WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, November 21, 2009

"พัลลภ"ซัด"สุเทพ"ทรยศ2พยานจ้างให้การเท็จยุบทรท. โต้ถูกด่าพท.สุมหัวไม่คิดมาจากปากคนที่เป็นเสนาบดี

ที่มา มติชน



พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์รายการลับ ลวง พราง ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 100.5 เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ดิสเครดิตกลับ กรณีพรรคเพื่อไทยนำพยานปากเอก 2 คนคดียุบพรรคไทยรักไทยว่าเป็นพยานเท็จ มาจากการสุมหัวกันของคนในพรรคเพี่อไทย ว่า คำว่าสุมหัวกันคิดนั้น ไม่เคยคิดว่าจะออกจากปากคนที่เป็นถึงเสนาบดี เห็นแต่เด็กปากคลองตลาดเขาพูดกัน ประเด็นสำคัญ คือ พยานปากเอก 2 คนมาพบตน เพราะเพิ่งสำนึกได้ และเข้าใจแก่นแท้ว่า นายสุเทพไม่มีความจริงใจ หลอกใช้ ทรยศหักหลัง ให้เป็นพยานเท็จล้มพรรคไทยรักไทย แล้วทิ้งขว้าง 2 คนนั้นมาขอร้องตน เพราะต้องการเปิดเผยความจริงให้คนไทยได้รู้ ตนเป็นเพียงคนนำประเด็นมาเปิดให้ประชาชนรับทราบ ก่อนจะมาแถลงข่าวได้มีการพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้ทราบแล้ว และเห็นด้วยที่จะเปิดเผยเรื่องนี้

เมื่อถามว่า หลายคนพูดว่าอาจจะมีการซื้อตัวมาแถลงอีกทอดหนึ่งหรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่มีแน่นอน ตนเปิดเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อความเป็นธรรมกับพรรคไทยรักไทย แต่อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ต้องไปจัดการขยายผลต่อ โดยเฉพาะ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรมว.กลาโหม ที่ขณะนี้คดีอยู่ที่ศาล ตนเปิดประเด็นนี้เพื่อช่วยพล.อ.ธรรมรักษ์ เพราะเป็นรุ่นน้องตน เรื่องเงินเรื่องทองที่จ้าง ไม่มีแน่นอน และช่วงนี้ตนก็ดูแลความปลอดภัยให้กับพยานทั้ง 2 คนอยู่

แกนนำแดงเชียงใหม่ปฏิเสธเอี่ยวแผนฆ่า"มาร์ค"ลงพื้นที่ "ปชป."หวั่นใจเสนอใช้พ.ร.บ.มั่นคงคุมเข้ม

แกนนำแดงเชียงใหม่ ยันไม่มีเอี่ยวแผนฆ่า "นายกรัฐมนตรี"

นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 หรือกลุ่มเสื้อแดง กล่าวผ่านรายการสภากาแฟ สถานีวิทยุชุมชนคนรักเชียงใหม่ คลื่น 92.5 ซึ่งออกอากาศที่จังหวัดเชียงใหม่ ถึงการเดินทางมาปฏิบัติภารกิจของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่จังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ว่า ขณะนี้ได้ประชุมร่วมกับแกนนำกลุ่มเสื้อแดงในจังหวัดภาคเหนือถึงการแสดงจุดยืนแลการเคลื่อนไหว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่าบุคคล 3 คน ประกาศทำคาร์บอมไว้และพร้อมกดรีโมท ซึ่งเรื่องดังกล่าวตนยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และจะไม่อยู่ในพื้นที่และจะเดินทางไปต่างประเทศ เพราะไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้เข้าพบนายอมรพันธุ์ นิมานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเข้าหารือเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี

ปชป.ตื่น"แดง"ระดมคนเตรียมลอบฆ่า"มาร์ค" เสนอใช้พ.ร.บ.มั่นคงคุมเชียงใหม่

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 21 พฤศจิกายน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงผลการประชุมคณะทำงานปฏิบัติการเพื่อประเมินสถานการณ์ทางการเมือง (วอร์รูม) ว่า ที่ประชุมได้ประเมินการเตรียมการชุมนุมของกลุ่มนปช. ในขณะนี้จนถึงปลายเดือนพ.ย.และต้นเดือนธ.ค.นี้ โดยแสดงความห่วงใยถึงการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเกิดความรุนแรง ใน 4 รูปแบบ คือ 1.การวางแผนเตรียมการชุมนุมที่จ.เชียงใหม่ และต้องการทำร้ายนายกฯซึ่งเป็นครั้งที่ 3 หากความพยายามดังกล่าวสำเร็จก็จะมีการสร้างสถานการณ์ให้มีการทำร้ายนายกฯ เหมือนที่เคยทำมาแล้วที่พัทยา และกระทรวงมหาดไทย ซึ่งที่จ.เชียงใหม่พรรคได้แจ้งความดำเนินคดีไปแล้วเมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา และกำลังขยายผลไปยังผู้ปลุกระดม


2. การสร้างสถานการณ์ให้มีการเผชิญหน้าของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลความสงบเรียบร้อย โดยจะยั่วยุให้เกิดความรุนแรง และมีการตอบโต้ไปสู่เหตุการณ์จลาจลเหมือนเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา 3. การเตรียมการปลุกระดมสื่อแขนงต่างๆ ให้เกิดปฏิกิริยาของมวลชนเสื้อแดงในการลุกมาปกป้องวิทยุชุมชนของตัวเอง เพื่อ และ 4. การใช้วิธีสร้างความหวาดกลัว การใช้ความรุนแรงจุดกระแส เหมือนการลอบวางระเบิดเมื่อวันที่ 15 เม.ย.ที่ผ่านมา

นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า การชุมนุมที่จ.เชียงใหม่และที่กทม.ที่จะเกิดขึ้นมีความเชื่อมโยงกันชัดเจน ขณะที่ 2 วันที่ผ่านมา มีการออกมาปฏิเสธความรับผิดชอบของแกนนำนปช.ที่บอกว่าจะใช้วิธีการชุมนุมแบบดาวกระจาย แต่จะไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทางวอร์รูมจึงประเมินว่า สิ่งที่มีการเตรียมการเพื่อยกระดับการต่อต้านในการล้มรัฐบาลด้วยกำลัง เนื่องจากคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท กำลังเข้าสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง


"วอร์รูมจึงเห็นว่ารัฐบาลควรประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่จ.เชียงใหม่อย่างเร่งด่วน และพิจารณาประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงในกทม.เช่นกัน ก่อนที่จะเกิดเหตุความรุนแรง" นพ.บุรณัชย์ กล่าว

จารกรรมข้ามชาติ

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน




กรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ แพลมออกมาว่ามี "เทปลับ" ในมือ

เป็นข้อความสนทนาระหว่างนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กับเลขาฯทูตไทยในเขมร

สั่งการให้หาข้อมูลเกี่ยวกับตารางการบินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ช่วงบินมาหาฮุนเซน

หวังว่าข่าวชิ้นนี้ จะเป็นแค่การเกทับบลัฟกันทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องจริง!

ถ้าเพราะมันเป็นเรื่องจริง ก็น่าเป็นห่วงประเทศไทย

เพราะมันแปลว่า มีการจารกรรมหรือการข่าวกรองแบบผิดกฎหมายดำเนินอยู่

สอดแนม ดักฟังโทรศัพท์

เนื่องจากฉากตามที่นายจตุพรบอก ตีความได้ว่าเป็นการโทร.สั่งการข้ามประเทศ

การดักฟังจึงอาจเกิดขึ้นได้ 2 จุด ถ้าไม่ใช่ในไทย ก็อาจเป็นในกัมพูชา

กรณีเป็นการดักฟังในไทยนั้น นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก ที่นายจตุพรจะได้ "เทปลับ" มา

เพราะก่อนหน้านี้ คนเสื้อแดงก็นำเทปลับมาเปิดแฉอยู่เรื่อยๆ

หลังการปฏิวัติ 19 กันยาฯ เป็นต้นมา ยังมีข่าวคนสำคัญในกองทัพ

ย้ายค่ายโทร.มือถือกันให้วุ่น!

ส่วนหากการดักฟังนั้น ไม่ได้ทำขึ้นในฝั่งไทย แต่ทำในฝั่งเขมรละก็

คราวนี้ละก็ ยุ่งใหญ่

สถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ โดน "แท็บ" สายโทรศัพท์ แบบยุคสงครามเย็น?

สมมติว่าเป็นเขมรดักฟัง ไม่ใช่ไทยดักฟังกันเอง

แล้วข้อมูลสำคัญทางข่าวกรองของเขมร เล็ดลอดมาถึงมือส.ส.เพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดงได้

ความมั่นคงของชาติ คงจะสั่นคลอน?

ก็ขนาดมีคนไทย ต่อสายถึงรัฐบาลเขมร หรือรัฐบาลเขมรต่อสายคนไทย ส่งผ่านข้อมูล "ลับสุดยอด" อย่างรวดเร็วง่ายดาย

เขมรจะทำจารกรรมสถานทูตไทย หรือชาติใด ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเขา จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่มันจะแปลกทันที หากจารกรรมได้อะไรมา แล้วส่งต่อมาให้นักการเมืองไทย เอามาเขย่ารัฐบาลคนไทยด้วยกัน

ตอนนี้เขมรก็สร้างบรรยากาศเข้มข้น ว่าด้วยการจารกรรมระหว่างประเทศอยู่แล้ว เมื่อจับกุมวิศวกรไทย ด้วยข้อหาเป็นสปายสายลับ

ว่ากันอย่างเป็นธรรม หากรมว.ต่างประเทศ จะสั่งการสถานทูตไทยให้หาข้อมูลใดๆ ในเขมร

โดยเฉพาะข้อมูลที่หลายคนยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องปิดลับอะไร

อย่างตารางการบินของพ.ต.ท.ทักษิณ

เป็นเรื่องที่รมต.ไทย กระทำผิดหรือ?

แต่นายจตุพรไปโยงกับข่าวเรื่องการเตรียมพร้อมฝูงบินเอฟ 16 เข้ากับเรื่องนี้

พูดเหมือนกองทัพอากาศไทย พร้อมจะบินล้ำน่านฟ้าเขมร เข้าไปถล่มฆ่าพ.ต.ท.ทักษิณถึงเสียมราฐ

มันจะไม่เหมือนฉาก "หนังฮอลลีวู้ด" มากไปหน่อยละหรือ?

อย่างไรก็ดี เห็นฮุนเซนพูดเย้ยการข่าวของไทยมาก่อนหน้านี้แล้ว

ก็น่าทบทวนมาตรการ การรักษาความลับภายในสถานทูตไทย ให้เข้มข้นกว่าเดิม!

บทบาทหอยม่วง (เน่า)

ที่มา เดลินิวส์

คุกคามสื่อ รัฐบาลมาร์ค เคยประณามรัฐบาลแม้ว สมัคร สมชาย อย่างรุนแรง พอตัวเองเป็นใหญ่ ก็ไม่ต่างเลย เคยด่าตอนแม้วจัดรายการ นายกฯ ทักษิณ พบ ประชาชน ว่า

เผด็จการ ล้างสมอง ยึดไมค์จ้อข้างเดียว

มาเป็นรัฐบาล มาร์ค เปลี่ยนจากวันเสาร์ เป็นวันอาทิตย์ เปลี่ยน ชื่อรายการเป็น เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกอภิสิทธิ์ฯ แล้วก็ยึดไมค์ 1 ชั่วโมงเต็ม ๆ ตั้งแต่วันแรก จน บัดนี้

เข้าข่าย เอาดีใส่ตัว โยนชั่วคนอื่น มั้ยเล่า

ที่เคยบอก เป็นรัฐบาลเมื่อไหร่ จะให้ฝ่ายค้านออกทีวี ก็มีข้ออ้างสวยหรู ยังไม่มีหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านตัวจริง คงนึกว่าคนไทยเป็นกระบือ นี่ถ้าไม่แหล ก็ไม่ว่ากันหรอก

แต่ดันอ้างตัวเป็นฝ่ายคุณธรรม ???

ช่อง 11 ทุกรัฐบาลแหละ บ้าอำนาจพอกัน ก็เอาเถอะ ทีฮู ทีอิท แต่จะดีจะชั่ว รัฐบาลสมัคร ยังเนียนกว่าแยะ ด้วยสำนึกว่า ขี้เหร่ เลยมีความละอายใจอยู่บ้าง

ช่อง 11 ที่โบราณไม่มีใครดู ยังปรับปรุงจนทันสมัย (สมัย จักรภพ เพ็ญแข) ทิ้งผลงานให้กล่าวขวัญบ้าง

แต่ยุค สาทิตย์ วงศ์หนองเตย จะทิ้งผลงานไว้ในแผ่นดินบ้างไหม นอกจากเปลี่ยนโลโก้ เป็น หอยม่วง ที่ใกล้จะเป็นหอยเน่าเข้าไปทุกวัน

เอาพรรคพวกไปยึด ก็ไม่ว่า แต่เนื้อหานี่สิ สุดทน วัน ๆมีแต่โฆษณาชวนเชื่อให้ข้างตัวล้วน ๆ หาความ เที่ยงตรง เที่ยงธรรม ตามที่คุยโวไม่ได้สักกระผีกลิ้น

ผู้จัดรายการแต่ละหน่อ ไม่รู้ขุดจากรูไหน นึกว่า นาซีครองเมืองหรือไง (วะ) มีแต่ล้างสมองให้ชิงชังอีกฝ่าย (เสื้อแดง) ทั้งที่ใช้ภาษีคนทั้งประเทศอุ้มอยู่ แล้วเสื้อแดงไม่ใช่คนไทยหรือไง

ไทยพีบีเอส นี่ก็อีกช่อง เอียงสุดกู่ แต่ขอไว้ถลกหนังวันหลังเถอะ เสียดายภาษี 2,000 ล้าน เต็มทนแล้ว

ที่ชั่วร้ายสุด ขณะที่ ไทย-กัมพูชา ตึงเครียดสุดขีด บางรายการ (วันแรกของสัปดาห์) ของช่องหอยเน่า ปลุกระดมให้คนไทยเกลียดผู้นำเพื่อนบ้านเต็มที่ ย้ำแล้วย้ำอีก เป็นผู้นำที่ขายชาติ ทรยศชาติ

แล้วคิดหรือที่พนมเปญ เค้าไม่ดู นี่รึทีวีรัฐที่มีหน้าที่ปลูกสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน เอาแต่เพาะความชิงชัง

ด่าคนชาติเดียวกันที่คิดต่างว่า ขายชาติ ไม่พอ ยังเอื้อมปาก (โสมม) ไปด่าเพื่อนบ้าน อย่างเมามันอีก

เสียดายนะ คนรุ่นใหม่ อย่างสาทิตย์ น่าจะพัฒนาวงการสื่อของรัฐให้ดีขึ้น ไม่ใช่เลวร้ายลงอย่างนี้เลย.

ดาวประกายพรึก

จิตใต้สำนึก

ที่มา ไทยรัฐ

สถานการณ์ระหว่าง ไทย-กัมพูชา จะบานปลายแค่ไหนก็ไม่ถึงกับไม่มีทางออก ยกเว้นแต่ว่าคนไทยจะช่วยกันออกมาจุดไฟเผาเมืองซะเอง ที่เห็นตื่นเต้นก็จะมีแต่รัฐบาลไทย นี่แหละ บ้านเราชักเพี้ยนๆชอบกล เกิดสุญญากาศขึ้นในบ้านเมือง ไม่มีเอกภาพ

นอกจากเรื่องที่ ส.ส.-ส.ว.จะเห็นดีเห็นงามขึ้นเงินเดือนตัวเองในขณะที่ชาวบ้านกำลังเดือดร้อนแล้ว ยังมีเรื่องซุกอำนาจอีกกระทอก ดูอย่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินนั่นปะไร

เก็บอาการอยากไม่อยู่

ฟังถ้อยแถลงของ คุณไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.ที่มาจากการลากตั้ง ในฐานะคนสนิทของ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าฯ สตง.ที่เจอข้อครหาสำคัญทำนองว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองเอาไว้อื้อ ออกมาระบุถึงกรณีข้อโต้แย้งการระบุอำนาจหน้าที่จะเป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 252 นั้นไม่น่าจะมีปัญหา

เพราะมีการกำหนด อำนาจหน้าที่ของ คตง.และ สตง. ไว้ชัดเจน ดังนั้น การให้อำนาจในการตรวจสอบและสืบสวนจึงไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

เนื่องจากองค์กรอิสระในปัจจุบันจะมีอำนาจดำเนินการตรวจสอบ จนถึงที่สุดคือ สามารถส่งเรื่องไปที่ศาลยุติธรรมเองได้ แต่ คตง. ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงจะเป็นการยกระดับการทำงานของ คตง. ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เบื้องหน้าเบื้องหลังต้องย้อนกลับไปดู กระบวนการสรรหาคตง.และผู้ว่าฯ สตง.คนใหม่ ตามรัฐธรรมนูญบทเฉพาะกาลมาตรา 301 เรื่องนี้ค้างมากว่าปีแล้ว หลังศาลปกครองสูงสุดมีคำวินิจฉัยกรณีการสรรหากรรมการสิทธิมนุษยชนให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญและการสรรหา สตง.ก็นำไปเทียบเคียงกับกรณีดังกล่าว

ทั้งนี้ วุฒิสภาได้นำเรื่องทั้งหมดมาพิจารณาว่าเริ่มต้นกระบวนการ สรรหาได้เลยหรือไม่ ในที่สุดมีความเห็นถึงประธาน ส.ว.ว่าไม่สามารถดำเนินการได้ จะต้องมีการดำเนินการให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ

ผลก็คือ ถ้า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญไม่มีการแก้ไขในมาตรา 116 ก็ จะเป็นประโยชน์กับอดีตกรรมการ คตง.ทั้ง 10 คน สามารถที่จะเข้ารับการสรรหาได้ต่อไปอีก ในจำนวนนั้นก็มีคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อยู่ด้วย

เกิดการผูกขาดในองค์กรอิสระ

แล้วผู้ว่าฯ สตง.จะไปไหนเสีย ขบวนการลับลวงพรางก็ต่อยอดกันไปไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายต้นตอของปัญหา ก็จะวนกลับมาอยู่ที่เก่า นั่นคือ ความไม่ชอบธรรม อย่างที่เกิดขึ้นอยู่กับสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ถ้าคิดจะแก้วิกฤติก็ต้องตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม อำนาจการตรวจสอบจะต้องไม่ผูกขาด โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ.

หมัดเหล็ก

ลับ ลวง พราง

ที่มา ไทยรัฐ

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.ประกาศรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ท่ามกลางความสงสัยว่า เหตุใด "เผด็จการตัวพ่อ" จึงเกิดชื่นชอบระบอบประชาธิปไตยถึงขนาดกระโดดลงเล่นการเมืองเต็มตัว??

หรือ "พล.อ.สนธิ" ซึ่งเป็นต้นตำรับ "ลับลวงพราง" จะวางแผน "ลับลวงพราง" เพื่อกลับมาทวงอำนาจการเมือง??

