ที่มา MCOT News ชมรายละเอียดคลิ้กที่นี่
กรุงเทพฯ 28 ก.พ.-จากประเด็นการเมืองต่อเนื่องด้วย กกต.ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ต้องทำงานและเกี่ยวข้องกับนักการเมือง โดยเฉพาะการจับทุจริตเลือกตั้ง ซึ่งความยากเย็นส่งผลให้ 1 ใน กกต.ตัดสินใจศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ เพื่อหวังความรู้จะช่วยให้ทันเล่ห์นักการเมือง.
อัพเดตเมื่อ 2009-02-28 19:30:44
เพื่อไทย
Saturday, February 28, 2009
สดศรี ด็อกเตอร์คนใหม่
"ทักษิณ"เลิกปาฐกถาที่ฮ่องกง บอกรบ.ไทยตื่นเต้นจนน่ารำคาญ "นพดล"ยันไม่ได้กลัวถูกจับ ปชป.ปัดส่งคนตามรวบ
ที่มา มติชนออนไลน์
"ทักษิณ" เลิกปาฐกถาที่ฮ่องกงอ้งรบ.ไทยตื่นเต้นจนน่ารำคาญไม่อยากให้กระทบสัมพันธ์ไทย-จีน "นพดล"ยันไม่ใช่กลัวถูกจับชี้"แม้ว"เหนือกว่า"อภิสิทธิ์" มาก เห็นใจนายกฯแค่ต่อสู้กับ พท.ก็ลำบากแล้ว "เฉลิม"ซัดรัฐบาลอาฆาต"แม้ว" ปชป. ปัด รบ.ขึงขังส่ง"ตร.-อัยการ"ตามรวบอดีตนายกฯ
"ทักษิณ" เลิกปาฐกถาที่ฮ่องกง
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษนายนพพร วงศ์อนันต์ ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ทางโทรศัพท์จากสถานที่ซึ่งไม่เปิดเผยว่า ได้ตัดสินใจยกเลิกการกล่าวปาฐกถาระหว่างงานเลี้ยงอาหารกลางวัน ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งฮ่องกงในวันที่ 2 มีนาคมนี้ ในหัวข้อ "วิกฤตการเงิน, ความไม่แน่นอนทางการเมือง : บทเรียนจากประเทศไทย" แล้ว โดยอ้างว่า รัฐบาลไทยตื่นเต้นเรื่องนี้จนน่ารำคาญ และไม่อยากให้เกิดผลกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน
"ผมไม่ไปแล้ว ผมไม่อยากให้กระทบความสัมพันธ์ดีๆ รัฐบาลไทยตื่นเต้นจนน่ารำคาญ ผมเลยคิดว่าไม่ไปดีกว่า" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวสั้นๆ กับรอยเตอร์ โดยเสริมด้วยว่ารัฐบาลไม่น่าจะตื่นเต้นมากจนเกินไปกับปาฐกถาของตน ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดการแก้ปัญหาวิกฤตทางการเงินของโลกเท่านั้น ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. นายทอม มิทเชล รองประธานคนที่หนึ่งของสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศฮ่องกง (เอชเคเอฟซีซี) เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ได้รับแจ้งจากตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ เรื่องที่อดีตนายกรัฐมนตรีไทยตัดสินใจไม่เดินทางมาฮ่องกงแล้ว อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณยังเต็มใจที่จะปาฐกถาผ่านวิดีโอลิงก์มายังเอชเคเอฟซีซี โดยทั้งสองฝ่ายกำลังดำเนินการเพื่อให้การเชื่อมสัญญาณวิดีโอดังกล่าวเป็นไปได้อยู่ในเวลานี้ "นพดล"ยันไม่ใช่กลัวถูกจับ
ด้านนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ล่าสุดได้รับการประสานจากทีมงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าการยกเลิกไม่ได้มีสาเหตุมาจากรัฐบาลไทยประสานรัฐบาลฮ่องกงให้จับตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดีที่เมืองไทย และไม่ใช่เรื่องการกลัวถูกจับตัวแน่นอน เพราะปกติแล้วไทยกับรัฐบาลฮ่องกง ไม่มีสนธิสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน
นายนพดลกล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าการที่นายอภิสิทธิ์รีบประสานงานเพื่อขอให้รัฐบาลฮ่องกงส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดีนั้น เป็นการเร่งรัดเกินความจำเป็น แม้เป็นสิทธิที่ทำได้ แต่การดำเนินการดังกล่าวต้องทำอยู่ในกรอบกฎหมาย ไม่ใช่มองว่าต้องรีบกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเป็นคู่แข่งทางการเมืองที่มีความรู้ ความสามารถเหนือกว่านายอภิสิทธิ์มาก ลำพังแค่นายอภิสิทธิ์ต่อสู้กับพรรคเพื่อไทยเพียงอย่างเดียว ก็ลำบากอยู่แล้ว หาก พ.ต.ท.ทักษิณยังอยู่จะยิ่งลำบากมากขึ้น จึงคิดว่าต้องรีบกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณให้ได้ ขอให้นายอภิสิทธิ์ใช้ความกระตือรือร้นไปเร่งรัดดำเนินคดีกับกลุ่มที่ยึดสนามบินสุวรรณภูมิจะดีกว่า
"เฉลิม"ซัดรัฐบาลอาฆาต"แม้ว"
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน และประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลจะประสานให้รัฐบาลฮ่องกงจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยนั้น เป็นการกระทำที่อาฆาตมาดร้ายที่ก่อให้เกิดผลเสียและผลกระทบต่อหลายภาคส่วน จากการที่รัฐบาลใช้โมหจริตเป็นที่ตั้ง ไม่ยอมศึกษาข้อกฎหมายให้ชัดเจนว่าฮ่องกงไม่มีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศไทย และความผิดที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาในคดีที่ดินรัชดาฯที่ศาลตัดสินให้จำคุก 2 ปีนั้น ในเกาะฮ่องกงก็ไม่มีกฎหมายที่กำหนดว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิด
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า คดีที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการเมืองอย่างชัดเจน และคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการตัดสินคดีของศาลเดียว ซึ่งสหประชาชาติเคยแจ้งมติต่อบรรดาสมาชิกที่มี 100 กว่าประเทศ ในบันทึกข้อ 14 (5) กรณีความผิดอย่างนี้ผู้กระทำความผิดไปอยู่ประเทศใดก็ตามและประเทศนั้นมีสนธิสัญญาส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน หากความผิดตัดสินเพียงศาลเดียว ประเทศที่คนกระทำผิดอาศัยอยู่เจ้าของประเทศอาจไม่ส่งตัวก็ได้ ซึ่งฮ่องกงก็ได้ลงบันทึกข้อตกลงในเรื่องนี้ด้วย
"การกระทำของรัฐบาลถือเป็นเพียงการหวังดิสเครดิต พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น แหล่งข่าวของ ร.ต.อ.เฉลิม ได้ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปฮ่องกง เพื่อแสดงปาฐกถาเรื่องเศรษฐกิจโลกตามกำหนดการเดิมอย่างแน่นอน" ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
"มาร์ค" เมิน-เร่งช่วยชาวบ้าน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างการตอบคำถามสื่อมวลชนต่างประเทศ ภายหลังพิธีเปิดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนอย่างเป็นทางการ ว่าไม่รู้สึกกังวลกับการที่มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เตรียมเดินทางไปปาฐกถาที่เกาะฮ่องกง เพราะสิ่งที่กังวลคือ การแก้ไขปัญหาของประชาชน ที่สำคัญได้รับรายงานว่าการปาฐกถาดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วจะยังส่งคนไปจับกุมตัวกลับมาอีกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เมื่อยกเลิกไปแล้วก็เลยไม่รู้อยู่ที่ไหน ส่วนการดำเนินการส่งตัวกลับไทย ไม่ควรพุ่งเป้าให้ความสำคัญกับด้านใดด้านหนึ่ง ควรจะมีการพูดคุยเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อออกมาเป็นนโยบายกับเรื่องนี้ เมื่อถามว่า คิดอย่างไรกับการที่ พ.ต.ท.ทักษิณชอบใช้สื่อเป็นเครื่องมือ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องไปถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ถามย้ำทำไมถึงไม่แสดงความเห็น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เพราะตนกับ พ.ต.ท.ทักษิณมักจะคิดไม่ตรงกัน
รบ.ขึงขังส่ง"ตร.-อัยการ"ตามรวบ
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวที่โรงแรมเชอราตันหัวหิน รีสอร์ทแอนด์สปา จ.เพชรบุรี ว่าได้ประสานสถานกงสุลใหญ่ไทยในฮ่องกง เพื่อขอให้หาที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ นอกจากนี้ยังได้ส่งเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและอัยการไปประสานกับทางการของเกาะฮ่องกงอย่างไม่เป็นทางการแล้ว เพื่อจับกุมตัว พ.ต.ท.ทักษิณ หากไปปรากฏตัวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เกาะฮ่องกงเพื่อกล่าวปาฐกถา ในวันที่ 2 มีนาคมนี้จริง
"เรื่องนี้ไม่ได้มีวาระแอบแฝง หรือตั้งเป้าเพื่อดำเนินการกับอดีตนายกฯเท่านั้น เพราะเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติต้องทำในการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณมาลงโทษตามกระบวนการ" นายพุทธิพงษ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะใช้ข้อกฎหมายใดเพื่อจับกุมตัว เพราะฮ่องกงเป็นเขตปกครองพิเศษ นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า จะใช้เวลาประสานกับทางการฮ่องกงว่าจะสามารถใช้กฎหมายใดเพื่อนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาได้บ้าง น่าจะใช้เวลา 1-2 วันถึงจะรู้ผล เบื้องต้นหวังว่าจะนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณส่งไปที่จีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีกฎหมายผู้ร้ายข้ามแดนกับไทย ก่อนส่งตัวกลับประเทศ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่
ยันมีช่องนำตัวกลับเมืองไทย
ด้าน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงที่พรรคประชาธิปัตย์ ถึงการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย ว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการทำความร่วมมือระหว่างไทยกับฮ่องกง ยืนยันว่าข้อมูลครบถ้วนทุกด้าน เหลือเพียงการประสานงานระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับอัยการในการประสานกับฮ่องกง ส่วนกรณีที่ไทยกับฮ่องกงไม่มีสนธิสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกันนั้น ถือว่าไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะเรื่องนี้สามารถดำเนินการได้ตามมาตรา 96 ของธรรมนูญการปกครองของเกาะฮ่องกง ที่เปิดช่องให้ฮ่องกงดำเนินการได้ โดยการขอความสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ในเรื่องของคำสั่งหรือนโยบายให้สนับสนุนด้านกระบวนการยุติธรรมแก่ประเทศหรือรัฐอื่นได้ตามความเหมาะสม เพราะระหว่างไทยกับจีน มีการลงนามเกี่ยวกับความร่วมมือหรือสนธิสัญญาด้านกระบวนการยุติธรรม เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2542
"เชื่อว่าในวันที่ 2 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณจะใช้เวทีที่ฮ่องกง พูดถึงกระบวนการยุติธรรมของไทยให้ต่างชาติไม่เชื่อมั่น และให้เชื่อว่าตัวเองเป็นนักโทษการเมืองไม่ใช่นักโทษคดีอาญา แต่ขณะนี้พื้นที่ในการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณเริ่มน้อยลง เพราะประเทศต่างๆ เริ่มระวังในการให้ พ.ต.ท.ทักษิณใช้พื้นที่เคลื่อนไหว"นพ.บุรณัชย์กล่าว
จี้"เฉลิม"แจ้งที่อยู่อดีตนายกฯ
เมื่อถามว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณปรากฏตัวที่ฮ่องกงจริง จะสามารถจับกุมตัวได้เลยหรือไม่ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ต้องเคารพในการดำเนินการของฮ่องกง สำหรับกลไกของไทยเป็นการประสานระหว่างอัยการและกระทรวงการต่างประเทศผู้ทำสำนวนขอส่งตัว ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิมระบุ พ.ต.ท.ทักษิณอาจไม่ไปกล่าวปาฐกถาที่ฮ่องกงแล้วนั้น ร.ต.อ.เฉลิมคงจะเพิ่งตื่น ความจริง ร.ต.อ.เฉลิมน่าจะรู้ดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ที่ไหน มีแผนการในการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างไร ดังนั้นจึงน่าจะออกมาให้ข้อมูลกับรัฐบาลเพื่อติดตามตัวกลับประเทศ รวมถึง ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่น่าจะรู้ที่พำนักของ พ.ต.ท.ทักษิณ
