WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, August 23, 2008

วิชา ระบุ อภิรักษ์ รู้ตัวถูกตั้ง กก.ไต่สวนกรณีรถดับเพลิง

กรุงเทพฯ 23 ส.ค.- “วิชา มหาคุณ” ระบุ “อภิรักษ์ โกษะโยธิน” รู้ว่าถูก ป.ป.ช.ตั้งคณะกรรมการไต่สวน กรณีทุจริตจัดซื้อรถดับเพลิงของ กทม. แต่ไม่ขาดคุณสมบัติ ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ได้ เหตุยังไม่ถูกชี้มูล

นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวน กรณีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม. ให้สัมภาษณ์ กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ทราบว่า ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการไต่สวนนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จากกรณีดังกล่าว

“ผมไม่ทราบว่า ทำไมพรรคประชาธิปัตย์ไม่ทราบ เพราะ ป.ป.ช.ได้แจ้งให้นายอภิรักษ์ทราบเรื่องตั้งอนุกรรมการไต่สวนแล้ว และนายอภิรักษ์ได้ทำหนังสือตอบกลับมาว่า ไม่คัดค้านรายชื่อคณะอนุกรรมการไต่สวน” นายวิชา กล่าว

ทั้งนี้ นายวิชา กล่าวว่า ป.ป.ช.ไม่ได้เป็นผู้เพิ่มชื่อนายอภิรักษ์ แต่ชื่อของนายอภิรักษ์ เป็นรายชื่อที่อยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการไต่สวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) อยู่แล้ว ป.ป.ช.จึงต้องเรียกมาสอบข้อมูลเพิ่มเติม เพียงแต่ไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาเท่านั้น

ส่วนที่นายอภิรักษ์ ตัดสินใจลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. อีกครั้ง นายวิชา กล่าวว่า ถือเป็นสิทธิของนายอภิรักษ์ การที่ คตส. และ ป.ป.ช.ยังไม่ได้ชี้มูลความผิด จึงยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่ขาดคุณสมบัติ อย่างไรก็ตาม นายวิชา ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นว่า เหมาะสมหรือไม่ ที่นายอภิรักษ์จะลงสมัครรับเลือกตั้ง

“ถ้านายอภิรักษ์เชื่อในความบริสุทธิ์ ก็คงไม่มีปัญหา ผมคงไม่สามารถให้ความเห็น หรือวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะจะถูกนำไปเชื่อมโยงเป็นประเด็นการเมือง” นายวิชา กล่าว.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-08-23 16:03:56

เร่งเคลียร์ตึกชินวัตรฯ ตั้งพรรคเพื่อไทย

สำหรับความคืบหน้าการหาสถานที่ตั้งพรรคเพื่อไทย เพื่อรองรับ ส.ส.พรรคพลังประชาชนหลังจากถูกยุบพรรคนั้น วันที่ 22 ส.ค.ทางแกนนำของพรรคได้เตรียมติดต่อขอเช่าอาคารชินวัตรไหมไทย ย่านถนนพระราม 4 โดยกิจการผ้าไหมชินวัตรที่เปิดจำหน่ายอยู่บริเวณชั้น 1 ได้ขึ้นป้ายลดราคาแบบล้างสต๊อกให้หมดภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อเตรียมพร้อมเปิดเป็นที่ทำการพรรคเพื่อไทย ขณะที่นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ส.ส.สมุทรปราการ และเหรัญญิกพรรคพลังประชาชน ในฐานะแกนนำจด ทะเบียนจัดตั้งพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงสถานที่ ทำการพรรคเพื่อไทย โดยใช้อาคารไหมไทยชินวัตรว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาค่าเช่ารายเดือนกับเจ้าของอาคาร เดิมทีค่าเช่าแพงมาก แต่สามารถเจรจาลดลงมาได้ระดับหนึ่ง เพราะพรรคไม่มีนายทุน ความคืบหน้าอยู่ ระหว่างการปรับปรุงอาคารภายใน แต่จะไม่ใช้ทั้งอาคาร จะเช่าเฉพาะบางส่วน ทั้งนี้การตั้งพรรคเพื่อไทยเป็นการเตรียมความพร้อมหากพรรคพลังประชาชนถูกยุบ โดยจะยึดสโลแกนพรรคเหมือนที่เคยประสบความสำเร็จมาในสมัยพรรคไทยรักไทย สิ่งไหนขาดจะปรับปรุง เสริมนโยบายที่ดี

สเปกหัวหน้าต้องมือประสานสิบทิศ

นายสงครามกล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายสุจริต ปัจฉิมนันท์ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย จะเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยนั้น มีความเป็นไปได้ แต่เป็นหนึ่งในหลายตัวเลือก โดยคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นหัวหน้าพรรคต้องเข้าได้กับทุกฝ่าย ทั้งข้าราชการ สื่อมวลชน ทหาร เรื่องนี้สำคัญ เพราะเราไม่ต้องการให้บ้านเมืองมีปัญหา อยากกลับมาสู่ความสงบ สมานฉันท์ ผู้สื่อข่าวถามว่า นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวเลือกขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายสงครามตอบว่า นายพายัพไม่เอาแน่นอน เพราะเจ็บและพอกับการเมืองแล้ว ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่มาเช่นกัน เนื่องจากทุกคนต่างมีงานยุ่ง อย่างไงก็ตาม พรรคเพื่อไทยจะประชุมใหญ่ภายใน 1-2 เดือนนี้ เพื่อเลือกตำแหน่งคณะผู้บริหาร ตอนนี้มีผู้สมัคร ส.ส. พรรคพลังประชาชนที่สอบตก รวมถึงอดีต ส.ส. ทยอยสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยบ้างแล้ว เรื่องการรับสมาชิกนั้นคงไม่มีเงื่อนไขอะไรมาก ต่างจากการรับผู้สมัคร ส.ส. ต้องคัดเลือกเป็นพิเศษ อย่างน้อยต้องเป็นผู้ที่มีฐานทางการเมือง มีความรู้ ความสามารถ ส่วนนักวิชาการ เทคโนเครตนั้น อาจให้ลงสมัครอยู่บัญชีสองและสาม เหมือนแนวทางที่พรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนเคยทำ

ส.ส.เดินสายแจงชาวบ้านย้ายพรรค

ขณะที่ นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคพลังประชาชน กลุ่มอีสานพัฒนา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเตรียมใช้อาคารชินวัตรไหมไทยตั้งเป็นที่ทำการพรรคเพื่อไทยว่า หลังจากได้เข้าพบนายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถือว่าอาคารชินวัตรเป็นตัวเลือกหนึ่ง เป็นสถานที่เราชอบและอยากจะได้อาคารนี้อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ส.ส.พรรคพลังประชาชนหลายคนลงพื้นที่ และได้แจ้งให้ชาวบ้านในพื้นที่ทราบว่าถ้ามีการยุบพรรคพลังประชาชน ไม่ต้องห่วงหรอก มีพรรคเพื่อไทย และชาวบ้านพร้อมที่จะสนับสนุนไปสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทย


อ่านรายละเอียดต่อ ไทยรัฐ

Friday, August 22, 2008

Save Thaksin, save democracy


บทความ โดย ลูกชาวนาไทย

ผมเห็นแบนเนอร์ Save Thaksin แล้วผมสะดุดใจขึ้นมาทันทีว่า ทำไมต้อง Save Thaksin ด้วยเล่า ทักษิณเป็นใครประชาชนจำนวนมากถึงดิ้นรน เจ็บร้อนแทนทักษิณได้ขนาดนี้ ทำไมประชาชนต้องห่วงหาอาทรได้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ต้องโทษทางการเมืองประกาศจับประจานไปทั่วราชอาณาจักรที่ทรงจริยธรรมสูงส่งเช่นนี้ ทำไมเราถึงต้อง Save Thaksin



หากผมเกิดมาชาติหนึ่ง แล้วมีมนุษยชาติจำนวนมาก ที่ไม่ใช่คนในครอบครัวของผม ไม่ใช่คนที่ผมรู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เขาเหล่านั้นจำนวนมากเป็นห่วงเป็นใยผม เจ็บร้อนแทนผม เจ็บปวดแทนผม รู้สึกเป็นทุกข์ใจเมื่อผมเดือดร้อน และรู้สึกโล่งอกเมื่อผมหลุดพ้นเพทภัยที่อาจถึงชีวิตได้ จากการปองร้ายของศัตรูทางการเมือง หากผมเกิดมาแล้วได้รับความรักความห่วงใยจากคนมากมายขนาดนี้ ผมก็ถือว่า "ชาตินี้ผมได้เกิดมาคุ้มค่าแล้ว" เกิดมาโดยไม่เสียชาติเกิดแล้ว ถึงแม้ว่าผมจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากต่างๆ นานาจากศัตรูทางการเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนต้องหลบหนีศัตรูไปอยู่ในต่างแดนก็ตาม ไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้รับความรักความศรัทธาจากคนหมู่มากขนาดนี้อีกแล้ว ทุกข์ของมหาบุรุษ คือทุกข์ของแผ่นดินโดยแท้

ตอนนี้ ในดวงใจของประชาชนหลายล้านคน ทักษิณได้กลายเป็น "สัญญลักษณ์แห่งประชาธิปไตย" ของไทยไปแล้ว แม้ว่า ยุคที่ทักษิณเป็นนายกฯ ทักษิณจะมีสไตล์การบริหารที่เป็นตัวของตัวเอง เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จนฝ่ายตรงข้าม และศัตรูทางการเมืองโจมตีว่า "เป็นเผด็จการ" ก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การโจมตี เพราะเป็นศัตรูืทางการเมืองกันเท่านั้น แต่มันหาได้มีความหมายอันใดต่อประชาชนที่เลือกทักษิณขึ้นมาสู่ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหารไม่

ทักษิณ "มาจากการเลือกตั้งของคนส่วนใหญ่" คนส่วนใหญ่เขาเลือกมากับมือ คนส่วนใหญ่เขาจะเอาคนที่บริหารประเทศ "แบบทักษิณ" นี่แหละ เขาเลือกเองมากลับมือ "ตรงนี้แหละที่แสดงความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง" เพราะผู้นำทางการเมือง ไม่ว่าจะมีสไตล์การบริหารงานอย่างไรก็ตาม แต่การเข้าสู่อำนาจนั้น "มาจากเลือกตั้งของประชาชน" และการลงจากอำนาจก็เป็นไปตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย ถือว่า"เป็นผู้ำนำในระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แล้ว" ส่วน สไตล์การบริหารนั้นเป็นท่วงทำนองของแต่ละคน ที่มีสไตล์ของตนแตกต่างกันไป ความเป็นผู้นำไม่อาจลอกเลียนแบบเอามาจากคนอื่นๆได้

ตอนนี้ทักษิณเลยกลายเป็น "สัญญลักษณ์แห่งประชาธิปไตย" อย่างเต็มที่ เพราะฝ่ายตรงข้ามกับทักษิณตอนนี้ เป็นพวก "อำมาตยาธิปไตย" ที่ไม่ต้องการเข้าสู่อำนาจโดยการเลือกตั้งของประชาชน พวกเขาเหล่านั้นต้องการเข้าสู่อำนาจโดยการเลือกสรรจากกลุ่มของตนเอง โดยไม่เห็นประชาชนอยู่ในสายตา ไม่ว่าพวกเขาจะอ้างคุณธรรม จริยธรรมสูงส่งสักเพียงใด แต่เนื้อแท้มันก็คือ ตัวแทนของคนส่วนน้อย ที่ไม่เห็นประชาชนอยู่ในสายตาเท่านั้นเอง

ดังนั้น คำว่า Save Thaksin
, save democracy จึงหมายถึงการ "รักษาเจตจำนงของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ" เอาไว้ เจตจำนงที่ต้องการผู้นำที่เขาเลือกขึ้นมาเองกับมือ ไม่ใช่ผู้นำที่สวรรค์ที่ไหนประทานมาให้ ดีชั่วอย่างไรประชาชนต้องการเลือกของเขาเอง ไม่ต้ัองให้ใครมาบอกว่า ใครดีใครเลว ประชาชนย่อมสามารถตัดสินเองได้

ประชาชนไม่จำเป็นต้องมีใครสั่งสอนว่า ผู้นำที่ดีของเขานั้นเป็นอย่างไร เพราะ ดี นั้นมันหมายถึง ดีของใครด้วย เพราะคนดีเลิศประเสริฐศรีของคนๆ หนึ่ง อาจเป็นคนใช้ไม่ได้ สำหรับคนส่วนใหญ่ของปรเทศก็ได้




ผู้นำที่ดีในวงการสงฆ์ คือ ผู้นำที่สละแล้วซึ่งกิเลสทุกอย่าง กินน้อยใช้น้อย ไม่ทะเยอะทะยาน อยู่อย่างสมถะ นี่เป็นคุณธรรมที่ดีสำหรับคนในวงการศาสนา แต่หากเอา ผู้นำที่ดีในวงการศาสนา มาเป็นผู้นำทางโลก ก็ไม่อาจรักษาประเทศไว้ได้ เฉกเช่น องค์ดาไลลามะ ที่ไม่อาจรักษาเอกราชของทิเบตเอาไว้ได้ ผู้นำทางการเมืองนั้น จะต้องทำให้ประชาชนมีความสุข มีอยู่มีกิน มีงานทำ มีชีวิตที่สุขสบาย ตามสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ และความต้องการของคนยากจนที่ยากไร้ไปเสียทุกอย่าง ย่อมไม่เหมือนกับความต้องการของคนชั้นกลาง ชั้นสูง นักวิชาการที่ชีวิตมีพร้อมเสียทุกอย่างแล้ว ดังนั้น ผู้นำที่ประชาชนเลือกมากับมือ และประชาชนรักใคร่ หวงแหนคนที่เขาเลือกมา ย่อมเป็นผู้นำยิ่งใหญ่ของประชาชน

ตอนนี้ระบอบประชาธิปไตยของไทย กำลังถูกคุกคามอย่างรุนแรงจาก ระบอบศักดินาอำมาตยาธิปไตย ที่มองว่าประชาชนโง่ ด้อยการศึกษา และพวกเขาเท่านั้นควรมีสิทธิปกครองประชาชนเหล่านี้ พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อ กำจัดทักษิณออกไปให้พ้นทาง เพราะหากว่าทักษิณยังอยู่ ย่อมทำให้ประชาชนเข็มแข็งขึ้น ย่อมทำให้ประชาชนยืนอยู่ได้ด้วยลำแข้งของตนเอง ซึ่งเป็นภัยต่อระบอบศักดินาอำมาตยาธิปไตยอย่างยิ่ง

หากพวกเขาสามารถทำลายทักษิณออกไปจากใจของประชาชนได้เมื่อไหร่ นั่นหมายถึงพวกเขาสามารถทำลายความเข็มแข็ง การลุกขึ้นสู้ การขัดขืนของประชาชนได้เมื่อนั้น ประชาชนจะขาดผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งประชาธิปไตย และจมปลักยินยอมต่อ ศักดินาอำมาตยาธิปไตย ให้พวกเขาจูงจมูกต่อไป เหมือนหกสิบเจ็ดสิบปี หรือหลายร้อยปีที่ผ่านมา

ดังนั้นพวกเราชาวไทย ชาวรากหญ้า นักรบไซเบอร์ที่รักประชาธิปไตยทั้งหลายจึงต้องจำอย่างขึ้นใจในตอนนี้ว่า

Save Thaksin, save democracy and save Thailand!



ลุ้นอังกฤษจะเชื่อใคร!

ฉวยจังหวะที่กลุ่มพันธมิตรฯบุกสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ ประจำประเทศไทย ยื่นคำขาดให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดี ตามด้วยคิวชุมนุมกดดันกระทรวงการต่างประเทศให้ยึดพาสปอร์ตทูตของอดีตนายกรัฐมนตรี

ไล่บี้กัดติด กะเอาให้ตายคาเขียง

ล่าสุด สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า ทีมทนายความชาวต่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กำลังทำเรื่องเพื่อขอลี้ภัยทางการเมืองในประเทศอังกฤษ

โดยอ้างเหตุผล หากอยู่ในประเทศไทย ตัวเองและครอบครัวจะไม่ปลอดภัย

มันก็เป็นอะไรที่โยงภาพกันได้ต่อเนื่อง ม็อบการเมืองของคู่อาฆาตที่ห้ำหั่นกันมาตั้งแต่ต้น จนลากเกมไปสู่การรัฐประหารยึดอำนาจ “ทักษิณ” เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แล้วก็ยังมีความพยายามขุดรากถอนโคนกลุ่มอำนาจอดีตรัฐบาลไทยรักไทย

อ้างเพิ่มน้ำหนักในคำขอ “ลี้ภัย” ได้

และโดยกระบวนการสนับสนุนเงื่อนไข ทีม ส.ส.พรรคพลังประชาชน นำโดยนายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ ได้เดินทางเข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกต่อเอกอัครราชทูตอังกฤษ ประจำประเทศไทย

ชี้ให้เห็นถึงขบวนการที่ต้องการทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณให้สิ้นซาก ปราศจากเมตตาธรรม ไร้คุณธรรม

โดยยกข้อมูลทางกฎหมายที่เขียนขึ้นสมัยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข (คปค.) ฉบับที่ 30 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติมเรื่องการยืดอายุคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) พระราชบัญญัติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช.ที่เสนอจ่อเข้ามาในสภาฯ รวมถึงรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 309 ที่ให้นิรโทษกรรมผู้ที่ทำรัฐประหาร

แต่ไม่ให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ

เขียนกะจะให้ตายกันไปข้าง

โดยการเคลื่อนไหวของลูกทีมพรรคพลังประชาชน เชื่อว่า ทางการอังกฤษจะนำเรื่องไปประกอบการพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ

ร่วมด้วยช่วยกันส่ง “นายใหญ่” ได้หลบภัยเมืองผู้ดี

แต่ก็โดดออกมาขวางลำเต็มที่ ร่วมด้วยช่วยล่า “ทักษิณ” สุดกำลังเหมือนกัน

นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุพรรคจะรวบรวมข้อมูลเพื่อชี้แจงต่อสื่อต่างประเทศ อธิบายและทำความเข้าใจ

รวมถึงการทำหนังสือไปถึงสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย กรณี พ.ต.ท.ทักษิณจะขอลี้ภัย โดยอ้างเรื่องความไม่ปลอดภัยและไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมของไทยด้วย

เดินเกมหักล้างเงื่อนไข “ลี้ภัย” เต็มที่

พร้อมกับเปิดเกมบี้เค้นคอ “ลุงหมัก” นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้ยืนยันถึงความปลอดภัยของอดีตนายกฯ เพราะทราบมาว่า ทีมทนายความและทีมประชาสัมพันธ์จะนำเรื่องความปลอดภัยมาเชื่อมโยงกับการลี้ภัย โดยยกคดีคาร์บอมบ์ หรือคดีลอบวางระเบิดเครื่องบินการบินไทยขึ้นมา

เพื่อชี้ให้เห็นว่า เป็นการประทุษร้ายต่อผู้นำประเทศ

โยงเป็นฉากๆกับกรณีที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน จะไม่รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาความของศาลรัฐธรรมนูญ และร่าง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

เพื่อนำมาต่อรองการพิจารณาคดีที่กำลังไต่สวนในชั้นศาล

แต่เร้าใจกว่าอะไร ข่าววงในที่โฆษกพรรคประชาธิปัตย์อ้างว่า มีความพยายามระดมมวลชนให้เกิดการปะทะ เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง เพื่อกดดันกระบวนการพิจารณาของศาลในคดีสำคัญ

โดยมีการต่อสายตรงถึงคนเดินโพยหวยออนไลน์ อดีตกลุ่ม แกนนำ นปก.