หรือ "พล.อ.สนธิ" ซึ่งเคย "ลับลวงพราง" คนอื่นไว้เยอะ จะถูกย้อนรอยให้มาติดกับดัก "ลับลวงพราง" ของตัวเอง??

เพราะไม่ว่ามองมุมไหน การตัดสินใจเล่นการเมืองของ "บิ๊กบัง" ต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวมากกว่าอยู่เฉยๆกินบุญเก่าแน่นอน

"แม่ลูกจันทร์" หวังว่า พล.อ.สนธิ ต้องไตร่ตรองรอบคอบแล้วก่อนตัดสินใจ และเมื่อท่านตัดสินใจแล้วก็ขอให้โชคดี

พล.อ.สนธิ แถลงเปิดใจที่รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ เพราะเหตุผล 4 ประการ

1, พรรคมาตุภูมิใช้นโยบายเป็นกลาง แก้ปัญหาขัดแย้งแตกแยกแบ่งขั้วแบ่งสีในสังคมไทย

2, พรรคมาตุภูมิชูนโยบายสร้างความสมานฉันท์ ความรัก และความสามัคคี

3, พรรคมาตุภูมิเน้นนโยบายซื่อสัตย์ สุจริตทางการเมือง

4, พรรคมาตุภูมิมีแนวทางแก้ปัญหาความไม่สงบ 3 จังหวัดภาคใต้อย่างชัดเจน

ถามว่า ในฐานะที่เคยเป็นหัวหน้าปฏิวัติ เหตุใดจึงเปลี่ยนบทบาทมาเล่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตย??

พล.อ.สนธิ ตอบว่า เพราะระบอบประ-ชาธิปไตยมีประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นตัวกำหนดทิศทาง

ถามว่า เมื่อยึดมั่นระบอบประชา-ธิปไตยแล้วปฏิวัติทำไม??

พล.อ.สนธิ ตอบว่า ประชาธิปไตยคืออะไร ประชาธิปไตยไม่ได้หมายถึงการเลือกตั้งเท่านั้น การปฏิวัติก็คือการรักษาประชาธิป-ไตยเหมือนกัน

ถามว่า การปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 นอกจากแก้วิกฤติไม่ได้ ยังซ้ำเติมประเทศไทยให้ถอยหลังกลับไปอีก 10 ปี

อดีตประธาน คมช. ซึ่งฉีกแนวมาเป็นหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ตอบว่า ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน

สรุปว่า คำชี้แจงของ "บิ๊กบัง" ไม่มีคำตอบชัดเจนตรงไปตรงมา

แม้แต่คำถามที่ว่า ถ้าหากได้เข้าไปนั่งในสภาฯ จะร่วมสมานฉันท์กับพรรคเพื่อไทยหรือไม่??

"บิ๊กบัง" ยังแทงกั๊กว่าเป็นเรื่องของอนาคต ต้องพิจารณากันอีกที

ก็นี่แหละ "ลับลวงพราง" ของแท้ 100 เปอร์เซ็นต์

อนึ่ง "แม่ลูกจันทร์" เห็นว่านโยบาย 4 ด้านของพรรคมาตุภูมิ ที่ "พล.อ.สนธิ" แถลงเปิดตัวไม่สามารถทำให้เกิดผลสำเร็จอย่างที่โฆษณา โดยเฉพาะนโยบายแก้ไขปัญหาขัดแย้งแตกแยกแบ่งขั้วแบ่งสีในสังคมไทย

เพราะตอนที่ พล.อ.สนธิ เป็นประธาน คมช. มีอำนาจเบ็ดเสร็จในมือยังสร้างความสมานฉันท์ไม่สำเร็จ

แถมยังทำให้สังคมไทยแตกแยกยับเยินยิ่งกว่าเดิม

เช่นเดียวกับนโยบายแก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ ที่ "พล.อ.สนธิ" มั่นใจว่ามีแนวคิดและมีแนวนโยบายที่ทำให้ 3 จังหวัดภาคใต้ คืนสู่สันติสุขอย่างยั่งยืน

"แม่ลูกจันทร์" ไม่อยากขัดคอ เพราะ พล.อ.สนธิ ได้เคยแสดงฝีมือแก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้มาแล้ว 3 ครั้ง 3 ครา

ครั้งแรก "พล.อ.สนธิ" เป็น ผบ.ทบ. ยุครัฐบาลทักษิณ ก็ล้มเหลวสิ้นเชิง

ครั้งที่สอง "พล.อ.สนธิ" เป็นประธาน คมช. ก็ยังล้มเหลวอยู่ดี

ครั้งที่สาม "พล.อ.สนธิ" เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง รัฐบาลขิงแก่ ก็ล้มเหลวตามฟอร์ม

วันนี้ "พล.อ.สนธิ" เปลี่ยนบทบาทใหม่เป็นนักการเมือง ประกาศอาสาดับไฟใต้ อีกครั้ง ถ้าพรรคมาตุภูมิได้ร่วมรัฐบาล

ล้มเหลวมาแล้ว 3 รอบ ยังไม่เข็ดอีกเรอะโยม??

แม่ลูกจันทร์

เหมือนรอตีตั๋วพิเศษ?

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_48163

อภิสิทธิ์

กะชิงจังหวะเล่นเกมเร็วเลย


ตามรายงานข่าววงในที่หลุดออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์ "เทพเทือก" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะผู้จัดการใหญ่รัฐบาลและเลขาธิการพรรค ได้ส่งซิกไล่จี้ให้ 12 ส.ส.ของพรรคที่โดนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชี้ขาดขาดคุณสมบัติกรณีถือหุ้น และอยู่ระหว่างการรอคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ

ให้รีบลาออกเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งซ่อมในช่วงปิดสมัยประชุมสภา

เพื่อไม่ให้กระทบต่อปัญหาองค์ประชุมสภาล่มซ้ำซาก และน่าจะรวมไปถึงคิวเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ที่แพลมไต๋ไว้แล้วจะยื่นญัตติเชือดในช่วงเปิดสภาต้นปีหน้า

แก้หมากกันแบบลุกลี้ลุกลน

ในอารมณ์ของผู้จัดการใหญ่ "เทพเทือก" เดินเกมต่ออายุรัฐบาลผสมทุกวิถีทาง


แต่ในจังหวะที่ขัดกัน กลับเป็นฝ่ายของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว ตามอารมณ์ที่สะท้อนผ่านจอมเก๋าอย่างนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ก็ส่งสัญญาณให้ 12 ส.ส.ยื้อสู้คดีให้ถึงที่สุด

"ปรมาจารย์ชวน" ยังมั่นใจในคาถา "หนังเหนียว" ของคนยี่ห้อประชาธิปัตย์


ยากจะมีอันเป็นไปง่ายๆ

"เทพเทือก" ประคองตัวเลข ส.ส.ในปีกของพรรคร่วมรัฐบาลเต็มที่ แต่ทีมของ "อภิสิทธิ์" ไม่ได้อีนังขังขอบกับเสียง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่ปริ่มน้ำ หมิ่นเหม่กับคิวสภาล่มซ้ำซาก เสี่ยง
แพ้โหวตฝ่ายค้าน

และไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขผู้แทนฯในสภา ยังรวมไปถึงการประคองเสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาลในภาพรวม

จับทางได้ว่า "อภิสิทธิ์" เชิดใส่ ไม่สนหน้าไหนแล้ว


กับคิวตั้งใจ "เหยียบตาปลา" พรรคร่วมรัฐบาล

อย่างที่เห็นอาการช้ำหนักสุดก็คือทีมมัชฌิมา ค่ายภูมิใจไทย ในปีกของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่โดนนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ "รับซิก" กับนายกฯอภิสิทธิ์ เสียบสกัดตัดขา
โครงการระบายสินค้าเกษตรของ "เจ๊วา" นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์

ขวางดะทั้งคิวข้าวโพด ข้าวเปลือก มันสำปะหลัง

เบรกกันแบบไม่ไว้หน้า

แสดงให้เห็นเลยว่า ไม่ยี่หระที่จะถูกมองว่า การปัดแข้งปัดขามาจากอารมณ์แค้นเคือง ชิงเหลี่ยมกันทางการเมือง มากกว่าจะทำงานเป็นทีมเวิร์กเพื่อผลประโยชน์ชาติ

ยี่ห้อ "สมศักดิ์ เทพสุทิน" โดนหักแบบไม่ให้ราคา

อาการ "หมั่นไส้" ยังพาลไปถึงยี่ห้อภูมิใจไทย ในปีกของนายเนวิน ชิดชอบ ก็โดนประชาธิปัตย์เขม่นเรื่องแย่งซีนกันจัดงานใหญ่ ฉลองวันมหามงคล

นัยว่า อย่าให้มันได้หน้าคนเดียว


ในอารมณ์เดียวกับคิวขวางยี่ห้อ "เนวิน" ตีกิน โดยคิวของพรรคเพื่อแผ่นดิน ก็โดนนายกฯอภิสิทธิ์เล่นรับส่งลูกกับนายกอร์ปศักดิ์ เสียบสกัดการเดินหน้าบิ๊กโปรเจกต์โทรศัพท์ 3 จี ในส่วนของบริษัททีโอทีฯ

ทั้งๆที่ต้นเรื่องอย่าง "เจ๊นก" ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมว.ไอซีที สั่งตีธงเดินหน้า ใส่เกียร์ห้าลุยแบบสุดกำลัง ขึ้นคัตเอาต์โฆษณากันทั่วบ้านทั่วเมือง

หวังจะปั่นผลงานชิ้นโบแดง

แต่เจอมุก "อภิสิทธิ์" รับซิกจาก "กอร์ปศักดิ์" แตะเบรกหัวทิ่ม สั่งให้ชะลอโปรเจกต์ ลากเกมออกไป "หักหน้ากันดื้อๆ" โดยไม่ได้ คำนึงว่า 3 ผู้คุมกฎของค่ายเพื่อแผ่นอย่าง "พินิจ จารุสมบัติ-ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ-ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี"

จะมีปฏิกิริยาสวนกลับยังไง


ในอารมณ์ที่ "อภิสิทธิ์" ไม่ไยดีกับพรรคร่วมรัฐบาล นั่งร้านที่ช่วยกันค้ำเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

ผิดธรรมชาติผู้นำรัฐบาลผสม

โดยทิศทางลม เหมือนจะล้อกับกระแสข่าวที่แว่วๆฝ่ายคุมเกมอำนาจประเทศไทยจ่อ "ล้มกระดาน" ไม่ปล่อยให้ลงสนามเลือกตั้ง สกัดเครือข่าย "ทักษิณ" กลับมาเป็นฝ่ายถืออำนาจ

เส้นทางเปิด "รัฐบาลพิเศษ"

ในมุมนี้ก็หวังกันได้ กับ "เด็กดี" ยี่ห้อ "อภิสิทธิ์" ผู้มีต้นทุนส่วนตัวสูง ใสสะอาดหมดจดอยู่ในดงนักเลือกตั้งต้นทุนต่ำ

มั่นอกมั่นใจกับภาพของ "น้ำโพลาริสในขวดลอยอยู่กลางน้ำครำ"

รอ "ตั๋วพิเศษ" เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลพิเศษ ไม่มีผู้แทนราษฎรในสภา

ไม่ต้องพึ่งเสียง ส.ส.ค้ำเก้าอี้.


ทีมข่าวการเมือง

เพื่อไทยเตือนนายกฯอย่าดันทุรังไปเชียงใหม่

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_48278

พรรคเพื่อไทย เตือนนายกฯ​ ให้ยกเลิกไปจ.เชียงใหม่ หากไม่มั่นใจเรื่องการรักษาความปลอดภัย แถมเปลืองงบประมาณ สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ...

ช่วงเช้าวันนี้ (21 พ.ย.) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในกรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ วันที่ 29 พ.ย. โดยจะมีชาวเชียงใหม่จำนวนมากไม่ต้องการต้อนรับนายกฯ นั้น คาดไม่ถึงว่าการบริหารราชการแผ่นดินของนายกฯ จะเป็นคนชอบท้าทายประชาชน ชอบให้ชีวิตแบบมีลุ้น ยังดันทุรังที่จะไป คล้ายเด็กดื้อที่จะทำอะไรต้องทำให้ได้ ขอฝากถามนายกฯ ว่าเป็นอะไรมากหรือไม่ มั่นใจได้อย่างไรว่าทีมรักษาความปลอดภัยจะดูแลนายกฯได้ ขอเตือนไปยังนายกฯว่าหากไม่ชัวร์ เรื่องความปลอดภัยขอให้ยกเลิกไป จ.เชียงใหม่ เพราะเมื่อคืนหลังกลับจากเชียงใหม่ นอนฝันว่ามีประชาชนนับแสนวางแผนเตรียมต้อนรับนายกฯ ชนิดที่หน่วยข่าวกรอง ชุดรักษาความปลอดภัยของนายกฯคาดไม่ถึง แม้ทราบว่ามีการวางแผนที่จะใช้เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ไว้รองรับเหตุฉุกเฉิน หากนายกฯ ยังดันทุรังจะไปเชียงใหม่ โดยขนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนับพันคน ปิดถนนสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน คงต้องใช้งบประมาณอีกหลายล้านบาท ยิ่งวันนี้รัฐบาลอยู่ในสภาพบักโกรก กลับจะใช้เงินโดยไม่จำเป็นอีก ดังนั้นหากรัฐบาลบริหารประเทศไปไม่ไหวควรยุบสภา และกำหนดกติการ่วมกันให้ยอมรับผลการเลือกตั้งดีกว่า

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ที่เปิดให้นักจัดรายการบางคน จีบปากจีบคอด่าฝ่ายตรงข้าม โดยด่าข้ามประเทศไปถึงกัมพูชานั้น ขอเรียกร้องให้ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ควรยุบสถานีโทรทัศน์ดังกล่าวทิ้งได้แล้ว มีไว้สร้างความแตกแยกให้สังคม ขัดต่อพันธกิจของสถานีโทรทัศน์ช่องนี้ ที่เขียนไว้ชัดเจนว่า ต้องสร้างความสามัคคี ขอเรียกร้องให้ตั้ง กบว.สถานีโทรทัศน์ฟรีทีวี เพื่อตรวจสอบ กลั่นกรองนักจัดรายการว่าใช้สื่อของรัฐเอื้อประโยชน์ สร้างความแตกแยกในสังคมหรือไม่

นายจิรายุ กล่าวต่อว่า ขณะนี้รัฐบาลพยายามปลุกกระแสคลั่งชาติ โดยมีทีมสร้างภาพของรัฐบาลรับลูกกันเป็นทอดๆ เพื่อกลบเกลื่อนปัญหาทุจริต คอรัปชั่น เห็นได้จากข้อมูลขององค์กร เพื่อความโปร่งใส สำนักตรวจสอบ และจัดอันดับคอรัปชั่นของโลกพบว่ารัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการคอรัปชั่นเพิ่มมากขึ้นกว่าในสมัยรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาล ของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ดังนั้นขอเรียกร้องให้นักวิชาการ ผู้ที่เคยทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของทุกรัฐบาล โดยเฉพาะนายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์ประจำคณะสังคมและมนุษยวิทยา มหาวิทลัยธรรมศาสตร์ วันนี้ไปอยู่ที่ไหน ออกมาช่วยตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลชุดนี้บ้าง

เขมรสร้างบ้านรอ บิ๊กเสื้อแดง ปัดส่งอาวุธหนุน

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_48301

สื่อเขมรพาดหัว ระบุ รัฐบาลกัมพูชาเตรียมบ้านรับรองให้แกนนำเสื้อแดงที่อาจหนีจากไทย โดยมีรูปนายจักรภพ เพ็ญแข ชู 2 นิ้วขึ้นหน้าหนึ่ง ...

เมื่อเช้าวันนี้ ( 21 พ.ย.52 ) ที่บริเวณหน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วโดยมี พ่อค้า แม่ค้า และกรรมกรชาวเขมร เดินทางเข้ามาค้าขายและรับจ้างในตลาดโรงเกลือ ซึ่งเป็นตลาดการค้าชายแดน ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งอยู่บริเวณชายแดน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว

ทำให้บรรยากาศบริเวณหน้าด่านกลับมาคึกคักเหมือนเดิม นอกจากชาวเขมรแล้วช่องทางขาออกไปกัมพูชา ก็คึกคักไม่แพ้กันโดยมีนักพนันชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนมากเดินทางผ่านด่าน ตม.อรัญประเทศ ออกไปฝั่งกัมพูชา ทำให้บรรยากาศบริเวณหน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ กลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง

ส่วนบรรยากาศภายในตลาดโรงเกลือ ซึ่งเริ่มมีอากาศที่หนาวเย็นขึ้นทำให้มีพ่อค้า แม่ค้า ชาวเขมร นำเสื้อกันหนาวมือสองและผ้าห่มมือสอง ออกมากองและแขวนขายกันเป็นจำนวนมากโดยมีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางเข้ามาหาและเลือกซื้อเสื้อกันหนาวและผ้าห่มมือสองกันอย่างคึกคัก

แต่อย่างไรก็ดี บรรยากาศที่คึกคักก็ยังแฝงไปด้วยความวิตกกังวลของพ่อค้า แม่ค้า ชาวกัมพูชา โดยมีพ่อค้า แม่ค้าชาวกัมพูชา บางส่วนได้นำหนังสือพิมพ์กัมพูชา มาอ่านและวิพากวิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์รัศมีกัมพูชา ฉบับประจำวันที่ 20 พ.ย.52 ซึ่งมีมาวางจำหน่ายในกรุงปอยเปต และชาวกัมพูชานำเข้ามาจำหน่ายในตลาดโรงเกลือ เช้าวันนี้ ได้พาดหัวข่าวว่า”เขมรปฏิเสธส่งอาวุธให้กลุ่มเสื้อแดง และระบุกัมพูชาเตรียมบ้านรับรองให้แกนนำคนเสื้อแดงที่หลบหนีคดี โดยมีภาพนายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำคนเสื้อแดงที่หลบหนีคดีฯ ชู 2 นิ้ว ขึ้นหน้าหนึ่งของ น.ส.พ.รัศมีกัมพูชา ด้วย


