WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, April 9, 2011

“เสื้อแดง”เปิดโรงเรียน“นปช.”อบรมแกนนำทั่ว ปท. เป้าหมายปรับโครงสร้าง กำหนดยุทธวิธีต่อสู้เพื่อ ปชต.

ที่มา มติชน

ที่อิมพีเรียล ลาดพร้าว เมื่อวันที่ 9 เมษายน กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้จัดกิจกรรมการเปิดโรงเรียนผู้ปฏิบัติงานระดับกรรมการจังหวัดทั่วประเทศของ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน วันที่ 9-10 เมษายนนี้ โดยนายนิสิต สินธุไพร ผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นผู้กล่าวเปิดงาน ว่า กว่า 1 ปีที่ นปช.ได้ปฏิบัติการอย่างห้าวหาญ บางคนต้องหลบหนีไปชายแดน หรือออกนอกประเทศ บางคนก็ถูกจับกุมติดคุก หรือถูกฆ่า ซึ่งสถานการณ์การเมืองทำให้ต้องมีการเปิดโรงเรียนอีกครั้งหนึ่ง เพื่ออบรมแนวทางและยกระดับการต่อสู้ วางยุทธศาสตร์ของ นปช. โดยมีเป้าหมายการปฏิบัติงานตามแนวทางแดงทั้งแผ่นดินเพื่อให้ประชาชนเข้มแข็ง ดังนั้น ความสำคัญการวางโครงสร้างองค์กรระดับภาค จังหวัด อำเภอ และตำบล ของ นปช.จะทำให้องค์กรเข้มแข็งและสมบูรณ์เพื่อนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตย

นางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช. กล่าวบรรยายยุทธศาสตร์โครงสร้าง นปช. ว่า วัตถุประสงค์ของการเปิดโรงเรียนเพื่อการกำหนดยุทธศาสตร์ของ นปช. เพื่อปรับโครงสร้างองค์กรให้เกิดความเข้มแข็งและกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวที่เข้มแข็งของประชาชนไปสู่ประชาธิปไตย ดังนั้น แกนนำระดับภาค ระดับจังหวัด ต้องแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านยุทธศาสตร์เพื่อนำไปถ่ายทอดสู่ประชาชนในท้องถิ่น โครงสร้างใหม่ของ นปช.แม้ในอนาคตหากแกนนำไม่อยู่ก็สามารถนำคนอื่นๆ มาเป็นผู้แทนได้ สำหรับยุทธวิธี นปช.จะดำเนินการตามแนวทางสันติวิธี เพราะเราต้องการชนะใจคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างน้อยผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 40 ล้านคน เราต้องทำให้เสียงมาเป็นฝ่ายเราอย่างน้อย 30 ล้านจะทำให้ระบบอำมาตย์พังทลายไปทันที

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศการเปิดโรงเรียน นปช.เป็นไปด้วยความคึกคัก มีคนเสื้อแดงระดับแกนนำระดับภาค ระดับจังหวัดทั่วประเทศ และคนเสื้อแดงที่สนใจเข้าร่วมอบรมกว่า 2 พันคนจนเต็มห้องประชุมชั้น 6 อิมพีเรียล สำหรับจุดลงทะเบียนหน้าทางเข้างานได้แจกคู่มือเอกสารประกอบการบรรยาย ต่อผู้เข้าร่วมอบรม โดยเนื้อหาด้านในมีแผนภูมิโครงสร้าง นปช.ระดับสากล ระดับโครงสร้างกรรมการทั่วประเทศ และกรรมการระดับจังหวัด นอกจากนี้ยังได้กำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธีแนวทาง และจุดยืนที่ถูกต้องเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม โดยมีเป้าหมายได้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อำนาจอธิปไตยเป็นของชาวไทยอย่างแท้จริง รวมถึงการเรียกร้องความยุติธรรม หนทางการต่อสู้ต้องสอดคล้องความจริงของประชาชน ยึดการต่อสู้ไม่ใช้ความรุนแรงด้วยอาวุธ แต่ใช้เวทีการต่อสู้วิถีทางตามรัฐสภาและท้องถนน โดยมีหลักคิดชัดเจน มีวิสัยทัศน์โดยไม่ลอกเลียนแบบ และการนำของบุคคลหรือนโยบายถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญ

คลิป MP3 & youtube คุณ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ตอบโจทย์ ทีวีไทย 8 เมษายน 2554

ที่มา thaifreenews

โดย bozo

MaySa





http://www.konthaiuk.info/forum/index.php?topic=16498.0

กลยุทธ์สู้ศึก"ยุบรวม-จับมือ" พรรคเล็กหนีตายหรือเกมต่อรอง

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ รายงานพิเศษ


สถานการณ์การเมืองเข้าสู่โหมดเลือกตั้งอย่างจริง จัง บรรดาพรรคขนาดกลาง พรรคเล็ก ประกาศร่วมกันทำงานการเมืองอย่างเปิดเผย

ทั้งการประกาศจับมือกันของพรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคภูมิใจไทย

กระทั่งล่าสุด การรวมพรรคในทางพฤตินัยระหว่างรวมชาติพัฒนากับเพื่อแผ่นดิน

เป้าหมายของการเคลื่อนไหวดังกล่าว มีเจตนาเพื่ออะไร

วิทยา แก้วภราดัย

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลภาคใต้

การรวมพรรค หรือประกาศจับมือกันของพรรคเล็ก เป็นปรากฏการณ์ปกติเพื่อเตรียมรับมือการเลือกตั้งและหวังได้เป็นพรรคขนาดกลางมี 20-50 เสียง เพื่อเป็นตัวหลักในการตั้งรัฐบาล

การเมืองขณะนี้ทุกฝ่ายประเมินว่า จะไม่มีใครได้เสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่งจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ พรรคขนาดนี้จะใช้เจรจาได้ และไปได้กับทุกขั้ว

พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้หวั่นไหวกับปรากฏการณ์ดังกล่าว ถือเป็นปรากฏการณ์ ธรรมดาที่เราเปลี่ยนคู่แข่งมาเรื่อยๆ ไม่รู้จักกี่พรรค ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ต้องตกใจอะไรแล้ว เพราะผ่านอย่างนี้มาหลายรอบแล้ว

จากนี้ไปอาจจะเห็นปรากฏการณ์ที่มากกว่านี้ การเคลื่อนไหวก็จะยังมีมากกว่านี้ ยังไม่จบ

ส่วนการซื้อตัวส.ส. โอกาสเกิดเป็นไปได้เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต พรรคก็เคยโดนมาแล้ว ซื้อด้วยตัวเลขเท่านั้นเท่านี้แต่เราไม่ไปก็ออกมาพูดกัน ครั้งนี้ไม่อยากให้เกิดขึ้น และทางเราก็จะไม่ทำ



พิเชต สุนทรพิพิธ

อดีตส.ว.สรรหา


การเมืองบ้านเรามีหลายพรรคมากเกินไป ไม่เหมือนประเทศอื่น ที่มีเพียง 2-3 พรรคเท่านั้น แต่บ้านเรามี 2 พรรคใหญ่ และมีพรรคเล็กหลายพรรค และ 2 พรรคใหญ่ ก็ไม่มีพรรคใดที่ได้เสียงข้างมากถึงขนาดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ต้องขอความร่วมมือกับพรรคเล็กเพื่อตั้งรัฐบาลผสม

พรรคที่เล็กเกินไปก็ไม่มีน้ำหนัก แต่พรรคเล็กที่พอมีหน้ามีตาขึ้นมาหลังจับมือกัน เช่น พรรคภูมิใจไทยจับมือกับพรรคชาติไทยพัฒนาของนายบรรหาร ศิลปอาชา จนกลายเป็นพรรคใหญ่ขึ้น มีหน้ามีตา มีน้ำหนักมากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่า เพิ่มอำนาจในการต่อรอง หรือจะเรียกว่าหนีตายก็ได้ เหตุการณ์แบบนี้จะเป็นไปอีกระยะหนึ่ง และตราบใดบ้านเรายังแบ่งเป็นก๊ก เป็นก๊วนการเมืองอยู่

การร่วมมือทางการเมืองของพรรครวมชาติพัฒนากับพรรคเพื่อแผ่นดิน ไม่น่าจะเป็นการเด็ดขาด หนักแน่น เนื่องจากเพื่อแผ่นดินก็ให้สัมภาษณ์ว่า มีสมาชิกพรรคส่วนหนึ่งที่ยังรักษาพรรคไว้ จึงไม่ได้เป็นการยุบรวมพรรคแบบถาวร จึงมีโอกาสแตกออกมาได้ทุกเมื่อ

เลือกตั้งครั้งหน้าหากประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล ก็คงไม่อยากฟอร์มรัฐบาลที่มาจาก 4-5 พรรค เพราะจะทำให้มีรัฐมนตรีกระจายออกไป จากที่มีแค่ภูมิใจไทยและชาติไทยพัฒนา ที่พออยู่แล้ว แต่อาจต้องมีรวมชาติพัฒนาและเพื่อแผ่นดินเข้ามาร่วมอีก

เมื่อเป็นแบบนี้ พรรคเล็กจึงจับทางถูก และหันมาร่วมกันสร้างอำนาจต่อรอง ซึ่งทั้งประชาธิปัตย์ และเพื่อไทย ต้องจับมือกับพรรคเล็ก ใครได้เสียงมากกว่าก็จะมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล

การเคลื่อนไหวของพรรคเล็กจึงต้องจับมือกันเอาไว้ หากฝั่งไหนเสียงขาดก็ต้องมาขอความร่วมมืออยู่ดี จุดนี้จึงทำให้พรรคเล็กๆ เข้ามามีอำนาจต่อรอง และหากทำให้พรรคขนาดเล็กกลายเป็นพรรคขนาดกลางได้ ก็จะเป็นจุดดึงดูดให้ฝ่ายตั้งรัฐบาลดึงเข้าร่วม จนมีอำนาจต่อรอง และครองตำแหน่งรัฐมนตรี สำคัญๆ ได้

การรวมตัวกันของพรรคเล็ก ยังสามารถป้องกันการดูดส.ส.ไปอยู่พรรคใหญ่ได้ เพราะการรวมกันจะทำให้พรรคใหญ่ขึ้น ได้รับเงินรายเดือนที่พรรคมอบให้มากขึ้นกว่าตอนที่อยู่พรรคเล็ก ยิ่งพรรคใหญ่ยิ่งมีเงินสนับสนุนพรรคมาก

การร่วมมือกันทางการเมืองเป็นสิ่งที่ดี ใจจริงอยากให้มี 2-3 พรรคเท่านั้น เพื่อให้การเมืองมีการสลับขั้วหมุนเวียนกันมากกว่า ทำ งานและสร้างพรรคการเมืองให้กลายเป็นสถาบัน ไม่ใช่พรรคนั้นเป็นของนาย ก นาย ข หรือนาย ค



สมชาย ปรีชาศิลปกุล

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


คนทั่วไปก็มองออกอยู่แล้วว่าโอกาสที่ 2 พรรค ใหญ่จะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง หรือคุมเสียงข้างมากในสภาเป็นเรื่องยาก ในแง่นี้พรรคขนาดเล็ก หรือพรรคขนาดกลางก็มีความสำคัญมากขึ้น การจับมือกันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรอง

ประเด็นต่อมาคือ ระบบการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นระบบที่ทำให้พรรคขนาดเล็กเสียเปรียบมาก อย่างระบบส.ส.สัดส่วน การเลือกตั้งของกทม. ที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์ได้คะแนนราว 9 แสน เพื่อไทยราว 7 แสน พรรคการเมืองใหม่ราว 1 แสน

ถ้ามองตามปกติแล้วพรรคการเมืองใหม่ก็ควรจะได้ที่นั่งบ้าง แต่นี่กลับไม่ได้สักที่นั่ง ในขณะที่ประชาธิปัตย์ได้ที่นั่งกว่าร้อยละ 70 แสดงให้เห็นว่าระบบการเลือกตั้งแบบนี้โน้มเอียงไปที่พรรคใหญ่ ขณะที่พรรคเล็กๆ จะเริ่มตายลง และกลายเป็นพรรคท้องถิ่นไปแทน

ส่วนกระแสพรรคทางเลือกที่ 3 เพื่อแบ่งเสียงจากคนที่เบื่อการขับเคี่ยวระหว่าง 2 พรรคใหญ่ ก็เห็นว่าเป็นพรรคเฉพาะกิจมากกว่า อย่างพรรครักษ์สันติ ของ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ที่เสนอตัวเป็นทางเลือกในเชิงบุคคล เรายังไม่เห็นนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม

และการเน้นชูตัวบุคคลหาเสียงมาก ระยะยาวจะอยู่ไม่ได้หากไม่ทำนโยบายและระบบบริหารที่เป็นระบบ พรรคเหล่านั้นก็จะตายลงไปเรื่อยๆ

แนวโน้มการเลือกตั้งในครั้งนี้น่าจะเลือกกันที่ตัวบุคคลและนโยบายอย่างละครึ่ง เพราะที่ผ่านมาเราก็เห็นแล้วว่าตัวบุคคลมีส่วนสำคัญที่จะทำให้นโยบายเป็นจริงขึ้นมา

อีกประเด็นคือนโยบายของแต่ละพรรคไม่ได้แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว พรรคหนึ่งประชานิยม อีกพรรคก็ประชานิยมกว่า นอกจากนี้กระแสการเมืองท้องถิ่นก็น่าจะมาแรง ช่วงหลังๆ จะเห็นตัวอย่าง เช่น ในพื้นที่อีสานว่าการเมืองท้องถิ่นก็เป็นฐานอำนาจที่สำคัญ

การรวมตัวของพรรคเล็กๆ หรือพรรคกลางในขณะนี้ก็อาจจะแตกกันได้ภายหลังการเลือกตั้ง เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ให้เอกสิทธิ์กับ ส.ส.มากกว่าพรรค สามารถลงคะแนนเสียงคัด ค้านแนวโน้มการโหวตของพรรคในสภา



ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง

อดีตประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย


การรวมตัวกันของพรรคขนาดเล็กเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทั่วไป เพราะพรรคระดับนี้ถูกกันในการเลือกตั้งได้ง่าย จึงต้องการร่วมมือกันซึ่งอาจจะเพื่อต่อรองการเลือกตั้ง หรือรวมกันทำพื้นที่ไม่ให้เกิดความทับซ้อน

แต่การรวมพรรคกันเพื่อส่งผู้สมัครในชื่อพรรคๆ เดียว ย่อมทำให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพมากกว่า อย่างเพื่อแผ่นดินกับพรรครวมชาติพัฒนา แต่กรณีพรรคภูมิใจไทยกับพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นเพียงการรวมกันด้วยปาก อาจเป็นท่าทีที่ว่าหลังเลือกตั้งจะไปไหนไปด้วยกัน อันนี้ก็เพื่อสร้างแรงต่อรอง

แต่ผมว่าก็ยังมีปัญหาเพราะผลเลือกตั้งก็ยังไม่รู้ หากต่อไปพรรคแกนนำรัฐบาลต้องการแค่พรรคชาติไทยพัฒนา แต่ไม่ต้องการพรรคภูมิใจไทย เพราะมองว่าเสียงพอแล้ว อย่างนี้จะทำอย่างไร ซึ่งเชื่อว่าชาติไทยพัฒนาก็ต้องไปร่วมด้วย คงไม่ยอมไปเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคภูมิใจไทยแน่ๆ

ส่วนที่มองว่ารวมตัวกันเพื่อป้องกันการโดนดูดจากพรรคใหญ่ คงไม่ใช่ เพื่อไทยไม่ไปดูดใครอยู่แล้ว ตอนนี้ผู้สมัครเราล้นพรรค น่าจะเป็นเรื่องการรวมพลังต่อรอง

การรวมตัวของพรรคต่างๆ ขณะนี้ ยังไม่มีผลกระทบอะไรกับเพื่อไทย เหนือตอนบน ภาคอีสานที่เป็นฐานเสียง ประชาชนยังให้ความนิยมเรามาก เหมือนอย่างที่ภาคใต้นิยมประชาธิปัตย์