ปมหลังนี้ บังเอิญข้อมูลมันอัพเดทพอดีกับการที่กองสลากกำลัง เปิดรับสมัครผู้จำหน่ายหวยบนดินกันอึกทึกครึกโครม โดยเกมใช้เครือข่ายหวยออนไลน์ระดมมวลชนจุดชนวนปะทะล้มคดีสำคัญ

ประชาธิปัตย์เปิดประเด็นเล่นลูกตามน้ำได้เนียนมาก

คนฟังแล้วเชื่อเลย

มันก็เหมือนกับที่มีข่าวลือวงในก่อนหน้านี้ เครือข่ายเจ้ามือหวยใต้ดิน กลุ่มทุนพรรคการเมืองใหญ่อยู่เบื้องหลังขบวนการอัดเงินล้ม “ทักษิณ”

ชาวบ้านได้ยินแล้วคาใจมาถึงวันนี้.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน


ศาล รธน.ตรวจหลักฐานชิมไปบ่นไป

เมื่อเวลา 09.30 น. ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายชัช ชลวร ประธานคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พร้อม องค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์ตรวจพยานหลักฐานของคู่กรณีครั้งแรก ในคำร้องที่ ส.ว.และ กกต.ขอให้วินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช กรณีจัดรายการชิมไปบ่นไป โดยฝ่ายผู้ร้องมีนายเรืองไกร ลี-กิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา และผู้แทนรับมอบอำนาจจาก กกต. มาตรวจสอบเอกสาร ขณะที่นายสมัครมอบอำนาจให้นายธนา เบญจาธิกุล ทนายความ ภายหลังคู่กรณีตรวจสอบพยานเอกสารประมาณ 1 ชั่วโมง นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวสรุปรายงานการตรวจพยาน พร้อมระบุว่า ศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนพยานเพิ่มอีก 3 ปาก คือนายวิศิษฐ์ ลิ้มประนะ ผู้สนับสนุนรายการชิมไปบ่นไป เป็นพยานฝ่ายศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 4 ก.ย. ส่วนพยานฝ่ายผู้ถูกร้อง คือนายศักดิ์ชัย แก้วมณี-สกุล กรรมการผู้จัดการบริษัทเฟซ มีเดีย จำกัด และนาย สมัครจะเดินทางมารับการไต่สวนในวันที่ 8 ก.ย. เวลา 09.30 น.

ส.ส.พปช.เล็งโหวตให้ “สมัคร” อีกรอบ

นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคพลังประชาชน หัวหน้ากลุ่มอีสานพัฒนา ให้สัมภาษณ์ว่า หากท้ายที่สุดแล้วศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้นายสมัครต้องพ้นสภาพความเป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะต้องมีการสรรหานายกฯคนใหม่ในที่ประชุมสภาฯ ส่วนจะเป็นใครนั้นคงต้องเป็นไปตามมติพรรคพลังประชาชน หากมติพรรคให้นายสมัครกลับเข้ามาเป็นนายกฯอีกครั้ง เราก็พร้อมที่โหวตให้ ขณะที่นายอนุชา สะสมทรัพย์ ส.ส.นครปฐม พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้ไม่มีใครเหมาะกับตำแหน่งนายกฯเท่ากับนายสมัคร ดังนั้น ยินดีที่จะโหวตเลือกนายกฯสมัครให้เป็นนายกฯอีกครั้ง

ด้านนายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคพลังประชาชน กลุ่มวังบัวบาน กล่าวว่า หากนายสมัครถูกตัดสินว่าขาดคุณสมบัติ แต่ไม่มีผลต้องเว้นวรรคการเมือง 5 ปี สามารถกลับมาเป็นนายกฯใหม่ได้ เหมือนกับกรณี นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ ที่เคยถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข ตนพร้อมสนับสนุนนายสมัคร เพราะเหมาะสมกับสถานการณ์ขณะนี้

“สมัคร” รับใส่เกล้าฯใช้เงินระมัดระวัง

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 21 ส.ค. ที่กรมชลประทาน ถนนสามเสน นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เดินทางไปเป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ครั้งที่ 6/2551 โดยก่อนเข้าประชุม นายสมัครแวะเดินตลาดบริเวณใกล้เคียงเพื่อซื้อบ๊ะจ่าง จากนั้นเดินชมนิทรรศการของกรมชลประทาน โดยเฉพาะโครงการเขื่อนต่างๆ ที่มีรูปนายสมัครสมัยเป็น รมว.มหาดไทย ติดตามพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยนายสมัครพูดด้วยความปลาบ-ปลื้มใจว่า “เกิดมามีวาสนา ได้ใกล้ชิดกับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน”

ต่อมาเวลา 12.45 น. ภายหลังการประชุม นายสมัครกล่าวถึงอุทกภัยที่เกิดขึ้นในประเทศว่า ได้สั่งการรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ไปดู รับผิดชอบจังหวัดไหนก็ดู จังหวัดนั้น ถ้ามีเวลาจะลงไปดูด้วยตัวเอง เบื้องต้นให้ รมว.มหาดไทยดูแลเป็นหลัก เมื่อถามว่า รัฐบาลจะสนองพระราชดำรัสที่ทรงให้ระมัดระวังการใช้จ่ายเงินอย่างไร นายสมัครตอบว่า เรื่องนี้ต้องรับใส่เกล้าฯอยู่แล้ว รู้อยู่แล้ว ฟังแล้วต้องน้อมนำใส่เกล้าฯ ทุกคนพร้อมระมัดระวัง อย่าง ไรก็ตาม นายสมัครปฏิเสธตอบคำถามประเด็นการเมือง ไม่ว่าจะเป็นข้อสงสัยเรื่องการต่อสายคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมทั้งการตัดสินใจจะไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีรายการชิมไปบ่นไป ในวันที่ 8 ก.ย. หรือไม่

ทูตอังกฤษปฏิเสธตอบเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ

กทม. 21 ส.ค. - ทูตอังกฤษระบุการเรียกร้องไม่ให้อดีตนายกรัฐมนตรีไทยลี้ภัยที่ประเทศอังกฤษ ถือเป็นเรื่องธรรมดาตามระบอบประชาธิปไตย

นายควินตัน เควนลย์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย กล่าวว่า การที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเดินทางไปยื่นหนังสือที่สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เพื่อเรียกร้องไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ลี้ภัยในประเทศอังกฤษ ว่า เป็นเรื่องธรรมดาของระบอบประชาธิปไตยที่จะแสดงออกว่ามีความเห็นอย่างไร แต่ขอให้ดำเนินการอย่างสันติ และที่กลุ่มพันธมิตรฯ กำหนดเวลา 7 วัน เพื่อให้สถานทูตอังกฤษฯ ให้คำตอบ นายเควนลย์ ปฏิเสธที่จะพูดเรื่องนี้ ระบุเพราะไม่มีสิทธิที่จะตอบเกี่ยวกับเรื่องการเข้าเมืองของต่างชาติ. -สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-08-21 16:14:31


สุรพงษ์ ยื่นหนังสือสถานทูตอังกฤษชี้ กม.ไทยไม่เป็นธรรม

กรุงเทพฯ 21 ส.ค. - เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (21 ส.ค.) นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคพลังประชาชน ได้เดินทางมายังสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เพื่อยื่นหนังสือถึงนายควินตัน มาร์ค เควลย์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ผ่านเลขานุการฝ่ายการเมือง ให้พิจารณากฎหมายที่ไม่เป็นประชาธิปไตยของไทย จำนวน 5 ฉบับ ที่ออกมาบังคับใช้อย่างไม่เป็นธรรม เพื่อดำเนินการเอาผิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และภริยา

ทั้งนี้ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า หลังจากรับเรื่องแล้ว เลขานุการฝ่ายการเมืองจะนำหนังสือส่งถึงเอกอัครราชทูตอังกฤษ และรับปากว่า หากมีการพิจารณาเรื่องข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรี ก็จะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าร่วมพิจารณาด้วย. - สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-08-21 16:49:47


ราชดำเนินโลกแห่งความฝันของพันธมิตร

“...การกระทำผิดต่อกฎหมายที่มีการล่วงละเมิด หมิ่นประมาทบุคคลอื่น ที่นับคดีไม่ถ้วน ไม่รวมถึงการกล่าววาจาที่บังอาจล่วงละเมิด และเป็นการระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคคลบาท ที่ยังเกิดขึ้นเรื่อยมา บรรดาแกนนำได้บอกความจริงกับผู้มาชุมนุมหรือไม่ว่า แท้จริงแล้ว การกระทำที่ว่านั้น เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง หรือยังกล้ามุสาว่า เป็นความชอบธรรม สามารถทำได้ เพราะกูคือพันธมิตรฯ...”

ราชดำเนินโลกแห่งความฝันของพันธมิตร
กรณีพันธมิตรฯ ได้ขึ้นป้ายขนาดใหญ่ มีภาพและข้อความเป็นหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ดูเหมือนจะทำให้เกิดความรู้สึกสะเทือนใจกับผู้คนทั้งประเทศ
เป็นผู้คนที่แม้จะไม่ใช่กลุ่มคนที่รักนายกฯ ทักษิณ หากแต่เป็นคนที่มีจิตใจปกติ ที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีจิตใจเมตตากรุณา รู้แพ้ รู้ชนะ และรู้จักการให้อภัย อันเป็นลักษณะของคนไทยส่วนใหญ่ เมื่อเห็นภาพที่ปรากฏเช่นว่านี้ ย่อมอดที่จะสะเทือนใจไม่ได้ยิ่งหากผู้ที่ได้เห็น คือคนที่รักนายกฯ ทักษิณ และชีวิตที่เคยเป็นอยู่กลับเปลี่ยนแปลงไปเพราะนโยบายของรัฐบาลที่นำโดยอดีตนายกรัฐมนตรีด้วยแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ สงสาร นายกฯ ทักษิณ และครอบครัว คงทบเท่าทวีคูณและในทางกลับกัน การที่กลุ่มพันธมิตรฯ ได้กระทำการเช่นว่านี้ ก็เท่ากับเป็นการแสดงให้เห็นตัวตนที่ชัดเจนของพันธมิตรฯ ยิ่งขึ้น
เป็นตัวตนของกลุ่มคนที่เรียกร้องประชาธิปไตยที่เป็นเพียงชื่อ หากแต่วิธีคิดและการกระทำคือ อนาธิปไตย
ความรู้สึกหวั่นเกรงของบางคน ที่คิดว่ากลุ่มพันธมิตรฯ จะเติบโตขึ้น และจะขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ คงผ่อนคลายลง เพราะยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งปรากฏชัดขึ้น ชัดขึ้นว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่พยายามยกระดับการชุมนุม จนถึงขนาดเรียกขานสถานที่ชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ว่า “มหาวิทยาลัยราชดำเนิน” นั้น แท้จริงแล้วบรรดาแกนนำที่จะนำความรู้ประชาธิปไตยมาให้กับประชาชนผู้ร่วมชุมนุมนั้น ล้วนแล้วแต่คือ คนที่อ่อนด้อยทางปัญญา และขาดซึ่งสติ แยกแยะความดีชั่วไม่ได้ และอาจเลยเถิดจนถึงคิดเอาว่า ตนนั้นคือศาสดา หรือผู้นำทางความคิด และผู้มาร่วมชุมนุมกันทุกวี่วันคือเหล่าสาวก ที่ไม่ว่าจะชี้นำไปในทิศทางใดแล้ว ผู้คนเหล่านั้นก็จะน้อมนำทำตาม
แน่นอนว่า การชุมนุมย่อมเป็นเสรีภาพ ที่ประชาชนมีสิทธิกระทำได้ภายใต้รัฐธรรมนูญ และการชุมนุมก็ควรจะกระทำได้ หากการชุมนุมนั้นไม่กระทำการล่วงละเมิดทางกฎหมายหรือต่อผู้อื่น
แต่นับจากวันแรกจนถึงวันนี้ ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ชุมนุมกัน นอกเหนือจากการกระทำผิดปิดถนนทางสัญจรไปมาของประชาชน หรือการใช้เสียงรบกวน ก่อความรำคาญเป็นที่อิดหนาระอาใจของประชาชนแล้ว
เฉพาะการกระทำผิดต่อกฎหมายที่มีการล่วงละเมิด โดยการหมิ่นประมาทบุคคลอื่นบนเวที ก็ดูเหมือนจะนับจำนวนคดีกันไม่ถ้วน ไม่รวมถึงการกล่าววาจาที่บังอาจล่วงละเมิด และเป็นการระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคคลบาท หรือการปราศรัยที่เป็นการอาจเอื้อมอ้างอิงโดยมิบังควร ซึ่งเรื่องทำนองนี้ก็ยังเกิดขึ้นอยู่เรื่อยมา ในห้องเรียนของมหาวิทยาลัยราชดำเนินแห่งนี้
คำถามก็คือ ขณะที่บรรดาแกนนำทั้งหลายได้กระทำความผิดหลายข้อหาอยู่เป็นระยะๆ นั้น แกนนำได้นำความจริงมาบอกผู้ที่มาชุมนุมหรือไม่ว่า แท้จริงแล้ว การกระทำที่ว่านั้นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และไม่ควรจะเอาเยี่ยงอย่าง หรือยังกล้ามุสาว่า การกระทำหลายอย่างนั้นเป็นความชอบธรรม สามารถทำได้ เพราะ “กูคือพันธมิตร”
สิ่งซึ่งมหาวิทยาลัยราชดำเนินไม่เคยสอน หรือบอกให้นักศึกษาได้รู้ก็คือ การชุมนุมโดยสงบ โดยปราศจากอาวุธนั้น จะต้องมีหลักการสำคัญคือ ต้องไม่ทำผิดกฎหมาย แต่หากการชุมนุมนั้น แม้จะสงบหรือปราศจากอาวุธก็ตาม แต่หากเป้าประสงค์นั้นมีเพื่อการกระทำผิดต่อกฎหมายแล้ว การชุมนุมนั้นคือ อั้งยี่ซ่องโจร
เวลานี้ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กำลังแสดงให้เห็นว่า การกระทำทุกอย่างของตนคือความชอบธรรม การเคลื่อนขบวนไปยังสถานทูตอังกฤษก็ดี หรือไปกระทรวงการต่างประเทศก็ดีนั้น มิใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญ หากแต่เป็นการแสดงพลังเพื่อกดดัน อันเป็นกรณีที่ไม่ต่างจากวันที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไปมอบตัวที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล
คงไม่ต้องบอกว่า การขึ้นป้ายประจานอดีตนายกรัฐมนตรีและภริยานั้น เป็นความผิดต่อกฎหมายอาญาอย่างแน่นอน และเชื่อว่าแกนนำทุกคนก็รู้ ประเด็นก็คือ การกระทำเช่นนี้เป็นการประจานประเทศไทยไปด้วย
เพราะใครๆ ก็รู้ว่า จนถึงวันนี้ อดีตนายกฯ และภริยา ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ตราบเท่าที่ยังไม่มีคำพิพากษาให้ถึงที่สุดว่า ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา และหมายจับที่ออกมา เป็นเรื่องการขัดหมายศาล
การกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ จึงเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญา
อย่างไรก็ตาม ก็คงจะว่ากล่าวอะไรไม่ได้ เพราะยิ่งนานวันพันธมิตรฯ ก็ได้สำแดงให้เห็นว่า เป้าหมายของแกนนำพันธมิตรฯ บางคนนั้น เพียงเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของตน แม้ไม่ใช่บนโลกแห่งความเป็นจริง ก็ขอเป็นในโลกแห่งความฝัน ณ ถนนราชดำเนินก็ยังดี



คอลัมน์: สามเหลี่ยมดินแดง

00 หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ สื่อทางเลือกของประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ฉบับวันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2551 ยืนยันเจตนารมณ์เดิมไม่เปลี่ยนแปลง สนับสนุนให้มีการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉบับหน้าแหลมฟันดำ กากเดนของเผด็จการ ยกร่างกันขึ้นมาด้วยจิตอคติ ให้เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน และ ต้องทวงถามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชาชนทุกคน ลืมแล้วหรือกับสัญญาที่ให้ไว้บนเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา หากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตัวการสร้างปัญหาให้กับประเทศชาติ ลืมกันหรือยัง