เมื่อถามว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จะเดินทางไปฮ่องกงเพื่อติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อใด นพ.บุรณัชย์กล่าวว่า พรรคไม่เคยมีนโยบายส่ง ส.ส.ไปติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ จุดยืนชัดเจนคือ จะสนับสนุนรัฐบาลให้ดำเนินการตามกฎหมาย แต่ข่าวที่ออกมาคงเป็นความเห็นส่วนตัวของนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ที่เสนอความเห็นต่อที่ประชุมคณะทำงานปฏิบัติการเพื่อการเมือง หรือวอร์รูม ว่า หากทางการไม่สามารถเอาตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาได้ ก็ต้องไปหาว่าอยู่ที่ไหน
ปัดส่งส.ส.ตามล่าถึงฮ่องกง
ด้านนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า ยังไม่ได้ตกลงว่า ส.ส.พรรคจะเดินทางไปฮ่องกงเมื่อใด เป็นเพียงแต่ข้อหารือกันว่าควรจะมีการติดตามหาข้อมูลของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการดำเนินการในนามส่วนตัว เพื่อหาข้อมูลว่า พ.ต.ท.ทักษิณพักที่โรงแรมไหนเป็นประจำ หรือมีบ้านพักส่วนตัวที่ซื้อไว้หรือไม่ เพื่อให้ทราบที่อยู่หลักแหล่ง ดังนั้นหาก ส.ส.จะเดินทางไปก็จะเป็นการไปหาข้อมูลเฉยๆ ไม่เกี่ยวข้องกับการแทรกแซงกระบวนการที่รัฐดำเนินการ อีกทั้ง ส.ส.ไม่มีอำนาจไปตามจับตัวใครข้ามประเทศได้ แต่สิ่งที่จะได้คือ ข้อมูลการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ
นายชุมพล กาญจนะ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จะไม่มีการส่ง ส.ส.หรือทีมงานของพรรค เพื่อไปนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดี เพราะมองว่าท้ายที่สุดไม่ว่าจะใช้วิธีอะไรก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องเดินทางกลับประเทศอยู่แล้ว ส่วนจะกลับมาแบบยังมีชีวิตหรือเสียชีวิตแล้ว ยังไกลเกินไปที่จะวิเคราะห์
จับ21พธม.-ปชป.ตกที่นั่งลำบาก
นายชุมพลยังกล่าวถึงการทำงานของรัฐบาลว่า ทุกคนหนักใจ เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงสร้างความเดือดร้อนให้ทั้งรัฐบาลและคนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ด้วย ยอมรับว่าพรรคตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก จากกรณีที่ทางตำรวจออกหมายจับ 21 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วแกนนำกลุ่มพันธมิตรแสดงความไม่พอใจ รัฐบาลคงไม่สามารถไปเปลี่ยนตัว พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.ผู้ที่รับผิดชอบคดีนี้ตามความต้องการของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรได้
"คดีนี้ต้องมีการตรวจสอบการแจ้งข้อกล่าวหา การทำสำนวนด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าผู้ที่รับผิดชอบคดีนี้ได้รับมอบนโยบายจากรัฐบาลชุดที่แล้วมาอย่างไรบ้าง แต่ยืนยันว่าเราไม่ถึงกับไม่ไว้ใจตำรวจ เพียงแต่ต้องการให้ทุกอย่างทำด้วยความโปร่งใส และเป็นธรรม" นายชุมพลกล่าว
ปลัดกห.ชี้ทหารฝ่ายประชาชน
พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการลับ ลวง พราง ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 100.5 เมกะเฮิร์ตซ์ กรณีที่การ์ดกลุ่มเสื้อแดงทำร้าย ส.อ.อำนวย ทองรินทร์ ทหารกองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 (พันร.มทบ.11) ขณะปฏิบัติหน้าที่ ว่า คงให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการและสอบสวนไปตามข้อมูลข้อเท็จจริง เพราะฝ่ายเสื้อแดงก็ไปแจ้งความว่าทหารเข้าไปทำร้ายการ์ดเสื้อแดง แต่หน้าที่ของตำรวจต้องสืบสวนข้อเท็จจริง ทหารจะไม่เข้าไปยุ่งหรือกดดันตำรวจ
เมื่อถามว่า กลุ่มเสื้อแดงมองว่าทหารเป็นศัตรู พล.อ.อภิชาตกล่าวว่า "เราไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เราพยายามทำตามหน้าที่ของเรา เมื่อรัฐบาลมอบหมายให้เราเข้าไปดูแลสถานที่สำคัญของรัฐบาล เราก็จำเป็นต้องจัดกำลังเข้าไปดูแล เราเพียงแต่ทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น เรายืนยันว่า เราเป็นกลางและอยู่บนฝ่ายของความถูกต้องมากกว่า"
พล.อ.อภิชาตกล่าวว่า ทหารเข้าไปช่วยตำรวจในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ขณะที่การแก้ปัญหาเป็นเรื่องของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องดูแลต่อไป ยืนยันว่าผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกคนมีความพร้อมที่จะทำงานเพื่อชาติและประชาชนเป็นหลัก โดยที่ไม่ได้คิดว่าเป็นฝ่ายไหนหรือพวกของใคร แต่เป็นพวกของประชาชน และส่วนรวมเป็นหลัก
ศก.โคม่าเงินเฟ้อม.ค.ติดลบ-นำเข้าหด36% ธปท.ห่วงรายได้เกษตรกรวูบ-การบริโภค-ลงทุนทรุดยาว
ที่มา ข่าวสด
นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ว่า การอุปโภคบริโภค การลงทุนภาคเอกชน การผลิตภาคอุตสาหกรรม และส่งออก อยู่ในช่วงชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่หดตัว โดยเห็นได้จากการนำเข้าที่ปรับตัวลดลง 36.5% หรือมีมูลค่า 8,694 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ การจ้างงานในภาคการผลิตยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 โดยแรงงานที่ว่างงานมีประมาณ 538,540 คน เพิ่มขึ้น 16,290 คน ผู้ที่ทำงานต่ำกว่าระดับมีจำนวน 570,920 คน เพิ่มขึ้น 10,439 คน ส่วนผู้ว่างงานรอฤดูกาลมีจำนวน 21,240 คน ทั้งนี้ หากคิดเป็นสัดส่วนของกำลังแรงงานทั้งหมดทำให้อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.4% อัตราการทำงานต่ำกว่าระดับอยู่ที่ 1.5% และอัตราการว่างงานรอฤดูกาลอยู่ที่ 0.1%
สำหรับผลผลิตและราคาพืชผลสำคัญ เช่น อ้อย และยาง ปรับตัวลดลง ทำให้รายได้เกษตรกรในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ขยายตัว 8.6% ซึ่งชะลอตัวลงจากเดิมในเดือนธ.ค.51 ขยายตัว 20.3% ขณะที่เงินเฟ้อติดลบ 0.4% ซึ่งเป็นครั้งแรกนับแต่เดือนต.ค.42 ส่วนการส่งออกหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยมีมูลค่าส่งออกประมาณ 10,382 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 25.3% ขณะที่การท่องเที่ยวปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยมีจำนวน 1.3 ล้านคน ลดลง 10.5% เป็นผลมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศ ประกอบกับประเทศที่เป็นตลาดท่องเที่ยวหลักของไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่ผ่านสนามบินสุวรรณภูมิลดลง 19.7% ยกเว้นท่องเที่ยวในภาคใต้ดีขึ้นขยายตัว 20.1% ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2,289 ล้านเหรียญสหรัฐ
"ตัวเลขการส่งออกยังเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนการขยายตัวเศรษฐกิจ แม้ว่าตัวเลขการนำเข้าจะลดลงจากความต้องการในประเทศที่ลดลง แต่ยังไม่น่าเป็นห่วง เพราะรัฐบาลยังสามารถจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนที่สูงขึ้น ส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในไตรมาส 1 จะติดลบมากน้อยแค่ไหนนั้น จะต้องรอดูตัวเลขเศรษฐกิจในเดือน ก.พ.นี้ก่อน ว่ามีตัวเลขไหนที่ปรับตัวลดลงบ้างหรือไม่ ซึ่งเห็น ว่าตัวเลขนำเข้าที่ลดลงไม่ใช่ว่าเศรษฐกิจไม่ดี โดยยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยในปี"52 ยังชะลอตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและการเมืองในประเทศ แต่เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นในบางด้าน เช่น การท่องเที่ยว แม้จะยังหดตัว แต่ดีขึ้นกว่าที่คาดไว้" นางอมรา กล่าว
นอกจากนี้ พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในปัจจุบันปรับลดลงอยู่ที่ 36.3 จากเดิมอยู่ระดับ 36.9 เป็นผลมาจากยอดคำสั่งซื้อลดลง โดยผู้ประกอบการยังมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ และการชะลอตัวลงของอุปสงค์จากในประเทศและนอกประเทศ ส่วนดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนลดลง 4.5% จากเดิมอยู่ระดับ 2.4% ส่วนเงินทุนเคลื่อนย้ายในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา มีเงินไหลออกสุทธิ 718 ล้านเหรียญสหรัฐ มาจากการที่นักลงทุนต่างชาติขายคืนพันธบัตรรัฐบาล 44 ล้านเหรียญสหรัฐ การจ่ายเงินมัดจำค่าเครื่องบินของรัฐบาล 14 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการทำธุรกรรมซื้อเงินตราต่างประเทศ โดยเฉพาะผู้ส่งออกทองคำของธนาคารพาณิชย์ 744 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเป็นไปตามค่าเงินในภูมิภาคที่อ่อนค่าลง
รัฐมนตรีเป้าเชือด
ที่มา ข่าวสด
เหล็กใน
ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายกรณ์ จาติกวณิชย์ รมว.คลัง นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และนายอิสสระ สมชัย รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำหรับนายอภิสิทธิ์นั้น ถึงขนาดออกมาโอดครวญ เรียกร้องความเห็นใจว่าจะถูกฝ่ายค้านเล่นงานไปถึงคนในครอบครัว โดยเฉพาะแม่และภรรยา
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านออกมาเรียกน้ำย่อยอย่างต่อเนื่องว่าการอภิปรายครั้งนี้ มีหลักฐานทีเด็ดจะทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้
ไม่นับรวมเรื่องกิ๊ก ที่จะนำพูดเพื่อให้เกิดสีสัน
มีการออกมาแย้มข้อมูลเรื่องเงิน 250 ล้านที่ได้รับจากบริษัทเอกชน แล้วมีบรรดาวงศ์วานว่านเครือส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ภาคใต้ นำไปซิกแซ็กเบิกจ่ายกัน
ระบุว่ามีการจ่ายไปยังสาขาธนาคารใหญ่ 3 ธนาคาร รวม 75 ครั้ง แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 64 ครั้ง ธนาคารในจ.สงขลา อีก 11 ครั้ง ภายในเวลา 55 วัน
แถมมีพิรุธ ทิ้งร่องรอยไว้เพียบ เพราะจงใจที่จะจ่ายไม่ถึง 2 ล้าน หลีกเลี่ยงเพื่อไม่ต้องแจ้งรายละเอียดธุรกรรมกับปปง.
ไม่รวมเงินล็อตใหญ่ที่มีการเบิกโดยบุคคลใกล้ชิดกับบิ๊กพรรคประชาธิปัตย์เอง
อีกข้อมูลสำคัญก็คือเงินจำนวน 23 ล้านที่ได้รับการจัดสรรจากกกต. ซึ่งมีการนำไปใช้จ่ายผ่านบริษัทเดียวกันกับที่รับเงินจำนวน 250 ล้านนั่นเอง
ข้อมูลเส้นทางการเบิกจ่ายเงินในลักษณะนี้ แค่แย้มออกมาเรียกน้ำย่อย ก็ทำให้น่าติดตามแล้ว
แต่ก็ต้องรอดูว่าจะเป็นแค่ราคาคุยหรือของจริง
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ก็คงหาทางหนีทีไล่ไว้แล้ว
อย่างกรณีเงิน 250 ล้าน ทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็พยายามถีบทิ้งว่าไม่เกี่ยวกับพรรค เป็นเรื่องการทำธุรกิจของญาติส.ส.
กรณีเงินจำนวน 23 ล้านไปใช้ไม่ถูกประเภทนั้น นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ก็พยายามออกมาโยนให้เป็นเรื่องการเมือง โดยปูดว่าอธิบดีดีเอสไอเคยไปพบนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ทั้งหมดนี้ คงจะมีการชี้แจงในวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ถ้าข้อมูลเด็ดจริง ต่อให้ร้อยโวหารพันสำนวนก็หักล้างไม่ได้
สำหรับรัฐมนตรีคนอื่นๆ นั้น ที่น่าจะโดนหนัก ก็คงหนีไม่พ้นนายกษิต รัฐมนตรีในสังกัดพันธมิตร
ยิ่งรอดหมายเรียกในคดีบุกทำเนียบฯ มาได้ ก็ยิ่งจะตกเป็นเป้ายำใหญ่อย่างแน่นอน
ช่วงหลังๆ นายกษิตมักนอตหลุดบ่อย ถึงขนาดออกปากยกตัวเองว่ามีคนชอบและเชียร์มากกว่ากลุ่มคนเสื้อแดงด้วยซ้ำ
รีบออกมาอ้อนเรียกหาบรรดาแม่ยกเสื้อเหลืองดื้อๆ
ตายเพราะซีโฟร์??
ที่มา เดลินิวส์
หลังจากที่คาใจว่า น้องโบว์ หรือ น.ส.อังคณา ประดับปัญญาวุฒิ ซึ่งเสียชีวิตจากการชุมนุมร่วมกับพันธมิตรฯ ที่ยกกำลังบุกไปยึดรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 นั้น
เกิดจากการพกระเบิด หรือตายเพราะแก๊สน้ำตาจากจีนที่ตำรวจยิงกันแน่
เพราะตอน นปก.บุก ล้อมหน้าบ้าน “ป๋า” ที่สี่เสาเท เวศร์ ตำรวจก็ระดมยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ นปก.ไม่ยั้ง แต่ไม่มีการเสียชีวิตแม้แต่คนเดียว !!!
