี้ประชาชนได้ร่วมเดินทาง ต่อสู้ เพื่อประชาธิปไตยกับท่านมานานและยังยินดีที่จะร่วมเดินทางกับท่านต่อไป...แต่ท่านอย่าทำให้ประชาชนผิดหวังด้วยการก้มหัวให้กับอำนาจมืดที่อยู่นอกระบอบประชาธิปไตยนะค่ะ...อ่อนน้อมแต่ไม่อ่อนแอ!!!

เป็นกำลังใจให้นายกคนใต้ที่ไม่ได้มาจาก พรรคแมลงสาบ ค่ะ...อิอิอิ


จาก thaifreenews

คลื่นมหาชนต้านรัฐประหารแน่นสนามหลวง “จตุพร” ค้านนายกฯยกเลิกข้อหากบฏ


นปช.ปลุกมวลชนต้านรัฐประหารทุกรูปแบบ “จตุพร” ค้านนายกฯยกเลิกข้อหากบฏแกนนำพันธมิตรเด็ดขาด ประชดหากเอาพันธมิตรฯออกจากทำเนียบฯไม่ได้ก็ให้อยู่ในทำเนียบฯไปตลอดชีวิต

บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ท้องสนามหลวง เวทีปราศรัย “ครบรอบ 2 ปีรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ยุติการเมืองพันธมิตร” เวลา 19.30 น. โฆษกประจำเวทีอ่านแถลงการณ์ นปช. ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ รวมทั้งมีการจุดพลุดอกไม้ไฟจำนวน 20 นัด เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549

จากนั้นนายวีระ มุสิกพงศ์ กรรมการบริหาร นปช. กล่าวว่า รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นกับดักทางการเมืองให้กับรัฐบาลประชาธิปไตย จึงต้องแก้ไขหรือฉีกทิ้ง เพื่อนำรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้ ทั้งนี้หากรายการความจริงวันนี้ซึ่งออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีถูกถอด ตนจะมาอยู่กับเวทีนปช. ทันที

ด้านนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พปช. กล่าวว่า การเมืองใหม่ของกลุ่มพันธมิตร เป็นการเมืองเก่า มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้อำนาจรัฐ หากเกิดขึ้นจริงจะทำให้เกิดสงครามกลางเมือง

ขณะที่นายวิภูแถลง กล่าวว่า นปช.จัดชุมนุมใหญ่ในครั้งนี้จะไม่มีการเคลื่อนขบวนหรือก่อเหตุรุนแรง ซึ่งเหตุการณ์ปะทะเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก ยืนยันว่า แกนนำจะยุติการชุมนุมทันทีเมื่อถึงเวลา 23.00 น.

ส่วนนายจรัล ดิษฐาอภิชัย กล่าวว่า ขอชื่นชมกลุ่ม19 ก.ย.ต้านรัฐประหาร และกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการที่เป็นแกนนำมวลชนต่างๆ ต่อต้าน คมช. จึงกลายเป็น นปช. ในวันนี้

นายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวว่า ตนยอมรับไม่ได้กับแนวคิดการเมืองใหม่ 50:50 คนอายุ 76 ปี ชีวิตที่ย่ำมากว่า 2 แสนไมล์ ความคิดยังย่ำอยู่กับที่ นอกจากนี้หากมีเหตุการณ์รัฐประหาร นปช.จะออกมาชุมนุมในทันที รวมถึงตนจะไม่ยอมให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ยกเลิกข้อหากบฏกับพันธมิตรฯเด็ดขาด ถ้าเอาพันธมิตรฯออกจากทำเนียบฯไม่ได้ก็ให้อยู่ในทำเนียบฯไปตลอดชีวิต วันนี้ทรัพย์สินของทางราชการในทำเนียบฯเสียหายเป็นจำนวนมาก ทำเนียบฯเต็มไปกลิ่นเหม็นและถุงยางอนามัย ไม่เข้าใจว่าการเมืองใหม่ทำไมจึงต้องผสมพันธุ์กันในทำเนียบฯ วันนี้พันธมิตรฯไม่มีทางหยุด ถ้านายกฯไปคุยด้วย ท้ายที่สุดก็จะเรียกร้องให้รัฐบาลยอมอ่อนให้


อ.จรัล เปิดเวที2ปีรัฐประหารซัดทำบ้านเมืองพังพินาศ-รธน.50 ควรฉีกทิ้ง


เวที นปช.คึก "จรัล ดิษฐาอภิชัย "ประณามการทำรัฐประหาร ทำประเทศชาติพัง ปลุกมวลชนอย่าให้เกิดขึ้นอีกขณะ อดีต นปก."วีระ มุสิกพงศ์ " ชี้ รัฐธรรมนูยปี 50 เป็นอุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตย ต้องฉีกทิ้ง

บรรยากาศการชุมนุม เนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปี การทำรัฐประหารของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ หรือ นปช.ที่บริเวณท้องสนามหลวง นายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำ กลุ่มนปช. ได้ขึ้นเวทีปราศรัยเป็นคนแรก โดยได้กล่าวประณามการทำรัฐประหารและผู้สนับสนุนการทำรัฐประหารที่ผ่านมา ที่ทำให้ประเทศเกิดความเสียหายทุกด้าน และขอให้ประชาชนอย่ายอมให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีก จากนั้น นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ได้ขึ้นเวทีกล่าวถึงการเมืองใหม่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า เป็นแนวทางการเมืองที่ล้าหลัง และมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้ได้อำนาจรัฐซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองตามมา

ขณะที่บรรยากาศล่าสุด นายวีระ มุสิกพงศ์ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ได้เดินทางมายังเวทีปราศรัยแล้ว โดย นายวีระ ได้ขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีว่า รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นกับดักและอุปสรรคต่อการทำงานในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสมควรที่จะต้องแก้ไข หรือฉีกทิ้ง ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมยังคงปักหลักรับฟังการปราศรัย ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก

องค์กรประชาชน ชุมนุมครบรอบ2ปีรัฐประหารต้าน พธม.แก้รธน.ทันที!


สหพันธ์นิสิตนักศึกษาภาคอีสาน และเครือข่ายคนรุ่นใหม่ภาคอีสาน และคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรธน.2550 ภาคอีสานประมาณ 100 คน ชุมนุมครบรอบ 2 ปีการรัฐประหาร

โดยนายพิชิต พิทักษ์แกนนำกลุ่มเปิดเผยว่า ทางกลุ่มได้มีกิจกรรมคือการชุมนุมประนามการทำรัฐประหาร2ปีที่ผ่านมา และประณามการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งจะมีการวางพวงหรีดให้พันธมิตรที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยขอนแก่น

ทางกลุ่มมีจุดยืนและข้อเรียกร้องดังต่อไปคือ ยืนหยัดหลักการประชาธิปไตย และเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550โดยมีข้อเรียกร้องคือ

1.รัฐบาลต้องกล้าหาญแก้ไขรธน..ให้เป็นประชาธิปไตยทันที

2ให้ผบ.ทบ.กับผบตร.บังคับใช้กฎหมายให้เป็นกฎหมายต้องสลายการชุมนุมของกบฏในทำเนียบ ภายใน7 วัน หากยังละเว้นขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีปลด ผบ.ทบ.และผบ.ตร. ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

3.ถ้าพันธมิตรยังไม่ยอมมอบตัว หรือผบ.ทบ.และผบ.ตร.ยังไม่บังคับใช้กฎหมาย ขอเรียกร้องต่อประชาชนให้ใช้วิธีการเช่นพธม. แบบอารยะขัดขืน โดยการใช้สิทธิในการชุมนุมไปชุมนุม ยึดบ้านท่าพระอาทิตย์ที่ทำการสื่อเผด็จการพันธมิตร เฉกเช่นเดียวกับที่พันธมิตรยึดทำเนียบรัฐบาล

“สดศรี”แจงพรรคการเมืองโปร่งใส ไม่จำเป็นต้องมีการเมืองใหม่

“สดศรี”ชี้แจงหากพรรคการเมืองโปร่งใสไม่จำเป็นต้องมีการเมืองใหม่ ย้ำทุกประเทศมีการเลือกตั้ง ส.ส.เข้ามา ถามกลับหากใชระบบอุปถัมภ์ ส.ส.จะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างไรระบุหากศาล รธน.ลงมติยุบ พปช.เกิดผลกระทบต่อการเมืองไทยแน่

นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ฝ่ายกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงข้อเสนอให้ใช้ระบบการเมืองใหม่ว่า ส่วนตัวเห็นว่าถ้าการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองมีความเข้มแข็งและโปร่งใส ไม่มีเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น ก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องมีระบบการเมืองใหม่ที่ ส.ส.มาจากการแต่งตั้ง ในสัดส่วน 50 ต่อ 50 หรือ 70 ต่อ 30 และที่สำคัญทุกประเทศมีการเลือกตั้ง ส.ส.เข้ามา ดังนั้นหากใครทำอะไรที่ผิดแผกแตกต่างจากประเทศอื่น ก็มีปัญหาว่าประเทศต่าง ๆ จะให้การยอมรับหรือไม่เพียงใด ที่สำคัญต้องยอมรับว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระบบอุปถัมภ์อยู่ ดังนั้นการที่จะแต่งตั้งบุคคลใดเข้ามาเป็น ส.ส. ก็ต้องถามว่าจะมีการใช้ระบบอุปถัมภ์เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ เราจะยืนยันได้อย่างไรว่า การแต่งตั้งบุคคลเข้ามาเป็น ส.ส.จะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างแท้จริง นอกจากนี้ระบบเล่นพรรคเล่นพวก ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นจะให้บุคคลเพียงไม่กี่คน มาคัดสรรตัวแทนขึ้นมาทำหน้าที่แทนประชาชนก็คงเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักเหมือนกัน สำหรับความคืบหน้าคดียุบพรรคพลังประชาชนนั้น

นางสดศรี กล่าวว่า ได้ส่งเรื่องไปให้อัยการสูงสุดไปพิจารณาแล้ว หากศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรค ก็แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อการเมืองไทย เพราะเป็นพรรคแกนนำหลักในการจัดตั้งรัฐบาลและมี ส.ส.มากที่สุด และยังมีจุดที่น่าเป็นห่วงคือปัจจุบันมี ส.ว.บางคน ได้ร้องขอให้ กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ส.และ ส.ว กว่า 200 คน ที่ถือหุ้นในบริษัทเอกชนว่าขาดคุณสมบัติหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ กกต.กำลังให้อนุกรรมการพิจารณาอยู่ หาก กกต.ลงมติว่าขาดคุณสมบัติ และเรื่องถูกส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญก็อาจทำให้การเมืองผลิกผันได้



นปก.รุ่น 2 ชี้ภาคประชาชนข้มแข็งต่อสู้ระบอบเผด็จการ

นปก. รุ่น 2 เผย 2 ปี ภาคประชาชนรวมตัวเข้มแข็งต่อสู้ระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย ซัด รัฐธรรมนูญ ปี 2550 เป็นหนึ่งในมรดกของเผด็จการ ที่วางเอาไว้เป็นกับดัก ชี้เป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งต่อการทำงานของรัฐบาล

ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) รุ่น 2 เปิดเผยว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงขึ้นเป็นอย่างมาก ในภาคประชาชน มีพัฒนาการที่ดีขึ้น มีการรวมตัวกันจนเข้มแข็งเพื่อที่จะออกมาต่อสู้กับระบอบเผด็จการและอำมาตยาธิปไตย ที่คอยจ้องจะบ่อนทำลายความเป็นประชาธิปไตยของประชาชน

ขณะเดียวกันด้านของเผด็จการเองก็มีความพยายามที่จะสร้างระบอบการเมืองใหม่อยู่เสมอ โดยไม่ยอมลดละ และยังพยายามใช่มุขเดิมดึงเอาทหารเข้ามาร่วมให้ทำการยึดอำนาจอีกครั้ง ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้น การต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยและอำมาตยาธิปไตยมีปรับเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้เรื่องมา ซึ่งเปลี่ยนจาการใช้กำลังและอาวุธ เข้าทำการยึดอำนาจ มาเป็นการใช้ตุลาการภิวัฒน์เข้าแทรกแซงอำนาจบริหาร และนิติบัญญัติ จนทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพทางการเมืองไม่สามารถที่จะเดินหน้าหรือถอยหลังได้เลย