00 นี่เหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ก็จะผ่านพ้นเดือนสิงหาคม ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ออกมา ทั้งที่รายชื่อของประชาชนกว่า 7 หมื่นรายชื่อที่ คณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 หรือ คปพร. ยื่นให้ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ถือว่าครบถ้วนกระบวนความ ในการบรรจุเป็นญัตติให้ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาผู้ทรงเกียรติพิจารณา และ ลงมติว่าสนับสนุนรัฐธรรมนูญของเผด็จการ หรือต้องการแก้ไขให้เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน ทั้ง นพ.เหวง โตจิราการ และ อ.จรัล ดิษฐาอภิชัย แม่งานใหญ่ของ คปพร. อยากรู้มากกว่าใคร

00 เอกฉัตร ไม่ได้ยินกับหู แต่อ่านจากข่าว บอกตรงๆ สะใจจริงๆ กับเสียงจากลอนดอนมาถึงสมาชิกพรรคพลังประชาชน ให้ยุติความขัดแย้ง จับมือกันสนับสนุน นายกรัฐมนตรีโลว์คอสต์ นายสมัคร สุนทรเวช เป็นคำพูดสั้นๆ แต่มีความหมาย เพราะในภาวะอย่างนี้ มองไปรอบๆ ตัวสิครับ ใครจะเหมาะเท่ากับ นายกฯ สมัคร ในการถือธงนำพาประชาธิปไตยให้กับประเทศชาติ เพื่อสู้กับแก๊งข้างถนนที่ระดมพลสร้างการเมืองใหม่ ถอยหลังเข้าคลองออกทะเล ตัดอำนาจของประชาชน สนับสนุนเผด็จการ ให้ ส.ส. มาจากการลากตั้งมากกว่าเลือกตั้ง ซึ่งเห็นฤทธิ์กันแล้วในสมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบัน ซึ่งน้อยกว่าสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งแค่ 2 คน จึงรับใช้ผู้ที่ช่วยกันลากตั้งเต็มที่ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านแทนพรรคประชาธิปัตย์ ที่ละเมอหลงตัวเองว่าเป็นรัฐบาลเงา

00 ว่าก็ว่าเถอะ กลุ่มอีสานพัฒนา คงจะลำพองใจที่หยิบยกคำว่า “หักหลังเพื่อน” ยัดใส่ขุนค้อน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เมื่อวันที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ทำให้ ขุนค้อน ประกาศลาออกจากหัวหน้ากลุ่มอีสานพัฒนา ด้วยความเจ็บปวดและขมขื่น คำว่า “ทรยศหักหลัง” จึงยัดใส่คนโน้นคนนี้ ทั้งนายกฯ สมัคร และ กลุ่มเพื่อนเนวิน

00 เมื่อมีเสียงจากลอนดอนออกมาอย่างนี้ เอกฉัตร อยากจะถามใครก็ได้ช่วยตอบที นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส. เลย อดีตเลขานุการของ นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งขณะนี้ ทุกข์ธนะ ต้องดูถ่ายทอดโอลิมปิกอยู่ในคุกลาดยาว และ นายศักดา คงเพชร ส.ส. ร้อยเอ็ด กลับบ้านถูกหรือยัง???

00 ข้อสงสัยต่างๆ ทุกคนมีสิทธิ์กังขาได้ อย่างกรณี นายกฯ สมัคร พูดในที่ประชุมพรรค ในทำนองว่า ได้พยายามทำเต็มที่แล้ว แม้พรรคจะถูกยุบ แต่กรรมการบริหารพรรคยังอยู่ เข้าทางสื่อที่จ้องจับผิด ตั้งคำถามว่า นายกฯ สมัครรู้ได้อย่างไร ในเมื่อคดียุบพรรคพลังประชาชน คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ยังไม่เคาะเป็นคำตอบสุดท้าย

00 เอกฉัตร คนหนึ่งที่ลงคะแนนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับหน้าแหลมฟันดำ เพราะอ่านทุกมาตรา แม้จะรู้งูๆ ปลาๆ แต่พอจำได้ว่า การตัดสินยุบพรรคการเมืองนั้น ไม่ได้เหมาเข่งตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค เหมือนที่คณะรัฐประหารออกคำสั่งให้มีผลย้อนหลัง จับกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยขังบ้านเลขที่ 111 แต่รัฐธรรมนูญ ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาลงโทษกรรมการบริหารพรรคเป็นรายบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรค หายข้องใจหรือยัง

00 การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรพันธมารล้างผลาญประชาธิปไตย ใกล้ครบกำหนดร้อยวัน จะได้ร่วมกัน ทำพิธีฌาปนกิจเผาหลอกเผาจริงเสียที แต่กว่าจะถึงครบร้อยวันที่ตั้งสวดอยู่เชิงสะพานมัฆวานฯ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำคนสำคัญกับสมุนจะมีคดีพ่วงท้ายครบร้อยคดีหรือไม่ ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ล่าสุด พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฟ้องหมิ่นประมาทข้ามทวีป นำภาพและหมายจับมาขยายเผยแพร่

00 ถามกันมา หมายจับที่กลุ่มพันธมารนำมาขยายความต่อ จนมีการฟ้องร้องหมิ่นประมาทกันนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ ถามมาตอบไป เป็นงานปกติของตำรวจ หากศาลมีหนังสือให้ออกหมายจับ โดยกองทะเบียนประวัติอาชญากรจะขึ้นบัญชี โดยโรงพักต่างๆ จะนำไปปิดไว้ที่บอร์ด

00 เช่นเดียวกับหมายจับ อดีตนายกฯ ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน แต่ที่มีการขยายความกันใหญ่โต เพราะหมายจับของตำรวจ เข้าทางกลุ่มพันธมิตรพันธมาร ที่ต้องขยายความให้น่าเชื่อว่า เป็น อาชญากรหนีอาญาแผ่นดิน ทั้งๆ ที่หมายจับของตำรวจนั้น เป็นการออกในคดีขัดคำสั่งศาลไม่มารายงานตัวตามนัด ไม่ได้เป็นอาชญากร เพราะคดีของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาคดี เช่นเดียวกับคดีของ คุณหญิงอ้อ แม้ศาลจะสั่งจำคุก 3 ปี แต่เป็นแค่การตัดสินของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นคดีเลี่ยงภาษี ไม่ใช่คดีฆ่าคนตาย จึงจะมาตราหน้าว่าเป็นอาชญากร ใครที่เคยสามหาวลามปามบนเวทีพันธมิตรฯ เตรียมรอหมายศาลและสั่งเสียลูกเมียไว้ล่วงหน้า

00 เอกฉัตร ฟังมา หมายจับ อดีตนายกฯ ทักษิณและคุณหญิงอ้อ ที่มีภาพหรามานั้น มีกระบวนการสอดไส้ โดยมีตำรวจคนหนึ่งทะลึ่งรับลูกของกระบวนการ ครั้งแรกหมายจับออกมา ไม่มีภาพ มีเพียงชื่อ แต่มีนักข่าวไปจี้ถามตำรวจกองทะเบียนประวัติอาชญากรว่า ทำไมไม่มีภาพเหมือนหมายจับคดีอื่นๆ ตำรวจคนนั้นจึงยัดภาพใส่ลงไปทันที นี่คือ กระบวนการจัดตั้งที่ทำไว้ล่วงหน้า ทำให้กลุ่มพันธมิตรพันธมาร พรินต์หมายจับออกมาจากเว็บไซต์ทันทีทันใด เหมือนเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์รอรับหมายจับทันทีที่ ต้นทางกดเอ็นเตอร์



คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสิน

ผมเห็นใจรัฐบาลจริงๆ ครับ ถึงจะมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการบริหารราชการงานเมือง ดูแลแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างไร แต่ทำอะไรไม่ถนัดนัก ดูมันติดขัดไปหมด พอจะขยับตัวเป็นโดนเป่านกหวีด ถูกหาว่าทำฟาล์ว ทำผิดรัฐธรรมนูญ จนแทบกระดิกตัวไม่ได้ ไหนจะศึกในศึกนอกที่ประดังเข้ามา
ที่เป็นอย่างนี้เพราะถูกรัฐธรรมนูญฉบับ “โจราธิปไตย” ภายใต้การบงการของอำนาจ
“เผด็จการ” ปิดทางไว้หมด
ในขณะเดียวกันก็เปิดทางอ้าซ่า ให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล เล่นนอกกติกาแอบต่อยใต้เข็มขัดมาตลอด ถ้าเป็นนักมวย ที่แน่ๆ อย่าง มนัส บุญจำนงค์ ก็คงหงุดหงิดเหมือนกัน
ในเมื่อรัฐธรรมนูญมีความพิกลพิการอย่างนี้ อยู่ต่อไปก็ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ที่เห็นแน่ๆ คือ เกิดความแตกแยกที่รุนแรงขึ้น เห็นความชัดเจนในการทำงานขององค์กรอิสระที่เป็นผลพวงมาจากเผด็จการที่จะค้านกับชื่อองค์กร เห็นความพยายามที่ต้องการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
หลายฝ่ายพูดตรงกันว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความไม่สมบูรณ์ จึงควรแก้ไข เพราะเป็นสาเหตุที่อาจจะทำให้คณะรัฐมนตรีถูกพักงาน ถูกถอดถอนเอาได้ง่ายๆ หากมีผู้ไปยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.
เป็นการพิสูจน์ว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นตัวสร้างปัญหาและสร้างทางตันให้กับการเมืองไทยจริงๆ
ไม่มีกูรูทางการเมืองคนไหน สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้ว่า รัฐบาลจะมีอายุครบ 4 ปีหรือไม่
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกฯ มือกฎหมายเคยกล่าวว่า ที่มาที่ไปของรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากการปฏิวัติ จึงไม่สามารถรับได้ และฝ่ายที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มองพรรคการเมืองและนักการเมืองเลวร้ายกันไปหมด
เรื่องนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง เมื่อมีตุลาการบางคนบอกว่า จะให้อาชญากรแก้รัฐธรรมนูญหรือ
ทันทีก็มีการตอบโต้การแสดงถึงวุฒิภาวะและการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงเกินไปว่า เป็นคำพูดที่ใช้ไม่ได้
ถ้ามีการถามกลับไปว่า คุณร่างรัฐธรรมนูญเอง แล้วก็มาเป็นองค์กรอิสระเสียเอง คุณไม่คิดบ้างหรือว่านี่เป็นการกระทำแบบไหน
ผมยังเชื่อว่า คนชั้นใดร่างกฎหมายก็เพื่อประโยชน์ของคนชั้นนั้นครับ ขณะที่คุณร่างกฎหมายคุณเป็นอะไรอยู่ แล้วคุณก็กลับมาเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เป็นเรื่องที่เหมาะสม สมควรหรือไม่
ผมมองว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีอคติกับพรรคการเมือง นักการเมือง เกินเลยไปกว่าที่ควรจะเป็น เป็นรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาต่อการบริหารงานของรัฐบาล และการดำรงตำแหน่งก็ต้องแก้ไขกันได้ เป็นเรื่องปกติธรรมดา
แต่นี่เล่นกันจนแทบไม่เหลือพรรคการเมืองในสภา แล้วอย่างนี้การเมืองจะเดินไปได้อย่างไร
จะหวังการเมืองภาคประชาชนข้างถนนที่มีการชุมนุมประท้วงกัน ก็จะได้ “การเมืองใหม่” ที่ต้อนคนของตัวเองไปไว้ในสัดส่วน 70 ส่วนที่เหลืออีก 30 ให้ประชาชนเลือก อย่างนั้นหรือ
นี่เป็นปัญหาใหญ่ของการเมืองเชิงระบบ ที่ต้องพิจารณากันให้ถ้วนถี่
อยากให้ฝ่ายที่ต่อต้าน มาสู้กันในระบบเลือกตั้ง แต่ถ้าเล่นการเมืองกันแบบหยาบๆ อย่างทุกวันนี้ สุดท้ายก็จะลงเหวกันหมด อยากจะเสนอกว่าการยุบสภาเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่หลายคนอาจไม่รับ เพราะยังเชื่อว่า การเมืองไม่มีทางตัน
น่าอดสูยิ่งนัก ไม่มียุคใดสมัยใด ที่บ้านเมืองแตกแยกรุนแรงมากกว่ายุคนี้ เพราะต้องการเอาชนะ เอาความสะใจเป็นที่ตั้ง โดยไม่มองว่าควรหรือ ไม่ควรทำ
วันนี้...คนที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี สร้างคุณูปการให้บ้านเมืองมากมาย ถูกกระทำยิ่งกว่าอาชญากรแผ่นดิน ถูกออกหมายจับประจานให้เสื่อมเสียชื่อเสียง มีการประจานกันไปทั่วโลก
นี่ขนาดไม่ใช่รัฐบาลเผด็จการ ยังทำกันถึงขนาดนี้
ทั้งๆ ที่รู้ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีตอนนี้พำนักอยู่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ไม่ใช่เป็นคนร่อนเร่เสียเมื่อไร ควรให้สำนักงานอัยการสูงสุด ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง แต่ดูเหมือนต้องการทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่
แต่หารู้ไม่ว่า นั่นเป็นการสะสมบ่มเพาะ ความรักความเห็นใจให้เกิดขึ้นกับประชาชนคนไทยที่มีความเป็นธรรมในหัวใจทั้งหลาย
ผมพยายามนึกภาพ แต่นึกไม่ออกเหมือนกันว่า ถ้าเป็นยุค “การเมืองใหม่” ที่กลุ่มพันธมิตรฯ คิด หรือนำความคิดมาจากใครหรือฝ่ายใดก็ตาม เหตุการณ์จะไปถึงขนาดไหน
ในขณะนี้เราอยู่ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีพรรคการเมืองที่ประชาชนมอบความไว้วางใจให้มาทำงาน เข้ามาทำหน้าที่ และกำลังทำงานอยู่ ยังทำกันได้ถึงขนาดนี้
มีเสียงจากฝ่ายที่ร่างรัฐธรรมนูญ อย่าง นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานชมรม สสร.50 เรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่มีความประสงค์จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุติการเสนอแก้รัฐธรรมนูญปี 2550 เพราะจะก่อให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติมากขึ้น ซึ่งชมรม สสร.50 ยืนยันว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 ดีกว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 แต่หากจะมีการแก้ไขในอนาคตก็ขอให้มีการศึกษาปัญหาการใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 ให้มีความชัดเจนก่อน ซึ่งการศึกษาจะต้องประกอบด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ประกอบด้วยบุคคลที่ต้องการแก้ไขเพื่อประโยชน์ของตนเอง
วันนี้ภาคประชาชนล่ารายชื่อเพื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญกันส่งให้สภาไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะดึงดันกันไปทำไม
มีการยืนยันชัดเจนมาจากแกนนำของพันธมิตรฯ ที่ถูกมองว่าเป็นกระบวนการสืบทอดรัฐธรรมนูญฉบับรัฐประหาร ระบุว่าจะต่อต้านขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างถึงที่สุด และพร้อมเป่านกหวีดรวมพลได้ทันที เพราะฉะนั้นการเผชิญหน้ากันคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ โอกาสที่จะนำไปสู่สงครามกลางเมืองก็มีสูงขึ้น
ผมไม่อยากนึกภาพว่า ต่างประเทศจะมองเราอย่างไร เพราะเมื่อครั้งที่มีการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจ ก็หนักหนาสาหัสพอแล้ว จนมาถึงวันนี้มีการเลือกตั้ง ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามครรลองประชาธิปไตย แต่ก็มีความพยายามจะล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีก
อยากให้ผู้ที่เรียกร้องบนสะพานมัฆวานฯ มาสู้กันในระบบเลือกตั้ง แต่ถ้าเล่นการเมืองกันแบบหยาบๆ สุดท้ายก็จะลงเหวกันหมด ถ้าจะถามผมในขณะนี้ อยากเสนอว่าการยุบสภาเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่หลายคนอาจไม่ยอมรับ เพราะเชื่อว่า การเมืองไม่มีทางตัน
ในเมื่อไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ก็ต้องไปให้ประชาชนตัดสินกันใหม่ดีไหม
จัดแถวประชาธิปไตยกันใหม่ดีไหม จะได้แก้ปัญหาหลายๆ อย่าง
ในเมื่อยอมรับกันว่า ประชาธิปไตยของประชาชนชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
ให้ประชาชนตัดสินเถอะครับ เพราะเสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์

หยุดสร้างความชอบธรรมให้เผด็จการ

คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว
เมื่อวันก่อนนี้ "เก่งกาจ จงใจพระ” หมอดูชื่อดัง ออกมาบอก หรือจะว่ามาเตือนก็คงไม่ต่างกันนัก ถึงการเกิด "จันทรคราสสีส้มแดง" ขึ้นในเดือนเดียวกับเกิด "สุริยคราส" ว่าให้ระวังภัยทางการเมือง ระวังเหตุพลิกผันทางการเมือง-ภัยธรรมชาติ อาจวุ่นวายยาวทั้งเดือน

เรื่องนี้ใครจะคิดอย่างไร...ไม่ว่ากันครับ

ผมว่าเรื่องธรรมชาตินั้นก็เห็นกันอยู่ ตอนนี้พี่น้องประชาชนในภาคเหนือและภาคอีสาน ต่างได้รับความเดือดร้อนไปตามๆ กัน ทางพังงาก็มีภูเขาถล่ม ก็ต้องช่วยเหลือกันครับ ไม่มีใครรักและเป็นห่วงคนไทยเท่าคนไทยหรอกครับ ยกเว้นคนบางกลุ่มบางพวกที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของประเทศชาติ ต้องการสร้างปัญหาให้กับบ้านเมือง

ส่วนเรื่องการเมืองนั้น โดยเฉพาะเรื่องของ “ภัยทางการเมือง” ผมว่าได้มีการจับตามองกันอยู่แล้วเหมือนกัน

มีหลายเรื่องที่ต้องติดตาม นอกจากการที่อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พูดไว้ชัดว่า ไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม เพราะเชื่อว่ามีการแทรกแซงองค์กรที่ทำการสืบสวนสอบสวน พูดให้ชัดคือ หมายถึง คตส. และ ป.ป.ช. นี่เอง แต่มีคนที่ไม่หวังดีพยายามโยงไปถึงศาลให้ได้

และไม่มั่นใจในความปลอดภัย จึงต้องออกไปอยู่ต่างประเทศ

โดยหวังว่าความขัดแย้ง ความแตกแยกทางการเมือง จะลดลง ความสมานฉันท์ที่รัฐบาลและคนส่วนใหญ่ในประเทศต้องการให้เกิดขึ้น น่าจะมีผลดีตามมา โดยเฉพาะในช่วงสำคัญของพสกนิกรชาวไทย จาก “วันแม่ถึงวันพ่อ” ที่จะมีกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเกิดขึ้นมากมาย

ความจริงแล้วได้มีความพยายามที่จะยุติความขัดแย้งในบ้านเมือง หยุดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายของคนในประเทศ แต่ยังทำไม่สำเร็จให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างได้เสียที

มีแฟนหนังสือประชาทรรศน์ส่งเอกสารมาให้ฉบับหนึ่ง เป็นเอกสารที่ต้องการจะให้ยุติความขัดแย้งที่กล่าวถึงนี่แหละครับ แต่เอกสารนี้ไม่ได้รับการเผยแพร่จากสื่ออย่างที่หวังไว้ แทบไม่มีสื่อไหนให้ความสนใจว่างั้นเถอะ และยิ่งเป็นสื่อในเครือข่ายของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วยแล้ว ไม่ต้องพูดถึง...

