ที่มา ประชาไท
อำมาตยานุสติ
เกิด แก่ ตาย จาก 79 ปีชาตกาลประเวศ วะสี ถึง กรณีมรณกรรมพุทธทาส ปี 2536
“ใน ทางสังคม...แพทย์โยงใยไปได้ทั่ว ไม่ว่าจะเป็นในวัด ในกองทัพ ในวัง ในธุรกิจ ในด้านหนึ่ง การแพทย์แผนปัจจุบันทำประโยชน์อย่างมากในการช่วยชีวิตของผู้คนโดยไม่ต้อง สงสัย แต่การมีอำนาจมากก็มีข้อเสีย เช่นเดียวกับการมีอำนาจทุกชนิด นั่นคือ การมีอำนาจทำให้ไม่เรียนรู้ การไม่เรียนรู้นำไปสู่ความเสื่อมหรือความล่มสลาย”
ประเวศ วะสี [1]
การ์ตูนเสียดสี โดย เรณู ปัญญาดี
จาก มติชนสุดสัปดาห์ กรกฎาคม 2554
เมื่อ สัก 20-30 ปีมาแล้ว รูปปฏิมาปัญญาชนสาธารณะที่เปี่ยมไปด้วยบารมี คุณธรรม กับภาพลักษณ์ห่วงใยชุมชน และชาวบ้าน ทรงพลังเข้มขลังและมีบทบาทอย่างมากในการผลักดันฟันเฟืองการพัฒนาในสังคมชนบท นอกกระแสอย่างทรงพลัง ในยามที่ระบบราชการยังเทอะทะ การเมืองระดับประเทศยังเตาะแตะ แต่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ชนบทที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สร้างความแหลมคมของการต่อสู้ทางการเมือง ได้กระทุ้ง กะเทาะ กระชากหน้ากาก รื้อถอนให้เห็นตัวตนและแก่นแกนความคิดทางการเมืองของกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ เป็นอย่างดีว่า พวกเขาหวงแหนและกุมอำนาจอยู่กับตนและพวกพ้องมากมาย ที่สำคัญที่สุดก็คือ การหลุดลอย ไม่ยึดโยงกับอำนาจกับประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งโดยพาซื่อหรือจะโดยความเขี้ยว หรือจะโดยความกลัวก็ตาม คำถามก็คือว่า เหตุไฉนพวกเขาเหล่านั้นจึงมีวิธีคิด และการตัดสินใจทางการเมืองที่ “อประชาธิปไตย” ได้มากขนาดนั้น หรือแท้จริงแล้วความหวังดีทั้งหลายที่ผ่านมาไม่ได้มีฐานที่ผูกแน่นอยู่กับ ระบอบประชาธิปไตยที่ ประชาชนเป็นใหญ่ มาตั้งแต่ต้น หรือแท้จริงแล้วปลายทางของสังคมที่น่าอยู่ของพวกเขา ผูกโยงอยู่กับคุณค่าทางคุณธรรม จริยธรรมแบบจารีตนิยมอนุรักษ์นิยมของบุคคล และชุมชนแบบบุพกาลเพียงเท่านั้น
ผู้เขียนเชื่อว่า ลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังความ วิปริตทั้งหมด หากเป็นโครงสร้างการเมืองแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการที่โยงใยกันอยู่ อย่างแฝงเร้นและเปิดเผย ประเวศ วะสี เป็นตัวแบบที่บทความนี้จะใช้นำไปอธิบายต่อคำถามตั้งต้นดังกล่าว ด้านหนึ่งจะแสดงให้เห็นถึงความโยงใยของเครือข่ายประเวศจะทำให้เราเห็นถึง อำนาจและสถานะที่สูงส่งของแพทย์ในสังคมไทยที่มีบทบาทสำคัญในการพยุงความเข้ม แข็งการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างมีนัยสำคัญ ในอีกส่วนหนึ่งของบทความนี้จะได้ทำการหยิบปรากฏการณ์มรณกรรมของพุทธทาสภิกขุ ในปี 2536 เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของการเมืองเรื่องความตายของพระชื่อดังอัน เป็นเสาหลักของนักคิดฝ่ายอนุรักษ์นิยมหัวก้าวหน้า ในห้วงเวลาที่โครงสร้างทางการเมืองที่กำลังถูกจัดรูปใหม่อีกครั้งหลัง เหตุการณ์นองเลือดพฤษภาคม 2535 ในสถานการณ์เช่นนั้น ประเวศ มีบทบาทที่น่าสนใจนั่นคือ เขาเป็นทั้งผู้เล่นอยู่ในห้วงประวัติศาสตร์เวลานั้น และเขายังเป็นผู้เล่า ผู้เขียนอธิบายความเป็นไปช่วงนั้นด้วยตนเอง
บนเส้นทางชีวิต บันทึกเรื่องราวผ่านปลายปากกา
ประเวศ วะสี
เกิดหลังปฏิวัติสยาม และเติบโตหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ประเวศ นับเป็นหนึ่งในคนดังที่เกิดในปี 2475 สหชาติร่วมกับ อานันท์ ปันยารชุน, สุลักษณ์ ศิวรักษ์, รงค์ วงษ์สวรรค์ ฯลฯ เขาถือกำเนิดหลังการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน เพียง 2 เดือน นั่นคือวันที่ 5 สิงหาคม 2475 ในวันที่บทความนี้ตีพิมพ์ เขาจะอายุครบ 79 ปี
กลาง ทศวรรษ 2480 เป็นยุคที่คณะราษฎรเจิดจรัสที่สุด กลุ่มคนหนุ่มในคณะราษฎรได้ยึดกุมตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลอย่างแท้จริง คณะราษฎรเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ที่ต้องการจะสร้างประเทศใหม่ ผสานไปกับอารมณ์ความรู้สึกที่ทะเยอทะยาน มั่นใจและใฝ่ฝันที่จะเป็นถึงประเทศมหาอำนาจ ดังเห็นได้จากผลักดันให้เปลี่ยนนามประเทศจาก “สยาม” เป็น “ไทย” ในทางกายภาพ ถนนราชดำเนินถูกเนรมิตให้เปลี่ยนโฉมเป็นชองป์เอลิเซ่ มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปพร้อมๆกับตึกแถวอันโอ่อ่าสองฝั่ง ด้วยเงินของสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
เด็กชายประเวศจะทัน รู้สึกและอินกับ สังคมไทยที่ฮึกเหิมและความเปลี่ยนแปลงในยุคดังกล่าวหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ ในเวลานั้นเขายังอายุสิบขวบต้นๆ และอยู่ระหว่างการศึกษาชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนวิสุทธรังษี กาญจนบุรี [2]
ประเวศ ก้าวเข้าสู่ช่วงชีวิตวัยรุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะนั้นกองทัพอักษะญี่ปุ่นเข้ามาตั้งกองบัญชาการที่กาญจนบุรี อันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่จะเชื่อมต่อเข้าไปยังพม่าตามเป้าหมายของกองทัพ ญี่ปุ่น เส้นทางนี้จึงตกเป็นเป้าโจมตีอย่างหนักจากฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ประเวศต้องอพยพไปเรียนที่ราชบุรี และนครปฐมตามลำดับ [3] หลังสงครามด้วยความตั้งใจที่จะเรียนแพทย์ทำให้เขามุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเพื่อ เล่าเรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับประเทศในช่วงมัธยมปลายที่เตรียมอุดม ศึกษา ในปี 2490 และจบการศึกษาในปี 2492 [4] ในขณะนั้นสังคมไทยได้ถูกเหวี่ยงกลับมาสู่สังคมอำนาจนิยมและชูกระแสนิยมเจ้าอย่างชัดเจน
ประเวศ ก้าวต่อไปในชั้นเตรียมแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศึกษาต่อคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในปี 2498 เมื่อจบการศึกษาเขาได้รับปริญญาแพทยศาสตร์เกียรตินิยม และได้รับรางวัลเหรียญทองในฐานะที่ได้คะแนนเป็นที่หนึ่งตลอดหลักสูตร [5] ด้วยความสามารถที่โดดเด่นของเขา ทำให้ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อด้านระบาดวิทยาที่สหรัฐอเมริกา และด้านพันธุกรรมศาสตร์ที่อังกฤษ โดยได้รับทุนพระราชทานในปี 2500 จากทุนส่วนพระองค์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ก่อนที่จะมีการจดทะเบียนมูลนิธิอานันทมหิดล ในปี 2502 [6]
