WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, November 2, 2012

2 11 55 ข่าวค่ำDNN จตุพร เตือนอย่าประเมินม็อบ 'เสธ อ้าย' ต่ำ

ที่มา Asiaupdate



นปช.นัดชุมนุมใหญ่วันที่ 18 พ.ย.นี้ ที่นนทบุรี และสมุทรปราการ โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ เตือนรัฐบาลไม่ให้ประมาทสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานี้ ขอให้คนเสื้อแดงเตรียมพร้อมแสดงพลังปกป้องรัฐบาลจากอำนาจนอกระบ

ชาวจีน-ญี่ปุ่นหนุน 'โอบามา' นั่งปธน.สมัยสอง

ที่มา Voice TV

 ชาวจีน-ญี่ปุ่นหนุน 'โอบามา' นั่งปธน.สมัยสอง



โพลชี้ชาวจีนและชาวญี่ปุ่นต้องการให้บารัก โอบามา รั้งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐต่ออีก 4 ปี เผยประชาชนในชาติพี่เบิ้มเอเชียทั้งสองไม่ชอบใจมิตต์ รอมนีย์ พูดจาวิจารณ์ประเทศตน

ผลสำรวจของเอเอฟพี-อิปซอส ฮ่องกง ซึ่งสอบถามประชาชนราว 1,000 คนในแต่ละประเทศในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคม ระบุว่า ชาวญี่ปุ่น 86% สนับสนุนโอบามา ขณะเสียงสนับสนุนรอมนีย์มีแค่ 12.3% ส่วนชาวจีนที่ชื่นชอบผู้นำพรรคเดโมแครตมี 63%

นักวิเคราะห์บอกว่า ในสายตาของชาวเอเชียตะวันออก โอบามามีจุดด้อยในเรื่องผลงานทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ในขณะที่รอมนีย์ถูกชาวจีนตำหนิที่ได้กล่าวหารัฐบาลปักกิ่งว่า เป็นนักปั้นแต่งค่าเงิน และชาวญี่ปุ่นไม่พอใจที่ผู้ท้าชิงจากพรรครีพับลิกันวิจารณ์ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเสื่อมถอย ซึ่งชาวญี่ปุ่นโดยทั่วไปมีความภาคภูมิใจในประเทศชาติของตน

ผลสำรวจบอกว่า ชาวจีนมีความนิยมในตัวรอมนีย์มากกว่าชาวญี่ปุ่นราว 3 เท่าแม้ว่าเขามีท่าทีแข็งกร้าวในเรื่องการค้าและค่าใช้จ่ายทางทหารมากกว่าโอ บามา

ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เฉินฉี แห่งมหาวิทยาลัยชิงหัวของจีน บอกว่า คนจีนชอบพรรครีพับลิกันมาตั้งแต่สมัยที่ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เยือนจีนเมื่อปี 2515 อย่างไรก็ดี ชาวจีนบางส่วนไม่ชอบใจนักกับภูมิหลังของรอมนีย์ที่เป็นนายทุนมหาเศรษฐี

รอมนีย์ได้ย้ำหลายครั้งว่า ถ้าได้เป็นประธานาธิบดี เขาจะประกาศให้จีนเป็นประเทศที่ปั้นแต่งค่าเงิน เพื่อแก้ปัญหาจีนได้ดุลการค้าสหรัฐอย่างมหาศาล ทั้งนี้ หลายฝ่ายในสหรัฐและบรรดาประเทศกำลังพัฒนาต่างกล่าวหาจีนว่า จงใจทำให้เงินหยวนมีมูลค่าต่ำเกินจริง เพื่อส่งออกสินค้าราคาถูกไปตีตลาดในประเทศเหล่านั้น ซึ่งทำให้อุตสาหกรรมการผลิตของประเทศอื่นไม่สามารถแข่งขันได้

รัฐบาลโอบามาได้เรียกร้องจีนให้ปล่อยเงินหยวนแข็งค่าขึ้น แต่ไม่ได้ประกาศให้จีนเป็นประเทศปั้นแต่งค่าเงิน ซึ่งจะทำให้สหรัฐต้องออกมาตรการลงโทษจีน และอาจเกิดสงครามการค้า

ผลสำรวจพบว่า ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ (81.8%) และชาวจีน (58.3%) มองว่า โอบามาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชีย

ทาเคฮิโกะ ยามาโมโตะ อาจารย์ด้านการเมืองระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยวาเซดะ ในญี่ปุ่น บอกว่า การยุติสงครามในอัฟกานิสถานและอิรักของโอบามา เป็นที่ชื่นชอบในญี่ปุ่น รัฐบาลบุชได้บังคับให้ชาติพันธมิตรสนับสนุนสงครามทั้งสอง แต่โอบามาไม่ได้บังคับ

สำหรับนโยบายโยกย้ายกำลังทหารมายังเอเชียของโอบามานั้น จีนมองเรื่องนี้ด้วยความหวาดระแวง แต่ประเทศเอเชียอื่นๆขานรับนโยบายต่างประเทศดังกล่าวของประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะมองว่าเป็นการถ่วงดุลอิทธิพลของจีน

Source : AFP
2 พฤศจิกายน 2555 เวลา 16:49 น.

หุ้นBECร่วงอีก หลังก.ล.ต.แบน'สรยุทธ'

ที่มา Voice TV

 หุ้นBECร่วงอีก หลังก.ล.ต.แบน'สรยุทธ'



หุ้น BEC ปิดติดลบ2.82% ลงมาที่ 60.25 บาท รับข่าว คณะกรรมการ ก.ล.ต. สั่งแบน ห้ามเอกชนทำธุรกิจกับ พิธีกรเล่าข่าว สรยุทธ สุทัศนจินดา หลังป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ทุจริตเงินโฆษณา

วันนี้ (2 พ.ย.) นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ทำหนังสือถึงบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน และสมาคมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงธนาคารพาณิชย์ หลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมการเงินกับบริษัทไร่ส้ม และนายสรยุทธ สุทัศนจินดา กรรมการบริษัท เนื่องจากเป็นบุคลที่ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดฐานสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทำ ผิดกฎหมาย ตามมาตรา 6 มาตรา 8 และมาตรา 11 แห่งพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

ต่อมาสภาการหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 14 ต.ค.2555 เรื่อง พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของสื่อมวลชน กรณีบริษัทไร่ส้ม โดยแถลงว่าพฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหาแม้ว่าจะยังไม่มีบทสรุปทางกฎหมาย แต่ในแง่การประกอบวิชาชีพนับว่าไม่เหมาะสม มีการกระทำที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดจรรยาบรรณแล้ว ดังนั้นสำนักงานกลต.จึงขอความร่วมมือบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน และสมาคมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงธนาคารพาณิชย์ พิจารณาอย่างรอบคอบและใความระมัดระวังในการทำธุรกิจกับบุคคลที่มีพฤติกรรม เข้าข่ายทุจริตคอร์รัปชั่น เพื่อแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทย

ขณะที่การมีข่าวดังกล่าวออกไป ปรากฏว่ามีรายงาน ราคาหุ้นบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC ณ เวลา 15.49 น. ลบ 1.75 บาท หรือ 2.82% มาที่ 60.25 บาท เป็นระดับต่ำสุด สูงสุดที่ 63.50 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 67.11 ล้านบาท ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 1 แห่ง แนะนำ "ซื้อ" 2 แห่งแนะนำ "ถือ" และ 3 แห่ง แนะนำ "ขาย" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 58.53 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.76% โดยราคาปรับตัวลงสวนตลาดในวันนี้ หลังปรับขึ้นก่อนหน้านี้ 3 วันต่อเนื่อง ขึ้นมาเหนือระดับ 60 บาท

บล.เกีย รตินาคิน ระบุว่าแนวโน้มปี 56 คาด BEC จะยังมีกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยโมเมตัมบวกจากความนิยมของรายการทีวีของ ช่อง 3 ทำให้บริษัทมีโอกาสปรับขึ้นค่าโฆษณาได้อีก อย่างไรก็ตามอัตราการเติบโตมีแนวโน้มชะลอตัวลงเหลือเพียง 9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากฐานกำไรที่มีขนาดใหญ่ขึ้นในปีนี้ ประกอบกับปี 56 บริษัทมีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะการแข่งขันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นทั้งจากการขยาย ตัวของสื่อทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี และการเกิดดิจิตัลทีวี นอกจากนี้ยังมีความไม่แน่นอนจากประเด็นรายการของคุณสรยุทธ

ด้านเทคนิคบล.โกลเบล็ก ระบุว่ารูปแบบราคา BEC เป็นลักษณะการ breakout แนวเส้นค่าเฉลี่ย 5 10 และ 25 วันขึ้นมา 63.75, 65.00 ด้วยวอลุ่มการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับค่าสัญญาณทางเทคนิคที่แสดงทิศ ทางบวกสนับสนุนคาดราคามีโอกาสแกว่งตัวขึ้นต่อ
2 พฤศจิกายน 2555 เวลา 17:43 น.

'นพดล'เผย 'ทักษิณ'เยือนพม่า โฉบใกล้เมืองไทยที่สุด

ที่มา Voice TV



นพดล เผย "ทักษิณ" พบเต็ง เส่ง ในวันที่ 8 พ.ย. พร้อมเลาะตะเข็บท่าขี้เหล็ก พบปะนักธุรกิจไทย โฉบใกล้เมืองไทยที่สุดแล้ว

วันนี้( 2 พ.ย.) นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงว่า สำหรับกำหนดการเดินทางเยือนพม่าของพ.ต.ท.ทักษิณ วันที่ 8 พ.ย.จะเข้าคาราวะ พล.อ.เต็ง เส่ง ประธานาธิบดีพม่าที่เนปิดอร์ เมืองหลวงของพม่า วันที่ 9 พ.ย.จะเดินทางมา อ.ท่าขี้เหล็กและพักค้างคืน เพื่อพบปะแกนนำ ประชาชนผู้สนับสนุนนักธุรกิจจากไทย แต่เป็นเพียงนักธุรกิจตามแนวชายแดนทั่วไป ไม่ใช่นักธุรกิจไทยที่จะไปลงทุนในทวาย


จากนั้นเช้าวันที่ 10 พ.ย.จะมีพิธีทำบุญที่เจดีย์ชเวดากองจำลอง ใน อ.ท่าขี้เหล็กและใช้โอกาสนี้พบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชนที่เดินทางจาก ประเทศไทยข้ามไปยังฝั่ง อ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า โดยไม่มีกำหนดเดินทางไปจุดก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย และการพบกับพล.อ.เต็ง เส่ง ก็ไม่มีการหารือถึงการลงทุนใดๆที่ทวาย แต่เป็นการพบปะเยี่ยมเยียนในฐานะเพื่อนเก่าเท่านั้น พร้อมกันนี้ยืนยันว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ลงทุนหรือมีแผนลงทุนทางธุรกิจในพม่า ไม่มีประโยชน์ทับซ้อนแต่อย่างใดทั้งสิ้น และการเดินทางเยือนพม่าก็ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลไทยและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี


"ครั้งนี้เป็นการเดินทางมาในจุดที่ใกล้ไทยมากที่สุด เพราะ อ.ท่าขี้เหล็กใกล้กับไทยมากกว่าที่แขวงจำปาสัก ประเทศลาว ทั้งนี้คงไม่มีวาระเคลียร์ใจกับคนที่พลาดหวังจากการเป็นรัฐมนตรี และคงไม่มีใครไปสอบถามเรื่องนี้กับพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการไปด้วยความรักและคิดถึง" นายนพดล กล่าว


ผู้สื่อข่าวถามว่าประเทศพม่าขอความร่วมมืออย่าให้เป็นลักษณะของการใช้ประเทศ เป็นฐานเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่ นายนพดล กล่าวว่า ประเทศพม่ามีความเข้าใจและไม่ได้มีการขอในเรื่องนี้เพราะเป็นการเดินทางมาทำ บุญปกติและใช้โอกาสนี้พบปะผู้นำพม่าซึ่งเป็นเพื่อนเก่า อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าสำหรับการเดินทางเข้าประเทศพม่าจากอ.แม่สายไปยัง อ.ท่าขี้เหล็ก นั้น ทางฝ่ายไทยได้ประสานกับทางพม่าเป็นที่เรียบร้อยและพร้อมอำนวยความสะดวกโดยลด ขั้นตอนไม่ต้องขอหนังสือผ่านแดน แต่จะใช้วิธีการนับจำนวนผู้ที่เดินทางเข้า ออก เบื้องต้นกำหนดเวลาเข้า ออกที่ 06.00-18.00 น.ซึ่งได้จัดเตรียมรถคอยอำนวยความสะดวกในฝั่งท่าขี้เหล็กอย่างเต็มที่เพราะ คาดว่าจะมีคนเดินทางไปพบพ.ต.ท.ทักษิณจำนวนมาก

2 พฤศจิกายน 2555 เวลา 18:05 น.