เพราะนี่เป็นสิ่งที่ไปตอกย้ำ ไปเปิดแผลของคนกลุ่มนี้ว่าสิ่งที่ได้กระทำลงไปนั้น มีคนกลุ่มหนึ่งออกมาคัดค้านต่อต้าน...ไม่เห็นด้วย

เอกสารที่ว่านี้คือ จดหมายเปิดผนึก เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2551 จาก นายปกป้อง เลาวัณย์ศิริ ผู้ประสานชมรมกิจกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง ที่ลงชื่อนักกิจกรรม นักวิชาการ นักศึกษา นักสหภาพแรงงาน ประณามกลุ่มพันธมิตรฯ

พลิกดูรายชื่อข้างล่างของจดหมายฉบับนี้ มีทั้งนักศึกษาปริญญาเอก ปริญญาโท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ประธานสหภาพแรงงาน ฝ่ายจัดตั้งสหภาพแรงงานย่านรังสิต นักกิจกรรมด้านสังคม นักกิจกรรมด้านมนุษยชน พยาบาลในโรงพยาบาลประเทศเบลเยียม เป็นต้น

เอกสารระบุว่า แม้การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สามารถกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายระหว่างประเทศ แต่พันธมิตรฯ มีการปลุกปั่น สร้างกระแสความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในสังคม มีการใช้วาทกรรมพิทักษ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเครื่องมือในการปราบปรามประชาชนช่วง 6 ตุลาคม 2519

และยังมีข้อเสนอที่ถอยหลังเข้าคลองของ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ที่เสนอให้ ส.ส. มาจากการแต่งตั้งร้อยละ 70 และการเลือกตั้งร้อยละ 30

ในจดหมายยังระบุอีกว่า ผู้มีรายชื่อท้ายจดหมายนี้ เรียกร้องให้พันธมิตรฯ ยุติการใช้กระแสชาตินิยม (วันนี้เอาเรื่องเชื้อชาติ สัญชาติ เรื่องลูกจีน มาใช้แล้วด้วย) และวาทกรรมพิทักษ์ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” มาเป็นเครื่องมือทำลายผู้เห็นต่างจากฝ่ายพันธมิตรฯ ยุติการให้ข้อมูลผิดพลาด และให้ยุติการเสนอแนวคิดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการแต่งตั้ง

และข้ออ้างทุกรูปแบบ เพื่อความชอบธรรมให้เกิดรัฐประหาร

ขอประณามกลุ่มพันธมิตรฯ ในการสร้างความขัดแย้งแตกแยกให้เพิ่มขึ้นในสังคมไทย และไม่ดำเนินการไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย

หนังสือระบุอีกว่า ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตรฯ ได้มีการจัดชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ และได้ไปปักหลักชุมนุมหน้าที่หน้าทำเนียบรัฐบาล (ปัจจุบันถูกนักเรียนโรงเรียนราชวินิตมัธยม ไล่กลับมาที่สะพานมัฆวานฯ แล้วครับ) เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลภายใต้การนำของ นายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี

แม้ว่าผู้ร่วมลงชื่อข้างล่างจดหมายนี้จะสนับสนุนสิทธิในการชุมนุม ที่กลุ่มพันธมิตรฯ ว่าสามารถกระทำได้ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน แต่...

- กลุ่มพันธมิตรฯ ได้มีการปลุกปั่นสร้างกระแสความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในสังคม โดยเฉพาะต่อกรณี เขาพระวิหาร และการใช้วาทกรรมพิทักษ์ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ซึ่งเป็นวาทกรรมแบบชาตินิยม ที่ได้มีการใช้เป็นเครื่องมือในช่วงของการเข่นฆ่าปราบปรามผู้นำกรรมกร ชาวนา นักศึกษา และประชาชน ในช่วงปลายทศวรรษ 2510 โดยตำรวจ ทหาร และกลุ่มอันธพาลฝ่ายขวา ที่กระทำไปโดยอ้างว่าเพื่อพิทักษ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทางการเมือง

- การเสนอให้มีการแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยให้มาจากการแต่งตั้งร้อยละ 70 และเลือกตั้งร้อยละ 30 ของ นายสุริยะใส กตะศิลา ถือเป็นข้อเสนอที่ “ถอยหลังเข้าคลอง” ขัดแย้งกับหลักการประชาธิปไตยแบบตัวแทน

และเป็นการเปิดทางให้คณะรัฐประหารนิยมมาแทรกแซงการเมือง และฉีกรัฐธรรมนูญอีกครั้ง
ผู้เสนอจดหมายเปิดผนึกได้ขอแสดงจุดยืน ดังนี้

1.ขอประณามพันธมิตรฯ โดยเฉพาะ นายพิภพ ธงไชย นายสุริยะใส กตะศิลา นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ที่อ้างเป็นตัวแทนของภาคประชาชน ขอแสดงทรรศนะว่า การกระทำที่ผ่านมาของบุคคล 4 คนนี้ ได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเหล่านี้จะไม่มีจุดยืนเพื่อคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนอีกแล้ว

2.ขอเรียกร้องให้มีการยุติการปลุกปั่น การสร้างกระแสลัทธิชาตินิยม การใช้วาทกรรมพิทักษ์ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” มาเป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงข้าม หรือผู้ที่มีความเห็นต่างกับกลุ่มพันธมิตรฯ

3.กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องไม่ให้ข้อมูลที่ผิดพลาด โดยมิได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยเฉพาะการพาดพิงบุคคลต่างๆ บนเวทีการประชุม รวมทั้งการใช้คำหยาบ รุนแรง และอารมณ์โกรธแค้น เพื่อสร้างความเคียดแค้นชิงชัง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพื่อปลุกระดมผู้ชุมนุมบนเวที

4.กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องยุติการเสนอแนวคิดให้มีการแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และข้ออ้างทุกรูปแบบที่จะสร้างความชอบธรรมนำไปสู่การรัฐประหาร

หนังสือฉบับนี้ลงท้ายว่า เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน

จะเห็นว่า นอกจากคนที่เดือดร้อนจากการจัดชุมนุมประท้วงของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งดูยังไงก็เสมือนเป็นเครื่องมือของเผด็จการแล้ว ยังมีคนอีกหลากหลายสาขาอาชีพ และความเป็นอยู่ ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ

ก็หวังว่าเอกสารฉบับนี้คงไปถึงแกนนำพันธมิตรฯ เพราะได้ข่าวมาว่ามีการเช็กข่าวจาก หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ จาก เว็บไซต์ประชาทรรศน์ กันทุกวันอยู่แล้ว

ที่ผมนำจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้มาลง ก็เพื่อให้กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เกิดความสำเหนียกว่า การคัดค้านไม่เห็นด้วยนั้น เป็นสิทธิครับ สามารถทำได้อย่างผู้ที่มีวุฒิภาวะ มีการศึกษา ที่เขาพึงกระทำกัน โดยไม่ต้องใช้ความก้าวร้าว กักขฬะ หยาบคาย ให้คนเขารู้ถึง “สันดานดิบ” และ “กำพืด” ที่แท้จริงก็ได้

คงไม่ต้องสรุป เพราะทุกอย่างชัดเจน ทำให้อดคิดถึงคำโบราณไม่ได้ เช่น “หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” ...วันนี้พันธมิตรฯ ต้องยืมมือเด็กนักเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะมาช่วยแล้ว และ “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” ที่พบเห็นได้บนเวทีของพันธมิตรฯ มาจนถึงวันนี้

ว่าจะไม่สรุปแล้วเชียว แต่ก็เอาเสียหน่อย...ความก้าวร้าว หยาบคาย ถ่อย สถุล จะไม่พบในคนดีหรอกครับ

อัฐศิริ

ไสหัวไป...!

บิดเบี้ยวไปได้เรื่อยๆ สำหรับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ทั้ง 9 คน ที่หัวเด็ดตีนขาดอย่างไร ก็ยังคงยืนยันว่าที่มาของตัวเองและพวกพ้องมีความถูกต้องชอบธรรมทุกประการทำได้แม้กระทั่งปฏิเสธถ้อยคำตามรัฐธรรมนูญ ที่เป็นกฎหมายสูงสุดในการบริหารบ้านเมืองให้เกิดความสงบสุข และเป็นระเบียบเรียบร้อยและยังส่อว่าจะเป็นการปฏิเสธพระราชอำนาจ ที่ไม่ยอมรับถ้อยคำที่ระบุไว้ชัดว่า ป.ป.ช. จะมีความสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อได้รับโปรดเกล้าฯ และเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ
โดยยังคงอ้าง “องค์รัฐาธิปัตย์” เสมือนว่าเป็นสิ่งที่อยู่สูงเหนือสิ่งอื่นใด ทั้งที่องค์รัฐาธิปัตย์ที่ถูกอ้างถึงเองก็ยังตระหนักดีถึงกาลเทศะ รู้จักที่ต่ำที่สูง
ที่สำคัญก็ยังผ่านการรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้รับตำแหน่ง
ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงจารีตของไทยที่ดำเนินมายาวนาน แม้ว่าในส่วนของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ จะไม่ได้ถูกกำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญก็ตาม
เฉพาะประเด็นนี้ไม่ต้องเป็นถึง ป.ป.ช. ที่มากด้วยคุณวุฒิ แต่เป็นตาสีตาสา ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป ก็ย่อมรู้ดี เรื่องที่ว่าด้วยสถาบันเบื้องสูงนั้น สำคัญที่สุดคือไม่มีสิ่งใดมาเสมอเหมือน ไม่มีอะไรจะสามารถมากกว่า หรือว่าทดแทนได้และเมื่อเวลาผ่านไป พฤติกรรมของ ป.ป.ช. ก็ส่อว่าจะสะท้อนความคิดอ่านได้ชัดมากขึ้น เมื่อมีเอกสารปรากฏ พอให้สันนิษฐานได้ว่าเหตุใดจึงไม่มีการโปรดเกล้าฯ ป.ป.ช. ทั้งคณะ
ในขณะที่ ปปง. ถูกตั้งขึ้นโดย คปค. แบบเดียวกัน และใน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 2542 ก็กำหนดไว้แบบเดียวกันว่า เริ่มนับวาระการดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
ดังนั้นความน่าสนใจของ ปปง. และ ป.ป.ช. จึงน่าจะอยู่ที่ความแตกต่าง มากกว่าประเด็นอื่นใด
จะเป็นไปได้ไหมว่า เมื่อทั้ง ป.ป.ช. และ ปปง. ได้รับการแต่งตั้งจาก คปค. เหมือนๆ กัน เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นเวลาเพียง 2 วัน หลังจากการยึดอำนาจการปกครองของคณะรัฐประหาร ที่นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
ในส่วนของ ป.ป.ช. ที่มี นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ เป็นประธาน พร้อมกรรมการรวมเบ็ดเสร็จ 9 คน ได้พร้อมใจกันทำงานโดยทันที เหมือนที่กรรมการ ป.ป.ช. บางคนย้ำในเวลาต่อมาว่า เริ่มต้นการทำงานตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2549
ซึ่งแน่นอนว่า เพียงวันเดียวหลังจากคณะรัฐประหารมีคำสั่งแต่งตั้ง ย่อมไม่สามารถดำเนินการทูลเกล้าฯ รายชื่อกรรมการทั้งหมด และไม่สามารถรับการโปรดเกล้าฯ และนำไปสู่การเข้าถวายสัตย์ฯ ได้ทันการณ์แน่
และคณะกรรมการทั้ง 9 คน ก็ยังคงเริ่มต้นทำงานไปอย่างต่อเนื่อง เสมือนว่าต้องเร่งรีบทำบางเรื่องบางราวให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว แบบเดียวกับ คตส. โดยเฉพาะ นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส. และ นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการ คตส. ที่ขยันออกโทรทัศน์ กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่ในเวลานั้นยังไม่ได้เริ่มต้นทำงาน ยังไม่ได้อ่านเอกสารสักตัว
ซึ่งวิธีการที่ว่า ยังทำให้เกิดเป็นข้อกังวลสงสัยต่อเนื่องมาจนถึงขณะนี้ว่า คดีความที่ผ่านมือ คตส. ไปสู่กระบวนการศาลนั้น มีความถูกต้อง แม่นยำ และเที่ยงธรรมแค่ไหน
พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่มั่นใจว่าคนทำสำนวนจะมีทั้งฝีมือ และมีความเป็นกลาง ในเมื่อท่าทีต่างๆ มันถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจน
ขณะที่ย้อนกลับมาดูเส้นทางของ ปปง. ที่บอกแล้วว่าอยู่บนเงื่อนไขเดียวกันทุกประการ แต่ทำไมจึงได้รับการโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2549 ให้ พ.ต.อ.ยุทธบูล ดิสสะมาน เป็นเลขาธิการ ปปง. โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม ปีเดียวกัน
แน่นอนว่าในเมื่อทั้ง 2 องค์กรถูกตั้งขึ้นบนเงื่อนไขเดียวกัน แต่กลับปรากฏสิ่งที่ต่างกันเช่นนี้ เชื่อว่า ป.ป.ช. เองคงรู้ดีว่ามีข้อบกพร่องผิดพลาดในประการใด และเมื่อรู้แก่ใจแล้ว ก็น่าจะละอายที่ยังคงอ้างถึงองค์รัฐาธิปัตย์ไม่เลิกรา
และนั่นยังหมายถึงว่า สิ่งที่เกิดต่อเนื่องจากคำสั่ง คปค. ได้ปรากฏทั้งสิ่งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง เทียบเคียงกันให้เห็นชัดเจนอยู่แล้ว
หาก ป.ป.ช. ยังมั่นใจในความถูกต้องของตัวเอง ก็น่าจะลองชี้แจงสังคมด้วยคำถามง่ายๆ ว่า แล้วทำไม ปปง. ที่มาจากพื้นฐานอันเดียวกัน จึงได้รับการโปรดเกล้าฯ รวมทั้งยังต้องตอบสังคมด้วยว่า ทำไมจึงหวงแหนเก้าอี้ ป.ป.ช. ยิ่งไปกว่าศักดิ์ศรี ยังยอมนั่งอยู่ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยของสังคม ท่ามกลางเสียงด่าทอ สาปแช่ง
ผมว่า...ไสหัวออกไปเถอะ...!!