ฉะนั้น หากเราไม่สามารถแก้ไขวิกฤติ และเอาอำนาจอำมาตยาธิปไตยออกไปจากประเทศไทยได้ บ้านเมืองคงจะไม่สามารถที่จะเจริญและพัฒนาไปตามระบอบของประชาธิปไตยได้อย่างแน่นอน ดร.เมธาพันธ์ กล่าวต่ออีกว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2550 เองก็เช่นกันที่เป็นหนึ่งในมรดกของเผด็จการ ที่วางเอาไว้เป็นกับดัก ซึ่งเป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานของรัฐบาล

ดังนั้นประชาชนควรที่จะลุกออกมาเพื่อแสดงจุดยื่นให้มีการแก้ไข รัฐธรรมนูญ 50 อย่างจริงจังโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้น ฝ่ายประชาธิปไตยก็จะต้องพ่ายแพ้ในที่สุด ซึ่งตนขอยืนยันว่า แนวทางที่จะแก้ไขปัญหาและเป็นทางออกที่ดีที่สุดคือ แก้ไข รธน.50 และทำให้ตุลาการกลับเข้าไปอยู่ในที่ตั้งของตนเอง ไม่ให้เข้ามาก้าวก่ายอำนาจด้านอื่น เพื่อมีสมดุลของอำนาจทั้ง 3 ฝ่าย

“ผมอยากจะฝากให้ทุกคนได้สำนึกถึงเจตนารมณ์ของล้นเกล้า รัชกาลที่ 7 ซึ่งพระองค์ไม่ได้ต้องการให้มีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยู่คู่กับประเทศไทย และต้องการให้ประชาชนทุกคนมีถือครองอำนาจปกครองอย่างเท่าเทียมกัน” ดร.เมธาพันธ์ กล่าว



“สมยศ” ซัด รัฐธรรมนูญโจร ต้นเหตุการเมืองอ่อนแอ เศรษฐกิจถดถอย


แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา แฉ 2 ปีรัฐประหาร เผด็จการทหารอยู่เหมือนเช่นเดิม ซ้ำร้ายยังคงมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซัดรัฐธรรมนูญโจร ต้นเหตุการเมืองอ่อนแอ เศรษฐกิจถดถอย

นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา กล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหลังจากเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติว่า เผด็จการทหารยังคงมีอยู่ทั่วไปเหมือนเช่นเดิม ซ้ำร้ายยังคงมีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิม โดยมีตัวการหลักอยู่ไม่ว่าจะเป็น องคมนตรี กองทัพ ตุลาการ พรรคการเมืองฝ่ายค้าน หรือแม้กระทั้งพันธมิตรฯ เป็นตัวขับเคลื่อน และมีความพยายามที่จะให้เกิดเหตุการณ์ที่ซ้ำรอยเดิม

นายสมยศ กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยของเราล้าหลังลงไปมาก ทางการเมืองทำให้รัฐบาลอ่อนแอไม่สามารถที่จะดำเนินการบริหารประเทศได้เท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นผลมาจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ในด้านเศรษฐกิจก็ถดถอยลงไปจากการกลุ่มอันธพาลพันธมิตรฯที่เข้ามายึดทำเนียบรัฐบาล จนทำให้ประชาชนเริ่มรู้สึกถึงความไม่มั่นคง และส่งผลไปถึงนักลงทุนชาวต่างชาติที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ไม่กล้าเข้ามาลงทุน ในด้านภาคสังคม ต่างเกิดภาวการณ์ใช้ความรุนแรงกระทบกระทั้ง เนื่องประชาชนส่วนใหญ่ไม่พอใจกับการกระทำของพวกม็อบพันธมิตรฯที่ทำตัวมีอำนาจอยู่เหนือกฎหมาย โดยมีเผด็จการคอยให้การสนับสนุน

นายสมยศ กล่าวต่ออีกว่า รัฐบาลควรที่จะเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ50 โดยเอา รธน.40 กลับมาใช้อย่างเร่งรีบที่สุด ประการที่สอง เร่งกำจัดอิทธิพลของพันธมิตรฯให้หมดไป อย่างปล่อยให้ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายอยู่เช่นนี้ ควรบังคับใช้ให้เด็ดขาดเสียที ประการสุดท้าย แก้ไขปัญหาปากท้อง และเศรษฐกิจของชาติ เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับนักลงทุนอีกครั้ง และช่วยเหลือเกษตรกรและแรงงานให้สามารถดูแลตนเองได้ ในส่วนของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปฏิรูประบบตุลาการให้มีความเป็นธรรม อย่าปล่อยให้ใช้อำนาจเกินกว่าที่ควรจะทำ หรือใช้อำนาจขัดขวางการบริหารงานจนรัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้เลย


นปช. ชุมนุมใหญ่ ใช้ชื่อ“กำจัดพันธมิตรฯ ยุติการเมืองใหม่” แกนนำขึ้นเวทีเพียบ


ชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ระดมแกนนำปราศรัยเพียบ ทั้ง สุรชัย แซ่ด่าน จรัล ดิษฐาอภิชัย น.พ.เหวง โตจิราการ รวมทั้ง จักรภพ เพ็ญแข ซึ่งจะขึ้นเวทีปราศรัยในเวลาประมาณ 20.00 น.ด้วย

นายชินวัฒน์ หาบุญพาด แกนนำ นปช. เปิดเผยถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ในวันนี้ ว่า เวทีปราศรัยเริ่มตั้งตั้งแต่เวลา 17.00 น. ภายใต้ชื่อ "กำจัดพันธมิตรฯ ยุติการเมืองใหม่" โดยจะมีแกนนำพูดบนเวที อาทิ นายสุรชัย แซ่ด่าน นายจรัล ดิษฐาอภิชัย น.พ.เหวง โตจิราการ รวมทั้งนายจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งจะขึ้นเวทีปราศรัยในเวลาประมาณ 20.00 น.ด้วย

ส่วนนายวีระ มุกสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้รับการประสานมาว่า ภายหลังจัดรายการความจริงวันนี้เสร็จ อาจจะขึ้นเวทีปราศรัยด้วย ทั้งนี้ ยืนยันว่า นปช.จะไม่เคลื่อนย้ายกลุ่มผู้ชุมนุมไปไหน และหากมีกลุ่มอื่นเคลื่อนย้ายไปปะทะกับพันธมิตรฯ ยืนยันว่าไม่ใช่กลุ่ม นปช.แน่ และจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนจะชุมนุมยืดเยื้อบริเวณท้องสนามหลวงหรือไม่นั้น ทางแกนนำจะขอฉันทามติจากกลุ่มผู้ชุมนุมก่อน


“จตุพร” ยันชุมนุม นปช.ไม่เคลื่อนขบวน ร้อง ผบ.ทบ.ตรวจอาวุธ2 ฝ่าย

จตุพร เผย ชุมนุมใหญ่ไร้อาวุธ – ปะทะ พร้อมวอน ผู้บัญชาการทหารบก มาตรวจอาวุธ ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.ที่สนามหลวง และพันธมิตรฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ในฐานะอดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) รุ่น 1 ยืนยันว่า การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ท้องสนามหลวงวันนี้ จะไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น และตนจะเป็นผู้กำชับด้วยตัวเองว่า ห้ามเคลื่อนขบวน โดยจะเน้นให้ความรู้ และผลของการปฏิวัติในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาแก่ผู้ชุมนุมเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ ตนขอเรียกร้องไปยัง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ให้มาตรวจอาวุธ ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.ที่สนามหลวง และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้เป็นไปตามกฏหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 63 ที่ระบุว่า ห้ามพกอาวุธในที่ชุมนุม



“วีรบุรุษ” หลังรัฐประหาร!


คอลัมน์ : ละครชีวิต

วันนี้ 19 กันยายน เป็นวันครบรอบ 2 ปีเหตุการณ์รัฐประหาร ซึ่งถือเป็นวันสำคัญยิ่งกับคนไทยทุกคน

ที่ผมบอกว่าเป็นวันสำคัญ เพราะว่าหลังจากวันที่ 19 กันยายน 2549 ชีวิตคนไทยทุกคนก็ต้องนับถอยหลัง ประสบพบเจอกับความหายนะ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม

ประชาชนทุกสาขาอาชีพต้องทำมาหากินด้วยความยากลำบาก พ่อค้าแม่ค้าต้องประสบมรสุมด้วยพิษเศรษฐกิจ บางครอบครัวถึงกับต้องสังเวยชีวิต

ท่านเคยถามตัวเองไหมว่า 2 ปีของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ สังคมไทยได้หรือเสียอะไร

นั่งคิดพิจารณา ผมยังไม่เห็นข้อดีของการทำรัฐประหารเลย เพราะมีแต่ข้อเสีย ทหารออกมาจากกรมกอง เดินกันให้ว่อนตามท้องถนน สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศอย่างใหญ่หลวง

อย่างไรก็ตาม หลังจากวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งถือเป็น “ยุคทหารครองเมือง” มีนายทหารเข้าไปนั่งบริหารงานในหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ มากมาย

ทหารเหล่านี้เข้าไปแทรกแซงเพื่อกำหนดให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นตามมานั้น “ไร้ความเป็นประชาธิปไตย” ให้มากที่สุด

เมื่อทหารออกมากดดันมากๆ จึงทำให้เกิด “วีรบุรุษประชาธิปไตย” ซึ่งเกิดขึ้นมากมาย ชนิดที่เรียกว่าไม่มียุคไหนในประวัติศาสตร์ที่มีนักต่อสู้ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยเท่าครั้งนี้

คนแรก “ลุงนวมทอง ไพรวัลย์” อายุ 60 ปี ที่ก่อเหตุสลดในเช้าวันที่ 30 กันยายน 2549 ได้ขับรถแท็กซี่พุ่งเข้าชนรถถังซึ่งปฏิบัติหน้าที่เข้าเวรรักษาความปลอดภัยลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อประท้วงคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ที่ทำให้ประเทศชาติเสียหาย

กระทั่งต่อมา “ลุงนวมทอง” ผูกคอตาย บริเวณหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

การเสียชีวิตของ “ลุงนวมทอง” ครั้งนั้นแสดงให้เห็นว่ามี “จุดยืนต่อต้านเผด็จการทหาร” อย่างชัดเจน

สังคมควรร่วมเคารพ เชิดชู ยกย่อง เป็นวีรชนนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่ต่างจากวีรชนในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ที่ต่อสู้เสียสละเพื่อประชาธิปไตยและสังคมส่วนรวมมาในหลายเหตุการณ์ในอดีต

ถัดจากนั้นเกือบ 2 ปี เราก็ต้องสูญเสีย “วีรบุรุษประชาธิปไตย” อีกครั้ง หลังจากนายณรงศักดิ์ กรอบไธสง ก่อเหตุปะทะกับโจรกบฏพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2551

ศพของนายณรงศักดิ์ กรอบไธสง จะย้ายจากวัดเสมียนนารีไปตั้งศพอยู่ที่วัดท่าทุ่งนา ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี มีกำหนดจะทำการฌาปนกิจศพ ในวันเสาร์ที่ 20 กันยายน 2551 เวลา 14.00 น.

นอกเหนือจาก “วีรบุรุษประชาธิปไตย” ทั้ง 2 ท่านที่ต้องยกย่องกันแล้ว ยังเกิด “นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” อีกมากมายนับไม่ถ้วน

มีบางคนถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผมก็ตอบกลับไปว่า ใครที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับอำนาจเผด็จการก็ถือว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทั้งหมด

โดยเฉพาะ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ที่ได้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาโดยตลอด สู้จนกระทั่งนาทีสุดท้าย

ถือเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับนักสู้รุ่นใหม่ที่จะเดินตามรอยอดีตนายกรัฐมนตรีที่ยิ่งใหญ่คนนี้

วันนี้ ครบรอบ 2 ปี เหตุการณ์รัฐประหาร ผมขอเชิญชวนประชาชนนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมารวมตัวกันที่ท้องสนามหลวงอีกครั้งตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป

มาช่วยกันแสดงเจตนารมณ์ว่าพวกเราพร้อมจะ “ต่อสู้” และไม่ยอมก้มหัวให้กับอำนาจ “เผด็จการ” อีกต่อไป!

