ที่มา เดลินิวส์
รองนายกฯรีบปัด!จัดซื้อเครื่องบินรบ“ทัพฟ้า” ตั้งท่าถลุงงบ 1.54 หมื่นล้านบาท ซื้อเครื่องบินรบกริพเพ่น 6 ลำ เติมให้เต็มฝูง แจงเป็นงบผูกพัน “เทพเทือก” เสียงแข็งไม่เห็นโครงการ เผยรอเข้าสภาถกงบซื้ออาวุธหวั่นขัด ม.190 “ประวิตร” แหยงลงนาม สภาเดือด “เทพเทือก” ตอบกระทู้ จวกเจตนาในใจ “ทักษิณ” ผูกพันประธานาธิบดี ทนายทักษิณแจ้งจับหมิ่นประมาท ฝ่าย “เพื่อไทย” จัดคิวบินทยอยไปคาราวะ “นายใหญ่” ได้เจอก่อนสิ้นก.พ. “จตุพร” เผยจัดคิว “ทักษิณ” โฟนอินรับวาเลนไทม์แจงปมปธน. ทีมกฎหมายพท.ร้องป.ป.ช.เอาผิดกกต.ดองคดี “บุญจง” ส่วน “เรืองไกร” บุกป.ป.ช.จี้จัดการเชือดกกต.มั่วข้อมูลสอบส.ว.ปราจีนฯ “สดศรี” โต้ถ้าไม่ผิดขู่ฟ้องกลับบ้าง “กล้านรงค์” เผยตั้งอนุฯสอบ “บุญจง” แล้ว ก่อนส่งเข้าชุดใหญ่พิจารณา “ชวรัตน์” เห็นด้วยพ.ร.บ.นิรโทษกรรม รอนายกฯแสดงความเห็น ถกพ.ร.บ.ผู้สูงอายุเดือด เล่นแง่ทุกเม็ด “อภิชาต-สุนัย” หวิดฟาดปาก
ทอ.ขอ1.54หมื่นล.ซื้อไอพ่น
เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ที่ บน. 6 พล.อ.อ. อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการจัดซื้ออาวุธของกองทัพอากาศว่า กองทัพอากาศจะเสนอรัฐบาลขออนุมัติงบประมาณปี 2553 ในวงเงิน 1.54 หมื่นล้านบาท เพื่อจัดหาเครื่องบินขับไล่กริพเพ่น Gripen จากประเทศสวีเดนเฟสที่ 2 จำนวน 6 ลำ เพื่อให้ครบ 1 ฝูง (12 ลำ) ต่อเนื่องจากเฟสที่ 1 ที่รัฐบาลที่ผ่านมาได้อนุมัติไปแล้วในงบประมาณปี 2551-2555 จำนวน 1.9 หมื่นล้านบาท เพื่อทดแทนเครื่องบินขับไล่ F-5 ซึ่งประจำการอยู่ที่กองบิน 7 จ.สุราษฎร์ธานี ที่กำลังจะทยอยปลดประจำการในปี 2554
พล.อ.อ.อิทธพร กล่าวว่า การจัดหาเครื่องบินต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการพอสมควร ซึ่งเฟสที่ 1 ทอ.ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 50 กว่าเครื่องบินลำแรกจะเข้าประจำการก็ในช่วงปี 2554 ใช้เวลา 5 ปี ซึ่งที่กองทัพอากาศต้องทำ ก็เพราะต้องให้ทันกับระยะเวลาที่ เครื่องบิน F-5 จะปลดประจำการในปี 2554 ถ้าไม่ทันก็จะมีข้อกังวลว่าจะไม่มีเครื่องบินขับไล่ที่ดูแลผลประโยชน์ของชาติในภาคใต้เลย เพราะฉะนั้นเป็นโครงการต่อเนื่อง ไม่ใช่โครงการใหม่ ซึ่งเราจำเป็นต้องจัดหาเครื่องบินให้เพียงพอในการป้องกันประเทศ เพราะฉะนั้น ถ้าเราเริ่มเฟส 2 ในปี 2555 กว่าจะได้เครื่องบินจะช่วงประมาณ 2559
“เทพเทือก”ปัดไม่มีการตั้งงบ“คิดดูว่าเมื่อเราได้รับเครื่องเฟสแรก 6 เครื่อง เราจะบินได้ 70 % คือประมาณ 4 เครื่องเท่านั้น มันไม่เพียงพอในการป้องกันประเทศ ถ้าเราเริ่มปี 2553 ประมาณปี 2556 เราจะมีเครื่องที่พร้อมใช้งาน 4-6 เครื่องในช่วงรอยต่อ 2-3 ปี แต่ในกรอบงบประมาณที่ทอ.ได้รับก็จะจัดหาทดแทนให้ได้เร็วที่สุด รวมถึงอะไหล่เพิ่มเติมด้วย ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ของทอ.ในการเตรียมกำลัง ทุกเหล่าทัพก็จะแจ้งความต้องการให้รัฐบาลรับทราบว่าช่วงนี้อยู่ในขั้นตอนตั้งงบประมาณว่าในปี 2553 มีความจำเป็นอะไรบ้าง และผูกพันกี่ปี” พล.อ.อ. อิทธพร กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับการจัดซื้ออาวุธขณะนี้ยังมีหลายโครงการที่เหล่าทัพได้รับการอนุมัติงบประมาณแล้ว และเสนอมาที่ รมว. กระทรวงกลาโหมเพื่อเห็นชอบ แต่ยังไม่ได้รับการ อนุมัติ เนื่องจากเป็นการลงนามระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล ซึ่งผู้ลงนามอาจเข้าข่ายขัดมาตรา 190 ตามรัฐธรรมนูญ ทำให้ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน มากพอ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว. กลาโหม จึงได้ขอให้ดูความชัดเจนเรื่องข้อกฎหมายอีกครั้ง
ส่วนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯด้านความมั่นคง กล่าวถึงข่าวการของบซื้ออาวุธว่า พวกสื่อไปเอาข่าวมาจากไหน ยืนยันว่ายังไม่มีการพูดถึงเรื่องการซื้ออาวุธ ส่วนการทำงบปี 2553 ยังไม่มีการพิจารณาเรื่องนี้ เพราะยังไม่ถึงเวลา ตนไปกระทรวงกลาโหมแค่ไปฟังบรรยายสรุป
