ที่มา Thai E-News
ที่มา โลกวันนี้ วันสุข
17 มกราคม 2552
ไม่คิด อยู่เบื้องหลังดีกว่า เหลืออีก 3 ปี กลับมาโดนยุบอีก 5 ปี เป็น 8 ปี วันนี้ก็เป็นสามีนายกอยู่แล้ว แต่เป็นนายก อบจ.บุรีรัมย์ (นางกรุณา ชิดชอบ ภริยานายเนวิน ชิดชอบ ดำรงตำแหน่งนายก อบจ.บุรีรัมย์)
นายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย แกนนำคนสำคัญของ ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน ที่ร่วมแถลงข่าวในการเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย โดยยืนยันว่าไม่ใช่เป็นการปูทางให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรี และภายหลังครบกำหนดถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีก็ยังไม่คิดเล่นการเมือง
ก๊วนใหม่ “ภูมิใจไทย”ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังดีใจกับการเลือกตั้งซ่อมที่ได้ ส.ส. เพิ่มขึ้นถึง 7 เสียง รวมทั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ที่ยังเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความนิยมของคนกรุงเทพฯที่ยังเหนียวแน่นกับพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งชัยชนะจากลำปางและสมุทรปราการ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทยหรืออดีตพรรคไทยรักไทย และมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงค่อนข้างคึกคัก ทำให้มีการวิเคราะห์ว่าเป็นสัญญาณว่ากระแส “ทักษิณ” หรือนายใหญ่ลดลงหรือไม่
ความเคลื่อนไหวของพรรคภูมิใจไทยที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการและมีสโลแกนว่า “ประชานิยม สังคมเป็นสุข” ถือเป็นการรวมอดีตแกนนำสมาชิกบ้านเลขที่ 111 อย่างคับคั่ง โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนเนวินที่นำโดยนายเนวิน ชิดชอบ ร่วมเป็นสมาชิกพรรคอย่างเป็นทางการนั้น ทำให้พรรคภูมิใจไทยกลายเป็นพรรคใหญ่อันดับ 2 ของพรรคร่วมรัฐบาล
พรรคภูมิใจไทยจึงถูกจับตามองอย่างมากว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญทางการเมือง โดยเฉพาะการต่อรองและกดดันพรรคประชาธิปัตย์ เพราะแกนนำที่อยู่เบื้องหลังล้วนแต่รุ่นเก๋าทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายเนวิน ชิดชอบ นายสรอรรถ กลิ่นประทุม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสุชาติ ตันเจริญ นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ นายทรงศักดิ์ ทองศรี นายอนุชา นาคาศัย นายธีระชัย แสนแก้ว และนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล
กอดสยิว “เนวิน”การผนึกกำลังระหว่างกลุ่มนายสมศักดิ์กับกลุ่มนายเนวินครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การย้ายพรรคปรกติแน่นอน เพราะคนระดับนายสมศักดิ์และนายเนวินย่อมไม่มองการเมืองระยะสั้นๆ แม้นายเนวินจะบอกว่ายังไม่คิดเล่นการเมืองแม้พ้น 5 ปีแล้วก็ตาม แต่วีรกรรม “ทรยศนายเพื่อชาติ” น่าจะเป็นคำตอบ รวมถึงการที่กลุ่มเพื่อนเนวินได้ตำแหน่งรัฐมนตรีสำคัญในรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นนายชวรัตน์เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายโสภณ ซารัมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ยิ่งย้อนกลับไปครั้ง “กลุ่ม 16” ที่นายเนวินเป็นหนึ่งในแกนนำกลุ่ม ส.ส. รุ่นใหม่ที่ประกาศก่อตั้งในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2535 โดยส่วนใหญ่เป็น ส.ส.พรรคชาติไทยและพรรคชาติพัฒนา ซึ่งมีนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เป็นหัวหน้ากลุ่ม นายเนวิน ว่าที่ร้อยตรีไพโรจน์ สุวรรณฉวี นายจำลอง ครุฑขุนทด นายธานี ยี่สาร นายวราเทพ รัตนากร นายสุชาติ ตันเจริญ นายสนธยา คุณปลื้ม นายวิทยา คุณปลื้ม นายสรอรรถ กลิ่นประทุม นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ นายอิทธิ ศิริลัทธยากร นายประวัฒน์ อุตตะโมต นายยิ่งยศ อรุณเวสสะเศรษฐ นายทรงศักดิ์ ทองศรี นายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ พ.ท.สมชาย เพศประเสริฐ นายเกษม รุ่งธนเกียรติ และนายอุดมเดช รัตนเสถียร