หลังจากกลับมาจากสหรัฐอเมริกา เขารับตำแหน่ง อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล ในปี 2504 [7] ประเวศนับว่าได้รับความเมตตามาก เนื่องจากในหลวงทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างตึกเป็นที่ทำการ คือ ตึกอานันทราช สำหรับโลหิตวิทยาที่โรงพยาบาลศิริราช ประเวศอ้างว่า เพราะตึกหลังนี้จึงทำให้สามารถทำงานทางวิชาการได้รวดเร็วยั่งยืนขึ้น การระดมทุนสร้างตึกดังกล่าวได้รับพระราชูปถัมภ์โดยการพระราชทานภาพยนตร์ส่วน พระองค์ให้ฉายที่ศาลาเฉลิมกรุงเพื่อเป็นนำมาเป็นทุน และยังได้แก้วขวัญ วัชโรทัย จัดมวยการกุศลสมทบทุนเพิ่มเติมอีก [8]
เดินทางทั่วไทยในนามนักวิจัยโรคธาลัสซีเมีย โลหิตจาง
ประเวศ ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับธาลัสซีเมีย โดยเฉพาะโรคฮีโมโกลบิน เอช (H) เป็นผลงานที่เขาเห็นว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่ง และได้ตีพิมพ์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ชั้นนำของอังกฤษชื่อ Nature ในปี 2507 [9] ผลงานนี้ของเขาทำให้ได้ไปบรรยายหลายแห่ง เช่นในปี 2511 ที่สหรัฐอเมริกาและแคนาดา [10] และอีกหลายแห่งทั่วโลกในระยะต่อมา
นอก จากนั้นเขายังทำการลงพื้นที่ทั่วประเทศไทย เพื่อทำการสำรวจเรื่องเกี่ยวกับเลือด แต่ลักษณะการทำงานนั้นจะร่วมไปกับทีมอื่นๆด้วย เช่น ทีมนักพันธุศาสตร์ ม.มิชิแกน สหรัฐอเมริกา หรือทีมมานุษยวิทยากายภาพที่เน้นการวัดส่วนต่างๆของร่างกายและถ่ายรูปลักษณะ ของใบหน้า [11] การออกสำรวจนี้เองที่เป็นเหตุให้ประเวศขยายความสนใจจากโรงพยาบาลใหญ่ไปสู่ การแพทย์ของชุมชน นั่นคือ ทำให้สนใจเรื่องสาธารณสุขและสังคมมากขึ้น [12]
วารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์
ความเข้าใจที่กลับหัวกลับหาง คือ การมุ่งมั่นปฏิรูปโดยไม่สนใจว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่
ประเวศกล่าว ในบันทึกว่า ได้ยินชื่อสุลักษณ์ ศิวรักษ์ (ส.ศิวรักษ์) ตั้งแต่สมัยที่เรียนอยู่อังกฤษที่มีชื่อเสียงมาจากการจัดทำวารสารที่ชื่อว่า สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ครั้นประเวศกลับเมืองไทยเขาเล่าเมื่อได้อ่าน สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ทำให้โลกทัศน์ของเขาเปลี่ยนไปอย่างมากขนาดที่เรียกว่าเป็น “จุดเปลี่ยนในชีวิตที่สำคัญจุดหนึ่ง” [13] แม้จะอ้างเช่นนั้น ก็มิได้พบเห็นว่าประเวศหรือเครือข่ายจะปฏิเสธอำนาจนอกระบบอันไม่ชอบธรรม ในบันทึกแทบจะไม่พบการตั้งคำถามอำนาจอันไม่ชอบธรรมที่ได้มาของสฤษดิ์ ธนะรัชต์, ถนอม กิตติขจร, ประภาส จารุเสถียร แต่กลับปรากฏบันทึกที่กล่าวถึงการล็อบบี้ผ่านผู้มีอิทธิพลทางการเมืองที่มี อำนาจอยู่บนยอดปิรามิดทั้งหลายทั้งนั้น
ในปี2515 ประเวศได้รับเลือกเป็นคณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอแนะการวางแผนการแพทย์และสาธารณสุขแห่งชาติ [14] ซึ่งเป็นโอกาสอย่างดีที่จะได้รู้จักเสม พริ้งพวงแก้ว [15] หมอผู้นี้ลาออกจากราชการเมื่ออายุ 51 ปี ในปี 2504 มาเป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปเป็นเวลา 10 ปี (ปี 2506 –2516) [16] อย่างไรก็ตาม คนดีมีความสามารถตามแบบฉบับและคุณสมบัติของสังคมไทยอย่างเสม ก็อยู่ในปริมณฑลส่วนตัวได้ไม่นาน ในช่วง 14 ตุลาคม 2516 เขาได้มีส่วนในด้านการรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บ โดยเขาอยู่ประจำศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม [17]
ภาย ใต้การจัดระเบียบอุดมการณ์ทางการเมืองใหม่ เสมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2516 ภายใต้นายกรัฐมนตรีนักกฎหมายผู้ทรงศีลธรรมชื่อ สัญญา ธรรมศักดิ์ และโอกาสแห่งอำนาจที่อยู่ในมือนี้เองที่ทำให้เขาสามารถจัดความสัมพันธ์เชิง อำนาจในกระทรวงสาธารณสุขเสียใหม่ คือ ทำให้อำนาจการบริหารทั้งการป้องกันและรักษา มาอยู่ที่สำนักงานปลัดกระทรวง ส่งผลให้สามารถสั่งการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นยังอ้างว่า มีการกระจายอำนาจไปยังหน่วยงานภูมิภาคอย่างทั่วถึงซึ่งหมายถึงให้โรงพยาบาล จังหวัดมีอำนาจมากขึ้น โดยให้กรมต่างๆ ทำหน้าที่วิชาการสนับสนุน ซึ่งการดำเนินงานทั้งหมดนี้สำเร็จลงในปี 2517 [18]
เสม พริ้งพวงแก้ว (2454-2554)
รอบ อายุของเสม ยังทันการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ คณะรัฐมนตรี ที่เป็น “คนดีมีความสามารถ” อีกครั้งหลัง 6 ตุลาคม 2519 เขารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในปี 2523 ใต้นายกรัฐมนตรี เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ที่มาจากการรัฐประหารต่อรัฐบาลเผด็จการธานินทร์ กรัยวิเชียร อย่างไรก็ตาม เขารัฐบาลนี้อยู่ได้เพียง 18 วัน เกรียงศักดิ์ ก็ลาออก อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรม ติณสูลานนท์ รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เสมก็กลับมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขอีก ในรัฐบาลเปรม 2 ในปี 2524 อำนาจครั้งนี้ทำให้เขาผลักดันให้ออกระเบียบกระทรวง ให้โรงพยาบาลในสังกัดใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ [19] การอยู่ในแวดวงอำนาจน่าจะมีส่วนทำให้งานด้านสาธารณสุขที่เสมเกาะติดอยู่ ประสบความสำเร็จเป็นระยะ ในปี 2525 พบว่าเสมและเครือข่ายผลักดันให้ประเทศไทย มีอิสระในการบริหารงานงบประมาณจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นแห่งแรก [20] เป็นช่วงเวลาระหว่างที่เสมกำลังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในปี 2524-2526 ทำให้เห็นว่าช่องทางการเดินทางของแหล่งทุนนอกเข้าสู่การทำงานพัฒนาชนบททวี ความสำคัญขึ้นเรื่อยในทศวรรษนี้ ประเด็นนี้ชี้ให้เห็นเส้นทางทางการเมืองของเสมที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาทั้งทาง การแพทย์ การเมือง และการทำงานพัฒนาชนบทของเขา ซึ่งในสังคมประชาธิปไตยแล้ว ถือว่าเป็นช่องทางพิเศษสำหรับคนดีมีความสามารถที่ไม่จำเป็นต้องเปลืองตัวไป ลงสมัครรับเลือกตั้งเสนอตัวให้ประชาชนเลือก
ในขณะที่ประเวศเดินเกม ได้เหนือชั้นกว่านั้น นั่นคือ ไปอยู่หลังม่าน ไม่จำเป็นต้องลงมาเป็นรัฐมนตรีเสียเอง แต่ก็สามารถรวมศูนย์อำนาจไว้ได้อย่างมั่นคงและเป็นเอกภาพ และมีงบประมาณให้ใช้จ่าย ในอีกหลายปีต่อมา
ชูธงปฏิรูปที่มีชนชั้นสูงและฝ่ายอนุรักษ์นิยมเป็นแบ็ค
ความ ผูกพันระหว่างแพทย์ที่มีสถานะสูงด้วยอำนาจในการรักษาที่อยู่ในมือ ดังที่กล่าวมาแล้วในเบื้องต้น ทำให้แพทย์เป็นวิชาชีพหนึ่งที่มี “อภิสิทธิ์” เป็นอย่างยิ่ง ประเวศได้รับเลือกเป็นกรรมการแพทยสภาจากการเลือกตั้ง ในปี 2512 [21] และในปีเดียวกันนั้นเขาได้เขียนบทความวิจารณ์ศิริราชในบทความชื่อ “ปัญหาศิริราช” [22] ประเวศพบกับปัญหาที่หมักหมมเนื่องจากระบบราชการที่เน่าเฟะ ทำให้พวกเขาเห็นว่าจำเป็นต้องแก้ไขด้วยอำนาจที่เบ็ดเสร็จ