รัฐบาลเมิน“แม้ว”เขย่าขวัญที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการถึงกรณีที่ 30 ส.ส.พรรคเพื่อไทยเตรียมเดินทางไปพบพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เกาะกง ประเทศกัมพูชาว่า การพบปะกันเขาก็ทำกันอยู่แล้วเป็นประจำ ตนไม่ได้คิดว่าจะมีปัญหาอะไร แต่ก็อยากจะฝากไว้ว่าขณะนี้ประชาชนต้องการเห็นบ้านเมืองสงบ และต้องการเห็นทุกฝ่ายช่วยกันแก้ไขปัญหามากกว่าความขัดแย้งทางการเมือง เพราะฉะนั้นจึงอยากให้ฝ่ายการเมืองทุกคนได้คิดถึงจุดนี้ จึงอยากให้คนที่อยู่ที่นี่ที่เป็นฝ่ายการเมืองได้คิดถึงให้มาก ที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเมินหรือไม่ว่าทำไมพ.ต.ท.ทักษิณจึงเคลื่อนไหวในช่วงที่ปัญหาการเมืองค่อนข้างหนัก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีอะไรซับซ้อน พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมพ.ต.ท. ทักษิณต้องเคลื่อนไหว เมื่อถามว่ามีข่าวว่าจะมีการใช้นานา ชาติกดดันประเทศไทย รวมทั้งใช้ความเคลื่อนไหวทั้งในและนอกสภา เพื่อให้รัฐบาลยุบสภาใน 3 เดือน นายกฯ กล่าวว่า สามารถเคลื่อนไหวได้ เราก็ไม่ได้วิตกกังวลอะไร สำหรับต่างประเทศตนคิดว่าในช่วงเดือนที่ผ่านมารัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ ก็เข้าใจดี อาจมีเพียงบางประเด็นที่สื่อต่างประเทศติดใจในเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งตนกล้ายืนยันได้ว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากกว่ารัฐบาลในหลายปีที่ผ่านมา
รับสารพัดปัญหาแก้ยากนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนความเคลื่อนไหวในสภาเป็นเรื่องธรรมดา อาจจะไม่ราบรื่นนัก เพราะเสียงในสภา และองค์ประชุมก็เป็นปัญหาเรื้อรัง แต่ทุกอย่างก็ทำได้ตามเป้าหมาย ตอนนี้เหลือเพียงการเคลื่อนไหวนอกสภาก็ต้องพยายามรักษากฎหมายไม่ให้มีความรุนแรง ยอมรับว่ายากแต่ก็คิดว่ายังสามารถทำได้อยู่ และสิ่งสำคัญรัฐบาลต้องเดินหน้าแก้ปัญหาต่อไปให้ได้ ซึ่งในการทำงานของรัฐบาลช่วงสั้น ๆ ที่เข้ามา ก็สามารถผลักดันงาน ต่าง ๆ ให้เดินหน้าไปได้ และถ้าสามารถรักษามาตรฐานนี้ได้ต่อไปก็จะเดินหน้าต่อไปได้ไม่มีปัญหา
เมื่อถามว่า รัฐบาลจะใช้เวลาทำงานเท่าไหร่ถึงจะประเมินผล นายกฯ ตอบว่า ความจริงต้องประเมินอยู่ตลอดเวลา อย่างกรณีของนายวิฑูรย์ นามบุตร อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ก็ได้ประเมินตัวเองว่าการอยู่ในตำแหน่งจะเป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าของรัฐบาล ท่านก็เสียสละด้วยการลาออก ก็เป็นตัวบ่งบอกว่านักการเมืองในส่วนของรัฐบาลต้องการให้การแก้ปัญหาทุกอย่างเดินหน้า
ยันไม่ได้แกล้งเด้ง“พีรพล”นายอภิสิทธิ์ ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายพีรพล ไตรทศาวิทย์ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ฟ้องศาลปกครองกรณีถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรมว่า ถือเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของศาลปกครอง และตนคิดว่าสิ่งที่รัฐบาลได้ทำไปนั้น เป็นเรื่องของการบริหารงานบุคคล ซึ่งการตัดสินใจต่าง ๆ ก็ต้องใช้ดุลพินิจ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เจตนาที่จะไปกลั่นแกล้งใคร เรามุ่งไปที่การทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ และราบรื่น อย่างไรก็ตามยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับนายพีรพล และยังไม่ได้ใช้ช่องทางของฝ่ายบริหาร แต่นายพีรพลกลับไปใช้ช่องทางของศาลปกครอง ซึ่งตนยังไม่ทราบรายละเอียด
นายกฯ ยังกล่าวว่า ตนได้เตรียมข้อมูลไปชี้แจงแล้ว รวมทั้งได้พูดคุยกับทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทยแล้ว ซึ่งไม่หนักใจ เพราะเจตนาเราไม่ได้มีอะไร เจตนามีเพียงอย่างเดียวคือต้องการให้การทำงานราบรื่น และคิดว่ารัฐบาลคงไม่ตกม้าตายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเราทำงานด้วยเจตนาที่ต้องการให้การทำงานมีประสิทธิภาพ
กระทู้เดือดจี้“เทพเทือก”ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ร.ต.ท. เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้ตั้งกระทู้ ถามนายกฯ เรื่องความบกพร่องในการบริหารราชการแผ่นดินของรองนายกฯ โดยนายกฯ มอบหมายให้นายสุเทพมาชี้แจงแทน โดย ร.ต.ท. เชาวริน ได้ถามและนำเทปบันทึกภาพและเสียงการให้สัมภาษณ์ของนายสุเทพที่ระบุว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ต้องการเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อมาเป็นประธานาธิบดี ซึ่งเป็นการเจาะจงใส่ร้ายเพื่อให้คนไทยเกลียดชัง พ.ต.ท.ทักษิณ โดยระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องการจะกลับมาเป็นประธานาธิบดี ทั้งที่ความจริงเป็นไปไม่ได้ การพูดเช่นนี้ไม่ทำให้เมืองไทยกลับมาสงบได้ จึงอยากถามว่าคิดอย่างไรจึงได้กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ
ทั้งนี้นายสุเทพ ชี้แจงว่า กรณีที่พูดถึงการกลับมาเป็นประธานาธิบดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตนตั้งใจพูดจริง แต่ที่ตนพูดเป็นความจำเป็นต้องพูด พูดเพื่อโต้ตอบปกป้องส่วนได้ส่วนเสียของรัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์
เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ โทรศัพท์ไปพูดกับลูกพรรค ข้อความกล่าวหารัฐบาลและประชาธิ ปัตย์ จึงได้ชี้แจงว่ารัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลเสือหิว ครม.ไม่ใช่เสือหิวเสือโหยจากไหน แต่เราตั้งใจมาแก้ไขวิกฤติการณ์ประเทศแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง
ย้ำเชื่อเจตนาในใจ“ทักษิณ”“เมื่อสื่อมวลชนถามว่าคุณทักษิณไม่ยอมแพ้จะสู้ต่อไป ให้ผมวิเคราะห์ ผมจึงพูดออกไปว่า ท่านไม่ยอมแพ้ ท่านพยายามต่อสู้ของท่านไปเรื่อยท่านบอกว่าวันหนึ่งท่านจะกลับมาเป็น ประธานาธิบดี ผมพูดจริง แต่ที่ผมตอบโต้ขนาดนี้ ใส่ร้ายคุณทักษิณหรือไม่ หรือไปจินตนาการ ไม่ใช่ ผมเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของผมว่าคุณทักษิณชอบระบบประธานาธิบดี ผมเชื่อในจิตใจส่วนลึกของผมว่าจิตใจของคุณทักษิณอยากเป็นประธานาธิบดี ไม่ใช่เรื่องผมจินตนาการไปเอง ผมเชื่ออย่างนี้ เพราะเชื่อที่ผมเห็นคุณทักษิณแสดงออกต่อ สาธารณะหลายครั้งทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ผมเชื่อตามที่คุณทักษิณพูดเองและสื่อได้นำมาเป็นข่าว” นายสุเทพ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า กรณีตัวอย่าง คือเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณได้แสดงความชื่นชมยกย่องนายเนลสัน แมนเดล่า ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ และเปรียบเทียบตัวเองเหมือนก่อนนี้ยังพูดเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ที่ถามว่าจะกลับไปพิสูจน์การเมืองในประเทศหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าไม่รู้สึกห่วงอะไรเพราะขนาดประธานาธิบดีเนลสันยังติดคุกและต่อสู้หลายสิบปีก่อนจะกลับมาเป็นประธานาธิบดีแอฟริกาใต้อีกครั้ง ตนเชื่อว่าไม่ได้เข้าใจผิดคนเดียววิญญูชนทั่วไปที่ได้ติดตามการแสดงออกของ พ.ต.ท.ทักษิณ และบริวารคิดเหมือนตนว่าจิตใจ พ.ต.ท.ทักษิณใฝ่ฝันอยากจะเป็นประธานาธิบดี
โยง“แม้ว”อยู่หลังเสื้อแดงนายสุเทพ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีบุคคลที่เชื่อเช่นเดียวกับตน อาทิ หลวงตามหาบัวเทศน์ เมื่อปี 2547 เตือน พ.ต.ท.ทักษิณว่าอย่าลำพองตัวเองตั้งหน้าตั้งตาจะขึ้นเป็นประธานาธิบดี หรือกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ประชุมที่ จ.เชียงราย จัดตั้งเครือข่ายเสื้อแดงอีสานลานนา แกนนำคนหนึ่งพูดว่าพวกเราจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ พ.ต.ท. ทักษิณกลับประเทศไทย ท้ายที่สุดถ้าเคลื่อนไหวไม่ได้จะดึงให้ท่านเป็นประธานาธิบดีคนเหนือกับอีสานและพูดชัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สนับสนุนเงินให้นำคนเสื้อแดงมาชุมนุมที่สนามหลวง โดยจ่ายเงินผ่าน ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ดังนั้นตนเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ขณะที่ ร.ต.ท.เชาวริน กล่าวว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ไม่ได้พูดเรื่องตำแหน่ง แต่พูดถึงบุคคลที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ซึ่งนายอภิสิทธิ์เองก็เคยพูดถึงประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐเช่นกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการถามกระทู้ถามสดเรื่องนี้ มีการประท้วงวุ่นวายเป็นระยะ ๆ เมื่อมีการพาดพิง พ.ต.ท.ทักษิณ หรือพาดพิงพรรค ประชาธิปัตย์ ทำให้ใช้เวลาซักถามนานเกือบ 1 ชั่วโมง ทั้ง ๆ ที่ในการถามกระทู้ถามสดจะใช้เวลาเพียงกระทู้ละ 20 นาที นอกจากนี้ในช่วงที่มีการประท้วงและพยายามชี้แจงการพาดพิงปรากฏว่าสัญญาณการถ่ายทอดสดได้ขาดหาย โดยทางเอ็นบีทีชี้แจงว่าเป็นเพราะการเชื่อมต่อสัญญาณมีความขัดข้อง