ภาพเมื่อปี 2535 กับปี 2551-2552 ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรนัก เพราะครั้งนั้นนายเนวินในฐานะสมาชิกพรรคชาติไทยยังเปิดศึกกับนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย อย่างไม่เกรงกลัว ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เคยก้มกอดนายใหญ่และทำงานวงในให้ทุกอย่างกลับมากอดสยิวกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างดูดดื่ม พร้อมกับประกาศคำอมตะ “ทรยศนายเพื่อชาติ”
ระเบิดในมือ “เนวิน”พรรคภูมิใจไทยจึงเป็นการประสานประโยชน์ที่ลงตัวระหว่างนายเนวินและนายสมศักดิ์ ไม่ใช่เพื่อการทำงานการเมืองปัจจุบันเท่านั้น แต่เป็นการเตรียมตัวเพื่อการเลือกตั้งในอนาคตด้วย เพราะทุกพรรคเชื่อว่ารัฐบาล “มาร์ค 1” ไม่น่าจะไปได้ไกลเกิน 1 ปี แม้จะผ่านด่านแรกที่พรรคเพื่อไทยประกาศจะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลก็ตาม
แต่ต้องยอมรับฐานอำนาจของนายเนวินวันนี้แข็งปึ้ก เพราะยังมี ส.ส. ในพรรคเพื่อไทยอีกประมาณ 20-30 คน ประกาศพร้อมเป็นแนวร่วมทางการเมืองกับนายเนวิน เนื่องจากไม่สามารถย้ายพรรคได้ ทำให้กลุ่มเพื่อนเนวินจะมี ส.ส. มากถึง 50-60 คน ขณะเดียวกันยังมีกลุ่มทุนที่พร้อมทำงานการเมืองในอนาคต
ส่วนนายสมศักดิ์ที่มีข่าวว่าจะทาบทามนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาเป็นหัวหน้าพรรคหากได้รับการนิรโทษกรรมนั้น ถือเป็นการส่งสัญญานว่าพร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต แม้จะยังเป็นภาพที่เลือนลาง เพราะไม่เพียงต้องฝ่าด่านพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยค้ำคออยู่ด้วย
แต่รัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอและแตกเป็นเสี่ยงๆ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่นการรวมกลุ่มของ ส.ส. อย่างกลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสามารถต่อรองและสร้างเงื่อนไขทางการเมืองที่คาดไม่ถึงได้ตลอดเวลา
“ดีครับ แทนที่ผมจะไปคุยกับคน 3 กลุ่ม ทั้งกลุ่มคุณเนวิน ชิดชอบ กลุ่มคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน กลุ่มคุณสรอรรถ กลิ่นประทุม ผมก็มาคุยกลุ่มเดียวภูมิใจไทย สะดวกดี”
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ตอบผู้สื่อข่าวถึงการตั้งพรรคภูมิใจไทยเป็นปรากฏการณ์ปรกติธรรมดา แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาล “มาร์ค 1” ไม่ได้มีเสถียรภาพอย่างแท้จริงเลย ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้การค้ำยันของกลุ่มเพื่อนเนวิน และยังไม่มีความขัดแย้งกันในการประสานอำนาจและผลประโยชน์
ปชป. ชักศึกเข้าบ้าน“การฟื้นฟูการบังคับใช้กฎหมายในประเทศให้ปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งมีหลายกรณีที่เกิดขึ้น ทำให้หลายคนเรียกหาความยุติธรรม และพูดว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่จะดำเนินคดีกับคนเหล่านั้น แต่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาคิดผิด โดยผมจะส่งสัญญาณให้ชัดเจนว่ากำลังฟื้นฟูการบังคับใช้กฎหมายในประเทศนี้ การดำเนินคดีต้องไม่ดูชื่อ ให้ดูสิ่งที่ทำ และเจ้าหน้าที่ต้องทำในสิ่งที่เหมาะสมตามกรอบของกฎหมาย”