ปี 2514 เราพบว่าประเวศและพวกใช้โอกาสที่ใกล้ชิดกับเครือข่ายทหารนักการเมืองผลักดัน ประเด็นที่คิดว่าดีและมีประโยชน์ต่อสังคม นั่นก็คือ ประเวศ จากโรงพยาบาลศิริราช อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ (บิดาของอภิสิทธิ์) จากโรงพยาบาลรามาธิบดีและเพรา นิวาตวงศ์ จากคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (เพรา เติบโตมากับอาณาจักรจอมพลสฤษดิ์ ทั้งยังเป็นหมอผ่าตัดที่เก่งมาก ทำให้มีคอนเนคชั่นที่ดีกับนายทหารนักการเมืองที่มาเป็นคนไข้ [23]) หมอทั้งสามได้ลงนามถึงรัฐบาลขอให้ปฏิรูปโรงเรียนการแพทย์ ผ่าน พลเอกแสวง เสนาณรงค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี [24] ซึ่งเป็นคนที่ถนอมไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง
เขา บันทึกว่าในปีเดียวกันที่เขามีโอกาสถวายการรักษาสมเด็จพระบรม ราชินีนาถฯ ประเวศกราบบังคมทูลแนวคิดในการปรับปรุงแพทย์และสาธารณสุข และได้รับคำแนะนำว่า “เรื่องนี้คุณหมอประเวศจะต้องกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว...พระเจ้าอยู่หัว จะได้รับสั่งกับจอมพลถนอม” [25] ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่
ประเด็น นี้แม้จะผ่านมติคณะรัฐมนตรีฉลุย แต่ในระดับปฏิบัติการแล้วงานไม่ไปถึงไหน พออารี วัลยะเสวี ศาสตราจารย์นายแพทย์ คณบดีผู้ก่อตั้งคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีเห็นชอบกับนโยบายดังกล่าวจึงใช้โอกาสที่รัฐบาลเผด็จการ เห็นชอบนี้มาผลักดันให้เป็นจริง กลายเป็นว่าหมอโรงพยาบาลรามาธิบดีส่วนใหญ่ไม่พอใจ ฝ่ายคัดค้านได้ลงนามขอให้คณะปฏิวัติระงับเรื่อง แต่คณะปฏิวัติไม่เห็นด้วย [26] ถนอมกับประภาสแม้จะใหญ่เพียงใด แต่พอเจอสารที่ได้มาจากพจน์ สารสิน รองหัวหน้าคณะปฏิวัติที่ได้รับสั่งของในหลวงมาว่า “ได้ยินว่าที่รามาธิบดีเขากำลังทำอะไรแปลก” สองจอมเผด็จการก็มีอันต้อง “ถอยกรูด” อย่างไรก็ตาม อารี ก็ไม่ละความพยายามขอเข้าเฝ้า และชวนประเวศไปด้วยกัน อารีโบ้ยให้ประเวศกราบบังคมทูล เมื่อทรงฟังแล้วรับสั่งว่า [27]
“การที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรต้องให้คนส่วนใหญ่เห็นด้วย”
“ถ้า ปัญหาเกิดจากคนส่วนใหญ่ จะให้คนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ก็คงจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไม่ได้” ประเวศกราบบังคมทูลซ้ำ
“ถ้าพูดอย่างนั้น มีหมอประเวศคนเดียวเป็นคนนอกรามาธิบดี หมออารีก็เป็นส่วนหนึ่งของรามาธิบดี...”
ส่วน หมอคนอื่นที่มาด้วยอย่าง อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ สันต์ หัตถีรัตน์ เห็นท่าไม่ดีจึงเฉยเสีย และเรื่องปฏิรูปให้มีระบบอาจารย์เต็มเวลาและไม่เต็มเวลาก็ยุติลงด้วยประการ ฉะนี้ และนี่คือภาพตัวอย่างของกระบวนการการตัดสินใจนโยบายสาธารณะในปี 2515
อีก กรณีหนึ่งก็คือ จดหมายลับมากของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ในปี 2518 ที่มีต้นกำเนิดมาจากข้อสงสัยว่าประเวศจะเป็นคอมมิวนิสต์ แม้ก่อนหน้านี้เขาจะเขียนบทความ “สร้างสรรค์สังคมไทยขึ้นใหม่” ในสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ปี 2517 ซึ่งหลักคิดก็คือ เน้นเอาศาสนาและพระมหากษัตริย์เป็นธงชัยในการสร้างสรรค์สังคมไทยขึ้นใหม่ ในช่วงหลัง 14 ตุลาคม 2516 [28] แต่แต่เขาก็ถูกร้องเรียนพฤติการณ์ เนื่องจากว่าประเวศเองก็เป็นที่ปรึกษาและพบปะแลกเปลี่ยนของเหล่านักศึกษา ขณะที่การวิพากษ์วิจารณ์สังคมที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากคนหนุ่มสาวรุ่นนั้น ประเวศบันทึกว่า เขาถึงกับถูกฟ้องต่อในหลวงว่าเป็น “หัวหน้าคอมมิวนิสต์” ซึ่งในด้านหนึ่งเขาได้รับการการันตีจาก ม.ล.เกษตร สนิทวงศ์ นายแพทย์ผู้เป็นลุงของสมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ ซึ่งสนิทและช่วยเหลือประเวศอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ม.ล.เกษตรถึงกับกล่าวว่า [29]
“ถ้าหมอประเวศเป็นคอมมิวนิสต์ ข้าพระพุทธเจ้าก็เป็นด้วยพระพุทธเจ้าข้า”
จากนั้น ม.ล.เกษตร จึงเข้าพบพลเอกสายหยุด เกิดผล เพื่อให้เช็กประวัติและออกใบรับรองความบริสุทธิ์ของประเวศตามจดหมายลับมากดังกล่าว
เหตุผล ในการรับรองก็คือ ข้อแรก ประเวศเป็นนักศึกษาแพทย์ มีประวัติการศึกษาอยู่ในขั้นดีมาก ชอบทำงานเป็นหมู่คณะ ข้อสอง รับราชการเป็นแพทย์ประจำบ้าน โดยใช้ลักษณะการทำงานแบบรวมหมู่และคณะเช่นเดิม ข้อสาม เนื่องจากเข้ากับนักศึกษาหัวก้าวหน้าจึงอาจถูกเพ่งเล็งจากกลุ่มอาจารย์และ แพทย์รุ่นเก่า ข้อที่สี่ยิ่งน่าตื่นเต้นก็คือว่า เขาเคยได้รับทุนจากมูลนิธิ “อานันทมหิดล” และมีความสัมพันธ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ในระดับหนึ่ง และมีแนวคิดที่เห็นว่า “สิ่งทั้งหลายย่อมมีการเปลี่ยนแปลง แต่มิได้เน้นลักษณะในเรื่องชนชั้น มีแนวการปฏิรูปโดยการใช้การประสานประโยชน์” ข้อสรุปนี้นิยามประเวศอย่างนามธรรมว่ “มีลักษณะเป็นนักปฏิรูปพื้นฐานของมนุษยธรรม” [30] แสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวของชนชั้นปกครองไทยต่อเรื่อง “ชนชั้น” ที่เป็นจุดโจมตีอันแข็งแรงของฝ่ายซ้าย
เหตุผล ที่น่าสนใจอีกกรณีหนึ่งที่ทำให้เห็นว่าแพทย์มีสถานที่สูงในสังคม แล้ว แต่ยังเห็นว่าในห้วงเวลาดังกล่าว แพทย์ยังเป็นวิชาชีพที่รับใช้การเมืองอย่างยิ่งนั่นก็คือ การโฆษณาที่สำคัญที่สุดของพรรคคอมมิวนิสต์ฯ ที่ใช้ได้ผลดีก็คือการบริการด้านการแพทย์ [31] ดังนั้นการแพทย์ชนบทที่ได้รับการสนับสนุนในเวลาต่อมาอาจเข้ามาอุดช่องโหว่ตรงนี้ของการสาธารณสุขในพื้นที่ชายขอบ
นี่คืออีกเส้นทางชีวิตหนึ่งของประเวศในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
หลัง เหตุฆาตกรรมหมู่ ปี 2519 การลงพื้นที่ชนบทไม่สามารถจะทำได้อย่างเปิดเผย เมื่อท้องฟ้าแห่งเสรีภาพถูกเหยียบย่ำด้วยท็อปบูธและมือที่เปื้อนเลือด ต้องรอจนกว่าบาดแผลจะแห้งตกสะเก็ดในอีกสี่ห้าปีหลัง การลงพื้นที่ที่ทุรกันดารก็เริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหนึ่ง
จากสนามของแพทย์ สู่ สนามของการพัฒนาท้องถิ่น
“ท่าน เป็นผู้นำในการศึกษาโรคธาลัสซีเมีย และโรคเลือดอื่น ๆ และเป็นผู้นำในการคิดค้นวิธีรักษาและป้องกันโรคเหล่านี้ในประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่านได้ตีพิมพ์บทความมากกว่า 100 บทความ ในวารสารทางการแพทย์ทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นผู้ส่งเสริมการแพทย์ชนบท และได้ก่อตั้งวารสารทางการแพทย์ชนบทอีกด้วย นอกจากนั้นก็ยังได้ส่งเสริมให้ประชาชนในชนบท ผู้นำชุมชน และพระสงฆ์ เรียนรู้เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเบื้องต้น ท่านได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการภาครัฐ ในปี 1981” [32]