จึงมองไม่เห็นว่าการรวมตัวของพรรคขนาดเล็กจะส่งผลกระทบอะไร เพราะเท่าที่ดูก็ได้แค่พื้นที่ที่มีส.ส.เดิมเท่านั้น

เผาตัวเอง

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน
มันฯ มือเสือ



มีหนังสือสองเล่มกำลังเป็นปัญหาในสังคมไทยเวลานี้

เล่มแรก "ประเทศไทยของเรา อย่าให้ใครเผาอีก" ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง

เนื้อหาถอดมาจากปากคำของนายสุเทพ ที่ชี้แจงตอบข้ออภิปรายของพรรคฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งที่ผ่านมา

ที่ว่ากำลังเป็นปัญหานั้น เพราะดูแล้วเนื้อหาในหนัง สือน่าจะเป็นการเติมไฟความขัดแย้งให้กับสังคม มากกว่าจะสร้างความปรองดอง

ทั้งๆ ที่นายสุเทพเอง ปากก็พร่ำบอกไม่ให้พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวก่อความวุ่นวายแตกแยกภายในบ้านเมือง โดยเฉพาะการชุมนุมใหญ่ครบรอบปีเหตุการณ์นองเลือด 10 เมษายน

เพื่อให้การเดินหน้าสู่การเลือกตั้งเป็นไปโดยสงบเรียบร้อย

แถมยังพูดดักไว้ด้วยว่าหากแกนนำคนเสื้อแดงทำหนังสือออกมาหักล้างตอบโต้ (นายจตุพร พรหมพันธุ์ บอกแล้วว่าจะทำออกมาแน่ๆ) ถ้าใช้ข้อมูลหลักฐานเท็จก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย

โดยไม่ได้ฉุกคิดว่าหนังสือที่ตนเองทำออกมาขายและแจกจ่าย อาจไม่ต่างจากโชว์พิเศษที่ใส่ไว้ในเทียบเชิญ ดึงดูดให้คนเสื้อแดงออกมาแสดงพลังต่อต้านมากขึ้น

เช่นเดียวกับหนังสือตำราเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่บรรจุข้อ ความกล่าวหาคนเสื้อแดงเป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง

แม้ทางกระทรวงศึกษาธิการจะปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น โดยโยนให้เป็นเรื่องของแต่ละโรงเรียนที่สามารถจัดหาแบบเรียนเสริมการเรียนรู้มาสอนเด็กนักเรียนเองได้

แต่อย่าลืมว่าเรื่องใครเผาบ้านเผาเมืองในปี 2553 นั้นเป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ยังคลุมเครือไม่ได้ข้อยุติ

การนำข้อมูลครึ่งๆ กลางๆ ที่แม้แต่ผู้ใหญ่บางคนยังสับสน ไปปลูกฝังใส่ในหัวสมองของเด็ก เป็นเรื่องที่คนเป็นครูบาอาจารย์ไม่ควรทำ กระทรวงต้องควบคุมดูแล

ไม่แน่ใจว่าหนังสือทั้งสองเล่มจะมีส่วนช่วยให้กระแสประชาธิปัตย์ที่อยู่ในช่วง "ขาลง" โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ดีขึ้น หรือยิ่งทรุดต่ำ

แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่นักการเมืองภาคใต้ อย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการจะต้องใส่ใจ

อย่างนั้นหรือเปล่า?

หลักฐานจับโกหก....เทพเมือก ตอแหล กลางสภา

ที่มา thaifreenews

โดย แมวอ้วนอ้วน

หลักฐาน เทพเมือก ปลอมแปลงข้อมูล บิดเบือน ตอแหล กลางสภา 859cc94a
จาก FB http://www.facebook.com/thaifreenews?v=wall#!/album.php?fbid=1929672042754&id=1270827683&aid=2117922

เดี๋ยวจะทยอยลงภาพมาให้เพิ่มเติมอีกนะครับ...โปรดติดตาม และช่วยกันเผยแพร่ความจริง






Re:














Re:




ยุทธศาสตร์แยกสลายกองไฟ และยุทธศาสตร์สร้างแนวกันไฟ

ที่มา thaifreenews

โดย poonnook

ก่อนอื่นผมจะขอเรียนชี้แจงกับพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกๆ ท่านว่า.. ผมเขียนบทความฉบับนี้ขึ้นเพื่อสื่อสารโดยตรงถึงท่าน เพื่อจะได้ทำความเข้าใจและพิจารณาถึงสิ่งที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้...ด้วยเหตุ และผล.. ด้วยความมีสติ ไม่วู่วาม และด้วยความคิดอย่างรอบด้าน.. บทความชิ้นนี้มิใช่ “การชี้นำ” หรือ “การชักจูง” ให้ทุกๆ ท่านเห็นคล้อยตาม.. หรือคิดเหมือนกัน.. แต่ต้องการให้พี่น้องผู้มีใจที่รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงและสมบูรณ์นั้น.. ได้ใคร่ครวญถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า เพื่อนำไปสู่ผลที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ตัดสินใจและพิจารณาได้ด้วยตนเอง.. ด้วยสติปัญญา และความเป็นเหตุเป็นผลที่แต่ละท่านมีด้วยตนเอง ได้โปรดกรุณาอ่านจนจบ แล้วค่อยตอบใจของท่านเองว่า..ท่านจะเลือกกำหนดแนวทางการต่อสู้ของท่านไปในทิศทางใด และรูปแบบใด..

^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^

ประเทศนี้ถูกปกครองด้วยอำนาจของเผด็จการที่ปกครองและครอบงำประเทศในทุกภาคส่วนมาหลายสิบปี โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ถูกมอมเมา และล้างสมองตลอดมาโดยไม่รู้ตัว.. ซึ่งได้มาถึงจุดระเบิดเมื่อเกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา.. นับตั้งแต่วันนั้นขบวนการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงค่อยๆ พัฒนาและเติบใหญ่ขึ้นเป็นลำดับมาจนถึงปัจจุบัน..

ดังนั้นการที่ประชาชนได้รวมตัวกันเรียกร้องประชาธิปไตยในครั้งนี้ก็คือ “การนำเอาอำนาจในการปกครองจากผู้ครองอำนาจเผด็จการให้มาเป็นอำนาจของประชาชน” นั่นเอง..ซึ่งผมก็ได้เคยกล่าวไปในบทความชิ้นก่อนๆ ว่า การจะได้ตามสิ่งที่ประชาชนต้องการนั้นมีวิธีการอยู่ 2 หนทางคือ การร้องขอ.. หรือการแย่งชิง และจากระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปีนั้นดูเหมือนว่า หนทางแห่งการร้องขอ น่าจะตีบตัน หรือ ปิดสนิทลงอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว.. (จากการพิจารณาโดยส่วนตัวของผมเอง)

ด้วยเหตุนี้ในเมื่อความต้องการประชาธิปไตยของประชาชนยังไม่จบสิ้นลง.. หนทางแห่งการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองของประชาชนนั้นจึงต้องใช้วิธีการ “แย่งชิงอำนาจนั้นมาจากเผด็จการ” พูดง่ายๆ เพื่อความเข้าใจโดยไม่คลาดเคลื่อนก็คือ “เป็นการทำสงครามต่อสู้กันระหว่างอำนาจเผด็จการ (ที่มีอาวุธทุกอย่างในมือ) กับอำนาจประชาธิปไตย (ที่มีพลังประชาชนอยู่ในมือ)” ..

ซึ่งในเรื่องนี้ ผมกล่าวในลักษณะของหลักการทางวิชาการ มิได้พูดในเชิงให้มีการจัดตั้งกองกำลังเพื่อให้เกิดการต่อสู้กันในลักษณะของสงครามกลางเมือง (ผู้เขียน)

เช่นนี้แล้วการต่อสู้ที่เกิดขึ้นนี้ เป้าหมายสูงสุดของแต่ละฝ่ายก็คือ “ฝ่ายเผด็จการต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจเดิมเอาไว้ให้ได้”... “ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยก็ต้องทำทุกวิถีทางในการแย่งเอาอำนาจนั้นมาเป็นของประชาชนให้ได้เช่นกัน” ... นี่คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น..และไม่มีใครปฏิเสธได้.. (ผมได้กล่าวไปแล้วตั้งแต่ต้นว่า ผมเขียนบทความนี้เพื่อสื่อถึงพี่น้องที่เป็นมวลชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน มิได้เฉพาะเจาะจงไปถึงแกนนำ หรือใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ)..

ดังนั้นกลยุทธการต่อสู้มากมายจึงถึงถูกนำมาใช้เพื่อรักษาอำนาจ..หรือ แย่งชิงอำนาจในสงครามครั้งนี้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน.. “จริงคือเท็จ..เท็จคือจริง.. เขียนเสือให้วัวกลัว... ยืมดาบฆ่าคน.. ขุดบ่อล่อปลา” ฯลฯ มากมายหลากหลายวิธี ซึ่งล้วนแล้วแต่ที่ต่างฝ่ายต่างก็นำมาใช้เพื่อให้ได้ชัยชนะในการต่อสู้ในครั้งนี้... เพื่อ “อำนาจ” เพียงประการเดียวเท่านั้น


เมื่อพี่น้องทุกท่านเข้าใจในความเป็นจริงเรื่อง “สงครามการต่อสู้ระหว่างอำนาจเผด็จการกับอำนาจประชาชนในภาพรวมแล้ว..ท่านก็จะสามารถเข้าใจเรื่องที่จะนำเสนอต่อไปนี้ได้”

แต่ขอความกรุณาครับถ้าท่านยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ผมพยายามสื่อไปถึงท่าน โปรดอ่านทบทวนในประเด็นเรื่อง “สงครามการต่อสู้นี้” และใคร่ครวญให้รอบคอบก่อน จึงค่อยอ่านในบทความช่วงต่อไป...

ปูนนก
^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^

Re:

กระแสการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในระยะที่ผ่านมานี้.. มีความหลากหลายทางความคิดและแนวทางค่อนข้างมาก.. แม้ว่าทุกๆ แนวคิดหรือทุกๆ แนวทางล้วนแล้วแต่จะอ้างตนเองว่า ต้องการเป้าหมายเดียวกันคือ “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์เหมือนกัน” .. แต่ถ้าพิจารณาจากวิธีดำเนินการที่ปรากฏจริงตรงหน้าแล้ว.. จะเห็นได้ว่ามีทั้งความเหมือนและความต่างกันโดยสิ้นเชิง.. (ผมจะไม่ขอลงในรายละเอียด แต่ขอให้แต่ละท่านพิจารณาสิ่งที่ปรากฏจริงด้วยตัวของท่านเอง)..

ถ้าเปรียบอำนาจเผด็จการเสมือนอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่มีบ้านเรือนผู้คนปลูกพำนักอยู่มากมายโดยมี จุดศูนย์รวมอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ที่สุดกลางอาณาจักรนั้น.. และการเรียกประชาธิปไตยโดยประชาชนเหมือนไฟ ที่กำลังลุกไหม้และเริ่มรายล้อมอาณาจักรนั้นเข้ามาจากขอบนอกเข้ามาเรื่อยๆ หนทางที่จะปกป้องอาณาจักรอันยิ่งใหญ่นี้เอาไว้ให้ได้ก็คือ “ทำลาย (ดับ) กองไฟนั้นเสีย..อาจจะโดยเอาน้ำสาด (ล้อมปราบ, การจับกุมคุมขัง).. หรือการแยกกองไฟให้เป็นกองเล็กๆ เพื่อจะทำการดับได้ง่าย (การยุแหย่ให้เกิดการแตกความสามัคคีแล้วทำลายภายหลัง)” ..

ยุทธศาสตร์การแยกเปลวไฟออกเป็นกองย่อยๆ (การแยกมวลชนเสื้อแดงออกจากกัน) มีการกระทำมาโดยตลอดจากฝ่ายเผด็จการ ตั้งแต่ในยุคเริ่มแรกของ คมช. ที่ ดร. เชียรช่วง กัลยาณมิตร ได้นำทัพเข้าสู่ในสงครามไซเบอร์ที่เรียกว่า 2.4 มาแล้ว

ดังนั้นการเข้ามาเสี้ยมให้มวลชนคนเสื้อแดงแตกความสามัคคีกัน จึงเป็นเป้าหมายในยุทธศาสตร์หนึ่งที่ฝ่ายอำนาจเผด็จการ ได้ใช้การต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ด้วย.. และนี่คือความจริงแท้อย่างไม่ต้องสงสัย.. ด้วยเหตุนี้พี่น้องมวลชนคนเสื้อแดงจึงต้องระมัดระวังอย่างมากในการเชื่อถือข้อมูลข่าวสารใดๆ ในโลกอินเตอร์เน็ตแห่งนี้.. ต้องพิสูจน์ทราบอย่างดีและรอบคอบพอสมควร

แต่ในขณะเดียวกัน.. นอกจากยุทธศาสตร์การแยกกองไฟให้กลายเป็นกองเล็กๆ เพื่อง่ายต่อการกำจัดแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมพิจารณากันก็คือถ้ากองไฟมีมากเกินไปไม่สามารถแยกสลายได้หมด และไฟยิ่งลุกลามเข้ามาในอาณาจักรแห่งเผด็จการนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ลุกลาม และกินพื้นที่ในอาณาจักรนี้ “ใกล้บ้านหลังใหญ่ที่สุดเข้ามาทุกที” สิ่งที่ฝ่ายเผด็จการจะทำก็คือ “รักษาอำนาจของบ้านหลังใหญ่เอาไว้ให้ได้ต่อไปแม้จะสูญเสียส่วนอื่นของอาณาจักรไปก็ตาม” ... พูดง่ายๆ ก็คือ “สร้างแนวกันไฟล้อมรอบบ้านหลังใหญ่เอาไว้นั่นเอง” เพื่อที่ว่าเมื่อถึงคราวจำเป็น แม้ว่าไฟจะลุกลามไหม้บ้านทุกหลังในอาณาจักรนี้ไปจนหมดสิ้น ก็จะขอให้เหลือ “บ้านหลังใหญ่ที่สุดที่เจ้าของอำนาจเผด็จการครอบครองอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้เอาไว้ก่อนนั่นเอง”

ปูนนก

Re:

สิ่งที่ผมกำลังพยายามสื่อถึงพี่น้องมวลชนคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยทุกๆ ท่านในที่นี้ก็คือ. บ่อยครั้งที่มีพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยได้นำเสนอแนวทาง และยุทธศาสตร์ในการต่อสู้เพื่อจะได้นำไปสู่เป้าหมายแห่งการได้มาซึ่งอำนาจประชาธิปไตยที่แท้จริงคือ.. เพื่อทำลายทุกส่วนของอาณาจักรเผด็จการนี้ลงไปก่อน.. แล้วค่อยปลูกบ้านหลังใหญ่กลางอาณาจักรขึ้นมาใหม่อีกครั้งในรูปแบบของประชาธิปไตย.. แต่เผอิญแนวทางดังกล่าวไม่ตรง หรืออาจจะขัดแย้งกับแนวทางที่พี่น้องบางกลุ่ม หรือบางส่วนเชื่อ... ก็จะถูกกล่าวหาว่า คนเหล่านั้นกำลังทำตัวให้เข้าสู่ยุทธศาสตร์ของอำนาจเผด็จการคือ “ทำลายความสามัคคีของมวลชนคนเสื้อแดง” และก็ถูกกระหน่ำโจมตี จนถึงขั้นถูกกล่าวหาว่า “เป็นฝ่ายเผด็จการที่แฝงตัวเข้ามาบ่อนทำลายฝ่ายประชาธิปไตย”

โดยลืมมองไปว่าแนวทางที่พี่น้องจำนวนมากกำลังเดินไปนั้น คือแนวทางที่เป็นยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายเผด็จการวางเอาไว้เช่นกันคือ “สร้างแนวกันไฟ” มิให้เข้าถึงบ้านหลังใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเผด็จการได้.. เพราะถึงแม้ในที่สุดเมื่อไฟได้ลุกลามเข้าไปเผาไหม้อาณาจักรแห่งเผด็จการได้ทั้งหมดแล้ว.. แต่ทว่า “บ้านหลังใหญ่ที่อำนาจเผด็จการครอบครองอยู่ก็มิได้กลายเป็นของประชาชนกลับยังคงอำนาจเผด็จการดังเดิมเอาไว้อยู่เช่นกัน”

ดังที่ผมเคยบอกไปแล้วแต่ต้นว่า.. เป้าหมายสูงสุดของสงครามครั้งนี้.. สำหรับฝ่ายเผด็จการก็คือ “ทำทุกวิถีทางที่จะรักษาอำนาจเผด็จการเอาไว้ให้ได้” ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยก็คือ “ทำทุกวิถีทางเช่นกันที่จะเอาอำนาจนั้นมาสู่ประชาชนให้ได้เช่นกัน” เมื่อท่านเข้าใจเป้าหมายหลักแล้ว ท่านก็จะเข้าใจยุทธศาสตร์อื่นๆ ในแต่ละกรณีที่ถูกกำหนดขึ้นมาในการต่อสู้ครั้งนี้ของแต่ละฝ่ายด้วย

เหตุดังกล่าวทั้งหมดนี้...พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกๆ ท่าน... ที่มีสติสัมปชัญญะและการพิจารณาอย่างรอบคอบด้วยตัวของท่านเอง.. ขอให้ทุกๆ ท่านได้ใคร่ครวญ ด้วยใจเป็นธรรมว่า สิ่งที่ท่านกำลังเดินทางไป หรือร่วมเดินไปนั้นเป็น “การทำลายอำนาจเผด็จการเพื่อได้ชัยชนะ” ในสงครามครั้งนี้ หรือเป็น “การสร้างแนวกันไฟให้กับอำนาจเผด็จการ” เพราะถึงอย่างไร อำนาจเผด็จการก็ไม่มีวันยอมแพ้ในสงครามครั้งนี้อย่างแน่นอน..