นายมอง เวียน อายุ 33 ปี ชาวกัมพูชาและเป็นพ่อค้าเสื้อผ้ามือสองในตลาดโรงเกลือ เผยว่าจากข่าว น.ส.พ.รัศมีกัมพูชา ทำให้พ่อค้า แม่ค้า ชาวกัมพูชา บางคนหวั่นวิตกว่าหากสถานการณ์ข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ยังไม่ยุติและยังมีการตอบโต้กันทั้งทางสื่อฯและรัฐบาล จะทำให้การค้าบริเวณชายแดนเป็นไปด้วยความลำบากเนื่องจากคนกัมพูชากลัวเหตุการณ์บานปลายทำให้ปัญหาลุกลามและเป็นจุดล่อแหลมที่จะทำให้ด่านชายแดนถูกสั่งปิด ซึ่งจะกระทบกับพ่อค้า แม่ค้าชาวกัมพูชาที่ค้าขายในตลาดโรงเกลือ โดยตรงเพราะตลาดโรงเกลือ ส่วนใหญ่ประมาณ 90% จะเป็นชาวกัมพูชาที่มาค้าขายในตลาดโรงเกลือ และชาวกัมพูชาก็มีสินค้าจำนวนมากอยู่ในตลาดโรงเกลือ หากด่านถูกสั่งปิดสินค้าของชาวกัมพูชาที่มีมูลค่าเป็นร้อยๆล้านบาทที่อยู่ในตลาดโรงเกลือ จะทำอย่างไร ซึ่งกำลังเป็นที่หวั่นเกรงของชาวกัมพูชาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะข่าวการสร้างบ้านรับรองให้กับแกนนำคนเสื้อแดงของไทยที่หลบหนีคดี อาจทำให้รัฐบาลไทย ไม่ไม่พอใจแล้วตอบโต้รัฐบาลกัมพูชาด้วยการสั่งปิดพรมแดนได้ จึงอยากให้รัฐบาลไทยและกัมพูชา หาทางเจรจากันอย่าปล่อยให้มีการตอบโต้กันอีกเลย นายมอง เวียน “กล่าว”

ส่วน น.ส.พ.รัศมีกัมพูชา ซึ่งพาดหัวข่าว”เขมรปฏิเสธส่งอาวุธให้กลุ่มคนเสื้อแดง และระบุกัมพูชาเตรียมบ้านรับรองให้กับแกนนำคนเสื้อแดงที่อาจหนีจากไทย “โดยมีภาพนายจักรภพ เพ็ญแข ชู 2 นิ้ว ขึ้นหน้าหนึ่งนั้น น.ส.พ.รัศมีกัมพูชา ระบุเป็นการเปิดเผยของ นายเขียว สุเพี๊ยะ โฆษกกระทรวงมหาดไทยของกัมพูชา และได้ปฏิเสธคำกล่าวอ้างของนายจักรภพฯที่เคยให้สัมภาษณ์ น.ส.พ.เอเซียไทม์ ออนไลน์ ว่าคนเสื้อแดง ได้สั่งอาวุธจากกัมพูชาโดยจะส่งไปให้คนเสื้อแดงที่ภาคอีสานเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลไทยนั้น โดยกล่าวว่าเรื่องอาวุธนั้นกัมพูชาไม่มีแต่ก็ไม่ขาด รัฐธรรมนูญกัมพูชากำหนดไว้ว่า กัมพูชาไม่ให้ดินแดนหรืออาวุธให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือใครหรือเพื่อล้มรัฐบาลใด และกัมพูชาไม่เคยทำร้ายประเทศไทย มีแต่ไทยที่ทำร้ายกัมพูชา

ทั้งนี้ น.ส.พ.รัศมีกัมพูชา ยังระบุว่า น.ส.พ.เอเซียไทม์ออนไลน์ ได้เสนอข่าวว่าหลังจากรัฐกัมพูชาสร้างบ้านรับรองให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในกัมพูชาแล้ว กำลังเตรียมบ้านพักรับรองให้กับแกนนำคนเสื้อแดงที่หลบหนีคดี คือนายจักรภพ เพ็ญแข และนายยงยุทธ ติยะไพรัช อีก

‘อ๋อย’ แย้ม ไม่หวังฟื้น ทรท. แต่หวังยุบ ปชป. ฐานสร้างพยานเท็จ

ที่มา ประชาไท

สืบเนื่องจากกรณีที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีต รองผอ.กอ.รมน. นำพยาน 2 ราย ที่เคยให้การต่อตุลาการรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคไทยรักไทยมาเปิดเผยว่า ได้รับการว่าจ้างจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ คนละ 15 ล้านบาท เพื่อปรักปรำพรรคไทยรักไทย จนทำให้พรรคไทยรักไทยถูกยุบไปในที่สุดนั้น

เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้ความเห็นต่อเรื่องดังกล่าว โดยยอมรับว่า การต่อสู้เพื่อให้รื้อฟื้นคดีและชนะคดียุบพรรคไทยรักไทยนั้นเป็นเรื่องยาก แม้จะมีพยาน 2 คนออกมาสารภาพว่าถูกจ้างวานให้เป็นพยานเท็จก็ตาม ดังนั้น จะพุ่งเป้าไปที่การเอาผิดกับพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ว่าจ้างให้พยานทั้ง 2 คน มาใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย เพราะถือเป็นข้อมูลใหม่ที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน และเปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้ผู้เกี่ยวข้องกำลังประสานงานกับ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และอดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยที่ตกเป็นจำเลยคดีอาญาในฐานะผู้ว่าจ้างพรรคเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อขอให้มาเป็นเจ้าภาพในการดำเนินคดีกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถือว่าเป็นบุคคลที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง

ทั้งนี้เขากล่าวด้วยว่า เมื่อได้หลักฐานใหม่ที่เป็นประโยชน์ในทางคดี เราก็มีสิทธิอันชอบธรรมในการเล่นงานพรรคประชาธิปัตย์ นี่คือเป้าหมายที่มีโอกาสเป็นไปได้สูง สำหรับขั้นตอนในการดำเนินการเอาผิด จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.การเข้าแจ้งความกับตำรวจเพื่อขอให้ดำเนินคดีอาญากับพรรคประชาธิปัตย์ฐานจงใจใช้พยานเท็จ และ 2.การยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กตต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากเลขาธิการพรรคกระทำผิดกฎหมายพรรคการเมือง หาก กกต.วินิจฉัยว่ามีมูล ก็จะยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาต่อไป

............................
ที่มา : เรียบเรียงจากเว็บไซต์มติชน

สุรชาติ บำรุงสุข: สร้างเอกภาพด้วยสงคราม!

ที่มา ประชาไท

“ในประเทศของเรา คนชนชั้นหนึ่งสร้างสงคราม
และก็ปล่อยให้คนอีกชนชั้นหนึ่งต่อสู้เอาเอง”


จดหมายจาก Gen. Sherman ถึง Gen. O.O. Howard
ในสงครามกลางเมืองอเมริกัน
17 พฤษภาคม 1865

ในสถานการณ์ปัจจุบันเห็นได้ชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยกับกัมพูชา มีแนวโน้มทรุดต่ำลง จนหลายฝ่ายเกิดความกังวลว่า สถานการณ์เช่นนี้อาจจะต้องจบลงด้วย “สงคราม” เพราะมองไม่เห็นปัจจัยเชิงบวกที่จะทำให้สถานการณ์ความตึงเครียดเช่นนี้ ลดระดับของความรุนแรงลงแต่อย่างใด

ว่าที่จริงแนวโน้มเช่นนี้ไม่ใช่ทิศทางใหม่แต่อย่างใด ถ้าเราถอยกลับไปมองปัญหาที่ค่อยๆ เริ่มก่อตัวมาตั้งแต่กัมพูชาต้องการจดทะเบียนพระวิหารเป็นมรดกโลกในช่วงต้นปี 2550 ก็จะพอคาดเดาได้ว่า เรื่องดังกล่าวย่อมจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสองอย่างแน่นอน และเมื่อล่วงเข้าปี 2551 เราก็ได้เห็นสถานการณ์ในลักษณะเช่นว่านั้น จนอาจกล่าวได้ว่า หนึ่งในปัญหาวิกฤตของไทยในปี 2551 ก็คือ “วิกฤตการณ์ปราสาทพระวิหาร”

แต่ถ้าจะบอกว่าวิกฤตการณ์ปราสาทพระวิหาร เป็นปัญหาในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแต่เพียงอย่างเดียว คงจะไม่ใช่ เพราะสิ่งที่เป็นปัญหาทับซ้อนอยู่กับเรื่องเช่นนี้ก็คือ วิกฤตการณ์ของการเมืองไทยเอง ซึ่งการก่อตัวระลอกแรกขึ้นด้วยการจัด “ขบวนล้มรัฐบาลทักษิณ” และการเคลื่อนตัวของกระแสเช่นนี้จบลงด้วยวิธีการที่ง่ายของการเมืองไทยก็คือ การรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549

แต่หลังจากรัฐประหารดังกล่าวแล้ว ปัญหากลับไม่ได้จบลงเป็นปกติแต่อย่างใด ขบวนล้มรัฐบาลทักษิณ ซึ่งเป็นการสร้างแนวร่วมของกลุ่มต่างๆ ในสังคมไทยตั้งแต่ระดับสูงลงมา โดยมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนที่อาจจะต้องกล่าวว่าไม่ใช่แต่เพียงการล้มรัฐบาลทักษิณเท่านั้น หากแต่ยังมีนัยถึงการล้มระบอบการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง พร้อมกับการสถาปนา “ประชาธิปไตยชี้นำ” (หรืออาจจะเรียกว่าเป็น “Guided Democracy”) ที่การเมืองจะต้องถูกควบคุมโดยชนชั้นนำ หรือเป็นไปในทิศทางที่ชนชั้นนำเป็นผู้ได้ประโยชน์ ซึ่งกระบวนการเช่นนี้ได้ถูกกำหนดโดยตรงจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 โดยมองว่าการเมืองก่อนรัฐประหาร 2549 ที่มาพร้อมกับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 นั้น ก่อให้เกิด “ความฟุ้งเฟ้อของประชาธิปไตย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ระบบทุนนิยมส่วนหนึ่ง และชนชั้นล่างอีกส่วนหนึ่งเข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้ได้รับประโยชน์มากขึ้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ประชาธิปไตยแบบรัฐธรรมนูญปี 2540 นั้น ก่อให้เกิดพันธมิตรระหว่างทุนกับชนชั้นล่างโดยผ่านนโยบายแบบประชานิยม ซึ่งถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อชนชั้นสูงและชนชั้นกลางในเมือง

และ “คำตอบสุดท้าย” สำหรับการต่อสู้กับปัญหาเช่นนี้ก็คือ การใช้การรัฐประหารเป็นเครื่องมือในการจัดการทั้งควบคุมและทำลายคู่ปฏิปักษ์เดิม และหวังว่ารัฐประหารจะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการถอยการเมืองไทยกลับสู่สภาวะเดิมที่ทุกอย่างต้องถูกควบคุมโดยชนชั้นสูง ที่มีฐานะเป็นชนชั้นนำในการเมืองไทย พร้อมๆ กับการอาศัยการขับเคลื่อนจากการเปลี่ยนจุดยืนของพลังบางส่วนไม่ว่าจะเป็นสื่อ ปัญญาชน ชนชั้นกลางในเมือง และบรรดาผู้นำเอ็นจีโอที่มีอดีตเป็นนักเคลื่อนไหว ตลอดรวมถึงบรรดาผู้ที่เคยมีฐานะเป็น “ฝ่ายซ้าย” ที่ใกล้ชิดกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งล้วนแต่ชูคำขวัญในลักษณะของการ “ต่อต้านทุนนิยม” และไม่ยอมรับต่อทิศทางในความเป็นพันธมิตรระหว่างทุนนิยมกับชนชั้นล่างในรูปของประชานิยม

แต่ในกระบวนการต่อสู้ทางการเมืองเช่นนี้กลับพบว่า เครื่องมือเดิมด้วยวิธีการรัฐประหารนั้น ควบคุมระบบการเมืองไทยไม่ได้จริง ระบอบทหารภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มในข้างต้นกลายเป็นเพียง “จำอวดการเมือง” ที่พวกเขาบริหารประเทศไม่ได้และบริหารไม่เป็น แต่ก็อาศัยสื่อกระแสหลักและการสนับสนุนของชนชั้นนำเป็นเครื่องค้ำประกันความอยู่รอด พร้อมๆ กับการโหมทำลายและโจมตีทางการเมืองต่อกลุ่มที่หมดอำนาจจากการรัฐประหารอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาคุณธรรม ปัญหาคอร์รัปชั่นและปัญหาความไม่จงรักภักดี ตลอดรวมถึงปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในประเด็นหลังนี้ได้ถูกนำมาใช้เคลื่อนไหวเพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้นำรัฐบาลไทยที่ถูกล้มด้วยการรัฐประหารมีผลประโยชน์ร่วมกับผู้นำรัฐบาลกัมพูชา จนถูกสร้างให้เป็นเรื่องถึงขั้นมีการแลกปราสาทพระวิหารกัน ซึ่งการนำประเด็นเช่นนี้มาจุดกระแส เห็นชัดเจนว่าต้องการสร้างกระแสชาตินิยมให้เกิดขึ้นให้ได้

ดังนั้นหากมองการสร้างกระแสชาตินิยมในปี 2551 ในบริบทของการเมืองไทยแล้ว ก็อาจกล่าวได้ว่าชาตินิยมถูกจุดขึ้นเพื่อรองรับต่อการหวนคืนของกระแสขวาจัด ที่ก่อรูปอย่างชัดเจนจากความสำเร็จของการโค่นล้มรัฐบาลทักษิณด้วยการรัฐประหาร แต่ดังที่รับรู้กันโดยทั่วไปก็คือ รัฐประหารประสบความสำเร็จเพียงการโค่นรัฐบาลพลเรือน แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จในการควบคุมระบบการเมืองหลังจากนั้น ประจักษ์พยานที่ชัดเจนก็คือ เสียงสนับสนุนในตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงมีอยู่อย่างเหนียวแน่น และพรรคไทยรักไทยที่แม้จะต้องถูกทำลายลง ก็ไม่ได้หมดสภาพไปแต่อย่างใด กลับมีการสืบทอดทิศทางและนโยบายจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งในอีกด้านหนึ่งของปัญหาจากความสำเร็จในการล้มรัฐบาลทักษิณ ก็นำไปสู่การก่อตัวของการต่อต้านระบอบอำนาจนิยมของทหารที่มีการยึดอำนาจเป็นแกนกลาง พร้อมๆ กับการก่อตัวของการต่อต้านระบอบการเมืองเก่าที่ถูกมองว่าตกอยู่ภายใต้การควบคุมของชนชั้นนำและชนชั้นสูง

ดังนั้นเมื่อเกิดกรณีปราสาทพระวิหารขึ้น ซึ่งแม้เรื่องดังกล่าวจะเป็นประเด็นมาตั้งแต่ปี 2550 อันเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลรัฐประหารยังคงอยู่ในอำนาจ แต่ก็ไม่เป็นประเด็นในเวทีสาธารณะเท่าใดนัก และน่าสนใจว่า ถ้ารัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ยังคงดำรงอำนาจอยู่จนถึงปี 2551 แล้ว รัฐบาลดังกล่าวจะดำเนินการอย่างไรในกรณีปราสาทพระวิหาร และกระแส “ชาตินิยมขวาจัด” ที่มีฐานการสนับสนุนรวมศูนย์อยู่กับชนชั้นนำที่เป็นชนชั้นสูง ชนชั้นกลางในเมือง สื่อกระแสหลัก ปัญญาชน ผู้นำเอ็นจีโอและอดีตนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้าย จะกดดันรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ อย่างไร

คำถามดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะผลจากการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2550 นั้น ส่งผลให้พรรคการเมืองของฝ่ายที่ถูกโค่นล้มอำนาจด้วยการรัฐประหารนั้น กลับเข้ามามีอำนาจอีก รัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช มีท่าทีประนีประนอมในกรณีปัญหาปราสาทพระวิหาร เพราะตระหนักถึงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ การเมือง และข้อจำกัดทางกฎหมายที่เกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าว ซึ่งท่าทีเช่นนี้เห็นได้ชัดเจนจากแถลงการณ์ไทย-กัมพูชา-ยูเนสโก หรือที่เรียกกันภายในว่า “แถลงการณ์นพดล”

แต่ท่าทีเช่นนี้ได้กลายเป็นโอกาสอันดียิ่งให้แก่กลุ่มขวาจัดที่ด้านหนึ่งจะสามารถใช้กระแสชาตินิยมในการเป็น “ธงนำ” ของการเคลื่อนไหว เพราะในขณะที่กลุ่มชนชั้นล่างและคนในชนบทยังคงให้การสนับสนุนกลุ่มทักษิณโดยผ่านความชื่นชมในนโยบายประชานิยมนั้น สิ่งที่จะนำมาใช้เป็นอาวุธในการทลายพลังอำนาจของประชานิยมได้อย่างมีประสิทธิภาพก็น่าจะเป็น “ลัทธิชาตินิยม” และกรณีปราสาทพระวิหารก็เป็นรูปธรรมอันดียิ่งที่ถูกนำมาเป็นประเด็นของการสร้างกระแสเช่นนี้

ในด้านหนึ่งผู้คนในสังคมไทยไม่มีความทรงจำในประวัติศาสตร์หลงเหลืออยู่เท่าใดนัก ความทรงจำที่ตกหล่นหายไปกับกาลเวลาเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้คนเป็นจำนวนมากไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในการกำเนิดของ “สยามรัฐ” ที่ถูกกำกับด้วย “พรมแดนวิทยาศาสตร์” (scientific frontier) หรือเส้นเขตแดนเช่นในปัจจุบัน อันเป็นผลจากข้อตกลงที่พระมหากษัตริย์สยามกระทำกับเจ้าอาณานิคมในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส 1893 1904 และ 1907 (พ.ศ. 2447 และ พ.ศ. 2450 ตามลำดับ) และการต้องคืนดินแดนที่สยามยึดมาในปี 2484 ให้แก่เจ้าของเดิมในปี 2489

ขณะเดียวกันก็ไม่รับรู้ผลที่เกิดจากคำตัดสินของศาลระหว่างประเทศในปี 2505 และความไม่รับรู้เช่นนี้ ยังรวมไปถึงการไม่ตระหนักถึงข้อจำกัดทางกฎหมายที่เกิดขึ้น ดังประสบการณ์ในปี 2489 หรือในปี 2505 ที่เป็นผลลบแก่รัฐบาลไทยมาแล้ว หรือบางทีเราก็ไม่อยากได้ยินว่าในสมัยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย ก็ได้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชาในวันที่ 14 มิถุนายน 2543 ที่การปักปันเขตแดนจะถือเอาสนธิสัญญา 1893 อนุสัญญา 1904 สนธิสัญญา 1907 และพิธีสารแนบท้าย และแผนที่ปักปัน 1904 และ 1907 เป็นเอกสารหลัก

ความไม่รับรู้อดีตการกำเนิดของสยามรัฐและปัญหาเส้นเขตแดนสยามเป็นช่องว่างให้กระแสชาตินิยมก่อตัวได้ง่าย อีกทั้งการปลุกระดมที่เกิดขึ้นยังเป็นผลจากทัศนะ (perception) ของผู้คนในสังคมไทยในการมองประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นพม่า ลาว หรือกัมพูชา ด้วยความเชื่อว่า ไทยเป็นใหญ่เหนือชาติเหล่านี้ โดยเฉพาะในกรณีลาวและกัมพูชาแล้ว เราชอบถือว่าไทยเป็น “พี่ใหญ่” ที่เคยปกครองพวกเขามาแล้ว ประกอบกับก็มีประวัติศาสตร์ที่ถูกสร้างให้เกิดความหมองใจและความหวาดระแวงต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของสงคราม และการยึดครองที่เกิดขึ้น และด้วยเงื่อนไขทางจิตวิทยาเช่นนี้ เราก็สร้างความทรงจำในประวัติศาสตร์จนถึงขนาดพระมหากษัตริย์อยุธยาจับเจ้าผู้ครองกัมพูชาตัดศีรษะเอา “เลือดล้างเท้า” มาแล้ว (บางทีก็น่าฉุกคิดว่า กษัตริย์อยุธยากระทำการเช่นที่เราสร้างเรื่องราวให้ภูมิใจและใช้ข่มประเทศเพื่อนบ้านเช่นนี้จริงหรือ อดคิดไม่ได้ว่า พระมหากษัตริย์ของเราอาจจะไม่คิดและกระทำอะไรหยาบเช่นนั้นเลยก็ได้ แต่เราก็เชื่อเอาเองมาโดยตลอด!)