ประเวศ วะสี
นี่ เป็นดังคำประกาศถึงคุณูปการของประเวศ หลังจากที่ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาภาคบริการรัฐในปี 2524 เขาเปี่ยมไปด้วยผลงานอันโอ่อ่าน่าภาคภูมิอย่างยิ่ง เช่น นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ปี 2526 บุคคลดีเด่นของชาติ สาขาการแพทย์ ปี 2528 ในระหว่างนั้นเขาก็ได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญในมหาวิทยาลัยมหิดล 2 ตำแหน่งนั่นคือ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาและวางแผน มหาวิทยาลัยมหิดล (2522-2526) และหัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล (2528-2530) ซึ่งระหว่างนั้นก็ควบกับตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานทางการแพทย์และ สาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข (2527-2530) [33]
ช่วง ปี 2527-2530 พบว่ารัฐบาลไทยได้ร่วมมือกับองค์กรสนับสนุนความช่วยเหลือระหว่างประเทศของ รัฐบาลแคนาดา (Canadian International Development Agency: CIDA) จัดตั้ง "กองทุนพัฒนาท้องถิ่นไทย-แคนาดา" (Local Development Assistance Program: LDAP) ขึ้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนองค์กร สถาบัน และกลุ่มต่างๆ ที่ดำเนินการด้านการพัฒนาท้องถิ่น ให้สามารถขยายขีดความสามารถที่เอื้อประโยชน์ต่อชุมชน ทั้งในระดับหมู่บ้าน ท้องถิ่นและประเทศโดยรวม กองทุนดังกล่าวประกอบด้วยบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องได้แก่ เสน่ห์ จามริก, ประเวศ วะสี, ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์, บำรุง บุญปัญญา เป็นต้น [34] ซึ่ง LDAP นั่นก็ได้สนับสนุนเป็นเงินกว่า 100 ล้านบาท ผ่าน 55 โครงการ นี่เป็นจุดหนึ่งของการเริ่มต้นของคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน และมูลนิธิ /สถาบันพัฒนาชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ในเวลาต่อมา ซึ่งกองทุนได้เปลี่ยนเป็นสถาบันนิติบุคคล บุคคล ภายใต้ซื่อว่า "มูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา" พร้อมกับก่อตั้ง สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (สทพ.)
ไอเดียของการกำเนิดมูลนิธิต่างๆนี้ เชื่อได้ว่ามาจากประสบการณ์ของประเวศที่ได้พบเห็นและร่วมงานกับ มูลนิธิและกองทุนต่างๆ ในต่างประเทศดังที่ เขาได้ยกตัวอย่างการตั้งมูลนิธิของเอกชนที่ทำงานเพื่อพัฒนามนุษย์ สังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ มีเงินประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์ มูลนิธิฟอร์ด มี 4,000 ล้านดอลลาร์ [35] เงินมหาศาลเหล่านี้ประเวศหวังว่านายทุนไทยจะเปลี่ยนไปเป็นทุนทางปัญญาเสียบ้าง
ขณะ ที่ประเวศได้รางวัลแมกไซไซ สาขาบริการภาครัฐ แต่ก็พบว่าเขารู้เช่นเห็นชาติเป็นอย่างดีว่า “โครงสร้างในระบบราชการติดขัดและมีอุปสรรคนานาประการ” กรณีที่น่าสนใจก็คือ การผลักดันให้เกิด สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นจาก พระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการวิจัย พ.ศ.2535 ในเดือนมีนาคม สกว.ไม่ใช่ระบบราชการ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกิดขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้เกิดงานวิจัย ขณะที่สภาวิจัยแห่งชาติที่มีกรอบราชการเต็มขั้น ขณะที่ผลักดันกฎหมายจนสำเร็จนั้นเป็นสมัยที่อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหาร และหลังจากนี้เพียง 2 เดือน ประเทศไทยก็เกิดการนองเลือดจากกระบอกปืนและความรุนแรงโดยทหาร ภายใต้การนำของสุจินดา คราประยูร
ก้าวสู่ปริมณฑลของพุทธธรรม
ประเวศบันทึกว่า ตัวเขาเริ่มสนใจศาสนา ตามอวย เกตุสิงห์ ปรมาจารย์ทางการแพทย์ท่านหนึ่งในปี 2507-2508 [36] เริ่มต้นศึกษาที่งานเขียน ทางร่มเย็น ที่รจนาโดย พระมหาบัว วัดป่าบ้านตาด ซึ่งสอนเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา ต่อมาก็การรับเชิญให้ไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดป่าบ้านตาด [37] ประสบการณ์ในครั้งนั้นทำให้เห็นวัตรปฏิบัติของพระมหาบัว แล้วเห็นว่านั่นคือการ “ทำงานตามความสามารถ กินอยู่ตามความจำเป็น” อย่างแท้จริง ผิดกับคอมมิวนิสต์ที่พยายามจะใช้อุดมการณ์เดียวกันนี้ แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากว่า หากเป็นคนธรรมดาที่ยังมีกิเลสแล้วทำได้ยาก [38]
ต่อ จากพระสายวัดป่า ก็ได้ศึกษาธรรมจากพุทธทาสภิกขุ ตัวกูของกู แล้วขยายไปเล่มอื่นๆอย่าง แก่นพุทธศาสตร์ คู่มือมนุษย์ ตามรอยพระอรหันต์ ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ บรมธรรม อิทัปปัจจยตา ฯลฯ หลักธรรมเหล่านี้นับได้ว่าเป็นที่ถูกจริตอย่างยิ่งเนื่องจากว่าเป็นคำสอนที่ เป็น “ปัญญาล้วนๆแบบวิทยาศาสตร์ไม่มีส่วนที่เป็นพิธีกรรมนิยายปรัมปรา ทำให้เข้าพุทธศาสนาดีขึ้น” คำสอนทั้งหมดยังพุ่งไปสู่ปัญหาที่เกิดจากความเห็นแก่ตัว ถ้าว่างจากความเห็นแก่ตัวก็จะสงบเย็นและไมมีทุกข์ [39] ประเวศยังได้มีโอกาสทำความรู้จักกับคนในวงการนี้อีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นพระขาว อนาลโย พระฝั้น อาจาโร
ตัวกูของกู
โดย พุทธทาสภิกขุ
พระประยุทธ์ ปยุตฺโต นายแพทย์ตันม่อเซี้ยง เสถียร โพธินันทะ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ พระธรรมรักษา ฯลฯ [40]
ประเวศ ชี้ว่า การสนใจศึกษาธรรมะเหมือนก้าวเข้าไปสู่โลกอีกโลกหนึ่ง เป็นวิชาที่แตกต่างจากวิชาอื่นๆ ที่เป็นเรื่องนอกตัว แต่ธรรมะนั้นว่าด้วยธรรมชาติของจิตใจในตัวและมีวิธีฝึกจิต แม้จะมีวัตถุการงานเพียบพร้อมเพียงใด บ่อยครั้งก็หาความสุขไม่ได้ ทางออกของสิ่งเหล่านั้นก็คือ “การศึกษาธรรมะ” ดังที่ประเวศยกตัวอย่าง คนดังที่เข้าหาธรรมะอย่าง พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ผู้จัดการใหญ่ปูนซิเมนต์ไทย(สมัยนั้น) โสภณ สุภาพงษ์ ผู้จัดการโรงน้ำมันบางจาก(สมัยนั้น) [41]
ตบท้ายด้วยการวิพากษ์การศึกษาว่า ทุกวันนี้เรียนแต่ภายนอก ไม่ได้ฝึกจิตใจตนเอง
ทำงานด้วยคนดี การเมืองแบบไร้การเมือง