กรณีน้องโบว์ ผลออกมาแล้ว แต่กรณี สารวัตรจ๊าบ การ์ดพันธมิตรฯ ที่ตายในรถเชโรกีสีขาว หน้าพรรคชาติไทย ซึ่งต้องสงสัยเช่นกันว่า มีการขนซีโฟร์หรือไม่ ผลยังไม่ออก
กรณีน้องโบว์ ที่ว่าพบสารระเบิดซีโฟร์ในตัวนั้น
ตามข่าวบอกว่า พ.ต.ท.สมภพ พุฒศรี นักวิทยาศาสตร์ สบ 3 กลุ่มงานตรวจเคมี ฟิสิกส์ และชีววิทยา กองตำรวจพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ได้ตรวจเสื้อยืดสีเหลืองของ น.ส.อังคณา 1 ตัว
เสื้อชั้นในสีครีมสภาพฉีกขาด 1 ตัว, กางเกงยีนขายาวสีน้ำเงินสภาพฉีกขาด 1 ตัว, ด้วยวิธีทางนิติวิทยาศาสตร์ ทั้งทางกายภาพและทางเคมี โดยเครื่องมือวิทยาศาสตร์
ไอออนสแกนตรวจหากลุ่มวัตถุระเบิดเบื้องต้น ใช้เครื่อง เอฟทีไออาร์, จีซี-เอ็มเอส เอ็กซ์อาร์เอฟ ตรวจยืนยันวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสรุปแล้ว
พบสารเคมีที่เป็นวัตถุระเบิดชนิดซีโฟร์ ติดอยู่ที่เสื้อยืดสีเหลือง และเสื้อชั้นในสีครีมที่ส่งมาตรวจ
ยังตรวจพบเคมีชนิด “อาร์ดีเอ็กซ์” ซึ่งมีในแก๊สน้ำตาจีนทั้งชนิดยิงและขว้าง ที่ตำรวจเป็นจำเลยอยู่ แต่เป็นคนละตัวกัน
การตรวจพบนั้น มาจากวัตถุทรงกลมที่เหลือจากการระเบิดไม่ สมบูรณ์บริเวณรอยไหม้สีดำของเสื้อชั้นในและเสื้อยืด เมื่อนำวัตถุทรงกลมนั้น มาตรวจ ปรากฏว่าเป็นวัตถุระเบิดชนิด “ซีโฟร์”
ทั้งหมดตำรวจไม่ได้แถลง แต่เป็นรายงานข่าวที่นักข่าวไปจิกมา ที่ตำรวจไม่กล้าแถลง คงกลัวถูกพันธมิตรฯ เอาคืน เมื่อผลสอบออกมาไม่ถูกใจ ???
แล้วก็ตามคาด พันธมิตรฯ ออกโรงโต้ทันควัน ว่า เป็นการใส่ร้ายคนตาย มีการสอดไส้หลักฐานเท็จ เพื่อเอาตัวรอด เพราะ ป.ป.ช.กำลังจะมีการชี้มูลความผิดในกรณีนี้พอดี
ซึ่งผลสอบของ ป.ป.ช. น้องโบว์ตายเพราะแก๊สน้ำตา (รู้ล่วงหน้าซะด้วย แสดงว่า แหล่งข่าวลึกมาก) !!!
ใครของจริง พฐ. หรือ ป.ป.ช. ต้องติดตามดู แต่หากไม่ตรงกัน เรื่องคงยังไม่จบง่าย ๆ
ยิ่งดูจากที่ผ่านมา ซีกหนึ่ง ขาวจั๊วะตลอด ทำอะไรถูกหมด อีกซีก ดำปี๋ ใช้กฎหมายย้อนหลังเล่นงาน ยังทำเลย ผลก็คงคาดเดาได้ไม่ยากนัก
แต่นั่นล่ะ จะได้รู้กันไปเลย ที่คาใจ ชุมนุมโดยสันติ สวยงาม ปราศจากอาวุธ สุดอารยะนั้น ผลสอบของ ป.ป.ช.ชุดนี้ จะออกมารองรับยังไงบ้าง ???
ขอเรียกร้องให้รีบสรุป และแถลงโดยด่วน รวมทั้งกรณีสารวัตรจ๊าบ จะได้หูตาสว่างกันเสียที.
ดาวประกายพรึก
เรื่องน่าอาย??
ที่มา เดลินิวส์
การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนจะเริ่มเป็นทางการปลายสัปดาห์นี้ถึง 1 มี.ค. นอกจาก 10 ชาติกลุ่มอาเซียน ยังมีบวก 3 และบวก 6 บวก 3 มี จีน อินเดีย เกาหลี บวก 6 มี จีน อินเดีย เกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และ ญี่ปุ่น
รวมประชากรเกือบ 3,000 ล้าน
การประชุมหนนี้เป็นการนำประเทศไทยกลับสู่จอเรดาร์ของโลกครั้งแรก หลังจากทหารลากรถถังออกมายึดอำนาจรัฐบาลเลือกตั้ง และเกิดม็อบอนาธิปไตยตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา จะว่าสำคัญก็สำคัญ
เพราะไทยเป็นทั้งเจ้าภาพและประธานอาเซียนด้วย
หลังจากที่ต้องเลื่อนมาครั้งหนึ่ง เพราะรัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชาย ถูกรุมเล่นงานสารพัดเรื่อง จนจัดประชุมไม่ได้ มารัฐบาลเทพอุ้มสมนี่แหละ ถึงจัดประชุมได้
ก็ดีแล้วที่กลุ่มเสื้อแดงไม่ตามไปหัวหิน สถานที่จัดประชุม ป่วนไปก็เท่านั้น นอกจากเป็นม็อบไร้เส้น เคเบิลทีวีช่องหนึ่งยังปลุกระดมให้กลุ่มเสื้อเหลือง ออกมาลุยให้ตายไปข้าง แล้วเรื่องอะไรต้องไปปะทะให้เสียเลือดเนื้อ จะล้อมทำเนียบฯ ก็อย่าเข้าไปยึดครอง
อย่าให้มีอาวุธเด็ดขาด !!!
รู้ ๆ อยู่ การเป็นเจ้าภาพเที่ยวนี้ ซุกขยะไว้ใต้พรมเพียบ โฆษณาว่า การเมืองสงบแล้ว ทั้งที่ความแตกแยกยังไม่ได้รับการเยียวยา ความเป็น นิติรัฐ นิติธรรม ยังไม่มา มีการ เลือกใช้กฎหมาย 2 มาตรฐานเรื่อยมา
ฝ่ายที่ทหารอุ้มสม ทำอะไรถูกหมด ถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี ก็เสนอหน้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้หน้าตาเฉย กกต. (มีบางสื่อเรียกชุดหนา 2 แล้ว) ก็ลงมติว่า ไม่ผิด เพราะไม่มีหลักฐานว่าคุยเรื่องจัดตั้งรัฐบาล ทั้งที่คนรู้ทั้งโลก มีแต่ 3 กกต. ที่ไม่รู้ แถกันได้ขนาดนี้ !!!
ที่มีข่าวเตรียมออกหมายจับ 21 แกนนำที่ไปบุกเอ็นบีที ยึดทำเนียบฯ ปิดสนามบิน ก็แค่โชว์ฟอร์มว่า มีการบังคับใช้กฎหมายนะ แต่ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ออกมาชี้นำหรา ห้ามตั้งข้อหา “กบฏ” เด็ดขาด ขนาดนี้พันธมิตรฯ ยังขู่ฟ่อ ได้เห็นดีแน่
เรื่องการเป็นเจ้าภาพนั้น ทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นแน่ เพราะสื่อมวลชน ผู้นำประเทศต่าง ๆ ผู้ติดตามนับพันคน จะมีการจับจ่ายใช้สอย โรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของฝาก ในหัวหิน ได้อานิสงส์ไปเต็ม ๆ ก็ดี
แต่จะหวังผลขนาด เป็นสัญลักษณ์ดึงดูดนักลงทุนให้แห่เข้าไทยนั้น ฝันมากไปหน่อย ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนไม่อยากมามีมากมาย ที่เค้ากลัวสุด-สุด ก็ ม็อบอนาธิปไตย ที่ยึดทำเนียบฯ ปิดสนามบิน ได้ตามใจชอบ นี่ล่ะ
มันลามไปทั่ว ไม่ได้โบนัส ก็ปิดโรงงาน ประท้วงเบียร์ช้างที่ตลาดหุ้นไม่พอ ตามไปล้อมกรอบนายทุน เจริญ สิริวัฒนภักดี ถึงบ้านอีก นักลงทุนเห็นข่าวใน ซีเอ็นเอ็น เอ็นเอชเค ขวัญหนีดีฝ่อหมด ตราบใด ที่ยังนำ นิติรัฐ นิติธรรม กลับมาไม่ได้
นักลงทุนก็ไม่เสี่ยงตายให้โง่ !!!
เหนืออื่นใด การประชุมเที่ยวนี้ ยังมี นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ที่มี ทัศนคติสุดอันตราย ว่า การยึดสนามบินเป็นเรื่องสนุกมาก อาหารดี ดนตรีเพราะ แม้ถูกวิจารณ์อย่างหนัก ก็ยังยืนยัน ทำถูกต้องแล้ว ??
ผู้นำที่มา มีมารยาทดีพอจะไม่เอาเรื่องนี้มาพูดให้ระคายหูหรอก แต่อย่าคิดว่าในใจเค้าจะไม่ตะขิดตะขวงใจนะ เพราะทั่วโลกถือว่า การเดินทาง ด้านอากาศยาน เป็นเสรีภาพสูงสุด ที่ต้องรักษาไว้ แม้แต่สงคราม ยังห้ามปิดสนามบิน แต่ไทยกลับมีเสนาบดีที่ “ไร้วุฒิภาวะ” เยี่ยงนี้เป็นแกนหลักในการประชุม
ไม่อับอายขายขี้หน้าไปทั่วโลก หรือ ???
ดาวประกายพรึก
ฝรั่งหัวหินฉีกหน้ามาร์คจ๋อยไม่รู้นั่งเป็นนายกฯ
ที่มา เดลินิวส์
ปชป.ให้สอบ'เหลิม'เค้นเบาะแสทักษิณเร่งส่งผู้ร้ายข้ามแดน
“มาร์ค” จ๋อย เดินโต้รุ่งหัวหิน เจอฝรั่งถาม “ฮูอาร์ยู” ต้องแจกยิ้มก่อนตอบว่า “ผมเป็นนายกฯ” แม่ค้าหัวหินบ่นสั่งห้ามจอดรถสองข้างทางขายของไม่ออก 7 ผู้นำอาเซียนเดินทางถึงไทย จัดห้องสุดหรูคืนละเฉียดแสนบาทไว้รับรอง ผู้นำมาเลเซียขอชิมทุเรียนไทยจัดเป็นเมนูอาหารว่างพิเศษ นายกฯเดินเครื่องผนึกอาเซียนร่วมเจาะตลาดนอกกลุ่ม หวังเป็นหัวหอกกู้วิกฤติเศรษฐกิจเอเซีย “พาณิชย์” เดินหน้าลงนามเอฟทีเออาเซียน-ออสเตรเลีย/นิวซีแลนด์ “พรทิวา” ย้ำผ่าน ม.190 แล้ว เชื่อไทยได้ประโยชน์ ขณะที่ปชป.เสนอนำตัว “เหลิม” มาเค้นหาที่อยู่ “ทักษิณ” หลังเคยไปพบที่ฮ่องกง นายกฯสั่งกำชับประสานทางการจีนลากตัว “ทักษิณ” ฝ่าย “นภดล” เชื่อนายใหญ่ไม่ตายน้ำตื้นโดนส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน เผยรอฟังชี้แจงพลเมืองพิเศษนิการากัว “เชาวริน” รับไม่เคยคุยรัฐบาลแห่งชาติลั่นปล่อยให้ฟ้าดินลิขิต พท.ยื่นกกต.ถอด “วีระศักดิ์” นั่งประธานบอร์ดททท.