การกล่าวหาว่าพี่น้องที่คิดไม่สอดคล้องกับความต้องการของบางคน, บางกลุ่ม เป็นผู้ที่แฝงตัวเข้ามาเพื่อ เสี้ยม ทำลายความสามัคคีของคนเสื้อแดง... ถ้าพิจารณาให้ดีๆ อย่างรอบคอบและลึกซึ้ง ก็เป็นไปได้เช่นกันว่า การกล่าวหาเช่นนั้นก็เพียงเพื่อ “สร้างแนวกันไฟ” เอาไว้ให้เผด็จการนั่นเอง...

ขอให้ทุกๆ ท่านได้โปรดระลึกว่า..ฝ่ายเผด็จการนั้นมียุทธศาสตร์ที่จะใช้คนเข้ามาเพื่อแยกสลายกำลังของมวลชนคนเสื้อแดงนั้นเป็นความจริง... แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็มียุทธศาสตร์ที่จะใช้คนของเขาเข้ามาเพื่อทำเนียนและชักจูงโน้มน้าวมวลชนให้เดินไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้... และสร้างแนวกันไฟให้อำนาจเผด็จการเช่นเดียวกัน... ดังนั้นพี่น้องมวลชนต้องใช้สติและพิจารณาให้รอบคอบในการจะเลือกเชื่อ หรือเดินตามสิ่งใดต่อไป...

ปูนนก

โรงเรียนการเมืองของ นปช. กำลังเปิดเรียนครับ ผมกำลังฟังอยู่

ที่มา thaifreenews

โดย ลูกชาวนาไทย



ตอนนี้ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ์ กำลังพูดในส่วนของยุทธศาสตร์ยุทธวิธีอยู่ครับ

ที่จริงผมเคยเขียนสนับสนุน อ.ธิดา ตอนที่มีการวิพาร์กวิจารณ์กันมากในตอนที่ขึ้นมาทำหน้าที่ รักษาการประธาน นปช. นั้น ผมได้ติดตามความคิดของ อ.ธิดา ในการบรรยาส่วนนี้หลายครั้งครับ ผมจึงเชื่อและประเมินจากการบรรยายหลายครั้งว่า อ.ธิดา นั้นเข้าใจในส่วนของ ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีอย่างดี รวมทั้งแนวคิดการจัดตั้ง การวิเคราะห์สังคมต่างๆ

คือผมไม่ได้สนับสนุน โดยไม่ได้ติดตามความคิดของเขานะครับ ส่วนเรื่องส่วนตัวอื่นๆ หากมีก็ไม่เกี่ยวกับผม


http://redsiam.info/home.html

โรงเรียนการเมืองนั้น จริงๆ มันคือ "การประชุมกรรมการระดับประเทศของ องค์กรประชาชน (นปช.) นั่นเอง" เป็นระบบการจัดตั้งคณะกรรมการต่างๆ ของการต่อสู้ การเรียนนั้นเป็นส่วนเสริมในการเผยแพร่ความคิดและอุดมการณ์เท่านั้นเอง

คาดว่า ช่วงต่อไปคงเป็นคุณณัจฐวุฒิ และคุณจตุพรพูด ตามตารางการเรียน และภาคบ่ายคงมีการแบ่งกลุ่มเพื่อ วิเคราะห์สถานการณ์และแนวทางการต่อสู้ต่างๆ ในขณะนี้

ใครว่างก็ดูตามลิงค์นะครับ

Re:

โดย ice angel



เวลา 11.10 น.อ.ธิดา พูดในประเด็นสำคัญหลายคำเช่น
เช่น คำว่า "มีรัฐบาลประชาชน"
คือผ่านการเลือกตั้งโดยไม่มีรัฐประหาร เสียก่อน
ถ้ามีการรัฐประหารเราต้องต่อตั้งการทำรัฐประหาร
ผลการเลือกตั้งต้องไม่ถูกแทรกแซง จากระบอบอำมาตย์
ตอนนี้กองทัพส่งคนไปตามท้องถิ่น คือส่งคนไปตามตจว.ให้ดูการโหวต

อ.ธิดา บอกว่าให้เราทำแบบกองทัพ คือให้ประชาชนเป็นหูเป็นตา
เขามาแทรกแซงเรา เราก็ไปยืนประจันหน้าว่า คุณมาทำอะไร
ต่อไปเราจะจัดตั้งกรรมการทหารแตงโม กรรมการตำรวจมะเขือเทศก็ได้

ทั้งนี้ต้องไม่ให้ทุกอย่างอยู่ในหนังสือ ต้องแปลหนังสือเป็นการปฏิบัติให้ได้

ทั้งนี้ระหว่างอธิบาย บนเวทีมีคำสำคัญคำหนึ่งคือ
ให้มีการจัดตั้ง "นักรบไซเบอร์" ขึ้นมาเพื่อ... จำไม่ได้ว่าตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร
ใครจำได้ช่วยแจ้งด้วยคะ

Re:

โดย ice angel



ณัฐวุฒิ ขึ้นพูดเรื่อง
นโยบายสันติวิธี และ หลักคิดหลักนโยบาย นปช.

11.15 น.
ณัฐวุฒิ พูดไปถึง วอร์รูมที่มีนายทหารนั่งฟัง
เป็นการดีที่ได้พูดฝากอบรมไปถึงนายทหาร
ให้เห็นถึงกติกาประชาธิปไตย ตามรูปสากล
วันนี้อุตส่าห์ ผูกเน็คไท เป็นอย่างดี
ก็ต้องพูดให้บรรดา นายทหารผู้รักประชาธิปไตยได้รับรู้
สำหรับนายทหารผู้มีจิตวิณญาณเผด็จการอำมาตย์
ก็ให้รับรู้ไว้ว่า เราจะสร้างประชาธิปไตย ให้รู้ไว้ซะว่า "อย่าเสือก"
ก็พูดให้สุภาพเหมือนที่ได้ใส่้เน็คไท

สันติวิธี คือการจัดการความขัดแย้ง
การใช้ความรุนแรง ก็เป็นการจัดการความขัดแย้ง
การใช้สันติวธี ก็เป็นการจัดการความขัดแย้ง

ผมไม่ยืนยันว่า การใช้วิธีสันติวิธีใช้แต่สันติวิธี แต่เพียงอย่างเดียว
ผมไม่ยืนยันเพราะในประวัติศาสตร์ ก็มีให้เห็นเช่น จีน สมัยราชวงศ์ชิง
สมัย หยวน ซื่อไข่ หมดยุคสุนยัดเซน เจียงไคเช็ค ก็มายุคเหมาเจ๋อตุง
สู้กันจนตกทะเละไปข้างนั่นคือตัวอย่าง การรบราฆ่าฟันที่ต่อสู้บนกองเลือดและกองปืน
นั่นคือตัวอย่างความขัดแย้ง และธรรมชาติก็มีการขัดแย้งภายใน
มันก็เหมือนขบวนการความขัดแย้งในประเทศไหนซักประเทศหนึ่ง

หยวน ซื่อไข่



ยกตัวอย่าง ถึง ลุงโฮ ในเวียดนาม
เป็นยุคของประเทศตัวเองถูกล่าอนานิคม
เคลื่อนไหวไปฝรั่งเศส และไปจัดตั้งคอมมิวนิสต์สากล
เริ่มเขียนบทความ ต่อต้านความคิดจักรรวรรดินิยม
เมื่อกลับมาเวียดนาม ก็ต่อสู้กับฝรั่งเศส จากเวียดนามที่แยกเป็นเหนือใต้
ก็สามารถรวบรวมเวียดนามเป็นเวียดนามเดียวได้ แม้ลุงโฮ
จะตายไปก่อนประสบความสำเร็จ ก็ยังมีคนทำอุดมการณ์นั่นต่อ

ลุงโฮ

ยกตัวอย่าง คิวบา .. เชเก วาลา
ไปจับมือกับขบวนการปฏิวัติ ของคิวบา ฟิเดคัส โซ
ต่อสู้กับเผด็จการ และรวมถึงได้แพร่ขยายความคิด
ไปถึงการต่อสู้กับเผด็จการใน อเมริกาใต้ในประเทศอื่น
ในที่สุด เชว โก ล่า ที่เป็นหมอ ก็ได้ถูกฆ่าตาย
นั่นแสดงให้เห็นว่า เป็นการต่อสู้ที่สูญเสียไปบนกองเลือด



ทั้งนี้ผมได้อธิบายว่า การต่อสู้แบบสันติวิธี ไม่ใช่สูตรสำเร็จ
แต่ผมให้ท่านดูว่า ขบวนการต่อสู้สันติวิธี และขบวนการใดได้รับความสำเร็จ
ได้รับความชอบธรรมมากว่า แน่นอนครับมันไม่ได้เป็นคณิตศาสตร์ตายตัว

4-5 ปีที่แล้วมีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งได้ทำการวิจัยการต่อสู้ขบวนการประชาธิปไตย
ในทางสถิติ พบว่า รัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงจะมีโอกาสพ่ายแพ้มากกว่า
รัฐบาลที่ใช้สันติวิธีมากกว่า 6 เท่า

สันติวิธี เป็นต้นทุนสำคัญที่ทำให้เราได้ผลิดอกออกผลไปถึงขบวนการต่อสู้ของเรา

พี่น้องครับ ท่านคิดว่าขบวนการไหนเป็น ขบวนการสันตวิธี ที่ได้รับความนิยมครับ

Re:

โดย ice angel



นักเรียนที่ฟัง บอกไปบนเวทีว่า มหาตะมะ คานธี

นัดวุด อธิบายต่อว่า คานธี
ได้ขับเคลื่อนอย่างสันติวิธี
แต่ให้เราใช้ขบวนการสันติวิธี ตามสถานการณ์
เราไม่มีทางจัดกองกำลังจัดการอาวุธ

:::::: :: Huh???

พิมพ์และฟังมาถึงตรงนี้มีคำถาม อยากถามอาจารย์นัดวุด
แต่ขอพิมพ์และฟังต่อให้เสร็จก่อน

ทั้งนี้การต่อสู้ในทางการเมือง คือต่อสู้กับอำมาตยธิปไตย
ที่ไม่มีการหลั่งเลือด ไม่มีตำแหน่งทางการเมืองใด
ที่จะอยู่ได้ถ้าไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน นั่นคือชัยชนะทางการเมือง

เราต่อสู้ทางการเมืองในจุดหมายนี้ครับ
เราชวนท่านมาและติดอำนาจทางความคิด

Re:

โดย ice angel



นัดวุดิ พูดถึงว่า ตอนนี้เรามีแต่ผู้หญิง ที่รวมกันแล้ว
เป็นผู้น่านับถือ

ฟังถึงตรงนี้ ขอเสริมความคิดของผู้พิมพ์และมีคำถาม ... ก็มันอดคิดที่จะถามไม่ได้
(ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่า กองกำลังนักรบในสันติวิธี ของนปช.
ที่ออกภาคสนามส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง สูงวัย)

ice angel มี Qีำuestion :: เราจะให้ผู้หญิงผู้สูงวัยเหล่านี้ทำงานร่วมกับขบวนการทางความคิด
แบบสันติวิธี ในแนวทางนปช.ได้อย่างไร คะ ทำเป็นรูปแบบรูปธรรมที่ยกระดับให้มีคุณภาพ ?


นัดวุด บอกว่า นี่เป็นขบวนการหนึ่งที่ต่อสู้ที่ในโลกมีการจับตามองอยู่
และเป็นผลให้มีการทำงานทางการเมืองต่อไปของขบวนการทางอำมาตย์ทำงานยาก

นัดวุด บอกว่า ความแตกต่างที่สำคัญ ยกตัวอย่าง สมัยนายกทักษิณ สมัยนายกสมัคร สมัยนายกสมชาย
ที่ขบวนการคนเสื้อแดงกลับโต ขึ้น โต ขึ้น เขาก็ไม่กล้าทำ การจำใจให้มีการจัดการเลือกตั้ง
สะท้อนอะไร สะท้อนความไม่แน่ใจลังเล ขบวนการอำนาจนอกระบอบที่มีความคิดมาก และยิ่งลังเลที่จะทำ

Re:

โดย ice angel



ขบวนการอำนาจนอกระบบ เขากลัวอะไร ?
นัดวุดบอกว่า เขาไม่ได้กลัวว่าเราจะมีกองกำลัง มีปืน มีอาวุธ มีชายชุดดำ
แต่เขากลัวว่า เราจะมีประชาชนมาร่วมกับเรามากขึ้น กลัวว่าจะมีประชาชนมายืน
ฝ่ายเรามากขึ้นมากขึ้น เขากลัวคนเยอะ และพูดเป็นเสียงเดียวกัน เขากลัวตรงนั้น

ท่านคิดดู ถ้า 25 ล้านคน พูดคำว่า สู้สู้ สู้ ท่านว่าเขากลัวไหมครับ
ที่ผ่านมาเราไม่มีอาวุธรุนแรงอะไร มันยังยัดให้เรามีอาวุธรุนแรงจนได้
ยัดเพื่ออธิบายความชอบธรรมในการฆ่า ท่านที่เคารพ ท่านต้องเข้าใจ
ถ้าเราเผลอใจทำท่าว่าจะมี มันไปกันใหญ่

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผู้มีอำนาจเขากลัวเขากลัวประชาชนมือเปล่าที่เดินไปพร้อมกัน
และสิ่งที่เกิดขึ้นเขาก็ใช้วิธีการนี้ทำให้ขบวนการนี้มันเซ็งแซ่ ท่านไปดูตามเว็บซิครับ ....
คนบ้าอะไร มันไม่เห็นด้วยซะทุกอย่าง ผมได้ให้คนตามดูในเว็บ
และดูย้อนหลัง เห็นบางล๊อกอินมีการโพสย้อนหลังที่ยังไม่เห็นด้วยกับตัวเอง
แต่บางล๊อกอิน ก็ได้วิจารณ์ที่เราต้องเห็นด้วยและ...