ลวดหนาม

ชาวเหนือ ปชต. ชุมนุมรำลึก 2 ปีรัฐประหาร 19 กันยาที่เชียงใหม่


สมาชิกกลุ่มสมาพันธ์ชาวเหนือเพื่อประชาธิปไตยและเครือข่าย ซึ่งเป็นองค์กรแนวร่วมของแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประมาณ 50 คน ได้จัดกิจกรรมรำลึกเนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปี การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.)

โดยทางกลุ่มประกาศคัดค้านการรัฐประหาร คัดค้านการเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยวิธีการใดๆ ที่นอกเหนือจากรัฐรรมนูญ และเรียกร้องให้นำรัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมาใช้

โดยทางกลุ่มเดินขบวนมาจากหน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เชิงสะพานนวรัฐ มาตามถนนท่าแพ และสิ้นสุดที่การอ่านแถลงการณ์บริเวณข่วงประตูท่าแพ เนื้อหาโดยสรุประบุว่า การรัฐประหารที่เกิดขึ้นขัดแย้งต่อหลักการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ไม่เป็นที่ยอมรับของนานาอารยะประเทศ เป็นสิ่งที่ริดรอนสิทธิและเสรีภาพของพลเมืองอย่างรุนแรง เป็นการทำลายชาติและส่งผลเสียทางเศรษฐกิจที่สำคัญ นอกจากนี้การรัฐประหารมีการฉีกรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชน ผลจากการรัฐประหารทำให้เกิดการร่างรัฐรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

เนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปี 19 กันยา และการจากไปของรัฐธรรมนูญปี 2540 สมาพันธ์ชาวเหนือเพื่อประชาธิปไตยจึงมีข้อเรียกร้อง 4 ข้อได้แก่ 1.ร่วมกันต่อต้านการเกิดรัฐประหารในประเทศไทย 2.ต่อต้านกลุ่มบุคคลที่ต้องการทำรัฐประหารทุกรูปแบบ 3.ร่วมกันต่อต้านบุคคลทำการเมืองที่ทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตย 4.จะสร้างความเข้าใจต่อประชาชนถึงเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตย ส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงสิทธิ เสรีภาพ ต่อไป

ผู้ชุมนุมยังกล่าวปราศรัยบนรถขยายเสียงว่า “ไม่ต้องการรัฐธรรมนูญที่มาจากเสียงปืนและรถถัง สิ่งที่สวยงามก็คือประชาธิปไตยเท่านั้น” และ “No more coup. No more Tank. We want democracy”

นอกจากนี้ทางกลุ่มยังเรียกร้องให้มีการนำรัฐธรรมนูญปี 2540 กลับคืนมา และแสดงความไม่เห็นด้วยกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ชุมนุมยึดทำเนียบรัฐบาล และยังไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอแนวทางการเมืองใหม่และแนวทางประชาภิวัฒน์ของพันธมิตรอีกด้วย

การชุมนุมดังกล่าวเป็นไปอย่างสงบ ในช่วงท้ายมีการเปิดเพลง “ปณิธานเสรีชน” ของจิ้น กรรมาชน และเพลง “โซลิดาริตี้” (Solidarity) ก่อนที่จะสลายตัวไปในเวลาประมาณ 10.30 น. โดยทางสมาพันธ์ชาวเหนือเพื่อประชาธิปไตยยังแจ้งด้วยว่าจะจัดชุมนุมปราศรัยในช่วงเย็นที่หน้าโรงแรมแกรนด์วโรรส หลังวัดพระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เป็นกิจกรรมต่อจากนี้


Thursday, September 18, 2008

กลุ่มนักรบศรีธัญญารุมทำร้ายประชาชนปางตาย






ขัดขืนแบบพันธมิตร “สง่างาม” หรือ “ป่าเถื่อน” (1)


ต้องยกนิ้วให้ “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อคณาธิปไตย” ว่าของเขาดีจริง...

เพราะนอกจากความสามารถขั้นเทพในการปลุกระดมแล้ว ก็ยังอุดมด้วยความคิดสร้างสรรค์เต็มพื้นที่ไปหมด เป็นผู้นำอันดับต้นๆ ในการสร้างกระแส “แฟชั่น” ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นเสื้อผ้า แฟชั่นสิ่งของเครื่องใช้ แฟชั่นอุปกรณ์การเชียร์

แม้แต่แฟชั่นทาง “ภาษา” ก็ยังสามารถนำคำธรรมดาที่เคยถูกใช้ในพื้นที่จำกัดมาทำให้เป็นคำ “ป๊อปๆ” ที่ใช้กันดาษดื่น

“ภาคประชาชน” คำที่เคยเรียกใช้กันเองในคนไม่กี่กลุ่ม ก็ได้การชุมนุมของพันธมิตรฯเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วนี่เองที่ทำการตลาดให้ แม้ว่าระยะหลังผู้คนจะเริ่มสับสนสงสัยแล้วว่าอะไรคือ “ภาคประชาชน” กันแน่ บางคนแทบจะเข้าใจผิดไปเลยว่า จริงๆ แล้วภาคประชาชนแปลว่า ไม่เอาการเลือกตั้ง ปฏิเสธประชาธิปไตย แต่ยอมรับได้กับการรัฐประหาร...

ล่าสุด คำที่เคยอยู่แต่ในตำราวิชาสันติวิธีของอาจารย์มหาวิทยาลัยอย่าง “อารยะขัดขืน” ก็ได้รับการปลุกปั้นให้เชิดหน้าชูตาเป็นที่รู้จักวงกว้างได้โดยสำเร็จ โดยเริ่มจากการประกาศ “ไม่จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ภาษี ฯลฯ” ซึ่งแม้จะไม่สำเร็จแต่ก็ทำให้ประชาชนทั่วไปตื่นเต้นสนใจได้ว่า “นี่ล่ะหรือคืออารยะขัดขืน...”

ที่ทำให้โด่งดังกันสุดๆ ก็เมื่อพันธมิตรฯ เดินเกม “แหกตำรวจ ยั่วรัฐบาล หน้าด้านดื้อกฎหมาย” จากที่เคยนอกกติกา ก็หันมาเป็นนอกรัฐธรรมนูญ ทำลายสมบัติหลวง ช่วงชิงบุกยึดสถานที่ราชการ ระรานสิทธิและความสงบของประชาชนคนอื่นๆ ดื้อด้านขัดขืนไม่มอบตัวในข้อหากบฏ ฯลฯ

เหล่านี้กลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่อทุกอย่างที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย” ทำมาแล้วทุกอย่างและใช้ข้ออ้าง “อารยะขัดขืน” ในการปกป้องเสรีภาพของตัวเองเอาไว้ แม้ในวันที่ศาลได้ออกหมายจับแล้วก็ตาม...

จินตนาการได้ไม่ยากเลยว่า นับตั้งแต่มี “อารยะขัดขืน” ในมาตรฐานพันธมิตรปรากฏออกมา ความหมายที่แท้จริงของคำๆ นี้จะกลายเป็นที่โจษจันและตั้งข้อสงสัยมากแค่ไหน

จริงหรือไม่ที่เราจะ “ทำอะไรก็ได้” ตามแต่ความพอใจ

และถ้ามันผิดกฎหมายหรือทำลายกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดขึ้นมาร่วมกัน จะอ้างเพียงว่า “อารยะขัดขืน” เพื่อปฏิเสธการต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำได้แล้วกระนั้นหรือ

แท้จริงนั้น คำว่า “อารยะขัดขืน” ถูกนำมาใช้ครั้งแรกโดย รศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้บุกเบิกวิชาการด้านความรุนแรงและสันติวิธีในประเทศไทย อ.ชัยวัฒน์ อธิบายว่า อารยะขัดขืน (Civil Disobedience) เป็นเรื่องของการขัดขืนอำนาจรัฐ ที่ต้อง “อารยะ” (ถูกต้อง ดีงาม เจริญแล้ว) ทั้ง “วิธีการ” และ “เป้าหมาย” จะขาดประการใดประการหนึ่งไปไม่ได้ และการกระทำนั้นต้องทำให้สังคมโดยรวมอารยะขึ้น หรือเจริญขึ้น สูงขึ้น ไปในทางที่ดีขึ้น

วิธีการอย่างอารยะจากมุมมองของ อ.ชัยวัฒน์ นั้น ยังต้องเปิดเผย ไม่ใช้ความรุนแรง และที่สำคัญคือต้องยอมรับผลตามกฎหมายที่จะเกิดขึ้นกับตัวผู้ใช้แนวทางอารยะขัดขืนหรือสันติวิธี เพื่อให้สังคมการเมือง “เป็นธรรม” ขึ้น “เคารพ” สิทธิเสรีภาพของคนมากขึ้น และเป็น“ประชาธิปไตย” ยิ่งขึ้น

ซึ่งหากว่ากันตามแนวทางของนักวิชาการเจ้าตำรับสันติวิธีท่านนี้เพียงท่านเดียวเสียก่อน ก็ต้องพิจารณากันว่าการกระทำของพันธมิตรฯ เข้าข่ายนี้สักกี่ข้อ

“วิธีการ” ของพันธมิตรฯ ดีงาม ถูกต้อง ปราศจากความรุนแรงเพียงใด

“เป้าหมาย” นั้นเล่า ได้เคารพมนุษย์คนอื่นๆ เพียงพอหรือไม่

เป็นไปเพื่อประชาธิปไตย เพื่อความเป็นธรรมเท่าเทียม เพื่อความเจริญเติบโตและเข้มแข็งของสังคมการเมืองบ้างหรือเปล่า

DSI ชวนคิด ‘ทิ้งลูกให้เกมเลี้ยง เสี่ยงไปหรือไม่!!!’


คอลัมน์ : ฮอตสกู๊ป

พิษภัยจากการใช้คอมพิวเตอร์กำลังเป็นปัญหาคุกคามครอบครัวและสังคมอย่างน่าเป็นห่วง ลูกหลานของเราที่กำลังนั่งเล่นเกม ส่งอีเมลติดต่อกับเพื่อนทางอินเตอร์เน็ต ค้นคว้าหาความรู้ หรือแม้แต่ทำรายงาน อยู่ในสายตาของผู้ปกครองทุกวินาทีหรือไม่ เป็นคำถามที่ไม่ยากจะคาดเดาคำตอบและยากที่จะหาทางอุดช่องโหว่ดังกล่าว เพราะทันทีที่ท่านซื้อคอมพิวเตอร์หรือแม้กระทั่งโทรทัศน์ใส่ไว้ในห้องนอนลูกก็ไม่ต่างจากจับยาพิษใส่มือลูกรอวันที่มันจะหันมาทำร้ายคุณและคนในครอบครัว หากท่านไม่มีเวลามากพอที่จะดูแลบุตรหลานของท่านอย่างใกล้ชิด

นายโชค วิศวะโยธิน วิทยากรจากเว็บไซต์กระปุก ดอทคอม กล่าวในการอบรมพ่อแม่ ผู้ปกครองและเยาวชน รวมทั้งผู้สนใจใน “โครงการอบรมเยาวชนในการสอดส่องและแจ้งเบาะแสการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์” หรือ DSI CYBER FORCE ว่า หนทางแก้และป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ การเอาใจใส่จากคนในครอบครัวและไม่ตามใจเด็ก การสร้างวินัยและความรับผิดชอบให้เด็กตั้งแต่ยังเล็ก อย่าให้ลูกเล่นเกมมากหรือนานโดยไม่มีขอบเขตและควรมีการพูดคุยเพื่อแก้ปัญหา ได้แก่ การพูดจาที่ดีต่อกัน ไม่ดุด่าแต่ควรปรับวิธีสร้างความเข้าใจระหว่างผู้ปกครองและเด็ก การรู้จักชื่นชมและให้กำลังใจ และควรเปิดโอกาสให้เด็กและผู้ปกครองได้กำหนดกติการ่วมกัน

ซึ่งจะทำให้เด็กยอมรับและทำตามกติกามากขึ้น ดีกว่าการบังคับ อีกทั้ง ผู้ปกครองควรปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเด็ก เช่น การหาพื้นที่จัดวาง ควรวางไว้กลางบ้านหรือวางไว้ในพื้นที่ผู้ใช้อยู่ในสายตาของคนในครอบครัวได้อย่างชัดเจน และควรเพิ่มและเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ตามความถนัด เด็กจะได้รับการยอมรับและความภาคภูมิใจจากความสำเร็จจากกิจกรรมนั้นๆ ซึ่งเด็กจะลดเวลาการเล่นเกมหรือ หันออกจากเกมเองด้วยความสมัครใจ