นายกฯกำชับล่าตัว“ทักษิณ”
เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้กงสุลฮ่องกงติดตามและหาที่อยู่ที่ชัดเจนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อได้รับทราบผลการรายงานที่ชัดเจนแล้ว ถึงจะประสานงานกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนจะแจ้งทางสำนักงานอัยการสูงสุด และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมายต่อไป เท่าที่พูดคุยกันไม่มีปัญหาข้อกฎหมาย เพราะคดีถึงที่สุดแล้ว
เมื่อถามว่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะ ได้ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เราต้องการ อยู่แล้ว แต่ระหว่างนี้อยู่ในขั้นดำเนินการจะ พยายามและประสานงาน ตนจะทำให้ดีที่สุด เพราะเป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนปกติ นอกจาก นี้ยังเป็นการรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวน การยุติธรรมด้วย
ปชป.ปัดส่งส.ส.ซุ่มฮ่องกง
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เตรียมจะเดินทางไปฮ่องกงเพื่อไปตามหาที่อยู่ของพ.ต.ท.ทักษิณว่า ไม่ทราบเรื่อง ก็เห็นจากรายงานข่าวแต่ยังไม่ได้ถามใครในพรรคในเรื่องนี้ และยังไม่มีส.ส.มาหารือ เมื่อถามว่า เป็นเรื่องที่ทำได้หรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าเป็นความคิดจริงหรือไม่และใครเป็นคนที่มีความคิดนี้
เมื่อถามว่าได้มีการคุยกันหรือไม่ว่ารัฐบาลจะมีแนวทางในการดำเนินการกับพ.ต.ท. ทักษิณอย่างไร นายสาทิตย์ กล่าวว่า กรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ รัฐบาลยืนยันเรื่องการดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานที่มีหน้าที่ติดตามตัวก็มีหน้าที่แต่ขั้นตอนการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศจะมีขั้นตอนของเขา
ผู้สื่อข่าวถามว่าทำไมการดำเนินการถึงได้ล่าช้า นายสาทิตย์ กล่าวว่า เรื่องนี้นายกฯได้ตอบไปแล้วว่าเป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำหน้าที่ของตนเองไป แต่ปัญหาก็คือไม่มีใครรู้ที่อยู่ที่เป็นหลักแหล่งแน่นอนของ พ.ต.ท.ทักษิณ
เสนอเค้น“เหลิม”หาข้อมูล
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณีชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยว่า คนที่รู้แหล่งกบดานของ พ.ต.ท.ทักษิณดีที่สุดคือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย จึงถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่ จะโยงถึงการพบกันระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งหลังสุดจนถึงวันที่ 2 มี.ค. ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าว่าที่ผู้นำฝ่ายค้านอย่าง ร.ต.อ.เฉลิมพร้อมให้ข้อมูลหรือไม่
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หากตำรวจอยากได้ข้อมูลเรื่องที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะไปสอบสวนส.ส.พรรคเพื่อไทยเช่น นายสุชาติ ลายน้ำเงิน, พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ที่ออกมายืนยันชัดเจนว่าได้ร่วมโต๊ะอาหารกับ พ.ต.ท.ทักษิณและ ร.ต.อ.เฉลิม ทั้งนี้การที่ ร.ต.อ.เฉลิมปฏิเสธว่าไม่ได้พบ พ.ต.ท.ทักษิณ คงจะรู้ว่าการปกปิดที่พักพิงของผู้ต้องหาอาจมีความผิดได้ ซึ่งตนเห็นว่าตำรวจน่าจะเชิญ ร.ต.อ.เฉลิมมาสอบปากคำ
รอฟังชี้แจงพลเมืองพิเศษ
นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.การต่างประเทศและอดีตที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวถึงกรณีที่คณะทำงานปฏิบัติการทางการเมือง (วอร์รูม) พรรคประชาธิปัตย์ ส่ง ส.ส. ไปเกาะฮ่องกงเพื่อวางกับดักจับกุมตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ในระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ต่อสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งฮ่องกง ในวันที่ 2 มี.ค.นี้ ว่า การไปจับกุมต้องปฏิบัติตามกฎหมายของเขตปกครองพิเศษฮ่องกงว่าทำได้หรือไม่ ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์จะทำอะไรกับใครก็ได้ ส่วนสนธิสัญญาการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้นประเทศไทย กับจีนมีข้อตกลงร่วมกันในเรื่องนี้ แต่ตนไม่ทราบว่าจะรวมไปถึงเกาะฮ่องกง ซึ่งเป็นเขตปกครองพิเศษด้วยหรือไม่
นายนพดล ยังกล่าวว่า ทางการไทยจะต้องประสานไปก่อนไม่ใช่พ.ต.ท.ทักษิณ เดินจ่ายตลาดอยู่แล้วจะไปจับกุมอย่างนั้นไม่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตามเข้าใจว่าพ.ต.ท.ทักษิณ คงศึกษาข้อ กฎหมายในเรื่องนี้ก่อนที่จะเดินทางมาพูดต่อสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งฮ่องกง เพราะเรื่องนี้เป็นไปอย่างเปิดเผยไม่ได้นัดแนะกันในที่ลับ ส่วนกรณีข่าวที่ระบุว่ารัฐบาลนิการากัว แต่งตั้งให้พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นพลเมืองพิเศษนั้น เท่าที่ทราบในเร็ว ๆ นี้จะมีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวแต่ยังไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะชี้แจงในรูปแบบใด
ป้อง“นิพนธ์”ไม่มีส่วนรู้เห็น
พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการตั้งรัฐบาลแห่งชาติร่วมกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยว่า ตนไม่ทราบ แต่มั่นใจว่าเป็นไปได้ยาก ไม่ทราบว่าใครปล่อยข่าวกันอย่างไร เมื่อถามว่า มีข่าวว่าทางกลุ่มทศวรรษใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยที่จะไปจับขั้วกับพรรคเพื่อไทย พล.ต.สนั่น กล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ได้ชี้แจงให้ตนฟังในช่วงที่เจอกัน นายนิพนธ์ก็บอกว่าไม่เป็นความจริง เพราะความจริงเป็นการประชุมคณะกรรมาธิการ พอประชุมเสร็จก็รับประทานอาหารกัน จึงมีรูปถ่ายออกมา ซึ่งนายนิพนธ์ยืนยันว่าเขาไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวด้วย
พล.ต.สนั่น กล่าวอีกว่า เหตุผลที่ตนเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ยาก เพราะมันเหมือนน้ำกับน้ำมัน มันผสมกันไม่ได้ แต่การเมืองก็ต้องมีเทคนิคการเสนอข่าว หรือเสนอแง่มุมทางการเมืองออกมาอย่างนี้ตลอด เมื่อถามว่าฝ่ายค้านอาจหยิบยกประเด็นเงินบริจาคของพรรคประชาธิปัตย์ 250 ล้านบาทมาอภิปรายด้วย พล.ต.สนั่น กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดา ฝ่ายค้านก็ต้องหาจุดบกพร่องของรัฐบาลมาแฉ เท่าที่ได้ติดตามสถานการณ์คิดว่าคงยากที่เรื่องนี้จะเป็นหมัดน็อกรัฐบาลได้ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับพรรคเลย เป็นเรื่องของตัวบุคคล
“เชาวริน”ปล่อยฟ้าดินลิขิต
ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีนายนิพนธ์ ออกมาปฏิเสธว่าไม่เคยรับประทานอาหาร และไม่เคยพูดเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติว่าตนไม่เคยกินข้าวกับนายนิพนธ์และไม่เคยพูดคุยเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ แต่ยอมรับว่าได้พบกับนายนิพนธ์ล่าสุดงานเลี้ยงในโอกาสนายอิสสระ สมชัย ได้เป็น รมว.การพัฒนาสังคมฯ แต่ก็ไม่ได้มีการพูดคุยในเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ ซึ่งในวันนั้นตนยังพูดหยอกล้อเลยว่า มากินข้าวกันวันนี้นักข่าวมาด้วยไหม เดี๋ยวเขาจะมองว่าพรรคเพื่อไทยพรรคประชาธิปัตย์มากินข้าวด้วยกัน แต่อย่าลืมเรื่องนี้ หากไม่มีมูล หมามันไม่ขี้หรอก
ร.ต.ท.เชาวริน กล่าวถึงกรณีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ออกมาระบุว่าหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลรัฐบาลแห่งชาติจะเป็นรูปธรรมมากกว่านี้ว่า ตนไม่ทราบแต่โดยส่วนตัวแล้วเห็นด้วย เพราะในสภาพการณ์แบบนี้แนวทางที่จะทำให้เกิดความปรองดองในชาติ สิ่งที่ต้องทำคือต้อง ร่วมมือกับทุกฝ่าย หากยังมีรัฐบาล ฝ่ายค้าน มีเหลือง มีแดง ชาตินี้ก็คงไม่มีทางปรองดองกันได้ คนที่จะมาเป็นนักการเมืองต้องมีจิตสาธารณะ ต้องการทำงานให้ประเทศชาติและประชาชน โดยลดทิฐิแล้วมาทำงานร่วมกัน ส่วนกลุ่มคนเสื้อแดงออกมาปฏิเสธแนวคิดรัฐบาลแห่งชาติอย่างสิ้นเชิงนั้น เป็นสิทธิของเขาแต่อยากบอก
ปูดเล็งอภิปรายรถหุ้มเกราะ
ร.ต.ท.เชาวริน กล่าวอีกว่านอกจากนี้ยังมีบางคนเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการจัดซื้อรถหุ้มเกราะจากประเทศยูเครน มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งรถหุ้มเกราะดังกล่าวเป็นของสหภาพโซเวียตเดิมที่นำมาดัดแปลงใหม่ ก่อนที่จะเสนอขายกองทัพไทย ซึ่งในอนาคตเป็นที่แน่ชัดว่า รถหุ้มเกราะดังกล่าวจะไม่มีอะไหล่ เนื่องจากยูเครนซึ่งเป็นประเทศที่แตกจากสหภาพโซเวียต และโซเวียตไม่มีอะไหล่รถรุ่นนี้แล้ว
ร.ต.ท.เชาวริน กล่าวอีกว่า นอกจากนี้การซื้อรถหุ้มเกราะดังกล่าวยังผิดระเบียบกระทรวงกลาโหม สมัยที่ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร เป็น รมว.กลาโหม ที่ออกระเบียบว่า การจัดซื้ออุปกรณ์ทางทหารจากประเทศใด ไทยต้องมีข้อตกลงความร่วมมือทางทหารกับประเทศนั้น ๆ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ได้เปิดเผยออกมาจะนำมาอภิปราย รมว.กลาโหม ด้วยหรือไม่นั้น คงต้อง หารือกับที่ประชุมพรรคเพื่อไทยในวันที่ 3 มี.ค.นี้ อีกครั้ง
ถกเดือด“รสนา”หนีบสามี
ในการประชุมวุฒิสภา ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว. กรุงเทพฯ ได้ขอหารือถึงกรณีที่มีข่าวในหนังสือพิมพ์ เมื่อวันที่ 22 ก.พ.ว่า “ทีมกรรมการสอบรสนาพาสามีเข้าห้องประชุม ควงกันท่องแอฟริกาใต้ หวั่นผลสอบล่ม” เรื่องนี้ไม่ยุติธรรม เพราะที่น.ส.ทัศนา บุญทอง รองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 และในฐานะประธานกรรมการสอบสวนกรณีตนพาคนนอกเข้าห้องประชุม เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ได้นำประธานคณะกรรมาธิการสามัญคณะต่าง ๆ รวมถึงตนไปแอฟริกาใต้ มีโครงการมานานแล้ว ก่อนที่จะมีการตั้งกรรมการสอบเรื่องนี้ อยากรู้ว่า มีคนวงในคนไหนให้ข้อมูล เพราะสื่อลงข้อมูลละเอียดมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการพาดพิงกันไปมาทำให้ส.ว.ที่ถูกพาดพิงต้องลุกขึ้นชี้แจง จนนำไปสู่การโต้เถียงระหว่างกัน อย่างไรก็ดี นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 เป็นประธานการประชุมพยายามตัดบท โดยขอให้เป็นเรื่องของคณะกรรมการสอบสวนฯ แต่ น.ส.รสนา ยังยืนกรานไม่ยอมขอให้ที่ประชุมตัดสินว่าไม่เป็นความจริง ถูกสมาชิกอภิปรายใส่ร้าย พูดความเท็จ พร้อมจะเปิดเทปบันทึกภาพวันที่ 7 ต.ค.พิสูจน์ก็ได้
“ทัศนา”ยืนยันเป็นกลาง
น.ส.ทัศนา บุญทอง รองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ชี้แจงว่า คณะกรรมการฯทุกคน ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยความซื่อสัตย์ ทำใจเป็นกลาง พยายามหาความจริง ซึ่งขณะนี้การสอบปากคำจากผู้เกี่ยวข้องและหลักฐานต่าง ๆ เสร็จสิ้นก่อนตนจะนำคณะไปแอฟริกาใต้แล้ว ทั้งนี้การนำคณะไป ก็เป็นไปตามนโยบายของประธานวุฒิสภาตั้งแต่แรก และยืนยันว่าไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้ ส่วนการสอบของคณะกรรมการตอนนี้ คือการนำข้อมูลทั้งหลายมาวิเคราะห์ และอีกไม่นานก็จะได้ผลสรุป จากนั้นนายนิคม ตัดบทและ นำเข้าสู่วาระการประชุมต่อไป
ยื่นสอบตั้งปธ.บอร์ดททท.