ผลของการปลุกกระแสชาตินิยมแบบสุดขั้วในปี 2551 เกือบจะนำพาไทยเข้าสู่สงครามกับกัมพูชาในกรณีปราสาทพระวิหารมาแล้ว แต่สำคัญกว่านั้นก็คือ กระแสเช่นนี้มีส่วนโดยตรงต่อการทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลสมัคร และในขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมืออย่างดีในการต่อสู้กับการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มผู้สนับสนุน ตลอดรวมถึงกลุ่มที่ไม่ใช่ผู้สนับสนุนทักษิณโดยตรง แต่มีความเห็นต่างจากรัฐบาลในกรณีความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และกรณีปราสาทพระวิหาร ก็จะถูกทวงถามด้วยวาทกรรมชาตินิยมว่า “เป็นคนไทยหรือเปล่า?” หรือถูกประณามด้วยวลีเก่าๆ ว่า “ขายชาติ” หรือ “คนไทยใจเขมร” เป็นต้น

ฉะนั้นเมื่อผู้นำรัฐบาลกัมพูชาให้สัมภาษณ์ถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จนถึงกรณีการแต่งตั้งให้ พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจแก่รัฐบาลกัมพูชาแล้ว ก็คาดเดาได้ไม่ยากว่า จะยิ่งทำให้กระแสชาตินิยมขวาจัดในไทยอยู่ในภาวะ “แทบจะอกแตกตาย” และจะต้องยิ่งใช้แนวทางตอบโต้แบบ “สะใจ” เพราะตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศต่างก็มาจากกลุ่มเรียกร้องเอาปราสาทพระวิหารคืน และทั้งยังมีท่าทีต่อต้านกัมพูชาด้วย ฉะนั้นเมื่อรัฐบาลนี้กำเนิดขึ้น อันเป็นผลส่วนหนึ่งมาจากการเล่นการเมืองและการสนับสนุนของกลุ่มชนชั้นนำที่เป็นชนชั้นสูงและทหาร และอีกส่วนก็มาจากกลุ่ม “เสื้อเหลือง” ที่มีลักษณะ “สุดขั้ว” ในปัญหาพระวิหาร จนดูเหมือนว่าทิศทางนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลก็คือ นโยบายต่างประเทศของกลุ่มเสื้อเหลือง ซึ่งก็คือนโยบายที่ถูกขับเคลื่อนด้วยลัทธิชาตินิยมสุดขั้ว และการ “ไล่ล่าทักษิณ” โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น

การดำเนินนโยบายแบบ “สะใจ” ที่เรียกทูตกลับ (การลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต) และเตรียมยกเลิกบันทึกช่วยจำฉบับต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 17 ฉบับ (การยกเลิกเรื่องที่ทำความตกลงไว้แล้วในอดีต) อาจจะช่วยในการสร้างกระแสตอบรับรัฐบาล อย่างน้อยอาจจะทำให้รัฐบาลกัมพูชาและ พ.ต.ท.ทักษิณ กลายเป็น “แพะ” สำหรับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาคอร์รัปชั่นในโครงการไทยเข้มแข็ง ปัญหาการแต่งตั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และอื่นๆ

การดำเนินนโยบายที่ใช้กระแสชาตินิยมเป็นเครื่องมือ อาจจะทำให้คนไทยเป็นเอกภาพได้บ้าง แต่ก็คงไม่ใช่ทั้งหมด เว้นแต่ผู้นำรัฐบาลจะเชื่อผลโพลล์ และเชื่อว่า “รัฐบาลเดินมาถูกทางแล้ว” แต่ก็คงจะต้องระมัดระวังว่า ถ้าดำเนินนโยบายในลักษณะเช่นนี้แบบไม่มีข้อจำกัดแล้ว กระแสชาตินิยมก็อาจจะเกิดขึ้นในอีกฝั่งหนึ่งของเส้นพรมแดนได้เช่นกัน

ถ้ากระแสชาตินิยมชนกับกระแสชาตินิยมในแต่ละฟากฝั่งของเส้นเขตแดนแล้ว คำตอบสุดท้ายมีแต่เพียงประการเดียวก็คือ “สงคราม” และถ้าเช่นนั้นสงครามจะกลายเป็นเครื่องมืออย่างดีในการต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และส่งเสริมให้ฐานะของรัฐบาลที่มีวิกฤตต่างรุมเร้าอย่างมากนั้นดีขึ้นมาก อย่างน้อยสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านมักจะทำให้ผู้คนในประเทศลืมเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำ และที่สำคัญก็คือ ลืมความล้มเหลวของรัฐบาลในเรื่องอื่นๆ อีกทั้งยังอาจจะทำให้ “เด็กน้อย” บางคนกลายเป็น “ผู้ใหญ่” ที่ทรงอำนาจ (ถ้าเขาอยู่รอดได้ !)


หมายเหตุ: ชื่อบทความเดิม: สร้างเอกภาพด้วยสงคราม! ปัญหาวิกฤตไทย-กัมพูชา

เผยพื้นที่สังหาร พ.ต.ท.ทักษิณฯ

ที่มา thaifreenews

โดย หัตถา





อีนี่มันเลวได้ใจจริงๆ

มันสั่งให้ตาเฟื่อง..ผบ.ทอ. นำเครื่องบินรบ F-16 ADF รุ่นล่าสุดของเมืองไทยบินขึ้นจาก กองบินทางยุทธวิธีที่1 ฝูงบินรบที่102
จังหวัดนครราชสีมาจำนวน 4ลำพร้อมติดจรวดหัวรบยิงระยะไกลสุดเส้นขอบฟ้า
ไปรอที่สนามบินอู่ตะเภาก่อนหน้าแล้ว
ส่วนทางภาคใต้ใช้ กองบินที่ 7 ฝูงบินรบที่701 จังหวัดสุราษฏร์ธานี F-5E เป็นตัวสกัดกั้นการหลบหนี
...
จรวดที่ใช้ชื่อ ARAM ซึ่งมีใช้ในเมืองไทยเพียง 8ลูก หายไป2ลูก(อเมริกาไม่ยอมขายให้มากกว่านี้)
สมรรถนะของจรวดประเภทนี้เท่าที่ทราบ ใช้ยิงเป้าหมายจากอากาศสู่อากาศควบคุมด้วยเรด้าของเครื่องบิน
หรือดาวเทียม ได้ด้วย ระยะหวังผลสุดเส้นขอบฟ้า เป็นขีปนาวุธที่มีอนุภาพระดับหนึ่งของโลกเช่นกัน
จากการจัดหา กองทัพอากาศไทยได้ทำการร้องของการขาย AIM-120C-5 AMRAAM
ซึ่งเป็นขีปนวุธอากาศสู่อากาศพิสัยกลางจากสหรัฐอเมริกา พร้อม ๆ กับคำร้องขอของกองทัพอากาศสิงคโปร์
แต่ทั้งนี้นโยบายของสหรัฐอเมริกาคือ ไม่ต้องการให้การขายอาวุธของสหรัฐเป็นการเพิ่มการแข่งขันสะสมอาวุธ
หรือทำให้ดุลภาพทางทหารของภูมิภาคเสียไป โดยในขณะที่ภูมิภาคอาเซียนไม่มีจรวดนำวิถีพิสัยกลางอยู่
ในประจำการ สหรัฐจึงขอให้เก็บ AMRAAM ของกองทัพอากาศไทยและสิงคโปร์ไว้ที่ฐานทัพอากาศของสหรัฐ
ต่อมาเมื่อกองทัพอากาศมาเลเซียจัดหาขีปนวุธอากาศสู่อากาศพิสัยกลาง R-27 จากรัสเซียได้สำเร็จ
สหรัฐจึงมอบ AMRAAM ของกองทัพอากาศไทยและสิงคโปร์มาเก็บไว้ที่ประเทศไทยและสิงคโปร์
ตามลำดับ ซึ่ง F-16ADF นับเป็นเครื่องบินขับไล่แบบแรกของกองทัพอากาศไทยที่มีความสามารถในการ
โจมตีในระยะเกินสายตา (Beyond Visual Range: BVR)
...
นั้นหมายถึงว่ายุทธวิธีสกัดกั้น........ใช้ประกบข้าง2ลำ...นำหน้า1ลำ...ปิดท้าย1ลำ ตามแบบยุทธวิธีการบินบังคับให้ลง
หรือ เมื่อเข้าเขตน่านฟ้าทางทะเลของไทยหรือสากล ก็ยิงด้วยจรวด AMRAAM ระเบิดกลางอากาศจมทะเลหาชิ้นไม่เจอ
ซึ่งการสกัดกั้นนั้น ใช้อาวุธปืนประจำเครื่องบินก็พอเพียงแล้ว..และโดยรู้ว่าจะสกัดเครื่องบินโดยสารที่ไม่มีอาวุธ!!!!!!!!!!!
เราไม่มีความรู้ด้านอาวุธเขียนผิดถูกโปรดอภัยด้วยแต่ที่แน่ๆมันเจตนาฆ่าทิ้งมากกว่าด้วยจรวด.............
...........เห็นเครื่องสังหารและแผนการสังหารทางอากาศ.....
.............นี่หรือทหารไทยผู้เก่งกล้าสามารถ กับคนมือเปล่า......โฮ่หน่อยซิครับ
..............สดุ้งตื่นพอดี พี่ลูกชาวนาไทยปลุกดื่มกาแฟ...อ้าวฝันไปนี่หว่าเสียดายยยยยยอิอิอิอิ


















คุณพระคุณเจ้าโปรดคุ้มครองคนดีของแผ่นดินด้วยเจ้าค่า

Friday, November 20, 2009

สนธิ..บุญยรัตกลิน

ที่มา บางกอกทูเดย์

ใครจะไปขัดขวางไม่ให้ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลินอดีตผู้บัญชาการทหารบกและประธานคณะปฏิวัติเข้ามาเล่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตย โดยการไปเอาคำพูดเก่าๆ ที่ว่า จะไม่เล่นการเมือง ไม่เป็นนายกรัฐมนตรีว่าเป็นการตระบัดสัตย์ก็ต้องขอบิณฑบาตแทนท่านไว้ตรงนี้...2 ปี บนเก้าอี้แห่งอำนาจ ที่ไม่ว่าจะ

ปรากฏตัว ณ ที่ใด ก็จะมีไฟส่องหน้า..ทุกประโยคที่ตอบคำถามจะได้รับการตีพิมพ์กันอย่างเอิกเกริก เป็นไปไม่ได้...ที่จะให้เขาเกษียณอายุกลายเป็นตาแก่คนเฒ่า ที่ไม่มีใครให้ความสนใจวันนี้ในฐานะหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ..ไม่ว่า พลเอกสนธิบุญยรัตกลิน จะปรากฏตัวขึ้น ณ สถานที่แห่งใด...เขาก็จะกลายเป็นคนสำคัญ..ทุกการเคลื่อนไหวของเขาจะปรากฏในจอทีวี..และไม่ว่าจะบินไปยังแห่งหนตำบลใดในโลก..ก็ไม่เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวการเมือง...เป็นเรื่องของอำนาจ

อำนาจ....เป็นสุดยอดแห่งกิเลสตัณหากิเลสตัณหา....คือความเป็นปุถุชนพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ก็คือ ปุถุชนคนหนึ่ง...หากมีโอกาสที่จะกลับสู่อำนาจอีกครั้ง มีหรือที่จะรั้งรออีกทั้งรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่เป็นผลพวงมาจากการปฏิวัติ..ก็ยังมีองค์คณะอีกมากมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาใต้ลายเซ็นของเขา....จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้ามาเก็บเกี่ยวในสิ่งที่ไถหว่านเอาไว้....พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน...เคยกล่าวถึงการปฏิวัติครั้งนั้นว่า....เขาถูกหลอกไม่มีรายละเอียดมากมายว่า ใครเป็น

คนหลอก...และหลอกอย่างไร..แต่ที่ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ยังไม่เคยเล่าให้ใครฟังก็คือ....เขาเป็นคนหนึ่งที่ได้รับการทาบทามให้เป็นคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนที่ สมัคร สุนทรเวชจะได้รับการทาบทาม..ทั้งๆ ที่แน่ใจว่า...หากเขารับในการทาบทามครั้งนั้น...เขาก็จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี....แต่เขาปฏิเสธประเทศจึงมี สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีมี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี..มีการก่อการร้ายยึดสนามบินและยึดทำเนียบรัฐบาล..ประเทศ

ย่อยยับบรรลัย มาจนเท่าทุกวันนี้บางทีทหารคนหนึ่งผู้ชายคนนี้...อาจจะรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ได้ทำลงไปในระหว่างเป็นผู้บัญชาการทหารบกและอยากจะกลับมาใช้บาปให้กับกรรมที่ได้ก่อขึ้น..เป็นเรื่องดีที่ ฝ่ายประชาธิปไตย..จะได้พวกมากขึ้นในประเทศที่ยังแกว่งไกวอยู่กับประชาธิปไตยอีแอบเป็นเรื่องดีที่..ประชาชนจะมีคนให้เลือกอีกคนหนึ่ง..เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง.. 

“ราษฎรไทยผู้ยิ่งใหญ่”

ที่มา บางกอกทูเดย์

● บางกอกทูเดย์ ความจริงต้องมาก่อน อาหารสมองของคนไทยวันนี้ ประจำวันเสาร์ที่ 21-อาทิตย์ที่22 พฤศจิกายน 2552....

● “กุหลาบพิษ” กระซิบพรรคประชาธิปัตย์ ทำอะไรให้เกรงใจ “ราษฎรไทยผู้ยิ่งใหญ่” อย่าง สุริยะใส กตะศิลา บ้าง!! ท่านออกมาเตือนแล้วนะ?? ถ้ารัฐบาลยังทำเพื่อประโยชน์ของตัวเองพันธมิตรฯ กำลังคิด “จะทำอะไรสักอย่าง”.....

● แปลไทยเป็นไทย?? ให้ทุกพรรคเอาแบบอย่างพรรคการเมืองใหม่แม้กระทั่งการแต่งกายนุ่งกางเกงเหลือง-เสื้อเขียวเหมือนราษฎรในประเทศ “อูกันด้า”!! สนุกดีถ้าการเมืองต่อไปนี้จะเล่นแบบปาหี่หรือ “ตลกคาเฟ่” ลอกมุกของ หมํ่า จ๊กมกหรือ โน้ต เชิญยิ้ม??.....

● พักนี้ มีคนตั้งข้อสังเกตุ ท่วงท่ากริยา “มาร์คเด็กดื้อ” เปลี่ยนไปแบบเห็นชัด? พูดจาคำไหนแข็งกร้าวเสมอ!! “ดีหมี” คงมีจริง กินเข้าไปแล้ว อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ กลายร่างเป็น “ซุปเปอร์มาร์ค” กุมอำนาจบ้านเมืองเบ็ดเสร็จ หนังชีวิตชวนตลกขบขัน เรื่องนี้ ก็มีสิทธิ์กลายเป็น “หนังบู๊”?? (อย่างที่กำลังเกิด?)......

● เสียดายก็แค่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ส่อเค้าจะไม่ได้รับบท “ผู้ช่วยพระเอก” ต่อ?? เพราะ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดอย่าง“นักเรียนออกซ์ฟอร์ด” ลืมตาดูโลกวันแรกที่เมือง“นิวคาเซิล” สูดอากาศวันแรก คนรอบข้างก็เรียก“คุณหนู”......

● รัฐบาลมาร์คตาใส จะอยู่ได้อีกกี่วันอย่าไปสนใจให้เปลืองสมอง!! แต่ที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะน่าจะลอง?? ให้ประดา “วอลเปเปอร์” สนุกสนานกันกว่านี้?? ก็เร่งปรับ ครม.โยก กษิต ภิรมย์ ไป“ว่าการกลาโหม” เอา ศิริโชค โสภา ว่าการมหาดไทยเมืองไทยก็จะกลายเป็น “เลบานอน” ในพริบตาเดียว??......

● สำหรับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณบุญคุณท่านล้นเหลือจากการผสมพันธ์รัฐบาลมาร์คในค่ายคูกองทัพ ถ้าจะปรับ ครม.ใหม่ เหมาะที่สุดสำรับ“ป้อมของใครคนหนึ่ง” น่าจะ “ว่าการกระทรวงวัฒนธรรม”เพราะวัฒนธรรมท่านสูงส่งนัก??......

● พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตหัวหน้าคณะปฏิวัติ “โปรดฟังอีกครั้ง”คนไทยยังเจ็บใจไม่หายกับการยึดอำนาจรัฐบาล “ทักษิณ”บริหารบ้านเมืองมา 5 ปี อยู่ดีๆ มาถูกยึดปฏิวัติโดยพี่บัง!!การเมืองเศรษฐกิจสะดุดพินาศยับเยิน!!กว่า 36 เดือน.....

●มาวันนี้ “บิ๊กบัง” แปลงร่างเป็นหัวหน้าพรรคมาตุภูมิหน้าตาเฉยโดยไม่ต้องสวมวิก?? “รากหญ้า” ฝากถามเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 สามปีที่ผ่านมา พล.อ.สนธิบุญยรัตกลิน รู้สึกอย่างไรกับคำว่า “ประชาธิปไตย”??และการเลอืกตงั้ ?? .....

● สุเุทพ เทือกสุบรรณ จบปริญญาตรี รัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำไมถึงเก่ง“ภาษาศาสตร์”?? ระหว่างการสั่งให้ 12 ส.ส.ประชาธิปัตย์ชิงลาออกหนี กกต. กับการแนะนำให้ออกก่อนติดห่วงพิษหุ้นสัมปทาน มันผิดกันตรงไหนมิทราบครับท่าน??......

●งานนี้ เล่นเอา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หงุดหงิด!! เพราะไม่นานจากนี้ จะมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 154 โอกาศที่จะ “หงายเก๋ง”หล่นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไปสอนหนังสือที่อังกฤษมีมากกว่าครึ่ง!!.....

● สภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี ชวน หลีกภัยเป็นประธานหารือเป็นการภายในรู้ดี! “เกมนี้แก้ยาก” และ “มาร์ค” ไม่มีสิทธิ์ยุบสภา!! อนิจจา!! นิยายนํ้าเน่าเรื่องนี้... “จบเร็วกว่ากำหนด”!!.....●

อดีต...ปัจจุบันถึงอนาคต

ที่มา บางกอกทูเดย์

หน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยจารึกไว้ว่า...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 7 ถัดจาก นายควง อภัยวงศ์, ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช, พ.อ.ถนัด คอมันตร์, นายพิชัย รัตตกุล, นายชวนหลีกภัย, นายบัญญัติ บรรทัดฐานและยังจารึกไว้อีกว่า...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 4 ที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ถัดจาก นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรี คนที่ 4, ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชนายกรัฐมนตรี คนที่ 6 และนายชวน หลีกภัย นายก

รัฐมนตรี คนที่ 20นั่นคือ อดีตจนมาถึงปัจจุบัน สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือหน้าประวัติศาสตร์แห่งความภาคภูมิใจเกียติยศ ศักดิ์ศรี ของพรรคประชาธิปัตย์กำลังจะนำไปสู่อนาคตอนาคตที่จะต้องจารึกในประวัติศาสตร์ว่าอย่างไร?คงไม่ต้องพูดถึงที่มาของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มาคงไม่ต้องพูดถึงที่มาของรัฐบาลประชาธิปัตย์แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า จากนี้ไป หน้าประวัติศาสตร์ การเมืองจะถูกบันทึกไว้ว่าอย่างไรนั่นสำคัญกว่าเพราะว่า...ตรงนั้นมันจะบอกอะไร

อีกหลายอย่าง...เพราะตรงนั้นเป็นรอยต่อของระบอบประชาธิปไตยในการจากไปของพรรครัฐบาลชื่อ พรรคประชาธิปัตย์และแน่นอนว่า...การจากไปของนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะเกิดผลต่อระบอบประชาธิปไตยจะเกิดผลต่อตัวนายกรัฐมนตรีคนที่กำลังจะจากไปด้วยเพราะรัฐบาลวันนี้ของประเทศไทยถือว่าเป็นรัฐบาลที่ยากจนเพราะแรงกระทบของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศแต่ดูจากการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลแล้ว ตรงกันข้ามกัน

เสมือนว่า รัฐบาลมีเงินมหาศาล ถึงได้ใช้จ่ายเงินมากมาย แม้กระทั่งตั้งความหวังไว้กับเงินกู้มหาศาลที่จะนำมาใช้ในอนาคตรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่เคยมีมิตรมากมายมหาศาลตอนได้เข้ามาเป็นรัฐบาลแต่วันนี้ รัฐบาลชุดเดียวกัน กำลังมีศัตรูทางการเมืองเพิ่มขึ้น แม่กระทั่งในพวกของรัฐบาลด้วยกันเองนี่คือ อันตรายอย่างยิ่งของการอยู่ร่วมกันเป็นรัฐบาลพวกเดียวกันคนละพรรคอนาคตประเทศไทยวันหน้าขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนเดียวเท่านั้น 

เส้นทางไปวัด

ที่มา บางกอกทูเดย์

ทำงานคนละอย่าง..ถ้าหากว่า สนธิ ลิ้มทองกุล นำม็อบสีเหลืองออกมาไล่ล่า ทักษิณ ชินวัตร ให้กระเด็นกระดอนไปถึงไหน..สามารถทำได้ตามกติกา ถือเป็นเรื่องปกติแต่ถ้า รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่นั่งเป็นนายกรัฐมนตรี แล้ววันๆ ไม่ทำอะไรคิดแต่เรื่อง “ล่าทักษิณ” ยังไง..“จับทักษิณ”ยังไง หรือ “ฆ่าทักษิณ” ยังไงอันนี้มันไม่ปกติแล้วเพราะ “รัฐบาล” มีหน้าที่ดูแลเรื่อง ปากท้องประชาชน/ความอยู่ดีกินดีของประชาชน และความปลอดภัยของประชาชนนี่คือ “ภาระหลัก” ที่ทุกรัฐบาลต้องทำ!!มองกันก็เห็น “ยาบ้า” กลับมาระบาดอย่างหนักซึ่งเป็นการยอมรับของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า“พุ่งพรวด” ขึ้นอย่างน่าตกใจ!!พ่อค้า-แม่

ขาย จะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้ที่!!ชาวบ้านหา “ข้าวสารกรอกหม้อ” กินให้ครบสามมื้อยังลำบาก อดทน อดกลั้น รัดเข็มขัดจนจะขาดใจตายอยู่แล้วโรงงานแข่งกันปิด..คนตกงานเป็นเบือ..ร้องระงมกันทุกหย่อมหญ้า!!แต่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยืนหน้าโพเดียมครั้งใด พูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องทุกครั้งว่า “เรามาถูกทางแล้ว”??ทางไปวัดน่ะซี!!ขยันพูดแต่เรื่องตัวเลข จีดีพี ว่าจะเป็นบวก3 เปอร์เซ็นต์บ้าง 4 เปอร์เซ็นต์ บ้าง ในปลายปีนี้และ ต้นปีหน้า..ตาสา/ยายสี/ป้ามี/น้ามา/

ศักดิ์ดามอเตอร์ไซค์/ไอ้ไก่ส่งนํ้าแข็ง/อีแดงหมอนวด/ลุงหนวดหาคู่/ไอ้ตู่ปลุกม็อบ/ยายกอบขนมครก/ไอ้จกนักมวยฯลฯ“เขา” และ “เธอ” เหล่านี้ไม่รู้เรื่องด้วยหรอกครับรู้แต่เพียงว่าทำ ไมการทำ มาหากินมันจึง“ฝืดเคือง” นัก..มีภัยล้อมอยู่รอบด้านห่วงลูกหลานเรื่อง“ยาเสพติด”..หา “ความปลอดภัย”ในชีวิตลำบากในเมื่อบริหารบ้านเมืองไม่เป็นก็ “วางมือ”เถอะครับ..สงสารชาวบ้านตาดำๆ เถอะ..เห็นอยู่แล้วว่า ไปไม่รอด!! 

คัด ข้น ‘บอร์ด กทช.วัดกึ๋น ส.ว.ยุคนี้

ที่มา บางกอกทูเดย์

ไม่น่าเชื่อว่า...ระหว่างการสรรหาตัวของผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ทดแทนกรรมการ กทช.บางคนที่ “ลาออก” ไปก่อนหน้านี้จะรุนแรง...ถึงขั้นมี “ขบวนการ” วิ่งเต้น ต่อรองและเสนอผลประโยชน์ต่างตอบแทนให้กันแบบลับๆเกิดขึ้นได้แต่มันก็เกิดขึ้นมาแล้ว!!!นั่นเพราะบทบาทและภารกิจของ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ช่างยิ่งใหญ่และครอบคลุมเนื้อหาแห่งอนาคตอย่างกว้างไกล ที่สำคัญมันเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ในสายงานที่เกี่ยวข้องจำนวนมหาศาล นั่นเองตลอดขั้นตอนของการสรรหา 3 รอบที่ผ่านมา จากที่มีผู้เสนอตัวให้คณะ

กรรมการสรรหาฯพิจารณารวมทั้งสิ้น11 คน ก็เหลือ 8 คน ในรอบแรก และเหลือ 4 คน ในรอบสอง กระทั่งเหลือ แค่ 2 คน ในรอบสุดท้ายนี้“2 แคนดิเดท” ที่จะคว้าชัย...เดินเข้าสู่ กทช.ในฐานะ “บอร์ดคนใหม่” จะเป็นใคร?ระหว่าง นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการกทช.คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นผู้ที่มีคะแนน “นำโด่ง”เป็นลำดับที่ 1 ในทุกครั้งของสรรหา กับ พล.อ.ชูชาติ สุขสงวนผู้ที่ต้องโหวตเลือกแล้วเลือกอีกกว่าจะขึ้นมาเป็น“คู่ชิง” ได้ในครั้งนี้ล่าสุด หากไม่มีอะไรผิด

พลาด เชื่อว่าทั้งนายสุรนันท์ และ พล.อ.ชูชาติ ก็คงจะถูกเสนอชื่อให้สมาชิกวุฒิสภา พิจารณาคัดเลือกกันได้ในวันจันทร์ที่23 พ.ย.นี้น่าสนใจตรงที่ งานนี้...ระดับความเข้มข้นของการ“ขบวนการ” ล็อบบี้ในชั้นวุฒิสภา มันช่างรุนแรง!เสียจนมีการกล่าวอ้างให้ได้ยินกันว่า...ตัวประธานวุฒิสภา อย่าง นายประสพสุข บุญเดชเดินสาย ล็อบบี้ และ เชียร์ “คู่ชิง” บางคน จนออกนอกหน้า เสียเอง!!!เรื่องนี้...ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่? แต่

มันได้ทำให้ภาพลักษณ์ของ “วุฒิสภา” ซึ่งมีทั้งพวกที่เลือกตั้งมาจากเสียงของประชาชน และพวก “ลากตั้ง” ที่แต่งตั้งกันโดยเครือข่ายของ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ต่างก็ได้รับความเสื่อมเสียชื่อเสียงกันไปแล้วถึงตรงนี้ ก็คงหวังพึ่งให้ นายประสพสุขในฐานะ ประธานวุฒิสภาฯ ช่วยคัดท้ายการโหวตเลือกกรรมการ กทช.ที่ขาดอยู่บนความบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่าได้ปล่อยให้การสรรหาครั้งนี้ เป็นไปในลักษณะ“พวกมากลากไป” อย่างเด็ดขาด!แม้วันนี้...ขบวนการ

ล็อบบี้เอากับ สมาชิกวุฒิสภาในหลายกลุ่มก้อน ทั้งติดต่อสื่อสารกันโดยตรงและ/หรือ ผ่านไปยัง ตัวแทน หรือ หัวหน้าก๊วนในซีกการเมือง ก็ตามทีจำเป็นอย่างยิ่งที่บรรดา สมาชิกวุฒิสภา ทั้งหลายควรจะเลือกคนให้ตรงและเหมาะสมกับภารกิจแห่งเนื้องาน ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ มูลค่าแห่งผลประโยชน์ที่อยู่ในความกำกับดูแลของ กทช.เต็มๆ และบางส่วนที่จะต้องรับผิดชอบแทน กทช.นั้นมากมายมหาศาลเกินกว่าจะปล่อยให้ใคร? หน้าไหน?ก็ได้ เข้าไปเป็น กรรมการ

กทช. ในลักษณะ ตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ได้ระหว่าง ทั้ง นายสุรนันท์ และ พล.อ.ชูชาติ นั้นใครจะเก่งและเหมาะสมกว่ากัน...ไม่รู้รู้แต่ว่า...เมื่อทั้ง 2 คน หลุดรอดเหลือเป็น “คู่ชิง”กรรมการ กทช.ที่จะต้องผ่านการพิจารณาคัดเลือกของสมาชิกวุฒิสภา แล้วทั้งคู่...คือ ผู้เหมาะสมในสถานการณ์นี้สถานการณ์ที่จะต้องได้รับคะแนนเสียงจาก สมาชิกวุฒิสภา ให้ได้เกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนที่มี พูดง่ายๆจะต้องได้ไม่น้อยกว่า 76 เสียงขึ้นไปนั่นแหละเสียดายที่การสรรหา

กรรมการ กทช.ขั้นตอนสุดท้ายในกรอบของ สมาชิกวุฒิสภา นั้น นายประสพสุข ไม่ได้เชิญ “แคนดิเดท” ทั้ง 2 คน มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในลักษณะของการ “ดีเบต” กัน...ต่อหน้า 150 สมาชิกวุฒิสภาจึงไม่รู้ว่า...ใครใน 2 คนนี้ คือ ผู้ที่มีความเหมาะมากสุดต่อภารกิจสำคัญในเบื้องหน้าภารกิจที่จะกำกับดูแลงานในด้านกิจการโทรคมนาคมและกิจการกระจายเสียง เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด กระทั่ง สร้างความพึงพอใจต่อสังคมโดย

รวมควบคู่ไปกับการยึดโยงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือ บรรดา สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น สภาแห่งผู้ทรงวุฒิภาวะและปัญญา ทั้งหลาย พึงต้องสำเหนียกและระลึกเสมอว่า...ใครก็ตาม ที่จะแทรกกายไปเป็น กรรมการ กทช.นั้นจะต้องมีส่วนร่วมสำคัญต่อการจะผลักดัน เพื่อให้ข้อมูลข่าวอันเป็นสาระสำคัญต่อการสร้างโอกาสและการดำรงชีวิตในโลกยุคเทค โนโลยีสื่อสารก้าวลํ้าไปในอนาคตสุดๆ เช่นนี้ เป็นไป

อย่างเท่าเทียมและทั่วถึงทันสมัยและรวดเร็วในราคาที่ถูกลง และในทุกๆ พื้นที่ของเมืองไทยสร้างให้ประเทศนี้ ก้าวพ้น “จุดอับ” สู่ความเป็นTelecommunications Hub พร้อมๆ กับการมีส่วนสำคัญต่อการจะบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชนทั้งนี้ ก็เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนคนไทย นั่นเอง!. 

ดู..การเมืองให้เหมือนดูละคร

ที่มา บางกอกทูเดย์

เคยมีนักวิชาการสอนผู้เขียนไว้ว่า หากจะวิเคราะห์หรือตีความสถานการณ์ ขอให้มองสถานการณ์แบบดูหนังแผ่น เพราะหนังแผ่นถ้านำมาดูผ่านเครื่องวีซีดี หรือ ดีวีดี ที่บ้านเราสามารถกดปุ่มหยุดชั่วคราว หรือให้เล่นไปทีละเฟรม จะเห็นรายละเอียดได้ชัดเจนขึ้นฉะนั้น หากถามว่า เร็วเกินไปหรือไม่ ในการวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลอภิสิทธิ์?ผู้เขียนขอตอบว่า ไม่เร็วและไม่ช้า เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์มีข้อมูลที่จะต้องแก้ปัญหาจากการตรวจสอบรัฐบาลก่อนหน้าแน่นปึ๊ก เห็นได้จากการหยิบยกข้อมูลต่างๆขึ้นมาอภิปรายรัฐบาลหลายยุคหลายสมัยดังนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์จึงไม่ใช่มือใหม่ แต่เป็นรัฐบาลที่มี “บทเรียน” การทำงานจาก

รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สมัคร สุนทรเวช และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่เต็มกำมือการบริหารประเทศเพื่อความมั่นคง ความมั่งคั่งของชาติ ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และการสร้างความสามัคคีภายในชาติถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรงไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดไหนก็ตามนับแต่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและแถลงนโยบายต่อรัฐสภาดูเหมือนว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยแทนที่รัฐบาลจะดำเนินการตามความ

สำคัญเร่งด่วนที่แถลงนโยบายไว้ แต่รัฐบาลกลับให้ความสำคัญกับการตามล่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นอันดับแรก ปูนบำเหน็จรางวัลในความสามัคคีในการเปลี่ยนขั้วการเมืองเป็นอันดับรอง สารพัดปัญหาที่ประชาชนโดยทั่วไปไม่ได้เดือดร้อนด้วยเลยส่วนเรื่องที่ประชาชนเดือดร้อนไม่ว่าปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ทำให้นาไร่ล่มไปนับแสนไร่ ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำจนเกษตรกรต้องออกมาชุมนุมประท้วง ภาคอุตสาหกรรมเริ่มได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ

โลกจนโรงงานต้องปิดตัวและปลดคนงานออกจำนวนไม้น้อย ทำให้เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้น การเตรียมตัวรับมือเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้และปีหน้าที่มีแนวโน้มชะลอตัว รัฐบาลกลับให้น้ำหนักน้อยกว่าความน่าจะเป็น…เราไม่ค่อยเห็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระตือรือร้นไปดูแลปัญหาที่ประชาชนเดือดร้อนดังที่ควรจะเป็นเราพยายามดูข่าวทางโทรทัศน์และข่าวผ่านสื่อต่างๆ สิ่งที่มักจะเจอคือ การเป็นประธานเปิดงาน หรือเป็นเพราะการประชาสัมพันธ์ของภาครัฐไม่ดี

ตามที่ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชอบอ้างว่า “ไม่ได้ให้ความสำคัญในการประชาสัมพันธ์”2 เดือนกับการ “เฟ้นหา” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีหน้าหล่อโดดลงสนามออกแรง “วิ่งสู้ฟัด” เสมือนเป็นเรื่องเร่งด่วนอันดับแรกว่ากันว่าตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมันคือ “ความเป็นความตาย”การที่รัฐบาลเร่งรัดโครงการขนาดใหญ่มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท อาทิ ถนนไร้ฝุ่น รถเมล์เอ็นจีวี หรือโครงการประชานิยม

อาทิ การอัดฉีดเงิน 2,000 กระตุ้นเศรษฐกิจ อัดฉีดเงินหัวละ 2,000 บาท ให้กับพนักงานรัฐวิสาหกิจเวลานี้ประเทศชาติมีปัญหาด้านความมั่นคงรุมเร้าเข้ามาทุกด้าน โดยเฉพาะความแตกแยกของคนในชาตินั้น แทนที่รัฐบาลจะใช้ความพยายามทุกหนทางหาทางระงับยับยั้งบางคนในรัฐบาลและเจ้าหน้าที่บางส่วนกลับหลับตาข้างเดียวเมื่อปัญหาล้นคอหอย ประชาชนแบกรับไม่ไหว นำมาสู่การเรียกร้องให้คนในรัฐบาลลาออก แต่ยังยืนยันว่า “อยู่ต่อเพื่อพัฒนาชาติ”โอกาส

เป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่การยอมยกธงขาวโบกมือลาจากตำแหน่งเป็นเรื่องยากแต่ครั้งหนึ่งในชีวิตเมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีแล้ว ก็ควรจะทำเพื่อประชาชน 63 ล้านคน ตามที่ได้รับฟังพระบรมราโชวาทจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ตอนที่เข้าร่วมถวายสัตย์ปฏิญาณทั้งหมดที่ผู้เขียนร่ายยาวเป็นเพียง “หนังแผ่น” ที่ต้องการนำเสนอรัฐบาลหนังแผ่นเรื่องนี้มิได้มีเจตนาอื่นใด นอกจากต้องการให้รัฐบาล “ได้ยินเสียง

ของประชาชน” บ้าง แทนที่จะได้ยินเฉพาะเสียงคนข้างตัวเท่านั้นฉะนั้นตัวละครอย่าอารมณ์เสีย!ท่านยังมีเวลา! …สายตาจากคน 63 ล้านคน มองความเคลื่อนไหวของรัฐบาลอย่างใจจดใจจ่อว่ากันว่า บ้านเมืองวุ่นวาย และเสื่อมลง ก็เพราะคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในบ้านเมืองไม่ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถบ้านเมืองไทยอย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย.. 

พ.ร.บ.ความมั่นคงปลุกม็อบต้านรัฐ!