ผมชวนทุกท่านให้เกิด เอกภาพทางความคิด เป็นสันติวิธีที่มีความสามัคคีประชาชน
ต้องเดินออกไปขยายผลการต่อสู้ คำว่าสันติวิธีต้องทำให้ท่านตื่นตัวกระตือรือร้น


พรุ่งนี้จะมีปฏิญาณ 10 เมษายน ว่าเราจะทำอะไรกันบ้าง
ก็ระดมสมองกับพวกท่านนี่แหล่ะครับ



และเทียบทางฝ่ายเขา ว่ามาอย่างไร แต่ก่อนเรากับเขามวยมันต่อยกันไม่ได้เลยครับ
แต่ก่อนสู้กับอำมาตย์มันสู้กันไม่ได้เลยครับแต่ก่อน มันมองว่าเราไม่เจียม แต่เดี๋ยวนี้มันสู้กันได้แล้วครับ
ในทางอดีตเขาใช้วิธีการรุนแรงกับเรามาตลอด ทำให้เขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ
รวมทั้งตัวอย่างการใช้กระบวนการยุติธรรม ที่เป็น 2 มาตราฐานทำให้เขาอ่อนแอลง
นั่นคือสิ่งที่ทำให้กระบวนการประชาชนของเราแข็งแรงเพิ่มขึ้น
เราเป็นฝ่ายที่ยืนอยู่บนฝ่ายความชอบธรรมมาตลอดทาง
พัฒนการมาจาก การชุมนุมในธันเดอร์โดม สนามกีฬาราชมังคลา
หลายคนมาจาก การชุมนุมนปช. มันเกิดขึ้นจากความชอบธรรม และเติบโตขึ้นมา

ทีนี้เราจะชนะอย่างสันติวิธีได้อย่างไรมีความเป็นเอกภาพได้อย่างไร
มันมีความจริงที่เจ็บปวด เมื่อเราประกาศการต่อสู้แบบนี้
ผู้มีสัญชาติญาณดิบมันยังอยากรักษาอำนาจของเขาและใช้อาวุธเข่นฆ่าเรา
ดังนั้นขบวนการสันติวิธีต้องมีความคิดสร้างสรร มีปฏิบัติ
การต่อสู้ไปตามสถาณการณ์ การชุมนุมกลับชุมนุมกลับหนะมันไม่ใช่มันต้องทำกันอย่างจริงจัง
อย่าไปคิดเลยครับว่า ใครสู้มากกว่าสู้น้อยกว่า ให้คิดว่าเราจะออกมาสู้กับอำนาจด้วยกันอย่างจริงจัง
อย่าใช้ความชิงชังโกรธแค้นมาต่อสู้กันเลยครับ ต้องคำนึงถึงชัยชนะต่อขบวนใหญ่

เรามีหน้าที่ ที่ต้องชนะเพื่อพวกเขา เพื่อพวกเราที่ตายไม่ตายเปล่า ผมยอมรับการสู้ในรูปแบบสันติวิธี
ผมยอมรับการต่อสู้ในขบวนการวันอาทิตย์สีแดง ขบวนการพับนก ขบวนการขี่จักรยาน นั่นคือรูปแบบ
การต่อสู้รูปแบบความคิดสร้างสรร ความคิดของคนไทยไม่ธรรมดา

ยกตัวอย่างขบวนการเสรีไทย
ครูเตียง ขุนพลภูพาล ได้รับสายบังคัยบัญชาจาก ปรีดีย์ พนมยงค์ นั่นคือการฝึกอย่างจริงจัง เพื่อชาติ
ฝ่ายเสรีไทยสมัยนั้นสู้กับญี่ปุ่น สมัยนั้นท่านเชื่อไหมขบวนการต่อสู้สมัยนั้น สองพี่น้องเจ้าของโรงแรม
ใช้ต้นข้าวปักไปที่สนามบิน ซึ่งตอนนั้นญึ่ปุ่นเตรียมที่จะถล่ม สนามบินนากู นั่นคือตัวอย่างกระบวนการ
สร้างสรร ในยุทธวิธีสันติวิธี ด้วยความเคารพครับในพี่น้องเราบางทีเอาจริงและแข็งเกินไป
ท่านต้องไม่ลืมว่า บางทีมันแข็งเกินไปมันทำให้เปราะครับ ท่านจำวันที่ผมจะไปยกป้ายสนามบินสุวรรณภูมิ
ได้ไหมครับ ตอนนั้นผมโดนพี่น้องเสื้อแดง ด่า ผมเลยต้องรีบไปที่สถานนีไปเล่า ว่าผมคิดอะไร
และได้ยกตัวอย่าง ของโจโฉ แตกทัพ ผมประกาศไปตอนนั้นเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามมันด่ามา
ปรากฏว่าตอนนั้นพวกมันไม่ทันด่า แต่พวกเราด่าผมหมดเลยครับ นั่นคือตัวอย่าง ขบวนการสันติวิธี
มีความคิดสร้างสรรร และเอาจริงครับ ความยิ่งใหญ่ของคนเสื้อแดงมาวันนี้มาด้วยรากฐานสันติวิธีครับ

ถ้าเราใช้แบบนี้แต่เขามาเข่นฆ่า รา เราจะทำอย่างไร พี่น้องครับให้เราคิดว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดหล่ะครับ

คนเสื้อแดงต้องแข็งกร้าวต่อเผด็จการ แต่อ่อนน้อมต่อประชาชนอย่าไปแข็งกร้าวกับเขา
เพราะประชาชนคือพวกเดียวกับเรา เมื่อประชาชนปล่อยมือจากพวกเขา เขาก็อยู่ไม่ได้


จบการเสวนาจาก อ.นัดวุด บนเวทีเท่านี้คะ

Re:

โดย ลูกชาวนาไทย



การบรรยายของคุณณัฐวุฒิเรื่อง แนวทางการต่อสู้ตามวิธีการ “สันติอหิงสา” นั้น เป็นการบรรยายยกตัวอย่างในทางแนวคิดในระดับกว้างๆ แต่ยังไม่ได้ลงลึกถึง “ยุทธวิธีแบบอหิงสา” ในทางการปฏิบัติจริงๆ ซึ่งวิธีการแบบ อหิงสาหรือ Non-violence นั้น นักวิชาการเขารวบรวมไว้ว่ามีถึง 140 กว่าวิธี แต่กว้างๆ สามารถแบ่งได้ออกเป็นสามประการ หรือสามกลุ่มคือ

1. การประท้วง เช่น
- การชุมนุม การร้องเรียน (ฎีกา)
- การกระทำเชิงสัญลักษณ์ (แบบ บก.ลายจุด)
- การเดินขบวนทางไกล (เช่นจักรยานสองขา หรือขบวนเดินทางของเสื้อแดงปี 2553 ช่วง 12-14 มีนาคม)

2. การไม่ให้ความร่วมมือ เช่น
- ไม่จ่ายภาษี
- การบอยคอต เช่น เสื้อแดงเราบอนคอตมาม่า จนกลุ่มทุนพวกนี้เงียบไป
- การนัดหยุดงาน
- อารยขัดขืน
- การร่วมมือกันทำอารยะขัดขืนเป็นการทั่วไป

3. การเข้าแทรกแซง เช่น

- การนั่งยึดพื้นที่สำคัญบางแห่งโดยมวลชน (แบบที่ พธม.ยึดทำเนียบ sit-in หรือเสื้อแดงยึดราชประสงค์)
- การปิดล้อมจุดสำคัญ (เช่น การล้อมทำเนียบของ พธม.)
- การอดอาหาร (จำลองเคยทำ)
- การจัดขบวนรถแห่รอบเมือง
- การตั้งรัฐบาลของตนเองคู่ขนานไปเป็นต้น

ยุทธวิธีทั้งสามกลุ่มนี้เป็นจากเบาไปหาหนัก กลุ่มที่สามนั้นเป็น "อหิงสาเชิงรุก" เป็นการเข้ากระทำโดยตรง แต่ข้อหนึ่งกับข้อสอง เป็นยุทธวิธีอหิงสาในเชิงรับ

ดังนั้น ยุทธวิธีของ "สันติอหิงสา" จึงไม่ได้เป็นเพียงแต่การรับมืออย่างเดียวเท่านั้น เป็นเป็นสงครามเชิงรุกได้ด้วย

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย วันที่ 09/04/54

ที่มา thaifreenews

โดย blablabla



เพราะกิเลส ตัณหา พาวิบัติ
ไร้คำสัตย์ ปัดทิ้ง ทุกสิ่งอย่าง
เอาประโยชน์ พวกพ้อง สนองพราง
เพื่อปูทาง ผูกขาด อำนาจตน....

เลือกเมื่อไหร่ ได้น้อย รอคอยเสียบ
หวังเอาเปรียบ คู่แข่ง ทุกแห่งหน
คะแนนน้อย ไร้ค่า ราคาคน
แต่เล่ห์กล สนองสั่ง หนุนหลังรอ....

ด้วยวิธี สุดพิเศษ ทุเรศลึก
เผด็จศึก ซ่อนเร้น หวังเป็นต่อ
กอดเท้าบู้ท ร้องร่ำ น้ำตาคลอ
แล้วร้องขอ เก้าอี้ ไม่มีอาย....

ไร้ซึ่งเกียรติ ศักดิ์ศรี อัปรีย์ล้น
สร้างรอยหม่น ถาโถม จนจมหาย
ผลประโยชน์ เมามัว ชั่วจนตาย
ยิ่งออกลาย เลี่ยงหลบ บัดซบจริง....

จะพิเศษ พิเศษกว่า ชั่วทั้งนั้น
เพราะพวกมัน คิดจัญไร ได้ทุกสิ่ง
มันวางแผน เลวร้าย หมายช่วงชิง
เตรียมตัววิ่ง มุ่งสู่ ประตูชัย....

พวกคนโง่ ต่างเฮฮา ประสาโง่
พอถูกโอ่ ยิ้มร่า หน้าสดใส
ยอมให้มัน หลอกหลอน จนอ่อนใจ
มันสุมไฟ กลับมองเห็น เป็นฝนพรำ....

๓ บลา / ๘ เม.ย.๕๔
http://3blabla.blogspot.com

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย วันที่ 08/04/54

ที่มา thaifreenews

โดย blablabla





ยาจิ๋วบอก ขนานนี้ ของดีแน่
มันช่วยแก้ สารพัด ที่จัดให้
แก้หน้าเหี่ยว หน้าหนา หน้าจัญไร
ผมหงอกไซร้ เอาไปแก้ ดีแน่นอน....

สรรพคุณ เกินค่า ราคาขาย
แก้ยางอาย ย้อนยอก ที่หลอกหลอน
แก้สันดาน ปากหมา เอื้ออาทร
แก้เห่าหอน โหยหวน แบบกวนตีน....


อย่าไปเที่ยว ตามหา ยาผีบอก
คนดูออก อ่านขาด ทาสแท้สิ้น
ความต่ำทราม โดดเด่น เป็นอาจิณ
คิดป่ายปีน โผล่หา ราคาคน....

ยาเพื่อไทย ขนานเอก เสกจำเพาะ
มันพอเหมาะ ดีเด่น อย่างเป็นผล
ทาตรงไหน ใสสวย ด้วยมงคล
ไม่อับจน แต่เจิดจ้า ทั่วหน้ากัน....

ได้คิดดี ทำดี ทวีสุข
พ้นจากทุกข์ ส่องสว่าง เส้นทางฝัน
อยู่ที่เรา เป็นผู้สร้าง ผ่าทางตัน
ดีเลวนั้น กำหนดได้ "ในมือเรา"....

ยาจิ๋วบอก ขนานนี้ ของดีนัก
แม้นรู้จัก พูดได้ ไม่อายเขา
ความสดใส สวยงาม ตามเป็นเงา
เลิกซึมเศร้า สุขถ้วนหน้า เพราะยาดี....


๓ บลา / ๘ เม.ย.๕๔
http://3blabla.blogspot.com

ประกาศจากอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

ที่มา thaifreenews

โดย สุรชัย..namome

lulu
เรียน ทุกท่าน ผมจะขอ deactivate เฟสบุ๊คนี้ ชั่วคราว เย็นนี้นะครับ

จริงๆแล้ว ผมคิดมาหลายวันว่า คงต้องลดกิจกรรม fb นี้ ลง เพราะเท่าที่เป็นอยู่ มีแต่เพิ่มมากขึ้นๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อทั้งงานประจำ และงานอื่นๆของผมมากขึ้นๆ หลังๆ ไม่เพียงผู้ทีเห็นด้วยกับที่ผมเขียน แต่ผู้ที่ไม่เห็นด้วย ก็พากันมาเยอะมากๆ พวก comments ต่างๆ จากที่เดิม ผมเคยตามอ่านได้ ตอนนี้ บางกระทู้ มี 1000-2000 comments ก็มี ซึงผมไม่มีเวลาตามอ่าน และปัญหาที่ตามมาคือ บางความเห็น ก็โพสต์กันแรงๆ หรือให้ links ที่เสี่ยง อย่างเมือเช้า ผมตื่นมา ก็ต้องลบไปร่วม 10 กว่า comments คือตอนนี้ สภาพ fb กำลังคล้ายๆกับเว็บบอร์ด ปํญหาคือ เว็บบอร์ด มีคนดูแลหลายคน ผลัดกันตลอด 24 ชม.ได้ แต่ fb ผมเอง ผมก็ไม่มีเวลาดูแล แม้แต่จะตอนกลางวันได้ตลอดวัน

มีผู้เสนอว่า ให้ผมทำ fan page ผมก็กำลังศึกษา พยายามทำความเข้าใจอยู่ แต่ไม่แน่ใจ่วา จะสามารถทำได้ไหม เพราะจะยิ่งเพิ่มภาระที่มากอยู่แล้ว มีคนเสนอว่าจะ "ฟอร์มทีม" มาช่วยดูแล เป็น admin ของ fan page ให้ ซึงก็คงคล้ายๆกับเว็บบอร์ด อันนี้ ผมก็ยังพิจารณาอยู่เช่นกัน เพราะต่อให้สามารถฟอร์มทีม มาช่วยดูแลจริงๆ ก็ไม่แน่ใจว่า ผมจะทำได้ไหม เพราะอย่างแรกคือ fan page ก็ยังอยู่ในชือความรับผิดชอบผมเองส่วนหนึง ซึ่งผมก็คงต้องดูแลด้วยส่วนหนึง (ไม่เหมือนเว็บบอร์ด ที่บางที ผมไม่เข้าเลยเป็นสัปดาห์ ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะไมใช่คนดูแล) และอย่างไรก็ตาม ถ้าจะทำจริงๆ ผมก็คงไม่สามารถทำได้ในวันนี พรุ่งนี้ ผมต้องขอเวลาเตรียมอยู่เหมือนกัน ซึงในระหว่างนี้ ถ้ายังมี fb ธรรมดาอยู่ ภาระงานก็ยังเยอะอยู่นั่นเอง

นอกจากนี้ เดิมทีเดียว ผมนึกว่า เวลาปิดเทอม จะใช้ไปในการเคลียร์พวกต้นฉบับงานเก่า (เช่น "ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง") เพือตีพิมพ์ใหม่ หรือไม่ก็เขียนบทความใหม่ๆออกมา (ไม่นับรวมเรื่องหนังสือวิชาการที่ผมเตรียมจะอ่านสำหรับการสอนปีการศึกษา หน้าอีกจำนวนมาก) แต่ดูเหมือนในสภาพขณะนี้ ผมคงไม่สามารถทำได้ ยกเว้นแต่จะต้องลดภาระเรื่อง fb หรือการเขียนออนไลน์นี้ลงชนิดเยอะๆ
แน่นอน สถานการณ์ในขณะนี้ ทีผมพูดๆถึง ในกระทู้ 2-3 อันหลังๆ ก็มีส่วนในการตัดสินใจอยู่ ที่ผ่านมา ตั้งแต่การสัมมนาวันที่ 10 ธันวา ก็มีคนถามผมมาหลายครั้งถึงปัญหา การขู่ ฯลฯ ว่าได้มีบ้างไหม ซึงผมก็หลีกเลี่ยงทีจะอธิบาย เพราะไม่ต้องการทำให้เหมือนกับมาโวยวาย และก็รู้สึกจริงๆว่า ปัญหาความลำบากต่างๆ เป็นเรื่องที่ไม่ได้หนักหนาอะไรถ้าเทียบกับทีคนทีเจ็บที่ตายได้รับในระหว่าง การต่อสู้อื่นๆ แต่ในระยะประมาณ 1 เดือน หรือ ไม่กี่สัปดาห์นี้ ข่าวคราวทางด้านนี้ ที่มีมาถึงผม เพิ่มมากขึ้นๆจริงๆ จนผมคิดว่า น่าจะบอกกล่าวให้รู้กันไว้บ้าง