ที่สำนักงาน กกต. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนกรณีที่นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้อนุมัติแต่งตั้งให้นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตกรรม การบริหารพรรคชาติไทยที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (บอร์ด ททท.) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 94, 95 และ 96 พร้อมนำหลักฐานเป็นสำเนาข่าวในเว็บไซต์เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2552 และ พ.ร.บ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 มาตรา 18 โดยมี พ.ต.ท.สมหมาย ธัญลักษณากุล ผอ.ฝสว.6 เป็นผู้รับเรื่อง
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า อยากให้ กกต. วินิจฉัยเพื่อให้เกิดบรรทัดฐาน ถ้าเป็นได้เราอาจ จะเชิญผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองทั้ง 111 และ 109 คน เข้ามาดำรงตำแหน่งในบอร์ดบริหาร รัฐวิสาหกิจบ้าง แต่หาก กกต.ไม่สามารถวินิจฉัยได้กกต.ก็ต้องส่งเรื่องนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
“ดร.เอ”ไม่กังวลคำตัดสิน
ส่วน พล.ต.สนั่น ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยยื่นให้ กกต.ตรวจสอบการเข้าไปดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดการท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทยของนายวีระศักดิ์ว่า สามารถยื่นให้ตรวจสอบได้ ซึ่งก็ต้องรอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินอย่างไร เพราะมันไม่มีกฎหมายห้ามไว้ ซึ่งตนไม่เป็นห่วงอะไร หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิด นายวีระศักดิ์ก็ต้องออกมาเท่านั้น ถือเป็นเรื่องดีที่ทำให้เป็นตัวอย่าง
นายวีระศักดิ์ เปิดเผยว่า ไม่กังวลกรณีที่นายสุรพงษ์ ยื่นหนังสือถึง กกต. เพื่อให้ตรวจสอบกรณี ครม.มีมติแต่งตั้งให้ตนเป็นประธาน กรรมการ ททท.ว่าตามกฎหมายแต่งตั้งได้หรือไม่ ทั้งที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี หลังศาลตัดสินยุบพรรคชาติไทย ขณะเดียวกันกลับรู้สึกภูมิใจที่มีการตรวจสอบ เพราะคิดว่าควรมีบรรทัดฐานเกี่ยวกับประเด็นนี้ ซึ่งเป็นอำนาจวินิจฉัยของ กกต. ว่าจะตัดสินอย่างไร ส่วนตอนนี้ก็ทำหน้าที่ประธานกรรมการ ททท. ไปตามปกติ และเชื่อว่า ผู้ที่ยื่นหนังสือขอให้ตรวจสอบฯไม่ได้ตั้งใจให้ร้ายใคร แต่ต้องการให้มีมาตรฐาน ในฐานะที่เป็นนัก กฎหมายคนหนึ่ง มองว่ารับตำแหน่งได้ก็รับทำ
กรีนพีซวอนอาเซียนใส่ใจ
สำหรับบรรยากาศการประชุมผู้นำอาเซียน เมื่อเวลา 08.30 น. ที่บริเวณฝั่งตรงข้ามโรงแรมดุสิตธานีหัวหิน กลุ่มกรีนพีซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้นำป้ายผ้าสีดำขนาดใหญ่ ขนาดกว้าง 10 เมตร ยาว 15 เมตร ซึ่งตรงกลางมีตัวอักษรสีเหลืองเขียนว่า “TEN NATIONS ONE VISION” ล้อมรอบโลโก้ของสมาคมประชาชาติอาเซียนที่ตรงกลางถูกคาดด้วยข้อความที่ว่า “CLIMATE ACTION NOW !” มาขึงติดไว้ที่บริเวณป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ เพื่อเรียกร้องให้อาเซียนหันมาสนใจปัญหาที่ภูมิภาคนี้กำลังเผชิญอยู่ ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งสนับสนุนการเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะเกิดขึ้นในเดือน ธ.ค.นี้ ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ตามปฏิญญาสิงคโปร์และปักกิ่งที่ได้ทำไว้
นางจินตนา แก้วขาว แกนนำกลุ่มบ่อนอก หินกรูด เปิดเผยว่า ทางกลุ่มฯจะไม่มีการมาเคลื่อนไหวชุมนุมเรียกร้องระหว่างการประชุมผู้นำอาเซียน แต่ได้มีมติว่าเราจะรอฟังผลสรุปการประชุมว่ากลุ่มประเทศอาเซียนมีมติอย่างไรบ้าง จากนั้นในวันที่ 1 มี.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. จะมีการตั้งเวทีประชาชนคู่ขนาน เพื่อ อภิปรายถึงผลการประชุมที่เกิดขึ้นและทำความเข้าใจ รวมทั้งจะมีการแจกเอกสารที่บริเวณสี่แยกบ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์
ผบ.ตร.ยันนปช.ไม่มาป่วน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ได้เดินทางมายังศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 7 ส่วนหน้า (ศปก.สน.) ภายในค่ายพระรามหก อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมการทำงานและร่วมประชุมกับตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงซึ่งประจำการอยู่ใน ศปก.สน.ที่เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในการจัดการประชุมผู้นำอาเซียนครั้งที่ 14
ภายหลังการประชุมดังกล่าว พล.ต.อ.พัชรวาท ให้สัมภาษณ์ว่า เท่าที่รับฟังการบรรยายสรุปจากทางเจ้าหน้าที่ เห็นว่าการรักษาความ ปลอดภัยตามสถานที่ต่าง ๆ การจราจร และการจัดขบวนรถของผู้นำประเทศต่าง ๆ มีความเรียบร้อยดีไม่มีปัญหา ส่วนงานการข่าวและการที่จะมีการชุมนุมนั้นไม่มีปัญหาอะไร ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการตั้งด่านสกัดอยู่ 2 จุด คงไม่มีปัญหาอะไร อีกทั้งจะยังไม่มีการปรับลดกำลังเจ้าหน้าที่ เพราะต้องถือความปลอดภัยขั้นสูงสุด แต่จากข่าวเท่าที่พูดคุยกัน ตนเข้าใจว่าแกนนำนปช.ทุกคนจะไม่มาที่นี่ ทั้งนี้ ถ้ามาจริงก็คงจะไม่ถึงขั้นที่ต้องมีการตั้งด่านสกัด เพราะเป็นสิทธิที่จะแสดงออกโดยสันติและสงบเรียบร้อยได้ตามกฎหมาย
ผู้นำอาเซียนทยอยมาถึง
สำหรับบรรยากาศการประชุมผู้นำอาเซียนครั้งที่ 14 ที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี และ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีผู้นำของประเทศอาเซียนหลายประเทศได้เดินทางมาถึงท่าอากาศยานหัวหิน โดยเมื่อเวลา 10.10 น. สมเด็จฮุนเซน นายกฯกัมพูชา เดินทางมาถึงเป็นประเทศแรก โดยมีนายธีระ สลักเพชร รมว.วัฒนธรรม เป็นผู้ต้อนรับ จากนั้นเวลา 11.30 น. ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี นายกฯมาเลเซีย มีนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รอต้อนรับ ถัดมาเวลา 12.15 น. พล.อ.เต็ง เส่ง นายกฯพม่า ได้เดินทางมาถึงโดยมีนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย รอต้อนรับ
ในช่วงบ่าย นายอภิสิทธิ์ จะหารือทวิภาคีกับ พล.อ.เต็ง เส่ง นายกฯพม่า ซึ่งคาดว่าจะหารือถึงปัญหาผู้อพยพชาวโรฮิงยาและการแสดง ความเป็นห่วงถึงประชาธิปไตยในพม่า จากนั้นในเวลา 16.00 น. จะหารือทวิภาคีกับนายอับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี นายกฯมาเลเซีย น่าจะเป็นประเด็นสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยและปัญหาแรงงาน ต่อมาในเวลา 16.35 น. จะเป็นการพบปะกับสมเด็จ ฮุนเซน นายกฯกัมพูชา คาดว่าข้อพิพาทพื้นที่ปราสาทพระวิหารจะถูกหยิบยกขึ้นมาหารือ
“บัวแก้ว”หารือไทย-มาเลย์
นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสาร นิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการหารือทวิภาคีระหว่างนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ กับ ดร.ราอิส ยาติม รมว. การต่างประเทศของมาเลเซีย ว่า เป็นการพบปะกันเป็นครั้งแรก ซึ่งได้พูดถึงการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย โดยฝ่ายมาเลเซียยืนยันว่าพร้อมให้ความร่วมมือกับไทยอย่างเต็มที่ และเห็นพ้องว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาของไทยเดินมาถูกทางแล้วด้วยการใช้แนวทางพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจ การสร้างงาน และการส่งเสริมเป็นเจ้าของกิจกรรม
นายธฤต กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ รมต.ต่างประเทศมาเลเซียเห็นว่าผู้นำของ 2 ประเทศน่าจะร่วมกันลงไปในพื้นที่ดังกล่าวให้มากขึ้น เช่น การจัดประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-มาเลเซีย ที่จะมีกำหนดวันและเวลากันอีกครั้ง และจัดให้มีการพบปะประจำปีของผู้นำไทยกับมาเลเซีย ตลอดจนการจัดกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ รวมถึงยืนยันจะร่วมมือกันในแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจของ 3 ฝ่าย (อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย) และเดินหน้าโครงการเซาเทิร์น ซี บอร์ด รวมทั้งแจ้งถึงความพร้อมของไทยในพระราชพิธีต้อนรับพระราชาธิบดีของมาเลเซีย ที่จะเสด็จฯเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล วันที่ 9-12 มี.ค.นี้
นายกฯร่วมประชุมภาคธุรกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เป็นประธานเปิดการประชุมผู้นำภาคธุรกิจและการลงทุนอาเซียน ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ พร้อมกับปาฐกถาพิเศษว่า จะดำเนินการตามเป้าหมายให้มีกฎบัตรของอาเซียน รวมทั้งการลดปัญหาอุปสรรคที่จะให้อาเซียนรวมเป็นเศรษฐกิจเดียวกัน ซึ่งจะมีความพร้อมรวมกันในปี 2558 โดยทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องมีความร่วมมือต่อเนื่อง เราไม่ควรจะย้อนไปใช้นโยบายกีดกันทางการค้าระหว่างกัน แต่ควรเน้นย้ำการเปิดการค้าเสรีในอาเซียน ขณะเดียวกันต้องหาวิธีช่วยเหลือธุรกิจในอาเซียนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กับเป้าหมายที่วางไว้
นายกฯ ยังย้ำว่า ขณะนี้สมาชิกในอาเซียนเป็นความคาดหวังที่จะช่วยให้ฟื้นจากวิกฤติเศรษฐกิจ เห็นได้จากการลงทุนระหว่างสมาชิก อาเซียนด้วยกันที่มีมูลค่ามหาศาล และสมาชิกอาเซียนตั้งเป้าหมายของการเจริญเติบโตแบบบูรณาการทั้งเรื่องการค้า การลงทุน การบริการ ที่จะทำให้มีการแข่งขันระหว่างกันมากยิ่งขึ้น แต่ส่วนตัวคิดว่ายังไม่พอและต้องการให้สมาชิกเน้นให้ความสำคัญต่อเนื่อง กับการเจรจากับประเทศ ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มอาเซียน โดยการประชุมครั้งนี้จะมีการแลกเปลี่ยนพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจที่บูรณาการที่เกิดขึ้น
พณ.ลงนามเอฟทีเอเพิ่ม
ที่โรงแรมดุสิตธานี นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนหรือ เออีเอ็ม ได้ลงนามร่วมกันในความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างอาเซียน-ออสเตรเลีย/นิวซีแลนด์ และอาเซียน-เกาหลี ซึ่งความตกลงทั้งสองดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 แล้ว โดยการร่วมมือครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญให้ไทยและอาเซียนมีศักยภาพการแข่งขันในเวทีโลกมากขึ้น เพื่อไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558
นางพรทิวา ยังได้หารือแบบทวิภาคีกับประเทศต่าง ๆ เช่น อินโดนีเซีย กัมพูชา เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเปิดเผยภายหลังว่า ได้เห็นพ้องกับอินโดนีเซีย ที่จะจัดทำข้อตกลงทางการค้าและจะลงนาม ช่วง มิ.ย.นี้ ที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยยึดกรอบความร่วมมือในลักษณะพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ เหมือนที่ไทยมีข้อตกลงร่วมกับสิงคโปร์ นอกจากนี้ ได้ตกลงความร่วมมือลงทุนหรือลดต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมรถยนต์ หรือการให้สิทธิ ประโยชน์ทางด้านภาษีระหว่างกันมากขึ้น ตลอดจนร่วมกันหาตลาดใหม่ ในอินเดีย จีน กลุ่มประเทศซีไอเอส ลาตินอเมริกา และแอฟริกา การหารือทวิภาคีกับสิงคโปร์ได้เสนอให้ภาคเอกชนทั้ง 2 ประเทศ เข้ามามีส่วนร่วมในการ หารือเวทีนี้เพื่อสร้างแนวทางการต่อสู้กับวิกฤติเศรษฐกิจโลก
1วีซ่าทัวร์อาเซียนคืบหน้า
ส่วนที่โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ได้มีการประชุมคณะมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) อย่างไม่เป็นทางการ โดยมีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ เป็นประธาน พร้อมเปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ความร่วมมือที่อาจเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในระยะต่อไป เช่น การอนุญาตให้เดินทางผ่านทุกประเทศใน อาเซียนด้วยวีซ่าเพียงใบเดียว การขนส่งสินค้าข้ามแดนได้ทันที ขณะเดียวกันไทยชี้แจงให้ทุกประเทศรับรู้ว่า รัฐบาลกำลังเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ และเตรียมแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสองออกมาเร็ว ๆ นี้ เพื่อช่วยเพิ่มอุปสงค์ในประเทศ และเร่งรัดโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ (เมกะโปรเจคท์) ทั้งระยะกลาง-ยาว เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนี้ที่ประชุมหารือถึงการผลักดันภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการประชุมอาเซียนมากขึ้น เพราะทุกฝ่ายกังวลว่าการประชุมครั้งนี้จะกลายเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทข้ามชาติเข้ามาแข่งขันธุรกิจในชาติอาเซียน พร้อมทั้งเสนอให้มีการประชุมปีละ 2 ครั้ง