คอลัมน์: โต๊ะข่าวประชาทรรศน์

เรื่องราวของ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง. ที่ว่าด้วย ม.301 ซึ่งระบุถึงการสรรหาผู้ว่าการคนใหม่ ภายใน 120 วัน นับแต่วันที่มีประธานสภาผู้แทนราษฎร และมีผู้นำฝ่ายค้านในสภา หลังจากการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2550 นั้น

เป็นประเด็นที่ชวนให้เชื่อได้ว่า จนถึงวันนี้ที่เกินเวลามานับร้อยวัน สถานภาพของคุณหญิงจารุวรรณ ในฐานะผู้ว่าการ สตง. ได้หมดลงแล้วตั้งแต่วันที่ครบกำหนดตามเงื่อนไข

หรือหากจะตะแบงว่าทำหน้าที่ผู้ว่าการ รักษาการ ตามที่รัฐธรรมนูญ ม.301 เขียนเอาไว้ในวรรคสอง ในการลงนามก็จะต้องระบุให้ชัดว่าทำหน้าที่รักษาการ ไม่ใช่ตัวจริง

นอกจากนี้หากพิจารณาตามเจตนารมณ์ของบทเฉพาะกาล ที่กำหนดให้มีการรักษาราชการแทนในช่วงเวลา ที่ยังไม่มีผู้ว่าการ สตง. คนใหม่ ตามนัยดังกล่าว ก็เจตนาที่จะหมายถึงการรักษาราชการในระหว่างกระบวนการสรรหา เพราะสาระสำคัญก่อนหน้านั้นในวรรคแรก ก็ล้วนเป็นการพูดถึงการได้มาซึ่งผู้ว่าการ สตง. คนใหม่ ทั้งกระบวนการ ขั้นตอนต่างๆ

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ไม่น่าเชื่อว่าคุณหญิงจารุวรรณจะไม่รู้เงื่อนไข และข้อบ่งชี้ถึงสถานภาพของตัวเองตามรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รธน.50 ที่คนกลุ่มหนึ่งยกย่องเชิดชูกันเหลือเกินว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุด ดียิ่งกว่า รธน.40 ที่เคยได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็น รธน. ฉบับประชาชน เป็น รธน. ที่คนไทย มีสิทธิมีเสียง มีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมืองชัดเจนยิ่งกว่ายุคใด

และในกลุ่มผู้ที่ชื่นชมรัฐธรรมนูญฉบับดังว่า ยังอาจหมายถึงคุณหญิงจารุวรรณ ด้วยอีกคนก็เป็นไปได้

ขณะเดียวกันนอกจากไม่เชื่อว่าคุณหญิงจารุวรรณจะไม่รู้เงื่อนไขในรัฐธรรมนูญ ก็ยังไม่เชื่อว่าการเป็นผู้บริหารสูงสุดในองค์กรใหญ่โต ที่มีนักกฎหมายมากมายรายรอบ จะไม่มีใครออกมาตักเตือนหรือให้คำแนะนำ

จนชวนให้คล้อยตามประเด็นที่มีคนตั้งข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่มี “ใคร” ยังไม่อยากให้มีการเปลี่ยนตัวผู้ว่าการ สตง. เพราะยังไม่เสร็จสิ้นภารกิจเช็กบิล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยครอบครัวและคนใกล้ชิด

หรือจะเพราะว่าในช่วงเกือบ 2 ปี ที่คุณหญิงจารุวรรณมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งใน สตง. และในบอร์ด ที่มีตัวเองเพียง 1 เดียว ชนิดที่เรียกว่าตั้งเอง ชงเอง ตรวจสอบเองเสร็จสรรพ จะมีงานที่คั่งค้าง และดำเนินการให้เรียบร้อย มิดชิดเสียก่อนอย่างนั้นหรือไม่

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ความพิลึกพิลั่นขององค์กรอิสระที่เกิดขึ้นในยุคเผด็จการยึดอำนาจไม่ว่าจะเป็น ที่มาของ ป.ป.ช. กกต. ย้อนไป คตส. รวมถึงล่าสุดที่ สตง. จึงอดที่จะถูกมองเป็นเรื่องราวหนึ่งเดียวกัน และมองลึกไปถึงความเชื่อมโยงเป็นขบวนการไม่ได้

นอกจากนี้วิธีคิดที่เอาแต่ “ตัวกูและพวกพ้อง” เป็นที่ตั้งก็ยังมีให้เห็น

เรื่องราวของวิธีคิด 2 มาตรฐาน ยังคงมีอยู่ ไม่เว้นแม้แต่กับคน หรือกลุ่มคนที่พยายามแสดงภาพความเป็นเจ้าหลักการ หรือพยายามบอกเล่าว่าตัวเองเป็นคนดี มีคุณธรรมสูงส่ง

เหมือนอย่างกรณีของ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าตัวคุณหญิงเอง ที่เคยเที่ยวไล่คนโน้นคนนี้ที่มีข้อกังขาในการปฏิบัติหน้าที่ ให้หยุดการทำงานเอาไว้ชั่วคราว เมื่อถึงทีตัวเองกลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน

ทั้งที่ตัวเองอยู่ในกระบวนการตรวจสอบชาวบ้าน การทำให้ผู้คนกังขาอาจส่งผลให้เกิดข้อโต้แย้งในการทำหน้าที่ได้ในวันข้างหน้า

ที่สำคัญยังอยู่ในฐานะที่จะต้องทำตัวเป็นบรรทัดฐาน ให้ข้าราชการได้เอาเป็นตัวอย่าง

หรือแม้แต่กลุ่มคนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไม่เว้นแต่ละวัน แต่เมื่อถึงคราวพรรคพวกก็กลับทำปิดปากเงียบ

ในขณะที่เรื่องเล็กเรื่องน้อยทุกเรื่องที่รัฐบาลคิดอ่าน ล้วนถูกจับผิดทั้งหมด แต่ถ้าเป็นเรื่องของคนคุ้นเคย แม้จะมีลายลักษณ์อักษรเขียนไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

เหมือนอย่างประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ที่มีหน้าที่ในการดำเนินการสรรหา ผู้ว่าการ สตง. ก็ออกมาพูดเหมือนเรื่องการปล่อยปละละเลยให้เรื่องดังกล่าวเลยเวลามาเนิ่นนานเป็นเรื่องเล็กน้อย

ทำเหมือนการละเลยไม่กระทำตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ เหมือนกับการลืมแปรงฟันก่อนนอน

และยังมีหน้าพูดได้หน้าตาเฉยว่าไม่ใช่เรื่องที่มีความผิด อย่างมากก็แค่โดนตำหนินิดหน่อย เรียกว่าไม่ได้รู้สึกสะดุ้งสะเทือนเลยกับความบกพร่องผิดพลาดของตัวเอง

แถมข้ออ้างที่ว่าติดขัดเพราะยังไม่มีกฎหมายลูก นักกฎหมายหลายคนก็ออกมาตอกกลับไปเป็นที่เรียบร้อยว่าไม่จำเป็น และยังสามารถใช้กฎหมายฉบับลูกเดิมไปก่อนได้

เพราะฉะนั้นเหตุผลในเรื่องนี้เป็นอย่างไร นายประสพสุข รู้ดีอยู่แก่ใจ

รวมไปถึงเรื่องราวที่ส่อเค้าว่าจะกลายเป็นเรื่อง 2 มาตรฐาน ที่พรรคประชาธิปัตย์ โดย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เคยซักฟอก สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม บกพร่องต่อหน้าที่ ที่สรรหากรรมการ ปปท. ล่าช้าไป 5 วัน ก่อนหน้านี้

เพราะถึงวันนี้ที่การสรรหาผู้ว่าการ สตง. ล่วงเลยเวลามานับเดือน พีระพันธุ์ปฏิเสธไม่ขอพูด เช่นเดียวกับคนพูดเก่งในพรรคประชาธิปัตย์คนอื่นๆ ที่ต่างปฏิเสธ เป็นเสียงเดียวกัน อย่างเช่นสาทิตย์ วงศ์หนองเตย

หรือเมื่อถาม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็โบ้ยให้ไปถาม อลงกรณ์ พลบุตร ที่สุดท้ายก็ได้คำตอบแค่ว่าไม่มีข้อมูล

อย่างนี้ไม่รู้จะให้สรุปว่าคนพรรคการเมืองนี้เก่งเฉพาะในเรื่องเล่นงานฝ่ายตรงข้ามแต่เพียงอย่างเดียว ส่วนเรื่องอื่นไม่ได้เรื่องอย่างนั้นหรือเปล่า

ท่านผู้อ่านตัดสินเอานะครับ...ขบวนการจ้องทำลาย พวกเอาดีใสตัวเอาชั่วให้คนอื่น และพวก 2 มาตรฐาน คิดเอาตัวเองและพวกพ้องเป็นใหญ่ มีอยู่จริงและเป็นภัยกับบ้านเมือง...!?

บิ๊กโบ้ท


Save…Samak Save…Thaksin Save…Democracy

ระยะนี้เราจะเห็นว่าความแตกแยกของผู้คนในสังคมมีลดน้อยลง อันเนื่องจากพันธมารธิปไตยเริ่มจะสิ้นฤทธิ์ เพราะผู้คนไม่ชอบการกระทำในลักษณะที่เป็นการแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง การทำให้ผู้คนเดือดร้อนด้วยการปิดถนนหลายเส้นทาง การใช้วาจาหยาบคาย และการพูดจาโกหกบนเวที
เห็นจะมีก็แต่ ส.ส. และ ส.ต. ของพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเสี้ยวหนึ่ง ที่ว่ากันว่าเป็นสายของ “กลุ่มป่วน และ กลุ่มอกหัก” ทางการเมือง ที่ออกมา สร้างความร้าวฉานรายวัน ด้วยการ ใช้เครื่องมือปล่อยข่าวต่างๆ นานา จนเกือบจะทำให้พรรคแกนนำรัฐบาลที่ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา เกือบมีอันพังพาบลงคามือ
แน่ใจแล้วหรือว่า พร้อมจะแตกหัก
แน่ใจแล้วหรือว่า พร้อมจะเลือกตั้ง
แน่ใจแล้วหรือว่า พร้อมจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
และที่สำคัญ แน่ใจแล้วหรือว่า พร้อมจะเป็นฝ่ายค้าน
เป็นคำถามที่ต้องตั้งถามกับแกนนำ “ฝ่ายป่วน” อย่างตรงไปตรงมาว่า คิดการใหญ่ มีความสุขุมรอบคอบเพียงใด
หรือจะหวังเอาเพียงแค่ความสะใจเพียงฝ่ายเดียว
หรือจะหวังเอาเพียงแค่การช่วงชิงเป็นแกนนำ
หรือจะหวังเอาเพียงแค่การชนะคะคานกัน
วันนี้หากพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลพ่ายแพ้ จะเพราะการแตกความสมัครสมานสามัคคีภายในพรรค
ไม่ใช่พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแพ้เพียงพรรคเดียว!!!
กระบวนการทั้งหลายทั้งปวง ที่เข้ามามีส่วนสำคัญในการกอบกู้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ให้กลับคืนมาสู่ประเทศชาติ มีหวังต้องพังทลายลงไปด้วยอย่างหลีกหนีไม่พ้น
วันนี้ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะใช้กลเกมทางการเมืองมาทำร้าย การเปิด เบี้ย ให้มีการโจมตี ขุนเบี้ย โคน ม้า และเรือ ซึ่งเป็นการกระทำของ ฝ่ายเดียวกัน!!! เป็น “ทัพใหญ่” กุมกำลังส่วนมากในกระดาน เท่ากับเป็น ความพยายามล้มกระดาน โดยไม่มีเหตุผล
ความหวังจะให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่สภาพที่เป็นปกติ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในการสร้างบรรยากาศความเข้าใจของคนในชาติ ให้เข้าใจถึงข้อเท็จจริงในสถานการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา เรื่องนี้ต้องอาศัยกระบวนการพอสมควร ซึ่งขณะนี้มีความก้าวหน้าไประดับหนึ่ง สาธารณชนเริ่มจะเห็นความจริงมากขึ้น
การใช้ ความสะใจ ทำร้าย ทำลายล้างกันเอง โดยไม่คำนึงถึงว่าจะเกิดผลกระทบต่ออะไรบ้างในอนาคต เป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง เพราะนั่นเท่ากับจะ ยิ่งทำให้สถานการณ์เพลี่ยงพล้ำ และ ยากจะพัฒนากลับคืนไปสู่ความปกติได้
วันนี้ควรจะตั้งคำถามสำหรับนักการเมืองภายในพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจว่าจะต้องใช้ยุทธศาสตร์ใดในการต่อสู้บนเกมอันดุเดือดนี้ วันนี้จะต้องใช้...ยุทธศาสตร์ 3 Save…นั่นคือ Save Samak …Save Thaksin …Save Democracy …หากทำให้ยุทธศาสตร์นี้บรรลุได้ นั่นแหละที่จะทำให้ความแข็งแกร่งทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างแท้จริง…เมื่อมีเอกภาพ เมื่อมีความปรองดองกัน จะทำอะไรก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
ละ ลด เลิก ผลประโยชน์ส่วนตัว เพื่อรักษาส่วนรวมกันเสียทีได้ไหม?

มหากาพย์ ปรส.ขุมทรัพย์ 8 แสนล้าน

กองบรรณาธิการประชาทรรศน์ ได้รับเอกสารเกี่ยวกับคดีความของ คณะกรรมการเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือ ปรส. มาหลายชุด หนาเป็นปึ๊งๆ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่อยู่ในความสนใจของประชาชนคนไทยทั่วประเทศในขณะนี้ เนื่องเพราะว่า หนี้กว่า 8 แสนล้านบาท ในทางเศรษฐศาสตร์ถือเป็นทรัพย์สินของชาติไทย อยู่ๆ มีอันต้องมลายหายไป เหลือเพียง 1.9 แสนล้านบาท รวมความเสียหายไม่ต่ำกว่า 6.1 แสนล้านบาท
หากจะไล่ถึงที่มาที่ไปกันแล้ว เรื่องนี้เป็นความสลับซับซ้อน เพราะเป็นความรู้ไม่เท่าทันของนักการเงินการธนาคารไทยไม่กี่คน สมคบกันออกนโยบาย ปริวรรตเงินตรา หรือ BIBF เพื่อเอาเงินสกุลต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย นักลงทุนจึงไปกู้เงินจากต่างประเทศเข้ามากินส่วนต่างดอกเบี้ย กู้จากต่างประเทศดอกเบี้ยราคาถูก มาปล่อยกู้ในประเทศอัตราดอกเบี้ยราคาแพง
เงินไหลทะลักท่วมประเทศ เอามาใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย โดยไม่ได้ผลิตผลใดๆ งอกเงยขึ้นมา เพื่อผลิตและขายออก ในการนำเงินตราต่างประเทศกลับคืนมา
ส่งผลให้เป็นช่องว่าง เกิดการ เก็งกำไรค่าเงินบาท และมีการ ทำสงครามต่อสู้กับนักเก็งกำไร เหล่านี้ จน ประเทศไทยต้องประสบความหายนะทางการเงิน ครั้งสำคัญ
นโยบาย BIBF ที่ออกมาโดยไม่รอบคอบ ไม่มีมาตรการที่รัดกุม ทำให้เป็นพิษภัย เกิดหายนะทางการเงินครั้งสำคัญของชาติ ซึ่งไม่มีใครรับผิดชอบ
ต่อมาประเทศไทยประสบวิกฤตการณ์ทางการเงิน ส่งผลให้มีหนี้เน่ากองมหึมา จึงมีแนวคิด “ช่วยคนรวย” โดยอ้างกับสาธารณชนให้หลงคล้อยตามไปว่า สถาบันการเงินเปรียบเสมือน “เส้นเลือด” หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจ ทำให้มีการ ขายหนี้เน่ามูลค่ามหึมา 8 แสนล้านบาท
นี่คือที่มาของการขายทรัพย์สินของประเทศก้อนมหึมา!!!
มหากาพย์ยังคงดำเนินเรื่องต่อไป การขาย หนี้ 8 แสนล้าน ถูกดำเนินการโดย ปรส. ตาม เงื่อนไขพันธสัญญา ที่ทำไว้กับ “คุณพ่อ IMF” ในรัฐบาลบิ๊กจิ๋ว “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” และรัฐบาลลูกแม่ถ้วน “ชวน หลีกภัย”
การจัดตั้ง ปรส. เป็นการจัดตั้งที่พิลึกพิลั่น เพราะ มีคณะกรรมการ ประธาน และเลขาธิการ ในการตัดสินใจขายทรัพย์สิน 8 แสนล้าน เพียงไม่กี่คนเท่านั้น!!! โดยมีการออก กฎหมาย มารองรับให้เป็นองค์กรอิสระที่ ยากแก่การตรวจสอบ ทุกอย่างกลายเป็นความลับ ด้วยเงื่อนไขต่อสังคมว่าจะต้องทำงานชิ้นนี้แบบ “ด่วนที่สุด” ห้ามใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าแทรกแซงการทำงานขาย ชิ้นปลามัน...ชิ้นนี้
กฎหมาย ปรส. ออกโดยรัฐบาล “บิ๊กจิ๋ว” หวานเจี๊ยบ
ใช้โดย “รัฐบาลลูกแม่ถ้วน” ขายพุงปลา
เงื่อนไขในกฎหมายเป็น เกราะป้องกันชั้นดี ขนาด รัฐบาล ยังอ้างกับสื่อสารมวลชนในสมัยนั้นบ่อยๆ ว่า กฎหมายกำหนด ไม่สามารถเข้าแทรกแซงการทำงานของ ปรส. ได้!!!
ทั้งที่หลายคนหลายฝ่ายบอกให้ แก้ไขกฎหมาย หากเป็นเงื่อนไข แห่งการไม่โปร่งใส หากเป็นเงื่อนไข ที่ยากจะตรวจสอบ
แต่...รัฐบาลสมัยนั้นทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ฝืนใช้กฎหมายที่ยากแก่การเข้าไปตรวจสอบการใช้อำนาจขายทรัพย์สิน 8 แสนล้าน ทั้งที่เป็นรัฐบาลย่อมมีเสียงข้างมากในสภา…ต้องขออภัยท่านผู้อ่าน...ด้วยความพิลึกพิลั่นในการขายหนี้เน่า ปรส. 8 แสนล้าน เป็นมหากาพย์ที่เขียนไม่จบในวันเดียว พรุ่งนี้มาติดตามกันต่อ...