ตราบ ใดที่ประเวศหรือใครๆก็ตาม เคารพนับถือ ปฏิบัติธรรม เลือกที่จะเชื่ออย่างผาดแผลงพิสดารอย่างไร หากแต่อยู่ในปริมณฑลส่วนตัวแล้ว ก็ย่อมมิได้เป็นปัญหาใด สิ่งที่เป็นปัญหานั่นคือ การที่ประยุกต์ความเชื่อดังกล่าวยัดเยียดเข้ากับสังคมการเมืองสาธารณะที่ เต็มไปด้วยความเชื่อที่หลากหลาย ศาสนาอันมากมาย รวมไปถึงคนที่เลือกจะไม่เชื่อศาสนา ดังที่เราจะได้ยินการอ้างอิงเรื่อง ธรรมาธิปไตย กันจนเลี่ยนในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา ทั้งที่สังคมการเมืองสาธารณะควรเป็นเรื่องของการถกเถียงด้วยเหตุผล เพื่อจัดความสัมพันธ์ระหว่างกันของคนกลุ่มต่างๆ เป็นเรื่องที่ควรเปิดกว้างต่อการตั้งคำถามและเรียนรู้ เพราะการเมืองมิใช่เป็นเรื่องของการสยบยอมและหมอบกราบกรานต่อสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์
ที่ผ่านมาไม่ว่าจะรัฐประหารกี่ครั้ง เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองมากี่หน ผ้าคลุมอาญาสิทธิ์ที่ชื่อว่า ความดี ศีลธรรมจรรยา จึงสร้างความชอบธรรมทุกครั้งไปให้กับรัฐบาลเผด็จการเรื่อยมาตั้งแต่ทศวรรษ 2490 ในสายตาของพวกอนุรักษ์นิยม และฝ่ายสนับสนุนรัฐประหารต่างเห็นว่า ระบอบการเมืองจะเป็นประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรนั้น ไม่ใช่ “สาระ” เลย ขอเพียงแต่คนที่จะเข้ามาบริหารประเทศ เป็นคนที่อย่างน้อยว่ามีภาพว่าไม่ทุจริต วางตัวและภาพลักษณ์ที่ทรงคุณธรรม ไม่เกลื้อกลวกกับนักเลือกตั้ง (และจะให้ดีก็คือ แบ่งผลประโยชน์ให้กับตนได้)
ดังที่อภิปรายมาเบื้องต้นแล้ว ประเวศเติบโตมากับสังคมไทยหลังทศวรรษ 2490 ที่เห็นว่ารัฐประหารและการจัดความสัมพันธ์ทางสังคมจากคนเบื้องบนเป็นเรื่อง ปกติ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกว่าไฉนประเวศจึงไม่ปฏิเสธหรือแสดงท่าทีที่เป็นลบต่อทหาร และการรัฐประหารที่ผ่านมาแม้เพียงสักครั้ง สมัยอยู่ใต้รัฐบาลเผด็จการก็วิ่งเต้นเพื่อให้วาระของตนสัมฤทธิ์ผล จะโจมตีก็แต่เพียงระบบราชการที่บิดเบี้ยวไร้ประสิทธิสภาพ ซึ่งปัจจัยหนึ่งก็มาจากโครงสร้างทางการเมืองที่ไม่ได้ยึดโยงอำนาจของปวงชน ด้วยเราจึงเห็นประเวศก็ผุดไอเดียการทำงานแบบไม่พึ่งพารัฐ แสดงให้เห็นว่าพยายามกีดกันนักการเมืองในระบบออกไป และสร้างเครื่องไม้เครื่องมือให้การทำงานการเมือง “ภาคประชาชน” เรื่อยมา ซึ่งปัญหาที่เกิดก็คือ “ภาคประชาชน” ของประเวศนั้นนับวันจะไม่เกี่ยวข้องกับประชาชนราษฎรทั่วไปทุกที
อย่าง ไรก็ตามการเป็นคนดี การนับถือศาสนาอย่างเคร่งครัด หรือการเป็นนักบวชที่บรรลุแล้ว ก็ยังหนีไม่พ้นวัฏฏสงสารแห่งโลก เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ปรากฏการณ์ทางสังคมที่เป็นที่สนใจอย่างมากของเมืองไทยหลังเหตุการณ์พฤษภาคม นองเลือดที่มีเป็นประเด็นของ การเมืองของคนดี ที่ประเวศ วะสี มีส่วนร่วมในเหตุการณ์นั้นและได้มีการจดบันทึกไว้เป็นจดหมายเหตุ นั่นก็คือ การเมืองแห่งมรณกรรมของพุทธทาสภิกขุ
กระบวนการสู่ความตายของพุทธทาส
พุทธ ทาสภิกขุ เป็นพระปัญญาชนนามกระเดื่อง เป็นนักคิดนักเขียนที่ถูกกล่าวถึงและถูกอ้างอิงหลักธรรมมาปรับใช้กับการ เมืองบ่อยที่สุดรูปหนึ่งในยุคสมัยของปัจจุบัน ด้วยจริตนิสัยอันแหวกแนวจากสังคมไทยแบบจารีต การตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมา กระทั่งกับข้อความในพระไตรปิฎก การสื่อสารต่อสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ ทำให้พุทธทาสยิ่งใหญ่เสมอมาในสายตาของปัญญาชน ในทศวรรษ 2530 เป็นช่วงอัศดงของสังขารร่างกาย เป็นวัยที่พุทธทาสปรารภแล้วว่า “อายุมากกว่าพระพุทธเจ้า” พุทธทาสให้ความสำคัญกับการเตรียมตัวตาย ดังที่แสดงให้เห็นอยู่ว่า “สาวกของพระพุทธเจ้าไม่ควรหอบสังขารหนีความตาย” [42] ในที่นี้ขอใช้บันทึกของประเวศ วะสี เป็นเอกสารหลักที่จะเปิดเผยให้เห็นประวัติศาสตร์ช่วงสุดท้ายของพุทธทาสที่ เชื่อมโยงกับความรู้ และอำนาจในสังคมไทยหลังพฤษภาคม 2535
พุทธทาส ป่วยหนักครั้งแรกตั้งแต่ปี 2518 ต่อมาคือปี 2528, 2534 และครั้งล่าสุดคือ ปี 2535 [43] สิ่งเหล่านี้นอกจากเป็นเครื่องเตือนใจของเจ้าของสังขารร่างกายแล้ว น่าจะเป็นการประกาศให้ลูกศิษย์และคนรอบข้างทราบถึงสัญญาณการนับถอยหลังอีก ด้วย พินัยกรรมที่เขียนขึ้นวันที่ 28 มีนาคม 2536 ก่อนที่จะมรณภาพอีก 4 เดือนถัดมา จึงถูกตระเตรียมไว้เป็นอย่างดี
ข้อความหลักของพินัยกรรม นั้นมอบอำนาจให้ พระครูปลัดศีลวัฒน์ (โพธิ์ จันทสโร) เป็นผู้จัดการศพ ละเว้นขอพระราชทานโกศ พิธีการทั้งหมดตั้งอยู่บนความเรียบง่าย เมื่อตายไม่ต้องรดน้ำศพ ไม่ต้องฉีดยาศพ ไม่ต้องสวดศพ ให้เก็บในโลงปิดมิดชิด ละเว้นการเปิดดู และการเผาศพให้ทำในสามเดือน แต่หากจำเป็นก็ไม่ควรเกิน 1 ปี ไม่จัดงานพิธี งานเผาศพให้ทำอย่างง่าย โดยบริเวณเชิงตะกอนให้ปักเสาสี่มุมและดาดผ้าขาวเป็นเพดานเท่านั้น กระดูกก็ให้เทซิเมนต์ทับในศาลาธรรมโฆษณ์ เถ้าให้นำไปโปรยตามที่ต่างๆที่กำหนดไว้ โดยมีพยานคือ จิตติ ติงศภัทิย์ นักกฎหมายและองคมนตรี เสริม พัฒนกำจร นายตำรวจยศ พันตำรวจเอก วิจารณ์ พานิช หลานชายผู้เป็นนายแพทย์ [44]
อย่าง ไรก็ตามพินัยกรรมที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่อยู่ในอำนาจผู้เขียนนั้น สร้างปัญหาอย่างมากให้กับคนที่อยู่เบื้องหลัง เมื่อพุทธทาสเป็นคนสาธารณะที่เกี่ยวโยงกับผู้คนที่มีความคิดแตกต่างหลากหลาย ทั้งระหว่างเจ็บป่วยอาพาธ และหลังลมหายใจสุดท้ายไปแล้ว การเมืองก็ยังทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ ดังจะกล่าวต่อไป
พินัยกรรมของพุทธทาสภิกขุ
ลงวันที่ 28 มีนาคม 2536
อย่าหอบสังขารหนีความตาย คำสั่งก่อนเสีย
ประเวศ ได้บันทึกว่า การป่วยหนักของพุทธทาสในปี 2534 ในครั้งนั้นมีข้อเสนอให้เลือกถึง 3 ทางก็คือ เข้ากรุงเทพฯ ไปรักษาที่ศิริราช สอง ไปโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี สาม อยู่ที่สวนโมกข์ พุทธทาสเลือกทางเลือกสุดท้าย และกล่าวสำทับว่า “ขอเถอะ ขอเถอะ อย่าให้หอบสังขารหนีความตายเลย” คราวนั้นหายป่วยภายใน 7-10 วัน [45]
จาก การเจ็บป่วยครั้งล่าสุดในปี 2535 ครั้งนั้นเป็นอาการของโรคทางสมองถึงขั้นความจำบกพร่องชั่วคราว แสดงให้เห็นว่าระบบของร่างกายนั้นทนทานไม่ไหวลงทุกที จนกระทั่งการป่วยครั้งสุดท้ายปลายเดือนพฤษภาคม 2536 ในครั้งนั้นประเวศพบกับ พระโพธิ์ ซึ่งก็ได้ย้ำปณิธานว่าไม่ต้องการให้รักษาผิดธรรมชาติ [46] อย่างไรก็ตามเมื่ออาการทรุดหนัก ปณิธานดังกล่าวก็ถูกทัดทานด้วยการเมืองของการการแพทย์ ที่มาพร้อมกับชุดความคิดและอำนาจชุดหนึ่ง
ความคิดที่ไม่ลงรอยกันจึงเริ่มนับแต่นี้
บันทึก ของประเวศ ระบุว่า วันที่ 26 พฤษภาคม 2536 หมอเสนอให้เจาะกะโหลกศีรษะเพื่อลดความดันในกะโหลก แต่ลูกศิษย์พุทธทาสไม่เห็นด้วย ถึงขั้นลงชื่อไม่สมัครใจอยู่และจะพาร่างกลับสวนโมกข์ [47]