"112" #%##&*%$##@$^%$%&%^#%^%#&^&(^% เฮ้อ

ที่มา ประชาไท

 


เมื่อเทพสั่งคำรามร้องก้องท้องฟ้า
ราษฎร์ก้มหน้าปิดประตูสู่ความหวัง
เพียงเรียกร้องขอสิทธิจากเวียงวัง
กลับรื้อรั้งคัดค้านต้านปวงชน

ถูกสะกัดวางยาอย่างหน้าด้าน
เป็นตำนานต่อกรความฉ้อฉล
อ้างมาตราร้อยสาเหตุเลศยอกยล
เพื่อตอกย้ำความเป็นคนไม่เพียงพอ
112 บูชาราชาชาติ
112 กลั่นกร่อนราษฎร์มิเหลือหรอ
112 อวยอำมาตย์จอมสอพลอ
112 เกินร้องขอความเป็นธรรม
ต้องกราบตีนต้องเป็นฝุ่นใต้ตีนไหน
จึงคืนไทให้ไทยได้ร้องร่ำ
ต้องสังเวยกี่ชีวิตที่จองจำ
จึงบำบัดความอธรรมในหัวใจ
จะได้ร้อยมาลาจากซากศพ
แสดงความเคารพที่หม่นไหม้
จะได้เชิดเทิดความรักที่หายไป
ร้อยโซ่ตรวนคล้องไปทุกแดนดิน
แต่อย่าหวังความภักดิ์รักหวนย้อน
เมื่อท่านเองบั่นทอนจนสุดสิ้น
จะพลิกฟ้าชูหญ้าเปลี่ยนแผ่นดิน
ให้ผองชนคืนถิ่นความเป็นคน
วาดดาว

อีกวันที่ร่ำไห้ในวันที่สภาไม่รับพิจารณาร่างกฎหมายแก้ไข มาตรา 112
และอีกวันที่บอกตัวเองว่าอีกแล้ว



ศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 2 เสื้อแดงพกอาวุธ-ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ลดจาก 11 เหลือ 9 ปี

ที่มา ประชาไท



ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ จำคุก 2 คนเสื้อแดง จาก 11 ปี 8 เดือน เหลือ 9 ปี 4 เดือน เหตุเกิด 17 พ.ค.53 ถูกจับหลังพยายามออกจากพื้นที่ชุมนุม ทหารระบุพบหลังรถมีปืนและวัตถุระเบิด เจ้าตัวยันไม่ใช่ของตัวแต่ไม่เป็นผล

เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 55   ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาคดีที่นายประสงค์ มณีอินทร์ และนายโกวิทย์ แย้มประเสริฐ จำเลยในคดีมีแลพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน สั่งพิพากษาแก้เป็นว่า “คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 9 ปี 4 เดือน และปรับคนละ 6,100 บาท คืนรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของนอกจากที่แก้ฯ” ทั้งนี้ ทนายความจำเลยไม่ได้เข้ารับฟังการอ่านพิพากษาด้วยแต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้น ได้พิพากษาสั่งจำคุกจำเลยคนละ 11 ปี 8 เดือน โดยระบุรายละเอียดว่า สั่งจำคุกจำเลยคนละ 5 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควร ปรับคนละ 100 บาท  ฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ จำคุกคนละ 6 ปี ฐานร่วมกันมีเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับคนละ 6,000 บาท  และฐานฝ่าฝืนประกาศศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินฯ รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละคนละ 4 เดือน รวมจำคุกคนละ 11  ปี ค เดือน และปรับคนละ 6,100 บาท  ริบของกลางที่เหลือโดยริบเครื่องวิทยุคมนาคมของกลางไว้ใช้ในกิจกรรมของสำนัก งานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
ทั้งนี้ จำเลยทั้งสองอายุ 56 ปี มีอาชีพรับจ้างและไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ถูกจับกุมในวันที่ 17 พ.ค.และคุมขังอยู่ในเรือนจำจนถึงปัจจุบัน ที่เรือนจำหลักสี่
ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เดือนเม.ย.-พ.ค.53 หรือ ศปช. อ้างถึงคำให้สัมภาษณ์ของจำเลยระหว่างถูกคุมขัง ระบุว่า จำเลยทั้งสองถูกจับในวันที่  17 พ.ค.53 ที่ ถนนพญาไท ซอยพญานาค ก่อนถูกจับ จำเลยทั้งสองอยู่ที่บริเวณแยกราชประสงค์ บริเวณดังกล่าวมืดไม่มีแสงสว่าง  คงมีเพียงแสงไฟจากเวทีปราศรัยของที่ชุมนุม และในคืนดังกล่าวคาดว่ามีการซุ่มยิงแล้ว  เนื่องจากมองเห็นแสงเลเซอร์ของลำกล้องปืนได้ชัดเจน ในเช้าวันที่ 17 พ.ค. 2553 เวลาประมาณ 7.00-8.00 น. จำเลยเดินทางออกจากบริเวณที่ชุมนุม เพื่อเดินทางกลับบ้าน เพราะเกรงว่าอาจถูกทำร้ายหรือถูกลอบยิงได้ โดยไปเอารถกระบะของนายประสงค์  ซึ่งจอดอยู่ที่บริเวณหน้าวัดปทุมวนาราม
ผู้ที่ทำการจับกุม คือ ทหารซึ่งได้ตั้งด่านตรวจบริเวณซอยพญานาค  และจำเลยก็ให้ตรวจค้นโดยดี  ไม่มีพฤติการณ์ที่จะขัดขืนใด   เพราะไม่ทราบว่ามีของผิดกฎหมายอยู่ในรถกระบะของตนเอง การจับกุมไม่มีการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด หลังจากจับกุมได้แล้ว  ถูกส่งตัวมาที่  สน. พญาไท  เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา ร่วมกันฝ่าฝืนพนักงาน เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจ ซึ่งห้ามบุคคลใดซึ่งมีพฤติการณ์ หรือน่าจะเชื่อว่าเข้ามามีส่วนร่วมในการชุมนุม เพื่อกระทำการที่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของประชาชน เข้ามาในเขตพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ,พกพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และไม่ได้รับอนุญาต,ร่วมกันลักทรัพย์ ก่อนควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป
ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน  ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยให้เหตุผลว่าไม่ทราบว่าของกลางเป็นของใคร และมาอยู่ในรถยนต์ของตนได้อย่างไร  ซึ่งตนจอดรถยนต์ไว้ในพื้นที่ชุมนุม อาจจะมีคนนำเอามาใส่ไว้

แดงโคราชรณรงค์ต้านการปฏิวัติ ซัด ม็อบ ‘เสธ.อ้าย’ ตัวการ

ที่มา uddred

 Go6TV 2 พฤศจิกายน 2555 >>>






ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวีระชัย สมานจารุวรรณ รองประธานกลุ่มคนเสื้อแดงจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ขณะนี้เกือบทุกชุมชน/หมู่บ้านใน 32 อำเภอ ของจังหวัดนครราชสีมา มีการติดตั้งป้ายต่อต้านการปฏิวัติและไม่เอาเผด็จการแล้ว ซึ่งป้ายดังกล่าวเป็นการแสดงจุดยืนของกลุ่มคนเสื้อแดงที่กระจายอยู่ในทุก อำเภอว่าเราสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยและรณรงค์ปลุกกระแสให้ประชาชน ตื่นตัวรวมพลังกันต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหารเพราะการปฏิวัติคือการดึงให้ ประเทศกลับไปสู่ยุคมืดทำให้ชาติเสียโอกาสในการพัฒนาในทุกรูปแบบ
รองประธาน นปช.โคราช กล่าวต่อว่า ถ้าประเทศไทยเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร สามารถหยุดการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ติดต่อกัน 5 ปี ตามที่‘เสธอ้าย’และกลุ่มพิทักษ์สยามออกมาเรียกร้องจริง ตนเชื่อว่าจะเกิดความไม่สงบและเกิดการนองเลือดไปทั่วทั้งแผ่นดินอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นก็หมายถึงการบรรลุสู่เป้าหมายของกลุ่ม‘เสธอ้าย’และกลุ่มพิทักษ์สยาม หรือกลุ่มพันธมิตรเดิม สาเหตุที่กลุ่มนี้ต้องการให้ชาติเกิดการกลียุคเพราะเพียงแต่ไม่ชอบรัฐบาลภาย ใต้การนำของพรรคเพื่อไทยและเกลียด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ทำให้กลุ่มเสธอ้าย กลุ่มพิทักษ์สยามและผู้ที่อยู่เบื้องหลังสูญเสียประโยชน์ แต่ถ้าประเทศไทยมีรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคฝ่ายตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทย กลุ่มนี้ก็จะสมหวังและให้การสนับสนุนเต็มที่
   “เพราะฉะนั้นผมขอเรียกร้องให้คนไทยทั้งชาติจงช่วยกันต่อต้านการกระทำของขบวน การดังกล่าว ที่พยายามจะล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้ถึงที่สุด และขอฝากไปถึงขบวนการดังกล่าวว่าหากต้องการอำนาจก็ควรจะมาต่อสู้กันทางการ เมืองด้วยการลงสู่สนามเลือกตั้งให้เป็นไปตามครรลองระบอบประชาธิปไตยจะดีกว่า ออกมาจุดชนวนเพื่อล้มล้างรัฐบาลและทำลายประเทศชาติดังเช่นที่กำลังกระทำอยู่ ในขณะนี้” นายวีระชัย กล่าว

อ่านเอาเรื่อง:การเมืองอเมริกัน ไม่กี่วันก่อนหย่อนบัตรเลือกตั้งปธน. ดูศึก2สีพญาอินทรีแล้วย้อนดูพี่ไทย

ที่มา Thai E-News




ในบ้านเรายังมีผู้ที่สนับสนุน และชื่นชมพรรคประชาธิปัตย์จำนวนไม่น้อยสำคัญผิดว่าพวกเขาเป็น Democrats แบบอ เมริกัน หรือพวกผู้ที่นิยมของนอก และรู้สึกตัวว่าอยู่ในชนชั้นที่สูงกว่าชนชั้นกลางชาวกรุงเล็กน้อยก็เข้าใจ ไขว้เขวว่าตนเป็นนักประชาธิปไตยเหมือนชื่อพรรค ทั้งที่ต่างกันลิบลับ
โดย ระยิบ เผ่ามโน
2 พฤศจิกายน 2555

เหลือเวลาอีกไม่กี่วันจะถึงการเลือกตั้งทั่วไปปลายปี ค.ศ. ๒๐๑๒ ของสหรัฐ รวมทั้งการหย่อนบัตรเลือกประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งเป็นการชิงชัยกันระหว่างประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า แห่งพรรคเดโมแครท และอดีตผู้ว่าการรัฐแม้สซาชูเส็ทมิตต์ รอมนี่ย์ แห่งพรรครีพับลิกัน

แม้จะมีผู้เข้าแข่งขันอื่นๆ ที่ไม่สลักสำคัญอีกหลายคน อาทิ นางจิล สไตล์ จากพรรคกรีน นายธอมัส โฮ้ฟลิ่ง จากพรรคอิสระ (Independent) นายแกรี่ จอห์นสัน จากพรรคไลเบอแทเรี่ยน และนางโรแซนน์ บาร์ อดีตดาวตลกหญิงชื่อดัง แห่งพรรคสันติภาพ และเสรีภาพ (Peace and Freedom)

ด้วยเหตุที่การเลือกตั้งอเมริกันไม่ใช่ระบบสองพรรคอย่างที่บางคนอาจเข้าใจ หากแต่เพราะรีพับลิกัน และเดโมแครทเป็นสองพรรคเก่าแก่ที่มีสมาชิก และผู้สนับสนุนจำนวนมากอย่างล้นพ้นกว่าพรรคย่อยๆ ทั้งหลายรวมกัน จนดูเหมือนเป็นการแข่งขันของสองพรรคตลอดมา 

โดยทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งคนอเมริกันยังมีโอกาสเสนอตัวผู้เข้าแข่งของตนเองโดยเขียนชื่อลงไปในบัตรเลือกตั้ง (Write-in) ก็ได้ ถ้ามีชื่อเดียวกันจำนวนมากพอเอาชนะผู้สมัครของพรรคอื่นทั้งหมดก็จะถือว่าได้รับเลือกตั้ง*(1)

ทำให้การคุยถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกันว่าเป็นการแข่งขันสองพรรคจึงทำได้ในทางปฏิบัติ ไม่ขัดแย้งในทางเนื้อหาแต่อย่างใด

วัน เลือกตั้งประธานาธิบดีกำหนดแน่นอนอังคารแรกของเดือนพฤศจิกายนทุกๆ สี่ปี ถ้าประธานาธิบดีมีอันเป็นไปอย่างใดๆ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ก็ให้รองประธานาธิบดีขึ้นมาสวมตำแหน่งรับช่วงต่อ ไปจนครบสมัยแล้วค่อยเลือกตั้งใหม่ เช่นนี้ในบัตรลงคะแนนจึงให้เลือกทั้งประธานาธิบดี และรองฯ ควบกัน

ความสำคัญของรองประธานาธิบดีอย่างทางการอยู่ที่ตรงนี้ แต่ในการแข่งขันรับเลือกตั้งเขามักจะคัดสรรตัวผู้เข้าชิงตำแหน่งรองเพื่อให้เติมเต็มฐานคะแนนเสียง และเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันให้ด้วย ดังในการเลือกตั้งวันที่ ๖ พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ประธานาธิบดีโอบาม่าได้รองฯ โจ ไบเด็น เป็นตัว เอาคืน ต่อพอล ไรอัน สมาชิกสภาจากรัฐวิสคอนซิน คู่สมัครของพรรครีพับลิกันในการโต้วาทีหลังจากที่โอบาม่าพลาดท่าต่อรอมนี่ย์เพราะใช้แผนสุขุม วางตัวภูมิฐานให้สมตำแหน่ง (Presidential) เลยถูกลุยเสียหมดท่าในยกแรก

แม้ตัวประธานาธิบดีจะตีตื้นในการโต้วาทีอีกสองครั้งต่อมา ก็ไม่สามารถยั้งคะแนนนิยมของรอมนี่ย์ที่เคลื่อนขึ้นมาเทียบข้างชนิดคอต่อคอได้ ยิ่งถ้าเป็นโพลล์ของฝ่ายรีพับลิกันอย่างแกลลัป *(2) วัด ผลออกมาให้รอมนี่ย์นำโอบาม่าถึง ๖ จุด ขณะที่โพลสำนักอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพิวเซ็นเตอร์ หรือของพวกสำนักข่าว อย่างนิวยอร์คไทม์/ซีบีเอส วอลสตรีทเจอร์นัล/เอ็นบีซี วอชิงตันโพสต์/เอบีซี ซีเอ็นเอ็น และแม้แต่ฟ็อกซ์ซึ่งเป็นอนุรักษ์นิยมก็ยังรายงานว่าโอบาม่านำอยู่อย่างสูสี ทั้งสิ้น

ถึงขนาดสำนักข่าวบางแห่งคาดหมายว่าผลการเลือกตั้งหลังวันที่ ๖ จะออกมาเหมือนเมื่อครั้งจ๊อร์จ ดับเบิ้ลยู บุสช์แข่งกับอัล กอร์ ที่ฝ่ายหนึ่งชนะคะแนนรายหัว (Popular vote) อีกฝ่ายได้คะแนนผู้ออกเสียง (Electoral vote) มากกว่า

อย่างไรก็ดีสำนักข่าววอชิงตันโพสต์ (ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มอนุรักษ์) ที่ เกาะติดคะแนนนิยมรายวัน พบว่าในระยะหนึ่งอาทิตย์ก่อนถึงวันเลือกตั้ง โอบาม่า และรอมนี่ย์จะชนะกันเพียงแค่หนึ่งแต้ม โดยในวันที่ ๓๐ ตุลาคมนี้รอมนี่ย์นำประธานาธิบดีอยู่ ๔๙ ต่อ ๔๘ เปอร์เซ็นต์ ส่วนเว็บบล็อกของฝ่ายเสรีนิยมแห่งหนึ่ง ให้คำทำนายผลล่วงหน้า ไว้เมื่อวันที่ ๑ พ.ย. ว่า ในวันเลือกตั้งโอบาม่าจะได้คะแนนรายหัว ๕๐.๕ เปอร์เซ็นต์ และคะแนนผู้ออกเสียง ๓๐๐ คน ขณะที่รอมนี่ย์จะได้คะแนนรายหัวเพียง ๔๘.๖ เปอร์เซ็นต์ และคะแนนผู้ออกเสียง ๒๓๘ คน