นายโชค กล่าวด้วยว่า แม้ที่ผ่านมา “เกม” จะตกเป็นจำเลยเสมอเมื่อเกิดพฤติการณ์ไม่คาดฝันกับเด็กและเยาวชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเข้าใจผิดเหมาว่าเกมทั้งหมด เป็นตัวการร้าย โดยตนขอยืนยันว่า เกมไม่ใช่ภัยร้ายเสมอไป หากผู้เล่นหรือผู้ปกครองรู้เท่าทันจะสร้างประโยชน์มายังผู้เล่นอย่างมหาศาล

“เพื่อนของผม เล่นเกมตั้งแต่อนุบาลแต่ทุกอย่างอยู่ในสายตาของพ่อ คอยให้คำแนะนำ กระทั่งเขาสามารถเขียนโปรแกรมบนเครื่องเล่นเกมมือถือได้ ตอนอยู่ ป.4 เขาสามารถประกอบคอมพิวเตอร์ได้ พอ ม.5 เขาได้เข้าร่วมในการแข่งขันโอลิมปิกชิงชนะเลิศด้านคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันเขานำความสามารถด้านนี้มาประกอบหน้าที่การงานที่ดี ดังนั้น ผมยืนยันและสนับสนุนให้มีเกมไว้ในบ้าน เพราะเกมที่ดีจะช่วยพัฒนาเซลล์สมองของเด็กทำให้เขาสามารถคิด และได้มองสิ่งรอบตัวได้หลายๆ แง่มุมมากกว่าเด็กที่ไม่ได้เล่นเกมที่สร้างสรรค์ เช่นแผนการรบ หรือเกม Puzzle”

สำหรับเวลาที่เหมาะสมในการเล่นเกมในแต่วันนั้น นายโชคแนะนำว่า ไม่ควรเกินวันละ 1.5 ชั่วโมงถือว่ากำลังดี แต่หากเกินกว่า 1.5-3 ชั่วโมงต่อวัน ควรตักเตือนและให้คำแนะนำ หรือชักชวนให้ไปทำกิจกรรมนอกบ้านกับครอบครัว แต่หากเกินกว่าวันละ 3 ชั่วโมง ผู้ปกครองควรเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญบทบาทของผู้ปกครองควรเล่นกับลูก หรือช่วยเหลือให้คำแนะนำในการเล่น โดยไม่ต่อต้านอย่างตรงไปตรงมา จะทำให้เกิดความไว้วางใจ และทำให้ผู้ปกครองรู้เท่าทันว่าบุตรหลานของตนที่กำลังเล่นเกมอยู่นั้นอยู่ในสถานการณ์ใด

“เคยมีผู้ปกครองท่านหนึ่งเป็นทนาย แม้เขาเองจะไม่มีเวลามากพอที่จะดูแลใกล้ชิดเมื่อลูกของเขาเล่นเกม แต่เมื่อใดก็ตามที่ลูกมาขอเงินเพื่อไปซื้อเกมหรือทุกอย่างที่เกี่ยวข้องเขาจะพูดคุยกับลูกเสมอว่าจะนำเงินไปซื้ออะไร เพื่ออะไร พร้อมทั้งแนะนำวิธีการเล่น หรือเจรจากับเพื่อนๆ ของลูกบนเกมออนไลน์ ทำให้เขารู้ถึงสถานการณ์ของลูกขณะเล่นเกมออนไลน์เสมอ ดังนั้นการอ้างว่าผู้ปกครองไม่มีเวลาดูแลบุตรหลานอาจไม่ใช่ข้ออ้างที่ไม่มีทางออกอีกต่อไป” นายโชคกล่าว
ทั้งนี้ นางประภาพร นิลสุวรรณโฆษิต คุณแม่วัยกลางคน ที่เข้ามาอบรมพร้อมกับลูกสาววัยสิบกว่าขวบ เปิดเผยว่า การอบรมครั้งนี้ นอกจากเด็กและเยาวชนรวมถึงผู้ปกครองจะได้ประโยชน์และเข้าใจถึงคุณสมบัติที่ดีและภัยที่แฝงมากับอินเตอร์เน็ตแล้ว ยังได้รับรู้ถึงวิธีจัดการปัญหา “เด็กติดเกม” ซึ่งทำให้ผู้ปกครองต้องหันมาสนใจปัญหานี้ให้มากขึ้น รวมถึงหนทางแก้ไขซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการนำไปใช้ในการอบรมบุตรหลานต่อไปได้ สำหรับลูกสาวแม้ไม่ได้ติดเกม แต่ต้องใช้อินเตอร์เน็ตในการสืบค้นข้อมูลทำรายงาน ทำการบ้าน บางครั้งเขาก็จะบอกเราเองว่า เขาเสิร์ช (Search) หาข้อมูลแล้วพบภาพที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นมาโดยที่เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ ตนจึงคิดว่าปัญหาดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขได้ในระดับครอบครัวและเป็นปัญหาที่เด็กส่วนใหญ่จะพบเมื่อใช้คอมพิวเตอร์ และก็เป็นที่มาของการเข้าร่วมการอบรมในครั้งนี้ นอกจากความรู้เรื่องการรู้เท่าทันเกมแล้ว ยังทำให้เข้าใจและรู้ถึงรูปแบบกลลวงของพวกมิจฉาชีพได้ทัน ระวังและรอบคอบมากยิ่งขึ้นและรู้จักป้องกันภัยต่างๆ ได้

ด้าน นางณฤดี โอวาทวรัญญู จูงหลานชายวัย 7 ขวบ เข้าร่วมรับการอบรมในครั้งนี้ด้วย กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการเข้าร่วมอบรมในครั้งนี้เนื่องจากอยากรับทราบความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับภัยของคอมพิวเตอร์เพื่อไปสอนเด็กๆ และในการพาหลานมาครั้งนี้แม้เขาจะไม่ได้ติดเกมแต่ก็อาจอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงเพราะสภาพสังคมในปัจจุบันเมื่อเขาเติบโตขึ้นก็ต้องเกี่ยวข้องและล้วนต้องใช้คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวันแน่นอน การมาครั้งนี้จึงเป็นเหมือนการให้เขาค่อยๆ รับรู้และซึมซับสิ่งดีๆ และข้อควร หรือไม่ควรปฏิบัติและการระวังภัยจากการใช้คอมพิวเตอร์ สำหรับส่วนตัวแล้วคิดว่าการอบรมในลักษณะให้ผู้ปกครองเข้าร่วมกับเด็กและเยาวชนเช่นนี้มีไม่บ่อยครั้งนัก ตนอยากให้กรมสอบสวนคดีพิเศษจัดขึ้นอีกหลายๆ ครั้ง เพราะเท่าที่ตนรับทราบยังมีผู้ปกครองอีกหลายครอบครัวที่ต้องการเข้าร่วมอบรมในครั้งนี้แต่ไม่ได้มาเพราะติดภารกิจ

พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน ผู้บัญชาการสำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวว่า โครงการ DSI CYBER FORCE จัดขึ้นทุกปี ปีละ 4 ครั้ง ในปีนี้เป็นปีที่ 5 และในเวทีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองและบุคคลทั่วไปสามารถเข้าร่วมการอบรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายแจ้งเบาะแสผู้กระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ และเพื่อให้ความรู้เรื่องพิษภัยจากคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต วิธีการเก็บหลักฐานทางอินเตอร์เน็ตเพื่อแจ้งเบาะแสคนผู้กระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์

สำหรับผู้ปกครองหรือเด็กและเยาวชนที่ไม่มีโอกาสไปร่วมอบรมในโครงการดังกล่าว ก็สามารถป้องกันพิษภัยจากอินเตอร์เน็ตได้ง่ายๆ โดยไม่...ลืมลงโปรแกรมป้องกันไวรัส สปายแวร์ ไม่...เปิดเผย password แก่บุคคลอื่น ไม่...เปิดไฟล์แปลกๆ ซึ่งอาจมีไวรัสซ่อนอยู่ ไม่...forward โดยใช้ spam mail ไม่...ทำ marketing โดยใช้ spam mail ไม่...ลืมเปลี่ยน password ทุกๆ 3 เดือน ไม่...ควรให้ข้อมูลส่วนตัวแก่เว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่...รอช้า แจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่ทันทีเมื่อพบการกระทำความผิด ไม่...เชื่อคำชักชวนหรือโฆษณาผ่านทางเน็ตง่ายๆ เพราะอาจถูกหลอกลวง ไม่...รู้จะปรึกษาใครเวลามีปัญหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ให้...ปรึกษาพ่อแม่ ด่วนนะจ๊ะ

ที่มา : กรมสอบสวนคดีพิเศษ


‘สุธา’ ออกจาก ส.ส. แล้ว


เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 18 กันยายน นายสุธา ชันแสง ส.ส.กทม.พรรคพลังประชาชนและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้เดินทางมายื่นใบลาออกจากการเป็น ส.ส. ที่ฝ่ายงานสารบรรณ สภาผู้แทนราษฎร

นายสุธา กล่าวว่า การลาออกครั้งนี้ ไม่ได้แจ้งให้ผู้ใหญ่ภายในพรรครับทราบ เพราะเกรงว่าจะถูกทักท้วง ทั้งนี้ตนได้คิดแล้วว่าหากภายใน 4 เดือนนี้ไม่หาย ตนก็จะลาออกจาก ส.ส. ซึ่งการยุติบทบาททางการเมืองครั้งนี้ก็เพื่อไปรักษาตัว แต่อย่างไรก็ตาม ตนต้องขอบคุณพรรคและประชาชนทุกคนที่ให้โอกาสตนได้ทำงานอย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนการเลือกตั้งซ่อมเป็นเรื่องของพรรคว่าจะส่งใครไปแทน

อย่างไรก็ตามถึงแม้จะรักษาหาย ตนก็จะไม่กลับมาเล่นการเมืองอีกแล้ว แต่จะหันไปทำงานทางด้านสังคมโดยจะไปช่วยงานในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุธาได้เดินทางมาพร้อมมีผู้พยุงมาด้วย เนื่องจากเป็นอัมพฤกษ์ ป่วยตั้งแต่สมัยเป็น รมว.พัฒนาสังคมฯ ในรัฐบาลสมัคร 1 และมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องวุฒิการศึกษาจนทำให้เส้นเลือดในสมองแตกและกลายเป็นอัมพฤกษ์จนต้องขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี

เว็บมัด ‘จรัญ’ สอนหนังสือแถมเปิดเลคเชอร์ที่ศาลรธน.


ผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญให้ นายสมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะไปจัดรายการอาหาร “ชิมไปบ่นไป” ตามความเห็นของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน นั้น ได้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ ที่ฮือฮาอย่างยิ่งสำหรับกระบวนการยุติธรรมของไทย

ขณะที่บนบรรทัดฐานเดียวกันก็ได้ถูกย้อนเป็นคำถามกลับไปที่ตุลาการรัฐธรรมนูญบางคน โดยเฉพาะนายจรัญ ภักดีธนากุล ซึ่งเป็นอาจารย์พิเศษสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง และเชื่อได้ว่ายังคงสอนอยู่ในปัจจุบัน ทั้งที่ตำแหน่งตุลาการ ก็มีการห้ามความเป็นลูกจ้างไว้เช่นเดียวกัน

โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า การไปรับจ้างสอนหนังสือของนายจรัญ ก็น่าจะเข้าข่ายความผิดมาตรา 207 (2) และ (3) และมาตรา 209 ในกรณีไปเป็นลูกจ้างองค์กรอื่น ๆ

ดังนั้นหากใช้บรรทัดฐานเดียวกันกับกรณี การไปเป็นลูกจ้างดำเนินรายการโทรทัศน์ “ชิมไปบ่นไป” ของ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี แล้ว นายจรัญ ก็สมควรต้องออกจากตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเช่นกัน ตามที่มาตรา 207 ระบุถึงการกระทำต้องห้ามดังกล่าวคือ

(2) ไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือไม่เป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ

(3) ไม่ดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกันหรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใด (ข้อความเช่นเดียวกับมาตรา 267)

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า นายจรัญ ภักดีธนากุล มีชื่อเป็นอาจารย์พิเศษ และยังสอนหนังสืออยู่ในหลายสถาบัน คือที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ วิชาที่สอน 300-306 กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิชาที่สอน 0801236 พยาน และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต และยังจัดรายการเวทีความคิด วิทยุเอฟเอ็ม 96.5 เมกะเฮิรตซ์ เวลา 20.00-21.00 น.