ที่มา บางกอกทูเดย์

“อาจเสนอ ครม. สัปดาห์หน้าประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง”เสียงประกาศท่าทีจาก “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมตรีด้านความมั่นคง ที่เผยไต๋เตรียมรับมือการชุมนุมใหญ่ที่ยืดเยื้อ “แบบไม่ยุบไม่เลิก” ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ประกาศมาจากชั้น 6 อิมพีเรียล ลาดพร้าวงานนี้รัฐบาลเจอของจริงแน่!เพราะการประกาศ

ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง กับกลุ่มคนเสื้อแดงในการชุมนุมตั้งแต่ 28 พ.ย.-3 ธ.ค. อาจกลายเป็นชนวนให้กลุ่มคนเสื้อแดงแสดงพลังออกมาต่อต้านรัฐมากขึ้นเพราะหากรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงก็เท่ากับรัฐบาลยอมรับข้อหา“2 มาตรฐาน”เพราะการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯเมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา...รัฐบาลไม่มีการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง จนมีเหตุระเบิดหลังเวทีพันธมิตรฯ ที่กลายเป็นระเบิดการเมืองโดยเชื่อมโยงกับนายทหารบางกลุ่มที่อยู่เบื้องหลัง แต่ความ

ชัดเจนในเรื่องนี้ยังไม่ปรากฏขณะเดียวกันในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง รัฐบาลอาจจะใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงกับกลุ่มผู้ชุมนุมอีกกลุ่มที่ออกมาต่อต้านรัฐบาลฉะนั้น สิ่งที่รัฐบาลต้องชัดเจนคือ การชี้แจงเหตุและผลถึงการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง“กลุ่มเสื้อแดงที่นัดชุมนุมช่วงปลายเดือนนี้ เป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมเนื่องจากมีการจัดงานพระราชพิธี ส่วนรัฐบาลจะประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ” นายสุเทพกล่าวจะว่าไปแล้ว กลุ่มคนเสื้อแดงกับ พ.ร.บ.ความมั่นคง

กลายเป็นของคู่กันไปแล้วเพราะทุกครั้งที่มีการชุมนุมในเขตพระนคร ย่อมมีพ.ร.บ.ความมั่นคง มาบังคับใช้ทุกครั้ง หากมองในแง่ดีก็เป็นการช่วยป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากมือที่ 3ได้ในระดับหนึ่งเนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจเจ้าพนักงานสามารถตรวจค้นบุคคลที่ต้องสงสัยว่า จะเป็นภัยต่อความมั่นคงได้ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจดูเหมือนจะขึงขัง หลังผ่านมรสุมแต่งตั้งนายพลมาได้ในระดับ “รักษาการ”โดยเฉพาะในนครบาล ที่ตั้งแต่หัวลงมามีแค่“รักษาการ”

เท่านั้นซึ่งงานนี้ รักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ก็ออกคำสั่งเขย่าขวัญม็อบเสื้อแดง เป็นงานแรกในเก้าอี้“ขอฝากไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยว่า ให้ชุมนุมภายใต้กรอบของกฎหมายบ้านเมือง เพื่อความสงบสุขของประเทศ ตำรวจทุกคนต้องดูแลความสงบเรียบร้อยให้เต็มที่”นอกจากนี้รักษาการ ผบช.น.ยังเตรียมรื้อแผนเผชิญเหตุกรกฎ 52 ที่เพิ่งปรับจากกรกฎ 48 เมื่อครั้งที่คนเสื้อแดงชุมนุมใหญ่เมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา“ผมจะดูแผนเพื่อรับมือ

กลุ่มผู้ชุมนุม โดยนำแผนทุกอย่างกลับมาทบทวนใหม่ให้หมด” รักษาการผบช.น.กล่าวจากมาตรการที่ดูขึงขังของตำรวจนครบาลในครั้งนี้บวกกับการประกาศ
ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงอาจเป็น 2 แรงบวกที่ปลุกพลังเงียบออกมาหนุนกลุ่มคนเสื้อแดงมากขึ้นและน่าระทึกอย่างยิ่งกับ 6 วันของการชุมนุมยึดเยื้อเพื่อโค่นรัฐบาลอภิสิทธิ์งานนี้ต้องมีฝ่ายไป! 

สังคมข่าวชาวเสื้อแดง(20พ.ย.):ล้านแดงล้านใจ

ที่มา Thai E-News



***สังคมข่าวชาวเสื้อแดงประจำวันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2552 นักข่าวชาวรากหญ้ามากระจายข่าวสู่ชาวเสื้อแดงเช่นเคย ตอนนี้ยังเป็นเทศกาลล่าแม่มดเช่นเคย จับทั้งหมอ ทั้งนักการเงิน โบรกเกอร์ คิวต่อไปจะจับพระข้อหาทุบหุ้น..พิโธ่เอ๋ย! พระนะครับ ท่านจะมาเกี่ยวอะไรกับการทุบหุ้น คิดสิคิดซักนิด เห็นผัวแม่เลี้ยงติ๊ก ตำรวจโรโบค็อปของปชป.ทำแล้ว ปวดตับจริงๆ***

***ได้ฤกษ์หามยามดีสำหรับการชุมนุมทั้งแผ่นดินของแดง3เกลอแกนนำ การชุมนุมใหญ่ในเวลา 12.00 น.ในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ โดยจะนัดหมายกันที่ลานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน และจะค้างที่นั่น 1 คืน ซึ่งเป็นการเลื่อนการนัดชุมนุมให้เร็วขึ้นอีก 1 วันเพราะต้องหลีกทางให้กับซ้อมใหญ่สวนสนามในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาหลังจากนั้นในวันที่ 29 พฤศจิกายนเมื่อการซ้อมใหญ่ของพิธีสวนสนามเสร็จจะเคลื่อนขบวนไปยังแยกมิสกวันเพื่อตั้งเวทีกลางในการปักหลักการชุมนุมต่อ***เนื่อง ไปถึงเช้าวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้***

***ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดงบอกว่า "ในวันที่ 30 พฤศจิกายนจะมีการรวมพลแดงทั้งแผ่นดินโดยตั้งเป้าให้ได้ 1 ล้านคน เพื่อตั้งแถวเดินขบวนขับไล่รัฐบาลตามถนนสำคัญใน กทม. ซึ่งจะเป็นการเดินขบวนการขับไล่รัฐบาลครั้งใหญ่และมากที่สุดตั้งแต่เคยมีมาในประเทศและในโลกก็เป็นได้ เราจะเดินขบวนให้แดงเต็มทั้ง กทม.ในช่วงกลางวัน แดงไล่รัฐบาลเพื่อให้รัฐบาลยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน โดยจะบอกให้ทราบอีกครั้งหนึ่งว่าจะเดินไปที่ไหนบ้าง และเมื่อเดินเสร็จเรียบร้อยก็จะกลับมายังแยกมิสกวันและจะชุมนุมต่อเนื่องไปจนถึงเช้ามืดเวลา 06.00 น.ของวันที่ 2 ธันวาคมซึ่งจะยุติชุมนุมโดยสงบเพื่อหลีกทางให้กับพระราชพิธีสวนสนามและวันเฉลิมพระชนมพรรษา ซึ่งหากในช่วงดังกล่าวรัฐบาลยังไม่ตัดสินใจคืนอำนาจให้ประชาชน เราจะกลับมาชุมนุมอีกครั้งและจะยาวนานกว่าเดิมต่อสู้จนกว่าจะได้รับชัยชนะ"***

***นายณัฐวุฒิ กล่าวว่าก่อนจะนัดชุมนุมใหญ่ ทางนปช.จะจัดชุมนุมใหญ่สัญจร ใน 4 ภูมิภาค โดย วันที่ 23 พฤศจิกายน จะจัดที่ภาคเหนือ วันที่ 24 พฤศจิกายน จัดที่ภาคอีสาน วันที่ 25 พฤศจิกายนจัดที่ภาคตะวันออก และวันที่ 26 จัดที่ภาคกลาง ซึ่งจะเปิดเวทีปราศรัยใหญ่เพื่อกำหนดยุทธวิธีทำความเข้าใจและระดมสมองล้มรัฐบาล โดยเรียกว่า "เปิดโรงรบแดงทั้งแผ่นดิน" ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯเพื่อชุมนุมใหญ่ในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้***

***ฮา!หน้าเดิมๆ ประชาธิปัตย์ เนรวิน สื่อมวลชนขาประจำบอกว่าเสื้อแดงชุมชุมช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็นเรื่องมิบังควร แต่พอสนธิลิ้มนัดขบวนการโจรก่อการร้ายพันธมิตรจัดม็อบการเมืองชุมนุมใหญ่วันพ่อ5ธันวามหาราช ไม่มีหมาที่ไหนซักตัวบอกว่าเป็นเรื่องมิบังควร ก็สมควรแล้วที่ใครๆมันก็ว่านี่เป็นมาตรฐานของประเทศตอแหลแลนด์แดนแค่นยิ้ม***

***สังคมดีๆของชาวเสื้อแดงกันมั่ง กลุ่ม”แดงสุพรรณทั้ง 10 อำเภอ"ขอเชิญผู้รักประชาธิปไตย ร่วมงาน “วันแดงพลิกแผ่นดิน”ทานอาหารโต๊ะจีน/อาหารที่นั่งฟรีท่านที่ไม่ได้จองโต๊ะ ฟังการปราศรัยโดยแกนนำ วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2552 นี้ 4 โมงเย็นเป็นต้นไป ณ.วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร สุพรรณบุรี ติดต่อ-084-3876039/089-9777827 ขอเชิญพี่น้องมาช่วยกันพลิกแผ่นดินสุพรรณจากบรรหารบุรีให้เป็นแดนดินถิ่นประชาธิปไตย***

*** 20พ.ย.2552 เมืองใหม่บางพลีจัดงานรวมพลเสื้อแดงบางเสาธง สมุทรปราการ เริ่มตั้งแต่16.00น.เป็นต้นไป แกนนำชุดใหญ่สถานที่จัดงานคือสนามกีฬาเมืองใหม่บางพลี การเดินทางมีรถเมล์ผ่านหน้าสนามกีฬาคือ132,133,537รถเมล์สีส้มอู่จอดที่สำโรงวิ่งเข้าถ.เทพารักษ์คือสายสำโรงบางบ่อ, รถตู้จากหมอชิตตรงใต้ทางด่วนจะมีรถวิ่งมาเมืองใหม่บางพลี,ถ้าที่บางนาจะมีรถตู้จอดตรงโรงพยาบาลสัตว์บางนา,สำโรงตรงอิมพีเรียลจะมีรถตู้วิ่งมาถึงเมืองใหม่บางพลี, ฟิวเจอร์ปาร์ครังสิตมีรถตู้วิ่งมาเมืองใหม่บางพลี,เดอะมอลล์บางกะปิก็มีรถตู้วิ่งมาเมืองใหม่บางพลีเหมือนกัน***

***ถ้าขับรถมาเองใช้เส้นทางบางนา-ตราดทางเข้าอยู่ตรงก.ม.23 ปากทางมีโรงพยาบาลบางนา2ขับตรงเข้ามาถึงวงเวียน วิ่งผ่านธนาคารไทยพานิชย์เลี้ยวขวาเข้าเมืองใหม่จอดรถที่โรงเรียน10ปีสปช. เดินเข้างานได้เลยสถานที่กว้างขวางที่จอดรถสะดวกสบาย
ใครว่างสะดวกที่จะไปเชิญร่วมงานค่ะ อยากให้ไปกันมากๆเพราะกลัวคนจะไปกันน้อยเสียกำลังใจคนจัดแย่เลย***

***เชิญผู้รักประชาธิปไตย พี่น้องชาวเสื้อแดงร่วมงานพิธีฌาปนกิจนางธรรมรส สุนทรพล “เจ๊ขก” ในวันเสาร์ที่ 21 พ.ย. 2552 เวลา 17.00 น. ที่วัดมหาพฤฒาราม เพื่ออำลาอาลัยแม่ค้าประชาธิปไตยเป็นครั้งสุดท้าย และเสริมกำลังใจให้แก่กันสำหรับชาวเราที่ยังต้องสู้กันต่อไป***

อนิจจาน่าใจหาย..
คนดีดีไม่ล้มตายก็หายหน้า
อสัตย์อธรรมอหังการ์
เทวดาหัวร่อเยาะมนุษย์!
(ภาพ:สุชาติคนวันเสาร์ฯกับเจ๊ขก เมื่อเริ่มรบเผด็จการคมช.)

***เชิญชาวเสื้อแดงสระบุรีและพี่น้องพื้นที่ใกล้เคียงพบปะประชุมวันพฤหัสที่ 26 พ.ย 52 เวลา 18.00 - 21.00 น.ที่ชุมชนธารทองแดง ต.ธารเกษม อ.พระพุทธบาท สระบุรี ***

***แจ้งข่าวฝากจากแกนนำนปช. เรื่องการเดินทางไปฟ้องกลับคดีแกนนำนปช.ถูกดำเนินคดีบุกบ้านสี่เสา ตอนเหตุการณ์22กรกฎา2550 ขอเลื่อนจากกำหนดเดิมวันที่18 พ.ย. 2552 เวลา 10.00 น.ไปเป็นวันศุกร์ ที่ 27 พฤศจิกายน ขอเรียนเชิญพี่น้อง ร่วมเป็นกำลังใจให้บรรดาขุนพลแกนนำ นปช.ทุกท่านโดยพร้อมเพรียงกัน***

***เชิญฟังปาฐถถาและเสวนาในโอกาสครบรอบ 60 ปีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวข้อ"โลกไร้พรมแดนในประเทศที่มีพรมแดน: ความขัดแย้งระหว่างระเบียบอำนาจแบบรัฐชาติกับสังคมโลกาภิวัตน์" ปาฐกถานำโดย
ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล



ร่วมเสวนาโดย
รศ.ดร.จุลชีพ ชิณวรรโณ
รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ
ผศ.ดร.ขจิต จิตตเสวี

ดำเนินรายการโดย
ผศ.พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2552 เวลา 13.30-16.30 น.ณ ห้องทวี แรงขำ (ร.103) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ไม่เสียค่าใช้จ่าย สำรองที่นั่งโทร 0 2613 2301 ***

***ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เชิญร่วมงานอุษาคเนย์เสวนาสาธารณะ: Southeast Asian Public Talks ครั้งที่ 2 เชิญร่วมฟังเสวนา Cancellation : Thai-Cambodian MOU, win or lose? -“ยกเลิก MOU กับกัมพูชา-ไทยได้อะไร-เสียอะไร” วันอาทิตย์ 22 พฤศจิกายน 2552 เวลา 13.00 – 16.30 น. ณ ห้อง 301 ชั้น 3 คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

13.00 ลงทะเบียน และชมวีซีดี
13.30 เปิดงานโดย ดร. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ คณบดีคณะศิลปศาสตร์
13.45 เสวนา/วิทยากร
อ. พนัส ทัศนียานนท์ อดีตอัยการ และอดีต สว. ตาก
อ. ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ สส. ระบบสัดส่วน ประธานกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ
ดร. พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
อ.กวีพล สว่างแผ้ว มหาวิทยาลัยบูรพา
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ดำเนินรายการ
อ. อัครพงษ์ ค่ำคูณ พิธีกร
16.45 ซักถาม-แสดงความคิดเห็น
17.00 สังสรรค์
หมายเหตุ :เนื่องในโอกาสครบรอบหนึ่งทศวรรษ 2543 – 2552 โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มธ. ร่วมจัดโดย มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ไม่มีค่าลงทะเบียน (ฟรี)***

***ปิดท้ายวันนี้ มิตรร่วมรบทั้งยุค6ตุลา และไปเป็นสหายร่วมรบในป่าตกตลึงนึกว่าย้อนรอยไปอยู่เมื่อ 6 ตุลาคม 2519 กำลังนั่งฟังพันเอกอุทาร สนิทวงศ์ ทางวิทยุยานเกราะ แต่พอหันไปดูปฏิทินดีๆแล้ว ปรากฎว่าตรงกับวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา14.30 น. เทอดภูมิ ใจดี ผู้นำกรรมกรบอกผ่าน ASTVว่า เหตุที่ พคท.แแพ้ เพราะตามก้นจีน ไม่ได้ดูว่าประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ มวลชนรักสถาบัน และษััตริย์องค์นี้ไม่เคยทำอะไรให้เป็นผลเสียกับบ้านเ้มือง

พรรคคอมมิวนิสต์จีนชนะได้เพราะมีรัสเซียเป็นแนวหลัง เวียตนามชนะได้เพราะมีจีนเป็นแนวหลัง แต่พคท.แพ้ เพราะไม่มีแนวหลัง
ตอนนี้ทักษิณจะเอาเขมรเป็นแนวหลัง และเข้ามายึดอำนาจผ่านการรัฐประหาร สร้างความปั่นป่วนแตกแยก เอาพวกอดีตคอมมิวนิสต์หลายคนมาเป็นพวก ตรงกับหลักของคอมมิวนิสตว่า์รู้เขา-รู้เรา***

***ส่วนประยูร อัครบวร อดีต 18 กบฎ-ผู้ต้องหา 6 ตุลา และคนที่เคยออกมาแถลงข่าวตอบโต้หนังสือพิมพ์ดาวสยามใช้วิธีชั่วช้านำรูปตัดแต่งกล่าวหาใส่ร้ายว่านักศึกษาที่ชุมนุมในธรรมศาสตร์เล่นละครแขวนคอองค์รัชทายาท พูดในรายการเดียวกันบอกว่า ตอนนี้มีคอมมิวนิสต์โง่ๆในไทยจะเอากำลังต่างชาติมาล้มสถาบัน เราต้องร่วมกันสู้เพื่อลูกหลานในอนาคต***

***ส่วนชัยพันธ์ อดีตที่ปรึกษาสมัชชาคนจน บอกว่าทักษิณมีการสะสมกำลังอาวุธตามชายแดนจริง ซึ่งเตรียมมานานแล้ว ตั้งแต่ 13 เมษา โดยทักษิณออกมาบัญชาเองที่สนามกอล์ฟในเขมร และเชื่อว่าจะมีสงคราม มีสถานการณ์ความรุนแรง มีการสร้างกองกำลังเข้ามาทางภาคใต้ด้วย อดีตนายกไทยอย่างทักษิณ สมชาย และบิ๊กจิ๋ว หลงไปยกย่องเขมรที่เป็นประเทศเล็กๆที่ไม่มีน้ำยาอะไรในระดับสากลเลย***

***อนิจจังไม่เที่ยงหนอ ซ้ายสุดเหวี่ยงไปอยู่ขวาสุด ส่วนขวาสุดแบบสมัครโดนเทมาอยู่ซ้าย มหาเศรษฐีสัมปทานแบบทักษิณกลายเป็นผู้นำการต่อสู้ คุณหนูนักเรียนนอกแบบจักรภพกลายเป็นนักปฏิวัติ ตถตา!***