แม้ บางโพลคาดการณ์ว่าคะแนนผู้ออกเสียงอาจลงเอยเท่ากันทั้งคู่ก็ต้องไปตัดสินกัน ที่คะแนนรายหัว ซึ่งจากการสำรวจความเห็นของประชาชนที่สังกัดทั้งสองพรรคโดยวอชิงตันโพสต์พบ ว่าส่วนใหญ่ต้องการให้ถือคะแนนรายหัวเป็นมาตรชี้ขาดเหนือคะแนนผู้ออกเสียง

อันการนับคะแนนตัวแทนออกเสียง หรือ Electoral College นั้นเป็นกรรมวิธีที่มีมาตั้งแต่ยุคก่อตั้งประเทศ เนื่องจากตอนนั้นไม่สามารถนับจำนวนผู้ออกเสียงได้เป็นรายหัว แม้นว่าสมัยนี้เห็นมีข้อเสียมากกว่าเพราะใช้วิธีรวมคะแนนแบบเหมาเข่งทั้งรัฐ หรือ Winner takes all. คือรัฐไหนใครชนะก็จะได้ผู้ออกเสียงในสัดส่วนของประชากรรัฐนั้นไปทั้งหมด เช่นนี้ทำให้สำนักหยั่งเสียงสามารถทำนายตัวเลขคะแนนผู้เลือกตั้งได้ใกล้เคียงความจริงที่สุด โดยวัดจากโพลล์รายวันในแต่ละรัฐ

บล็อกเกอร์ "ห้าร้อยสามสิบแปด" ของ นสพ. นิวยอร์คไทม์อ้างว่าถ้าดูตามคะแนนนิยมของแต่ละมลรัฐแล้วเป็นไปไม่ได้ที่อาจ จะเกิดกรณีดังที่โพลระดับชาติคาดว่าโอบาม่าจะชนะคะแนนผู้ออกเสียงขณะที่รอม นี่ย์ได้คะแนนรายหัวมากกว่า

ดังเช่นปัญหาที่เกิดในการเลือกตั้งปี ๒๐๐๐ อัล กอร์ ตัวแทนพรรคเดโมแครทได้คะแนนรายหัวทั้งประเทศมากกว่าจ๊อร์จ บุสช์ แต่ที่รัฐฟลอริด้าผลการนับคะแนนออกมาปรากฏว่ากอร์แพ้บุสช์อยู่เล็กน้อย เนื่องจากปัญหาบัตรเสียจำนวนมากในท้องที่ฐานเสียงเดโมแครท จึงมีการร้องให้นับคะแนนใหม่ กรรมการนับคะแนนใหม่ยังไม่ทันเสร็จศาลสูงสุดซึ่งรับคำร้องของพรรครีพับลิกันให้ตัดสิน และสั่งระงับการนับคะแนน มีมติยืนตามชัยชนะของบุสช์ กลายเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ว่าการเลือกตั้งคราวนั้นรีพับลิกันชนะเพราะมีผู้พิพากษาศาลสูงสุดฝ่ายอนุรักษ์นิยมเป็นเสียงข้างมาก

หนึ่งอาทิตย์ก่อนถึงวันหย่อนบัตร ประเทศสหรัฐฝั่งตะวันออกถูกภัยธรรมชาติพายุ แซนดี้ กระหน่ำเสียจนกระอัก มลรัฐชายฝั่งตั้งแต่เวอร์จิเนีย แมรี่แลนด์ นิวเจอร์ซี่ ถึงนิวยอร์ค พบกับอภิมหาพายุ (Perfect storm) อัน เป็นสองประสานของพายุเฮอริเคนที่โหมจากทะเลคาริเบียนเข้าผสมกับพายุลมหนาวบน ฝั่งที่เคลื่อนข้ามทวีปมาทางใต้แล้วหันขึ้นเหนือเกิดเป็นพายุฝนตกหนัก (บางแห่งถึง ๒๔ นิ้ว) และคลื่นยักษ์ สำลักน้ำกันระนาว โดยเฉพาะตอนล่างของเกาะแมนแฮ็ทตัน นครนิวยอร์ค

ทำเอาทั้งประธานาธิบดีโอบาม่า และผู้ว่าฯ รอมนี่ย์ ต้องยับยั้งการหาเสียงซึ่งปกติจะต้องอยู่ในช่วงเร่งเครื่องเต็มทุกสูบ กลายเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ของการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกันไปด้วยเหมือนกัน แม้จะไม่ก่อผลต่อภาพพจน์ของคู่แข่งขันมากนัก เว้นแต่โอบาม่าซึ่งประกาศงดการปรากฏตัวหาเสียงทันควันก่อนรอมนี่ย์เล็กน้อย จึงเก็บคะแนนความเป็นผู้นำได้อีกนิดหน่อย

เมื่อพายุผ่านไปประธานาธิบดียังต้องเดินทางไปเยี่ยมท้องที่ได้รับความเสียหาย รอมนี่ย์จึงสามารถกลับไปหาเสียงได้ก่อนโอบาม่าอีกหนึ่งวัน หลังจากที่ต้องปรับจุดยืนของตนระหว่างเกิดเฮอริเคนจากที่เคยเสนอว่าจะลดบทบาท-ตัดงบประมาณ ฟีม่า (FEMA) หน่วยงานที่ดูแลเรื่องภัยธรรมชาติของรัฐบาลกลาง แล้วโอนภาระรับผิดชอบไปให้แก่พวกมลรัฐแทนตามอุดมการณ์ลดขนาดรัฐบาลกลางของพรรครีพับลิกัน ก็กลับหันมายอมรับบทบาทของฟีม่าว่ามีความสำคัญในการประสานงานกู้ภัยให้แก่มลรัฐที่ได้รับความเสียหาย*(3)
ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซี่ต้อนรับประธานาธิบดีโอบาม่าระหว่างการเยี่ยมผู้ประสพภัยพายุเฮอริเคนแซนดี้
อีก ทั้งผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซี่ซึ่งเจออุทกภัยหนักกว่าเพื่อน นายคริส คริสตี้ หนึ่งในนักการเมืองพรรครีพับลิกันที่ได้รับความนิยมสูงระดับชาติ ยังแถลงชื่นชมการทำงานของประธานาธิบดีในการบรรเทาวาตภัยจากเฮอริเคนแซนดี้ ครั้งนี้ นอกเหนือจากกระแสฮือฮาสไตล์แท็ปลอยที่ว่าโอบาม่าชนะใจคริสตี้ (กับการที่นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ค ไมเคิล บลูมเบิร์ก อดีตเดโมแครทที่ย้ายไปรีพับลิกันแล้วออกไปเป็นอิสระผู้ได้รับความนิยมสูง ขนาดเคยเป็นที่คาดหมายว่าจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยนี้ หรืออย่างน้อยได้รับเลือกเป็นคู่สมัครรองประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน ประกาศสนับสนุนโอบาม่าเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย)

คุณูปการแท้จริงอยู่ที่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่ลำเอียง ไม่เลือกข้างพรรคมึงพรรคกูเมื่อเป็นเรื่องบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน

นี่ เป็นวัฒนธรรมการเมืองแบบอเมริกันที่นักเลือกตั้ง และผู้ที่เรียกตัวเองว่าชนชั้นกลางชาวกรุงในประเทศไทยยังไม่ซึมซับกันดีนัก ทำให้เกิดการปล่อยไก่ขายหน้าชนิดต้องรีบปัดขยะเข้าใต้พรมเมื่อนักหนังสือ พิมพ์ชื่อดังผู้ก่อตั้งเครือสื่อภาษาอังกฤษที่ใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์ ดันไปตั้งคำถามแก่รัฐมนตรีต่างประเทศหญิงอเมริกันว่าเธอทำใจได้อย่างไรที่มา รับทำงานเป็นลูกน้องของคู่แข่งเดิม (แม้จะพรรคเดียวกันก็เถอะ) เลยถูก รมว.หญิงอเมริกันสอนมวยให้ด้วยการตอบว่า ที่บ้านฉันเมื่อผลเลือกตั้งออกมาอย่างไร ผู้ชนะย่อมเป็นหัวหน้าของเราทุกคน

ในบ้านเรายังมีผู้ที่สนับสนุน และชื่นชมพรรคประชาธิปัตย์จำนวนไม่น้อยสำคัญผิดว่าพวกเขาเป็น Democrats แบบอเมริกัน หรือพวกผู้ที่นิยมของนอก และรู้สึกตัวว่าอยู่ในชนชั้นที่สูงกว่าชนชั้นกลางชาวกรุงเล็กน้อยก็เข้าใจไขว้เขวว่าตนเป็นนักประชาธิปไตยเหมือนชื่อพรรค ทั้งที่ต่างกันลิบลับนับแต่การก่อตั้งพรรคเป็นต้นมาเลยทีเดียว เมื่อนายควง อภัยวงศ์ ไปสมคบกับพวกรอยัลลิสต์แอบร่างรัฐธรรมนูญที่หมายคืนอำนาจแก่เจ้านาย และชนชั้นสูง แล้วเอาไปซ่อนไว้ใต้ตุ่มรอเวลาทหารฝ่ายเจ้ายึดอำนาจมาให้

ผู้กุมบังเหียนพรรครุ่นต่อมาก็สืบทอดเจตนาดั้งเดิมทั้งนั้น จะผ่อนคลายต่อเมื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แยกตัวออกไปตั้งพรรคกิจสังคม แต่แล้วก็กลับมาเต็มรูปแบบราชาธิปไตยอีกครั้งตั้งแต่สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นหัวหน้า และเป็นนายกรัฐมนตรีที่ต้องบริหารบ้านเมืองด้วย ข้อมูลใหม่ เสมอ

พรรคเดโมแครทอเมริกันมีต้นกำเนิดคล้ายคลึงกับพรรครีพรรคลิกัน เดิมทีนั้นเป็นคล้ายพรรคแฝดเสียด้วยซ้ำ ซึ่งร่วมกันเป็นคู่แข่งของพรรคเฟเดอรัลลิสต์ ส่วนพรรครีพับลิกันเป็นพรรคเก่าแก่ที่สุดจึงเรียกกันว่า จีโอพี (Grand Old Party) สืบเนื่องมา นอกเหนือจากในระยะแรกเริ่มที่ปฏิเสธระบบกษัตริย์อย่างสิ้นเชิงแล้ว (เดโมแครทก็เช่นกัน) ก็ดำเนินการเมืองในฐานะตัวแทนของมวลชนรากหญ้าไม่ต่างกับเดโมแครท ในลักษณะที่เป็นความแตกต่างกับกลุ่มคนระดับแกนนำที่เกี่ยวพันกับกระบวนการประกาศอิสรภาพในพรรคเฟเดอรัลลิสต์

เดโมแครทกับรีพับลิกันมาปรากฏความแตกต่างทางนโยบายกันมากในช่วงศตวรรษที่ ๒๐ เรื่อยมา จากการที่รีพับลิกันเน้นการแข่งขันเสรี (Free Enterprise) ขณะที่เดโมแครทส่งเสริมสวัสดิการสังคม (Social Welfare) เอาใจรากหญ้ามากกว่า ด้วยการยึดมั่นแนวทางเด่นคนละด้าน พรรครีพับลิกันเชิดธุรกิจการค้า พรรคเดโมแครทชูด้านสังคม จึงพัฒนามาเป็นการยึดมั่นความสำคัญของส่วนเอกชนโดยพรรครีพับลิกัน และการใช้รัฐคุ้มครองอุ้มชูปัจเจกชนโดยพรรคเดโมแครท ที่ปรากฏชัดในชัยชนะเลือกตั้งของประธานาธิบดีรอแนลด์ เรแกน บนพื้นฐานนโยบายลดอำนาจรัฐบาล เพิ่มอิสระธุรกิจเอกชน

ใน ศตวรรษที่ ๒๑ แนวนโยบายของทั้งสองพรรคก็ยิ่งพัฒนาไปในทิศทางต่างกันมากขึ้นจนสามารถเรียก ได้ว่า รีพับลิกันเป็นอนุรักษ์นิยม และเดโมแครทเป็นเสรีนิยม อันครอบคลุมไปถึงด้านต่างๆ ทั้งในส่วนที่เป็นสาธารณะ และส่วนบุคคล มองเห็นความแตกต่างระหว่างรีพับลิกันกับเดโมแครทชัดเจนนอกเหนือจากสีประจำ พรรคแดงกับน้ำเงิน อาทิ การปล่อยอิสระแก่บรรษัทการเงินในทางตรงข้ามกับการให้หน่วยงานรัฐบาลการเข้า ไปกำกับ การต่อต้านทำแท้งโดยถือหลักศาสนาเคร่งครัดว่าถ้าปฏิสนธิแล้วย่อมเป็นชีวิตใน ทางตรงข้ามกับการเคารพสิทธิเหนือร่างกายของสตรีที่จะเลือกมีหรือไม่มีลูกได้ และการปฏิรูประบบสวัสดิการโดยให้ผู้รับอย่างจำกัดอันตรงข้ามกับการเปิดกว้าง ตามทฤษฎีประชานิยม เป็นต้น

ในช่วงที่บารัค โอบาม่าได้เป็นประธานาธิบดีความแปลกแยกระหว่างเดโมแครท และรีพับลิกันขยายกว้างจนสุดกู่ กลุ่มอนุรักษ์ขวาจัดที่เรียกตนว่า ทีพาร์ตี้ (Tea Party) เลียนแบบสมัยประกาศเอกราชที่ชาวบ้านรากหญ้ารวมหัวกันแสดงพลังโดยจัดงานเลี้ยงน้ำชาชุมนุมปรึกษาทางการเมือง กดดันให้ความเป็นอนุรักษ์นิยมของพรรครีพับลิกันถลำไปขวาสุดกู่ แม้แต่มิตต์ รอมนี่ย์ซึ่งเป็นรีพับลิกันสายกลางยังต้องเปลี่ยนจุดยืนหลายอย่างเพื่อกระชับกำลังสนับสนุนภายในพรรค เป็นผลให้เขาเลือกพอล ไรอัน ดาวรุ่งคนหนึ่งในกระบวนการงานเลี้ยงน้ำชามาเป็นคู่สมัครในตำแหน่งรองฯ ทั้งที่ไรอันนั้นมีตำแหน่งแห่งที่ความสำคัญ (และความนิยม) ภายในพรรคอยู่ในระดับท้ายๆ เทียบไม่ติดกับคริส คริสตี้แห่งนิวเจอร์ซี่ เจ๊ฟ บุสช์ แห่งฟลอริด้า (อดีตผู้ว่าฯ) หรือแม้แต่สมาชิกสภาจากเท็กซัส รอน พอล ที่จัดอยู่ในปีกซ้ายสุดของพรรครีพับลิกัน ซึ่งได้รับความนิยมจากคนหนุ่มสาวเป็นจำนวนมาก