ล่าสุดที่ยังปรากฏหลักฐานชัดเจนที่เว็บไซต์ ม.รังสิต
http://www.rsu-lawonline.com/news_detail.php?bn_id=1529 ถึงการสอนหนังสือของนายจรัญ ยังมีให้เห็น โดยได้เปิดการติวสรุปล่วงหน้าวิชา LAW312 กฎหมายลักษณะพยาน บทที่ 1-15 ของคณะนิติศาสตร์ ขึ้นในวันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา และที่สำคัญนัดหมายติวกันที่ศาลรัฐธรรมนูญ

ถึงจะมีนักวิชาการออกมาให้ความเห็นต่างๆ นานา ว่าไม่เหมาะสม ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่อดีต สสร. ก็ออกมาทำหน้าที่เป็นแม่ไก่กางปีกปกป้องลูกเจี๊ยบอย่างนายจรัญว่าคุณสมบัติไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่า การสอนหนังสือ ถือเป็นการบริการทางวิชาการ ไม่ใช่การดำเนินธุรกิจเพื่อหวังผลกำไร ทั้งที่มีการจ่ายค่าตอบแทนอันน่าจะเข้าข่ายการเป็นลูกจ้างชัดแจ้ง

จึงเกิดเป็นความคิดความเห็นว่า เมื่อรัฐธรรมนูญมาตรา 207 กำหนดไว้ชัดเจนเช่นนี้แล้ว ว่าสเป็กของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่ต่างไปจากนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ทางที่ดี นายจรัญ ควรลาออกเสียก่อนที่จะถูกประชาชนเข้าชื่อกันขับไล่
แม้กรณีของนายสมัคร และนายจรัญ อาจมีข้อเท็จจริงและองค์ประกอบแตกต่างกันในหลายประเด็น แต่เมื่อมีข้อสงสัยในเรื่องดังกล่าวและเพื่อดำรงความน่าเชื่อและศรัทธาของศาลรัฐธรรมนูญต่อสาธารณชน ศาลรัฐธรรมนูญจึงควรทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง

แม้จะมีการโจมตีในรายการเพื่อนพ้องน้องพี่ และรายการความจริงวันนี้ มาแล้วกว่า 1 สัปดาห์ แต่นายจรัญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คนอื่นๆ ก็ไม่ออกมาตอบโต้ หรือแก้ข้อกล่าวหาแต่อย่างใด ดังนั้น คงต้องขอความร่วมมือจากประชาชนทั้งหลายให้ช่วยกันส่งจดหมายไปทวงถามเรื่องดังกล่าว ยังสำนักงานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นการแสดงพลังประชาชนให้คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้เห็น

และหากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือประชาชนที่สงสัยว่า พฤติการณ์และการกระทำของนายจรัญขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็สามารถเข้าชื่อกันยื่นต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วินิจฉัยหรือถอดถอนนายจรัญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270-271 ได้

โปรดเกล้าฯแล้วสมชายนัด‘ป๋า’จ้องเจรจาม็อบ


"สมชาย วงศ์สวัสดิ์" รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ลั่นยึดมั่นความซื่อสัตย์มีคุณธรรมและหลักกฎหมาย เผยเตรียมเดินสายพบ “เปรม—อานันท์-ชวน” ขอคำแนะนำ ด้าน "หมอเลี้ยบ"ประกาศวางมือ ไม่ขอรับตำแหน่งรัฐมนตรี จนกว่าคดีหวยบนดินจะถึงที่สุด คาดทาบ "ทนง-โอฬาร" ร่วมทีมเศรษฐกิจ ขณะที่ “สมพงษ์” เผยเตรียมส่งคนกลางเจรจากลุ่มพันธมิตรฯ เร็วที่สุด

ในที่สุดก็ได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 26 อย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อ นายชัย ชิดชอบ ได้นำพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา ณ บ้านพักหมู่บ้านเบเวอรี่ ฮิลล์ ย่านแจ้งวัฒนะ ท่ามกลาง ส.ส. ญาติมิตร และบรรดาสื่อมวลชน ไทย และสื่อต่างประเทศ ที่ร่วมแสดงความยินดี และเฝ้ารอทำข่าวต่อเนื่องตลอดทั้งวัน

“ชัย” นำชื่อนายกฯทูลเกล้าฯ
ในเย็นวันเดียวกันนี้ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา ได้เดินทางออกจากรัฐสภา เพื่อเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อนำความกราบบังคมทูลฯนำรายชื่อผู้ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ทูลเกล้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย โปรดเกล้าฯ ณ พระราชวังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
นายชัย ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางว่าหลังจากทรงโปรดเกล้าฯแล้ว ตนพร้อมคณะจะนำพระบรมราชโองการฯ ไปยังบ้านของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ว่าที่นายกรัฐมนตรี ทันที

โปรดเกล้าฯ “สมชาย” นายกฯ
ต่อมาเวลา 17.29 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายร่างประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อทรงพิจารณาลงพระปรมาภิไธย และรับพระราชทานประกาศพระบรมราชโองการ เพื่ออัญเชิญไปดำเนินการต่อไป

หลังจากนั้น เวลา 19 .00 น. นายสมชาย ทำพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกฯคนที่ 26 โดยนายสมชายกล่าวภายหลังว่าอยากให้ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจช่วยกันแก้ไขปัญหาปากท้องและอยากให้คนไทยปรองดองให้อภัยซึ่งกันและกันเพื่อให้ประเทศกลับมาอยู่เย็นเป็นสุข ทั้งนี้ตนจะบริหารราชการแผ่นดิน โดยยึดมั่นความซื่อสัตย์ ยึดมั่นคุณธรรมและหลักกฎหมาย

ขณะที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ชี้แจงกระแสข่าวที่จะวางมือไม่รับตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาลชุดใหม่ว่า ส่วนตัวเคยแจ้งไว้กับทางนายกฯ กรณีที่ตัวเองติดปัญหาคดีหวยบนดินซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีการประทับรับฟ้องของศาล แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ไม่ได้มีการพิจารณาว่าผู้ที่ถูกร้องนั้นจะต้องยุติการทำหน้าที่หรือไม่ ทำให้ยังมีความไม่ชัดเจนว่าการถูกฟ้องในตำแหน่งเดิม จะสามารถทำหน้าที่ในตำแหน่งใหม่ได้หรือไม่ แม้ทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะเคยให้ความเห็นว่าไม่มีปัญหา แต่ก็ยังมีผู้ที่ต้องการให้เกิดความชัดเจน และนำไปสู่การพิจารณาของศาลที่เกี่ยวข้องต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อมีการสรรหารัฐมนตรีชุดใหม่ได้แจ้งความจำนงต่อที่ประชุมพรรคพลังประชาชนว่า เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจว่าตนเองยังยึดติดตำแหน่งหรือดื้อแพ่ง ไม่กังวลเกี่ยวกับการตีความเรื่องเหล่านี้ จึงขอที่จะเว้นวรรคไว้ชั่วคราวก่อน แต่ยังที่จะร่วมมือทำงานกับทุกคนเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาบ้านเมืองต่อไป และยังคงเป็นเลขาธิการพรรค

นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน หลังจากที่มีการโปรดเกล้าฯ แล้ว นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะเดินทางไปพบอดีตนายกรัฐมนตรีหลายคน เช่น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายชวน หลีกภัย นายบรรหาร ศิลปอาชา และนายสมัคร สุนทรเวช เพื่อขอคำแนะนำและคำปรึกษา รวมทั้งจะประสานงานกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อหาทางออกในความขัดแย้ง

‘วิฑูรย์’ ร้อนตัวคดีใบแดงค้านสอบพยานเพิ่ม


“วิฑูรย์ นามบุตร” พร้อมทีม ส.ส.อุบลราชธานี ปชป. ร้อนตัวก่อนถึงวันชี้ขาดใบแดง กรณีทุจริตเลือกตั้ง ที่อาจนำไปสู่การยุบพรรคประชาธิปัตย์ จากข้อหา ฉายหนัง-หาเสียง บุก กกต.ยื่นหนังสือร้องเรียน คัดค้านการสอบพยานของพรรคพลังประชาชนเพิ่ม อ้างชี้แจงข้อกล่าวหาเสร็จสิ้นไปแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมา นายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 4 อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายศุภชัย ศรีหล้า และนายวุฒิพงษ์ นามบุตร ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกร้องคัดค้านกรณีแจกบัตรชมภาพยนตร์และฉายภาพยนตร์ ซึ่งส่อแววว่าหากโดนใบแดงก็จะนำไปสู่การยุบพรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอความเป็นธรรม หลังจาก กกต. มีมติเมื่อวันที่ 11 กันยายน ให้สอบพยานเพิ่มเติมอีก 7 ปากภายใน 15 วัน ตามที่ นายสมบัติ รัตโน อดีตผู้สมัคร ส.ส.อุบลราชธานี พรรคพลังประชาชนเป็นผู้ร้องคัดค้าน

โดย นายวิฑูรย์ เปิดเผยว่า ตนมายื่นหนังสือขอความเป็นธรรม เพราะกระบวนการสอบสวนของ กกต.จ.อุบลราชธานี และชั้นอนุกรรมการสอบสวนของ กกต.กลางได้สอบพยานเสร็จสิ้นครบทุกปากแล้ว และพวกตนได้นำพยานวัตถุและบุคคลมาหักล้างแก้ข้อกล่าวหาต่ออนุกรรมการทุกประเด็นแล้ว

ดังนั้น พวกตนจึงตั้งข้อสังเกตว่าหากมีการสอบพยานอีก 7 ปากทำไมไม่สอบสวนให้เสร็จตั้งแต่ 8-9 เดือนที่ผ่านมา และพยานอีก 7 ปากที่ขอให้สอบเพิ่มนั้นเป็นใครบ้าง มีการประวิงเวลาให้เรื่องนี้ล่าช้าหรือไม่ และสิ่งที่กังวลก็คือจะมีการเปิดประเด็นใหม่หรือไม่ โดยพวกตนจะได้มีโอกาสแก้ข้อกล่าวหาอีกครั้งหรือไม่ หากกกต.จะเชิญฝ่ายตนมาสอบเพิ่มก็พร้อมจะมาชี้แจงทุกเมื่อ

“การที่ กกต.เลื่อนการพิจารณาออกไป โดยอ้างว่าผู้ร้องคัดค้านให้สอบพยานเพิ่มอีก 7 ปาก พวกผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะพยานทั้ง 7 ปากนั้นไม่ได้อ้างเป็นพยานไว้แต่ต้น และกระบวนการสอบได้เสร็จสิ้นไปแล้ว การจะเอาหัวคะแนนและพยานใหม่มาเป็นพยานเพื่อให้สอบสวนเพิ่มเติมโดยไม่จบสิ้น ทำให้พวกตนเสียเปรียบในการแก้ข้อกล่าวหา

เพราะดูเหมือนว่าผู้ร้องคัดค้านได้ล่วงรู้ถึงข้อบกพร่องในสำนวนการสอบ จึงไม่เห็นด้วยเพราะไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ได้ขอให้ประธาน กกต. ระงับการสอบสวนพยานเพิ่มเติม หรือหากมีการสอบสวนก็ไม่ควรรับฟังเป็นพยานในสำนวน” นายวิฑูรย์กล่าว

ประณามพธม.ป่าเถื่อนตื้บคนสลบกลางถนน


สังคมประณามพันธมิตรฯ สุดเถื่อน หลังช่อง 7 สี เผยแพร่คลิปประจาน ม็อบนับสิบใส่กุญแจมือรุมกระทืบคนกลางถนนราชดำเนินกลางวันแสกๆ ระบุลากตัวไปประเคนไม้เบสบอลจนน่วมไปทั้งตัวแล้วรอบหนึ่งใน สน.พันธมิตรฯ แต่ผู้บาดเจ็บหนีออกมาได้ เลยถูกล่าตัวไปกระทืบซ้ำ พบอาการสาหัส ข้อมือหัก สมองบวม มีรอยช้ำทั่วร่างกาย เก็บตัวเงียบไม่กล้าออกจากบ้านหวั่นถูกทำร้าย เพราะม็อบชั่วข่มขู่เอาชีวิต คอลัมนิสต์ดัง “ฉลามเขียว” เตือนคนคิดออกไปชุมนุม ทำเนียบวันนี้คือดินแดนป่าเถื่อน