นายอภิสิทธิ์ปาฐกถาพิเศษให้กับสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในหัวข้อ “การฟื้นฟูความเชื่อมั่นและการขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า” พร้อมยืนยันจะปฏิรูปการเมือง โดยตั้งคณะกรรมการจากทุกภาคส่วนเข้าร่วม “รัฐบาลจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเราไม่แบ่งแยก จะทำงานเพื่อคนไทยทุกคน และจะพิสูจน์ให้เห็นว่าความขัดแย้งไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคนในชนบทและคนในเมืองไม่สามารถประนีประนอมกันได้ แต่เป็นมุมที่ต่างกัน เป็นคุณค่าของประชาธิปไตย”
พรรคประชาธิปัตย์กำลังถูกมองว่าเหลิงในอำนาจ จะเป็นเพราะเชื่อใน “อำนาจพิเศษ” และ “อำนาจสีเขียว” ที่หนุนหลัง จึงไม่เพียงแต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังตั้งแนวร่วมสำคัญของพันธมิตรฯเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี อย่างนายประพันธ์ คูณมี เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แม้นายอภิสิทธิ์จะยืนยันว่า “ไม่มีใครได้อะไรตอบแทน ทุกคนมาทำงาน”
ขณะที่นายสุเทพให้เหตุผลว่า “คนเหล่านี้เป็นคนของพรรค ยืนยันว่าใช้เวลานานในการไตร่ตรอง ไม่ใช่การตอบแทนกลุ่มพันธมิตรฯ”
“สนั่น” ชี้เติมเชื้อไฟ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ รองนายกรัฐมนตรี แม้จะเห็นว่าการตั้งนายประพันธ์เป็นเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ และเชื่อว่าหลายคนในพรรคประชาธิปัตย์คงคัดค้าน แต่ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามที่อาจเพิ่มความรุนแรงขึ้นได้ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ต้องชี้แจง
“ต้องยอมรับว่าวันนี้เชื้อไฟมีอยู่แล้วก็มีการเติมลงไปอีกเล็กน้อย แต่ยังไม่ถึงกับปะทุ แค่กำลังก่อหวอดเท่านั้น ผมไม่ได้หนักใจในเรื่องนี้ หากช่วยกันพูดจาอธิบายคงดีขึ้น ขอให้วัดกันด้วยผลงาน เรื่องตัวบุคคลก็มองข้ามไปบ้าง”
“จตุพร” ซัดตบหน้าคนไทยขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการแต่งตั้งนายประพันธ์ทั้งที่ยังมีปัญหาการต่อต้านกรณีนายกษิตว่า เป็นการเหยียบย่ำหัวใจและตบหน้าคนไทยอย่างแรง เท่ากับยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรฯเป็นองค์กรเดียวกัน ดังนั้น ที่นายอภิสิทธิ์อ้างว่าหากผลการสอบสวนพบว่าแกนนำพันธมิตรฯมีความผิดก็จะปลดออกจากตำแหน่งจึงเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อนายอภิสิทธิ์กล้าการันตีแต่งตั้ง ปูนบำเหน็จรางวัลคนที่ร่วมขบวนการโค่นล้มรัฐบาลชุดก่อนมีตำแหน่งในรัฐบาล ใครจะกล้าดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรฯ
นายจตุพรยังระบุว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนเร่งสถานการณ์เอง โดยภายในเดือนมกราคมนี้คนเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่ที่สนามหลวงและจะมีมาตรการชัดเจน เพราะการปล้น ส.ส. ให้เกิดงูเห่าภาคสอง มีทหารแทรกแซง นายทุนซื้อตำแหน่ง ก็เลวทรามพอแล้ว แต่การตบรางวัลพันธมิตรฯเลวทรามที่สุด เชื่อว่าคนไทยรับไม่ได้
“อย่างนี้อยู่กันไม่ได้ นานาชาติเขาไม่ยอมรับผู้ก่อการร้ายยึดสนามบิน แต่ประเทศนี้มันเฮงซวย ตั้งคนทำผิดมาเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี เมื่อนายอภิสิทธิ์ไม่ปิดบังผมเองก็ไม่มีอะไรต้องเหนียมอายต่อไป คนที่บอกให้หยุดทะเลาะกัน ต้องถามว่าตั้งแกนนำพันธมิตรฯมารับตำแหน่งเห็นด้วยหรือไม่ อย่างนี้มันต้องทะเลาะกันต่อ มันจะสงบและจบลงได้อย่างไร”