เรื่องทีผมกลายเป็น "เป้าของความเกลียด" ของบรรดาผู้อ้างความจงรักภักดีมากขึ้นๆ - ผมคิดว่า คงไม่เป็นการพูดเกินไปทีจะบอกว่า ทีประยุทธ พูดถึงนักวิชาการก็ดี ที่คอลัมนิสต์ ไทยโพสต์ พูดไปถึง "โชติศักดิ์" ก็ดี ความจริง คงมีผมเป็นภาพในใจมากกว่าใครอื่น ไม่นับกรณีที่คนทีอ้างจงรักภักดีระดมกันออกมาตอบโต้ผมตามออนไลน์ต่างๆอีก เยอะ นอกจากนี้ ผมยังมีข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่า คลิปการพูดของผมในวันที่ 10 ธันวา ซึง ก่อนหน้านี้ อาจจะแพร่หลายมากในหมู่ "มวลชน" (และเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง หรือที่เกียวข้องโดยตรง) ตอนนี้ เริ่มได้รับการแพร่ไปในหมู่นายทหาร หรือเจ้าหน้าทีรัฐที่ไม่ใช่คนที่เกียวข้องในเรือ่งดูแลเรืองพวกนี้โดยตรงมาก ขึ้นๆ (ผมก็นึกว่า "แรงกระเพื่อม" ของการพูดวันนั้น จะจาง หรือหยุด แต่ล่าสุด เท่าที่ได้ทราบมา ก็ยังไม่หยุด โดยเฉพาะในหมู่คนทีก่อนหน้านี้ ไม่เคยรู้เห็นมาก่อน ก็เริ่มรู้เห็นมากขึั้น อย่างกรณีพวกนายทหารต่างๆ เรื่องนี้ มองในแง่ดี ก็ดี ตรงที่ อาจจะทำให้คนหันมาสนใจ หรือคิดเรือ่งที่ผมเสนอมากขึั้น แต่มองในอีกด้าน ก็อาจจะเหมือนการแพร่กระจาย ของภาพปลุกระดมของพวก "ดาวสยาม" ก่อน 6 ตุลา ทีทำให้ "มวลชนฝ่ายขวา" และ เจ้าหน้าที่รัฐ เริ่มเกิดอาการตระหนกมากขึ้นๆว่า มีคนต้องการ "ล้มเจ้า" กันอย่างรุนแรงแล้วในขณะนี้ โดยเอาคลิปผมเป็น "ตัวอย่าง")

เรื่องนี้จริงๆ ไม่ได้ทำให้ผมคิดว่าตัวเองจะเลิกพูดเลิกเขียนอะไร แต่เมือ่มาบวกกับเรื่องภาระที่มากขึนๆ (ซึงส่วนหนึงก็คือเรื่องเดียวกัน) ทำให้ผมรู้สึกว่า อยากจะขอ "หยุด ตั้งหลัก" สักครู่ อย่างน้อยอาจจะ 2-3 สัปดาห์ แล้วก็จะได้ถือโอกาสใช้เวลานี้ เคลียร์พวกงาน ต้นฉบับหนังสือ อ่านหนังสือทีต้องอ่าน ไปด้วย หลังจากได้คุยปรึกษากับเพื่อน 2-3 คน ก็เห็นว่า น่าจะทำได้ โดยไม่มีผลกระทบอะไรต่อการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ผมสนับสนุน

ต้องขออภัยทุกท่านที่เป็น "Friends" หรือ "Fans" ของ เฟสบุ๊ค นี้ ที่ต้องทำแบบนี้ และขอขอบคุณทุกท่านอย่างสูงในความสนใจ และในน้ำใจอื่นๆ (ความห่วงใย ความสนับสนุน คำแนะนำ ฯลฯ) หวังว่าคงมีโอกาสได้พบกันอีก ที fb นี้ หรือในรูปแบบอืน

ด้วยความรัก
สมศักดิ์

Re:

โดย ลูกชาวนาไทย

ก็เคารพการตัดสินใจนะครับ เพราะการคุกคาม บางทีมันก็กระทบชีวิตความสงบของเราเหมือนกัน
นักวิจชาการนั้น สิ่งที่ต้องการคือความสงบเพื่อที่จะได้คิด

ผมว่า อ.สมศักดิ์ ช่วงนี้ก็เปลี่ยนมาเล่นเว็บบอร์ดก่อนก็ได้ครับ โพสต์ความเห็นในเว็บบอร์ดใด เว็บบอร์ดหนึ่งไปก่อน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับผิดชอบการการที่ต้องมาตามลบ และการบริหารเว็บบอร์ดต่างๆ ซึ่งเรื่องพวกนี้ นักคิด ไม่ค่อยชอบการบริหารเท่าใดนัก

แน่นอน ตอนนี้ อ.สมศักดิ์ เป็นเป้าแทนคนอื่นๆ ไปแล้ว เพราะมีความเด่น และมีพลังในการ โน้มน้าวสูงกว่า ดังนั้น การลาพักสักสองสามสัปดาห์ เพื่อให้อุณหภูมิมันลดลง บางทีก็อาจเป็นสิ่งจำเป็น

ตอนนี้ เราออกหมัดหนักๆ และได้ผลไปสองหมัดแล้วคือ กรณี การสัมมนา 112 ของคณะนิติราษฎร์ และ "บทความวิจารณ์ความเห็นของเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ในรายการวู๊ดดี้"

สองสิ่งนี้มีน้ำหนักรุนแรงพอสมควรในสังคมจารีต (ที่กำลังเสื่่อมสลายลง) ในขณะนี้ พวกเขายังหาทางตอบโต้ "ทางวิชาการที่มีน้ำหนัก" ไม่ได้ จึงเงียบไป บางส่วนของฝ่ายจารีตจึงพยายามที่จะตอบโต้โดยการใช่กำลังคุกคาม

ตอนนี้ก็อาจรอดูสถานการณ์ไปก่อนก็ได้

Re:

โดย ขวดเปล่า



อยากเห็นนักวิชาการอื่นๆ ออกมาอัดพวกคนชั้นสูงบ้าง

ไม่อยากเห็นอาจารย์สมศักดิ์ เป็นเป้าอยู่คนเดียว
ถ้ามีหลายๆ คนกล้าพูด กล้าแสดงความเห็น

บรรยากาศจะไม่เป็นแบบนี้

ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล ที่ปรึกษาศอ.บต.ชุดใหม่ “สภาที่ปรึกษาต้องพิสูจน์ตัวเองว่าไม่สนองพรรคการเมือง”

ที่มา ประชาไท

เห็นหน้าค่าตากันแล้วสำหรับว่าที่สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 หรือ พ.ร.บ.ศอ.บต. ที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งเมื่อไปวันที่ 3 เมษายน 2554 ที่ผ่านมา ที่แม้ผู้เข้ารับการเลือกตั้งเป็นผู้แทนตามสายวิชาชีพที่หลากหลาย รวม 49 คน แต่ไฉนยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีแต่เด็กนักการเมือง จนถึงอาจถูกตั้งความหวังแค่การเป็นสภาตรายางหรือสภาหุ่นเชิด แต่จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ระยะเวลาและผลงานเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์

จากที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) แปลงมาเป็นสภาที่ปรึกษาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ สตต. ก่อนที่จะกลายมาเป็นสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน มีผลงานเป็นอย่างไร “ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล” นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมงานกับศอ.บต.ในฐานะที่ปรึกษา จนกระทั่งได้รับเลือกตั้งเป็นว่าที่ที่ปรึกษาชุดใหม่ล่าสุดด้วย อธิบายถึงผลงานและการทำงานของสตต.ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร บวกกับความหวังต่อสภาที่ปรึกษาชุดใหม่อย่างไร โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการร่วมกับไฟใต้

ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล
ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล

...........................

สตต.หรือสภาที่ปรึกษาชุดเดิมของสอ.บต. มีผลงาน และการทำงานเป็นอย่างไร

ในช่วงที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ในสมัยของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากถูกยุบไปในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีการตั้งที่ปรึกษาของ ศอ.บต.ขึ้นมา จากนั้นถูกแปลสภาพเป็นสภาที่ปรึกษาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ สตต.

ผมและอีกหลายเป็นที่ปรึกษาของศอ.บต.ตั้งแต่ยังไม่ได้ตั้งเป็นสภาที่ปรึกษา เมื่อมีการตั้งเป็นสภาที่ปรึกษา การทำงานจึงเป็นเอกเทศมากขึ้น มีการตั้งประธานสภา มีรองประธานสภา มีเลขานุการ โดยมีการตั้งคณะทำงานของสภาที่ปรึกษาทั้งหมด 7 คณะ

เจตนรมย์ของ สตต. ตั้งขึ้นมาเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีวัตถุประสงค์ คือถ้าคนไหนเก่งเรื่องใดก็ให้มาร่วมกันทำงาน เช่น เก่งเรื่องศาสนาก็ดูแลเรื่องศาสนา คนที่เก่งเรื่องเศรษฐกิจก็ดูแลเรื่องเศรษฐกิจ เอาปัญหาในทางปฏิบัติมาแก้ไข

ผลงานที่ผ่านมาของสภาที่ปรึกษา สตต. มีการผลักดันโครงการต่างๆ ให้ผ่านความเห็นชอบของ สตต. เพื่อเสนอต่อรัฐบาลให้แก้ไขปัญหา หรือมีการพัฒนาขึ้น เช่น โครงการฮัจญ์(การประกอบพิธีทางศาสนา ณ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย) ที่สามารถทำได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

ในเรื่องการแก้ปัญหาความไม่สงบ ได้มีการทำหนังสือวิเคราะห์ปัญหาและการแก้ปัญหาความไม่สงบ จำนวน 3 เล่ม เพื่อแจกจ่ายให้ข้าราชการในพื้นที่ใช้เป็นคู่มือในการปฏิบัติงาน เพราะทำให้ทราบว่าปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากอะไรและเมื่ออ่านแล้วก็สามารถนำไปปฏิบัติได้

การแก้ปัญหาในเรื่องของศาสนา ในคณะทำงานด้านศาสนา มีการจัดพิมพ์หนังสืออีก 2 เล่ม คือ อิสลามความจริงที่ต้องรู้ และชุมนุมปาฐกถาผู้นำศาสนาอิสลามโลก แจกจ่ายให้ผู้นำศาสนา ตามมัสยิดหรือสถานการศึกษาในพื้นที่ชายแดนใต้ เพื่อต้องการแก้ปัญหาที่ฝ่ายตรงข้ามบิดเบือนหลักศาสนาเพื่อก่อความไม่สงบ

อีกเรื่องที่ผลักดันและเกือบจะประสบความสำเร็จในขณะนี้ คือ การผลักดันร่างกฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดก ขณะนี้อยู่ระหว่างรอให้นายกรัฐมนตรีลงนามและนำเข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร ให้ทันก่อนที่จะมีการยุบสภาในอีกไม่กี่วัน

ในเรื่องสิ่งแวดล้อม ได้ผลักดันให้หน่วยงานต่างๆ เข้ามาดูแลและพัฒนาในเรื่องการทำประมงชายฝั่งในจังหวัดปัตตานี มีการจัดซื้อเรือตรวจการณ์เพื่อป้องกันและปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมาย และมีการจัดสรรงบประมาณจัดทำปะการังเทียมและการป้องกันการบุกรุกชายฝั่ง

นี่คือผลงานหลักๆ เท่าที่ประมวลได้ นอกจากนั้น ยังมีการให้คำชี้แนะ เสนอข้อคิดเห็นต่างๆ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมทั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)ด้วย

ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นใดบ้างที่ถูกนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และที่ผ่านมาการทำงานของสตต.ถือว่าเป็นปากเสียงของประชาชนได้ดีพอหรือยัง

สำหรับข้อเสนอแนะและความคิดเห็นที่ถูกนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนใหญ่คือข้อเสนอในเรื่องการแก้ปัญหาโดยใช้แนวทางการเมืองนำการทหาร

โดยเรายึดอยู่ตลอดเวลาว่า การแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ให้ได้ผล คือ 1.ทหารต้องใช้ระบบการเมืองนำการทหาร 2.การแก้ปัญหาความยากจน ซึ่ง ศอ.บต.ก็ได้ทำหลายโครงการ และ 3.การแก้ปัญหาความยุติธรรม เพราะเราเชื่อว่า ปัญหาเดิมเกิดจากชาวบ้านไม่ได้รับความยุติธรรม เกิดข้าราชการสร้างเงื่อนไขให้เกิดความไม่สงบ เราก็จะต้องแก้ตรงนั้น และผลักดันให้เกิดความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมายและความเสมอภาคในสังคม

นอกจากนั้นยังผลักดันเรื่องการศึกษา เพราะต้องการให้มีการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่เรื่องค่าตอแทนของของครูโรงเรียนตาดีกา การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับชุมชน มีการพูดกันว่า เราคิดแต่ไม่ได้ทำ จึงแก้ปัญหาโดยให้คนในพื้นที่คิดและนำไปทำเอง

ที่ผ่านมา สตต. เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้เสียงของชาวบ้านได้เข้ามาอยู่ในโครงสร้างการแก้ปัญหาของรัฐ เป็นการสะท้อนปัญหาที่แท้จริง จนสามารถนำปัญหาที่สะท้อนมาให้รัฐบาลแก้ไขได้มาก

ความแตกต่างระหว่าง สตต.กับสภาที่ปรึกษาชุดใหม่เป็นอย่างไร

จากที่ทำงานมานั้น ถือว่า สตต.ชุดนี้ทำงานได้ดีที่สุด แต่ละคนที่เข้ามาทำหน้าที่ เป็นคนมีความรู้และมีความเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น และมีที่มาที่หลากหลายกว่าสภาที่ปรึกษาชุดใหม่ที่กำลังจะมีขึ้น เพราะสภาชุดใหม่มีตัวแทนที่มาตามสาขาอาชีพ

ถ้าถามว่า สภาที่ปรึกษาชุดใหม่มีความครอบคลุมหรือไม่ ถือว่าครอบคลุม แต่ก็มีความโดดเด่นไม่เหมือนกัน ชุดที่มาจากการแต่งตั้ง มาตามความโดนเด่นของตัวบุคคล ส่วนที่มาจากการเลือกตั้ง ได้มาจากคะแนนเสียง ไม่ใช้ความโดดเด่นของตัวบุคคลที่แท้จริง อาจไม่ใช่ตัวที่ดีจริงๆ ก็ได้ ได้มาเพราะมีคนรู้จักกว้างขวาง มีคนใส่คะแนนให้เยอะ ส่วนเรื่องความรู้ความชำนาญ ยังไม่พูดถึง เพราะจะรู้เรื่องเฉพาะในสายอาชีพของตนเอง

ความแตกต่างระหว่าง สตต.กับสภาที่ปรึกษาชุดใหม่ คือ สตต.มีบริบทการทำงานแค่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา แต่สภาที่ปรึกษาชุดใหม่ มีบริบทพื้นที่ที่กว้างกว่า คือ ทั้ง 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเพิ่มสงขลาและสตูล

ขณะเดียวกันระหว่างตัวแทนของ 3 จังหวัด กับสงขลาและสตูล อาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง เนื่องจากตัวแทนใน 3 จังหวัดมาจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่สตูลกับสงขลา ไม่มีผลกระทบโดยตรง ดังนั้นจึงต้องมาทำความเข้าใจให้ตรงกัน

ยกตัวอย่างเช่น ตัวแทนองค์กรปกครองท้องถิ่นของสงขลากับสตูลอาจจะคิดเรื่องเดียว คือ งบประมาณ เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โดยตรง อาจมองปัญหาจากผลกระทบโดยตรงไม่ชัดเจน

ตัวแทนทางเศรษฐกิจก็เช่นกัน คือ ตัวแทนหอการค้าจังหวัดสงขลากับสตูล อาจมองเรื่องการลงทุน ทำอย่างไรที่จะให้มีการลงทุนมาก แต่ตัวแทนใน 3 จังหวัดบอกว่า จะทำอย่างไรที่จะให้มีคนไปลงทุนในพื้นที่ ถ้าให้สิทธิพิเศษเท่ากัน 3 จังหวัดจะเสียหาย เพราะคนมาลงทุนที่สงขลาหมด เป็นต้น