เหตุการณ์ความดิบ เถื่อน ของกลุ่มการ์ดพันธมิตรฯ ที่ทำร้าย ข่มขู่ ผู้สื่อข่าวและผู้ชุมนุมที่สงสัยว่าจะเป็นฝ่ายตรงกันข้ามด้วยความรุนแรงได้เกิดขึ้นเป็นรายวัน หลังจากกรณีล่าสุดมีทั้งการตะคอกใส่นักข่าวสาวจากมติชน พร้อมกับการฉุดกระชากทั้งที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ หรือจะเป็นกรณีช่างภาพข่าวสดที่ถูกหิ้วปีกไปสอบสวน หรือรถโมบายของบางกอกโพสต์ที่ถูกกลุ่มคนติดอาวุธล้อมกรอบมาแล้วถึง 3 ครั้ง 3 หน

ช่อง7แพ่รภาพม็อบตื้บคนกลางถนน
ล่าสุดเมื่อเย็นวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา ยังได้ปรากฏภาพข่าวทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เผยแพร่ภาพเหตุการณ์ การ์ดพันธมิตรฯ หลายสิบคน บนสะพานมัฆวานฯ กำลังรุมทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่งลักษณะอ้วน ผิวเข้ม ที่ไม่มีทางสู้ อย่างโหดเหี้ยมอำมหิต

โดยมีการเปิดเผยจากจักรยานยนต์รับจ้างในบริเวณดังกล่าวว่ากลุ่มนักเลงมัฆวานฯ ในชุดผ้าพันคอสีเหลือง ยังมีอาวุธปืนยาวด้วย และเมื่อกลุ่มโจรดังกล่าวรู้ตัวว่ากำลังถูกถ่ายภาพก็เอาผ้าพลาสติกมาบังไว้ และยังคงดำเนินการอุกอาจต่อไป

อย่างไรก็ตาม มีรายงานจากผู้ประสบเหตุว่าหลังจากถูกรุมยำจนสลบแล้ว ได้มีผู้เห็นเหตุการณ์เข้ามาดูแล เปลี่ยนเสื้อที่ชุมโชกไปด้วยเลือด และส่งขึ้นรถแท็กซี่ไปยังโรงพยาบาลเอกปทุม จ.ปทุมธานี โดยทราบในเบื้องต้นว่ามีข้อมือหักและบาดแผลฉกรรจ์ทั่วร่างกาย

ในเวลาต่อมา “ประชาทรรศน์” ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่วิทยุชุมชนคนแท็กซี่ว่าพบตัวผู้ที่ถูกทำร้ายจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ทราบชื่อว่า นายโกศล ธีระธรรมกรณ์ อายุ 42 ปี ประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างบริษัทแห่งหนึ่ง เช่าบ้านอยู่กับลูกสาว 1 คน ได้กลับไปพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านเช่าในย่านบางบอนแล้ว แต่ยังช่วยตัวเองได้ไม่มากนักและมีอาการหวาดผวา จึงติดต่อขอสัมภาษณ์

แค่ชูป้ายต่อต้านการยึดทำเนียบ
นายโกศล เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยออกมาร่วมต่อต้านระบอบเผด็จการที่ท้องสนามหลวง ในช่วงสมัยรัฐบาลนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ หลายครั้ง โดยหลังจากนั้นได้กลับไปอยู่ที่บ้านเกิด จนเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2551 จึงได้ย้ายกลับมาเช่าบ้านที่กรุงเทพฯ เพื่อทำงาน ซึ่งได้ติดตามข่าวสารการเมืองรวมไปถึงพฤติกรรมของกลุ่มพันธมิตรฯ อยู่เป็นระยะ จนทำให้ตนรู้สึกว่าอยู่เฉยไม่ได้แล้ว

จนเมื่อวันอาทิตย์ 14 กันยายน ที่ผ่านมา ตนได้ยื่นถือป้ายประท้วงใล่พันธมิตรฯ คนเดียว เพื่อต้องการให้รู้ว่ายังมีประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับพันธมิตรฯ อยู่อีก 1 คน ในตอนแรกที่ตนได้ไปยื่นถือป้ายได้มีกลุ่มการ์ดพันธมิตรฯ ที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์คนเข้าออกประมาณ 6 คน ออกมาตะโกนถามว่า มึงเป็นพวกไหน ใครเป็นคนจ้างมา พร้อมกับแย่งกระเป๋าถือของตนไปตรวจสอบ ตนจึงตอบไม่ได้ว่าเป็นพวกใคร มาคนเดียว เพียงแต่ว่าที่มาเพื่อต้องการให้บ้านเมืองสงบ

กลุ่มการ์ดได้แย่งแผ่นป้ายของตนไปพร้อมกับขู่ว่าอย่ามาให้เห็นหน้าอีก ตนจึงได้รีบแยกตัวออกมาเพื่อจะขึ้นรถกลับ โดยก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

ใส่กุญแจมือรุมกระทืบจนสลบ
หลังจากนั้นตนจึงได้เดินมาขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์ บริเวณสนามม้านางเลิ้ง แต่มีกลุ่มชายลึกลับตรงเข้ามาล็อกคอตน และบีบคอจนทำให้ตนสลบไป แล้วนำตัวขึ้นรถกระบะ พาวนรถไปที่ไหนตนก็จำไม่ได้ แต่ตอนที่ตื่นขึ้นมาบนรถกระบะ ได้ถูกชายที่นั่งอยู่บนรถรุมทำร้ายจนทำให้รู้สึกเวียนศีรษะ เพราะถูกตีด้วยไม้เบสบอลทั้งตัว และถูกกระทืบจนข้อมือหัก แล้วถูกจับคลุมด้วยถุงผ้าสีดำ เพื่อไม่ให้ตนจำได้ว่าเป็นใครบ้างที่ทำร้ายตน และไม่ต้องการให้ตนจำสถานที่ได้

โดยหลังจากนั้น ตนถูกจับใส่กุญแจมือและลากตัวกลับเข้ามาบริเวณข้างป้อมตำรวจที่ไหนสักแห่งภายในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งตนสังเกตเห็นป้ายกระดาษเขียนว่า สน.พันธมิตรฯ พอมาถึงในห้องที่มีการ์ดพันธมิตรฯ อยู่กันในห้องประมาณ 6-7 คน พวกที่จับตนมา นำตนมาทิ้งไว้ แล้วมีพวกที่อยู่ในห้องตรงเข้ามาฟาดด้วยไม้เบสบอลและเตะใส่อย่างไม่ยั้ง พร้อมกับตะโกนถามเป็นพวกไหน ใครจ้างมา พร้อมทั้งให้ตนเลือกว่าจะอยู่ข้างไหน

มีการเช็กเบอร์โทรศัพท์ของตนเอาไว้ และบัตรประจำตัวประชาชนหายไปไหนก็ไม่รู้ อีกทั้งยังถ่ายรูปตนเอาไว้อีกด้วย จนทำให้ทุกวันนี้ตนไม่กล้ารับโทรศัพท์หมายเลขแปลกๆ เลย และไม่กล้าออกไปไหน เพราะกลัวโดนขู่ทำร้ายอีก

อุกอาจลากตัวกระทืบซ้ำจากเขตทหาร
นายโกศล เล่าต่ออีกว่า นอกจากจะโดนซ้อมแล้วยังข่มขู่ตนด้วยว่า จะเอาไปทิ้งให้จระเข้กินบ้างหรือจะเอาทิ้งแม่น้ำบ้าง หากตนไม่ยอมบอกและไม่ยอมเลือกว่าจะเข้าข้างใคร ตนกลัวมากจึงต้องแกล้งสลบไป เพราะไม่อยากจะเผชิญกับความหวาดกลัวในขณะนั้น ซึ่งตนคิดว่าจะไม่มีโอกาสรอดกลับมาเห็นหน้าลูกได้อีกแล้ว

หลังจากโดนรุมซ้อมอยู่นาน และตนได้แกล้งสลบไปมาอยู่หลายครั้ง ตนสังเกตเห็นว่ามีทางหนีจึงได้รอโอกาสที่พวกการ์ดเผลอ แล้ววิ่งหนีออกมาโผล่ตรงบริเวณทางออกที่ใกล้กับ ตึกกองบัญชาการทหารสูงสุด ตนจึงได้วิ่งเข้าขอความช่วยเหลือกับทหารที่ยืนเฝ้ายามอยู่หน้าประตูใหญ่ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจใด ๆ

ซึ่งขณะนั้นมีกลุ่มการ์ดวิ่งตามมาประมาณ 6 คน ตนจึงตกใจวิ่งหนีขึ้นไปบนชั้น 2 ของตึก เพื่อขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลืออะไรเลย ตนจึงถูกจับตัวได้อีกครั้ง แล้วโดนจับใส่กุญแจมือลากตัวมาซ้อมอีกครั้งบริเวณสะพานมัฆวานฯ พร้อมกับตะโกนบอกว่า คิดหรือว่าทหารจะช่วยมึงได้ ทหารไม่ใช่พวกของมึง ซึ่งหลังโดนซ้อมอยู่สักพักก็มีหน่วยแพทย์ของพันธมิตรฯ วิ่งเข้ามาบอกกับพวกการ์ด ว่าพอได้แล้ว เดี๋ยวมันก็ตายพอดี จึงถูกลากตัวกลับเข้ามาที่เดิมอีกครั้ง

ชุมชนคนแท็กซี่รับเป็นสื่อช่วยเหลือ

หลังจากที่ได้หน่วยแพทย์เข้ามาปฐมพยาบาลเบื้องตนเล็กน้อย ก็มีกลุ่มคน มารุมถามตนว่าเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนอีก ไหวหรือไม่ ตนก็ตอบไปว่ายังไหวอยู่ พร้อมกับมีคนมาค่อยถามว่าเป็นพวกไหน ทำไมถูกโดนทำร้าย ใช่พวก นปช. หรือเปล่า จึงทำให้ตนรู้สึกงงมาก มาคิดได้ตอนหลังคงจะเป็นพวกที่เข้ามาปลอบแล้วชวนเป็นพวกพันธมิตรฯ

หลักจากนั้นมีผู้ชายคนหนึ่ง เอาเสื้อเหลืองมาให้ตนใส่ เอาเสื้อที่เปื้อนเลือดของตนไป พร้อมทั้งให้เงินอีก 200 บาท และเรียกรถแท็กซี่ ให้ไปส่งตนที่โรงพยาบาล เอกปทุม

เหตุการณ์ทำให้ตนหวาดกลัวผู้คนมาก จนไม่กล้าไปทำงานและถึงจะไม่กลัวตนก็คงไปทำงานไม่ไหว จนทำให้ตนต้องออกจากงานอยู่บ้านเฉย ๆ

ด้าน คุณสาวหวังน้อย (นามแฝง) เจ้าหน้าที่วิทยุชุมชนคนแท็กซี่ เล่าให้ฟังว่า ทางเจ้าหน้าที่เดินทางไปเยี่ยมนายโกศล พบว่ามีอาการบาดเจ็บข้อมือหัก มีบาดแผลฟกช้ำตามตัว ใบหน้า และหลัง มีรอยถูกบีบคอจนเห็นได้ชัด จึงได้ให้การช่วยเหลือเบื้องต้นไปบ้างแล้ว

โดยผู้ต้องการให้ความช่วยเหลือนายโกศล ก็สามารถติดต่อผ่านทางวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ ได้ โดยระบบจะเป็นคนกลางให้ ที่หมายเลข 0-2617-7118-9

ระวัง! ทำเนียบวันนี้คือแดนเถื่อน
ขณะเดียวกันคอลัมนิสต์ “ฉลามเขียว” หนังสือพิมพ์บ้านเมือง ก็เขียนถึงเหตุการณ์ถูกถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ว่าเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นเป็นความโหดเหี้ยมอำมหิตมาก อยากให้ช่อง 7 นำภาพเหตุการณ์นี้มาฉายซ้ำๆ ให้คนไทยที่ยังไม่ได้ดู ได้เห็นให้คาตาว่าการ์ดพันธมิตรฯ ทารุณโหดร้ายป่าเถื่อนขนาดไหน