การจำนนต่อแรงกดดันขวาสุดกู่ของพรรคในการหาเสียงทำให้รอมนี่ย์เปลี่ยนบุคคลิกทางการเมืองไปอย่างแทบไม่เห็นหัว เขาพูดอะไรหลายอย่างที่ตรงข้ามกับจุดยืนดั้งเดิม แม้กระทั่งจุดยืนเมื่อครั้งรณรงค์เลือกตั้งขั้นต้นภายในพรรคของตนเอง ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดอย่างหนึ่งคือนโยบายยกเลิกกฏหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ (The Affordable Care Act) อันเป็นนโยบายประชานิยมที่จัดเป็นความสำเร็จอันสำคัญของรัฐบาลโอบาม่า แม้จะเทียบไม่ติดกับที่ได้รับการยกย่องกันในยุโรปก็เป็นการจัดตั้งระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าชนิดไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์ แต่ถูกพรรครีพับลิกันคัดค้านหัวชนฝา และกลุ่มอนุรักษ์สุดกู่โจมตีว่าใช้งบประมาณแจกแถมมหาศาลผลาญเงินผลาญทองของชาติ

นอกเหนือจากประเด็นที่ว่าต้องใช้งบประมาณมากแล้ว ค่ายรีพับลิกันไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่ากฏหมายฉบับนี้มีข้อเสียอย่างไร เพียงต้องการถอนไปก่อนแล้วอ้างว่าตนมีแผนดีกว่ามาแทน แต่ก็ไม่อาจแสดงให้เห็นรายละเอียดของแผนดังว่านั้นได้ ใครที่อยากทราบว่าข้อโจมตีมีการบิดเบือนขนาดไหน จะลองไปฟังการโจมตีของพรรคประชาธิปัตย์ต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ดูแทนก็ได้ สงสัยจะลอกเลียนกันมาได้เนียนไม่จืดเลย ส่วนถ้าจะมีโฆษกคนใดคนหนึ่งออกมาบอกว่าอเมริกาเลียนแบบไทย นั่นอยู่นอกเหนือวิจารณญานของผู้เขียน

แต่ข้อเท็จจริงอยู่ที่ว่ากฏหมายประกันสุขภาพที่รีพับลิกันเรียกว่า โอบาม่าแคร์ นี้รูปร่างหน้าตาเหมือนกฏหมายประกันสุขภาพของมลรัฐแมสซาชูเส็ทที่ออกมาใช้ตั้งแต่ตอนที่รอมนี่ย์เป็นผู้ว่าฯ ยังกับแกะ

อีกประเด็นสำคัญที่รอมนี่ย์ใช้โจมตีโอบาม่าอย่างหนักในการหาเสียงโค้งสุดท้าย เป็นนโยบายทุ่มงบประมาณช่วยอุตสาหกรรมผลิตรถยนตร์ให้พ้นจากการล้มละลาย ซึ่งได้ผลดีจนทำให้ทั้งบริษัทไคร้สเลอร์ และเจ็นเนอรัลมอเตอร์สามารถชดใช้หนี้กลับมายืนอยู่บนลำแข้งตัวเองได้ สร้างความนิยมให้แก่ประธานาธิบดีโอบาม่าในหมู่คนงานอุตสาหกรรมทางแถบตอนกลางของประเทศค่อนไปทางตะวันตกที่เรียกกันว่า บลูคอลลาร์ (Blue Collars) โดยเฉพาะในมลรัฐโอไฮโอ หนึ่งในเจ็ดมลรัฐที่ยังไม่เป็นสีใดแน่นอน (Swing states หรือ Battleground states)

รอม นี่ย์โจมตีว่ารัฐบาลโอบาม่าช่วยไคร้สเลอร์ด้วยการให้บริษัทเฟี้ยตจากอิตาลี่ เข้ามาร่วมเป็นเจ้าของแล้วยังกำลังจะย้ายการผลิตรถจี๊พไปยังประเทศจีน เช่นเดียวกับบริษัทจีเอ็มซึ่งรับเงินช่วยจากรัฐบาล (Bail-out) เหมือนกันแล้วเลิกจ้างงานถึง ๑๕,๐๐๐ คน และย้ายการผลิตไปจีน อันเป็นข้อกล่าวหาที่บิดเบือนความจริงทั้งสิ้น จนอุตสาหกรรมผลิตรถยนตร์ออกมาโต้ และบรรดาสื่อทั้งหลายก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวว่าการโฆษณาหาเสียงของรอมนี่ย์แบบนี้มีแต่โป้ปดมดเท็จ เพียงเพื่อที่จะให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง

กระทั่งคอลัมนิสต์ในสายลิเบอรัลคนหนึ่งเขียนถึงว่า ปัญหาก็คือยังมีผู้ออกเสียงที่แม้จะยอมรับว่ารอมนี่ย์กล่าวเท็จ แต่ความเกลียดที่มีต่อโอบาม่าทำให้เมินความจริงนั้นเสีย อ้างว่านั่นเป็น "เสรีภาพในการกล่าวเท็จ" จึงเพียงแต่สะใจ และยังคงหย่อนบัตรเลือกรอมนี่ย์อยู่ดี ฟังดูคล้ายๆ บรรยากาศการเมืองในประเทศไทยเหมือนกันอีกแล้วนี่

สำหรับมลรัฐเจ็ดแห่งที่เรียกว่า แกว่งไปมา เนื่องจากไม่สามารถจัดอยู่ในฝ่ายเดโมแครท (สีน้ำเงิน) หรือรีพับลิกัน (สีแดง) ได้แน่นอน เพราะระบบการตัดสินผลเลือกตั้งด้วยคะแนนของผู้ออกเสียง นั้นทำให้การได้ชัยชนะคะแนนรายหัวในรัฐเหล่านี้สามารถทำให้คะแนนผู้ออกเสียงที่เป็นรองอยู่ตีตื้นขึ้นมาได้ รอมนี่ย์ซึ่งขณะเขียนเรื่องนี้คะแนนผู้ออกเสียงอยู่ที่ ๒๐๖ ขณะที่โอบาม่านำไป ๒๔๓ ภายในวันเลือกตั้งคนใดคนหนึ่งจะต้องได้ ๒๗๐ ขึ้นไปจึงจะเป็นผู้ชนะ บรรดารัฐที่ยังไม่ปรากฏแน่นอนว่าจะอยู่สีใดจึงกลายเป็น สมรภูมิ สำหรับการช่วงชิงโค้งสุดท้าย

พรรครีพับลิกัน และบรรดาองค์กรการเมืองเอกชนที่กลายเป็นหน่วยหาเสียงเลือกตั้งอันสำคัญในการแข่งขันครั้งนี้ รู้จักกันดีในนาม ซูเปอร์แพ็ค (PACs – Political Action Committees) ซึ่งสามารถใช้เงินรณรงค์เพื่อผู้สมัครได้โดยไม่จำกัด เช่น ทางแพร่งอเมริกัน (American Crossroad) ของคาร์ล โร้ฟ นักวางแผนหาเสียงที่ทำให้จ๊อร์จ บุสช์ และรีพับลิกันชนะอย่างขาดลอยในปี ค.ศ. ๒๐๐๔ กับกลุ่มฟื้นฟูอนาคต (Restore Our Future) ของพวกที่หนุนรอมนี่ย์ ได้ทุ่มเงินอย่างมหาศาลเข้าไปในสามมลรัฐที่โอบาม่าเคยชนะจอห์น แม็คเคนในการเลือกตั้งครั้งก่อน ได้แก่ไอโอว่า วิสคอนซิน และโอไฮโอ เป็นเวลาหลายเดือนมาแล้ว

ในไอโอว่าซึ่งเป็นรัฐที่โอบาม่าได้ชัยชนะแห่งแรกในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว หนังสือพิมพ์เดอม้อยส์รีจิสเตอร์อันมีชื่อเสียงของมลรัฐประกาศสนับสนุนรอมนี่ย์เมื่อไม่กี่วันมานี้ ทำให้ความหวังของโอบาม่าที่นี่ไม่หนักแน่นเท่าครั้งก่อน ส่วนวิสคอนซินนั้นเป็นรัฐบ้านเดิมของพอล ไรอัน แม้ผลหยั่งเสียงจากโพลล์จะให้โอบาม่าได้เปรียบก็ยังไม่แน่นอนนัก สำหรับโอไฮโอเป็นแห่งหนึ่งที่คะแนนนิยมโอบาม่ายังเหนียวแน่น แต่ก็นำหน้ารอมนี่ย์เพียงเล็กน้อย รอมนี่ย์จึงหาเสียงในหมู่รีพับลิกันที่นี่ด้วยการชักชวนเดโมแครทมาร่วมวงไพบูลย์ โดยปาฐกถาว่าถ้าตนได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีจะดำเนินนโยบายด้วยการ ร่วมมือกับเดโมแครท

โอไฮโอเป็นรัฐที่รอมนี่ย์หวังว่าจะทำให้เขาพลิกมาเป็นผู้ชนะได้ในกรณีที่คะแนนผู้ออกเสียงในบั้นปลายเกิดเสมอกัน

รัฐที่เป็น สมรภูมิ อื่นๆ ได้แก่นิวแฮมเชอร์ โคโรราโด เวอร์จิเนีย และฟลอริด้า ล้วนอยู่ในข่ายความนิยมเหนือกว่าของโอบาม่าค่อนข้างแน่นอน จะมีคลาดเคลื่อนได้ก็แต่ฟลอริด้าที่มีประชากรเสื้อสายอิสแปนิค (พูดภาษาสเปญ) และชาวปวยโตริกันจำนวนมาก นอกจากผู้ว่าการรัฐริค สก็อตเป็นรีพับลิกันแล้ว ยังมีสมาชิกสภาหนุ่มเลือดปวยโตริกันที่ได้รับความนิยมสูงจนเคยเป็นหนึ่งในจำนวนรายชื่อสั้นๆ ที่รอมนี่ย์นำไปพิจารณาเลือกเข้าเป็นคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของเขา

รวมความแล้วการเลือกตั้งวันที่ ๖ พฤศจิกายนนี้ ในส่วนของตำแหน่งประธานาธิบดี และรองฯ มีความสูสีเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงปัจจัยทางด้านทุนหาเสียงของฝ่ายรีพับลิกัน แม้รอมนี่ย์จะหาทุนสนับสนุนอย่างทางการได้ไม่เท่าโอบาม่า แต่ว่าทุนสนับสนุนไม่ทางการจากกลุ่มซูเปอร์แพ็คนั้นแน่นหนามหาศาลมาแต่แรกเริ่มรณรงค์เมื่อต้นปีเลยทีเดียว เฉพาะทุนที่มาจากอภิมหาเศรษฐีพันล้านอย่างสองพี่น้องตระกูลค็อค (เดวิด และชาร์ล) และเชลดอน เอเดลสัน ก็ทำให้เดโมแครทหนาวค้างปีมายังไม่หาย

ทำให้เมื่อเข้าทางตรงหลังโค้งสุดท้ายหนึ่งอาทิตย์ก่อนวันลงคะแนน พวกอภิมหาเศรษฐีฝ่ายเสรีนิยมเริ่มไหวตัว*(4)

นาย ทุนกระเป๋าหนักของฝ่ายเดโมแครทที่ไม่ได้กระตือลือล้นในระยะต้นๆ เพราะเห็นว่าโอบาม่าสามารถหาทุนได้มากดีแล้ว กลับพากันหันกลับมาควักกระเป๋าให้กับซูเปอร์แพ็คที่สนับสนุนโอบาม่า อย่างกลุ่มความสำคัญเบื้องต้นยูเอสเอ (Priority U.S.A.) และกลุ่มเสียงข้างมากในสภาผู้แทน (House Majority PAC) กันคนละล้านสองล้าน หรือสิบล้านในช่วงหนึ่งอาทิตย์บั้นปลายของการรณรงค์ ๒๐๑๒ นี้

นายทุนเหล่านี้มีทั้งนักการเงินชื่อดัง จอ๊ร์จ โซรอส นักสร้างหนังยอดนิยม สตีเว็น สปีลเบิร์ก และนักลงทุนสื่อสาร เฟร็ด อายแคนเนอร์ แห่งนิวส์เว็บ คอร์ป

เอ่ยชื่อนายทุนฝ่ายเดโมแครทมาสองสามคนข้างต้นอาจทำให้นักเลือกตั้ง และชนชั้นกลางชาวกรุงในประเทศไทยหลายคนร้องฮ้าว่าเห็นไหมเดโมแครทไทยกับเดโมแครทอเมริกันก็มีอะไรเกี่ยวพันกันอยู่เหมือนกันนะ ซ้ำร้ายหลายคนอาจเห็นโฆษณาหาเสียงให้แก่รอมนี่ย์ในเว็บบอร์ดเสื้อแดงที่ตั้งอยู่ในอเมริกา และได้รับความนิยมมากในประเทศไทยแต่บางครั้งเข้ายากเข้าเย็น เลยเหมาเอาว่าสีแดงเหมือนกันคงมีอะไรคล้ายกันบ้างละนา

แต่ช้าก่อน หามิได้เลย เสื้อแดงไทยกับพรรคสีแดงอเมริกันต่างกันลิบลับ แม้นว่าจะมีเสื้อแดงไทยในอเมริกาที่สังกัดพรรคสีแดงอยู่มากมายก็ตาม ตื้นลึกหนาบางเป็นอย่างไร โอกาสหน้าเมื่อเวลา และสถานการณ์อำนวยแล้วจะเล่าให้ฟัง (ไม่ต้องรอให้เลิก ม. ๑๑๒ ก่อนก็ได้)