“บรรหาร”แนะควรให้โอกาสที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปพักผ่อนที่เกาะฮ่องกงถึงผลการสำรวจของกรุงเทพโพลให้คะแนนรัฐบาลอภิสิทธิ์เพียง 5.42 จากคะแนนเต็ม 10 อีกทั้งควรปรับนายสุเทพ และนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ออกจากตำแหน่งเพราะไม่พอใจผลงานว่า เรื่องการเมืองยังมีข้อจำกัด แม้จะวาดภาพให้ดีเลิศแค่ไหน แม้แต่รัฐบาลที่มีพรรคการเมืองเดียวหรือรัฐบาลที่มีหลายพรรคก็มีข้อจำกัดเหมือนกัน เรื่องการทำโพล ตนคิดว่าก็น่าจะมีอะไรอยู่เหมือนกัน แต่เราควรให้โอกาสรัฐบาลเรียนตรง ๆ ว่าถ้าไอ้โน่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่ดี แล้วจะเอาใครมาเป็นรัฐบาล
เมื่อถามว่า ต้องปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเฉพาะนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช. มหาดไทย ออกจากตำแหน่งหรือไม่ นายบรรหาร กล่าวว่า ยังไม่จำเป็นต้องปรับ ครม. ในขณะนี้ กรณีของนายบุญจงนั้น ตนรู้สึกว่ายังไม่มีความผิดชัดเจน เพียงแค่เอานามบัตรไปกลัดไว้เพื่อให้รู้ว่าเป็นใคร จึงไม่น่าจะผิด และกฎหมายไม่ได้ระบุเอาไว้ อีกทั้งของทั้งหมดก็เป็นของราชการที่นายบุญจงรับผิดชอบอยู่ไม่น่ามีปัญหา
ไม่แปลก“แม้ว”ผูกพันพท.
ต่อข้อถามถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่าจะกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง นายบรรหาร กล่าวว่า เป็นความคิดเห็นของพ.ต.ท.ทักษิณที่เห็นว่าตัวเองมีปัญหาก็ต้องกลับมาต่อสู้ ซึ่งการโฟนอินกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณดูแลอยู่ ยังไม่จืดจางยังมีเยื่อใยจึงมองเป็นเรื่องปกติ
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยมีโอกาสมากน้อยแค่ไหนในการกลับมาเป็นรัฐบาล นายบรรหาร กล่าวว่า คงต้องดูการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าประชาชนจะยังนิยม พ.ต.ท.ทักษิณแค่ไหน ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาลบ้าง เหมือนที่เรียกว่า “ที ฮู (ใคร) ที อิท (มัน)” อย่างไรก็ตาม สถานะของรัฐบาลนี้ก็ไม่ได้ง่อนแง่น แม้การประชุมสภาที่ผ่านมาจะมีปัญหาบ้างก็ตาม
ก่อนสิ้นเดือนบินไปหา“แม้ว”นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวว่าเป็นผู้รวบรวมรายชื่อ ส.ส.อีสานเพื่อเตรียมเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ความจริงแล้วเรื่องนี้มาจากการที่ ส.ส.อีสานทั้งหมดมีมติเลือกนายพายัพ ชินวัตร เป็นประธานภาคอีสาน และส.ส.อีสานส่วนใหญ่ต่างก็อยากให้นายพายัพเป็นผู้ประสานเพื่อพบกับพ.ต.ท.ทักษิณ ทางนายพายัพจึงได้บอกให้ตนเป็นผู้รวบรวมรายชื่อ ส.ส.ที่ต้องการเดินทางไป ซึ่งขณะนี้มี ส.ส.มาแจ้งความประสงค์จำนวนมาก แต่คงจะต้องจัดกลุ่มให้ไปเป็นกลุ่มย่อยประมาณครั้งละ 20 คน
นพ.สุรวิทย์ กล่าวว่า คาดว่ากลุ่มแรกที่จะเดินทางไปคงไม่น่าจะเกินเดือนก.พ.นี้ แต่ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณพำนักอยู่ที่ใด เพราะช่วงนี้ทราบว่าท่านเดินทางไปมาบ่อย คงต้องรอให้นายพายัพประสานงานมาก่อน ซึ่งช่วงเวลาที่เราจะเดินทางไปพบคงจะเป็นในช่วงที่ท่านเดินทางมาพักผ่อนใกล้ ๆ ประเทศไทยเพื่อให้สะดวกในการเดินทางไปหา ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง
เอาผิดกกต.ดองคดี“บุญจง”
ที่สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. เวลา 13.00 น. นายคารม พลทะกลาง คณะทำงานด้านกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) เดินทางมายื่นหนังสือต่อกรรมการ ป.ป.ช. ผ่านทางนายวิทยา อาคมพิทักษ์ ผอ.สำนักการข่าวและประมวลผล สำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อขอให้เอาผิดกับกกต.ทั้ง 5 คน ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีไม่ดำเนินคดีอาญากับนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ทั้งที่กกต.มีมติให้ดำเนินคดีอาญากับนายบุญจงตั้งแต่เดือนเม.ย.2551 ในข้อหาใส่ร้ายป้ายสีผู้สมัครอื่นให้ได้รับความเสียหาย ตามที่นายพลพีร์ สุวรรณฉวี ผู้สมัครส.ส. พรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นผู้ร้อง
นายคารมกล่าวต่อว่า กกต. ต้องอธิบาย ว่าทำไมถึงดองคดีของนายบุญจง ทั้งที่คดีอื่น แซงหน้าไปหมดแล้ว การอ้างว่ายังตั้งสำนักคดีไม่ เสร็จ ทำให้ตนแปลกใจมาก เพราะ กกต. ใช้งบ ประมาณพันกว่าล้านแค่หาโต๊ะมาเขียนสำนวนยื่นคำร้อง เหตุใดทำไม่ได้ เมื่อวานก็ออกข่าวว่าทำเสร็จแล้ว ตนจึงต้องรีบมายื่น เพราะถ้า กกต. ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแล้ว ทั้งนี้ตนต้องการตรวจสอบผู้ใช้อำนาจรัฐกับประชาชนทุกคน เนื่องจากปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้พรรคการเมืองบางพรรค มีหลายมาตรฐาน หรือมาตรฐานขั้นบันไดตามใจผู้กำกับ