องค์กรตรวจสอบศาล

คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ

ฟัง ฯพณฯ องคมนตรี นายธานินทร์ กรัยวิเชียร กรุณากล่าวปาฐกถาเรื่อง “ความเป็นอิสระและความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้พิพากษา ทนายความ และอัยการ” ที่สำนักงานประธานศาลฎีกา เป็นผู้จัด ที่โรงแรมสยามซิตี้ เมื่อ 2 วันที่ผ่านมาแล้ว เห็นคล้อยตามอย่างยิ่ง ในการที่จะให้มีองค์กรตรวจสอบศาล ท่านว่าไว้ดังนี้

“ในอดีต กระบวนการยุติธรรมเคยทำงานผิดพลาด อย่างคดี เชอรี่แอน ดันแคน ทำให้คนบริสุทธิ์ต้องถูกขังและเสียชีวิต และไม่มีการลงโทษต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง ขอให้แง่คิดว่า ในส่วนของศาลยุติธรรม แม้รัฐธรรมนูญใหม่ให้ความเป็นอิสระแก่ผู้พิพากษา ไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ผู้พิพากษาระดับต้นๆ คิดว่าแตะต้องไม่ได้ ทำให้ผู้ที่อาวุโสกว่าไม่อาจตรวจดูคุณภาพการทำงาน ผู้พิพากษาก็พิจารณาไม่ดูซ้ายดูขวา

ทั้งที่คดีในศาลเดียวกัน ลักษณะคล้ายกัน ก็ตัดสินไปคนละอย่าง ทำให้ไม่มีเอกภาพ ต่อมาทางประธานศาลฎีกาได้แก้ไขใหม่ ให้อำนาจผู้บริหารศาลมีอำนาจตรวจดูสำนวนและลงนามในคำพิพากษา แต่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ การเลื่อนตำแหน่งยึดหลักบัญชีอาวุโสเป็นหลัก ไม่ยึดหลักคุณธรรมมาประกอบ ทำให้บางคนทำงานเช้าชามเย็นชาม ดังนั้น รัฐธรรมนูญปี 2550 ประกอบ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม คือการเลื่อนตำแหน่งให้ดูความรู้ความสามารถ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้พิพากษาเป็นสำคัญด้วย ไม่ควรยึดหลักอาวุโสในการเลื่อนชั้น ถึงเวลาที่คณะกรรมการตุลาการจะต้องเปลี่ยนและต้องเป็นกลาง

การตรวจสอบคุณภาพผู้พิพากษา ยังทำได้โดยองค์กรภายนอก และภาคประชาชน ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 87 (3) ให้รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการตรวจสอบทุกระดับ ฝ่ายตุลาการเองก็ถูกตรวจสอบได้ มาตรา 40 (3) ให้อำนาจตรวจสอบโดยรวดเร็ว โปร่งใส ตัวอย่างเช่น ข้าราชการพลเรือนมีการตรวจสอบโดยคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ต้องมีความอิสระ ควรมีระบบตรวจสอบศาลยุติธรรม คือน่าจะมีคณะกรรมการตรวจสอบระบบงานศาลยุติธรรม มีกรรมการมาจากบุคคลภายนอก รับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับตัวผู้พิพากษา เช่น เรื่องรับสินบน การประพฤติดำรงตน แต่ถ้าเป็นเรื่องสำนวนคดี ต้องเป็นคดีที่เสร็จไปจากศาลแล้ว นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญให้อำนาจวุฒิสภาถอดถอนผู้พิพากษา โดยให้ประชาชน 2 หมื่นคน เข้าชื่อ หากพบว่าผู้พิพากษากระทำผิดต่อตำแหน่ง”

นี่คือสิ่งที่ ฯพณฯ องคมนตรี นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้จุดพลุขึ้นมาในบ้านเมือง เป็นช่วงจังหวะที่ดีที่สุด ท่ามกลางความกังขาของบุคคลหลายฝ่ายในขณะนี้ ในกระบวนการอำนวยความยุติธรรมในประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นความคิดเชิงปัญญา ที่จะสามารถทำให้บ้านเมืองของเราพัฒนาไปสู่ความยุติธรรมได้

เห็นด้วยเกิน 100% ที่สังคมควรจะเปิดกว้าง ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมจะเวียนว่ายตายเกิดอยู่เพียงคนที่เกี่ยวข้องไม่กี่ฝ่าย เช่น ตำรวจ องค์กรอิสระ ทนาย อัยการ ศาล เพียงเท่านั้น ดังจะเห็นว่า ขนาดชื่อหัวข้อในการสัมมนายังใช้คำที่พยายามตีกรอบยึดติดอยู่ในกลุ่มบุคคล คือ “สังคมของผู้พิพากษา” ทั้งที่ควรจะใช้คำที่กว้างกว่าการตีกรอบในกลุ่มบุคคลที่คับแคบเกินไปเช่นนี้

การใช้คำว่า “สังคมของผู้พิพากษา” สะท้อนอะไรได้มากพอสมควร... หากประชาชนธรรมดา เราๆ ท่านๆ ที่อาจจะมีความรู้สึกเหมือนการถูกกันออกจากวงของกระบวนการยุติธรรมออกไป ซึ่งเราคงไม่อยากให้กระบวนการยุติธรรมกลายเป็นแดนสนธยา ที่ไม่มีใครเข้าไปก้าวล่วงถึง การเข้ามาซึ่งอำนาจ การใช้อำนาจ และภายหลังจากการใช้อำนาจ

อำนาจอธิปไตยทั้งสาม ทางประกอบไปด้วย อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ ล้วนมีที่มาจากประชาชน ดังนั้นประชาชนจึงควรที่จะได้สิทธิเสรีภาพในการเข้าไปตรวจสอบกระบวนการใช้อำนาจทั้ง 3 ทางนี้ โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ มาขวางกั้น ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในการปาฐกถาครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยในอนาคต

ถ่วงดุลหรือถ่วงความเจริญ !

ในฐานะประชาชนคนหนึ่งเห็นประเทศชาติบ้านเมืองเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจ ทั้งๆ ที่ คนไทย “โชคดี” กว่าประเทศไหนๆ ที่มีผู้นำประเทศที่เก่ง วิสัยทัศน์กว้างไกล อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23
แม้จะโชคดีอยู่เพียงแค่ 5 ปี แต่แล้วคนไทยก็ต้อง “ฝันสลาย” เพราะความอิจฉาริษยาของกลุ่มคนบางกลุ่มที่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทำงานแล้วมีประชาชนรักเป็นจำนวนมาก
คนกลุ่มนี้ทนไม่ได้กับคะแนนนิยมจากมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคะแนนนิยมสูงถึง 19 ล้านเสียง
นี่คือต้นเหตุของการทำลายล้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ออกจากการเมืองไทยแบบชนิดที่เรียกว่า “โหดเหี้ยมเกินมนุษย์”
เมื่อประเทศไทยเป็นแบบนี้แล้วก็ต้อง “ทำใจ” และ “อดทน” รวมทั้งต้องมีความหวังว่าวันหนึ่งถ้าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยกว่านี้
เราคงจะได้เห็น คนจน-คนรากหญ้า มีสิทธิมีเสียงเต็มที่กว่านี้ ไม่โดนเอารัดเอาเปรียบจากคนบางกลุ่ม
พอดีได้อ่านบทความของ นายกรพจน์ อัศวินวิจิตร อดีตผู้อำนวยการธนาคารออมสินแล้วรู้สึกว่าน่าสงสารคนไทยจึงนำมาให้อ่านกันบ้าง
นายกรพจน์บอกว่าเมื่อ 15 ปี ก่อนไปเจรจาการค้าที่ประเทศมาเลเซียได้ประเมินด้วยสายตา มาเลเซียล้าหลังกว่าเรา 20 ปี เป็นอย่างน้อย ปัจจุบันนี้ไปมาเลเซียอีกครั้ง ตกใจ เขาทำท่าจะแซงหน้าเราซะแล้ว
ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย ใช้เวลา15 ปี ทำให้มาเลเซียที่ล้าหลังกว่าเราประมาณ 20 ปีกลับมาตีคู่กับเราได้ ต้องยอมรับว่าเก่งมาก
ประเด็นสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้มาเลเซียพัฒนาได้เร็วมากก็คือ การเมืองของมาเลเซียนิ่ง !
รัฐบาลมีเสถียรภาพมาก มีคะแนนเสียงในสภาสูง มีฝ่ายค้านน้อย ทำให้มีเวลาทำงานเต็มที่ สามารถแก้กฎหมายสำคัญๆ ได้อย่างรวดเร็ว สามารถวางแผนระยะยาวได้
ที่สำคัญคือ มีโอกาสทำงานต่อเนื่องถึง 20 ปี ทำให้ทุกโครงการถูกสานต่อจนเสร็จและเกิดโครงการใหม่ที่ต่อเนื่องสอดรับกับโครงการเก่า เสร็จไปแล้วหลายรุ่น
นายกรพจน์ บอกว่าได้พูดคุยกับนักธุรกิจชาวมาเลย์ ก็พูดจาชมเชยเขาว่า คนมาเลย์เป็นคนฉลาด คิดเก่ง ถึงสามารถพัฒนาประเทศให้เจริญได้อย่างรวดเร็ว
นักธุรกิจชาวมาเลย์ บอกว่า ไม่จริง คนไทยฉลาด และคิดเก่งกว่าคนมาเลย์เยอะ นายกรพจน์ บอกว่า งง ไม่เข้าใจ คนไทยฉลาดกว่า คิดเก่งกว่าคนมาเลย์ แล้วทำไมประเทศไทยถึงทำท่าจะเจริญช้ากว่ามาเลย์
เขาหัวเราะแล้วอธิบายว่า เขายอมรับว่า คนไทยเป็นคนฉลาด มีความคิดดี ประเทศไทยมีคนคิดโครงการดีๆ เยอะแยะมากมาย
แต่ค่อนข้างโชคร้ายที่มีฝ่ายค้านและสื่อมวลชนที่เก่งเกินไป และขยันเกินไป เวลามีโครงการดีๆ เป็นประโยชน์ต่อประเทศมหาศาลถูกเสนอเข้ามา ฝ่ายค้าน นักวิชาการ NGO ประชาชนนักประท้วง สื่อมวลชน จะร่วมกันคัดค้าน ถกเถียงกันไปมา ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีใครยอมใคร เก่งหมดทุกคน กว่าจะหาข้อสรุปได้ก็ใช้เวลา 20 ปี
คนมาเลย์ เป็นคนโง่ คิดอะไรไม่ค่อยเป็น แต่รู้ตัวว่าโง่จึงร่วมมือกันทำงาน ร่วมมือกันวางแผน มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ที่ประชุมสรุปอย่างไร ก็ทำยังงั้น ที่ประชุมสรุปว่า
เมื่อเราโง่ เราไม่ต้องคิด เสียเวลา ให้ใช้วิธีคอยชะเง้อมองประเทศไทย ดูว่าไทยกำลังคิดอะไร ใครเสนอความคิดอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ เป็นโครงการที่ดี มีประโยชน์ต่อประเทศชาติ
คนมาเลย์จะเอาโครงการนั้นมาทำทันที มาเลย์ทำจนเสร็จ ใช้งานได้แล้ว ประเทศไทยยังทะเลาะกัน ยังถกเถียงกันไม่เสร็จเลย
นี่คือเหตุผลว่า ทำไมมาเลเซียถึงเจริญเร็วกว่า
ผมได้อ่านบทความนี้แล้วก็รู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา เสียดาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เสียดายบุคลากรของพรรคไทยรักไทย
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ท่านผู้อ่านคงจะทราบได้ว่า ใครคือ “ตัวถ่วงความเจริญ” ของเมืองไทย
ถ้ารู้แล้วช่วยกันไล่พวกนั้นให้ออกไปจากแผ่นดินไทย รวมทั้งช่วยกันทวงคืน พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของเรากลับมาดีไหมครับ !

สัญลักษณ์ของประชาธิปไตย!

คนรุ่นใหม่หลายคนไม่รู้ความเป็นมาเป็นไปของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่มีเรื่องราวการต่อสู้อย่างยาวนาน และผมเป็นคนหนึ่งที่เกิดไม่ทันในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ได้เรียนรู้และค้นคว้าเอาว่า บุคคลท่านนั้นท่านนี้ได้สร้างคุณงามความดีไว้กับประเทศชาติบ้านเมืองของเราไว้เช่นไร
หลายครั้งที่อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ รู้สึก “หงุดหงิด” ว่าทำไมบุคคลสำคัญของไทยในอดีตจึงถูกยกย่องหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว หรือแม้กระทั่งใน “บั้นปลายชีวิต” ของคนเหล่านั้น จึงมีอันเป็นไปกันทุกคน!
บางท่านต้อง “ลี้ภัย” ไปตายยังต่างประเทศ กระนั้นพอตายแล้วคนไทยก็สรรเสริญเยินยอกันว่า เป็นคนที่ทำให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้า
บางคนก็ทำ “อนุสาวรีย์” ไว้เป็นที่ระลึกอีกต่างหาก
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ผมคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่เมืองไทยจะต้องยกย่อง “คนดี” คนที่ทำงานสร้างคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดินไทย ในขณะที่เขาคนนั้นกำลังมีชีวิตอยู่ เพื่อให้เขารู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่ได้ทุ่มเทอย่างเหน็ดเหนื่อยในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น มีประชาชนหลายล้านคนรับรู้ และพร้อมจะยืนเคียงข้างไปจนวันตาย
หนึ่งในนั้นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย!
วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังอยู่ในช่วงลี้ภัยทางการเมือง เผชิญกับวิบากกรรมหนักหนาสาหัส เหมือนกับบุคคลสำคัญในอดีตที่พวกเราอ่านหนังสือประวัติศาสตร์แล้วรู้สึก “หงุดหงิด” แต่ผิดกันตรงที่วันนี้เรายังมีโอกาสในการแสดงความรักต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยการใช้ช่องทางต่างๆ ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปพบปะพูดคุยกับกลุ่มคนรัก พ.ต.ท.ทักษิณ บางคนเสียอกเสียใจ คับแค้นใจ โมโห ซึ่งก็ได้แต่ปลอบใจไปว่า ให้ “ระงับสติอารมณ์” ปล่อยวางไว้จะดีที่สุด
เพราะถ้าเรา “สู้” ด้วยความคับแค้นใจ ก็จะยิ่งทำให้เราเสียสุขภาพจิต สุดท้ายก็อาจต้องเข้าโรงพยาบาลบ้า
รวมทั้งเก็บอาการต่างๆ เหล่านี้ไว้ พอถึงเวลาเลือกตั้ง พรรคไหนที่มียี่ห้อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไปเลือกพรรคนั้น
เป็นการแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พวกเราไม่ต้องไปโวยวายข้างถนน เป็นอันธพาล ไร้การศึกษา เหมือนกับผู้ชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ไม่ต้องไปสร้างเรื่องสร้างราว “ปั้นน้ำเป็นตัว” กุข่าว ใส่ร้ายป้ายสีให้คนอื่นกลายเป็นคนชั่ว ไม่ต้องไปสร้างความเท็จ กล่าวหาว่าคนอื่นไม่จงรักภักดี ล่าสุดผมมีอีกหนึ่งแนวทางที่จะนำเสนอสำหรับคนรัก พ.ต.ท.ทักษิณ
ใครอยากจะแสดงออกว่าคุณรักอดีตนายกรัฐมนตรี ที่สร้างคุณงามความดีให้กับแผ่นดินไทยคนนี้แค่ไหน
บังเอิญเข้าไปเจอข้อความในเว็บไซต์ www.savethaksin.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของใครก็ไม่ทราบ แต่แนวคิดน่าสนใจ จึงนำมาบอกต่อ
ภายในเว็บไซต์ได้เชิญชวนคนที่รัก พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ช่วยกันส่งไปรษณียบัตรไปที่สถานทูตอังกฤษ เขียนว่า “Please save Thaksin” หรือ “โปรดช่วยทักษิณ”แล้วส่งไปที่ สถานทูตอังกฤษ 14 ถนนวิทยุ ลุมพินี ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
ไม่ว่าทางรัฐบาลอังกฤษจะฟังหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าเราไม่ทำอะไร เป็นสิ่งหนึ่งที่เราทำได้ง่ายๆ เพื่ออดีตนายกฯ ของพวกเรา วิธีการนี้ถือว่าได้ระบายความในใจ ที่นายกรัฐมนตรีที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุด ต้องโดนกำจัดและทำลายภาพลักษณ์อย่างไร้ศักดิ์ศรี
ที่สำคัญ วิธีการนี้ทำได้ง่ายๆ เพื่อแสดงออกถึงจิตวิญญาณแห่งประชาธิปไตย และประกาศให้ประเทศที่เจริญแล้วได้รู้ว่า
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยที่แท้จริง!

ถอดเสื้อมาสู้กันดีกว่า!

คอลัมน์ : ละครชีวิต

หนึ่งในข้อหาที่กลุ่มคนรัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รู้สึกเจ็บปวดมากที่สุดคือ ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

เป็นข้อหาที่ดูจะรุนแรง และบั่นทอนกำลังใจในการสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างมาก แม้จะรู้ความจริงว่า คนอย่างอดีตนายกฯ ผู้นี้ มีความจงรักภักดีต่อสถาบันอย่างหาที่สุดไม่ได้ก็ตาม

แม้กระทั่งวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ เขายังเขียนข้อความแสดงความจงรักภักดีกลับมายังประเทศไทย

พ.ต.ท.ทักษิณ เขียนข้อความว่า “ผมและครอบครัวมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์ทุกพระองค์อย่างหาที่สุดไม่ได้ แม้ว่ามีผู้จงใจใส่ร้ายมาโดยตลอด”

ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า การทำลายล้างกันทางการเมือง ไม่มีเรื่องไหนที่ทำลายกันแล้วได้ผลดีที่สุด เท่ากับวิธีการนี้

เพราะเป็นการกล่าวหาที่ง่ายมาก เพียงแค่ใส่ร้ายป้ายสีศัตรูว่าไม่จงรักภักดี โดยใช้การกระทำที่อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือไม่ได้เจตนาจะลบหลู่สถาบันมาขยายผลให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต

ใส่สีตีข่าวให้น่าเชื่อว่าอาจจะคิดแบบนั้น แบบนี้ ประชาชนที่ไม่ได้รู้เรื่อง นั่งฟังแต่ข่าวสารทางเดียว ก็อาจเข้าใจผิดกันไปด้วย

ข้อกล่าวหานี้ โดนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโจมตีทุกวัน โจมตีตัวต่อตัวไม่ได้ ก็จัดการกุข่าวเชื่อมโยงให้เสร็จสรรพ

พวกนี้เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น เพราะรู้ดีว่า การโจมตีเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ถือเป็นปมที่เป็นจุดอ่อนไหวที่สุดของ พ.ต.ท.ทักษิณ

ขบวนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยเฉพาะ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนแรกในการใช้สัญลักษณ์ "เสื้อเหลือง-เสื้อฟ้า" ที่อาจจะบอกได้ว่า ระดมคนให้มาชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์มากที่สุด

แม้ข้อเท็จจริง พ.ต.ท.ทักษิณ จะออกมาแก้ข้อกล่าวหาและชี้แจงเป็นร้อยเป็นพันครั้ง รวมทั้งทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี

แต่ข้อสงสัย และข้อกังขาในความจงรักภักดี ย่อมอ่อนไหวกับความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ

แม้กระทั่งเรื่องราวในอดีตที่แสนจะเก่าและยาวนาน ชี้แจงข้อกังขาจนทะลุปรุโปร่งไปแล้ว แต่ตราบใดที่นายสนธิรื้อฟื้นปมข้อสงสัยเกี่ยวกับ "ความเหมาะสม" ในพิธีทำบุญประเทศวัดพระแก้ว เมื่อ 10 เมษายน 2548