โชคดีทุกท่านในวันหย่อนบัตรครับ
*(1) ที่เคยปรากฏมีแต่ในการเลือกตั้งขั้นต้นภายในพรรคของตนเองเท่านั้น ประธานาธิบดีโรสเว้ลท์ ไอเซ็นเฮาเออร์ เค็นเนดี้ และลินดัน จอห์นสัน ล้วนได้ชัยชนะการเลือกตั้งขั้นต้นจากการเขียนชื่อ ในปี ค.ศ. ๑๙๙๒ นายร้าล์ฟ เนเดอร์ นักต่อสู้เพื่อผู้บริโภคเคยพยายามเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยการรณรงค์ให้เขียนชื่อเขาลงในบัตรเลือกตั้งขั้นต้นของทั้งสองพรรคหลัก ปรากฏว่าได้คะแนนจากแต่ละพรรคเพียงสามพันกว่าเสียงก็เลยปิ๋วไป และในปี ๑๙๖๘ ประธานาธิบดีลินดัน เบน จอห์นสัน ไม่ได้สมัครเข้าแข่งเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคเดโมแครท แต่ได้รับการเขียนชื่อในบัตรเลือกตั้งถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ขณะที่นายยูจีน แม็คคาร์ธี ซึ่งเป็นผู้สมัครอย่างทางการได้รับคะแนนเสียง ๔๑ เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อดูจากจำนวนตัวแทนออกเสียง (Electoral College) แล้วแม็คคาร์ธีมีมากกว่า ประธานาธิบดีจอห์นสันเลยไม่ลงแข่งขันในการเลือกตั้งใหญ่ ถึงอย่างไรวุฒิสมาชิกแม็คคาร์ธีก็แพ้การเลือกตั้งขั้นต้นแก่ดาวรุ่งเดโมแครทยุคนั้นคือ วุฒิสมาชิกรอเบิร์ต เค็นเนดี้ ซึ่งถูกลอบสังหารเสียชีวิตก่อนเลือกตั้งใหญ่ไม่เท่าไร ทำให้วุฒิสมาชิกจ๊อร์จ แม็คกัฟเวิร์น ผู้มีนโยบายต่อสงครามเวียตนามเหมือนกันเข้ามาสวมบัตรเลือกตั้งแทน ท้ายสุดก็แพ้แก่ประธานาธิบดีนิกสันอย่างขาดลอย (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย )
*(2) ดูบทวิจารณ์การหยั่งเสียงได้ที่ rasmussen-and-gallup-vs-the-rest ผู้เขียนบอกว่าผลการหยั่งเสียงของแกลลัปมักผิดพลาด และเจ้าของบริษัทรัสมูสเซ็นซึ่งดำเนินการสำนักหยั่งเสียงแกลลัปนั้นเป็นฝักฝ่ายการเมืองข้างรีพับลิกัน
*(4) http://www.politico.com/news/stories/1012/82965.html

24.00 น. 31 ตค.55 วันปล่อยผี

ที่มา การ์ตูนมะนาว



ล้านคำบรรยาย (พิเศษ) การ์ตูนเซีย 02/11/55 ภัยแล้ง..น้ำใจ ของบางพวก

ที่มา blablabla

โดย 

 ภาพถ่ายของฉัน




สังคมนี้ เคยเกื้อกูล คอยหนุนส่ง
มันจบลง เพราะบางคน ปล้นเห็นๆ
สังคมนี้ เคยไร้ทุกข์ สุขร่มเย็น
ใยกลายเป็น สังคมเน่า ไม่เข้าใจ....

คนดีๆ อย่าหวัง นั่งเป็นสุข
คนเลวๆ ร่าเริงสนุก สุขสดใส
คนจนๆ ถูกเหยียบย่ำ อยู่ร่ำไป
คนจัญไร กลับชูคอ หัวร่อรื่น....

ยามคนจน..อยู่กินดี มีความหวัง
มันกลับคลั่ง กดหัวด่า อย่าเป็นอื่น
มึงต้องแย่ มึงต้องจน ทนกล้ำกลืน
อย่าคิดฟื้น มาเทียบชั้น มันต้องจน....

คือความ..แล้ง น้ำใจ พวก..ไอ้สัตว์
ตัวชี้วัด สังคมอัปรีย์ อย่างปี้ป่น
จึงหางโผล่ โชว์ระยำ ย้ำตัวตน
สุดมืดมน สังคมอุบาทว์ ชาติทุยแลนด์....

๓ บลา / ๒ พ.ย.๕๕

ล้านคำบรรยาย (พิเศษ) การ์ตูนเซีย 02/11/55 ภัยแล้ง..น้ำใจ ของบางพวก

ที่มา blablabla

โดย 

 ภาพถ่ายของฉัน




สังคมนี้ เคยเกื้อกูล คอยหนุนส่ง
มันจบลง เพราะบางคน ปล้นเห็นๆ
สังคมนี้ เคยไร้ทุกข์ สุขร่มเย็น
ใยกลายเป็น สังคมเน่า ไม่เข้าใจ....

คนดีๆ อย่าหวัง นั่งเป็นสุข
คนเลวๆ ร่าเริงสนุก สุขสดใส
คนจนๆ ถูกเหยียบย่ำ อยู่ร่ำไป
คนจัญไร กลับชูคอ หัวร่อรื่น....

ยามคนจน..อยู่กินดี มีความหวัง
มันกลับคลั่ง กดหัวด่า อย่าเป็นอื่น
มึงต้องแย่ มึงต้องจน ทนกล้ำกลืน
อย่าคิดฟื้น มาเทียบชั้น มันต้องจน....

คือความ..แล้ง น้ำใจ พวก..ไอ้สัตว์
ตัวชี้วัด สังคมอัปรีย์ อย่างปี้ป่น
จึงหางโผล่ โชว์ระยำ ย้ำตัวตน
สุดมืดมน สังคมอุบาทว์ ชาติทุยแลนด์....

๓ บลา / ๒ พ.ย.๕๕

กลัวลิ้มเจ็บปวดเลื่อนลากคอข้อหากบฎตรงวันเกิด

ที่มา Thai E-News

 Posted Image


การออกหมายเรียกไปรับทราบข้อหากบฎในวันที่ 7 พฤศจิกายน เหมือนกับแกล้งให้เจ็บปวด เพราะวันนั้น บังเอิญตรงกัน “วันเกิด” ของ สนธิ พอดี

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
2 พฤศจิกายน 2555

กองปราบฯ ขอเลื่อนให้ “สนธิ-เสธ.อ้าย” มารับทราบข้อกล่าวหากบฏ-ยุยงทหารให้ก่อการปฏิวัติ 
       
พ.ต.อ. ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.กล่าวถึงความคืบหน้าคดีที่นายคารม พลพรกลาง ทนายความกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แจ้งความดำเนินคดีต่อนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ในข้อหายุยงให้ราษฎรเป็นกบฏ ยุยงทหารให้ก่อการปฏิวัติ และแสดงความคิดเห็นไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ว่า หลังจากพนักงานสอบสวนได้ทำการส่งหมายเรียกให้นายสนธิ และ พล.อ.บุญเลิศ มารับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าวที่กองปราบปรามในวันที่ 7 พ.ย.นี้ เวลา 10.00 น.ตามที่เป็นข่าวนั้น ปรากฏว่าทางพนักงานสอบสวนได้ขอเลื่อนให้ พล.อ.บุญเลิศมารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 15 พ.ย. ส่วนนายสนธิให้มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 22 พ.ย.นี้ ส่วนการจัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยก็ใช้กำลังคอมมานโดประมาณ 1 กองร้อย หรือ 150 นายเช่นเดิม

นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวว่า ยังไม่ได้รับหมายเรียก และคงไม่สามารถเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันดังกล่าวได้ ซึ่งตนจะทำหนังสือขอเลื่อนการรับทราบข้อกล่าวหาไปก่อน และเห็นว่าเป็นการกลั่นแกล้ง เนื่องจากว่าเวลาผ่านมา 10 เดือน แต่ทันทีที่ทนายเสื้อแดงไปเร่งรัดข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่ก็ออกหมายทันที ที่เขาทำกับตนเพราะว่าเขาเป็นพวกเดียวกับพรรคเพื่อไทย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ก็พูดชัดเจนไม่ใช่หรือว่าตำรวจเป็นพวกพรรคเพื่อไทย เพราะฉะนั้น พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.ก็เป็นคนของพรรคเพื่อไทย คือเขาเรียกว่าเรื่องที่ควรจะทำไม่ทำ แต่เรื่องที่ไม่ควรทำลงมายุ่ง นี่คือการแสดงความคิดเห็นอันหนึ่ง คุณเอาคนที่แสดงความคิดเห็นแล้วก็บอกว่าก่อกบฏ 

เว็บไซต์ASTVผู้จัดการ สื่อกระบอกเสียงของนายสนธิ รายนงานในคอลัมน์เกาะกระแสในหัวเรื่อง"หมายเรียก-เรียกแขก"ว่า หากจะพูดว่าเป็นการ “เรียกแขก” ก็เป็นได้ สำหรับตำรวจกองปราบฯ ที่ออกหมายเรียกให้ ทั้ง สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ และ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ แกน นำองค์การพิทักษ์สยาม ไปรับทราบ “ข้อหากบฎ” ในวันที่ 7 พ.ย. แน่นอนว่าในวงการย่อมรู้ดีว่า นี่คือชั้นเชิงทางกม.ที่ฝ่ายการเมืองใช้กลไกรัฐเป็นเครื่องมากำหราบฝ่ายตรง ข้ามไม่ให้เคลื่อนไหวโดยสะดวก และอย่าได้แปลกใจเมื่อการชุมนุมของ “เสธ.อ้าย” เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้สร้างความตื่นเต้นได้พอสมควร และยังขู่ชุมนุมอีกรอบในราวปลายเดือนนี้อีก มันก็ต้องหาทางเตะตัดขาเอาไว้ก่อน แต่สำหรับรายของ สนธิ นั้นถือว่า “เป็นขาประจำ” ที่ต้องใช้ “บ่วงคล้องคอ” เอาไว้ก่อน และเหมือนกับแกล้งให้เจ็บปวด เพราะวันที่ 7 พ.ย.นั้น บังเอิญตรงกัน “วันเกิด” ของ สนธิ พอดี ไม่รู้ว่างานนี้เป็นการเรียกแขกเข้าร่วมม็อบปลายเดือน พ.ย. ด้วยความตั้งใจหรือเปล่า ทราบแล้วเปลี่ยน !!

**********

หลุดเข้าทางตีน!โจรกบฎลิ้มรนหาที่มีโทษประหาร


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
21 มกราคม 2555

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้นำสูงสุดพันธมิตร กลุ่มเคลื่อนไหวการเมืองปฏิกริยาขวาจัด ได้กล่าวบนเวทีเสวนาปีใหม่ ตรุษจีน และเผยแพร่ทางเครือข่ายสื่อASTV ผู้จัดการในหัวข้อข่าวเรื่อง “สนธิ” จี้ทหารจับมือภาค ปชช.ปฏิวัติ ยึดอำนาจรัฐ ปกป้องสถาบัน



โดยนายสนธิกล่าวว่า การชุมนุมเคลื่อนไหวในครั้งต่อไป ไม่ใช่ออกมาสู้บนถนนอีก แต่ต้องยึดอำนาจรัฐสถานเดียว และต้องถึงคราวแตกหัก ไม่เช่นนั้นพระเจ้าอยู่หัวจะอยู่ไม่ได้ หากทหารไม่ทำหน้าที่ปกป้องสถาบันกษตริย์ พี่น้องพันธมิตรฯจะทำหน้าที่เอง เราจะไม่ปล่อยให้พวกแมลงสาบออกมาตีกินอีก พร้อมเรียกร้องให้ทหารร่วมมือประชาชนรีบออกมาปฏิวัติโดยเร็ว เพื่อยึดอำนาจรัฐให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด


ผมจะบอกให้รู้ว่าผมไม่ได้นั่งเฉยๆ ผมเตรียมพร้อมทุกวินาทีที่จะออกมาสู้ แล้วสู้ครั้งนี้ พี่น้อง ไม่ใช่มาประท้วงที่ถนน จะต้องสู้เพื่อยึดอำนาจรัฐเลย ต้องสู้เพื่อแตกหัก เพราะถ้าไม่แตกหักแล้ว พระเจ้าอยู่หัวเราไปไม่รอด ผมเป็นคนแรกที่ผมบอกว่า ทหารเท่านั้นที่จะเป็นเสาค้ำพระเจ้าอยู่หัว แต่ถ้าทหารไม่สามารถจะค้ำได้ อีกไม่นานพวกเราคงต้องออกมาค้ำพระเจ้าอยู่หัว และถ้าออกมาครั้งนี้ ต้องชนะอย่างเด็ดขาด ไม่มีการตีงูให้กากิน แล้วก็ไม่มีการที่จะให้ไอ้พวกแมลงสาบมาตีกินพวกเราอีก ผมเชื่อว่าในที่สุดแล้ว มีพลังของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะค้ำจุนประเทศชาติได้ ทหารอย่านั่งเฉย รีบออกมาปฏิวัติเสีย แล้วพันธมิตรฯ ทั่วประเทศจะออกมาร่วมกับทหารยึดประเทศไทยคืนมาจากไอ้พวกชั่วๆ

ทั้งนี้การกระทำดังกล่าวของนายสนธิเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 มาตรา 114 มาตรา 116 ฐานความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ซึ่งระบุว่า


มาตรา 113 ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ

(1) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ
(2) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญหรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ
(3) แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา 114 ผู้ใดสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการอื่นใดหรือสมคบกัน เพื่อเป็นกบฏ หรือกระทำความผิดใด ๆ อันเป็นส่วนของแผนการ เพื่อเป็นกบฏ หรือยุยงราษฎรให้เป็นกบฎหรือรู้ว่ามีผู้จะเป็นกบฎแล้วกระทำการใดอันเป็นการ ช่วยปกปิดไว้ ต้องระวาง
โทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี


มาตรา 116 ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต

(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี

สำหรับเครือข่ายASTVผู้จัดการ กระบอกเสียงพันธมิตรที่เผบแพร่การกระทำความผิดของนายสนธิถือว่ากระทำผิดมาตรา มาตรา 85 วรรคหนึ่ง

"ผู้ ใดโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด และความผิดนั้นมีกำหนดโทษไม่ต่ำกว่าหกเดือน ผู้นั้นต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

ถ้าได้มีการกระทำความผิดเพราะเหตุที่ได้มีการโฆษณาหรือประกาศตามความในวรรคแรก ผู้โฆษณาหรือประกาศต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ"

มาตรา 90 "เมื่อการกระทำใดอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด"

ทั้ง นี้เมื่อพบเห็นนายสนธิกระทำผิดกฎหมายชัดแจ้ง หากเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจตามกฎหมายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่นำนายสนธิ ดำเนินคดีตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่นั้นมีความผิดตามมาตรา 157 ซึ่งระบุไว้ว่า

ผู้ ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ

.........