แม่ค้าเซ็งปิดถนนยอดตก
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในขณะที่ทุกฝ่ายมีความตื่นตัวในการร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการ ประชุมครั้งนี้ ก็ได้มีกลุ่มคนเล็ก ๆ ซึ่งเป็นแม่ค้าในตลาดสดหัวหินแสดงอาการหงุดหงิดและ ไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้มงวดเส้นทางการจราจรและห้ามไม่ให้มีการจอดรถบริเวณริมทาง ตั้งแต่ตลาดหัวหินไปจนเกือบถึงแยกชะอำ ทำให้ประชาชนที่ต้องการออกมาจับจ่ายซื้อของไม่ได้รับความสะดวก และไม่อยากออกมาซื้อของ จึง ทำให้การค้าขายซบเซา รวมทั้งที่ตลาดไนท์บา ซาร์หัวหินซึ่งเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ บรรดาพ่อค้า แม่ค้าถึงกับบ่นเช่นกัน เพราะปกติจะมีนักท่องเที่ยวมาเดินซื้อของเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมีการประชุมกลับทำให้รายได้ลดลง
ต่อมาเมื่อเวลา 14.05 น. นายอภิสิทธิ์ ได้เดินทางโดยรถยนต์เลกซัสสีดำ ทะเบียน THA 1 มาถึงโรงแรมดุสิตธานีหัวหิน ซึ่งมีรถนำขบวนและปิดท้ายตามแบบฉบับการต้อนรับผู้นำประเทศอาเซียนที่เดินทางมาร่วมประชุม โดยเมื่อเดินทางมาถึงนายชาย พานิชพรพันธุ์ ผวจ. เพชรบุรี ให้การต้อนรับและมอบกระเช้าชมพู่ เมืองเพชรให้กับนายกฯ ทั้งนี้นายกฯได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวเพียงสั้น ๆ ว่า จากที่ดูบรรยากาศใน การเดินทางมาจนถึงสถานที่จัดการประชุมทุก อย่างก็เรียบร้อยดี
ฝรั่งถาม“มาร์ค”ฮูอาร์ยู
เมื่อเวลา 17.30 น. นายอภิสิทธิ์ แถลงว่า ตนยืนยันกับกลุ่มอาเซียนว่าการเมืองไทยมีเสถียรภาพแล้ว และสามารถผลักดันมาตรการเศรษฐกิจต่าง ๆ ได้แล้ว จึงตั้งใจว่าจะเดินทางเยือนอาเซียนให้ครบ ภายในกลางปีนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้นำอาเซียนไม่ได้แสดงความวิตกอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไทย ตนเชื่อว่าเขาได้ติดตามสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิด คงเห็นการเปลี่ยนแปลงในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีเสถียรภาพกลับเข้าสู่ระบบการเมืองไทยแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจัดงานนี้ไม่ได้ ตรงนี้เป็นคำตอบที่ชัดเจน
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ ได้ลงพื้นที่พบปะประชาชนพร้อมกับทักทายนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบริเวณตลาดโต้รุ่งหัวหิน โดยได้สอบถามถึงปัญหาเศรษฐกิจจากพ่อค้าแม่ค้า ซึ่งต่างก็บ่นให้นายกฯฟังว่าค้าขายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โดยนายอภิสิทธิ์ถูกใจเสื้อยืดที่พิมพ์ข้อความว่า “อย่ายุ่งกับกู” นอกจากนี้ระหว่างนายอภิสิทธิ์เดินทักทายประชาชนอยู่นั้น มีนักท่องเที่ยวชาวสวีเดนที่เดินอยู่บริเวณนั้น ได้สอบถามนายอภิสิทธิ์ด้วยภาษาอังกฤษ “Who are you?” หมายความว่า “คุณเป็นใคร” นายอภิสิทธิ์ยิ้มให้ก่อนตอบว่า “ผมเป็นนายกรัฐมนตรีครับ” โดยนายกฯใช้เวลานาน 30 นาที ก่อนจะเดินข้ามถนนมารับประทานอาหารค่ำที่ร้านอาหารโกทิ ร้านอาหารเก่าแก่และชื่อดังในอ.หัวหิน จากนั้นในช่วงค่ำนายกฯจะไปตรวจความพร้อมในพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ก่อนเดินทางเข้าที่พักต่อไป
ห้องพักผู้นำคืนละแสน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า 7 ผู้นำอาเซียนที่ทยอยเดินทางมาถึงเมืองไทย ประกอบด้วย ผู้นำจากกัมพูชา, มาเลเซีย, พม่า, ลาว, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และบรูไนนั้น ผู้นำในแต่ละชาติได้เข้าพักในโรงแรมระดับห้าดาวใน อ.หัว หิน ทั้งสิ้น ได้แก่ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน, แม ริออต คอนยาร์ด, เชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท, ฮิลตัน หัวหิน รีสอร์ทแอนด์สปา, ฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท รีเจนท์, ไฮแอท รีเจนท์ หัวหิน, สปริงฟิลด์ แอท ซี รีสอร์ทแอนด์สปา และโซฟิเทลเซ็นทาราแกรนด์รีสอร์ทและวิลลาหัวหิน
ทั้งนี้ สำหรับกษัตริย์ที่ได้รับการจัดอันดับว่ารวยที่สุดในโลก สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน “ฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์” ทรงดำรงตำแหน่งเป็นทั้งรมว.กลาโหม และรมว.คลังของบรูไนนั้น ทรงเข้าพักยังห้องพักรับรองที่ดีที่สุดและอยู่ในชั้นสูงที่สุดของโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน ในขณะที่สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ทรงเข้าพัก ณ ห้องคริส ตัล สวีท โรงแรมโซฟิเทลเซ็นทาราแกรนด์ รีสอร์ทและวิลลา หัวหิน ซึ่งห้องดังกล่าวราคาแพงคืนละเกือบหนึ่งแสนบาท เป็นห้องพัก สำหรับผู้นำที่มีเพียงห้องเดียว และเป็นห้องที่สามารถมองเห็นวิวทะเลกว้างของชายหาดหัวหินได้ดีที่สุดของโรงแรม
จัด“ทุเรียน”รับรองมาเลย์
ด้านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี พร้อมด้วยภริยาและคณะ ได้เข้าพักที่โรงแรมเชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท ในโอกาสนี้ แม้งานเลี้ยงอาหารมื้อค่ำที่ผู้นำมาเลเซียได้จัดขึ้นเพื่อเลี้ยงรับรองคณะผู้ติดตามจากประเทศมาเลเซีย บริเวณห้องอาหารริมทะเล จะเสิร์ฟอาหารฮาลาลสำหรับอิสลาม โดยฝีมือพ่อครัวที่บินตรงมาจากประเทศมาเลเซีย ทว่ายังมีเมนูอาหารไทยจากฝีมือพ่อครัวชาวไทยของโรงแรมเชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท ด้วย อาทิ ยำไก่, ต้มข่าไก่ใส่ใบมะขาม รวมถึงบุฟเฟ่ต์บาร์บิคิว เนื้อและซีฟู้ด
นอกจากนี้ นายดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ได้แสดงความประสงค์อยาก รับประทานทุเรียน ทำให้มีการบรรจุเป็นเมนูของหวานปิดท้ายแก่แขกจากประเทศมาเลเซียทั้งหมด พร้อมด้วยข้าวเหนียวมะม่วง อีกหนึ่งเมนูของว่างขึ้นชื่อของไทย
เผยเมนูเด็ด-ของที่ระลึก
นายวัชราวุธ วิคเตอร์ สุขเสรี ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน กล่าวว่า การ ประชุมครั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิชซัดดิน วัดเดาละห์ จากบรูไน และนายอภิสิทธิ์ พร้อมภริยา จะเข้าพักห้องเพรสซิเดนท์เชียล สวีทของโรงแรมที่ปรับปรุงใหม่ โดยได้เตรียมมอบประติมากรรมแก้วเจียระไน “ไอซ์ คริสตัล นากา” ให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้นำไทย ลาว เวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชา พม่า และสิงคโปร์ ส่วนผู้นำบรูไน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย จะได้ “ไอซ์ คริสตัล อุป”
ส่วนงานเลี้ยง “กาลา ดินเนอร์” รับรองผู้นำและคู่สมรสช่วงค่ำวันที่ 28 ก.พ. นายอภิสิทธิ์ จะต้อนรับผู้นำประเทศต่าง ๆ ที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน โดยเมนูอาหารค่ำจะดำเนินการโดยโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล มี ส้มโอ, ไก่ทอดใบเตย, ต้มยำกุ้งในมะพร้าว, แกงเขียวหวานเนื้อเครื่องเคียง, ปลานึ่งซีอิ๊ว, ปูจ๋า, ผัดผัก, ข้าว, ผลไม้, บัวลอย, หวานเย็นกระเจี๊ยบกับมะม่วงปั่น และวันที่ 1 มี.ค. ดร.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ภริยานายกฯ จะต้อนรับคณะคู่สมรสผู้นำอาเซียน คู่สมรสเลขาธิการอาเซียน คู่สมรส รมว.ต่างประเทศอาเซียน รวมถึงคู่สมรสเอกอัครราชทูตอาเซียน ณ โรงละครพระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน และ เลี้ยงอาหารกลางวัน พร้อมมอบของที่ระลึก เป็นตุ๊กตาเด็กไทยหัวจุกใส่โจงกระเบน ชื่อว่า “น้องพลอยไหม” จากร้านจิตรลดา
จัดฮ.ไอซียู4ลำบินฉุกเฉิน
ในส่วนของการเตรียมความพร้อมหากเกิดกรณีฉุกเฉิน ทางสำนักงานการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้มีการจัดเตรียมเฮลิคอปเตอร์ไว้ 4 ลำ โดยเรียกว่า “SKY ICU” เพื่อดูแลสุขภาพของผู้นำอาเซียน ในกรณีฉุกเฉินสามารถนำส่งโรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลกรุงเทพฯ ภายใน 40 นาที ทั้งนี้เฮลิคอปเตอร์ทั้ง 4 ลำ ได้กระจายอยู่ตามจุดสำคัญต่าง ๆ คือ บริเวณสนามหน้าโรงแรมดุสิตธานีหัวหิน ซึ่งเป็นสถานที่จัดการประชุม โดยจัดเฮลิคอปเตอร์จากศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นรุ่น อีซี-145 ยูโรคอปเตอร์ ภายในติดตั้งอุปกรณ์และ เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย โดยอุปกรณ์ดังกล่าวจะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้เช่นเดียวกับในห้องไอซียู ทั้งผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือผู้ป่วยที่มีอาการทางสมอง โดยภายในจะมีแพทย์ประจำอยู่ 2 คน พยาบาล 1 คน
ทั้งนี้เฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวมีมูลค่า 260 ล้านบาท ติดตั้งอุปกรณ์และเครื่องมือ ทางการแพทย์ มูลค่า 30 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเฮลิคอปเตอร์อีก 3 ลำ จะไปจอดที่ค่ายนเรศวร โรงพยาบาลหัวหิน และที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ.
มนุษยชนยี้อาเซียนตั้งองค์กรเสือกระดาษ
ที่มา ไทยรัฐ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนวันแรก ที่โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 27 ก.พ. โดยกลุ่ม รมว.ต่างประเทศหารือเรื่องแผนการก่อตั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียนให้เสร็จภายในสิ้นปี ส่วน รมว.พาณิชย์หารือในหัวข้อเศรษฐกิจว่าด้วยการพัฒนาระบบการค้าเสรีภายใน 6 ปีข้างหน้า ให้คล้ายคลึงกับของสหภาพยุโรปมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนชี้ว่าการจัดตั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียนอาจไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะหากประเทศต่างๆโดยเฉพาะพม่าไม่ยอมทำตาม ก็ไม่มีใครบีบบังคับได้ อีกทั้งประเทศสมาชิกก็ไม่ยอมเปลี่ยนกฎบัตรอาเซียนที่ว่าด้วยการห้ามแทรกแซงกิจการ ภายในของชาติสมาชิก แต่ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ระบุว่าการหารือด้านแผนตั้งองค์กรสิทธิ มนุษยชนครั้งนี้ถือเป็นนอกรอบ ส่วนการหารืออย่าง เป็นทางการจะมีขึ้นที่อินโดนีเซีย ในวันที่ 14-15 เม.ย.
ขณะเดียวกัน การประชุมเรื่องเศรษฐกิจก็ยังไม่ลงตัว เนื่องจากนายกรัฐมนตรี อับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวี แห่งมาเลเซีย ระบุว่ามาเลเซียอาจนำนโยบาย “บาย มาเลเซีย” ซึ่งถูกมองว่าเป็นการกีดกันทางการค้ามาใช้ เพราะในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ใครๆก็ต้องปกป้องประเทศของตัวเอง ขณะที่ผู้นำอินโดนีเซียก็มีท่าที เช่นเดียวกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรี ลี เซียน หลุง แห่งสิงคโปร์ กล่าวว่า หากชาติอาเซียนใช้มาตรการปกป้องและกีดกันทางการค้าอาจทำให้อาเซียนไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในปี 2558 ดังนั้น สิ่งที่ควรทำคือการเปิดระบบการค้าเสรีมากกว่า
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวเสริมในกรณีนี้ว่า ไม่ควรใช้แผนดังกล่าว และประเทศสมาชิกควรมีความเชื่อมั่นในการค้าเสรีที่ยุติธรรม อันเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนมาตลอด อย่างไรก็ตาม รมว.พาณิชย์ มารี ปินเกสตู แห่งอินโดนีเซีย ระบุว่าการสนับสนุนให้คนซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศมิใช่การกีดกันทางการค้า อีกทั้งการกระทำดังกล่าวก็ไม่ผิดกฎการค้า นานาชาติด้วย สิ่งเดียวที่อินโดนีเซียกีดกันคือ เหล็กและปูนซีเมนต์ แต่ก็หมายความว่าผู้ผลิตในประเทศห้าม ขายแพงกว่าราคานำเข้าเกิน 15 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ เหล่า รมว.ต่างประเทศของกลุ่มประเทศสมาชิกเห็นพ้องกันว่าการเพิ่มเงินทุนสำรองฉุกเฉินอาเซียนจาก 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 120,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจนั้นเป็นเรื่องที่เร่งด่วนมาก แต่ทั้งนี้ คาดว่าแผนดังกล่าว จะร่างเสร็จทันก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ใน 10-12 เม.ย.