รวมถึงกรณีบทความจากคอลัมนิสต์บางคน ที่อาจโดนเชื่อมโยงไปพาดพิงเบื้องสูงแบบไม่ได้ตั้งใจ ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ก็จะกลายเป็น “ข้อด้อย” และ “บั่นทอนกำลังใจ” ของกลุ่มคนรักทักษิณอย่างมากที่สุด

ดังนั้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้คือ “ข้อกังวล” และความเป็นห่วงจากเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกัน

ขณะที่การต่อสู้ของกลุ่มพันธมิตรฯ ในประเด็นอื่นๆ นั้น แทบจะไม่มีสิ่งใดที่คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีทางสู้ได้เลย
เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังศรัทธาในความดี ความเก่ง เพราะสังคมไทยวันนี้ยังต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง เพราะสังคมไทยเป็นผู้ตามอยู่เยอะ

สังเกตได้จากผู้นำไทยในอดีต ที่มักเป็นผู้นำที่ไม่เอาไหน ไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ ดังนั้นสังคมไทยยังต้องการ “ฮีโร่” ขณะเดียวกัน “ฮีโร่” ก็ต้องทำตัวดี แต่อย่าเด่น พอเด่นก็จะเป็นภัย

วันนี้ยังไม่มีใครมาเทียบเท่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เลย

เพราะข้อแตกต่างระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคใหญ่อันดับที่สองนั้น ประชาชนชั่งน้ำหนักได้ไม่ยาก

ไล่เรียงเฉพาะข้อดีของแต่ละคนนั้น นายอภิสิทธิ์เป็นนักวิชาการ เป็นคนพูดเก่ง มีบุคลิกดีและโน้มน้าวได้ดี

แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความรู้ดี มีประสบการณ์สูง มีความเป็นผู้นำสูง กล้าคิด กล้าตัดสินใจ กล้าเปลี่ยนแปลง มีความตื่นตัว ศึกษาเรื่องใหม่ๆ ตลอดเวลา มีนโยบายอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่า ประชาชนจะตัดสินใจอย่างไร

ดังนั้น เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเผชิญข้อกล่าวหาที่เป็น "จุดอ่อน" ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์

สิ่งที่ต้องกระทำคือ “อย่าปล่อยผ่าน” ให้เรื่องเงียบไปเองเหมือนกับที่คิดว่าเดี๋ยวคนก็ลืม
และขอร้องให้พันธมิตรฯ ที่คิดว่าตัวเองเก่ง หรือเหนือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ "ถอดเสื้อเหลือง–ฟ้า มาสู้กัน" ดีกว่า

เพราะแม้เราจะใส่เสื้อเหลือง–ฟ้า สู้กันแล้ว ไม่ได้ทำให้บ้านเมืองดีขึ้น แต่กลับยิ่งแย่ลงกว่าเดิม
ถ้าสู้กันตัวต่อตัวแล้วจะได้รู้ว่าใครคือของจริง ใครคือของปลอม ระหว่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร!

ลวดหนาม

ปรส. อัปยศ? เมื่อไร ปชป. จะตอบเสียที! (จบ)

*ขอสรุปสั้นๆ ด้วยภาษาชาวบ้านดังนี้
1.รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ตั้ง ปรส. ขึ้นมา ให้ทำหน้าที่ปฏิรูปสถาบันการเงินให้มีความแข็งแรง และฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบ เพื่อเป็นกำลังทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป จึงให้หยุดกิจการ 58 สถาบันการเงินเป็นการชั่วคราว แต่ครั้นเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ นโยบายก็เปลี่ยนแปลงไปหมด มีการสั่งปิดตาย 58 สถาบันการเงินทันที และกลับมาเปิดใหม่เพียง 2 แห่ง เสมือนเป็นการเริ่มต้นของแผนร้าย โดยไม่ดำเนินการตามวัตถุประสงค์เดิม
2.เมื่อปิดสถาบันการเงินแล้วโอนทรัพย์สินและลูกหนี้กว่า 6 แสนล้านบาทไปให้ ปรส. บริหารจัดการ โดยรัฐบาลรับใช้หนี้เงินฝากแก่ประชาชนที่ฝากไว้กับสถาบันการเงินที่ถูกปิดไป ทั้งหมดเท่ากับว่า การบริหารจัดการหนี้เสียของสถาบันเหล่านี้ จักต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ คือจะต้องจัดการให้ได้รับผลตอบแทนที่ทัดเทียมกัน มิฉะนั้น รัฐบาลก็จะเสียหาย ซึ่งก็คือประชาชนเสียหาย
3.ผู้บริหาร ปรส. และ ธปท. จ้างฝรั่งมาเป็นที่ปรึกษา และกำหนดให้ขายทรัพย์สินกว่า 6 แสนล้านบาทโดยเร็ว โดยวิธีการจัดรวมหนี้เน่ามารวมกองกับหนี้ดี ซึ่งก็คือ ทำให้ราคาหนี้ดีต้องถูกกดตามหนี้เน่าในกองเดียวกันไปด้วย (แทนที่จะจัดหนี้ดีกองรวมกัน แยกต่างหากจากกองหนี้เน่า) และจะขายเป็นกองๆ ละประมาณหมื่นล้านบาท แต่ไม่ให้ลูกหนี้เดิมมีส่วนร่วมประมูล เท่ากับเป็นการเปิดทางให้เฉพาะต่างชาติซึ่งเป็นพวกพ้องเท่านั้น
4.ที่ปรึกษาฝรั่งแห่งหนึ่ง ได้เข้ามาตรวจสอบรายการทรัพย์สินที่เป็นลูกหนี้ทั้งหมด รวบรวมเก็บข้อมูลทั้งหมด แล้วจัดกองลูกหนี้เอง จากนั้นก็กำหนดเงื่อนไขการขายคือ ไม่ให้ลูกหนี้เข้าประมูล และเมื่อขายกองละหมื่นล้านบาทขึ้นไป ก็เท่ากับกีดกันผู้ประมูลทั่วไปให้เหลือน้อยลง
5.เมื่อประกาศประมูล ได้มีผู้แสดงความสนใจหลายราย จึงต้องเปิดให้ผู้แจ้งความจำนงจะเข้าร่วมประมูล มีโอกาสตรวจกองลูกหนี้ เพื่อจะได้รู้สถานะที่แท้จริง เพื่อเสนอราคาได้ถูกต้องหลังจากเปิดให้ตรวจแล้ว ผู้ดำเนินการประมูลได้ใช้เล่ห์กลเพื่อสร้างความสับสนให้กับผู้จะเข้าร่วมประมูล โดยการสลับกองลูกหนี้ ย้ายลูกหนี้กองนั้นไปไว้กองโน้น ทำให้ผู้สนใจที่มาตรวจดูกองลูกหนี้แล้วเกิดความไม่แน่ใจว่า กองหนี้ที่ตั้งใจจะประมูลเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จึงทำให้มีผู้สละสิทธิ์ ไม่เข้าประมูลหลายราย เหลือแต่พรรคพวกในขบวนการเดียวกันเท่านั้น
6.ในจำนวนผู้สนใจซื้อหนี้ มีบริษัทที่ที่ปรึกษาฝรั่งถือหุ้น 99.99% ที่เพิ่งจดทะเบียนเพื่อทำธุรกรรมเฉพาะกิจในครั้งนี้รวมอยู่ด้วย และสุดท้ายก็คือผู้ชนะการประมูล เพราะชงเอง ชู้ตเอง จึงรู้ตื้นลึกหนาบางทุกรายละเอียดนั่นเอง
ทรัพย์สินกว่า 6 แสนล้านบาท จึงขายได้ต่ำกว่า 200,000 แสนล้านบาท เท่ากับชาติถูกปล้นไปกว่า 4 แสนล้านบาท! เป็นมหาวีรกรรมโกงชาติระดับโลก ที่ต้องจารึกไว้ชั่วลูกชั่วหลาน
7.พอชนะประมูลแล้วยังคิดโกงภาษีต่อไปอีก โดยวิธีตั้งเป็นบริษัทกองทุนเข้ามารับช่วงต่อ เพื่อให้เข้าข่ายได้รับการยกเว้นภาษีบริษัทกองทุน จึงต้องถูกจดทะเบียนอย่างเร่งด่วน ดังนั้น เมื่อถึงวันเซ็นสัญญา ผู้ชนะประมูลไม่ได้มาร่วมลงนามเซ็นสัญญา คงมีแต่ ปรส. เซ็นชื่อข้างเดียว ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการทำสัญญาแบบไหน แต่ก็มีการโอนเงินเข้ามาชำระเงินงวดแรกหลังจากนั้นอีกหลายเดือน เมื่อมีการตั้งกองทุนเสร็จ ก็เอากองทุนเข้ามาทำสัญญา เท่ากับเป็นการโกงภาษีอีกต่อหนึ่ง ความเสียหายกว่า 4 แสนล้านบาท คนไทยทั้งประเทศต้องรับภาระต่อไปอีกนาน
ความจริงยังมีวีรกรรมของ ปรส. ในยุคของรัฐบาลเวลานั้นอีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องการขายสัญญาลีสซิ่งของสถาบันการเงินให้กับ จีอี แคปปิตอล ในราคาถูกๆ แต่หัวใจของเรื่องก็คือ จีอี แคปปิตอล ผู้ประมูลได้นั้น มีประธานบริษัทที่ว่ากันว่า เป็นนายกฯ ผู้ดีในช่วงวิกฤติพฤษภา 2535
ท่านทั้งหลายที่อ่านมาถึงบทนี้ คงคุ้นๆ กับชื่อตัวแสดงเหล่านี้ ที่ส่วนใหญ่จะละม้ายกับกลุ่มตัวละครในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก
โอ้! พระเจ้าช่วยกล้วยทอด!
นี่คือข้อมูลที่ชำแหละนโยบายและพฤติกรรมของพรรครัฐบาลในช่วงเวลานั้นได้อย่างถึงลูก ถึงคน ถึงแก่น
ข้อมูลเช่นนี้ ยากที่จะหาคนไม่เชื่อ
ยากที่จะหาข้อมาคัดง้าง
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ “กรณีอัปยศนี้” ล่วงเลยผ่านไปแล้ว 11 ปี
เป็น 11 ปีที่ไร้คำตอบ และคำชี้แจงของ ปชป. ผู้เป็นรัฐบาลในเวลานั้น
สุดท้าย! ขอเลียนแบบพฤติกรรมของเหล่าพันธมิตรฯ ที่ชอบตะโกนด่าทอบนเวทีดังๆ สักหน่อยว่า “ปชป. ตอบได้แล้วโว้ย”



ปรส.อัปยศ? เมื่อไร ปชป. จะตอบเสียที! (2)

*ความผิดพลาดครั้งนี้ต่อให้เชิญเทวดามาบริหารก็ยังพังอยู่ดี...
การล้มลงของเศรษฐกิจ เกิดขึ้นในช่วงของรัฐบาลก่อนหน้าปี 2540 จริง แต่สาเหตุมันได้ก่อตัวมาจากหลายๆ รัฐบาลก่อนหน้านั้นแล้ว แต่มาสุกงอมเอาในช่วงของรัฐบาล พล.อ.ชวลิต การกู้เงินไอเอ็มเอฟ ดูได้จากการไปลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) ฉบับที่ 1 เซ็นในช่วงของรัฐบาล พล.อ.ชวลิต แต่ส่วนที่เหลือ ตั้งแต่ฉบับที่ 2-8 เป็นของรัฐบาลต่อมา ที่รัฐบาลชุดนั้นไม่ได้พยายามทัดทานมาตรการต่างๆ ที่ไอเอ็มเอฟแนะนำให้รัฐบาลนำมาปฏิบัติ ทั้งที่มาตรการเหล่านั้นล้วนเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายได้อย่างมากที่สุด แต่รัฐบาลกลับยอมไอเอ็มเอฟ ทำให้ประเทศไทยไร้ซึ่งศักดิ์ศรีและเกียรติศักดิ์ เปรียบเหมือนการตกเป็นทาสของไอเอ็มเอฟโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของสื่อมวลชนและประชาชน
ความเสียหายจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไปต่อสู้ค่าเงินที่เสียหายไป นับหมื่นล้านยูเอสดี แต่ความผิดพลาดในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยรัฐบาลในช่วงนั้น กลับสร้างความเสียหายมากกว่า เป็นหลายเท่าทวีคูณ
กรณี ปรส. อัปยศ
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า การสูญเสียจากวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงนั้น นอกจากการสูญเสียในการต่อสู้กับค่าเงินแล้ว การเสียหายจากการดำเนินนโยบายแก้ปัญหาต่างๆ นั้น กลับรุนแรงมหาศาลมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น
1.การปิดสถาบันการเงิน 56 แห่งเป็นการถาวร โดยไม่มีมาตรการช่วยเหลือใดๆ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายทางการเงินอย่างใหญ่หลวง และกระทบไปถึงภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง เนื่องจากไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆ กับสถาบันการเงินที่มีพันธะทางการเงินกันอยู่ นักธุรกิจชาวไทยจึงต้องล้มระเนระนาด และล้มหายตายจากไปบนถนนสายธุรกิจ อย่างไม่มีวันจะหวนกลับคืนมาได้ เพราะไม่สามารถเดินบัญชีหมุนเวียนทางการเงินได้
2.มาตรการ 14 สิงหาคม ที่รัฐบาลชุดชวน หลีกภัย ใช้เงินภาษีของประชาชนไปดำเนินมาตรการอุดหนุนพยุงสถานภาพของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เงินที่ใช้ในมาตรการดังกล่าวนี้ ถูกกล่าวหาว่าเป็นการ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” โดยไม่เกิดผลใดๆ ต่อประชาชน อีกทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลชุดนั้น ในอดีตเคยเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มีผลประโยชน์ทับซ้อนอะไรหรือเปล่า? ช่วยตอบอย่างเสียงดังฟังชัดให้ประชาชนทั้งประเทศได้ยินด้วย
3.รัฐบาลชุดที่แล้วได้ใช้มาตรการไม่ให้เงินไหลออกไปนอกประเทศ ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์อย่างสูงลิบลิ่ว เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในธนาคารพาณิชย์บางแห่งสูงกว่าร้อยละ 20 โดยคาดหวังให้เป็นปัจจัยล่อให้เงินทุนที่ไหลออกไปยังต่างประเทศไหลกลับเข้าประเทศ แต่ในสภาวการณ์เช่นนั้น มันคือการประหารธุรกิจในประเทศอย่างกว้างขวาง เป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับธุรกิจจนสุดจะแบกรับได้ ประกอบกับปัญหาที่วิกฤติยิ่งสำหรับนักธุรกิจในขณะนั้น คือการไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ ภาคผู้ประกอบการจึงต้องประสบกับการล้มละลายไปโดยไม่ได้รับความเหลียวแล ช่วยเหลือใดๆ
ยิ่งกว่านั้น เป้าหมายที่จะเรียกเงินทุนให้ไหลกลับเข้าประเทศก็ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ เนื่องจากไทยในขณะนั้น ยังขาดปัจจัยสำคัญที่จะให้เงินทุนไหลเข้า นั่นคือความมั่นใจจากตลาดเงิน ตลาดทุน นั่นเอง

*ในที่นี้ขอยกเพียง 3 ประการนี้มากล่าวถึง
ขอลงลึกในรายละเอียดในเรื่องการปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง เพราะส่วนนี้ทำให้เราเสียหายไปกว่า 400,000 ล้านบาท จากการปิดสถาบันการเงิน และนำสินทรัพย์ของสถาบันเหล่านี้ออกขายในราคาถูกๆ
เรื่องก็คือ ในสมัยรัฐบาลของ พล.อ.ชวลิต มีการสั่งปิดสถาบันการเงิน 58 แห่งเป็นการชั่วคราว เมื่อเดือนตุลาคม 2540 เพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์สำหรับการปฏิรูปและฟื้นฟูสถาบันการเงินเหล่านั้น เพื่อให้ธุรกรรมต่างๆ ของธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ หลังการฟื้นฟูโดยได้ตั้ง ปรส. ขึ้นมาเพื่อดำเนินการในครั้งนั้น...เหมือนแพทย์ทำการวินิจฉัยโรคก่อนลงมือรักษา
ครั้นมีรัฐบาลต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2540 ก็ได้สั่งปิดถาวร 56 ใน 58 สถาบันการเงิน เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2540 ในช่วงก่อนการประกาศปิดสถาบันการเงินแบบถาวรนั้น ในช่วงแรกสื่อต่างๆ ก็คาดเดาว่า อย่างเก่งก็คงปิดสักสิบกว่าราย แล้วก็ลดลงมาเป็นคาดว่า จะมีสถาบันการเงินรอดได้ 16 แห่งในช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนการประกาศ
เอาเข้าจริง สถาบันการเงินของไทยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย 56 ใน 58 แห่ง นั่นคือการวิเคราะห์ในสายตาของรัฐบาลขณะนั้น แต่ในสายตาบุคคลทั่วไปต่างงง รวมถึงตัวผู้เขียนด้วย หาเหตุผลไม่ได้ว่าที่ทำกันเช่นนี้ มันเป็นการฟื้นฟูหรือทำลายกันแน่ จนเมื่อเห็นวิธีการประมูลทรัพย์สินให้ต่างชาติในราคาถูกๆ แล้ว จึงได้ถึงบางอ้อว่า กลุ่มนี้เขาวางแผนไว้อย่างแยบยลจริงๆ
ล่าสุด ผลสอบ “ศปร.3” ออกมาแล้ว และได้ชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากล และความผิดพลาดของ ปรส. ตั้งแต่ต้นจนปลาย (ลองหาอ่านในหนังสือ “เปลือยธารินทร์” จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ผู้จัดการ ที่เดี๋ยวนี้กลายเป็น "หนังสือหายาก" ไปแล้ว)