เรื่องเกี่ยวเนื่อง:ทนาย นปช.แจ้งจับ “สนธิ-เสธ.อ้าย” กล่าวหายุทหารปฏิวัติ

ลูกชาวนาไทย: อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศมาขอให้ รมต.ต่างประเทศไทยรับรองเขตอำนาจศาล ICC มาแล้ว

ที่มา Thai E-News

 โดย ลูกชาวนาไทย 11
2 พฤศจิกายน 2555


ผมเพิ่งดูข่าวจากเอเซียอัพเดท ว่า อัยการของ ICC หรือศาลอาญาระหว่างประเทศ ได้ขอเข้าพบ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ดร.สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เมื่อเย็นวันนี้คือ วันที่ 1 พ.ย. 55 เวลา 19.00 น. เพื่อให้ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ลงนามรับรองเขตอำนาจศาลของ ICC ตามมาตรา 12 วรรค 3 ของธรรมนูญกรุงโรม เพื่อที่ศาลอาญาระหว่างประเทศจะได้มีอำนาจในการสืบสวนคดี การสังหารหมู่ประชาชนกลางกรุงเทพฯ เมื่อปี 2553 หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Bankok Masacre

ผมทราบจากฝ่ายที่ผลักดันเรื่องนี้ ที่มี ดร.จารุพรรณ กุลดิลก สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ว่า กรณีการสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ หรือรัฐบาลอภสิทธิ์๋ฆ่าคนเสื้อแดงไป 99 คนนี้ ศาล ICC ได้รับในกรณี ของนายอภิสิทธิ์ ที่มีสัญชาติอังกฤษไปแล้ว แต่ ICC ไม่ต้องการที่จะดำเนินคดีเพียงคนเดียว เพราะผู้ที่ก่อการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ในสังคมไทยครั้งนี้ มีหลายคน ในกลุ่มที่เราเรียกว่าอำมาตยาธิปไตย ICC จึงต้องการเข้ามาสอบสวนเรื่องนี้อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ซึ่งจะทำได้ก็ต่อเมื่อไทย ลงนามยอมรับเขตอำนาจศาลของ ICC เท่านั้น เนื่องจาก ไทยยังไม่ได้ให้สัตยาบัน "ธรรมนูญกรุงโรม"

แต่ก็มีช่องให้ออกคือ แม้ไม่ให้ สัตยาบัน แต่มาตรา 12 วรรค 3 ก็เปิดช่องให้ รัฐบาลยอมรับเขตอำนาจศาลได้ ซึ่ง ICC ต้องการแค่ให้รัฐมนตรีต่างประเทศลงนามรับรองเท่านั้น ไม่ต้องถึงกับนายกรัฐมนตรี ลงนาม

ผมทราบมาว่า ICC เขาต้องการทำคดีนี้มาก เพราะว่าตั้งแต่ก่อตั้ง ICC เมื่อปี 2002 เป็นต้นมา ICC ยังไม่เคยได้ทำคดีในทวีปเอเซียเลย มีแต่ทำคดีในแอฟริกา เช่น รวันดา เป็นต้น ซึ่ง ICC อยากทำคดีในประเทศเอเซียมาก และกรณีของไทยก็เข้าข่าย "อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" ซึ่งเป็นหนึ่งใน 8 กรณีของ ICC เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ อาชญากรสงคราม การค้ามนุษย์เป็นต้น  หาก ICC ทำคดีในประเทศไทยได้ ก็จะเป็นการปรามไปทั่วโลกถังรัฐบาลทหารที่สังหารประชาชน ว่าต่อไปต้องได้รับกรรม

คดีของ ICC นี้ไม่มีอายุความ

แต่ข่าวล่าสุด รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ปฎิเสธที่จะลงนามยอมรับเขตอำนาจศาลของ ICC นะครับ

ผมว่าเขาก็คงรอกระแสก่อน เพราะประชาชนยังไม่รู้ หากด่วนพลีผลาม ลงนามรับรองไป หากคนต่อต้านขึ้นมา รัฐบาลก็อาจจะแย่

แต่หากคนเสื้อแดง ออกมากดดันรัฐบาลมากๆ มีการชุมนุมใหญ่ที่ราชประสงค์ เพื่อกดดันให้ รมต.ต่างประเทศลงนาม รับรองเขตอำนาจศาลของ ICC ผมว่า เขาก็คงกล้าลงนาม

เพราะเรื่องนี้ทักษิณเริ่มเอง โดยการจ้าง โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม มาทำคดีนี้ เสียเงินจ้างไปเป็นร้อยล้านบาท ผลักดันจน อัยการของ ICC เข้ามาติดต่อรัฐบาลไทย ของให้ลงนามยอมรับอำนาจศาล เพื่อที่เขาจะได้ดำเนินการต่อไปได้ ลูกเข้าเท้าแบบตูมเบอเริ่มขนาดนี้  ตอนนี้ก็คงรอมติมหาชนเท่านั้น คือ รอกระแสว่าประชาชนสนับสนุนมากขนาดได้เท่านั้น

รมต.ต่างประเทศอาจถ่วงเวลาไปสักพักหนึ่ง เพื่อหยั่งกระแสก็เป็นได้

แต่ที่แน่ๆ ในชีวิตนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีทางพ้นที่จะต้องเดินทางไปกรุงเฮก เพื่อขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศแน่ ชีวิตของอภิสิทธิ์คงหลบไม่พ้น

จงสังวรไว้ว่า อำนาจนั้นเป็นของชั่วคราว แต่ "บาป" ที่สังหารเพื่อนมนุษย์นั้นมันติดตัวข้ามภพข้ามชาติ จงอย่าถึงกับต้องฆ่าคนเพื่อรักษาอำนาจชั่วคราวไว้เลย

การลงนามรับรองเขตอำนาจศาลของ ICC นี้ ผมว่าคือเครื่องมือ ป้องกันรัฐประหารดีที่สุด และต่อไปจะไม่มีทหารคนใด กล้ายิงประชาชนอีก เพราะเขาจะต้องได้รับผลจากการกระทำในภายหลัง แม้ว่าไทยอาจจะออก พรบ.นิรโทษกรรมได้ แต่ศาลอาญาระหว่างประเทศนั้น ไม่มีการนิรโทษกรรมตัวเองได้

ดังนั้นทหารหากทำรัฐประหาร ช่วงที่มีอำนาจอยู่ อาจไม่โดน แต่เมื่อหมดอำนาจแล้ว ก็ไม่พ้นที่จะต้องโดนส่งตัวให้ ICC ดำเนินคดีในที่สุด อำนาจมีชั่วคราว แต่หากฆ่าประชาชน ก็มีวันที่ต้องใช้กรรมแน่นอน

วันนี้ ไม่โดนวันใด วันหนึ่งก็ต้องขึ้นศาล

นี่คือ เครื่องมือป้องกันรัฐประหารอย่างถาวร

อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศเข้าพบรมต.ต่างประเทศของไทย

ที่มา thaifreenews




อัยการของ ICC หรือศาลอาญาระหว่างประเทศ 
ได้ขอเข้าพบ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย 
ดร.สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล 
เมื่อเย็นวันนี้คือ วันที่ 1 พ.ย. 55 เวลา 19.00 น. 
เพื่อให้รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย 
ลงนามรับรองเขตอำนาจศาลของ ICC 
ตามมาตรา 12 วรรค 3 ของธรรมนูญกรุงโรม 
เพื่อที่ศาลอาญาระหว่างประเทศจะได้มีอำนาจในการสืบสวนคดี 
การสังหารหมู่ประชาชนกลางกรุงเทพฯ 
เมื่อปี 2553 หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Bangkok Masacre  
การลงนามรับรองเขตอำนาจศาลของ ICC นี้ 
ผมว่าคือเครื่องมือ ป้องกันรัฐประหารดีที่สุด 
และต่อไปจะไม่มีทหารคนใด กล้ายิงประชาชนอีก 
เพราะเขาจะต้องได้รับผลจากการกระทำในภายหลัง 
แม้ว่าไทยอาจจะออก พรบ.นิรโทษกรรมได้ 
แต่ศาลอาญาระหว่างประเทศนั้น ไม่มีการนิรโทษกรรมตัวเองได้


Quote of the Day

ที่มา ประชาไท



ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

"ตั๊กไม่รู้ว่าเฮียบุญชัยเป็นใคร แม่ตั๊กไม่รู้ว่าลูกเขยรวย คนไทยไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในกะลา ทหารไม่รู้ว่ามีรัฐประหารไปแล้วกี่ครั้ง ประเทศไทยไม่รู้ว่าระบบการปกครองของประเทศคือประชาธิปไตย อภิสิทธิ์ไม่รู้ว่าการเกณฑ์ทหารยังไม่ยกเลิก ทักษิณไม่รู้ว่าตัวเองทำพลาดทางการเมืองอย่างไรบ้าง ยิ่งลักษณ์ไม่รู้ว่าทักษิณยังบริหารประเทศอยู่ กองทัพไม่รู้ว่ามีประชาชนตายที่ราชประสงค์ พรรคประชาธิปัตย์ไม่รู้ว่าอนาคตทางการเมืองดับมอดไปนานแล้ว สุขุมพันธ์ไม่รู้ว่าพิธีไล่น้ำแก้ไขปัญหาน้ำท่วมไม่ได้ กลุ่มคลั่งเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ยิ่งทำให้สถาบันตกต่ำ สถาบันกษัตริย์ไม่รู้ว่าถึงเวลาแล้วที่ตัวเองตัองปรับตัว..."
โพสต์สถานะในเฟสบุ๊คตนเอง
ทักษิณ, ยิ่งลักษณ์, อภิสิทธิ์, ตั๊ก, สถาบันกษัตริย์

ครก.112 ผิดหวังสภา ยันเกี่ยวข้องสิทธิเสรีภาพ-ควรเรียกชี้แจงก่อนปัดตก

ที่มา ประชาไท



พวงทอง ภวัครพันธุ์ ตัวแทนครก.112 ระบุเสียใจที่สภาไม่รับพิจารณาร่างกฎหมายแก้ไข มาตรา 112 ชี้ควรเรียกผู้เสนอร่างเข้าชี้แจงก่อนจำหน่ายออก  นักวิชาการหลายกลุ่มเตรียมออกแถลงการณ์โต้ - เปิดบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างกฎหมาย

1 พ.ย.55  พวงทอง ภวัครพันธุ์ นักวิชาการตัวแทนคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112  (ครก.112) ให้สัมภาษณ์กรณีรัฐสภาจำหน่าย ร่างพ.ร.บ.แก้ไขมาตรา 112 ไปตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ว่า  ไม่มีการแจ้งให้ผู้เสนอกฎหมายทราบก่อนหน้านี้ แต่เมื่อทราบข่าวแล้วเราก็รู้สึกเสียใจที่รัฐสภาตัดสินใจไม่แตะต้องกฎหมาย นี้เลย นอกจากนี้ยังเห็นด้วยว่า ก่อนจะจำหน่ายร่างกฎหมายนี้ออกไป ควรเรียกตัวแทนของ ครก.112 หรือตัวแทนกลุ่มนิติราษฎร์ซึ่งเป็นผู้ร่างกฎหมายฉบับนี้ไปชี้แจงว่าร่างนี้ เข้าหมวดสิทธิเสรีภาพหรือนโยบายแห่งรัฐหรือไม่
พวงทองกล่าวอีกว่า ถ้าสภาไม่กลัวจนเกินไป และมีแนวคิดในการมองปัญหาสิทธิเสรีภาพที่กว้างกว่านี้ ก็จะเห็นได้ไม่ยากว่า มาตรานี้ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม ครก.112 และนิติราษฎร์เตรียมจะออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
ทั้งนี้ ในบันทึกหลักการและเหตุผล ประกอบร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่...) พ.ศ..... ระบุว่า
“โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เนื่องจากกฎหมายเกี่ยวกับความผิดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มีความไม่เหมาะสมทั้งในแง่ของโครงสร้างของบทบัญญัติ อัตราโทษ และการบังคับใช้ ประกอบกฎหมายดังกล่าวไม่มีการยกเว้นความผิดในกรณีที่บุคคลติชม แสดงความคิดเห็น หรือแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญและการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย อีกทั้งในปัจจุบันปรากฏชัดว่ากฎหมายดังกล่าวเปิดช่องให้บุคคลนำไปใช้เป็น เครื่องมือทางการเมือง หรือนำไปใช้โดยไม่สุจริตและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อรักษาไว้ซึ่งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้”
AttachmentSize
หลักการและเหตุผล.pdf119.77 KB
ร่าง พ.ร.บ. แก้ไขมาตรา 112.pdf165.22 KB

'ใบตองแห้ง' ร่วมปฏิญญาหน้าศาล ชี้พ้นฮันนีมูน แดงต้องเรียกร้องจริงจัง ยัน รบ.ล้มยาก