พร้อมระบุว่าก่อนหน้านี้ ช่อง 7 ก็เป็นทีวีช่องเดียวที่บันทึกภาพเหตุการณ์ตำรวจจับการ์ดพันธมิตรฯ ที่นั่งอยู่ในรถหลังสถานีรถไฟบุรีรัมย์ กำลังเสพยาบ้า หนังสือพิมพ์ข่าวสด ก็เพิ่งเผยแพร่รูปขายหลอดแก้วเสพยาไอซ์ในม็อบทำเนียบรัฐบาล แถมช่างภาพ นสพ.ข่าวสด ก็เพิ่งโดนหิ้วไปขู่ โดยได้ฝากเตือนผู้ที่คิดจะไปร่วมการชุมนุมว่าต้องคิดให้ดีเพราะเป็นพื้นที่อันตราย สำหรับทั้งผู้ชายและผู้หญิง ถ้าเกิดโชคร้ายการ์ดพันธมิตรฯ สงสัยขึ้นมาว่าจะเป็นฝ่ายตรงข้ามแทรกซึมเข้าไปแล้วจะไม่มีโอกาสอธิบาย เพราะจะโดนทำร้ายเสียก่อน

พร้อมกับลงท้ายไว้อย่างน่าสนใจ “ขอให้คนดีๆ ที่กำลังคิดจะไปชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลคิดให้มากๆ เสียก่อน ทำเนียบรัฐบาลไทย เวลานี้คือดินแดนป่าเถื่อน”

สื่อวอล์กเอาต์-ไม่ทำข่าว"ยะใส"
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ต่อมาเวลา 19.00 น. วันเดียวกัน กลุ่มผู้สื่อข่าวที่ไปรอการแถลงข่าวของ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานกลุ่มพันธมิตรฯ ด้านหลังเวทีสะพานมัฆวานฯ ซึ่งเป็นสถานที่แถลงข่าวเป็นประจำทุกวัน กลุ่มผู้สื่อข่าวและช่างภาพจำนวนมากได้นั่งรอนายสุริยะใสอยู่นาน เพราะนายสุริยะใสเอาแต่ยืนแจกลายเซ็นและถ่ายภาพพูดคุยกับบรรดาผู้ชุมนุมที่มาพบ ไม่สนใจกลุ่มผู้สื่อข่าว และไม่มีท่าทีว่าจะเริ่มการแถลงข่าว

ดังนั้นกลุ่มผู้สื่อข่าวจากสถานีโทรทัศน์ทั้งหมดและหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่จึงได้หารือกันว่าจะไม่นำเสนอการแถลงข่าวของนายสุริยะใสในวันนี้ และตัดสินใจวอล์กเอาต์ พากันเก็บกล้องและขาตั้งกล้องออกจากสถานที่แถลงข่าวทันที ขณะที่ยังมีหนังสือพิมพ์บางฉบับรอทำข่าวอยู่

ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่าแกนนำพันธมิตรฯ เริ่มขัดขากันเอง โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯ หักหน้า นายสุริยะใส กตะศิลา ประกาศไม่เจรจากับรัฐบาล ระบุเงื่อนไข 5 ข้อของสุริยะใสแค่ความเห็นส่วนตัวไม่ใช่มติพันธมิตรฯ ปักธงค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขับไล่รัฐบาลพลังประชาชนออกสถานเดียว แถมยังด่าสื่อบิดเบือนข่าว กล่าวหาทำโต๊ะทำเนียบพัง ยกเอเอสทีวีสื่อเดียวเพื่อประชาชน


ซัดผลงานอัปยศ2ปีรัฐประหาร


*นปช.นัดประกาศจุดยืนปชต.ที่สนามหลวงวันนี้
รุมชำแหละ 2 ปีรัฐประหาร ผลงานอัปยศอำนาจเผด็จการ ทำบ้านเมืองถอยหลังหลายก้าว สังคมเกิดความแตกแยกรุนแรงจนส่งผลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ระบุแม้ คมช. จะหมดสภาพไปแล้ว แต่ทายาทอสูรยังอยู่ โดยเฉพาะบรรดาองค์กรอิสระ ทั้ง ป.ป.ช. กกต. คตส. หรือแม้กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญ ที่ขับเคลื่อนทำลายประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง แนะประชาชนต้องร่วมกันแสดงพลังรักษา ปชต. ต่อต้านดอกผลของการรัฐประหาร ด้าน นปช.จัดงาน “2 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กำจัดพันธมิตรฯ ยุติการเมืองใหม่ 70:30” ย้ำจุดยืน ที่ท้องสนามหลวง 6 โมงเย็นวันนี้

+ จี้นายกฯใหม่รักษาประชาธิปไตย-แก้ไขรธน.
ในโอกาสครบรอบ 2 ปีแห่งความหายนะ จากการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 นั้น เมื่อเวลาประมาณ 13.10 น. วันที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมา กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้เปิดแถลงข่าวการจัดงานชุมนุมครั้งใหญ่ ณ ท้องสนามหลวง ที่ห้องสีดา 3 โรงแรมรัตนโกสินทร์ โดยมี ผศ.จรัล ดิษฐาอภิชัย นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และ นายสุรชัย แซ่ด่าน แกนนำกลุ่ม นปช. ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน และร่วมประกาศจุดยืนในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

2 ปีผ่านไปทายาทเผด็จการยังอยู่
ผศ.จรัล กล่าวถึงที่มาของการจัดงานว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาประเทศชาติเกิดความถอยหลัง สังคมแตกแยกจนทำให้เกิดความขัดแย้ง แม้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) จะสิ้นบทบาทไปแล้วหลังจากที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แต่ผลพวงหรือผลผลิตของ คมช. ก็ยังคงอยู่ โดยออกมาในรูปแบบขององค์กรอิสระ คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ยังคงมีการขับเคลื่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ การชุมนุมครั้งสำคัญของกลุ่ม นปช. นั้น เพื่อให้ประชาชนได้วิเคราะห์ปัญหา วิจารณ์ และทำการพิจารณาร่วมกัน โดยนอกจากประชาชนต้องร่วมกันรักษาความเป็นประชาธิปไตยแล้ว ยังต้องช่วยกันขจัดดอกผลของการรัฐประหาร 19 กันยายนด้วย

นปช.ย้ำชัดจุดยืนประชาธิปไตย
ดังนั้นจุดยืนในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของกลุ่ม นปช. คือ 1.นปช. จะไม่ยอมรับการแก้ปัญหาทางการเมืองโดยวิธีการรัฐประหารโดยเด็ดขาด และ 2.การแก้ปัญหาทางการเมืองต้องใช้วิถีทางในระบบรัฐสภาและครรลองของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น

“ดอกผลของ คมช. เรียกว่าเป็นมารดา คมช. เลยก็ว่าได้ เพราะมีการโอบอุ้ม คมช. และองค์กรที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหาร ทำให้ระบบทั้งหมดอ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันตำรวจ สถาบันประชาธิปไตย ลามมาจนถึงการยึดทำเนียบรัฐบาลของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ ที่มีการยึดทำเนียบรัฐบาลได้อย่างยาวนาน” ผศ.จรัล กล่าว

ประชาธิปไตยถูกทำลายย่อยยับ
ขณะที่ นายวิภูแถลง กล่าวถึงผลพวงความเสียหายจากการทำรัฐประหาร เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาว่า การโค่นล้มประชาธิปไตยของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ได้สร้างหายนะให้กับประเทศอย่างมากมายหลายประการ คือ ทำลายเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรี ความน่าเชื่อถือของชาติและประชาชนในการเมืองระหว่างประเทศ สร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่เลวร้าย ไม่เหมาะสมกับยุคสมัยและกระแสของโลก

รวมทั้งทำลายหลักการประชาธิปไตย เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรง และกว้างขวางของคนในชาติ เกิดผลร้ายต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะนักลงทุนทั้งในและต่างชาติขาดความเชื่อมั่น ซึ่งเป็นการทำลายบรรยากาศการลงทุนของประเทศอย่างยับเยิน และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อถือศรัทธาที่มีต่อสถาบันหลักของประเทศ

ซัดม็อบลากบ้านเมืองสู่เผด็จการ
ด้านนายสมยศยังกล่าวประณามกลุ่มพันธมิตรฯ ในการยึดทำเนียบรัฐบาล และแนวคิดการเมืองใหม่ หรือ รัฐบาลประชาภิวัตน์ โดยระบุว่า การบุกยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผลอย่างยิ่ง ถือเป็นรัฐประหารเงียบ แต่ยังไม่เกิดความสัมฤทธิ์ผลเสียทีเดียว จึงต้องมีความยืดเยื้อในการชุมนุมอย่างไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุด ส่วนแนวคิดการเมืองใหม่นั้น เป็นแนวคิดที่จะทำลายระบอบความเป็นประชาธิปไตย และจะเป็นการเมืองที่นำมาสู่ระบอบเผด็จการในที่สุด ซึ่งการชุมนุมใหญ่ในครั้งสำคัญนี้จะเป็นไปในโดยสันติวิธี พร้อมรณรงค์ไม่ให้ประชาชนเสพหรือรับข่าวสารจากกลุ่มกบฏอย่างสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี หรือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

ทั้งนี้ นายสมยศ ยังได้แสดงความยินดีที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ต่อจาก นายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเป็นการได้มาตามระบบรัฐสภา พร้อมทั้งเรียกร้องให้นายสมชายเร่งดำเนินการทวงทำเนียบรัฐบาลคืนกลับมาโดยเร็ว พร้อมให้ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 อย่างเร็วที่สุด โดยให้นำร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ที่คณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) ทำการรวบรวมรายชื่อประชาชนกว่า 7 หมื่นรายชื่อ หยิบยกขึ้นมาพิจารณาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร

ยืนยันชุมนุมสงบ-วันเดียวเลิก
เมื่อสอบถามถึงการป้องกัน และรักษาความสงบในการชุมนุมครั้งใหญ่ในวันศุกร์นี้ นายสมยศ หนึ่งในแกนนำ นปช. กล่าวว่า ทางกลุ่ม นปช. ขอยืนยันว่าจะไม่มีการเคลื่อนกลุ่มผู้ชุมนุมไปที่ไหน อย่างที่ตกเป็นกระแส และไม่มีการปักหลักยืดเยื้อ ซึ่งจะทำการชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวงเพียงวันเดียวเท่านั้น

พร้อมกันนี้ทาง นปช.จะมีกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตย ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นคน หนุ่ม-สาว และอดีตข้าราชการตำรวจ และทหารผ่านศึกที่พร้อมจะช่วยกันรักษาความปลอดภัย โดยขณะนี้มีจำนวนกว่า 100 คน ที่พร้อมจะพลีชีพ และจะมีการฝึกเตรียมความพร้อมในรูปแบบการป้องกันและรักษาความปลอดภัยให้เต็มรูปแบบภายใน 1 เดือน โดยมี นายสุรชัย แซ่ด่าน เป็นหัวหน้าในการจัดตั้งกองกำลังอาสาชุดดังกล่าว

จัดกำลังอาสาสมัครดูแลความสงบ
อย่างไรก็ตาม หากมีการปะทะของกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มผู้ชุมนุมของ นปช. หรืออาจจะเป็นการสร้างความปั่นป่วนจากกลุ่มมือที่สาม ก็ขึ้นอยู่กับการวางกำลังรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งตนก็ขอฝากผ่านสื่อมวลชนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรึงกำลังอย่างเข้มแข็งเพื่อการชุมนุมที่สงบ

เมื่อถามว่าการจัดกองกำลังอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยเป็นการส่งสัญญาณบีบให้กลุ่มพันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบรัฐบาลหรือไม่ นายสมยศ กล่าวว่า ในอนาคตอาจเป็นไปได้ว่ากลุ่ม นปช. จะเคลื่อนพลไปกดดันกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ขอยืนยันว่า การจัดตั้งกลุ่มอาสาไม่ได้เป็นการบีบบังคับให้ออกจากทำเนียบรัฐบาลเร็วหรือช้า แม้ในความเป็นจริงแล้วกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ในทำเนียบอีกต่อไป เพราะการยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และการเตรียมกลุ่มอาสาชุดดังกล่าวขึ้นมานั้น เป็นเพียงการเตรียมความพร้อมหากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น

เชิญร่วมเวทีปชต.6โมงเย็นวันนี้
ทั้งนี้ การชุมนุมจะจัดขึ้นในเวลา 18.00 -23.00 น. ที่ท้องสนามหลวง ภายใต้คำขวัญของงานว่า “2 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กำจัดพันธมิตรฯ ยุติการเมืองใหม่ 70:30” โดยมีกิจกรรมต่างๆ ต่อไปนี้

1.แถลงการณ์ประกาศจุดยืน และท่าทีทางการเมืองต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน

2.การปราศรัยให้ความรู้ทางการเมืองโดยนักวิชาการ นักเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ ตั้งแต่เวลา 18.00 – 23.00 น.