วันที่การเมืองครั่นเนื้อครั่นตัว

“การเมือง” ถ้านิ่ง…แฟนพันธุ์แท้ก็คงเหงา
ระยะนี้เลยมีคิว “ร้อนฉ่า” หลายเรื่องเรียงกันมาให้ได้ตื่นเต้น
ในแง่สีสันก็ “มัน(ส์)” ดี แต่อย่าถามหาเสถียรภาพ หรือความเอาแน่เอานอน…เพราะเซียนบางคนก็ยังตอบไม่ได้
ได้แต่ประเมินกันไปวันต่อวันก็เท่านั้น…
คิวเช็กบิลแบบน้ำลดตอผุด ทยอยกันไปบ้างแล้ว
ยังเหลือคิวน็อกนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ด้วยข้อหาที่อาจกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก “เป็นลูกจ้างรายการทำอาหาร”
ต่อมาก็เป็นคิวสั่งเก็บพรรคการเมืองระดับหน้าแถว เก็บแต้มรวดทีเดียวกะให้กลายเป็นการเมืองฟันหลอ…(แปลว่าหายไปทั้งแถบ)
น่าจะเหลือไว้เฉพาะ “พรรคฟันกราม” ที่ดูกี่ทีก็เหมือนฟันคุด คืออยู่ไปก็เท่านั้น แค่ผู้มีบารมีเขาเปิดทางให้อยู่…แต่บดเคี้ยวอะไรไม่ได้
ไม่รู้ถ้าชนะการเลือกตั้งได้จริง จะยังกล้าภูมิใจกับชัยชนะของตัวเองอยู่หรือเปล่า
เพราะขนาดคราวที่แล้ว องค์รัฐาธิปัตย์ที่มีชื่อเล่นว่า คมช. ทั้งผลักทั้งดัน ภาษาวัยรุ่นก็ว่าสุดเท้า…
ก็ยัง “ว่าว” มาจนได้
หักกลบลบแต้มใบเหลืองใบแดงที่ “โคตรเป็นกลาง” ก็ยังไม่เฉียดใกล้ความฝัน
กลายเป็นค้างเติ่งกลางอากาศกันไปเท่านั้น
คราวนี้…เลยลุ้นกันตัวโก่งอีกครั้งว่า รายการ “ฝันที่เป็นจริง” จะแจ็กพอตแตกได้แจกรถเข็นสักทีหรือเปล่า
หรืออีกกรณีคือ ได้ใบแดงถ้วนหน้าไม่เว้นแม้แต่เด็กเส้น เธอก็ได้ ฉันก็ได้…ตายหมู่
ซึ่งน่าจะดูดีกว่า ถ้าจะโดนยุบก็ต้องยุบกันให้หมด ถ้าจะรอดก็ต้องรอดกันทุกพรรค
มหกรรมล้างไพ่ใหม่ จะได้กลับมาอีกหน คืนอำนาจให้ประชาชนอีกสักที
นาทีนี้…ก่อนมีคำสั่งสายฟ้าฟาด จึงมีการพูดถึง “ยุบสภา” ถี่หน่อย…
แม้ช่วยอะไรไม่ได้กับคดียุบพรรคที่เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม แต่จะทำให้พรรคใหญ่ที่ได้เปรียบมีโอกาสถ่ายเทคนไปอยู่ในที่ทางที่เป็นมงคลแก่ตัวมากกว่า…
โดยยังมีผลงานที่ผ่านมา บวกบารมีที่ติดตัวแต่ละคน เป็นปัจจัยหนุนให้ประชาชนตัดสินใจเลือก-ไม่เลือก
แต่ที่แน่ๆ นโยบายหาเสียงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญจากแต่ละพรรค คงจะหนักแน่นและแข็งขันกว่าเดิมไม่มีพลาด
เพราะทุกวันนี้ที่เล่นเอาพรรคการเมืองคอพาดเขียงกันทุกพรรค ก็คงไม่มีลูกแทงกั๊กเก็บไข่งูไว้กับตักอีกแล้ว…
ร้อนยิ่งกว่าเผือกเผา…ใครยังจะเก็บเอาไว้ก่อน ก็ท่าจะบ้า
ที่นักวิชาการหรือใครต่อใครคาดการณ์กันมาก่อนหน้า ถึงความเสียหายร้ายกาจของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ยังไม่มีพลาดข้อไหน มีแต่จะร่ายเรียงเก็บแต้ม “ถูกต้องนะคร้าบบบ” กันมาทีละข้อ ทีละข้อ
จะรอให้ “ข้อเสีย” ประจักษ์แก่สายตากันทุกข้อ ก็พอดีเจ๊งกันทั้งประเทศ
ไม่ใช่พวก พาล-ทะ-มิด นะงานนี้ จะได้ยอมเจ๊งเป็นเจ๊ง ตายเป็นตาย
อยากเจ๊ง อยากตาย ก็ปล่อยเขาไป คนไทยอีกทั้งประเทศยังอยากจะอยู่ดูโลก
หรือต่อให้ไม่มียุบพรรค ไม่ยุบสภา ประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ยิ่งต้องเอาจริงเอาจังเข้มข้น…
ถามใจฝ่ายค้าน ให้พูดกันตามตรงจากก้นบึ้งหัวใจ แน่ใจหรือว่าจะยอมรับได้กับรัฐธรรมนูญฉบับรัฐประหาร
วันหนึ่งการรัฐประหารที่อาจเคยเป็นคุณแก่ตัว แต่ระยะยาวก็เห็นอยู่ว่าใครมาทางไหนก็ต้องกลับไปทางนั้น
เหลือไว้แต่นักการเมืองด้วยกันที่ต้องอยู่ทำงาน และเผชิญสิ่งแวดล้อมคล้ายๆ กันต่อไป
กระทบกระทั่งกันไม่เท่าไร แต่เรื่องจะทำอย่างไรให้การเมืองไทยพัฒนาและสร้างสรรค์น่าจะสำคัญกว่า
สร้างสรรค์แล้วต้องรอไปอีกสิบปีกว่าจะได้เป็นรัฐบาล ก็อาจจะคุ้มหากเป็นการวางรากฐานประชาธิปไตยให้เป็นแบบประเทศเจริญแล้ว…
แต่เลือกเอาความได้เปรียบเฉพาะหน้า เพื่อสุดท้ายการเมืองก็วนกลับมาจุดเดิม เหมือนพายเรือวนอ่างแบบนี้…อะไรจะคุ้มกว่า
เรื่องแบบนี้พูดง่ายทำยาก และไม่อยากจะคาดหวังกับนักการเมืองสักเท่าไร
เพราะอะไรที่มันขึ้นอยู่กับ “จิตสำนึก” มันเป็นเรื่องที่มักห่างไกลความเป็นไปได้เหลือเกิน


ปรส.อัปยศ? เมื่อไร ปชป.จะตอบเสียที! (1)

คอลัมน์ : ฮอตสกู๊ป

เว็บไซต์
http://www.prachachonthai.com ได้เผยแพร่บทความชิ้นสำคัญของนายจันทร์มาแล้ว แฉสาเหตุของวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 และข้อมูลสำคัญกรณี ปรส. อัปยศที่เกิดขึ้นในอดีต ที่มาจากการกำหนดนโยบายและมาตรการทางการเงินของรัฐบาลในช่วงเวลานั้น
มีเนื้อหาและข้อมูลดังนี้

“วิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 ถือได้ว่าเป็นวิกฤติทางการเงินการคลังครั้งที่รุนแรงที่สุดในประวัติชาติไทย สร้างความเสียหายนับล้านล้านบาท ส่งผลกระทบถึงแวดวงธุรกิจเป็นวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนอย่างถ้วนทั่ว ความเสียหายเหล่านี้ไม่ได้มีสาเหตุจากการบริหารการเงินการคลังในอดีตที่ผิดพลาดเท่านั้น แต่การบริหารและแก้ไขปัญหาหลังวิกฤติกลับเป็นตัวซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายยิ่งขึ้น

เพื่อให้การติดตามอ่านบทความนี้ให้สามารถเข้าใจได้อย่างกระจ่างชัด บทความนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ภาคส่วน คือ 1.สาเหตุแห่งวิกฤติ และ 2.กรณี ปรส. อัปยศ

สาเหตุแห่งวิกฤติ
การเกิดขึ้นของวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เป็นการเกิดขึ้นของหลายสาเหตุที่ได้ก่อตัวมาก่อนหน้านั้นนานหลายปี จนสถานการณ์ถึงขั้นสุกงอม ตกอยู่ในสถานะที่อ่อนไหวเสมือนต้นไม้ที่พร้อมจะล้มได้ทุกขณะ เมื่อมีลมกระโชกเพียงเบาๆ ก็ล้มครืนลงทันที

การก่อตัวของวิกฤตินี้เริ่มจาก
1.การขาดดุลการค้ามานับสิบปี ในรัฐบาลต่างๆ หลายรัฐบาล ทั้งที่การส่งออกในหลายๆ ช่วงมีอัตราการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่แท้จริงแล้วตัวเลขการนำเข้ากลับสูงกว่า เมื่อขาดดุลการค้า ค่าเงินบาทที่น่าจะมีค่าที่ลดลง แต่เนื่องจากเราเอาเงินบาทไปผูกติดกับยูเอสดอลลาร์ ก็เลยคงที่อยู่ที่ประมาณ 25 บาทตลอดมา ซึ่งก็เป็นค่าที่ผิดจากค่าที่แท้จริงของเงินบาทควรจะเป็น

2.การเปิดเสรีทางการเงินแบบไม่มีมาตรการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ทำให้มีการกู้เงินนอกเข้ามาเกิดขึ้นมากมาย ส่วนใหญ่เพื่อเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์และตลาดทุน แต่ไม่ใช่การลงทุนในภาคการผลิต...ที่สำคัญต้องเข้าใจก่อนว่าการไหลของเงินทุนนั้น มีธุรกรรมได้ 3 แบบ คือ IN-OUT, OUT-IN และ OUT-OUT แต่หลังจากการเปิดเสรีทางการเงิน ธุรกรรมแทบจะทั้งหมดกลับเป็นแบบ OUT-IN อย่างเดียวเท่านั้น นั่นหมายความว่า มีแต่การกู้เข้ามาลูกเดียว มันก็เลยเกิดความไม่สมดุล ที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือ หนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้เงินกู้ระยะสั้น ซึ่งเมื่อครบกำหนดจะต้องชำระคืนทันที

3.การล้มลงของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จากการดำเนินการอย่างไม่โปร่งใส ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่เจ้าหนี้ต่างชาติ และเริ่มระแวงสงสัยในเรื่องความมั่นคงของสถาบันการเงินต่างๆ ของไทย

4.เมื่อค่าเงินผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงมากๆ ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้นักเก็งกำไรค่าเงินสามารถเข้ามาโจมตีเพื่อหากำไรจากค่าเงินได้ และเผอิญธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงนั้นได้เอาเงินสำรองของประเทศเข้าทำการต่อสู้ค่าเงินอย่างไร้สติจนหมดหน้าตัก

5.และเมื่อเจ้าหนี้ทราบข่าวนี้ ก็ทำการทวงหนี้คืนในทันที ในจำนวนหนี้ทั้งหมดในระยะนั้นเป็นหนี้ระยะสั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ไม่สามารถชำระคืนให้เจ้าหนี้ได้ทัน

รวมๆ แล้วนี่คือสาเหตุของวิกฤติในครั้งนั้น
* เปิดคำวินิจฉัยของ ศปร. "วิกฤติครั้งนี้เริ่มมาจากเอกชน แต่รัฐมีส่วนทำให้ปัญหาบานปลายอย่างไม่มีขีดจำกัด"

บทสรุปจากรายงานที่จัดทำโดยคณะกรรมการการศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ (ศปร.) เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูล ซึ่งก็มีรายละเอียดดังนี้

ข้อบกพร่องของโครงสร้างระบบการบริหารการเงินอันนำไปสู่วิกฤตการณ์ และความไม่มีประสิทธิภาพในการตัดสินใจเชิงนโยบาย

วิกฤตการณ์เศรษฐกิจไทยครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากการก่อหนี้ของภาคเอกชน แต่การดำเนินนโยบายการเงินของรัฐก็มีส่วนทำให้ปัญหาการก่อหนี้บานปลายอย่างแทบไม่มีขีดจำกัด

ขั้นตอนของความเพลี่ยงพล้ำในการดำเนินนโยบายการเงิน ลำดับได้ดังนี้

1.ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจเลือกที่จะไม่ให้เปิดตลาดทุนเสรีตั้งแต่ พ.ศ.2533 แต่ ธปท. ก็เลือกที่จะให้เปิด การตัดสินใจให้เปิดครั้งนั้นนับว่าเป็นผลพวงของแนวนโยบายที่เป็นมาโดยต่อเนื่องเป็นระยะยาวนาน และสะท้อนความต้องการของฝ่ายการเมืองในขณะนั้นอย่างเต็มที่ เมื่อนายวิจิตรเข้ามารับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการ ก็สานต่อนโยบายนั้นอย่างขะมักเขม้น ถึงขั้นเปิดวิเทศธนกิจซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่าย

2.เมื่อ ธปท. เลือกที่จะเปิดตลาดเงินตลาดทุนให้เสรีแล้ว ธปท. ก็ควรเลือกที่จะให้อัตราแลกเปลี่ยนยืดหยุ่นมากกว่านี้ แต่ ธปท. ก็เลือกที่จะรักษาช่วง (band) อัตราแลกเปลี่ยนที่แคบมากไว้ จะมาเริ่มพิจารณาก็ในเดือนเมษายน 2539 ซึ่งสายไปเสียแล้ว เพราะหลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือน ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นก็รุนแรง จนทำให้ ธปท. กลัวที่จะดำเนินการใดๆ อีกต่อไป เพราะเกรงว่าจะส่งสัญญาณผิดให้กับตลาด

3.เมื่อ ธปท. เลือกที่จะรักษาอัตราแลกเปลี่ยนที่แคบไว้เช่นนั้น ก็หมายความว่า แนวนโยบายทางด้านอุปสงค์รวม จะต้องมีความระมัดระวัง (CONSERVATIVE) เป็นพิเศษ โดยเฉพาะในระยะตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นต้นมา นโยบายการคลังเป็นเรื่องของรัฐบาลและรัฐสภาก็จริงอยู่ แต่ ธปท. ก็มิได้ผลักดันอย่างจริงจังให้รัฐบาลดำเนินนโยบายเกินดุล ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงนั้น ส่วนนโยบายการเงินที่ดึงปริมาณเงินในประเทศก็ไร้ผล เพราะถูกลบล้างด้วยเงินกู้จากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

4.เมื่อ ธปท. ไม่สามารถใช้นโยบายการคลังหรือการเงินได้ ก็ควรจะใช้มาตรการไม่ให้เงินกู้ไหลเข้าประเทศอย่างมากมายเสียตั้งแต่ต้น แต่มาตรการที่ประกาศเป็นมาตรการที่อ่อน และนำมาใช้เมื่อสายไปแล้ว คือ หลังจากที่ไทยมีหนี้สินระยะสั้นในระดับสูงมากเกินไปเสียแล้ว

ที่กล่าวมาแล้วเป็นบทสรุปของ ศปร. เกี่ยวกับสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งจะเห็นว่าเป็นปัญหาที่ก่อเกิดจากการเปิดเสรีทางการเงินแบบผิดๆ ต่อไปนี้คือเหตุผล

* ทฤษฎี (Incompatibility of Trinity)
การเงินระหว่างประเทศมีหลักการพื้นฐานที่เรียกว่า “หลักการที่เข้ากันไม่ได้ของ 3 สิ่ง” (Incompatibility of Trinity) คือ
1.การใช้นโยบายการเงินที่เป็นของตัวเอง (Independence Monetary Policy)
2.การคงอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัว (Fixed Exchange Rate)
3.การเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยเสรี (Freedom of Capital Movement)

ความหมายคือประเทศหนึ่งประเทศใดไม่สามารถจะทำทั้ง 3 สิ่งนี้ได้พร้อมๆ กัน เช่น ถ้าเราเลือกใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัว (Fixed Exchange Rate) และใช้นโยบายการเงินที่เป็นของตัวเอง (Independent Monetary policy) เราก็จะไม่สามารถปล่อยให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยเสรี (Freedom of Capital Movement) ได้

เหมือนครั้งหนึ่งประเทศไทยเคยใช้ก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และที่ประเทศจีน มาเลเซีย กำลังใช้อยู่ในปัจจุบัน

เหตุผลง่ายๆ คือ การใช้เงินสกุลของตนเอง แต่ไปผูกติดกับเงินสกุลอื่น ย่อมก่อให้เกิดค่าเงินที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริงเมื่อค่าเงินเพี้ยนจากความเป็นจริงมากๆ ก็จะเปิดโอกาสให้สามารถทำกำไรจากค่าเงินได้ และยิ่งเมื่อมีองค์ประกอบที่สามเข้ามาอยู่ในที่เดียวกันคือ เปิดเสรีให้เงินทุนสามารถไหลเข้าออกได้โดยไม่มีการควบคุมการโจมตีค่าเงิน ก็สามารถกระทำได้อย่างง่ายดาย

ตัวอย่างของการที่มีองค์ประกอบเพียง 2 สิ่ง (ไม่ครบสาม) ที่เห็นง่ายๆ คือ ของไทยช่วงก่อนเปิดเสรีที่เรามีเงินสกุลของตนเอง และผูกติดค่าเงินไว้กับดอลลาร์ แต่ไม่ได้เปิดเสรีทางการเงิน เราปลอดภัยและรอดพ้นจากการโจมตีมาได้

อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ประเทศมาเลเซีย มาเลเซียก็ตกเป็นเป้าการโจมตีค่าเงินเช่นเดียวกับไทย แต่มาเลเซียมีผู้นำที่ฉลาดและกล้าหาญ โดยกล้าออกกฎหมายควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุน ทำให้มาเลเซียสามารถฝ่ามรสุมทางการเงินในช่วงเวลานั้นมาได้โดยไม่เสียหาย

ด้วยทฤษฎีนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า เมื่อรัฐบาลสมัยนั้นจะเปิด BIBF (การเปิดเสรีทางการเงิน) แต่ไม่ได้คำนึงถึงหลักสากลว่าควรจะปล่อยค่าเงินลอยตัวในระดับหนึ่ง คือการเปิดช่องว่างให้มีการโจมตีค่าเงินได้