ชาจนไร้ความรู้สึก

ที่มา มติชน

บทนำมติชน



"งามหน้า" อีกแล้ว สำหรับประเทศไทยเมื่อถูกองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย (Transparency Thailand) เปิดเผยผลการจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์ปัญหาคอร์รัปชั่น ประจำปี 2552 (Corruption Perceptions Index 2009) พบว่า ประเทศไทยได้ 3.4 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน (คะแนนมากเท่ากับมีความโปร่งใสมาก) อยู่อันดับที่ 84 เท่ากับประเทศเอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา อินเดีย และปานามา จากการจัดอันดับทั้งหมด 180 ประเทศทั่วโลก ยังดีกว่าประเทศอิรัก ซูดาน พม่า อัฟกานิสถาน โซมาเลีย ซึ่งกลุ่มประเทศรั้งท้ายเหล่านี้มีคะแนนระหว่าง 1.5-1.1 นอกจากนี้ ไทยยังอยู่อันดับที่ 10 จาก 23 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย เมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีชี้วัดตั้งแต่ปี 2538-2552 ปรากฏว่าอันดับของประเทศไทยแย่ลง

จะว่าองค์กรที่สำรวจปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นมีอคติ หรือลำเอียงต่อประเทศไทยคงพูดไม่ได้และเป็นองค์กรที่ไม่มีความน่าเชื่อก็คงไม่ได้เช่นกัน เพราะองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ เป็นองค์กรอิสระนานาชาติที่ก่อตั้งขึ้นพื่อรณรงค์แก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น มีเครือข่ายใน 120 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย การจัดทำดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นของประเทศต่างๆ ก็กระทำเป็นประจำทุกปีมาตั้งแต่ปี 2538 หรือเมื่อ 14 ปีก่อน โดยในปีนี้ (2552) ได้จัดอันดับจากประเทศต่างๆ จำนวน 180 ประเทศ โดยใช้ผลสำรวจของสำนักโพลต่างๆ รวม 10 แห่ง ที่ได้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในช่วงปี 2551 และ 2552

"งามหน้า" มิได้หมายถึงการมีใบหน้าสุดสวย งดงาม ไร้สิวไร้ฝ้าที่ใครเห็นต้องตะลึงพรึงเพริด หากทว่า เป็นอาการที่ควรได้รับความอับอาย ขายหน้าบ้านอื่นเมืองอื่น เพราะไทยที่เคยได้ชื่อว่า เป็นดินแดนที่อุดมไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น มาถึง พ.ศ.นี้กลับกลายเป็นดินแดนที่ภาพลักษณ์ตกต่ำย่ำแย่มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยเหตุที่การกินสินบาทคาดสินบน จ่ายเงินใต้โต๊ะเป็นค่าน้ำร้อนน้ำชาแพร่กระจายไปทั่ว จากผลการจัดอันดับขององค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย พบว่า ปี 2549 ไทยได้ 3.6 คะแนน อยู่อันดับ 63, ปี 2550 ได้ 3.30 คะแนน อันดับที่ 84, ปี 2551 ได้ 3.50 คะแนน อันดับที่ 80 เมื่อพิจารณาเฉพาะการจัดอันดับของกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชีย พบว่า ประเทศที่มีคะแนนเป็นอันดับที่ 1-10 ซึ่งได้ชื่อว่ามีความโปร่งใสมาก ได้แก่ สิงคโปร์ 9.2 คะแนน, ฮ่องกง 8.2 คะแนน, ญี่ปุ่น 7.7 คะแนน, ไต้หวัน 5.6 คะแนน, เกาหลีใต้ 6.5 คะแนน, มาเก๊า 5.3 คะแนน, ภูฏาน 5.0 คะแนน, มาเลเซีย 4.5 คะแนน, จีน 3.6 คะแนน และไทย 3.4 คะแนน ส่วนอันดับสุดท้ายคือ 20 ได้แก่ พม่า 1.4 คะแนน

โปรดอย่าได้แก้ตัวหรือถกเถียงเพื่อจะโยนความผิดไปให้คนอื่น สำหรับรัฐบาลในปัจจุบันที่บริหารประเทศมาเกือบครบ 1 ปีเต็ม การที่ไทยตกอันดับลงอีกในแง่ของภาพลักษณ์จากปัญหาคอร์รัปชั่นที่ไทยแทบจะรั้งท้ายหรือเกือบจะโหล่สุดเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน และในระดับโลกที่ไทยก็ติดกลุ่มประเทศที่มีสถิติการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ปัญหาการทุจริตหนักหนาสาหัสเพิ่มขึ้นกว่าอดีต เพราะนอกจากรัฐบาลจะไม่ได้มีมาตรการที่จะป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น คนในรัฐบาลก็ตกเป็นข่าวอื้อฉาวในสื่อมวลชนเสียเองว่าเข้าไปหาเศษหาเลยจากเงินงบประมาณแผ่นดิน ในส่วนขององค์กรตรวจสอบซึ่งมีอยู่หลายองค์กรก็ย่ำเท้าอยู่กับที่ ไม่เพียงแต่ขจัดปัญหาการคอร์รัปชั่นด้วยความอืดอาด ล่าช้า การตกอยู่ในวังวนของการถูกกล่าวหาโจมตีจากคนบางส่วนอันเนื่องมาจากปัญหาการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 การให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมก็มิอาจทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า เป็นการร่วมมือกันแบบ 3 ประสาน ระหว่างนักการเมือง ข้าราชการประจำ และพ่อค้านักธุรกิจ โดยที่องค์กรตรวจสอบไล่ไม่ทัน การหาผลประโยชน์โดยมิชอบที่เกิดจากการสมคบกันของฝ่ายต่างๆ ได้กลายเป็นวัฒนธรรมอันเลวร้ายอยู่ในขั้น "วิกฤต" ซึ่งหาทางออกไม่เจอเช่นเดียวกับ "วิกฤตการเมือง" จากการนำเสนอผลการสำรวจขององค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทยที่ไทยแย่กว่าเดิม คนไทยจำนวนไม่น้อยที่อาจบอกด้วยอาการปลงตกว่า หน้าชาจนไม่มีความรู้สึกใดๆ อีกแล้ว น่าช้ำใจก็ตรงที่คนที่ควรจะเอาปี๊บคลุมหัวเพราะมีหน้าที่และรับผิดชอบโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือองค์กรตรวจสอบกลับรู้สึกเฉยๆ ไม่มีการกระตือรือร้นที่จะแก้ไขเลยแม้แต่น้อย

แดงชุมนุมใหญ่28พ.ย.อนุสาวรีย์ปชต.ไล่รบ.ยุบสภาฯก่อน2ธ.ค.

ที่มา มติชน


ที่ชั้น 6 ห้างอิมพีเรียล เวิลด์ ลาดพร้าว เมื่อเวลา 13.00 น .วันที่ 19 พ.ย. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)-แดงทั้งแผ่นดิน แถลงภายหลังการประชุมแกนนำกลุ่มนปช.ว่า ที่ประชุมมีมติเพื่อขับเคลื่อนการชุมนุมใหญ่ในเวลา 12.00 น.ในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้โดยจะนัดหมายกันที่ลานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน และจะค้างที่นั่น 1 คืน ซึ่งเป็นการเลื่อนการนัดชุมนุมให้เร็วขึ้นอีก 1 วันเพราะต้องหลีกทางให้กับซ้อมใหญ่สวนสนามในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาหลังจากนั้นในวันที่ 29 พฤศจิกายนเมื่อการซ้อมใหญ่ของพิธีสวนสนามเสร็จจะเคลื่อนขบวนไปยังแยกมิสกวันเพื่อตั้งเวทีกลางในการปักหลักการชุมนุมต่อเนื่อง ไปถึงเช้าวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้

"ในวันที่ 30 พฤศจิกายนจะมีการรวมพลแดงทั้งแผ่นดินโดยตั้งเป้าให้ได้ 1 ล้านคน เพื่อตั้งแถวเดินขบวนขับไล่รัฐบาลตามถนนสำคัญในกทม. ซึ่งจะเป็นการเดินขบวนการขับไล่รัฐบาลครั้งใหญ่และมากที่สุดตั้งแต่เคยมีมาในประเทศและในโลกก็เป็นได้ เราจะเดินขบวนให้แดงเต็มทั้งกทม.ในช่วงกลางวัน แดงไล่รัฐบาลเพื่อให้รัฐบาลยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน โดยจะบอกให้ทราบอีกครั้งหนึ่งว่าจะเดินไปที่ไหนบ้าง และเมื่อเดินเสร็จเรียบร้อยก็จะกลับมายังแยกมิสกวันและจะชุมนุมต่อเนื่องไปจนถึงเช้ามืดเวลา 06.00 น.ของวันที่ 2 ธันวาคมซึ่งจะยุติชุมนุมโดยสงบเพื่อหลีกทางให้กับพระราชพิธีสวนสนามและวันเฉลิมพระชนมพรรษา ซึ่งหากในช่วงดังกล่าวรัฐบาลยังไม่ตัดสินใจคืนอำนาจให้ประชาชน เราจะกลับมาชุมนุมอีกครั้งและจะยาวนานกว่าเดิมต่อสู้จนกว่าจะได้รับชัยชนะ" นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ทั้งนี้ก่อนจะนัดชุมนุมใหญ่ ทางนปช.จะจัดชุมนุมใหญ่สัญจร ใน 4 ภูมิภาค โดย วันที่ 23 พฤศจิกายน จะจัดที่ภาคเหนือ วันที่ 24 พฤศจิกายน จัดที่ภาคอีสาน วันที่ 25 พฤศจิกายนจัดที่ภาคตะวันออก และวันที่ 26 จัดที่ภาคกลาง ซึ่งจะเปิดเวทีปราศรัยใหญ่เพื่อกำหนดยุทธวิธีทำความเข้าใจและระดมสมองล้มรัฐบาล โดยเรียกว่า "เปิดโรงรบแดงทั้งแผ่นดิน" ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯเพื่อชุมนุมใหญ่ในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้

"บรรณวิทย์"ซัด"บิ๊กบัง"กลับคำเล่นการเมือง เย้ยไม่มีโอกาสนั่งนายกฯ

ที่มา มติชน

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 19 พ.ย. พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เปิดตัวเป็นหัวหน้าพรรคมาตุภูมิว่า การที่พล.อ.สนธิ เข้ามาเล่นการเมืองในตอนนี้เพื่อที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นความที่คิดที่ผิด เพราะการที่ท่านเป็นประธานคมช. แล้วลงมาเล่นการเมืองมันไม่สมควร เพราะตอนนั้นทำการปฎิวัติเพื่อประโยชน์ของประเทศ และถ้าในช่วงที่เป็นประธานคมช.แล้วสะสางปัญหา ต่าง ๆ ให้หมดก็สามารถที่จะทำได้ ซึ่งเหตุการณ์วุ่นวายที่มีอยู่ขณะนี้ก็เป็นเพราะ พล.อ.สนธิและพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี

เมื่อถามว่า พล.อ.สนธิ กล่าวว่าจะเข้ามาเป็นนักการเมือง เพื่อมาสลายกลุ่มต่าง ๆ ให้มาเป็นขั้วเดียวกัน พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าวว่า เมื่อตอนที่เป็นประธาน คมช.มีอำนาจล้นฟ้ายังทำอะไรไม่ได้เลย แล้วไปเป็นนักการเมือง จะได้ ส.ส. ซักกี่คน รวมทั้งทุนที่จะเล่นการเมืองจะไปเอามาจากไหน


เมื่อถามว่า ตอนที่ พล.อ.สนธิ เป็นประธาน คมช. อยู่ เคยปฎิเสธที่จะเล่นการเมือง พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าวว่า ควรที่จะทำตามมุ่งหมายเดิมไม่ควรที่จะกลับคำแล้วมาเล่นการเมือง เพราะโอกาสของท่านหมดแล้ว การที่ลงมาเล่นการเมืองในพรรคที่มีขนาดกลางและเล็กแล้วบอกว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นก็ไม่สามารถที่จะทำได้

"แม้ว"กับ"หนูเน"

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน




สรุปว่าชะตากรรมของนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์

วิศวกรไทยที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมข้อหาทำตัวเป็นสายลับ

กลายเป็นเครื่องมือชิงดีชิงเด่นระหว่างรัฐบาลไทยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ

การที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย เปิดประเด็นเรียกร้องให้ "อดีตนายใหญ่" ใช้ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาที่เพิ่งได้รับ

ให้เป็นประโยชน์ในการเจรจาช่วยเหลือนายศิวรักษ์

เป็นการใช้ลีลาทางการเมืองที่ฉลาด แต่ขาดความเฉลียว

ลืมไปว่าเรื่องการเล่นเกมช่วงชิงกระแสชาวบ้านแบบนี้ "ทักษิณ" ไวอยู่แล้ว

นายเนวินปล่อยมุขนี้ออกมา กลายเป็นว่าช้าไปหนึ่งก้าว

พ.ต.ท.ทักษิณชิงจังหวะติดต่อเจรจากับนายกฯฮุนเซน เป็นที่เรียบร้อย

ถึงขั้นเตรียมส่งพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ บินไปรับตัวนายศิวรักษ์กลับประเทศ

"ครูใหญ่เนวิน"เลยกลายเป็น"หนูเน"ไปซะงั้น

ขณะที่รัฐบาลไทยเองได้แสดงความตั้งใจจริงที่จะช่วยเหลือนายศิวรักษ์

แต่ก็ไม่น่าจะทำอะไรได้คืบหน้ามากนัก

เนื่องจาก "ฮุนเซน" กับ "ทักษิณ" น่าจะเจรจาทำข้อตกลงกันไว้หมดแล้ว

ว่าจะใช้กรณีนายศิวรักษ์ เป็นเครื่องมือลบล้างตราบาปของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่เคยก่อเรื่องสะเทือนใจคนไทยไว้มากมายก่อนหน้านี้ได้อย่างไร

สำหรับรัฐบาลไทยยังมองไม่เห็นลู่ทาง

ว่าจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับกัมพูชาที่ค่อนข้างจะเลวร้ายให้ดีขึ้นได้อย่างไร

ตราบใดที่ไทยยังมีรมว.การต่างประเทศชื่อนาย กษิต ภิรมย์ เสียงด่าผู้นำกัมพูชาว่า "กุ๊ย" ก็จะยังดังก้องอยู่ในรูหูนายฮุนเซนวันยังค่ำ

ไม่มีทางที่กัมพูชาจะกลับมาขอคืนดีกับไทยได้ง่ายๆ

หมดเรื่องนายศิวรักษ์เมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าฮุนเซนจะหาเรื่องอะไรมาก่อกวนไทยอีก

การยกเลิกโครงการความร่วมมือไทย-กัมพูชา หรือมาตรการยกเลิกเงินกู้อะไรต่างๆ ที่รัฐบาลไทยพยายามใช้กดดันกัมพูชาอยู่ในขณะนี้

หลายคนในรัฐบาลไทยก็ไม่ค่อยเห็นด้วย

มองว่าอาจยิ่งทำให้ความขัดแย้งบานปลาย ความเสียหายอาจขยายวงลึกลงไปถึงระดับประชาชนทั้ง 2 ประเทศ

สถานการณ์จึงคล้ายบีบรัดให้นายกฯ ต้องทบทวนบทบาทของนายกษิต

แบบจริงจังเสียที

แบ่งข้างโซ้ยกันเลย

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_47961

พระเอกลิเกหาวิกปักหลักได้ซะที

ในที่สุด "บิ๊กบัง" พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. ก็แถลงเปิดตัวรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคมาตุภูมิอย่างเป็นทางการ

ถอดเครื่องแบบทหารเฒ่า สวมสูทนักการเมืองเต็มคราบ

และก็ประเดิมรับน้องใหม่กันทันทีทันควันเลย

โดยเสียงแซวมาแต่ไกล นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย เตือนกันเป็นนัยๆ อยากแนะนำให้ พล.อ.สนธิทำใจไว้ล่วงหน้า และเก็บงำความลับส่วนตัวไว้ให้ดีๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบฯลับครั้งที่ก่อการรัฐประหารหรือเรื่องอื่นๆ

เพราะการเมืองขุดคุ้ยกันทุกเรื่อง

แต่พรรคเพื่อไทยก็ยินดีต้อนรับ พล.อ.สนธิเข้าสู่การเมือง อย่างน้อยก็เป็นการพิสูจน์ว่า ระบอบประชาธิปไตย ดีกว่าเผด็จการ

อีกด้านหนึ่งก็เป็นเสียงจากนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ยี่ห้อประชาธิปัตย์ เหน็บกันเจ็บๆ การยึดอำนาจง่าย มีกำลังก็ทำได้ แต่การลงสมัครรับเลือกตั้งต้องเอาชนะด้วยเสียงประชาชน

มันไม่ง่ายหรอก

เจอไปสองดอกจุกๆ สัญญาณเตือนให้เตรียมใจ "บิ๊กบัง" จะต้องเจออีกหลายยก

ลองถ้าคลุกฝุ่นในวงนักเลือกตั้งแล้ว ไม่มีใครกลัวใคร

และนั่นก็หมายรวมไปถึงอีกหนึ่ง "สนธิ" ที่เปิดตัวไปก่อนหน้า กับคิวของ "เดอะลิ้ม" นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำใหญ่ม็อบพันธมิตรฯ ที่กระโดดลงสนามการเมืองเต็มตัว ในสถานะหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่

ด่าคนอื่นมันปากฝ่ายเดียวไม่ได้อีกต่อไป

แต่ก็เป็นอะไรที่หากเปรียบเทียบกัน ดูเหมือนคิวของ "สนธิลิ้ม" จะมีภาษีดีกว่า "สนธิบัง" ในเรื่องของพลังภายในที่ยังเหลืออยู่

ตามรอยจากปรากฏการณ์ "เอาอกเอาใจ"

โดยคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินหน้าตั้ง พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ อดีตรอง ผบ.ตร. เข้ามาเป็นรองเลขาธิการนายกฯคุมงานตำรวจและดูแลด้านกระบวนการยุติธรรม

เน้นเฉพาะกิจติดตามความคืบหน้าคดีลอบสังหาร "เดอะลิ้ม"

โดยนัย "มองข้ามหัว" แสดงให้เห็นเลยว่า "อภิสิทธิ์" ไม่ไว้วางใจอดีต "คนกันเอง" อย่าง "เทพเทือก" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง

"ก้าง" ที่ขาใหญ่ม็อบพันธมิตรฯหมั่นไส้ อยากเขี่ยทิ้งเต็มแก่

คิวหักลำ "เทพเทือก" รอบนี้ จึงเป็นอะไรที่ข่าววงในเซียนเลือกตั้งจับสัญญาณได้ "อภิสิทธิ์" ให้น้ำหนักอ้างอิงกับยี่ห้อ "เดอะลิ้ม" มากกว่าชัดเจน

และก็เป็นอะไรที่แก้เหลี่ยม ชิงกั๊กอำนาจไว้เหมือนกัน

กับโผโยกย้ายบิ๊กตำรวจที่เพิ่งผ่านการพิจารณาจากที่ประชุม ก.ตร. โดยมี "เทพเทือก" นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน ถกกันมาราธอนหน้าดำหน้าเขียว

สุดท้ายก็ลงตัวแบบแฮปปี้ในหมู่คนต่างพรรคแต่พวกเดียวกัน

แชร์กันไปทั้งเด็กเส้นของ "เทพเทือก" เด็กฝากยี่ห้อ "เพื่อนเนวิน" สมหวังกันทั้งคิวพี่ชาย น้องชายของแกนนำตัวจริงเสียงจริงพรรคร่วมรัฐบาล

พาเหรดคุมเก้าอี้สำคัญ

แต่ไม่ยักเห็นชื่อปรากฏในข่าวว่าเป็นเด็กฝากของขาใหญ่ม็อบพันธมิตรฯ หรือแม้แต่โพยแปะ "วอลเปเปอร์" ในส่วนของนายกฯอภิสิทธิ์ ติดโผแต่อย่างใด

"เทพเทือก" ก็หักดิบแบบไม่เกรงใจเหมือนกัน

นับวันก็ยิ่งชัดเจน ถึงนาทีนี้ "เทพเทือก" อยู่กับ "อภิสิทธิ์" แค่ตัวและยี่ห้อประชาธิปัตย์ แต่ใจอยู่กับค่ายภูมิใจไทย ติดตรา "เพื่อนเนวิน" ไปแล้ว

เช่นเดียวกับ "อภิสิทธิ์" ที่แอบอิงอยู่กับม็อบพันธมิตรฯเต็มตัว

ก็อยู่ที่จะเก็บอาการ "ซ่อนมีด" กันไปได้อีกนานแค่ไหน

ในท่ามกลางสถานการณ์ "เปราะบาง" ประเภทที่แย่งซีนกันชิงกระแส

กั๊กกันชนิดที่ว่า ค่ายภูมิใจไทยโดยยี่ห้อ "เนวิน" ขยับจับงานอะไร ก็โดนเขม่นจากคนประชาธิปัตย์ ไล่บี้
ประกบไม่ให้เด่น ตีกินคนเดียว ขณะที่ "เนวิน" ก็เริ่มหมดความอดทน บ่นฉุนๆกับคนใกล้ตัว "ทีให้คิดริเริ่มเอง มันก็ทำไม่เป็น"

ไม่เหลือความเป็นทีมเวิร์กแล้ว.