จี้สอบ กสท ประมูลกลิ่นตุ
ขณะเดียวกัน นายประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การสื่อสาร และโทรคมนา คม วุฒิสภา ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อกล่าวหานายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และพวกรวม 11 คน ข้อหากระทำความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ. การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กรณีการเปิดประมูลระบบเชื่อมโยง optical fiber ภายในประเทศ 5 พื้นที่ วงเงิน 2,000 ล้านบาท อย่างไม่โปร่งใส โดยโครงการดังกล่าวมีการเปิดประมูลเมื่อเดือน พ.ย. 2550 แต่พบความไม่ชอบธรรม เนื่องจากมีการร้องเรียนว่ามีการเสนออุปกรณ์ประกวดราคาผิดคุณสมบัติ จนมีการยกเลิกการประกวดราคา และไม่ให้บริษัทดังกล่าวมีสิทธิเสนอราคาอีก
นายประสิทธิ์ ยังกล่าวว่า ต่อมาวันที่ 30 มิ.ย. 2551 คณะกรรมการ กสท กลับมีมติ อนุมัติการจ้างบริษัทแห่งนั้น เป็นผู้จัดสร้างระบบเชื่อมโยง optical fiber โดยอ้างว่าอุปกรณ์ที่บริษัทเสนอมาเป็นผลิตภัณฑ์เดียวกัน และมีความถูกต้องตามข้อกำหนด พร้อมกับลงนามในสัญญาว่าจ้าง เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2551 ดังนั้นการที่คณะกรรมการ กสท มีมติยกเลิการประกวดราคา คิดว่าน่าจะเป็นการกระทำโดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้อประโยชน์ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะยื่นหนังสือถึงนายกฯ และ รมว.คลังให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวด้วย
“เรืองไกร”ร้องเชือดกกต.มั่วนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. จากการที่ กกต. ได้มีคำวินิจฉัยสั่งการคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ 205/2551 วันที่ 11 ธ.ค. 2551 เรื่องการเลือกตั้ง ส.ว.จังหวัดปราจีนบุรี โดยมีหนังสือมายังประธานวุฒิสภา วันที่ 30 ม.ค. ที่ผ่านมานั้น ทำให้เข้าใจได้ว่า กกต. อาจปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 และมาตรา 236 ประกอบมาตรา 10 (10) ของพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 อันอาจเข้าข่ายตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 มาตรา 29 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
เนื่องจากมีการดำเนินการเพียงแค่ตรวจสอบแล้วสรุปว่า ไม่ปรากฏหลักฐานใดว่าผู้ถูกคัดค้านได้ลาออกหรือพ้นสภาพจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หลังจากที่ได้เป็นสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2545 ทั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ได้มีหนังสือมายังนายทะเบียนพรรคการเมืองแล้วว่า นายสุรเดช จิรัฐิติเจริญ ได้พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. 2545 และไม่เคยกลับมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคอีก อีกทั้งไม่ปรากฏหลักฐานอื่นมาหักล้างว่าได้มีการตรวจสอบหลักฐานการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ของผู้ถูกคัดค้านว่ามีหลักฐานการสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จริงหรือไม่
“สดศรี”โต้ถ้าไม่ผิดฟ้องกลับนายเรืองไกร ยังกล่าวว่า ทั้งที่เคยมีแนวคำสั่งศาลฎีกาที่ 775/2551 อยู่ก่อนแล้ว ซึ่งกกต.และเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน กกต. ควรจะต้องรู้ถึงแนวทางที่ศาลฎีกาเคยมีคำสั่งไว้ จึงขอให้ป.ป.ช.พิจารณาไต่สวนข้อเท็จจริงว่า กกต. มีพฤติการณ์หรือการกระทำที่อาจเข้าข่ายตามบทบัญญัติในมาตรา 29 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 ประกอบมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ หากพบว่าข้อเท็จจริงมีมูลเป็นไปตามคำร้อง ก็ขอให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่การเมือง ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป
นางสดศรี สัตยธรรม กกต. กล่าวถึงกรณีนี้ว่า เรื่องดังกล่าวกกต.มีหลักฐานชัดเจนในเรื่องการตรวจสอบ ยืนยันว่าดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอน ส่วนกรณีนายเรืองไกรร้องต่อ ป.ป.ช. ก็ว่ากันไปตามขั้นตอนของกฎหมายในการชี้แจงต่อไป กกต. พร้อมให้ตรวจสอบ หาก ป.ป.ช. สอบแล้วว่า กกต. ไม่มีความผิด กกต. อาจต้องพิจารณาเรื่องการฟ้องกลับบ้างเหมือนกัน เพราะ กกต. คงไม่ยอมให้ตกเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียว
ยื่นศาลฯพิจารณาคดีร้อนนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบขณะนี้กกต.ได้ยื่นเรื่องต่อศาลอุทธรณ์ภาค 8 กรณีผู้สมัคร ส.อบจ. และนายก อบจ.สุราษฎร์ธานี ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีทุจริตเลือกตั้ง นอกจากนี้ ยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อให้พิจารณาสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ กรณีนายไชยยศ จิรเมธากร ส.ส.เขต 3 อุดรธานี พรรคเพื่อแผ่นดิน รวมทั้งยังได้ยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาที่มาของ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา เนื่องจาก กกต. มีมติเห็นว่าองค์กรที่เสนอชื่อนายเรืองไกรนั้นอาจจะไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญ
เลขาฯ กกต. ยังกล่าวถึงในส่วนของการดำเนินคดีอาญาเนื่องจากกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ของนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ว่า คาดว่าจะมีหนังสือไปถึง กกต. จังหวัดในเย็นวันที่ 5 ก.พ. เพื่อให้ แจ้งคำดำเนินคดีกับนายบุญจง ทั้งนี้ยอมรับว่างาน กกต. ล่าช้า เนื่องจากมีขั้นตอนมาก
ป.ป.ช.ตั้งอนุฯไต่สวน“บุญจง”นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษก แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า เรื่องกล่าวหานายบุญจงและภริยา ซึ่งเป็นอดีต ส.จ.นครราชสีมา นำเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้จากงบประมาณของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไปแจกให้แก่ประชาชนใน ต.ด่านเกวียน อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา จำนวน 200 คน คนละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 1 แสนบาท โดยในการแจกเงินให้แก่ประชาชนดังกล่าวนั้น นายบุญจงได้แนบนามบัตรของตนเองไปกับสิ่งของและเงินที่บริจาคด้วย ผู้ร้องได้กล่าวหาว่าการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการนำเงินงบประมาณของแผ่นดินไปใช้โดยทุจริต เพื่อแสวงหาผลประโยชน์
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า เมื่อมีคำร้องเข้ามาเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ได้พิจารณาเรื่องร้องเรียนตรวจข้อกล่าวหาและเอกสารหลักฐานแล้ว ได้ทำเรื่องเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้สอบถามเจ้าหน้าที่ ก็ได้รับคำชี้แจงว่าข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย ได้พิจารณาและกำลังทำเรื่องเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาต่อไป โดยเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าเรื่องร้องเรียนดังกล่าวนั้นอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. สมควรแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็จะพิจารณาต่อไปว่าเรื่องนี้อยู่ในเกณฑ์ที่จะตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนหรือไม่ คาดว่าเรื่องนี้จะเสนอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาได้ภายในวันที่ 10 ก.พ.นี้
ไม่รับไต่สวน3รมต.ลงมตินายกล้านรงค์ ยังกล่าวถึงกรณี นายเรืองไกร ทำหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวหา 3 รัฐมนตรี ที่ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2552 คือ นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รมช.คมนาคม นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม และนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ลงมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2552 นั้น เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 177 วรรค 2 จึงขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา ไม่อยู่ในอำนาจที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะดำเนินการต่อไป ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติไม่รับเรื่องไว้พิจารณา