ส่วนในเรื่องอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย สภาที่ปรึกษาชุดใหม่มีอำนาจมากกว่า เพราะมีอำนาจตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553

ถึงจะมีอำนาจมากหรือน้อย แต่ลักษณะที่เหมือนกันคือ ต้องปลอดจากการเมือง เพราะถ้ามีลักษณะการเมืองอยู่เบื้องหลัง การทำงานก็จะไม่ตอบสนองนโยบายการแก้ปัญหาของประชาชน แต่จะไปตอบสนองนโยบายของพรรคการเมือง และสนองนโยบายของส่วนราชการการ ทั้งในการจัดงบประมาณ การสนับสนุนงบประมาณหรือโครงการ

เพราะฉะนั้นต้องตรวจสอบว่า ตัวแทนทั้ง 49 คน เป็นคนของพรรคการเมืองไหนบ้าง สัดส่วนเป็นอย่างไร และใครบ้างที่ไม่มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง

แต่ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเด็กนักการเมืองทั้งนั้น น่าจะมีผมคนเดียวที่ไม่มีการเมือง นอกจากนั้นน่าจะมาจากพรรคการเมืองชื่อดังของภาคใต้กับอีกพรรคการเมืองที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานแต่มี ส.ส.(สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร)เป็นสมาชิกพรรคแล้ว

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว สภาชุดนี้ต้องทำงานพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่า ไม่ได้ทำงานสนองพรรคการเมือง ซึ่งต้องนี้ยังไม่น่าเป็นห่วง เพราะเราต้องให้เวลาทำงานก่อน ตอนนี้เรายังไม่ทำงาน และตอนนี้แต่ละคนเรารู้ที่มาแต่ยังไม่รู้ถึงวิสัยทัศน์ ยังไม่เห็นว่าใครเคยทำอะไร

สิ่งที่น่าจับตาสำหรับสภาที่ปรึกษาชุดใหม่คืออะไร และอนาคตจะเป็นอย่างไร

สิ่งที่น่าจับตา คือ สภาที่ปรึกษาชุดนี้เราได้คนใหม่เกือบทั้งหมด ซึ่งไม่เคยทำงานกับศอ.บต.มาก่อน ไม่เคยร่วมแก้ปัญหาความมาสงบ เราจะมีคนเก่าอยู่ประมาณ 5 คน และคนใหม่ก็มาจากหลายๆ องค์กร แล้วต้องมาหลอมรวมกันให้ได้ นี่คือสิ่งที่ต้องทำให้ได้ จึงต้องใช้เวลาอีกระยะ เพื่อศึกษาปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ บางคนอาจศึกษามาแล้ว แต่บางคนอาจยังไม่ได้ศึกษามาก่อนเลย เข้าไปแรกๆ อาจยังไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง

เพราะฉะนั้นช่วงแรกๆ ถ้าหวังผลงานจริงๆ อาจยังไม่เห็น แต่หลักการจริงๆ ต้องดูว่าสิ่งที่รัฐบาลต้องการโดยการตั้งสภาที่ปรึกษาขึ้นมานั้น มันจะสอดคล้องกับพื้นที่หรือไม่ มันจะให้ประโยชน์หรือไม่ เป็นการแก้ปัญหาความจริงใจ หรือแก้ปัญหาเพราะต้องการใช้งบประมาณ คนที่เข้ามาเป็นที่ปรึกษาต้องอ่านเกมนี้ให้ได้ ต้องเข้าใจเรื่องให้ได้ เพราะที่สังเกตคือ ขนาดกอ.รมน.เข้ามาแก้ปัญหาความไม่สงบนี้มา 7 ปีแล้ว ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ใช้งบประมาณเป็นแสนล้าน แต่ ศอ.บต.ใช้งบหกหมื่นล้านบาทและเป็นงบผูกพัน

และต้องมาดูว่าแต่ละโครงการที่มีการผลักดันจากที่ปรึกษาชุดที่แล้ว เป็นเรื่องที่ถูกต้องและแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ โดยที่โครงการที่ ศอ.บต.เอางบมาทำ ตอบสนองต่อปัญหาความไม่สงบได้หรือไม่ หรือแค่ได้ทำ เพราะต้องการใช้เงินงบประมาณให้หมด นี่คือเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่ว่าได้ตำแหน่งที่ปรึกษาแล้วก็จบ เพราะฉะนั้นต้องจับตาดูต่อไป

รายชื่อว่าที่ที่ปรึกษาชุดใหม่ศอ.บต.

ต่อไปนี้เป็นบัญชีรายชื่อ ผู้ได้รับการคัดเลือกเพื่อเสนอชื่อให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2554 ในสาขาและประเภทต่าง ๆ ดังนี้

ก.ประเภท ที่มีผู้แทนจังหวัดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดละหนึ่งคน

ประเภท/จังหวัด

ปัตตานี

นราธิวาส

ยะลา

สงขลา

สตูล

ผู้แทนองค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่น

นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี

.ส.อ.ฮาริส มะรือสะ

นายสมุทร มอหาหมัด

นายไพร พัฒโน

นายสัมฤทธิ์ เลียงประสิทธิ์

ผู้แทนกำนันและผู้ใหญ่บ้าน

นายสมาแอ ดอเลาะ

นายเสรี นิมะยุ

นายสมมาศ มะมุพิ

นายดลเลาะ เหล็มแหละ

นายวีระ เพชรประดับ

ผู้แทนกรรมการอิสลามประจำ
จังหวัดและอิหม่ามประจำมัสยิด

นายอัศมี โต๊ะมีนา

นายอับดุลอาซิซ เจ๊ะมามะ

นายรุสดี บาเกาะ

นายมูหรอด ใบสะมะอุ

นายยำอาด ลินารา

ผู้แทนเจ้าอาวาสในศาสนาพุทธ

พระครูจริยาภรณ์

พระครูสุนทรเทพวิมล

นายวิชัย เรืองเริงกุลฤทธิ์

พระศรีรัตนวิมล

พระครูโสภณปัญญาสาร

ผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจใน
การพัฒนาสังคม ภูมิปัญญา
ท้องถิ่น หรือวิถีชีวิตของ
ประชาชนในพื้นที่

นายอับดุลเล๊าะ วาแม

นายกิตติพล กอบวิทยา

นายคอลีลือเราะมัน ดือราแม

นายวรรณชัย สุวรรณกาญจน์

นายวรัตน์ แสงเจริญ

ผู้แทนผู้สอนและบุคลากร
ทางการศึกษา

นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร

นายอาดุลย์ พรมแสง

นายดนุพล อ้นพวงรัตน์

นายเสริมสุข สุวรรณกิจ

นายนิสิต ชายพักตร์

ผู้แทนกลุ่มสตรี

นางเบญจวรรณ ซูสารอ

นางสารีปะ สะเมาะ

นางรัตนา กาฬศิริ

นางจินตนา จิโนวัฒน์

นางรัชนี เด่นกาญจนศักดิ์

ผู้แทนหอการค้าจังหวัดและ
สภาอุตสาหกรรมจังหวัด

นายพิทักษ์ ก่อเกียรติพิทักษ์

นายปกรณ์ ปรีชาวุฒิเดช

นายยู่สิน จินตภากรณ์

ดร.สุรชัย จิตภักดีบดินทร์

นายสมชาย ตันติ์ศรีสกุล

ข.ประเภท ที่มีผู้แทนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หนึ่งคน

(1) ผู้แทนศาสนาอื่น รศ.ทพ.ดร.กรัสไนย หวังรังสิมากุล
(2) ผู้แทนสถาบันศึกษาปอเนาะตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนาะ นายอับดุลอาซิส ยานยา
(3) ผู้แทนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา นายอับดุลรอนิ กาหะมะ
(4) ผู้แทนสื่อมวลชน นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล
บัญชีรายชื่อ ผู้ได้รับการคัดเลือกเพื่อเสนอชื่อให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
ก.ประเภท ที่มีผู้แทนจังหวัดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดละหนึ่งคน
ข.ประเภท ที่มีผู้แทนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หนึ่งคน
(1) ผู้แทนศาสนาอื่น รศ.ทพ.ดร.กรัสไนย หวังรังสิมากุล

“สนธิ ลิ้มทองกุล” อัด หน.พรรคการเมืองใหม่ “หลงกับตำแหน่งแห่งที่”

ที่มา ประชาไท

สนธิโอดเคยพูดเองว่า “พรรคการเมืองใหม่” เป็นเครื่องมือพันธมิตรฯ แต่วันนี้หาใช่เช่นนั้นไม่ ชี้การสู้รอบนี้ทำให้พวกที่เคยห้อยโหนในอดีตหลุดพ้นกระเด็นไป ลั่นเป็นสื่อมวลชนอาวุโสไม่กี่คนในไทยที่เข้าใจหลักการเป็นสื่อมวลชนที่ดีและถูกต้อง เผย “ผู้ทรงธรรม” ทำนายว่าน้ำจะท่วมประเทศไทย ผู้ภาวนารักษาศีลเท่านั้นที่จะรอด

ภาพในหนังสือพิมพ์ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ฉบับที่ 984 ประจำวันที่ 8 เมษายน 2554 ซึ่งตีพิมพ์บทรายงานและบทสัมภาษณ์สมศักดิ์ โกศัยสุข และอัญชะลี ไพรีรักษ์

สนธิปราศรัยฉะหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ หลงตำแหน่งแห่งที่

(9 เม.ย. 54) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนังสือพิมพ์ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ฉบับที่ 984 ประจำวันที่ 8 เมษายน 2554 ซึ่งวางแผงเมื่อวานนี้นั้น (8 เม.ย.) มีการตีพิมพ์รายงานข่าวอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คือ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ในหัวข้อ “รายงานพิเศษ 'สมศักดิ์ โกศัยสุข' บนทางที่ต้องเลือก ปฏิเสธข้อเสนอ 'โหวตโน'” และ อัญชะลี ไพรีรักษ์ ในหัวข้อ “รายงานพิเศษ (ที่เห็นและเป็นอยู่): เปิดหน้าคุย 'ปอง อัญชะลี'” โดยจากบทรายงานดังกล่าว ทำให้มีการตอบโต้บทตีพิมพ์ดังกล่าวโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในการปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สะพานมัฆวานฯ เมื่อคืนวันที่ 8 เม.ย. ด้วย

“การสู้ครั้งนี้ทำให้พวกที่เคยห้อยโหนการต่อสู้ของเราในอดีตหลุดพ้นกระเด็นไป และไม่สามารถมาร่วมกับพวกเราได้ก็เพราะว่าหลักการของเขากับหลักการของเรา นั้นไม่เหมือนกัน แตกต่างกัน ที่น่าสนใจข้อหนึ่งพี่น้อง นอกจากพวกห้อยโหนจะหมดไปแล้ว ยังเป็นการเปิดตัวตนที่แท้จริงในหมู่พวกเราหลายๆ คนด้วยใช่ไม่ใช่”

“ที่น่าเสียใจก็คือว่า ในหนังสือพิมพ์อย่างเช่น เดอะเนชั่นสุดสัปดาห์ ได้สัมภาษณ์คนซึ่งคิดไม่ถึงว่าจะพูดถึงเราในแง่ลบ พูดในทำนองว่าถ้าโหวตโนแล้ว ในฐานะพรรคการเมือง จะทำผิดกฎหมายทางการเมือง ไปซื้ออ่านดูว่าคนๆ นั้นเป็นใคร” นายสนธิกล่าว

นายสนธิยังปราศรัยโจมตีหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่นายสมศักดิ์ โกศัยสุขดำรงอยู่ว่า “ผมพูดว่ายังไง ผมบอกมาแล้วหลายครั้ง ตอนที่เราตั้งพรรคการเมืองใหม่ จำได้ไหม ผมเป็นคนพูดเอง ตลอดจนการรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ตอนนั้นผมพูดบอกว่า พรรคการเมืองใหม่เป็นเครื่องมือของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่วันนี้หาใช่เช่นนั้นไม่ พี่น้องไม่เชื่อ ไปซื้อหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น สุดสัปดาห์ แล้วอ่านดู พี่น้องจะรู้ว่าบางครั้งยังไม่ทันไรเลย คนไปหลงกับตำแหน่งแห่งที่ และอำนาจที่ตัวเองกำลังจะได้เป็น ส.ส.”

“แล้วพอพันธมิตรฯ บอกโหวตโน เขาบอกว่าโหวตโนนั้นจะทำให้พรรคการเมืองนั้นผิดกฎหมาย เห็นตัวตนที่แท้จริงหรือยังพี่น้อง ผมถึงบอกว่าการต่อสู้ครั้งนี้มันมันกว่าทุกๆ ครั้ง เพราะนอกจากจะกำจัดพวกห้อยโหนออกไปได้แล้ว ที่สำคัญที่สุดในบรรดาพวกเรากันเอง ได้สะท้อนให้เห็นเนื้อแท้ของคนที่กำลังจะหลงอยู่ในอำนาจ” สำหรับรายละเอียดการปราศรัยของนายสนธิเมื่อคืนมีดังนี้

สนธิชี้ทหารมีมุมมองความมั่นคงไม่ต่างจากพันธมิตร ผิดกันตรงที่ทหารดีแต่พูด

เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 8 เม.ย. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นกล่าวปราศรัยที่เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยเขากล่าวเรื่องความมั่นคง โดยบอกว่ามีคนเข้าใจผิดอยู่เยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารไทย ยังเข้าใจไม่ลึกซึ้งถึงคำว่าความมั่นคง

“ความมั่นคงมันประกอบด้วย 3 อย่าง ก็คือว่า ชาติ จะมั่นคงได้ ศาสนาต้องมั่นคง ใช่ไหมครับพี่น้อง ศาสนาจะมั่นคงได้ พระมหากษัตริย์ก็ต้องมั่นคงเช่นกัน ทั้งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์นั้น มีความเกี่ยวพันกันและกันอย่างลึกซึ้ง และไม่สามารถแยกจากกันได้ ถ้าพระมหากษัตริย์ ซึ่งโดยตำแหน่งท่าน พระองค์ท่านคือเจ้าอาวาสใหญ่ สมภารใหญ่ ถ้าท่านไม่มั่นคงแล้ว ศาสนาก็จะมั่นคงไม่ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้ว 2 ส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญมาก”

การรักษาความมั่นคงของชาติซึ่งทหารน่าจะมีมุมมองที่ไม่ต่างจากเรา แต่ต่างตรงที่ทหารดีแต่พูด ขณะที่ประชาชนต้องออกมาเรียกร้องให้ทหารทำหน้าที่ที่ตัวเองจะต้องทำคือการปกป้องแผ่นดิน ซึ่งการต่อสู้ครั้งนี้มีนัยสำคัญมาก เพราะเป็นการต่อสู้บนหลักการความถูกต้อง ไม่ยึดติดในตัวบุคคล และส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์คะแนนนิยมตกต่ำมากที่สุดในประวัติศาสตร์

ชี้คนน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะประท้วงมา 3 เดือนจนเสียง ปชป. ตกต่ำที่สุด

พี่น้องสังเกตไหมว่า การต่อสู้ครั้งนี้ของพวกเรานั้น เป็นการต่อสู้ที่ลึกซึ้ง ยากลำบากไหม สำหรับผมแล้ว ไม่ถือว่ายากลำบาก สำหรับพี่น้องก็ไม่ได้ยากลำบาก มีแต่ความเหนื่อยยากเท่านั้นเอง ยากลำบากกับเหนื่อยยากไม่เหมือนกัน มีคนพยายามพูดบอกว่า พันธมิตรฯ ยุคนี้ซูบไป คนน้อยกว่าเก่าเยอะ ผมก็บอกว่า อย่ามาเถียงว่าน้อยหรือมาก ขณะที่เรามาวิสัชนากันก่อนว่า ครั้งนี้การต่อสู้ของพันธมิตรฯ นั้น และประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินนั้น เราสู้เพื่ออะไร และสิ่งที่เราสู้นั้น ยังคงยืนอยู่บนความถูกต้องอยู่หรือเปล่า ถ้าคำตอบบอกว่า ยังยืนอยู่บนความถูกต้องอยู่ เพราะฉะนั้นแล้วการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ยากลำบาก แต่หากเราสู้บนพื้นฐานที่ไม่ถูกต้อง นั่นคือการต่อสู้ที่ยากลำบากที่สุดเลยใช่ไหมพี่น้อง