ที่มา ประชาไท



ชี้เสื้อแดงอย่ากังวลประคองรัฐบาล หันมาเรียกร้องจริงจัง นิรโทษกรรมเฉพาะมวลชน เชื่อสังคมยอมรับ ปรับ ครม. เหมือนอยู่ในภาวะปกติ ไม่มีสัญญาณผลักดัน ปชต.
เมื่อวันที่ 28 ต.ค.55 เวลา 13.00 น. บริเวณบาทวิถีหน้าศาลอาญา รัชดา กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล ได้จัดกิจกรรมเสวนาบาทวิถี ภายใต้ชื่อ “นักโทษการเมืองภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเสียสละอิสรภาพของประชาชน” มีผู้ร่วมกิจกรรมประมาณ 100 คน โดยมี อธึกกิต แสวงสุข คอลัมนิสต์ นามปากกา "ใบตองแห้ง" เป็นวิทยากร วิจารณ์บทบาทรัฐบาลกับการช่วยเหลือนักโทษการเมือง การสร้างประชาธิปไตย การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)ที่ผ่านมา การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามและบทบาทของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ การแผ่งชาติ หรือ นปช.ในปัจจุบัน
อธึกกิต แสวงสุข คอลัมนิสต์ นามปากกา "ใบตองแห้ง"
ชี้ รบ.ล้มยาก ไม่ว่าคนมามากขนาดไหนที่นางเลิ้ง
อธึก กิต มองว่า การที่รัฐบาลทำอะไรไม่ได้เต็มที่ ปัจจัยหลักอยู่ที่กระแสสังคมทั่วไป สังคมทั่วไปยังไม่ต้องการแตกหักแบบที่จะให้รัฐบาลไปล้างโครงสร้างของกลไกรัฐ ธรรมนูญ 50 ชาวบ้านทั่วไปที่ไม่ใช่แดง-เหลือง ยังไม่พร้อม เขายังรู้สึกว่า อยู่ไปอย่างนี้ก่อน ในขณะเดียวกันก็บอกว่า อย่าล้มรัฐบาลด้วย เป็นกระแสที่เป็น 2 มุม เพราะฉะนั้น พวกเคลื่อนไหวที่สนามม้านางเลิ้ง (การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม) ยังไงก็ล้มรัฐบาลไม่ได้ เพียงแต่ว่า ถ้ารัฐบาลทำอะไรเต็มที่ คนทั่วไปก็ไม่เห็นด้วย เหมือนสภาพที่เหนื่อยมา 6 ปี คนจึงรู้สึกว่า อยู่ไปแบบนี้ก่อน แล้วค่อยว่ากัน แก้กันทีละเรื่อง เป็นนิสัยของสังคมไทยอยู่แล้วไม่ต้องการการแตกหักเด็ดขาด สังคมไทยเป็นสังคมประนีประนอมสูง ดังนั้นการจะไปรื้อโครงสร้างตามรัฐธรรมนูญมันจึงลำบาก
แต่อีกฝ่ายก็จะล้มรัฐบาลได้ยาก เพราะต่อให้คนมามากขนาดไหนที่สนามม้านางเลิ้ง โพลล์ก็บอกอยู่แล้วว่าคน 97% ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร พรรคประชาธิปัตย์ก็เลือกตั้งชนะไม่ได้อยู่แล้ว พรรคการเมืองที่จะเกิดใหม่ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอย่างไร พรรคเพื่อไทยอยู่ได้ 3 ปี แล้วก็ชนะอยู่แล้ว โดยแนวโน้ม ถ้าไม่เลวร้ายเกินไปก็จะอยู่อย่างนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่สะดวกนัก
สำหรับการเคลื่อนไหวขององค์การพิทักษ์สยามที่สนามม้านางเลิ้งจะปูทางไป สู่การรัฐประหารนั้น ใบตองแห้ง กล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้ คนมันเข็ดแล้ว เข็ดรัฐประหาร 19 ก.ย. ไม่ใช่ว่าเสื้อแดงต่อต้าน คนวงกว้างก็ไม่เอา มันไม่มีใครเอาแล้ว แต่ถามว่าคนวงกว้างที่พูดนี้ชอบรัฐบาลไหม อาจจะไม่ชอบก็ได้ แต่ว่าเขาไม่ชอบเขาก็มีบทเรียนแล้วว่า ถึงไม่ชอบ แต่ยิ่งรัฐประหารมันจะยิ่งแย่กว่าเดิม เพราะฉะนั้นการขยายบานปลายไปผมว่ามันยาก มันจะต้องมีมุขใหม่ แต่มันก็หามุขไม่ออก”
ออก พรก.นิรโทษกรรมของนักโทษการเมือง เฉพาะมวลชน สังคมยอมรับ
อธึก กิต กล่าวว่า ถ้าพูดเฉพาะนักโทษการเมืองในเงื่อนไขของรัฐบาลนี้สามารถที่จะออกพระราชกำหนด ในการนิรโทษกรรมของนักโทษการเมืองโดยเฉพาะส่วนที่เป็นประชาชนได้ แต่พอออก พรบ.ปรองดอง ไปผูกคุณทักษิณ ชินวัตร ไปด้วย ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่แก้ได้ยาก เป็นเงื่อนไขที่คนยังไม่ยอมรับ แต่ไม่ได้หมายความว่า คนมองว่าคุณทักษิณผิด เพียงแต่ว่า คนกลัวว่าถ้าคุณทักษิณกลับมันจะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายอีก พอเป็นในมุมนี่ เรื่องคุณทักษิณจึงยังไม่ผ่านง่ายๆ ในระยะปีสองปีนี้ แต่ถ้าทำเฉพาะมวลชน คิดว่าสังคมยอมรับได้ แต่รัฐบาลไม่ทำ มวลชนเสื้อแดงในกลุ่มก้อนใหญ่ก็ยังไม่ได้กดดันเรื่องนี้เท่าที่ควร เหมือนมีเพียงกลุ่มที่กระจัดกระจายทำ มวลชนเสื้อแดงก็เป็นตัวของตัวเองไม่สามารถเป็นปึกแผ่นได้
รัฐมนตรียุติธรรมเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับตรงนี้ แต่ไม่ได้กระตือรือร้นเรื่องนี้เลย บทบาทน้อยมาก ทำงานเป็นข้าราชการประจำคนหนึ่งเท่านั้น รัฐมนตรียุติธรรมสำคัญมากในการช่วยเหลือคนติคุก สำคัญมากในการคืนความยุติธรรมให้มวลชน ถึงแม้จะบอกว่าเกี่ยวข้องกับศาลไม่ได้ แต่อยู่รอบศาลทั้งหมด แต่ไม่กระตือรือร้นที่จะทำ
พ้นช่วงฮันนีมูนแล้ว เสื้อแดงอย่ากังวลประคอง รบ. หันมาเรียกร้องจริงจัง
ใบตอง แห้ง กล่าวอีกว่าอย่าไปกลัวเรื่องการประคองรัฐบาล เพราะคิดว่าเรื่องรัฐประหารหรือการยุบพรรคเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยากมาก กลายเป็นอะไรที่ล้าหลังเต็มที แม้แต่ตอนที่อาจารย์นิด้าไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญเรื่องจำนำข้าว ซึ่งไม่ใช่แค่เสื้อแดงที่ไม่เห็นด้วยกับการฟ้องดังกล่าว คนก็วิจารณ์กันมาก กระแสก็ไม่ขึ้น กระแสของการใช้อำนาจศาลเข้ามาสกัดกั้นรัฐบาลมันจะใช้ได้เป็นเรื่องๆ ในกรณีที่รัฐบาลหรือเพื่อไทยไม่สามารถที่จะสร้างความชอบธรรมให้สังคมเห็นได้ ศาลไม่กล้าเล่นอะไรที่ฝืนกระแสมาก อะไรที่ฝืนกระแสมากๆ ต่อไปนี้พวกกลไกตุลาการภิวัฒน์ก็จะไม่กล้าเล่น ถ้ารัฐบาลกระแสตกต่ำมาก การยุบพรรคมันจะกลับมาได้ แต่ในภาวะที่เป็นอยู่ โอกาสที่จะยุบพรรคไม่ต้องพูดถึง การรัฐประหารก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เป็นไปได้ยาก
เพราะฉะนั้นความคิดเรื่องการประคองรัฐบาลไม่น่ากังวล แต่มวลชนส่วนใหญ่ยังติดอยู่กับความคิดเรื่องประคองรัฐบาล กลัวรัฐประหาร การจี้รัฐบาลจึงยังทำไม่เต็มที่ อีกส่วนก็เป็นความรู้สึกของผู้ชนะอยู่ รู้สึกพอใจ ยังมีอยู่ การที่จะมาเร่งเร้ารัฐบาลจึงยังมีน้อย จึงต้องปรับความคิดช่วงหนึ่งว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องการประคองรัฐบาลมากเกินไป และหันมาเรียกร้องอะไรที่จริงจังกับรัฐบาลบ้าง ถือว่าพ้นช่วงฮันนีมูนระหว่างมวลชนกับรัฐบาลแล้ว
ในกระแสการเมืองแบบนี้ ที่ชวนให้เฉื่อยที่ชวนให้อยู่ได้แน่ๆ รัฐบาลจึงไม่ขันแข็งพอ ซึ่งปีกการเมืองหนึ่งก็ไม่ได้สนใจประชาธิปไตยอยู่แล้ว ปีกกลางก็จะไม่ค่อยสนใจ จะมีเพียงส่วนหนึ่งที่ยังขันแข็ง ซึ่งก็ไม่เยอะ คิดว่าอีกส่วนหนึ่งของรัฐมนตรีไม่ได้คิดเรื่องเอาทักษิณกลับบ้านด้วยซ้ำ ซึ่งเราก็ต้องมองให้เห็นว่า รัฐบาลถ้าอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพลินไปเรื่อยๆ ก็เท่ากับไม่ทำอะไรสักอย่าง สุดท้ายก็จะนำไปสู่ทางตันใหม่ ที่ว่ารัฐบาลนี้ก็เบื่อแล้ว แต่ไม่เอาประชาธิปัตย์ ตุลาการภิวัฒน์ รัฐประหาร ไม่เอารัฐบาลพระราชทาน ไม่เอาอะไรทั้งสิ้น แล้วจะทำอย่างไร จะนำไปสู่จุดที่ตอบไม่ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการ นำไปสู่ทางตัน อยู่ในจุดที่คนไม่รู้จะไปทางไหนต่อ
ปรับ ครม. เหมือนอยู่ในภาวะปกติ ไม่มีสัญญาณผลักดัน ปชต.
การ ปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุด อธึกกิต มองว่าไม่มีสัญญาณที่มีรัฐมนตรีที่จะผลักดันภารกิจเรื่องประชาธิปไตยให้มวล ชน เหมือนไม่มีเลย อาจจะมีคุณพงศ์เทพ เทพกาญจนา ที่ดูจะดีหน่อย แต่ก็คือรัฐมนตรีศึกษาธิการ สัญญาณที่จะผลักดันประชาธิปไตยมีค่อนข้างน้อย ซึ่งน้อยมาทุกชุด แต่ชุดนี้ยิ่งน้อยลงไปอีก จะมุ่งไปสู่เชิงเศรษฐกิจ กลุ่มธุรกิจ และโควต้าต่างตอบแทน คณะรัฐมนตรีชุดนี้เหมือนอยู่ในภาวะปกติ ถ้าบอกว่าเป็นภาวะปกติ แสดงว่ามันดีแล้ว แต่นี่มันไม่ใช่ภาวะปกติ
เป็นไปไม่ได้ที่ นปช.กลาง จะเป็นศูนย์รวมของคนเสื้อแดงแล้ว
นอก จากนี้ "ใบตองแห้ง" ยังได้วิจารณ์การนำของ นปช.ส่วนกลางด้วยว่า ต่อไป นปช.ส่วนกลางเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นศูนย์รวมกับคนเสื้อแดงแล้ว เพราะได้กระจายไปแล้ว ทิศทางจะเป็นว่า มีจุดร่วมอะไรก็จะทำด้วยกันเป็นครั้งๆ แต่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก บางส่วนเข้าไปสู่การเมืองท้องถิ่นมากขึ้น ถึงมีมวลชนพื้นฐานอยู่ แต่ก็แปรผันมากขึ้นในแต่ละส่วน จึงมีลักษณะกระจาย
ยุคต่อไปองค์กรจัดตั้งใน facebook มากกว่า และเป็นการเชื่อมระหว่างแกนนำกลุ่มต่างๆ เป็นกลุ่มแนวรวมที่มีจุดร่วมกันมากกว่าที่จะเป็นเรื่องการสั่งการหรือใคร ขึ้นต่อใคร สำหรับการรวมตัว เป็นไปเองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องมีองค์กรนำอะไรที่เด็ดขาดเป็นการเชื่อมกันทางความคิด เพราะปัจจุบันการรวมตัวเป็นเรื่องของความคิดมากกว่าการเป็นรูปแบบองค์กรที่ มันพ้นยุคแล้ว

1 11 55 ข่าวค่ำDNN เรียกร้อง 'สุรพงษ์' รับรองอำนาจ ICC

ที่มา DNNTHAILAND



นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. เรียกร้องรมว.ต่างประเทศ ลงนามยอมรับเขตอำนาจ ICC เข้าตรวจสอบเหตุการณ์ชุมนุมปี53 /เชื่อจะเป็นวีระบุรุษ ปิดฉากรัฐประหารโดยสิ้นเชิง

นายกฯประชุม เเบ่งงาน ครม.ใหม่

ที่มา Voice TV



การประชุมครม.นัดพิเศษวันนี้ นายกรัฐมนตรีจะมอบแนวนโบายในการปฏิบัติงานของ ครม.ชุดใหม่ และจะมีคำสั่งแบ่งงานของรองนายกฯและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะที่บรรดา รมว.ทั้งเก่าและใหม่เข้าร่วมประชุมอย่างต่อเนื่อง
 
บรรยากาศก่อนการประชุมครั้งแรกของคณะรัฐมนตรีชุดที่ 3 ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในวันนี้ (2พ.ย.55) นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายวราเทพ รัตนากร และ นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในทำเนียบรัฐบาลเพื่อความเป็นศิริมงคล


ส่วนบรรยากาศบริเวณหน้าตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมูลนิธิส่งเสริมศิลปา ชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถได้เชิญชวนให้คณะรัฐมนตรีและ ประชาชนๆปชมการแสดงโขนชุดจองถนน ที่จัดแสดงในระหว่างวันที่ 2 - 30 พฤศจิกายน 2555 ที่หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยและมอบหัวโขนหนุมานให้กับนายกรัฐมนตรีเป็นที่ ระลึกด้วย


ส่วนวาระการประชุมวันนี้ (2พ.ย.55) จะมีการขออนุมัติการแต่งตั้งตำแหน่งข้าราชการการเมือง หลายตำแหน่ง อาทิ นางลินดา เชิดชัย เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสมหวัง อัสราษี เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอารีย์ ไกรนารา เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง นายวัน อยู่บำรุง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม


นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี จะได้มอบแนวนโบายในการปฏิบัติงานของ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และจะมีการให้ความเห็นชอบคำสั่งแบ่งงานของรองนายกฯและรัฐมนตรีประจำสำนัก นายกรัฐมนตรี


ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันอีกครั้งว่า ไม่จำเป็นต้องมีรองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลปัญหาความมั่นคงและความไม่สงบใน พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยตรง เพราะควรให้กองทัพเป็นผู้ดูแลมากกว่า โดยคาดว่านายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ดูในภาพรวมด้วยตนเอง


ส่วนกรณีที่มีความกังวลว่า การปรับคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ ซึ่งมีสมาชิกบ้านเลขที่ 111 เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย จะเป็นการกระตุ้นให้เเกิดตุลาการภิวัฒน์อีกครั้งนั้น ตนมองว่าจะไม่เกิดปัญหา เนื่องจากสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และรัฐบาลชุดนี้ ไม่มีปัญหาที่อาจก่อให้เกิดตุลาการภิวัฒน์ขึ้นได้อีก
2 พฤศจิกายน 2555 เวลา 13:06 น.