ต้องเร่งคดียึดสนามบิน“ในทางสากลนั้นเขาให้ความสนใจประเด็นการยึดสนามบินมากที่สุด เพราะกระทบต่อพลเมืองของเขาที่เดือดร้อน คงจำกันได้ว่าสื่อมวลชนต่างประเทศทั้งอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ต่างพากันโจมตีพันธมิตรฯและผู้หนุนหลังในเรื่องนี้พร้อมเพรียงกัน สอดรับกับทูตของ 6 ชาติคือ สหรัฐ อียู ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และแคนาดา ก็ออกแถลงการณ์เรื่องนี้ในวันที่ 4 ธันวาคม 2551 คือต้องเอาผิดผู้ที่กระกระทำผิดในการยึดสนามบิน จนปัจจุบันที่เขียนบทความนี้จีนและญี่ปุ่นยังไม่ยกเลิกการเตือนภัยแก่ประชาชนของเขาที่จะเดินทางมาเมืองไทยเลย”
นายชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ กล่าวตอนหนึ่งในบทความ “การดำเนินคดีกับผู้ที่ยึดสนามบินคือการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประเทศไทยที่ดีที่สุด” เพราะหลักฐานสำคัญผูกมัดผู้กระทำความผิดของแกนนำพันธมิตรฯชัดเจน นอกเหนือจากการยึดหอบังคับการบินจนทำให้อากาศยานไม่สามารถขึ้นลงได้แล้ว ยังมีรูปถ่ายพิธีการส่งมอบของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ในวันสลายการชุมนุมอีก
“หากไม่ได้ยึดหรือปิดสนามบินแล้วทำพิธีส่งมอบคืนทำไม ป่วยการที่รัฐบาลจะประกาศทุ่มงบถึง 700,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใน 2 ปี หรือการพยายามสร้างภาพด้วยการโหมโฆษณาในสื่อต่างประเทศให้สิ้นเปลืองเงินทองของชาติ เพราะตราบใดที่ผู้กระทำความผิดไม่ถูกดำเนินคดีความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศย่อมไม่มีทางเรียกคืนกลับมาได้ และยิ่งปล่อยเวลาให้เนิ่นช้าไปยิ่งเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ยากยิ่งหลายเท่าทวีคูณ”
อย่างที่องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) ระบุการสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในไทยว่าต้องการให้นายอภิสิทธิ์สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน เพราะนอกจากบริษัทแม่จากญี่ปุ่นสั่งให้บริษัทลูกที่ออกไปลงทุนในทั่วโลกชะลอการลงทุนในทุกประเทศทั่วโลกแล้ว กรณีความวุ่นวายของการเมืองไทยถือเป็นปัญหาที่ยิ่งสร้างความไม่มั่นใจให้กับนักลงทุนญี่ปุ่นมากขึ้น เพราะปัญหาและความเสียหายของนักลงทุนญี่ปุ่นจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิยังสร้างความหวาดวิตกต่อนักลงทุนญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก นักลงทุนญี่ปุ่นถือเป็นความเสี่ยงในการจะเข้ามาลงทุนในไทย
นอมินีครองเมืองกรณีของนายกษิตและนายประพันธ์ หรือการดึงผู้ที่เคยเป็นแนวร่วมพันธมิตรฯมาร่วมงานในรัฐบาลนี้จึงถือเป็นระเบิดเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์สร้างขึ้นเองและต้องรับผิดชอบแล้ว ยังต้องย้อนกลับไปถึงคำพูดของนายอภิสิทธิ์ที่ประกาศว่าจะลดเงื่อนไขความขัดแย้งทางการเมืองและสร้างความสมานฉันท์ โดยยึดในนิติรัฐและนิติธรรมอย่างเสมอภาคว่ามีความจริงใจหรือไม่ เพราะกรณีของพันธมิตรฯแทนที่พรรคประชาธิปัตย์จะเร่งสะสางข้อกล่าวหาและคดีความต่างๆ กลับแต่งตั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับพันธมิตรฯโดยไม่สนใจเสียงคัดค้านใดๆเลย เหมือนเป็นรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ถือว่ามีอำนาจเหนือกฎระเบียบต่างๆที่สามารถกระทำการใดๆก็ได้
ขณะที่ภาพของรัฐบาลที่ถูกประณามเป็น “รัฐบาลไฮแจ๊ค” ที่ไม่มีความสง่างามแล้ว รัฐบาล “มาร์ค 1” ยังเต็มไปด้วยภาพของ “นอมินี” กลุ่มการเมืองและอดีตนักการเมืองที่เคยถูกประณามว่าทุจริตคอร์รัปชัน เลวทรามและชั่วช้าสารพัด วันนี้ต่างก็เปิดเผยตัวให้ประชาชนได้เห็นอย่างไม่ละอาย