3.มีการเสวนาทางการเมืองในหัวข้อเรื่อง การเมืองใหม่ กับอนาคตประชาธิปไตย และ 2 ปี หายนะประเทศไทย จาก คมช. ถึงพันธมิตรฯ 4.มีการแสดงดนตรีจากนักแสดงที่เรียกร้องประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการมาร่วมงาน

จี้นายกฯใหม่ทำชาติให้เป็นปชต.
ด้าน นพ.เหวง โตจิราการ ประธานสมาพันธ์เพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในบ้านเมืองขณะนี้แสดงให้เห็นว่า อำนาจของระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ยังไม่สามารถจัดการอะไรได้เลย

ซึ่งในความคิดเห็นของตนนั้น ความหวังเดียวของประชาชนที่ต้องการเห็นอนาคตของประชาธิปไตยที่สดใสนั่นคือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ได้รับการเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งจะต้องสร้างปรากฏการณ์ความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ และแก้ไขปัญหาความวุ่นวายที่เกิดจากน้ำมือของพวกเผด็จการจ้องจะทำลายความเป็นประชาธิปไตย อีกทั้งยังต้องสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นกับประเทศไทยอีกครั้ง

โดยหลังจากเหตุการณ์การสูญเสียประชาธิปไตยไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ได้ผ่านพ้นไปจนมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ต่างชาติและประชาชนคนไทยต่างก็มีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยกำลังจะกลับมาเป็นประชาธิปไตยที่เข้มแข็งอีกครั้ง ซึ่งส่งผลให้ค่อย ๆ เกิดการพัฒนาขึ้นในทุกภาคส่วน

แต่เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเริ่มจะย้อนกลับไปวุ่นวายอีกครั้งโดยพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมกันอย่างไร้เหตุผลเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ทำให้การท่องเที่ยว การลงทุน ความเชื่อมั่นต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นหดหายไปอย่างเดิม


คุณหญิงจารุวรรณ/นายจรัญ : จริยธรรมที่ร้องเรียกหา ความเป็นสองมาตรฐาน

บทความ โดย ลูกชาวนาไทย

หลังจากที่รายการ ความจริงวันนี้ ทางโทรทัศน์ช่อง NBT ได้เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับ การเป็นอาจารย์พิเศษ ของนายจรัญ ภักดีธนากุล ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้ขัดกับการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับเรื่อง ลูกจ้าง จนนายสมัคร สุนทรเวช ต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ตอนนี้ กรรมที่เร็วยิ่งกว่าจรวดได้พุ่งย้อนกลับมาที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเองแล้ว เพราะการตึความของคำว่าลูกจ้าง ที่ความหมายครอบคลุม ไปแทบทั้งหมด ทำให้ หอกที่ใช้เล่นงานคนอื่น กลับมาย้อนปักอกของตัวเองอย่างจัง ถึงขนาดที่พูดไม่ออกเลยทีเดียว ไม่กล้าออกมาตอบโต้ เหมือนอย่างที่เคยทำแต่อย่างใด

ผมเชื่อว่า ตอนที่ศาล รธน. ตัดสินนายสมัคร สุนทรเวช นั้น มุ่งแต่จะทำร้ายเขาอย่างเดียว โดยไม่ได้คิดว่า ตัวเองนั้นก็มีพฤติการณ์เช่นนั้น

ตอนนี้ ก็เหมือนฉลามเห็นเลือด ผู้คนต่างๆ ที่ทนเห็นพฤติกรรมที่ปากพร่ำบ่นจริยธรรม ของทั้งนายจรัญ และคุณหญิงจารุวรรณ ไม่ได้ ก็ตรวจสอบเอาบ้าง ก็เจอหลักฐานที่คุณหญิงจารุวรรณ ผู้ว่า สตง. ไปเป็น อาจารย์พิเศษ ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต ตามหลักฐานข้างล่างนี้

ผมคิดว่า หากตรวจสอบให้ดี จะต้องมีกรรมการในองค์กรอิสระคนอื่นๆ อีกที่มีพฤติกรรม เป็น ลูกจ้าง เช่นเดียวกับนายสมัคร สุนทรเวช ตามการตีความของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้

ผมไม่หวังว่า คนทั้งสองนี้ คือ นายจรัญ และคุณหญิงจารุวรรณ จะมีความกล้าหาญทางจริยธรรมแต่อย่างใด เพราะคนเหล่านี้คิดแต่เพียงว่า ผู้อื่นควรมีจริยธรรม แต่ต้นเองไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

ผมว่ายิ่งคนเหล่านี้ ไม่ออกมาแสดงความรับผิดชอบ และพยายามช่วยเหลือกันเองมากขึ้นเท่าใด ความเสื่อมก็ยิ่งเข้ามาครอบงำ กลุ่มคณะพวกนี้มากขึ้นเท่านั้น



ผมกลับดีใจเสียอีก ที่พวกเขาแสดงถึงความไร้ทั้งหิริและโอตัปปะ

ยิ่งเขาแสดงเจตจำนง ที่จะทำลายฝ่ายตรงข้ามมากขึ้นเท่าใด โดยที่ตัวเอง ไร้จริยธรรมทียกเอามาอ้างมากขึ้น พวกเขายิ่งพ่ายแพ้ทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ

การเมืองไทย ยังต้องใช้ระบบเลือกตั้ง ที่ผู้เลือกตั้งเป็นใหญ่ จุดเป็นตาย แพ้ชนะระหว่าง อำมาตยาธิปไตย กับ ระบอบทักษิณ ยังคงอยู่ที่ ผู้เลือกตั้ง หากผู้เลือกตั้งยังคงไม่เปลี่ยนใจจากทักษิณ ก็อย่าหวังเลยว่า อำมาตยาธิปไตย ทั้งหลายจะได้อำนาจทางการเมืองไป

ยิ่งแสดงความ ไร้มาตรฐาน ตัดสินอะไรตามอำเภอใจ แสดงความทุเรศ ให้คนทั้งประเทศเห็น คนก็ยิ่ง เหนียวแน่นกับระบอบทักษิณมากขึ้นเท่านั้น ความพยายามที่จะทำลายทักษิณของคนเหล่านี้ ที่ดำเนินมากว่า 3 ปี ก็ยิ่งไม่ได้ผลมากขึ้นเท่านั้น

จุดสำคัญของการต่อสู้ทางการเมือง ไม่ได้อยู่ที่ จะใช้ ตุลาการภิวัฒน์ ตัดสินล้มกระดาน เพราะล้มกระดานอย่างไร ระบอบทักษิณ ที่มีประชาชนหนุนหลัง ก็ยกกระดานกลับมาตั้งใหม่ ได้ทุกครั้ง จะตัดสินเอาสมัคร หลุดจากนายกฯ ก็ไม่ได้ทำให้พรรคพลังประชาชน มีปัญหามากนัก เพราะสามารถเสนอชื่อ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นมาแทนได้ ไม่ได้กระทบกระเทือนแต่อย่างใด

หลักฐานการเป็นอาจารย์สอนพิเศษของ คุณหญิงจารุวรรณ ที่เสนอในที่นี้ ผมไม่คาดว่าจะกระตุกต่อมจริยธรรม ของคนที่ไร้จริยธรรมได้ แต่มันจะเปิดโปงให้ ผู้ที่สิทธิเลือกตั้ง ทั้งหลาย ได้เห็นความไม่ชอบธรรมของ พวกอำมาตย์ทั้งหลาย

ผู้เลือกตั้งยังอยู่กับฝ่ายประชาธิปไตย ต่อให้รบกันยาวนานกว่านี้ พวกเราก็ชนะ

สมัครไป สมชายมา สมชายไป สุรพงษ์ มา สุรพงษ์ไป สมพงษ์มา สมพงษ์ไป มิ่งขวัญมา มิ่งขวัญไป นพดลมา นพดลไป เฉลิมมา

มันจะมีความหมายอะไรกับการใช้ ตุลาการภิวัฒน์ ทำลาย ผู้แทน ของฝ่ายประชาธิปไตย เพราะเรายังมีอีก 16 ล้านคน ที่จะส่งขึ้นมาแทนได้

ผมเห็นว่า ฝ่ายประชาธิปไตย ที่เคลื่อนไหวทางการเมืองขณะนี้ เช่นกลุ่ม นปช. กลุ่ม 24 มิถุนายน หรือคนวันเสาร์ และกลุ่มอื่น ควรเคลื่อนไหวอย่างจำเพาะเจาะจงในการตรวจสอบ องค์กรอิสระพวกนี้

เพราะองค์กรอิสระพวกนี้ คือ เครื่องมือโดยตรง ที่ คมช. ได้ทิ้งเอาไว้ เพื่อทำลายล้างฝ่ายประชาธิปไตย

อย่ามัวไปสนใจ พันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย ที่ยึดทำเนียบรัฐบาลอยู่เลย เพราะคนพวกนั้น เขาเคลื่อนเข้าไปติดกับดักของตนเอง และสูญเสียความชอบธรรมของตนเองไปเรื่อยๆ สุดท้ายเมื่อเวลาเหมาะสมมาถึง ฝ่ายรักษากฎหมาย คงดำเนินการเอง

แต่การเคลื่อนไหวตรวจสอบกรรมการ องค์กรอิสระอย่างเข็มข้น เป็นสิ่งที่ ฝ่ายประชาธิปไตยละเลย ปล่อยให้คนเหล่านี้ สร้างความเสียหาย โดยที่พวกเราไม่ได้เข้าไปจัดการ กดดันแต่อย่างใด

ควรมีประชาชน ไปเรียกร้องให้นายจรัญ ภักดีธนากุล ถึงบ้าน ให้ตอบคำถามสังคม และควรพาม็อบทั้งหลาย ไปเยี่ยมบ้านที่สร้างใหม่ของคุณหญิงจารุวรรณ

อย่าปล่อยให้คนพวกนี้ลอยนวลอยู่อย่างสบายๆ

มันถึงเวลาที่จะต้องตอบโต้ คนพวกนี้อย่างจริงจังแล้ว

จาก thaifreenews

รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง สมชาย นายกฯ คนที่ 26

กรุงเทพฯ 18 ก.ย.- รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 26

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า จะบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ยึดมั่นคุณธรรมและกระบวนการยุติธรรม ที่สำคัญและขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันเร่งแก้ไขปัญหาบ้านเมือง สร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้น โดยรัฐบาลที่เกิดขึ้นต่อไปหลังจากนี้ ก็จะเร่งแก้ไขปัญหาให้ประชาชน โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ เพื่อให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าต่อไป.

ชมรายละเอียด สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-09-18 19:19:17


พระบรมราชการโปรดเกล้าฯสมชายเป็นนายกฯคนที่26แล้ว


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชการโปรดเกล้าฯ ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 แล้ว โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้รับสนองพระบรมราชการ

สำหรับบรรยากาศที่บ้านพัก เลขที่ 222/92 หมู่บ้านเบเวอร์รี่ฮิลล์ ย่านแจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นบ้านพักของนายสมชาย บรรดาญาติมิตรและคนใกล้ชิด รวมทั้งรัฐมนตรี ส.ส.จากพรรคพลังประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้งข้าราชการ และประชาชน เดินทางมาให้กำลังใจอย่างอบอุ่น เพื่อรอรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 ในช่วงค่ำวันนี้

โดยนายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จะเป็นผู้อัญเชิญพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ซึ่งกองพิธีการ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้เตรียมสถานที่ไว้ที่ห้องโถงด้านล่าง

สำหรับกำหนดการ ทันทีที่นายพิทูร เดินทางมาถึงจะเป็นผู้อ่านพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม และอัญเชิญพระบรมราชโองการไว้ที่โต๊ะหมู่บูชา โดยนายสมชาย จะเข้าไปทำพิธีรับพระบรมราชโองการต่อพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังเสร็จสิ้นพิธีแล้ว นายสมชายจะแถลงเปิดใจอย่างเป็นทางการทันที