FBโอ๊คโพสต์ งง ภาพเงาดำ นอมินี บนปกสยามรัฐรายสัปดาห์

ที่มา Voice TV

 FBโอ๊คโพสต์ งง ภาพเงาดำ นอมินี บนปกสยามรัฐรายสัปดาห์



โอ๊ค โพสต์ งง เงาดำทมึนบนปกสยามรัฐรายสัปดาห์ พล.อ.สุรยุทธฯอยู่เบื้องหลังเสอ้าย ม็อบนางเลิ้ง- ม๊อบปี 49 หรือไม่ เรียกร้องชี้แจงให้กระจ่าง ใครแอบอ้างใคร หรือใครอยู่เบื้องหลัง

เฟซบุ๊กส่วนตัวนายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กโดยระบุข้อความดังนี้

เมื่อคืนวันฮาโลวีน ผมโพสต์รูปกลางดึก แฟนเพจถามกันใหญ่ว่าทำไมนอนดึกจัง

คำ ตอบคือ "ผมนอนหลับไปแล้วครับ" พอดีตื่นมาเข้าห้องน้ำ และเห็นมีคนส่งเมล์เข้ามา พอเปิดดูก็ตามที่โพสต์ครับ เป็นภาพหน้าปกของ สยามรัฐรายสัปดาห์ซึ่งลงรูปของ 
"เสอ้าย นางเลิ้ง"

 
พร้อมกับคำว่านอมินี และ
มีเงาดำทมึนของ คนหน้าคล้าย พล.อ.สุรยุทธ จุลลานนท์.........อยู่เบื้องหลัง...!!!
 


ตาสว่างเลยครับพี่น้อง คำถามต่างๆและเหตุการที่เคยเกิดขึ้นในอดีต รวมถึงข้อมูลลับๆที่ฝ่ายการข่าวรายงานคุณพ่อ และผมก็แอบรู้แอบได้ยินมาบ้าง ในช่วงก่อนและหลังปฏิวัติ 19กันยา49 ผุดขึ้นมาในสมองผมเต็มไปหมด

แว๊บแรกคือ ใช่แน่นะ ว่าผมตื่นขึ้นมาเห็นภาพนี้จริงๆ หรือเป็นเพียงฝันร้ายในวัน "ฮาโลวีน" และภาพที่เห็นนั้น มันเป็นภาพของสยามรัฐรายสัปดาห์จริงๆ หรือเป็นเพียงภาพตัดต่อ

คำถามต่อมาก็คือ เงาดำทมึนที่อยู่เบื้องหลังคนปลุกม๊อบ คือพล.อ.สุรยุทธฯจริงหรือไม่ เพราะการเข้าไปจัดตั้งม๊อบ ในแหล่งอบายมุขที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดยเฉพาะเป็นการปลุกม๊อบ เพื่อล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ตามระบอบประชาธิปไตย ย่อมไม่ใช่กิจของคนซึ่งมีสถานะเช่น พล.อ.สุรยุทธฯจะเข้าไปเกลือกกลั้วหรืออยู่เบื้องหลัง พูดให้ชัดๆก็คือ ทำไม่ได้แม้แต่จะคิด!!!

การข่าวอื่นๆในอดีตที่เกี่ยวพันกับภาพนี้ ผุดขึ้นมาในหัวผมเต็มไปหมดครับ เช่นคำให้การของ "จ่ายักษ์" ในคดีคาร์บอมซึ่งถูกฝ่ายทหารกล่าวหาว่าติงต๊องนั้น ได้ระบุว่า
ในกระบวนการทั้งหมด มีการวางแผนปฏิบัติ 3ขั้น คือ
1. จัดม๊อบขับไล่รัฐบาล ถ้าไม่สำเร็จก็...
2. ลอบสังหาร นายกทักษิณฯ ซึ่งคำให้การระบุว่า มีการกระทำถึง4ครั้ง ถ้าไม่สำเร็จก็...
3. ให้ทหารทำการปฏิวัติ และให้ พล.อ.สุรยุทธฯ เป็นนายกฯ

ถ้าภาพเงาทมึนที่เห็นเป็นเรื่องจริง แสดงว่าแผนปฏิบัติเริ่มต้นแล้วครับผมว่าเป็นเรื่องที่น่าจะมีการชี้แจงให้ เกิดความกระจ่าง ใครแอบอ้างใคร หรือใครอยู่เบื้องหลังกันจริงๆ ถ้าไม่เคลียร์ให้ชัดเจน ผมว่าสังคมสับสนครับ การเข้าใจผิดและคาดเดากันไปต่างๆนาๆ อาจตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มนึง แต่ต้นทุนที่ประเทศต้องเสียไปจากกระบวนการ1-2-3นั้น มหาศาลแบบประเมินค่ามิได้

เขียนถึงตรงนี้ผมนึกถึง ความลับของบิ๊กบัง เมื่อนักข่าวถามถึงเหตุผลในการปฏิวัติ แกตอบว่า

"เรื่องบางเรื่องนั้น ตายไปก็บอกไม่ได้"
 
 
 
 
 
 
 
2 พฤศจิกายน 2555 เวลา 09:57 น.

Thursday, November 1, 2012

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์: มายาคติของโทษประหารชีวิต

ที่มา ประชาไท

ในสัปดาห์เพื่อการยุติโทษประหารชีวิต ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ประชาไทสัมภาษณ์ "ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์" คอลัมนิสต์และนักวิชาการอิสระต่อประเด็นดังกล่าว ทั้งนี้ข้อมูลจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่าขณะนี้มี 140 ประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิต ส่วนประเทศไทย ยังคงมีการใช้โทษประหารชีวิต แม้ว่าในแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฉบับที่ 2 (2552-2556​) ซึ่งได้รับการรับรองจากรัฐสภาเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2552 ได้กำหนดให้มีการเปลี่ยนแปลงโทษประหารชีวิตให้เป็นจำคุกตลอดชีวิต ขณะเดียวกันการีโทษประหารชีวิตก็ละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ซึ่งไทยเป็นภาคีอนุสัญญามาตั้งแต่ปี 2550
 


โทษประหารและความเข้าใจผิด
ศิโรตม์เริ่มต้นว่า "โทษประหารชีวิตเป็นโทษที่มีปัญหา เพราะเป็นโทษที่เต็มไปด้วยมายาคติและความเข้าใจผิดของคนในสังคม ซึ่งในที่สุดแล้วพิสูจน์ไม่ได้ อย่างเช่น เชื่อว่าโทษประหารชีวิตจะลดอาชญากรรมหรือลดความรุนแรงในสังคม แต่จริงๆ แล้วทำไม่ได้"
"โทษประหารชีวิตจริงๆ เป็นภาพสะท้อนความรู้สึกที่ว่าต้องการล้างแค้นคนที่กระทำความผิด แล้วเวลาล้างแค้นกระทำไปในนามของคนที่สูญเสียจากเหตุการณ์ต่างๆ คำถามที่ท้าทายคือ คนที่ทำการประหารชีวิตคนอื่นรู้ได้อย่างไรว่าคนที่เขาสูญเสียจากเหตุการณ์ ต่างๆ ต้องการจะลงโทษหรือล้างแค้นผู้ที่กระทำการนั้นๆ อย่างที่ตัวเองเข้าใจ ที่สำคัญก็คือการประหารชีวิตเป็นเรื่องของการล้างแค้น ขณะที่สังคมสมัยใหม่เรามีความเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า การแก้ปัญหาของสังคม การแก้ปัญหาความรุนแรง ไม่ใช่ด้วยวิธีการล้างแค้น แต่ทำให้คนผิดเกิดความคิด หรือเกิดการปรับปรุงพฤติกรรม"
"แต่โทษประหารชีวิตไม่ได้ตอบโจทย์นี้ คนที่เป็นเหยื่อเขาไม่มีโอกาสพูดว่าต้องการทำอย่างไรกับคนที่กระทำผิด คนที่ตัดสินใจประหารชีวิตคือคนที่ไม่ได้เป็นเหยื่อ แต่ตัดสินประหารชีวิตในนามของการล้างแค้นให้เหยื่อ และผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นความเข้าใจที่มีปัญหาโดยตัวมันเอง"
"ประการที่สอง มันเป็นโทษซึ่งเมื่อตัดสินไปแล้ว ใน กรณีที่ตัดสินผิด จะคืนชีวิตให้คนที่ถูกตัดสินประหารชีวิตไปแล้วไม่ได้ เป็นโทษที่เมื่อเอาชีวิตไปแล้วไม่สามารถรื้อฟื้นชีวิตขึ้นมาได้ ขณะที่โทษอื่นๆ เช่น โทษจำคุกเมื่อตัดสินผิดเราสามารถรื้อฟื้นความยุติธรรมกลับมาได้"
"ประการที่สาม ที่สำคัญก็คือ โทษประหารชีวิตทำงานบนความเชื่อว่า คำตัดสินของศาลในคดีความต่างๆ ถูกทุกกรณี ทำให้ศาลอยู่ในอุดมคติซึ่งเกินจากความเป็นจริงไป ในความเป็นจริงคือ การ ตัดสินของศาลทุกคดีไม่ว่าจะเป็นคดีที่เป็นเรื่องประหารชีวิต หรือไม่ประหารชีวิตก็ตาม มีโอกาสมากที่จะถูกบดบัง หรือถูกตีความ หรือถููกพิจารณาด้วยอคติต่างๆ ของศาลเอง หรือองค์กรอื่นในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่อัยการ ตำรวจ ทนายความ นี่เป็นประเด็นสำคัญ ในกรณีโทษประหารชีวิต เราไม่ค่อยตระหนักถึงอคติแบบนี้ซึ่งอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ที่อยู่กับองค์กร บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ทำให้เราเชื่อว่ากระบวนการเหล่านี้จะตัดสินได้ถูกทุกกรณี ซึ่งไม่เป็นความจริง"

ฝากความหวังให้รัฐยกเลิกโทษประหารอย่างเดียวไม่พอ
ต่อคำถามที่ว่า แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฉบับที่ 2 (2552-2556​) ซึ่งได้รับการรับรองจากรัฐสภาไปแล้วเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2552 ได้กำหนดให้มีการเปลี่ยนแปลงโทษประหารชีวิตให้เป็นจำคุกตลอดชีวิต ขณะที่ผลในทางปฏิบัตินั้นประเทศไทยยังคงใช้โทษประหารชีวิต ศิโรตม์ตอบว่า "ความพยายามยกเลิกโทษประหารชีวิต เป็นความเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นเพราะว่า องค์กรต่างๆ ภายในประเทศไทยโดยเฉพาะองค์กรซึ่งต้องยึดโยงกับเรื่องประชาธิปไตยหรือสิทธิ มนุษยชน อย่างเช่น รัฐสภา หรือกรรมการสิทธิมนุษยชน รู้ว่าทิศทางของโลกต่อโทษประหารชีวิตเป็นอย่างไร และรู้ว่าทิศทางของโลกก็คือการยกเลิกโทษประหารชีวิต แต่ความล้าช้าที่เกิดขึ้นเป็นภาพสะท้อนว่าในที่สุดแล้วอำนาจรัฐในทางปฏิบัติ จริงคือฝั่งกลไกราชการ ไม่ได้เห็นเรื่องนี้ไปในทางเดียวกับรัฐสภาหรือกรรมการสิทธิมนุษยชน"
"ในที่สุดแล้วเรื่องนี้จะไม่เกิดในระยะอันใกล้ ต้องยอมรับว่าโทษประหารชีวิตมีมานานในสังคมไทย หรือสังคมอื่นๆ มีมาเป็น 100 ปี มันเป็นส่วนหนึ่งของค่านิยมทางสังคม เป็นส่วนหนึ่งของความคิดความเชื่อ อคติทางสังคม ที่ทำให้การยกเลิกโทษประหารนี้ไม่ง่าย และจะยกเลิกได้ในเงื่อนไขที่ว่ามีแรงกดดันจากภายนอกมหาศาล หรือมีแรงกดดันหรือความคิดใหม่ๆ ที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยเติบโตอย่างมหาศาล ซึ่งในปัจจุบันไม่มีสองเงื่อนไขนี้อยู่ ฉะนั้นโอกาสในการเลิกนั้นไม่ง่าย อาจมีมาตรการหรือแผนแม่บทบางอย่างเพื่อให้ดูดีในสายตาองค์กรระหว่างประเทศ ในทางปฏิบัติจะไม่มีการยกเลิกโทษประหารชีวิตในอนาคตอันใกล้"
ศิโรตม์ยกตัวอย่างแผนแม่บทอื่นๆ เป็นอย่างที่คล้ายกันว่า "เหมือนแผนแม่บทในการคุ้มครองแรงงาน แผนแม่บทในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพความเท่าเทียมของหญิงชาย ซึ่งรัฐบาลไทยลงนามในอนุสัญญาต่างๆ และทำแผนแม่บทมาเป็น 10 ปีแล้ว แต่ไม่เคยมีความคืบหน้า"
"เวลาจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรในเรื่องเหล่า นี้จะมาจากจากสองปัจจัยเหล่านี้ คือองค์กรระหว่างประเทศกดดัน หรือมีขบวนการทางการเมืองหรือกลุ่มทางสังคมภายในประเทศใหม่ๆ กดดันให้รัฐบาลไทยหรือรัฐไทยเปลี่ยนท่าทีต่อเรื่องพวกนี้ ไม่อย่างนั้นเรื่องพวกนี้รัฐไม่เคยเปลี่ยนเอง และอย่าลืมว่าโทษประหารชีวิตมีลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งคือ โทษประหารชีวิตเป็นโทษที่สอดคล้องกับอคติหรือความเชื่อของคนในสังคมไทยจำนวน มากที่นิยมการประชาทัณฑ์ นิยมการตัดสินใครว่าถูกหรือผิดไว้ก่อน และเป็นสังคมแบบพุทธที่เชื่อว่าเมื่อมีใครกระทำผิดต้องถูกล้างแค้นอย่าง รุนแรง เพราะฉะนั้นมันเป็นโทษที่ไม่ใช่แค่มาตรการของรัฐ แต่เป็นโทษที่ตรงกับอคติของคนในสังคมด้วย เพราะฉะนั้นการให้ยกเลิกนี้โดยฝากควาหวังไว้ที่รัฐอย่างเดียวไม่มีทางเพียง พอ"