คนใหญ่ คนโต และคนดังกับอาการเจ็บป่วยและตาย
ข่าว การเจ็บป่วยล่วงรู้ออกไป พร้อมๆกับวันคล้ายวันเกิดวันที่ 27 พฤษภาคม สหายทางธรรมและลูกศิษย์ได้เดินทางมาที่ลำปาง ตั้งแต่พระปัญญานันทะ พระพยอม กัลยาโณ จำลอง ศรีเมือง ฯลฯ
คณะแพทย์ทำได้เพียงใส่หลอดเข้าหลอดลม เพื่อช่วยในการหายใจและดูดเสมหะ ระหว่างที่ยังไม่มีข้อยุติว่าจะรักษาพุทธทาสแบบไหน เนื่องจากยังมากความเห็น แม้กระทั่งเสริมทรัพย์ที่เป็นหมอยังพูดด้วยเสียงดังว่า “ทำไมทำกับท่านอย่างนี้” เมื่อเห็นว่าใช้เทคโนโลยีต่างๆช่วย พระสิงห์ทองที่เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด กล่าวกับประเวศว่า “ถ้าทำอย่างนี้กับอาจารย์ วันนี้อาตมาจะเก็บของและไปจากที่นี่ เพราะอยู่ก็ไม่สามารถป้องกันอาจารย์ตามที่สั่งไว้ได้” [48]
ก่อน ที่จะบานปลายมากไปกว่านี้ ได้มีการประชุมเพื่อหาข้อสรุปร่วม จนออกมาเป็น “บันทึกความเห็นและมติของการประชุมเกี่ยวกับการอาพาธของพระเดชพระคุณพระธรรม โกศาจารย์(พุทธทาสมหาเถระ)” โดยมีใจความว่า พุทธทาสได้สั่งลูกศิษย์ว่าไม่ให้ใช้เทคโนโลยีที่ผิดธรรมชาติ และกำชับว่า เมื่อจะดับขันธ์อย่าให้มีเครื่องช่วยชีวิตใดๆติดตัว ขอให้ดับขันธ์อย่างธรรมชาติตามรอยพระพุทธเจ้า และลูกศิษย์ขอมตินำร่างกลับไปในวันนี้ เวลา 4 โมงเย็น และยิ่งกว่านั้นวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิด มีพระและญาติโยมมากมาประชุมอยู่แล้วน่าจะเป็นโอกาสให้เกิดธรรมสังเวช บันทึกดังกล่าวมีสหายและลูกศิษย์ร่วมลงนามกันอยู่นับสิบคน เช่น พระเทพวิสุทธิ์เมธี พระโรเบิร์ท สันติกโร พระสิงห์ทอง เมตตา พานิช ประเวศ วะสี รัญจวน อินทรกำแหง ฯลฯ [49] ซึ่งตามข้อตกลงนั้นพุทธทาสก็ได้คืนร่างมาสู่สวนโมกข์ ในคืนนั้นประเวศ เดินทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยเครื่องบินรอบสองทุ่มครึ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นมีข่าววิทยุแจ้งว่า พุทธทาสจากไปแล้ว แต่ปรากฏว่าข่าวคลาดเคลื่อน และยังมีข่าวอีกว่า จะมีการนำพุทธทาสมารักษาที่กรุงเทพฯ ความขัดแย้งและข้อถกเถียงต่างๆได้ถูกทำให้เงียบลงเมื่อเกิดข่าวว่า
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำท่านพุทธทาสมารักษาที่กรุงเทพฯ”
สิ่ง เหล่านี้เคยเป็นความกังวลมาก่อนแล้วกับพระที่สุราษฎร์ธานีว่า ถ้ามีในหลวงรับสั่งให้ไปรักษาที่กรุงเทพฯ จะว่าอย่างไรกัน นับว่าในที่สุดก็ได้คำตอบแล้ว [50]
วิธี รักษาที่ประนีประนอมกับลูกศิษย์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทั้งสองฝ่าย จึงดูพิลึกพิลั่น นั่นคือ มีข้อเสนอว่า นำร่างมาแต่จะไม่มีการผ่าตัดสมองหรือเจาะคอ แต่ช่วยให้หายใจได้เอง แล้วก็จะนำกลับสวนโมกข์ หรือหากว่าไปไม่ไหวก็ให้กลับสวนโมกข์ดับขันธ์ตามความประสงค์ [51] นอกจากนั้นแพทย์ได้บอกกับลูกศิษย์ว่า “มีหวังจะหายกลับไปเทศน์ได้อีก ขอเวลา 7 วันจะนำท่านกลับ จะไม่มีการเจาะคอ ไม่มีการผ่าตัด” [52]
พุทธทาสจึงนอนโคม่าแบบไม่รู้ตัวอยู่ต่อไปที่ศิริราชอีก 1 เกือบเดือนเต็ม บนตึกมหิดลวรานุสรณ์
เรื่องสาธารณะในสังคมกึ่งประชาธิปไตย
ประเวศ ในฐานะคนกลางและคนอยู่ในวงในพยายามอธิบายว่า ความแตกต่างระหว่างพระกับแพทย์นั้นมีอยู่ แต่เป็นความแตกต่างในมุมมอง ไม่ใช่เรื่องแตกแยก แต่ความจริงอีกด้านหนึ่งเช่นกันก็คือ ข่าวอาการของพุทธทาสเป็นข่าวที่ขายได้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ธรรมชาติของการทำข่าวที่ต้องล้วงลึกข้อมูล ภาพถ่ายเหตุการณ์ออกมาให้มากที่สุดซึ่งตรงกันข้ามกับผู้เป็นข่าวที่พยายามจะ ให้เรื่องสาธารณะเป็นเรื่องส่วนตัวมากที่สุด โดยเฉพาะประเด็นคู่ความขัดแย้งที่เป็นหัวใจของการเสนอข่าวแบบปิงปอง คือ หยิบข้อกล่าวหาของฝ่ายหนึ่งไป "พิสูจน์" โดยนำไปถามผู้ถูกกล่าวหา [53]
การ ดำเนินข่าวบนความขัดแย้งจึงทำให้ข่าวที่ขายได้ ทอดระยะเวลาบนแผงไปได้อีกไม่ว่าจะเป็นการให้ข่าวว่า พุทธทาสจะดับขันธ์วันที่ 4 มิถุนายน ที่เป็นวันวิสาขะ ทางฝ่ายแพทย์ก็เสียกำลังใจที่ข่าวออกไป ขณะที่คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ก็ด่าศิษย์ว่า เอาพุทธทาสไปเปรียบพระพุทธเจ้า ในอีกด้านหนึ่งลูกศิษย์ลูกหาก็พยายามสร้างความรู้เกี่ยวข้องกับพุทธทาส ด้วยการจัดนิทรรศการ จัดอภิปราย จัดทำหนังสือและภาพธรรม [54]
การ เดินทางสู่ความตายผ่านสังขารของพุทธทาส ยังพบกรณีที่น่าสนใจก็คือ การใช้อำนาจบังคับควบคุม ดังที่พบว่า รัฐมนตรีทบวงมหาวิทยาลัย ทำจดหมายว่า ใครนำพุทธทาสกลับสวนโมกข์เป็นเรื่อง “ผิดกฎหมาย” ซึ่งก็เป็นปัญหาที่น่าสนใจเช่นกันว่า ในทางโลกแล้วร่างของพุทธทาสอยู่ในกรรมสิทธิ์ของผู้ใด ลูกศิษย์ ญาติ แม้นักกฎหมายก็ตอบไม่ได้ [55] สิ่งเหล่านี้ปัญหาไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องของธรรมชั้นสูง โลกุตตระ แต่เป็นเพราะความไม่ชัดเจนของอาณาบริเวณของการนิยามนักบวชในโลกประชาธิปไตย สมัยใหม่ ที่รัฐไทยไม่เคยนิยามให้ชัดเจน เช่นเดียวกันกับการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินของ ศาสนสถานต่างๆ ที่มีตำแหน่งแห่งที่อย่างไรบนพื้นที่เมือง และการบริหารการจัดการเมือง
พระ โรเบิร์ท สันติกโร ลูกศิษย์ฝรั่งพุทธทาส ที่ปัจจุบันลาสิกขาแล้ว ด้วยความที่เติบโตมากับสังคมตะวันตกที่เคารพและให้คุณค่าในสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นมนุษย์ จึงตั้งข้อสังเกตและคำถามกับคณะแพทย์ที่ทำการรักษา จนดูเหมือนว่าเป็นตัวน่ารำคาญดังที่ประเวศระบุไว้ว่า “ด้วยความเป็นฝรั่งช่างซัก ช่างถาม ช่างคิดและช่างบันทึก ท่านบันทึกอาการและการรักษาพยาบาลท่านอาจารย์พุทธทาสอย่างละเอียดทุกวัน ความช่างซักช่างถามของท่านคงจะก่อความปวดหัวให้แพทย์มากที่สุด ที่จริงท่านตั้งคำถามมาก ซึ่งผมจะไม่นำมาเล่าในที่นี้” [56] เราอาจสังเกตข้อความของพระโรเบิร์ทในจดหมายด้านล่าง น่าจะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของโลกทัศน์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
“In a democratic country, one of the worst things anyone can do is to force a person to do something or endure something which he does not want. When we violate a person’s wishes we are taking his life to our control” [57]
สันติกโรภิกขุ
1 กรกฎาคม 2536
วินาทีสุดท้าย