เมื่อเราเข้าใจตรงนี้แล้ว ประเด็นคนน้อยคนมากกลับไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพวกเรา อีกประการหนึ่ง ถ้าการต่อสู้ของเราครั้งนี้ ประเด็นการต่อสู้คนไม่เห็นด้วย และไม่เข้าใจ คนก็จะต้องถามตัวเองว่า แล้วทำไมในช่วงทีเราประท้วงรัฐบาลชุดนี้มาแค่ 2 - 3 เดือนนี้เอง ทำไมคะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ถึงตกต่ำที่สุดในประเทศไทย ถ้าจะวัดต้องวัดกันตรงนี้ใช่ไหมพี่น้อง ไม่ว่าจะเป็นโพลอะไรก็ตาม หลังจากที่เรามาไขปัญญา จุดเทียนแห่งธรรมให้ประชาชนทั่วไปได้เห็นแล้ว คะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ตกหมด ไม่ว่าจะพูดในมุมไหน แง่ไหน ภูมิศาสตร์ภาคพื้นไหน แม้กระทั่งในภาคใต้ คะแนนนิยมของเขาก็ตกเช่นกันพี่น้อง

ลั่นการต่อสู้ครั้งนี้ทำให้พวกห้อยโหนการต่อสู้หลุดกระเด็นไป

การสู้ครั้งนี้มีนัยมาก เพราะว่าไม่ใช่เป็นการยืนยัน ยืนหยัดอยู่บนหลักการที่ถูกต้องเหมือนเดิม แต่การสู้ครั้งนี้ ยังเป็นการกลั่นกรอง เป็นการกลั่นกรองของคนที่มีหลักการและอุดมการณ์ ที่ยืนอยู่บนความถูกต้องที่ไม่ยึดถือตัวบุคคลเลยแม้แต่นิดเดียว คนพูดตลอดเวลา เป็นข่าวลือว่าแกนนำพันธมิตรฯ นั้นแตกแยกกัน พี่น้องครับ การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่หน้าที่ของแกนนำ แต่เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกๆฝ่ายที่เข้ามาร่วมมือกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีคณะกรรมการปกป้องอาณาจักรไทย 17 คนขึ้นมา แล้ว 17 คนนั้น คือเสาหลักและกำลังหลักในการต่อสู้

“การสู้ครั้งนี้ทำให้พวกที่เคยห้อยโหนการต่อสู้ของเราในอดีตหลุดพ้นกระเด็นไป และไม่สามารถมาร่วมกับพวกเราได้ก็เพราะว่าหลักการของเขากับหลักการของเรา นั้นไม่เหมือนกัน แตกต่างกัน ที่น่าสนใจข้อหนึ่งพี่น้อง นอกจากพวกห้อยโหนจะหมดไปแล้ว ยังเป็นการเปิดตัวตนที่แท้จริงในหมู่พวกเราหลายๆ คนด้วยใช่ไม่ใช่”

อัดเนชั่น-แนวหน้าปฏิบัติตัวต่ออภิสิทธิ์ เหมือนเสื้อแดงบูชาทักษิณ

พี่น้องครับ พี่น้องสังเกตไหมว่า เวลาเราสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ หรือรัฐบาลชุดนี้ ไม่ได้ต่างกับการสู้กับทักษิณ ชินวัตร เลย แม้แต่นิดเดียวพี่น้อง แปลว่าอะไร แปลว่าโดยพื้นฐานแล้ว ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ดีจริง วิธีการที่เขาต่อสู้กับเราต้องต่างกว่าวิธีการที่ทักษิณสู้กับเรา แต่วิธีการที่เขาสู้กับเราเหมือนกันหมดทุกประการ เขาเหมือนตรงไหนพี่น้อง เหมือนตรงที่ว่า เขากลั่นแกล้งเราทุกวิถีทาง เขาใช้ตำรวจมาข่มขู่เรา เขาใช้สื่อมวลชนที่อยู่ในอำนาจเขา ไม่ว่าจะเป็นช่องโทรทัศน์ที่เขาคุมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นช่อง 11 ตลอดจนหนังสือพิมพ์หลายเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายแนวหน้า หนังสือพิมพ์เครือข่ายเนชั่น ลงมาเหยียบย่ำ รุมกระทืบพวกเรา กลับเข้าไปสู่ยุคหมาหมู่เหมือนเดิม

สมัยที่เราสู้กับทักษิณ เนชั่น แนวหน้า เปลว สีเงิน ยืนข้างเรา แต่พอเปลี่ยนจากทักษิณมาเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พวกเขาก็ปฏิบัติตัวเหมือนเสื้อแดงที่บูชาทักษิณ เพราะเครือเนชั่นมีคนของประชาธิปัตย์เข้ามาถือหุ้น จึงกลายเป็นเครือข่ายประชาธิปัตย์ ส่วนแนวหน้านั้น เจ้าของก็สนิทสนมกับบิดานายอภิสิทธิ์ จึงหันมาโจมตีเรา บิดเบือน โกหกพกลม เช่น บอกว่า การโหวตโนไม่เป็นประชาธิปไตย

สมัย 49 เนชั่น แนวหน้า ไทยโพสต์มายืนเคียงข้างเพราะ พธม. สู้กับทักษิณ

เพราะฉะนั้นพี่น้องดูให้ดีๆ สมัยที่เราสู้กับทักษิณ ทำไมหนังสือพิมพ์อย่างเครือเนชั่น หรือแนวหน้า หรือคุณเปลว สีเงิน ไทยโพสต์ ถึงยืนข้างพวกเรา เพราะว่าเราสู้กับทักษิณ แต่พอเปลี่ยนจากทักษิณมาเป็นอภิสิทธิ์ เขาไม่เคยวิเคราะห์ว่า สิ่งที่ปานเทพ เทพมนตรี พล.ร.ท.ปทีป คุณเติมศักดิ์ อ.พิชาย หรือ ประพันธ์ หรือผม พูดเกี่ยวกับอภิสิทธิ์ หรือรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นความจริงหรือเป็นความเท็จ เขาไม่เคยออกมาตอบโต้ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ เขาไม่เคยออกมาตอบโต้ แต่เขาออกมาปฏิบัติตน เหมือนกลุ่มคนเสื้อแดงที่บูชาทักษิณดั่งบิดาเขาเช่นกัน เหมือนอย่างที่ผมบอกว่า หนังสือเครือเนชั่น นั้นได้ถูกซื้อขายไปแล้ว เปลี่ยนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ก็คือ ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ ของคุณสุริยะ มาเป็นตระกูลสมะลาภา ของคุณเสริมสิน ซึ่งเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องประหลาดใจอะไรเลย วันนี้ดูได้เลยว่า หนังสือพิมพ์ที่เคยสนับสนุน คือ เนชั่นสุดสัปดาห์ นั้นมีเรื่อง 3 เรื่องที่ด่าพันธมิตรฯ และด่าพวกเรา ขอยืมมือคนบางคนออกมาให้สัมภาษณ์ด่าพวกเราอยู่ตลอดเวลา นี่คือเครือข่ายเนชั่น ซึ่งเป็นเครือข่ายของพรรคประชาธิปัตย์

เสียใจ “เนชั่นสุดสัปดาห์” สัมภาษณ์คนซึ่งไม่คิดว่าจะพูดถึง พธม. แง่ลบ

เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัด หนังสือพิมพ์แนวหน้าที่เคยยืนอยู่บนอุดมการณ์เดียวกันกับเรา เมื่อเราสู้กับทักษิณ พอวันนี้เราไปแตะพรรคประชาธิปัตย์ แตะอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับเจ้าของหนังสือพิมพ์แนวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคุณพ่อคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนอกจากนั้นแล้ว อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ก็ไปเป็นกึ่งๆ เหมือนหัวหน้ากองบรรณาธิการที่แนวหน้า เพราะฉะนั้นแนวหน้าก็เลยเปลี่ยนประเด็นในการต่อสู้ กลายเป็นมาโจมตีพวกเรา การโจมตีพวกเราก็ไม่มีอะไรยาก บิดเบือนข้อเท็จจริง โกหกพกลม อย่างเช่น โกหกว่าการโหวตโนคือการไม่เป็นประชาธิปไตย เห็นหรือยังพี่น้อง

ที่น่าเสียใจก็คือว่า ในหนังสือพิมพ์อย่างเช่น เดอะเนชั่นสุดสัปดาห์ ได้สัมภาษณ์คนซึ่งคิดไม่ถึงว่าจะพูดถึงเราในแง่ลบ พูดในทำนองว่าถ้าโหวตโนแล้ว ในฐานะพรรคการเมือง จะทำผิดกฎหมายทางการเมือง ไปซื้ออ่านดูว่าคนๆ นั้นเป็นใคร

อัดเป็นบทสัมภาษณ์สะท้อนเนื้อแท้ของคนหลงในอำนาจที่จะได้เป็น ส.ส.

พี่น้องจำได้หรือเปล่า ของชักขึ้นแล้ว ที่ผมเคยพูด ผมพูดว่ายังไง ผมบอกมาแล้วหลายครั้ง ตอนที่เราตั้งพรรคการเมืองใหม่ จำได้ไหม ผมเป็นคนพูดเอง ตลอดจนการรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ตอนนั้นผมพูดบอกว่า พรรคการเมืองใหม่เป็นเครื่องมือของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่วันนี้หาใช่เช่นนั้นไม่ พี่น้องไม่เชื่อ ไปซื้อหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น สุดสัปดาห์ แล้วอ่านดู พี่น้องจะรู้ว่าบางครั้งยังไม่ทันไรเลย คนไปหลงกับตำแหน่งแห่งที่ และอำนาจที่ตัวเองกำลังจะได้เป็น ส.ส.

แล้วพอพันธมิตรฯ บอกโหวตโน เขาบอกว่าโหวตโนนั้นจะทำให้พรรคการเมืองนั้นผิดกฎหมาย เห็นตัวตนที่แท้จริงหรือยังพี่น้อง ผมถึงบอกว่าการต่อสู้ครั้งนี้มันมันกว่าทุกๆครั้ง เพราะนอกจากจะกำจัดพวกห้อยโหนออกไปได้แล้ว ที่สำคัญที่สุดในบรรดาพวกเรากันเอง ได้สะท้อนให้เห็นเนื้อแท้ของคนที่กำลังจะหลงอยู่ในอำนาจ

ชี้ประยุทธ์ไม่ต่างจากอนุพงษ์ เพราะบอกว่าสังคมไทยวุ่นวายเพราะเหลือง-แดง

พี่น้องครับ กระผม นายสนธิ ลิ้มทองกุล คิดอะไรพูดอย่างนั้น ใช่ไม่ใช่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ผมพูดทันที ไม่ว่าจะใกล้ชิดสนิทสนมกันแค่ไหน ผมก็จะพูดทันทีเห็นหรือยังพี่น้อง การต่อสู้ครั้งนี้ของเราเหมือนการปราบมารจริงๆ แล้วมารที่เราปราบนั้น มีหลายรูปหลายแบบที่เราต้องปราบมันจริงๆ

มีพันธมิตรฯ ที่วอชิงตันดี.ซี.คนหนึ่ง อย่าให้เอ่ยชื่อเลยครับ ผมรู้จักพี่เขาดี เขาได้เบอร์โทรศัพท์ของประยุทธ์ จันทร์โอชา มาจากใครไม่รู้ เขาก็เลยโทรจากอเมริกาไปหาประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาก็ถามประยุทธ์ถึงเรื่องราวต่างๆ เขาจะลองดูความรู้สึกประยุทธ์ นี่คือคำตอบที่เขาบอกมา ประยุทธ์ บอกว่า สังคมไทยที่มันวุ่นวายทุกวันนี้เพราะสีเหลืองและสีแดง

ซึ่งเป็นการพูดที่ไม่ต่างจากลูกพี่คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ.และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ซึ่งการพูดเช่นนี้ เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เพราะแสดงถึงการไม่เข้าใจว่า ใครคือตัวป่วนชาติกันแน่ คนที่พูดแบบนี้ควรจะไปเป็นแขกยาม ไม่ควรมาเป็นทหารให้เปลืองภาษีประชาชน

ลั่นเป็นสื่อมวลชนอาวุโสไม่กี่คนในไทยที่เข้าใจหลักการเป็นสื่อมวลชนที่ดีและถูกต้อง

พี่น้องครับ คนเราถ้าอยู่ในอาชีพไหนแล้วไม่เข้าใจงานที่ตัวเองทำ แสดงว่าคนๆ นั้นไม่ควรจะอยู่ในอาชีพนั้น ใช่ไม่ใช่ พี่น้อง ผมทำสื่อมวลชนมา 30 กว่าปีแล้ว ผมน่าจะเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสไม่กี่คนในประเทศไทย ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในประเทศไทย ที่สำคัญที่สุดที่ผมภูมิใจที่สุด ผมอาจจะเป็นเพียงหนึ่งไม่กี่คนเท่านั้นเองที่เข้าใจหลักการของการเป็นสื่อ มวลชนที่ดีและถูกต้อง ข้อแรก ก็คือว่า ต้องกล้าพูดความจริง เพราะฉะนั้นแล้ว หลักการของการกล้าพูดความจริง ความจริงเป็นเช่นไรต้องพูดไปในทิศทางเช่นนั้น นั่นคือคุณสมบัติข้อแรกของการจะเป็นสื่อมวลชนที่ดี ส่วนวิธีการพูดโดยผ่านการเขียน การอภิปราย หรือการเป็นพิธีกรนั้น มันเป็นลักษณะในวิชาชีพ แต่หลักการต้องมาก่อน คุณต้องกล้าพูดความจริง กล้าแสวงหาความจริง ทักษะที่เหลือคือ เขียนหนังสือให้เป็น ให้ประชาชนอ่านง่าย ในขณะเดียวกัน ต้องมีทักษะไปหาข้อเท็จจริง ว่าวิธีหาข้อเท็จจริงนั้นต้องหาอย่างไร นั่นคือ สื่อมวลชน

ไม่เหมือน ยกตัวอย่างอย่างที่พูดไปเมื่อกี้ หนังสือพิมพ์เครือเดอะเนชั่นไม่กล้าพูดความจริง เพราะว่าความจริงนั้นถูกเอาเงิน ผลประโยชน์อุดปาก ด้วยเหตุนี้แล้ว หนังสือพิมพ์ลักษณะเครือเดอะเนชั่น หรือหนังสือพิมพ์แนวหน้า ก็เลยไม่ต่างกว่าทหารที่ดีแต่พูด อย่าง อนุพงษ์ เผ่าจินดา และประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช่ไม่ใช่พี่น้อง

อัดไม่เคยเห็นทหารที่ไหนเล่นการเมืองเท่าทหารไทย

นายสนธิ กล่าวว่า ผบ.ทบ.วิเคราะห์ไม่ออกว่า ที่บ้านเมืองฉิบหายทุกวันนี้ก็เพราะนักการเมืองอย่างนายสุเทพ รวมทั้งเพื่อนของเขาอย่างนายพลกุนเชียงนั่นเอง ไม่ใช่คนเสื้อเหลือง ทำไมมองไม่ออกว่าคนเสื้อเหลืองที่สู้มาแต่ละเรื่องไม่ได้สู้เพื่อส่วนตัวแม้ แต่นิดเดียว และการที่ ผบ.ทบ.พูดเช่นนี้ แสดงว่าไม่ใช่ทหารอาชีพแต่เป็นทหารการเมือง ส่วนคนอย่าง พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็เป็นทหารรุ่นเดียวกับทักษิณ ชินวัตร ที่ออกมาพูดวันก่อนก็เพื่อให้ดูสวยงาม ไม่มีสาระอะไร ที่พูดว่าทหารไม่เล่นการเมืองแล้ว แต่ในความเป็นจริงตนยังไม่เคยเห็นทหารประเทศไหนเล่นการเมืองเท่ากับทหาร ประเทศไทยเลย