นายกล้านรงค์ ยังกล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของบุคคลดังกล่าวทั้งหมด ระหว่างวันที่ 12-26 ก.พ. นี้ นอกจากนี้ ได้พิจารณาตามข้อกฎหมายแล้ว ได้มีมติให้กำหนดตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่จะต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วย เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่สามารถใช้อำนาจหน้าที่เพื่ออำนวย หรือแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่นได้
“ชวรัตน์”เชียร์นิรโทษกรรมนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ส.ส. อีสาน 30 คน เตรียมเข้าพบพ.ต.ท.ทักษิณว่า ตนไม่มีความเห็น ส่วนกรณี พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่พรรคเพื่อไทยออกมาเปิดประเด็นนั้น เรื่องนี้มองว่าดี ถ้ามีนักการเมืองที่อยู่ในภาวะยุติบทบาทการเมือง 5 ปี จะได้ออกมารับใช้ประเทศชาติได้ เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์เพียงพรรคเดียวที่ออกมาไม่เห็นด้วย ในฐานะพรรคร่วมจะมีการหารือกันเพื่อเสนอนายกฯหรือไม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่า เรื่องนี้เรายังไม่ได้คุยกัน แต่เห็นว่า ควรให้นายกฯออกมาพูดก่อนมีความคิดเห็นอย่างไร
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 เป็นต้นมามีการฟ้องร้องดำเนินคดีกันหลายหมู่คณะ ทางการเมืองเกิดความแตกแยกในบ้านเมืองชัดเจน ทุกฝ่ายได้รับผลกระทบหมด ตนก็จะเสนอที่ประชุมพรรคเพื่อไทยเพื่อขอมติ ชูแคมเปญที่จะขออนุญาตจากประชาชนว่า มี 3 เรื่องจำเป็นที่ต้องทำ คือ 1. หลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ขออนุญาตออกพ.ร.บ.อภัยโทษให้กับทุกคนที่ถูกลงโทษตามคำพิพากษาของศาล 2. ทุกคนที่ถูกกล่าวหาหรือมีคดีอยู่ระหว่างการพิจารณายังไม่มีคำพิพากษา จะออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้ทุกฝ่าย และ 3. แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยเอารัฐธรรมนูญ 2540 เป็นตัวตั้ง
นัด“แม้ว”โฟนอินวาเลนไทน์
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำแนวร่วมประชา ธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณีส.ส.พรรคเพื่อไทยเตรียมเดินทางไปให้กำลังใจพ.ต.ท.ทักษิณว่า เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ ในฐานะคนที่เคยทำงานร่วมกันและมีความคุ้นเคยกันมานาน ตนเตรียมประสานกับพ.ต.ท.ทักษิณ ได้โฟนอินเข้ารายการความจริงวันนี้ในวันอาทิตย์ที่ 14 ก.พ.นี้ ที่จะมีงานเลี้ยงสังสรรค์ระดมทุนของคนเสื้อแดง เพื่อให้ชี้แจงข้อกล่าวหาของนายสุเทพ ที่กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าต้องการกลับมาเป็นประธานาธิบดี
นายจตุพร ยังกล่าวว่า ในวันที่ 8 ก.พ. นี้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯจะโฟนอินเข้ารายการความจริงวันนี้ เล่าถึงเกร็ดการเป็นนายกฯ และสาเหตุที่ไม่ดำเนินการกับพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. และกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วย ส่วนการที่พ.ต.ท.ทักษิณหยิบยกการต่อสู้ของประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดลล่า ของแอฟริกาใต้มากล่าวถึง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาที่ต้องการกลับมาเป็นประธานาธิบดี เป็นเพียงการยกตัวอย่างวีรบุรุษ เหมือนกันกับกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ เปรียบเทียบนายอภิสิทธิ์กับนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จึงเห็นว่าไม่ควรนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง
แจ้งจับ“สุเทพ”หมิ่นประมาทที่ สน.ดุสิต เวลา 11.00 น. นายอุดม โปร่งฟ้า ทนายความส่วนตัวพ.ต.ท.ทักษิณ เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.สมิต นันท์นฤมิตร พงส.(สบ3) สน.ดุสิต ให้ดำเนินคดีกับ นายสุเทพในข้อหาหมิ่นประมาท โดยใส่ความพ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายในทำเนียบรัฐบาล โดยกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มีการโฟนอิน ภายในงานประชุมพรรคเพื่อไทย และบอกว่าวัน หนึ่งจะกลับมาเป็นประธานาธิบดี ซึ่งเป็นความเท็จและทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับความเสียหาย
นายอุดม กล่าวต่อว่า นายสุเทพเป็นถึงรองนายกฯ แต่กลับใส่ความผู้อื่น เป็นการกระทำผิดที่ซ้ำซาก จึงอยากให้ทางนายสุเทพ แสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว หากไม่มีการรับผิดชอบทางคณะทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ จะดำเนินการในการฟ้องร้องทางแพ่งต่อไป ด้าน พ.ต.ท.สมิต เปิดเผยว่า ทางคณะทนายความพ.ต.ท.ทักษิณ ได้นำซีดี ซึ่งอ้างว่าเป็นการบันทึกคำพูดของนายสุเทพมาเป็นหลักฐาน เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนจะรับแจ้งความไว้ หลังจากนั้นก็จะรายงานผู้บังคับบัญชาทราบเพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวนต่อไป
หืดจับถกพ.ร.บ.ผู้สูงอายุ
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ (ฉบับที่..) พ.ศ.... ต่อจากวันที่ 4 ก.พ. ปรากฏว่ามีความวุ่นวายเกิดขึ้นอีก เพราะหลังนับองค์ประชุมสภาซึ่งมี 249 คนครบองค์ประชุม ทำให้นายธนา ชีรวินิจ ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้ปิดอภิปรายร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ทำให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยลุกขึ้นประท้วงนานกว่า 30 นาที โดยนายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน ขอให้เปิดอภิปรายต่อ โดยระบุว่า ร่าง พ.ร.บ.นี้ เป็นกฎหมายการเงิน ควรให้นายกฯลงนามรับรองก่อนนำเข้าสู่สภา แต่ฝ่ายรัฐบาลแย้งว่าเลยขั้นตอนเหล่านั้นมาแล้ว
ในที่สุดที่ประชุมลงมติปิดอภิปรายด้วยคะแนนเสียง 228 ต่อ 40 งดออกเสียง 5 ไม่ลงคะแนน 2 จากนั้นได้ลงมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.นี้ด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ 238 งดออกเสียง 6 ไม่ลงคะแนน 6 และตั้งคณะกรรมา ธิการวิสามัญจำนวน 54 คน โดยที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้ส่งรายชื่อเป็นคณะกรรมาธิการ ทำให้คณะกรรมาธิการเหลือเพียง 42 คน โดยนายทิวา เงินยวง ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ หารือว่า การที่ไม่มีกรรมาธิการจากพรรคฝ่ายค้านเกรงว่าจะขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งพ.อ.อภิวันท์ได้เสนอให้ประธานวิปรัฐบาลไปหารือกับประธานวิปฝ่ายค้านเพื่อแก้ปัญหาต่อไป
“อภิชาติ-สุนัย”หวิดฟาดปากอย่างไรก็ตาม หลังการหารือ พรรคเพื่อไทยยังคงยืนยันไม่เสนอรายชื่อร่วมเป็นคณะกรรมาธิการ จนกระทั่งการหารือผ่านไปประมาณ 30 นาที นางผ่องศรี ธาราภูมิ ส.ส.ลพบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นเสนอชื่อกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทยจำนวน 12 คน ทำให้นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วง แต่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภา ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมในขณะนั้นไม่สนใจ กระทั่งกระบวนการเสนอชื่อกรรมาธิการผ่านไปถึงขั้นมีผู้รับรอง ทำให้นายสุนัย ลุกขึ้นต่อว่าประธานสภา พร้อมเสนอให้มีการถอนชื่อกรรมาธิการที่นางผ่องศรีเสนอออกไปทั้งหมด
ทั้งนี้นางผ่องศรี ลุกขึ้นชี้แจงว่า ชื่อที่ตนเสนอเป็นรายชื่อที่ได้รับการประสานงานมาก่อนหน้านี้โดยได้รับการส่งสัญญาณจากพรรคเพื่อไทยว่าให้ตนเป็นผู้เสนอรายชื่อกลางที่ประชุม และก่อนเหตุการณ์จะวุ่นวายมากกว่านี้นายชัย ได้สั่งพักการประชุม 10 นาที โดยเริ่มพักการประชุมในเวลา 19.10 น. แต่ขณะที่ ส.ส.ทยอย เดินออกจากห้องประชุม นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เกิดเหตุปะทะคารมด้วยถ้อยคำรุนแรงกับนายสุนัย จนทั้งคู่เตรียมจะปรี่เข้าหากัน จนทำให้ พ.อ.อภิวันท์ ต้องเข้าเคลียร์ให้ทั้งสองฝ่ายแยกออกจากกัน
ตกลงให้นายกฯรับรองก่อนหลังพักการประชุม นายชัย ได้กล่าวว่า เมื่อที่ประชุมพิจารณาเรื่องนี้เสร็จแล้ว ในวันที่ 6 ก.พ.ตนจะนำเรื่องนี้เสนอรัฐบาลเพื่อให้นายกฯพิจารณารับรองว่าเป็น พ.ร.บ.เกี่ยวกับการเงิน และจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯต่อไป ซึ่งนายวิทยา ได้ลุกขึ้นกล่าวแสดงความเห็นด้วย จากนั้นนายพิษณุ หัตถสงเคราะห์ ส.ส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นเสนอตัวแทนองค์กรเอกชนในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทย และเสนอรายชื่อ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเป็นกรรมาธิการฯ ทำให้กรรมาธิการฯมีครบ 54 คนตามที่กำหนด
ส่วนนายสุนัย ได้ลุกขึ้นกล่าวว่า ตนถูก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ว่ากล่าวด้วยถ้อยคำรุนแรง แต่ตนไม่อยากไปเกลือกกลั้ว จากนั้นมีการปิดประชุมไปในเวลา 19.40 น.