สัญญาณ มรณะมาถึง ณ เวลา 02.30 ของวันที่ 8 กรกฎาคม 2536 เมื่อความดันเลือดสูงเนื่องจากเชื้อลุกลามในกระแสเลือด แพทย์เห็นว่าจะยื้อต่อไปไม่ไหว จึงแจ้งพระลูกศิษย์ว่าจะส่งกลับสวนโมกข์ตามที่ได้คุยกัน เมื่อทราบข่าว จำลอง ศรีเมือง จักรธรรม ธรรมศักดิ์ (หมอผู้เป็นบุตรสัญญา ธรรมศักดิ์) วิจารณ์ พานิช และอีกหลายคนก็เดินทางมาโรงพยาบาล รุ่งธรรม ลัดพลี (หมอผู้เป็นบุตรพระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์ (วงศ์ ลัดพลี) อดีตประธานศาลฎีกา ซึ่งมีความสนิทสนมกับพุทธทาส) ติดต่อสมุหราชองครักษ์ให้เครื่องบินนำส่ง เครื่องไปถึงที่สุราษฎร์ธานี เวลา 09.55 น. ถึงสวนโมกข์เวลา 10.30 น. (บ้างว่า 11.00 น.) ตอนนั้นยังมีเครื่องช่วยหายใจและสายให้น้ำเกลือ และให้ยาเร่งความดันอยู่ อย่างไรก็ตามความดันเลือดกลับลดต่ำลงเรื่อยๆ จนหัวใจหยุดเต้นเมื่อเวลา 11.20 น. [58]
พระลูกศิษย์ได้แฟกซ์พินัยกรรมการทำศพของพุทธทาสไปบุคคลต่างๆและสื่อมวลชน [59] อย่างน้อยก็เพื่อยุติการใช้อำนาจนอกระบบเข้ามาควบคุมการจัดการพิธีศพตามพินัยกรรม
พาดหัวหน้า 1
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ฉบับวันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม 2554
ประเวศ วะสี ผู้มีอิทธิพลเหนือกลุ่มทุนตระกูล ส.
ประเวศ วะสีราษฎรอาวุโส หลังพฤษาทมิฬ?
ประเวศ ได้เขียนเป็นบทความแนะนำการใช้ “วิธีนอกระบบ” ในการแก้ปัญหาที่ไม่สำเร็จด้วย “วิธีที่เป็นทางการ” ซึ่ง “วิธีที่ไม่เป็นทางการ” นั้น หมายถึง การที่บุคคลมาร่วมทำอะไรกันด้วยตนเอง โดยไม่ผ่านความเป็นทางการของระบบ อาจเป็นคนในระบบที่เป็นทางการนั้นเอง แต่มาร่วมกลุ่มกันทำงานกันเองโดยไม่มีใครแต่งตั้งหรือต้องได้รับอนุมัติจาก ใคร ประเวศได้ยกคำว่า [60] “ราษฎรสูงอายุ หรือราษฎรอาวุโส” (Senior citizen) ขึ้นมาชี้ให้เห็นว่า เป็นตัวอย่างกลไกไม่เป็นทางการ...ไม่มีอำนาจอะไร แต่ก็อาจะเป็นประโยชน์ในการเตือนสติ และชี้ทิศทางให้สังคม [61]
ที่ น่าสังเกตก็คือ ประเวศ อายุครบเกษียณในปี 2535 หลังจากการนองเลือดพฤษภาคม 2535 และการมรณกรรมของพุทธทาส 2536 ประเวศ วะสี ที่อยู่ในวัยเกษียณ ก็เติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขามีบทบาทสำคัญในการผลักดันภาคประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญ 2540 และทวีความสำคัญมาเรื่อยๆ เครือข่ายตระกูล ส. สยายปีก เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้าง เสริมสุขภาพ (สสส.) ก่อตั้งในปี 2544 มีรายได้มหาศาลจากภาษีสรรพสามิตยาสูบและสุราในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี
แม้ ปีนี้จะอายุครบ 79 ปี แต่เขายังตรากตรำทำงานอันแสนหนักหนา หมออายุมากคนนี้เคยดำรงตำแหน่งประธานและรองประธานหรือกรรมการขององค์กรต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งมูลนิธิ และสถาบันทางวิชาการอื่นรวมกว่า 60 ชุด [62] เขายังไม่กลัวเปลืองตัวด้วยการรับตำแหน่งประธานคณะสมัชชาปฏิรูปประเทศ หลังจากเหตุการณ์สังหารเสื้อแดง เดือนพฤษภาคม 2553 คู่กับ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศที่มีอานันท์ ปันยารชุนเป็นประธาน ขณะที่อานันท์ชั่วโมงบินสูงกว่าจึงชิ่งลาออกหลังจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภา ขณะที่ประเวศยังดึงดันที่จะทำงานต่อ [63]
การ เดินทางทางการเมืองในบั้นปลายของประเวศยังคงมีสีสันไม่ห่างไปจาก พื้นที่สื่อ ล่าสุดก็คือ กรณีค่าแรง 300 บาทที่ประเวศให้ข่าวว่าเป็นไปไม่ได้ ค่าแรงที่ 150 บาทเงินก็ยังเหลือ [64] จนโดนโจมตีจากหลายฝ่าย ต้องมาแก้เกี้ยวในที่สุด
นั่น เองประเวศจึงตกเป็นเป้าของการ์ตูนเสียดสีฝีมือ เรณู ปัญญาดี ที่เปิดเรื่องด้วยการถกเถียงเรื่องค่าแรง 300 บาท และตบท้ายด้วยบทบรรยายที่ว่า "(ประเวศ)จึงใส่เสื้อผ้า...แล้วเดินทางไปประชุมกับองค์กรกว่าสิบแห่งในวัน เดียว รับเบี้ยประชุมทั้งหมด 6.7 หมื่นบาท" [65]
การ ด่วนสรุปตัดสินคนด้วยฉันทาคติว่าเป็นคนดีมีศีลธรรมจรรยา และมีความสามารถ แท้จริงแล้วมิใช่เป็นเครื่องการันตีได้ว่า เขาเหล่านั้นเคารพการอยู่ร่วมกันได้ในสังคมประชาธิปไตยที่มีประชาชนเป็นใหญ่ เลย สำหรับผู้เขียนแล้วทุกวันนี้เราไม่ได้ต้องการเครื่องมือทางศีลธรรม เราไม่ต้องการคนดี หรือเทวดาอันเลิศลอยมาควบคุมสังคม แต่เราต้องการการเคารพหลักการอยู่ร่วมกันของประชาชนที่เสมอภาคกัน มีเสรีภาพที่จะคิด มีเสรีภาพที่จะตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ อยู่ร่วมกันเสมอเพื่อนมนุษย์ เสมอคนธรรมดาที่ไม่ใช่พระอรหันต์ที่มีความสามารถขั้นลดละเลิกกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ได้ทั้งหมด
ในพระไตรปิฎกระบุไว้ว่า ในหมู่เทวดาก็ยังมีเทวดาที่เลวทราม มนุษย์ไม่จำเป็นต้องยอมจำนนเสมอไป มนุษย์สามารถด่ากลับและขับไล่เทวดาตนนั้นออกจากบ้านได้โดยไม่ต้องยี่หระ [66]
อ้างอิง:
- ประเวศ วะสี. ปัจฉิมอาพาธท่านพุทธทาสมหาเถระ (กรุงเทพฯ : เรือนแก้วการพิมพ์), 2536, น.52
- วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “ประเวศ วะสี”. http://th.wikipedia.org/wiki/ประเวศ_วะสี (3 พฤษภาคม 54)
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม1, น.91-92
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม1, น.107 และ
- วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “ประเวศ วะสี”. http://th.wikipedia.org/wiki/ประเวศ_วะสี (3 พฤษภาคม 54)
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม1 (กรุงเทพฯ : หมอชาวบ้าน, พิมพ์ครั้งที่4), 2538, น.177-178
- ศูนย์โลกสัมพันธ์ไทย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. “รางวัลแมกไซไซ” http://www.thaiworld.org/en/thailand_monitor/answer.php?question_id=209 (21 ตุลาคม 2548)
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2 (กรุงเทพฯ : หมอชาวบ้าน), 2534, น.30
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.22
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.32
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.36
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.40
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.51
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.94
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.94-96
- วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “เสม พริ้งพวงแก้ว” http://th.wikipedia.org/wiki/เสม พริ้งพวงแก้ว (11 กรกฎาคม 2554)
- มูลนิธิเด็ก. "ปฏิทินชีวิต 100 ปี หมอคนจริง ศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว” http://www.ffc.or.th/ffc_scoop/2554/scoop_2554_07_08_1.php (4 สิงหาคม 2554)