ลดแลกแจกแถมขณะที่พรรคประชาธิปัตย์แม้จะยืนยันว่าการได้เป็นรัฐบาลเป็นไปตามกลไกระบอบประชาธิปไตยที่พรรคการเมืองใดสามารถรวบรวมเสียงได้มากที่สุดก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ก็ตาม แต่ภาพที่นายอภิสิทธิ์กอดนายเนวินและแถลงข่าวการย้ายข้างสลับขั้วกับการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์ยอมยกกระทรวงหลักๆอย่างกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงคมนาคมให้กลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงการแลกเปลี่ยนประโยชน์กับกลุ่มเพื่อนเนวิน
นอกจากนี้พรรคประชาธิปัตย์ยังต้องจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญอย่างกระทรวงพาณิชย์ให้พรรคภูมิใจไทย ทั้งที่เป็นกระทรวงสำคัญด้านเศรษฐกิจ ท่ามกลางคำถามจากภาคเอกชนว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ รวมทั้งการทำงานที่จะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องรับศึกหนักในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
แต่ทั้งหมดคงไม่เป็นประเด็นร้อนเท่ากับการแต่งตั้งผู้ที่เป็นแนวร่วมสำคัญของพันธมิตรฯมาร่วมรัฐบาล แม้พรรคประชาธิปัตย์จะยืนยันว่าไม่ใช่การต่างตอบแทน และคนเหล่านี้เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม แต่คงยากที่จะทำให้คนทั่วไปเชื่อว่าไม่ได้เป็น “โบนัส” แม้แต่ พล.ต.สนั่นที่เป็นแกนนำสำคัญในการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลยังต้องออกมาเตือนพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้ ทั้งคดียึดสนามบินที่ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะเรียกความเชื่อมั่นจากนานาชาติกลับคืน รัฐบาลก็ไม่เข้าไปเร่งรัด แต่กลับพุ่งเป้าไปกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว
แม้แต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลใช้งบประมาณกว่า 100,000 ล้านบาท ด้วยการแจกเงินประชาชน ก็ถูกวิจารณ์อย่างมากว่าเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเพื่อหวังผลทางการเมืองมากกว่า แม้แต่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ซึ่งเป็นองค์กรเศรษฐกิจที่ได้รับความเชื่อถือ ยังประณามว่ารัฐบาลอ่อนหัดอย่างมากในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
แม้นายอภิสิทธิ์จะประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อที่จะจัดการเด็ดขาดกับรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมทุจริตหรือบกพร่องในหน้าที่ แต่จากมหกรรม “ลดแลกแจกแถม” ดังกล่าวก็ต้องถามว่าแล้วประชาชนจะตรวจสอบรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างไรว่าบริหารโดยสุจริต ชอบธรรม และโปร่งใส เพราะแม้แต่สื่อมวลชนเองนอกจากดูเหมือนจะเห็นดีเห็นงามกับการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้แล้ว ยังละเลยที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นว่างบประมาณนับแสนล้านที่กำลังตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอยู่ในขณะนี้เกิดประโยชน์หรือสร้างความเสียหายอย่างไรให้กับประเทศชาติและประชาชน
เพราะประชาชนจำนวนไม่น้อยยังชื่นชมยินดีกับเงินที่รัฐบาลหยิบยื่นให้ ทั้งที่ผลประโยชน์มหาศาลนั้นกลับตกอยู่กับนักการเมืองไม่กี่คน ก็ต้องยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเก่าแก่ที่สุดและเก๋าที่สุดจริงๆ แม้แต่การเมืองใหม่ก็ต้องชิดซ้ายกับการเมืองพันธุ์ใหม่ที่น่าจะเรียกว่า “การเมืองพันธุ์พิสดาร”