ภารกิจคนเสื้อแดงที่หัวหินลุล่วง สื่อต่างชาติตีข่าวคนเสื้อแดงเรียกร้องปชต.ที่สมบูรณ์
ที่มา Thai E-News
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
28 กุมภาพันธ์ 2552
มีรายงานสองชิ้นจากสมาชิกเว็บบอร์ดประชาไทถึงการไปทำกิจกรรมของกลุ่มคนเสื้อแดงในนาม "Red For True Democracy" วันนี้ (28 ก.พ.) เพื่อต้องการเรียกร้องให้มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ โดยมีผู้สื่อข่าวต่างชาติจำนวนหนึ่งที่สนใจได้ไปทำข่าว และตีข่าวเปิดเผยไปทั่วโลก
รายงานกิจกรรมหัวหิน กลุ่ม Red For True Democracy
มีผู้ไปร่วมครั้งแรกราวห้าสิบคนที่ร้านสเวนเซ่น มีนักข่าวต่างประเทศอีกจำนวนหนึ่งจากสี่ห้าสำนักข่าว และมีทูตทหารจากประเทศมหาอำนาจท่านหนึ่งกับนายทหารประชาธิปไตยยศนายพันนายพลสองคนไปให้กำลังใจในคืนก่อนหน้านี้ ช่องสามไปสัมภาษณ์ออกรายการสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ด้วย หลังจากนั้นก็มีแม่ค้าสองสามคนและพวกทหารหมวกแดงสองสามคนมากล่าวอัปลักษณ์วาจาเล็กน้อย แต่กลุ่มที่ไปซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีการศึกษาระดับปริญญาโทและเอกไม่ได้สนใจตอบโต้ คงเสวนาพูดคุยกันตามปกติ
ตามกำหนดการจะมีการแถลงข่าวอีกครั้งตอนบ่ายโมงที่แถวโรงแรมดุสิตรีสอร์ท แต่สายข่าวทหารแจ้งมาว่าพวกเหลืองมันกำลังจะยกขบวนไปต้านที่โรงแรมจึงยกเลิก ขบวนรถออกจากหัวหินแยกย้ายกันไปโดยไม่ได้มีการใช้กำลังกับใคร อย่างไรก็ตามมีเสื้อแดงอีกสองกลุ่มกระจายกันไปแสดงเจตนารมณ์และไม่ทราบข่าวว่ามีการปะทะอะไรกับพวกขี้ข้าโจรบ้างหรือไม่? ท่านใดมีรายงานช่วยแจ้งกันด้วยครับ เพราะมีการปล่อยข่าวไปรอบ ๆ เช่น แถวชะอำที่มีคนเสื้อแดงไปพักกันเยอะ เพราะค่าโรงแรมถูกกว่าหัวหิน เพื่อสกัดจำนวนคนว่า มีการตีกันบ้างอะไรบ้าง เพื่อให้คนมีรถมีราและฐานะชาวเสื้อแดงบางคนที่รักสงบแต่อยากไปร่วมต้องเช็คข่าวกับพรรคพวกกันให้วุ่น
เป้าหมายบรรลุเพราะมีข่าวออกทีวี และยังได้ใจตรงที่ข่าวสัมภาษณ์น่าจะออกไปตามสื่อนานาชาติโดยสำนักข่าวที่ไปร่วมว่าคนไทยไม่ถือว่านายมาร์กเป็นตัวแทนของคนไทย ไอ้หุ่นเชิดขันทีเผด็จการศักดินาอำมาตย์ตัวนี้ได้ตำแหน่งมาจากการฉ้อฉลเพราะมีการสัมภาษณ์เสื้อแดงหลายคนเป็นภาษาปะกิดด้วย
ด้านคุณลูกชาวนาไทย ซึ่งได้ไปร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมดังกล่าวก็ได้เปิดเผยผ่านเว็บบอร์ดประชาไท โดยมีรายละเอียดซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่สื่อมวลชนหลักนำเสนอ ดังต่อไปนี้
เที่ยวหัวหินครั้งนี้ บรรลุเป้าหมายโดยสมบูรณ์ สามารถสื่อสารไปยังชาวโลกได้ตามเป้า
คือ อย่าไปเชื่อสื่อไทยเลย
ผมไปเที่ยวหัวหินครั้งนี้ เพราะอากาศมันร้อน ก็เลยบ่นดังๆ ให้คนในเว็บทราบ มีเพื่อนๆไปกันประมาณ 30 คน โดยพกเสื้อแดงใส่กระเป๋าไป เพราะมีข่าวว่าตำรวจจะตรวจเข้ม
แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ผิดหวัง ไม่มีด่านตรวจสักแห่งเดียว ที่จริงตรวจไปก็คงไม่มีประโยชน์อันใด เพราะพวกเราไม่ได้นัดหมายอะไรกันมากมายนัก เอารถส่วนตัวกันไปเอง (ไม่มีรถตู้ตามที่มติชนลงข่าว) ไปถึงจอดรถที่โรงเรียนเทศบาลหัวหิน มีเพื่อนบางคนนั่งรถไฟไป
จุดนัดพบคือ ร้านสเวนเซ่น แต่ผมจำไม่ได้ว่าอยู่ตรงไหน เพราะผมไม่ค่อยสนใจนักไปถึงก็โทรหาเพื่อนเอาว่าไปเจอกันที่ไหน ก็ไปพบกันที่ร้านสตาร์บัค พอดี มีกลุ่มประท้วงของพม่า ประมาณ 3-4 คน ประท้วงและสำนักข่าวต่างๆ ทำข่าวอยู่บริเวณหอนาฬิกา สักสิบโมงครึ่ง คนก็พร้อม โปสเตอร์ที่เตรียมไปก็พร้อม (คนที่ทำไม่ได้ไปเพราะติดธุระ) แถลงการณ์เราก็พร้อมอยู่แล้ว
เมื่อได้เวลา เราก็จัดคนถือป้าย ภาษาอังกฤษอย่างดี ไปยืนประท้วงต่อจากคนพม่า แต่เราอุปกรณ์ป้ายพร้อมกว่า (คือพม่าไม่มีป้าย) นักข่าวก็เลยมาสนใจพวกเรา ดร. สวยสวยของเราก็อ่านแถลงการณ์ เป็นภาษาอังกฤษ (ในกลุ่มที่ไปมี ดร. 2-3 คน จากสองสาม มหาวิทยาลัย) มีการให้สัมภาษณ์นักข่าว บีบีซี และสำนักข่าวต่างๆ ที่ไปทำข่าวประมาณ 15 สำนักข่าว
สัก 11โมง เราก็บรรลุเป้าหมายที่เราต้องการสื่อ ทางกลุ่ม ซึ่งไม่มีแกนนำ เราใช้วิธีเจรจาเอาว่าจะทำอะไรต่อ ก็มีบางคนเสนอว่าควรไปยกป้ายต่อที่ หน้าโรงแรมดุสิต รีสอร์ท แต่ก็คิดว่า ตำรวจอาจสะกัด ก็เลยให้แยกๆ กันไปทำ หากไปได้ก็ไป ไปไม่ได้ก็กลับ เพราะตรงนั้นไม่มีความหมายอะไรมากนักแล้ว เพราะเรา บรรลุเป้าหมาย คือ อ่านแถลงการณ์และยกป้ายให้สื่อต่างชาติ บันทึกเรียบร้อย และให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติไปแล้ว
คุยเสร็จก็มีคนนึกได้ว่า เรานัดคนอื่นๆ ไว้ที่ ร้านสเวนเซ่น อาจมีคนไปรอ เราก็เลยพากันไปนั่งกินไอติม และคุยกันที่ร้านนั้น ตรงนั้นแหละได้เรื่อง คาดว่า พธม. ที่เอาข้อความเราไปโพสต์ที่พันทิป และคิดว่า เราไปร่วมพลที่นั่นก่อนเคลื่อนไหวต่อไป ก็เลยมีพวกกลุ่ม พธม. มาดูเชิงที่ร้านสองสามคน เพื่อนๆ เราที่มีประสบการณ์ก็บอกว่า พวกเราควรสลายตัวแยกย้ายกันไปได้แล้ว เพราะเขาบอกว่าพวก พธม. มีเครือข่าย อีกไม่นานพวกนี้ก็จะมากันเต็ม
พอออกมาจากร้าน พวก นั้นก็พากันตะโกนด่า เราก็เลยเดินไปขึ้นรถ เพราะเราไม่สนใจพวกนั้นอยู่แล้ว ป่วยการที่จะไปตอบโต้ เพราะภารกิจเราเสร็จแล้ว ก่อนขึ้นรถ พวกนี้ก็มาตะโกนด่าที่ลานจอดรถอีก ตอนนี้รู้สึกจะมากกว่า เดิม รวมตัวกันได้เร็วจริงๆ ก็อย่างว่า เมืองหลวงของพวกเขานี่
พวกเราก็ไปที่หน้าโรงแรม แต่คนยังไม่ครบ ยังไม่ได้ทันยกป้าย ตำรวจก็บอกว่าพวก พธม. กำลังมา เพื่อนๆ เราที่รออยู่ที่ใกล้ๆ โรงแรมดุสิต ก็เลยโทรบอกว่า ไม่ต้องไปแล้ว เราก็เลยกลับ เพราะที่จริง ตรงนั้นก็ไม่สำคัญอะไรแล้ว มาแวะกินข้าวที่ลานหอยหลอด ลมทะเลเย็นดี แต่คืนนี้ ทั้งหัวหินคงนอนไม่สงบ เพราะไม่รู้ว่ากลุ่มใดจะไปอีก ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเสื้อแดง เป็นเครือข่าย ไม่ได้ขึ้นตรงต่อแกนนำ
รอยเตอร์ยันข่าวทักษิณยกเลิกปาฐกถาเศรษฐกิจที่ฮ่องกงแน่ โทษรบ.ไทยโอเวอร์รีแอ๊ค
ที่มา Thai E-News
ทีมข่าวไทยอีนิวส์
28 กุมภาพันธ์ 2552
ผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ นายนพพร วงศ์อนันต์ เปิดเผยว่าตนเองได้พูดคุยกับอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ด้วยตนเอง โดยทักษิณได้กล่าวว่าตนขอยกเลิกการปาฐกถาเพราะไม่ต้องการให้มีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องกงและจีน
"ผมตัดสินใจที่จะไม่กล่าวปาฐกถาเพราะว่าผมไม่ต้องการให้การปรากฏตัวของผมกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ"
"ผมรู้สึกรำคาญเสียงจากรัฐบาลมาก ดังนั้นผมจึงคิดว่ามันคงจะดีกว่าที่ผมไม่ไป"
ในรายงานข่าวดังกล่าวยังเปิดเผยว่าคุณทักษิณพูดว่า ทางรัฐบาลไม่ควรจะแสดงตนเกินกว่าเหตุต่อการปาฐกถาของเขา ซึ่งจะเน้นไปที่คำแนะนำในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระดับโลก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเทศไทย
สู้..สุดชีวิต..สุดจิตใจ
ที่มา thaifreenews
เที่ยวหัวหินครั้งนี้ บรรลุเป้าหมายโดยสมบูรณ์ สามารถสื่อสารไปยังชาวโลกได้ตามเป้า
ที่มา thaifreenews
บทความโดย...ลูกชาวนาไทย
ผมไปเที่ยวหัวหินครั้งนี้ เพราะอากาศมันร้อน ก็เลยบ่นดังๆ ให้คนในเว็บทราบ มีเพื่อนๆไปกันประมาณ 30 คน โดยพกเสือแดงใส่กระเป้าไป เพราะมีข่าวว่าตำรวจจะตรวจเข็ม
แต่เอา เข้าจริงๆ ก็ผิดหวัง ไม่มีด่านตรวจสักแห่งเดียว ที่จริงตรวจไปก็คงไม่มีประโยชน์อันใด เพราะพวกเราไม่ได้นัดหมายอะไรกันมากมายนัก เอารถส่วนตัวกันไปเอง (ไม่มีรถตู้ตามที่มติชนลงข่าว) ไปถึงจอดรถที่โรงเรียนเทศบาลหัวหิน มีเพื่อนบางคนนั่งรถไฟไป
จุดนัดพบคือ ร้านสเวนเซ่น แต่ผมจำไม่ได้ว่าอยู่ตรงไหน เพราะผมไม่ค่อยสนใจนักไปถึงก็โทรหาเพื่อนเอาว่าไปเจอกันที่ไหน ก็ไปพบกันที่ร้านสตาร์บัค พอดี มีกลุ่มประท้วงของพม่า ประมาณ 3-4 คน ประท้วงและสำนักข่าวต่างๆ ทำข่าวอยู่บริเวณหอนาฬิกา สักสิบโมงครึ่ง คนก็พร้อม โปสเตอร์ที่เตรียมไปก็พร้อม (คนที่ทำไม่ได้ไปเพราะติดธุระ) แถลงการณ์เราก็พร้อมอยู่แล้ว
เมื่อได้เวลา เราก็จัดคนถือป้าย ภาษาอังกฤษอย่างดี ไปยืนประท้วงต่อจากคนพม่า แต่เราอุปกรณ์ป้ายพร้อมกว่า (คือพม่าไม่มีป้าย) นักข่าวก็เลยมาสนใจพวกเรา ดร. สวยสวยของเราก็อ่านแถลงการณ์ เป็นภาษาอังกฤษ (ในกลุ่มที่ไปมี ดร. 2-3 คน จากสองสาม มหาวิทยาลัย) มีการให้สัมภาษณ์นักข่าว บีบีซี และสำนักข่าวต่างๆ ที่ไปทำข่าวประมาณ 15 สำนักข่าว
สัก 11โมง เราก็บรรลุเป้าหมายที่เราต้องการสื่อ ทางกลุ่ม ซึ่งไม่มีแกนนำ เราใช้วิธีเจรจาเอาว่าจะทำอะไรต่อ
ก็ มีบางคนเสนอว่าควรไปยกป้ายต่อที่ หน้าโรงแรมดุสิต รีสอร์ท แต่ก็คิดว่า ตำรวจอาจสะกัด ก็เลยให้แยกๆ กันไปทำ หากไปได้ก็ไป ไปไม่ได้ก็กลับ เพราะตรงนั้นไม่มีความหมายอะไรมากนักแล้ว เพราะเรา บรรลุเป้าหมาย คือ อ่านแถลงการณ์และยกป้ายให้สื่อต่างชาติ บันทึกเรียบร้อย และให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติไปแล้ว
คุยเสร็จก็มีคนนึกได้ว่า เรานัดคนอื่นๆ ไว้ที่ ร้านสเวนเซ่น อาจมีคนไปรอ เราก็เลยพากันไปนั่งกินไอติม และคุยกันที่ร้านนั้น