- มูลนิธิ เด็ก. "ปฏิทินชีวิต 100 ปี หมอคนจริง ศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว” http://www.ffc.or.th/ffc_scoop/2554/scoop_2554_07_08_1.php (4 สิงหาคม 2554)
- มูลนิธิเด็ก. "ปฏิทินชีวิต 100 ปี หมอคนจริง ศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว” http://www.ffc.or.th/ffc_scoop/2554/scoop_2554_07_08_1.php (4 สิงหาคม 2554)
- สันติสุข โสภณศิริ, เรียบเรียง. "ชีวประวัติย่อ ศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว" http://www.ffc.or.th/images/intro/intro_2011_07/sem_history/sem_history_big_p08.jpg (4 สิงหาคม 54)
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.64-65
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.61
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.117-119
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.116
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.101 และ 104
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.117
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.118-119
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม3 (กรุงเทพฯ : หมอชาวบ้าน) มปพ, น.32 โปรดดู ประเวศ วะสี. “สร้างสรรค์สังคมไทยขึ้นใหม่” ใน สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ฉบับที่1 (2517) ประกอบ
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม3 , น.32-33
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม3 , น.33
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม3 , น.34
- ศูนย์โลกสัมพันธ์ไทย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. “รางวัลแมกไซไซ” http://www.thaiworld.org/en/thailand_monitor/answer.php?question_id=209 (21 ตุลาคม 2548)
- ศ.นพ.ประเวศ วะสี. “ประวัติ” http://www.prawase.com/bio.php (5 สิงหาคม 2548)
- ศ.นพ.ประเวศ วะสี. “ประวัติ” http://www.prawase.com/bio.php (5 สิงหาคม 2548)
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม3 , น.37
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.72
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.73
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.75
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.84
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.81 และ 85-87
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม2, น.88
- พุทธทาสดอทคอม. "สวนโมกข์วันนี้" http://www.buddhadasa.com/history/budmem6.html (5 สิงหาคม 2554) อ้างจาก อรศรี งามวิทยาพงศ์ จากหนังสืออนุทินภาพ 60 ปี สวนโมกข์ : พฤษภาคม 2535
- พุทธ ทาสดอทคอม. "สวนโมกข์วันนี้" http://www.buddhadasa.com/history/budmem6.html (5 สิงหาคม 2554) อ้างจาก อรศรี งามวิทยาพงศ์ จากหนังสืออนุทินภาพ 60 ปี สวนโมกข์ : พฤษภาคม 2535
- ประเวศ วะสี. ปัจฉิมอาพาธท่านพุทธทาสมหาเถระ , 2536, น.34-35
- ประเวศ วะสี. ปัจฉิมอาพาธท่านพุทธทาสมหาเถระ , 2536, น.13-14
- ประเวศ วะสี. ปัจฉิมอาพาธท่านพุทธทาสมหาเถระ , 2536, น.19
- ประเวศ วะสี. ปัจฉิมอาพาธท่านพุทธทาสมหาเถระ , 2536, น.21
- ประเวศ วะสี. ปัจฉิมอาพาธท่านพุทธทาสมหาเถระ , 2536, น.22
- ประเวศ วะสี. ปัจฉิมอาพาธท่านพุทธทาสมหาเถระ , 2536, น.23-24
- ประเวศ วะสี. ปัจฉิมอาพาธท่านพุทธทาสมหาเถระ , 2536, น.26-27
- ประเวศ วะสี. ปัจฉิมอาพาธท่านพุทธทาสมหาเถระ , 2536, น.28
- ประเวศ วะสี. ปัจฉิมอาพาธท่านพุทธทาสมหาเถระ , 2536, น.55
- นิธิ เอียวศรีวงศ์. “สื่อไทยในสถานการณ์ขัดแย้ง” ใน มติชนรายวัน (17 พฤษภาคม 2553)
- ประเวศ วะสี. ปัจฉิมอาพาธท่านพุทธทาสมหาเถระ , 2536, น.29-30
- ประเวศ วะสี. ปัจฉิมอาพาธท่านพุทธทาสมหาเถระ , 2536, น.57
- ประเวศ วะสี. ปัจฉิมอาพาธท่านพุทธทาสมหาเถระ , 2536, น.59-60
- ประเวศ วะสี. ปัจฉิมอาพาธท่านพุทธทาสมหาเถระ , 2536, น.76
- ประเวศ วะสี. ปัจฉิมอาพาธท่านพุทธทาสมหาเถระ , 2536, น.32-33
- ประเวศ วะสี. ปัจฉิมอาพาธท่านพุทธทาสมหาเถระ , 2536, น.33
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม4, 2536, น.504
- ประเวศ วะสี. บนเส้นทางชีวิต เล่ม4 (กรุงเทพฯ : หมอชาวบ้าน), 2536, น.503-504
- นอก จากนี้ยังมีตำแหน่งอื่นๆ อีก ได้แก่ ประธานสถาบันวิจัยสาธารณสุขไทย, ประธานมูลนิธิไทย, ประธานคณะกรรมการวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ แผนกแพทยศาสตร์ มูลนิธิ อานันทมหิดล และกรรมการมูลนิธิอานันทมหิดล แผนกแพทยศาสตร์, ประธานมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ, ประธานคณะอนุกรรมการจัดทำแผนปฏิบัติการหลักการการจัดตั้งราชวิทยาลัย ครุศาสตร์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, ประธานคณะทำงานด้านการพัฒนาพืชสมุนไพรเพื่อการผลิตยาทางอุตสาหกรรม องค์การเภสัชกรรม, คณะกรรมการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการต่างๆ, คณะกรรมการสภามหาวิทยาลัย ม.มหิดล, ธรรมศาสตร์, จุฬาฯ, สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า), สถาบันราชภัฏ, ขอนแก่น, สงขลา, คณะกรรมการอำนวยการสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาชนบท ม.จุฬาฯ, ประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการส่งเสริมการวิจัยการศึกษาแห่งชาติ, ประธานกรรมการวิชาการมูลนิธิรางวัลมหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์, คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ, คณะกรรมการการศึกษา การศาสนา และการวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ, คณะกรรมการอำนวยการโครงการปฏิรูประบบบริการสาธารณสุขแห่งชาติ (National Steering Committee) กระทรวงสาธารณสุข ดูใน Prawase. "ประวัติ" http://www.prawase.com/bio.php (5 สิงหาคม 2554)
- ประชาไท. "คณะกรรมการปฏิรูปฯชุด “อานันท์” ประกาศลาออก มีผล 15 พ.ค.นี้" http://prachatai.com/journal/2011/05/34543 (14 พฤษภาคม 54) และ ประชาไท. ‘หมอประเวศ’ยันไม่ลาออกตาม‘อานันท์’แจงยุบสภาไม่เกี่ยวกับปฏิรูป http://prachatai.com/journal/2011/03/33588 (16 มีนาคม 2554)
- เปลวเทียน ส่องทาง. “ประเวศ-บุญชัย” และค่าแรง 300 บาท http://prachatai.com/journal/2011/07/35967 (11 กรกฎาคม 2554)
- เรณู ปัญญาดี. มติชนสุดสัปดาห์ (กรกฎาคม 2554) : 45
- อ่านเรื่อง อนาถบิณฑิกเศรษฐี ไล่เทวดาออกจากซุ้มประตูบ้านได้ใน http://www.84000.org/one/3/02.html (5 สิงหาคม 2554)