ทีมข่าวการเมือง

กับดัก

ที่มา ไทยรัฐ

โดย หมัดเหล็ก

กรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่า รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เสนอแผนความมั่นคงของประเทศเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ที่ผ่านมา ซึ่งในแผนความมั่นคงดังกล่าวได้ระบุถึงการเตรียมพร้อมที่จะทำสงคราม พร้อมรบ ถึงขนาดจัดทำเป็นคู่มือแจกจ่ายให้กับหน่วยงานความมั่นคงทั้งหมด

ถ้าจริงก็ว้าเหว่

สมมติมีการเสนอแผนดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการก็ตาม คนที่คิดเรื่องนี้แย่มาก ความคิดยังห่างไกลความเจริญพอสมควร เพราะแนวคิดการก่อสงคราม เป็นเรื่องที่กำลังถูกต่อต้านจากสังคมโลกที่เจริญแล้ว

แล้วถ้าเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ ถามว่ารัฐบาลชุดนี้จะอยู่ได้ หรือเปล่า ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ไม่พ้นการแทรกแซงจากองค์กรสากล และนำไปสู่การสิ้นชาติเหมือนหลายๆประเทศที่มีแต่ชื่อประเทศมีประชาชนแต่ไม่มีอธิปไตย

ก่อนหน้านี้ก็เคยปรากฏเป็นข่าวว่า รัฐบาลสั่งเตรียมเอฟ-16 ไปจอดที่อู่ตะเภาเพื่อบินขึ้นล็อกตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่กำลังขึ้นเครื่องบินส่วนตัวจากกัมพูชาและผ่านน่านฟ้าไทย

ตลกยิ่งกว่าขายหัวเราะ

ความคิดเด็กๆเหล่านี้ไม่น่าจะใช่ยุทธศาสตร์ในการบริหารประเทศ ถ้าจะบริหารงานในฐานะพรรคฝ่ายค้าน หรือพรรคการเมืองธรรมดาพรรคหนึ่งที่ท้าตีท้าต่อยชาวบ้านไปวันๆก็ทำไปเถอะ

เอาใจแฟนละครน้ำเน่า

ชีวิตจริงไม่เหมือนละครทั้งหมด เพราะชีวิตจริงจะอยู่บนความโกหกไม่ได้ตลอดไป วันนี้ห่วงว่าสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ในขณะนี้จะเป็นกับดักซ้ำซ้อนในการถ่วงความเจริญของประเทศในอนาคต

ใครขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็ต้องรับภาระต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด แต่ที่จะต้องรับภาระทั้งปีทั้งชาติก็คือประชาชน หนี้สินที่ก่อขึ้นมาเพื่อตำน้ำพริกละลายแม่น้ำก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว

กับดักของความชอบธรรมและกฎหมายยังรออยู่ข้างหน้า กรณี พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี นำพยานคดียุบพรรคไทยรักไทยมายืนยันว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสีจากฝีมือของพรรคประชาธิปัตย์ก็น่าคิด การที่ดีเอสไอนำพยานบุคคลสำคัญมาสอบสวนและให้การมัดคดีเงินบริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาทก็น่าสนใจ ทุกอย่างปรากฏพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือ และเป็นความผิดที่สามารถยุบพรรคประชาธิปัตย์ได้ทันที

เมื่อมีการร้องเรียนและปรากฏหลักฐานใหม่เกิดขึ้น ขบวนการตรวจสอบก็ต้องทำให้โปร่งใส เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและชอบธรรมขึ้นในสังคมไทย ไม่เช่นนั้นก็จะคาใจกันไม่รู้จบ

เพราะความไม่ชอบธรรม และไม่มีมาตรฐานของสังคม วิกฤติบ้านเมือง จึงยังล่อแหลมอยู่ต่อไป อนาคตอยู่บนเส้นด้าย ความยุติธรรมไม่มี สามัคคีไม่เกิดแน่นอน.

ถึงเจ๊ขก คนดีที่จากไป

ที่มา Thai E-News




ถึงพี่สาวผู้จากไปไกลลับหล้า
มีนามว่าเจ้ขกชกหมัดตรง
พี่ยืนหยัดซัดเจ๊กลิ้มยิ้มอย่างทะนง
พี่ช่างองอาจหาญกล้าสง่างาม

พี่ฟันฟาดสนธิลิ้มคนสิ้นชาติ
ที่บังอาจบิดเบือนเหมือนถูกหยาม
พี่เปิดโปงโขลงชั่วรัวประณาม
ไอ้บ้ากามแอบอ้างล้างทำลาย

พี่สุดทนดูสนธิริกำแหง
เริ่มรุนแรงโกหกทั่วชั่วท้าทาย
พึ่จึงเตือนอย่าอุกอาจชาติมลาย
มึงฉิบหายผู้เดียวอย่าเที่ยวกร่าง

ถึงเจ้ขก พี่คนดี ที่จากไป
พี่ทำให้เราทุกคนเห็นแบบอย่าง
พี่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมย่ำทุกทาง
พี่ผู้สร้างให้เกิดก่อขอเชิดชูมิรู้วาย


NiNJA & JoY

เชิญผู้รักประชาธิปไตย พี่น้องชาวเสื้อแดงร่วมงานพิธีฌาปนกิจนางธรรมรส สุนทรพล “เจ๊ขก” ในวันเสาร์ที่ 21 พ.ย. 2552 เวลา 17.00 น. ที่วัดมหาพฤฒาราม

ประวัติเจ๊ขก จากเวบบล็อกประชาธิปไตย100%

นางธรรมรส สุนทรพล (เจ๊ขก) เกิดวันที่ 18 พ.ย. 2500 อายุ 52 ปี มีบุตรชาย 2 คน อายุ 27 และ 26 ปีตามลำดับ สามีชื่อนายฉัตรชัย สิทธิโชติทวีสุข ประกอบอาชีพค้าขาย (ข้าวแกง, อาหารตามสั่ง, ขาหมู, ไอศรีม) ซึ่งระยะหลังได้เปลี่ยนมาขายเสื้อผ้า


ช่วงปี 2547-2548 มีการประท้วงขับไล่รัฐบาลนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร โดยกลุ่มพันธมิตร “เจ๊ขก” ซึ่งรักอดีตนายกฯ ทักษิณฯ มาก เริ่มทนไม่ได้ จึงออกมาต่อสู้กับคนกลุ่มนี้เรื่อยมา จนกระทั่งวันอังคารที่ 19 กันยายน 2549 รัฐบาลของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้ถูกรัฐประหารยึดอำนาจโดย คมช. “เจ๊ขก” ก็ได้ออกมาร่วมต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยกับแกนนำ นปช. ที่ท้องสนามหลวง และทุกครั้งที่มีการชุมนุม ตั้งแต่สนามหลวงมาถึงหน้าทำเนียบรัฐบาล ในช่วงสงกรานต์เลือดที่ผ่านมา พวกเราก็จะเห็น “เจ๊ขก” ซ้อนมอเตอร์ไซค์สามีมาร่วมต่อสู้อยู่กับพวกเราเสมอ

เจ๊ขกมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นคือเป็นแม่ค้าประชาธิปไตยที่มีบทบาทในการด่าฝ่ายเผด็จการ โดยเฉพาะสนธิลิ้มชนิดที่ด่าได้ไม่ซ้ำมุก และดุเด็ดเผ็ดมันส์ที่สุด

"เจ๊ขก" เริ่มมีอาการป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ตอนปลาย เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเลิดสิน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน 2552 แพทย์ก็ให้กลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน จนกระทั่งจากพวกเราไปอย่างสงบ เมื่อวันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2552

ขณะที่สามีของเจ๊ขกเผยว่าแม้ภรรยาจากไป แต่เขาจะสืบทอดเจตนารมณ์ร่วมกับคนเสื้อแดงต่อไป จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงสมเจตนารมณ์ภรรยาแม่ค้านักประชาธิปไตย

Thursday, November 19, 2009

อีที...พยากรณ์

ที่มา บางกอกทูเดย์

อีก 1 กลยุทธ์...ที่มักจะถูกนำออกมาใช้ในการต่อสู้...นั่นคือ คำพยากรณ์...ทุกฝ่ายจะใช้คำทำนายให้เป็นประโยชน์กับฝ่ายตนคำทำนายจะทำให้ไพร่พลนักรบ...มุ่งมั่นในชัยชนะ...คำทำนายทำให้ฮึกเฮิม...สงครามใหญ่ๆ หลายๆ ครั้งในอดีต...ประเทศ 2 ประเทศยกกองทัพเข้าหํ่าหันเพราะแต่ละฝ่ายต่างเชื่อในคำทำนายของ...หมอดูฝ่ายตน...ไม่มีใครเข้าทำสงครามทั้งๆ ที่รู้ว่าแพ้...ขณะนี้...ได้มีคำทำนายเกิดขึ้น...ว่ากันว่า มาจากหมอดูพิการชาวพม่า...ที่ลือกันว่าแม่นเหมือนจับวาง...ว่ากันว่า...นายเสนาะ เทียนทอง...ซึ่งมีบุคลิกที่ค้านกับการเชื่อในคำทำนาย...เคยลองของกับ หมอดูอีทีว่า...ถ้าแม่นจริงต้องทายตัวเลขในธนบัตรที่อยู่

ในกระเป๋าสตางค์...เหมือนปาฏิหาริย์...หมอดูหญิงพิการ...จดตัวเลขส่งให้...ตัวเลขทุกตัวของอีที...ตรงกันกับธนบัตรที่...นายเสนาะ เทียนทอง...ควักออกมาตรวจสอบไม่กี่วันก่อน...อีที...ให้คำทำนายมากับคนไทยกลุ่มหนึ่งที่บินไปพบในเมืองพม่า...และเมื่อถามถึงการเมืองในประเทศไทยอีที...ได้พยากรณ์มาแล้วก่อนหน้าว่า ไทยกับกัมพูชาจะมีปัญหา และทำนายว่า ก่อนสิ้นปี 2552 ไทยกับกัมพูชาจะปะทะกันรุนแรงด้วยอาวุธ จะมีบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากส่วนใน

ประเทศ...อีทียืนยันจะมีสถานการณ์นองเลือดเกิดขึ้น ช่วงแห่งการต่อสู้ล้มตายจะกินเวลาประมาณ2 สัปดาห์2553 จะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่..โดยที่ฝ่ายทหารจะถอยห่างจากการเมือง...พรรคใหญ่ในขณะนี้จะเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งแต่ฝ่ายต่อต้านจะยังมีอยู่ แต่ชั่วขณะหนึ่งก็จะโรยราหมดแรงเมื่อถามถึง ทักษิณ ชินวัตร...หมอพิการชาวพม่า...ฟันธงว่า..เมษายน 2553 ทักษิณ จะกลับมาอยู่ในประเทศไทย ก่อนวันสงกรานต์วิเคราะห์จาก...ปรากฏการณ์ปัจจุบัน...กับการขับ

เคลื่อนของแต่ละกลุ่มฝ่ายทางการเมือง...น่าห่วงว่าคำพยากรณ์น่าจะเป็นจริง...เสรีภาพที่อยู่เหนือตัวบทกฎหมาย...แผ่นดินจึงไร้กติกา...ถ้าการฆ่ากันระหว่างคนไทยกับคนไทย...เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้...ประชาชนคนไทยจะเหลือเท่าไหร่...จากยอด 64 ล้านคน...วันที่ เขมร กับ เขมร...ลุกขึ้นมาไล่ล่าเข่นฆ่ากัน...กว่า 3 ล้านชีวิต สิ้นสูญไป...ภาวนากันไว้ให้ดีๆ อย่าให้อีที เธอทายแม่น 

“คนพูด”

ที่มา บางกอกทูเดย์

เติมเต็มข่าวสารรอบด้าน เพิ่มความคิดความเห็นให้เต็มวิสัยทัศน์คิดตรง พูดตรง คือคุณสมบัติของหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์รายวัน บางกอกทูเดย์ ของท่านผู้อ่านทั่วประเทศ ฉบับใหม่วันนี้ประจำวันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2552...

●...มด คันไฟเตือนความจำของความดีที่คนรุ่นเก่าสร้างชื่อลือลั่นเอาไว้ให้พรรคประชาธิปัตย์ ว่า วันนี้ความทรงจำเหล่านั้นมันหายไปไหนหมด...เตือนความจำประชาธิปัตย์ ยุคผู้นำพรรคอายุน้อยอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปีพอศอที่การเมืองไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงพลิกผัน เพราะผลงานและแรงผลักดันจากพวกท่าน นี่คือการเมืองประชาธิปไตยของประเทศไทยพอศอสองพันห้าร้อยห้าสิบสองปลายปีที่เสียงของคนไทย “ทวงคืนประชาธิปไตย” ดังขึ้นทุกทีและทุกวันหลังปฏิวัติครั้งสุดท้ายเมื่อ 19 กันยา 2549...

●...จากวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง24 มิถุนายน 2475 เรามีรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ แต่เรามีปฏิวัติสลับกับประชาธิปไตยหมายความว่า ประเทศไทยรํ่ารวยรัฐธรรมนูญแต่ยากจนประชาธิปไตยจริงอย่างนั้นหรือ??พวกเรากำลังหลอกตัวเองกันหรือเปล่าครับ...

●...มด คันไฟกำลังเขียนความจริง ไม่ใช่เขียนเพื่อเตือนความจำเพราะวันนี้ความจริง สำหรับคนไทย ต้องแปลว่า ใครพูด ด้วย เนื่องจากความจริงเรื่องเดียวกันแปลความหมายได้สองอย่างไม่เหมือนกันแล้วแต่ “คนพูด” และนี่คือพจนานุกรม อีกเล่มของการเมืองประชาธิปไตยบ้านเรา...

●...เปิดประวัติศาสตร์การเมืองไทยจาก 2475 ถึงปีนี้ 2552 เรามีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 27 คนแต่มีนายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ 4 คน...คนแรกนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 4 คนที่สอง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีคนที่ 6 คนที่สาม นายชวน หลีกภัยนายกรัฐมนตรีคนที่ 20 และคนที่สี่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีคนที่ 27...และนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ปัจจุบันนี่แหละ และประวัติศาสตร์การเมืองหน้าใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คือ คนตัดสินอนาคตของพรรคการเมืองเก่าแก่ที่มีชื่อ ประชาธิปัตย์...

●...จาก 19 กันยายน 2549 ถึงวันนี้พอศอ นี้ มด คันไฟ หมายเหตุประเทศไทยเอาไว้ว่าองค์ประกอบและตัวละครของการปฏิวัติวันนี้ ปรากฏตัวชัดเจนตั้งแต่ สนธิ ลิ้มทองกุล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงคนเป็นหัวแถวในการปฏิวัติวันนั้นอย่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินและนี่คือวงจรการเมืองซึ่งเป็นวงจรเดียวกับวงจรประเทศไทยที่กำลังทับซ้อนกันอย่างชัดเจนเป็นสัญญาณที่น่า่จะบอกอะไรลว่งหนา้ได้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้บ้างไม่มากก็น้อย...

●...จากนายทหารธรรมดาที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก มาสู่หัวแถวการปฏิวัติของ คมช.แล้ววันนี้กลายเป็นนักการเมือง คือ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ล่าสุด มาตุภูมิหมายความว่าต่อจากนี้ไปจะมีลับ ลวง พราง ไม่ได้อีกแล้ว และชีวิตนักการเมืองต้องพร้อมให้ทุกคนตรวจสอบต่อหน้าสาธารณชนที่จะปฏิเสธไม่ได้อีกเรื่องคือ การถูกโจมตีเรื่องสร้างความด่างพร้อย เกิดแผลเป็นกับประชาธิปไตย ในการทำปฏิวัติเมื่อ 19 กันยา 2549...

●...เสาร์ 21 พ.ย. 11.30 น. สุนทรเก่งวิบูล นัดสิงห์ดำรุ่น 17 รุ่นเดียวกับ ดร.สุพจน์ ไข่มุกด์,วิชา มหาคุณ, อนันต์ อัศวนนท์ สังสรรค์ครบรอบ 45 ปีที่โรงแรมเอเชีย ราชเทวี...คํ่าวันเดียวกันฉลองแต่ง น.ส.พชรวลัยลูกสาว พล.ต.ต.ลัทธสัญญา-วรกาภรณ์ เพียรสมภาร กับภัทร์บดี ลูกชาย พ.ต.อ.บัญญัติ-อรพรรณ โฉมวงศ์ ห้องจูปีเตอร์โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น...

●...บรรดาน้องๆช่างภาพสื่อมวลชนสายการเมือง ฝากกราบขอบพระคุณความมีนํ้าใจของ นพ.ทศพร เสรีรักษ์ อดีต ส.ส.ขวัญใจชาวแพร่ และคุณหมอสุชาติ ไชยเมืองราช จากโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ได้ให้การช่วยเหลือ ในการรักษาเยียวยา คุณสงบ จันทโชติอดีตหัวหน้าช่างภาพ น.ส.พ.บ้านเมือง อย่างดียิ่งจนอาการพ้นขีดอันตราย...●