ตรง นั้นแหละได้เรื่อง คาดว่า พธม. ที่เอาข้อความเราไปโพสต์ที่พันทิป และคิดว่า เราไปร่วมพลที่นั่นก่อนเคลื่อนไหวต่อไป ก็เลยมีพวกกลุ่ม พธม. มาดูเชิงที่ร้านสองสามคน เพื่อนๆ เราที่มีประสบการณ์ก็บอกว่า พวกเราควรสลายตัวแยกย้ายกันไปได้แล้ว เพราะเขาบอกว่าพวก พธม. มีเครือข่าย อีกไม่นานพวกนี้ก็จะมากันเต็ม
พอออกมาจากร้าน พวก นั้นก็พากันตะโกนด่า เราก็เลยเดินไปขึ้นรถ เพราะเราไม่สนใจพวกนั้นอยู่แล้ว ป่วยการที่จะไปตอบโต้ เพราะภารกิจเราเสร็จแล้ว
ก่อนขึ้นรถ พวกนี้ก็มาตะโกนด่าที่ลานจอดรถอีก ตอนนี้รู้สึกจะมากกว่า เดิม รวมตัวกันได้เร็วจริงๆ ก็อย่างว่า เมืองหลวงของพวกเขานี่
พวก เราก็ไปที่หน้าโรงแรม แต่คนยังไม่ครบ ยังไม่ได้ทันยกป้าย ตำรวจก็บอกว่าพวก พธม. กำลังมา เพื่อนๆ เราที่รออยู่ที่ใกล้ๆ โรงแรมดุสิต ก็เลยโทรบอกว่า ไม่ต้องไปแล้ว เราก็เลยกลับ เพราะที่จริง ตรงนั้นก็ไม่สำคัญอะไรแล้ว
มาแวะกินข้าวที่ลานหอยหลอด ลมทะเลเย็นดี
แต่ คืนนี้ ทั้งหัวหินคงนอนไม่สงบ เพราะไม่รู้ว่ากลุ่มใดจะไปอีก ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเสื้อแดง เป็นเครือข่าย ไม่ได้ขึ้นตรงต่อแกนนำ
งามสง่าอย่างอารยะ
ที่มา thaifreenews
งามสง่าแห่งอารยะ
ธุรกิจไร้สีในม็อบแดง ไอติมผ้าเย็นขายดี
ที่มา ไทยรัฐ
ท่ามกลางบรรยากาศร้อนระอุกลางม็อบเสื้อแดง เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ รถเข็นไอศกรีมตักคันเล็กถูกห้อมล้อมไปด้วยลูกค้าสวมเสื้อแดง
“ม็อบคนเยอะ วันแรกที่มาชุมนุม...แป๊บเดียวก็เกลี้ยงถัง กลับบ้านตั้งแต่ 5 โมงกว่าๆ”
อำนาจ สุริโย อายุ 38 ปี สวมเสื้อสีเทา เจ้าของรถเข็น ว่า
อำนาจออกมาจากโรงงานไอศกรีมตลาดมหานาค 7 โมงเช้า เข็นมาเรื่อยๆ พอขายได้ประปราย มาถึงกำแพงทำเนียบรัฐบาลราว 4 โมงเช้า คนยังไม่เยอะ ก็รอดูสถานการณ์ไปพลางก่อน...ไม่นานนักก็ปักหลักขายอยู่ริมสะพานชมัยมรุเชฐ
“โดนเหมาอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องเข็นไปไหนเลย” อำนาจ ว่า “คนมุงแบบตักไม่ทัน หลายคนก็เหมาเอาไปแจกกันในกลุ่มที่มาชุมนุม”
ไม่ถึงสองชั่วโมงไอติมในถังก็หมด ไม่คิดว่าจะขายดีขนาดนี้ ตอนแรกก็ตัดสินใจมาขายไปอย่างนั้น เป็นประสบการณ์ประทับใจในวงม็อบที่รู้สึกติดใจ
ผ่านมาวันที่สอง อำนาจยังรู้สึกดีใจไม่หาย ก็เข็นมาขายอีก มาถึงเวลาเดิมเป๊ะๆ บ่ายสองโมง ชะโงกหน้าดูถังไอศกรีมเกือบจะหมดแล้ว คงเหลือไม่ถึง 10 ถ้วย
อำนาจ บอกว่า ถ้าเป็นวันปกติจะเข็นขายอยู่แถวตลาดสี่ย่าน กว่าจะหมดก็ทุ่ม...สองทุ่ม ถึงบ้านเกือบสามทุ่ม วันไหนลูกค้าน้อย 6 โมงเย็นก็เตรียมเก็บของกลับบ้านแล้ว
ไอศกรีมตักของอำนาจ สนนราคาถ้วยละ 10 บาท จะใส่เครื่อง ไม่ใส่เครื่อง ใส่นม ใส่ถั่ว ก็ขายราคานี้ราคาเดียว
แต่ละวันขายหมดถังเดียวก็เลิก ได้เงิน 1,400 บาท เหลือกำไร 500-600 บาท
กำไรที่ได้ นอกจากเก็บเป็นค่ากินค่าใช้แล้ว ยังต้องเก็บไว้จ่ายค่าเช่าที่พักในโรงงาน วันละ 10 บาท
“ต้นทุนไอติมถังละ 750 บาท วันไหนขายเหลือ ก็เป็นของเราทั้งหมด เรามีหน้าที่ขายให้หมด เพื่อให้คืนทั้งทุน...ได้ทั้งกำไร”
ถามถึงบรรยากาศขายไอศกรีมในม็อบเสื้อเหลือง อำนาจบอกว่า ไม่ได้มาขาย เพราะยังทำนาอยู่ที่ร้อยเอ็ด
อำนาจจึงได้ชื่อว่าเป็นน้องใหม่ เพิ่งเข้าวงการขายของในม็อบเมื่อตอนเสร็จหน้านาเดือน 9...เดือน 10 ปีที่แล้วนี่เอง
เหตุผลที่เลือกขายไอศกรีม? อำนาจไม่อายที่จะบอกว่า เพราะความรู้น้อย จะหันหน้าไปทำอาชีพอื่นก็ลำบาก
“ทางเลือกมีน้อยเหลือเกิน คิดว่าอากาศร้อนๆอย่างนี้ ยังไงไอติม ก็คงขายพอได้”
บรรยากาศม็อบ การเมืองร้อนแรง อำนาจบอกว่า ไม่ได้ติดตามเท่าไหร่นัก...
ที่พักในโรงงานไอศกรีมก็ไม่มีทีวีให้ดู จะซื้อหนังสือพิมพ์อ่านก็เอาเงินไปกินข้าวดีกว่า
ถึงจะไม่มีความรู้วิเคราะห์เจาะลึกการเมืองได้ แต่พื้นฐานความรู้สึกของอำนาจก็ไม่อยากให้มีม็อบ
“ผมความรู้น้อย...แต่ก็รู้ว่าประเทศที่มีม็อบ จะทำให้อนาคตย่ำแย่” อำนาจ ย้ำเน้นน้ำเสียงว่า “ถึงวันนี้สถานการณ์เฉพาะหน้าจะขายของได้คล่องมือ แต่ในวันหน้าก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรร้ายๆตามมาบ้าง”
กำลังคุยกับอำนาจเจ้าของร้านไอศกรีมรถเข็น นม โพธิ อายุ 52 ปี สวมเสื้อสีแดง ก็เดินฝ่ากลุ่มม็อบเข้ามาเร่ขายหนังสือพิมพ์ พร้อมประโยคนำ “หนังสือพิมพ์มาแล้วครับ...”
นม เร่ขายหนังสือพิมพ์มาตั้งแต่ปี 2518 และยึดอาชีพนี้อาชีพเดียว โดยมีพื้นที่เป้าหมายหลักอยู่ตามสี่แยก เรียกว่า...มีรถติดที่ไหนก็ไปขายที่นั่น
สำหรับตลาดเร่ตามม็อบ ถือเป็นงานขายเฉพาะกิจ คนเยอะอย่างนี้แน่นอนว่าลูกค้าก็เยอะตามไปด้วย
แต่ละวันในม็อบ หนังสือพิมพ์เป็นอีกอาชีพที่มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ นมบอกว่า ขายได้ไม่ต่ำกว่า 200300 ฉบับ...ได้กำไร 300-400 บาท
ไม่ว่าจะม็อบเสื้อเหลือง...ม็อบเสื้อแดงไม่เคยขาด แต่ที่ประหวั่นใจอยู่บ้างก็ช่วงม็อบเสื้อเหลือง บังเอิญว่านมเอาหนังสือพิมพ์หัวหนึ่ง ฉบับเชียร์ฝ่ายตรงข้ามไปขายด้วย ก็เลยโดนทำร้าย ถูกตบเข้าที่หน้า
“ไม่รู้ว่าเขาไม่ชอบ แต่เราก็เอาไปขายทุกยี่ห้อ”
เมื่อเป็นอย่างนี้ ทรรศนะของนมความต่างระหว่างม็อบเสื้อเหลือง เสื้อแดงคือหัวใจที่เปิดกว้าง... “ม็อบเสื้อแดงขายง่ายกว่า เพราะไม่รุนแรง ไม่สนใจว่าเราจะขายหนังสือหัวไหนที่เขาไม่ชอบ...”
เสียงนมตะโกนหนังสือพิมพ์มาแล้ว ไปไกลแล้ว...สายตาก็ต้องไปหยุดอยู่กับสมาชิกม็อบเสื้อแดงนับสิบคนที่กำลังมุงอยู่กับถังใส่น้ำแข็งแช่ผ้าเย็น
“นอกจากมารับจ้างวิ่งวินแล้ว ยังขายผ้าเย็นเป็นรายได้เสริม”
สมเจต โหมดไทย อายุ 38 ปี เจ้าของธุรกิจขายผ้าเย็นกลางม็อบ ในชุดเสื้อวินมอเตอร์ไซค์ บอก
สมเจตรายงานยอดขายว่า เมื่อวานสุดยอด...ขายได้ 100 กว่าผืน ผ้าเย็นผืนบางผืนละ 10 บาท...ถ้าเป็นผืนหนา ผืนละ 15 บาท
กำไรเฉลี่ยอยู่ที่ผืนละ 5 บาท
สำหรับรายได้จากวินเฉพาะกิจ อยู่ที่วันละ 200-300 บาท ลูกค้าทั้งหมดมาจากม็อบ บางคนก็เป็นตำรวจ เรียกให้ไปส่งที่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ไปอาบน้ำอาบท่า
ปกติสมเจตจะยึดอาชีพมอเตอร์ไซค์รับจ้าง อยู่ที่วินหน้าคุรุสภา แต่เมื่อมีม็อบล้อมทำเนียบ ก็ย้ายมาปักหลักรับผู้โดยสารริมกำแพงสำนักงาน ก.พ.
อาชีพเสริมสำหรับรับลูกค้าม็อบเสื้อแดงในช่วงเวลาที่อากาศแสนจะร้อนระอุขนาดนี้ นอกจากน้ำ ของเย็น คงไม่มีอะไรดีไปกว่าผ้าเย็น
ม็อบวันแรก...เริ่มตัดสินใจตอน 10 โมงเช้า ลงทุน 400-500 บาทเป็นค่าผ้าเย็น...ค่าน้ำแข็ง ส่วนกระติกใบโตที่เห็นแช่ผ้าเย็นอยู่นั้นเอามาจากบ้าน ไม่ได้ซื้อ
“ขายผ้าเย็น ถึงจะลงทุนพอสมควร แต่ขายไม่หมดเก็บไว้ขายต่อวันพรุ่งนี้ได้ ผ้าเย็นไม่บูดเน่า”
กว่าร้านผ้าเย็นจะพร้อมขาย กินเวลาเกือบบ่ายโมง ไม่น่าเชื่อว่า ผลตอบรับดีเกินคาด ไม่ถึงบ่ายสามโมงก็ขายหมดเกลี้ยง
“กำไรจากผ้าเย็น สี่...ห้าร้อยบาท บวกกับวิ่งวินอีก สามร้อย วันนั้นวันเดียวเหลือเงินกลับบ้านเกือบพันบาท”
สมเจตมีครอบครัวแล้ว มีลูก 2 คน ที่ต้องดูแล แม้ว่าภรรยาจะเปิดร้านขายของพอจะมีรายได้ทุกวัน แต่รายจ่ายยุคเศรษฐกิจอย่างนี้ก็ทำให้รู้สึกหนักใจ
“จะใช้เงินแต่ละบาท...แต่ละสตางค์ ต้องประหยัด...ประหยัดเท่านั้นที่จะรอดไปได้” สมเจต ว่า “ถ้าถามว่าอยากให้เมืองไทยมีม็อบหรือเปล่า...เป็นเรื่อง พูดยาก ถ้าไม่มีม็อบแล้ว ก็คงต้องกลับไปปักหลักวิ่งวินหน้าคุรุสภามีรายได้ ไม่เกินวันละ 300 บาทเหมือนเดิม”
ห่างสมเจตไม่ถึงครึ่งเมตร โกมินทร์ จิตสุภาพ อายุ 29 ปี พนักงานขับรถสิ่งสินค้าเครื่องนอน Lotus เป็นอีกคนที่ใช้เวลาว่างจากงานประจำมาวิ่งวินเฉพาะกิจ
โกมินทร์ บอกว่า ปกติทำงานประจำเงินเดือน 9,000 บาท รวมเบี้ยเลี้ยง...ค่าเที่ยวก็อยู่ที่หลักหมื่นต้นๆ หน้าที่หลักคือขับรถส่งของกระจายสินค้าตามสาขาห้างบิ๊กซี
ค่าเที่ยวที่ว่าคือค่าเที่ยวที่วิ่งส่งสินค้า เที่ยวแรก 30 บาท...เที่ยวสอง 40 บาท... เที่ยวที่สาม 50 บาท...เที่ยวที่สี่ 60 บาท...70 บาท...80 บาท ไล่ไปเรื่อยๆ
“ปลายปีที่แล้วถึงต้นปียังพอได้วิ่ง สาม...สี่เที่ยว แต่ช่วงนี้ไม่มีเข้ามาเลย”
อาชีพหลักไม่มีงานให้วิ่ง แต่อาชีพเสริมทำให้ยิ้มออก
“วันแรกที่ม็อบล้อมทำเนียบ วิ่งวินยังไม่ถึงสี่ชั่วโมง...ได้เงินแล้วเกือบ สี่ร้อยบาท วันที่สองมาวิ่งอีก ไม่ถึงสามชั่วโมงได้เงินกว่าสามร้อย”
อากาศร้อนๆอย่างนี้ ช่วงเที่ยง...บ่ายพอจะมีคนเรียกใช้บริการบ้าง แต่ถ้าเป็นช่วงเย็นคนจะเยอะ รถยิ่งติดมาก...มอเตอร์ไซค์จะเป็นตัวเลือกสำคัญ
อยู่ในวงม็อบอย่างนี้ ต้องถามเรื่องการเมืองสักหน่อย โกมินทร์ บอกว่า สนใจการเมืองมาก สนใจทั้งสองขั้ว...สองสีแหละครับ
“แต่ละฝ่าย มีเหตุผลที่ดี...ฝั่งนี้ก็บอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ฝั่งโน้น ก็บอกว่าสู้เพื่อโน่นเพื่อนี่...สู้เพื่อประเทศชาติ คนกลางอย่างเราฟังแล้วก็สับสน”
หากจะสรุปสั้นๆง่ายๆ โกมินทร์ทิ้งท้ายว่า ไม่อยากให้มีม็อบ ไม่ว่าสีไหนทั้งนั้น...อยากให้มันจบๆไป อย่าให้เกิดความวุ่ยวายในบ้านเมืองเป็นดีที่สุด.