นายสนธิ กล่าวต่อว่า นอกจากทหารจะเล่นการเมืองแล้ว การพูดเช่นนี้ ก็เพราะไม่อยากรับผิดชอบ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เรื่องดินแดนเขาพระวิหาร ก็ไม่อยากรับผิดชอบ เพราะความผิดมันอยู่ที่พวกเขา วันนี้จึงไม่ใช่แค่นักการเมืองที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคง แต่เป็นทหารด้วย เพราะทหารทุกวันนี้ดีแต่ปาก บอกว่าจะไม่ยอมให้ใครมาจาบจ้วง แต่ความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์นั่นไม่ได้อยู่ที่การจาบจ้วงอย่างเดียว การโกงของนักการเมืองก็เป็นอันตรายด้วย แต่ทหารยุคนี้ไม่สนใจ ขอแค่ให้มีงบประมาณซื้ออาวุธก็พอใจแล้ว ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ คิดเป็นต้องมองออกว่า ประชาชนที่ออกมาชุมนุมนั้นต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนที่นักการเมืองกำลังขายให้เขมร หน้าที่ทหารต้องออกมาตบหัวนักการเมือง ไม่ใช่แค่ออกมาบอกว่าจะไม่ปฏิวัติ ก็จะปฏิวัติได้อย่างไร เพราะไม่มีน้ำยาหรอก

ลั่นถ้าจะมีการยิงสนธิอีกรอบ ขอให้จับรอบแรกให้ได้ก่อน

นี่คืออันตรายของชาติบ้านเมือง พี่น้องเห็นหรือยัง ผมเห็นเลย เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน พี่น้องเห็นหรือยัง แล้วคนที่ตาย พ.อ.ร่มเกล้า เป็นใครถ้าไม่ใช่เป็นลูกน้องคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วเรื่อง พ.อ.ร่มเกล้า ไปถึงไหนแล้ว เรื่องราวไปถึงไหนแล้ว นี่คุณไม่มีบุคลิกหรือคุณสมบัติของผู้นำเลยแม้แต่นิดเดียว พวกคุณเก่งอยู่อย่างเดียว ไอ้สนธิมันพูดมากยิงแม่งอีกทีนึง ก็มีอยู่แค่นี้เอง ก่อนจะยิงผมเป็นครั้งที่ 2 ขอเรื่องได้ไหม จับครั้งแรกให้ได้ก่อนแล้วค่อยมายิงครั้งที่ 2 ขอเงื่อนไขข้อเดียวก่อน จะโดนยิงกี่ครั้งไม่ว่า เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองแน่ แต่ขอว่าก่อนจะยิงครั้งที่ 2 จับครั้งแรกให้ได้ก่อนแล้วค่อยยิงครั้งที่ 2 แล้วถ้ายิงครั้งที่ 2 ยังไม่ตาย จะยิงครั้งที่ 3 ก็จับครั้งที่ 2 ให้ได้ต่อ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คิดเป็น รักชาติเป็น รู้หน้าที่ว่าตัวเองนั้นมีหน้าที่อะไรเป็น จะต้องรู้ว่าคนที่มานั่งชุมนุมที่นี่ หรือดูทีวี ASTV อยู่ที่บ้านนั้น เขามาสู้เรื่องดินแดนของประเทศไทย ที่นักการเมืองกำลังขายให้กับเขมร นั่นล่ะคือสิ่งที่คุณต้องออกมา แล้วตบหัวนักการเมือง แล้วเตะมันออกไปจากอำนาจ คุณไม่ใช่มาพูดบอกว่า ทหารจะไม่มีวันปฏิวัติ ก็มันจะปฏิวัติได้ยังไง คุณไม่มีน้ำยาหรอก

อัดสถาบันทหารตกต่ำเพราะสายบูรพาพยัคฆ์ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.

นายสนธิ กล่าวต่อว่า สถาบันทหารตกต่ำมาตลอดตั้งแต่ยุคที่ทหารสายบูรพาพยัคฆ์ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.เพราะทหารสายนี้จะอยู่ตามแนวชายแดนทางตะวันออกติดกับเขมร ซึ่งเต็มไปด้วยผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการขโมยรถไปขาย บ่อนการพนัน การส่งน้ำมัน ส่งสินค้าเข้าไปขาย รวมถึงการค้าแรงงานเถื่อน ซึ่งนายทหารผู้ใหญ่ที่คุมพื้นที่ตรงนี้ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังบูรพา กองทัพภาคที่ 2 หรือกองกำลังสุรนารี ต้องรับรู้ ดังนั้นทหารที่ไม่ยอมทำหน้าที่เพราะมีผลประโยชน์มาปิดปาก ก็ไม่ต่างจากสื่อมวลชนที่ไม่ยอมเสนอความจริงเพราะถูกเงินปิดปากเช่นกัน ดังนั้น ที่บอกว่าทั้งเสื้อเหลืองเสื้อแดงเป็นตัวป่วนเมืองเหมือนกันนั้น ที่จริงก็รู้ว่า เสื้อแดงคือตัวป่วนเมือง แต่ต้องบวกเสื้อเหลืองเข้าไปด้วยเพื่อให้ดูเท่ บอกให้ทั้งสองฝ่ายหยุดทะเลาะกันนักการเมืองโกงกินไม่เป็นไร ฝ่ายหนึ่งเผาบ้านเผาเมืองไม่เป็นไร อีกฝ่ายหนึ่งฉ้อราษฎร์บังหลวงไม่เป็นไร ยืนปิดบังให้ เพราะตัวเองก็ได้ด้วย

ชี้น้ำท่วมเชียงใหม่เพราะมีทักษิณ น้ำท่วมสุราษฎร์เพราะมีสุเทพ

ในช่วงท้ายในสนธิปราศรัยว่า “มีข้อมูลบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ ฝากให้คิด พี่น้องเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้างมั้ย ไม่ต้องถามผม ผมเชื่อแน่นอน ถ้าไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วผมคงไม่รอดมายืนพูดกับพี่น้องจนทุกวันนี้หรอก พี่น้องเชื่อคำว่าฟ้าดินลงโทษบ้างไหม ใครเชื่อปรบมือให้ผมได้ยินหน่อย

พี่น้องครับ ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2552 ไล่มาจนวันนี้ พี่น้องสังเกตให้ดีๆ ฟ้าดินลงโทษทางใต้อย่างมหาศาล ที่พูดเช่นนี้พูดด้วยความเห็นใจ เข้าใจ และสงสารคนใต้ แต่กำลังจะบอกพี่น้องว่า คิดให้ดีๆ เชื่อ ไม่เชื่อ ว่าไป แต่เกิดมาใน 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ ตั้งแต่กันยายน 52 มาจนกระทั่งถึงต้นปี 54 ในประวัติศาสตร์ทางใต้ไม่เคยมีช่วงไหนที่จะมีอุทกภัยและภัยพิบัติมากเท่า ช่วงที่สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี แล้วดูแลประเทศไทยเลย

พี่น้องเอาไปคิดให้ดีๆ สมัยทักษิณ ชินวัตร ปกครองประเทศไทยอยู่ น้ำท่วมเชียงใหม่ ใช่/ไม่ใช่ ใครที่มาจากสุราษฎร์ฯ ยกมือหน่อยสิ กลับบ้านไปแล้ว อ่ออยู่คนเดียว คนสุราษฎร์ฯ ที่พุนพิน ซึ่งเป็นพื้นที่สุเทพ บอกว่าเกิดมาตั้งแต่สมัยปู่ สมัยย่า ไม่เคยเห็นน้ำท่วมพุนพินเยอะขนาดนี้ จริงๆ แล้วก็คือการที่ฟ้าดินลงโทษ เพื่อล้าง จ.สุราษฎร์ธานี ให้พ้นจากนักการเมืองชั่วๆ

23 มีนาคม 26-30 กันยายน 2552 ตุลาคม-ธันวาคม 2553 น้ำท่วมหนัก จังหวัดที่ประสบภัยมากที่สุดก็คือทางใต้ หาดใหญ่ พัทลุง 23 มีนาคม ปัจจุบัน น้ำท่วม ดินถล่มในภาคใต้ หลายจังหวัดได้รับความเสียหายหนัก พัทลุง นคร ตรัง ระนอง ชุมพร”

ชี้ถ้าบ้านเมืองมีการรักษาศีล จะไม่เสียหายขนาดนี้ จึงให้โหวตโนสั่งสอนนักการเมือง

พี่น้องครับ เรื่องภัยพิบัติผมเคยเตือนพี่น้องแล้วใช่ไม่ใช่ว่าให้ระวัง ไปถามผู้ทรงธรรม ไปถามพ่อแม่ครูอาจารย์ บอกว่าน้ำจะท่วมโลก จะท่วมประเทศไทย เฉพาะคนที่มีธรรม คนที่ภาวนา คนที่ปฏิบัติธรรมเท่านั้นที่จะอยู่รอด พี่น้องครับ อย่างที่ผมเคยบอกว่า พ่อแม่ครูอาจารย์พูดมานานแล้วว่าถึงที่สุดแล้ววันหนึ่งเมืองไทย ภาคใต้จะไม่เหลือ จะเหลือเฉพาะอีสานและเหนือ นี่คือคำทำนายของพ่อแม่ครูอาจารย์ เชื่อไม่เชื่ออย่ามาถามผม

“พี่น้องภัยธรรมชาติ เกิดขึ้นเพราะใครทำให้เกิด มนุษย์ใช่ไหม และนักการเมือง ถ้าบ้านเมืองของเรามีความสงบ มีธรรมนำหน้า มีการรักษาศีล ไม่มีนักการเมืองชั่วๆ แล้ว บ้านเมืองจะไม่มีวันเสียหายมากขนาดนี้ นี่เราเสียหายในรูปตัวเลขทางเศรษฐกิจ จากการคอรัปชั่น เราเสียหายจากภัยพิบัติ ยังไม่นับการสูญเสียจากศีลธรรม ยังไม่นับการสูญเสียจากคนไร้ซึ่งจริยธรรม ยังไม่นับการสูญเสียถึงคนที่มีหน้าที่ต้องทำไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ หรือข้าราชการ แล้วไม่ได้ทำหน้าที่ของทหาร และตำรวจให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นแล้วชาติบ้านเมืองวันนี้ เหมือนกำลังจะถูกสาปแช่งครั้งใหญ่ที่สุด ถ้าเรายังไม่รีบปรับปรุง ขยับเพื่อให้ชาติบ้านเมืองดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้อย่างอหิงสาของพวกเรา ณ วันนี้คือการโหวตโน เพราะการโหวตโนโดยหลักสั้นๆ พี่น้องให้จำเอาไว้ การโหวตโนคือการสั่งสอนนักการเมืองว่า กูไม่เอากับพวกมึงอีกต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วพี่น้อง การโหวตโน คือการออกมาใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ด้วยการเข้าคูหาแล้วกาโหวตโน ไม่ได้ผิดกฎหมาย เป็นประชาธิปไตยเต็มตัว เมื่อเราปฏิเสธ อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ เมื่อเราปฏิเสธการเมืองแบบนี้ วิธีปฏิเสธของเรามี 2 วิธี วิธีหนึ่งคือ นอนหลับทับสิทธิ์ เราไม่ออกไปเลย แต่วิธีหนึ่งซึ่งผมส่งเสริมและพวกเราต้องทำกันให้ได้ คือ ออกไปใช้สิทธิ์ แต่บอกว่าใช้สิทธิ์ที่จะโหวตโน”

ที่มา: เรียบเรียงจาก

เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 984 ประจำวันที่ 8 เมษายน 2554 และ ASTVผู้จัดการออนไลน์

จดหมายเปิดผนึก Thai PBS ‘ทีวีที่คุณวางใจจริงหรือ?..’

ที่มา ประชาไท

เรียน ผู้บริหาร Thai PBS
ก้าวสู่ปีที่ 4 อัตลักษณ์ใหม่ Thai PBS ทีวีสาธารณะ ที่ภาคประชาชนคาดหวังว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการทีวีบ้านเรา และนำไปสู่การปฏิรูปสื่อทั้งระบบในอนาคตข้างหน้า จากช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา Thai PBS ก็ได้พิสูจน์ให้พวกเราเห็นแล้วในระดับหนึ่ง ด้วยกระบวนการทำงานที่เน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เช่น การมีสภาผู้ชมผู้ฟังที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้สะท้อนความคิดเห็นกับ Thai PBS มีช่วงนักข่าวพลเมืองให้คนในพื้นที่ได้นำเสนอเรื่องราวในชุมชนของตนเองสู่สาธารณะ มีสถานีภูมิภาคเพื่อการเข้าถึงสื่อของคนท้องถิ่น ตลอดจนการมีพื้นที่ทางสื่อให้กับการเคลื่อนไหวภาคประชาชน โดยการเกาะติดประเด็นปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาของทุนและรัฐ ดังเช่น กรณีผลกระทบจากการสร้างเขื่อน เหมืองแร่ หรือแม้แต่ภัยพิบัติต่างๆ เป็นต้น
ดังได้กล่าวมาแล้ว เมื่อแนวทางการดำเนินงานของ Thai PBS มาประจวบเหมาะกับความต้องการของประชาชนที่อยากเห็นสื่อทีวีเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์สังคม โดยไม่มีทุนและรัฐคอยครอบงำ หรือชี้นำทิศทางการนำเสนอเหมือนช่องอื่นๆ จึงเกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน จนกล้าพูดได้เต็มปากว่า “ทีวีไทย ทีวีของประชาชน” หรือ “ทีวีไทยคือทีวีของเรา” เพื่อผลักดันไปสู่การปฏิรูปประเทศไทย
อย่างไรก็ดี จากการนำเสนอข่าว (ภาคค่ำ) กรณีโครงการเหมืองแร่โปแตช จ.อุดรธานี ของ Thai PBS เมื่อวันที่ 17 ก.พ.54 ในประเด็นการจ่ายเงินค่าลอดใต้ถุนของบริษัทเหมืองแร่ และเมื่อวันที่ 5 เม.ย. 54 ประเด็นข่าวการจัดเวทีเวทีสาธารณะรับฟังความคิดเห็นต่อการกำหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (Public Scoping) ที่เทศบาลเมืองโนนสูง-น้ำคำ ซึ่งมีเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างฝ่ายชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานีกับพนักงานบริษัทเหมืองแร่ และมวลชนที่บริษัท จัดตั้งมา จึงทำให้ชาวบ้านในพื้นที่อดคิดไม่ได้ว่า ตกลง Thai PBS คือ “ทีวีของเรา หรือทีวีของทุน” เพราะดูแล้วเหมือนช่วยทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์โครงการฯ ให้กับบริษัทฯ อีกแรงหนึ่งได้เป็นอย่างดี (ข่าวการจ่ายค่าลอดใต้ถุนเมื่อวันที่ 17 ก.พ.)
ขณะเดียวกันในวันที่ 5 เม.ย. บริษัทเหมืองแร่ ก็จัดฉาก วางสคริปให้นักข่าวถ่ายทำ โดยให้ซองขาวซื้อนักข่าวหัวละ 500 บาท ซึ่งน่าสลดใจ เนื่องจากว่าไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี และไม่มีจรรยาบรรณของนักข่าวเลยจริงๆ (เพราะแพงกว่าค่าหัวม็อบฝ่ายสนับสนุนที่บริษัทฯ จ้างมา 300 บาท เท่านั้น) เพื่อทำลายภาพลักษณ์การเคลื่อนไหวของชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ฯ แต่ไม่ได้อธิบายเนื้อหาและที่มาที่ไปของเวทีว่าทำไมชาวบ้านถึงต้องออกมาคัดค้าน!
Thai PBS เป็นช่องทีวีที่ชาวบ้านในพื้นที่โครงการเหมืองแร่โปแตช จ.อุดรธานี ให้ความไว้วางใจ เฝ้าติดตาม และให้ความร่วมไม้ร่วมมือด้วยดีเสมอมา จนเกิดกระแสการตื่นตัวของชาวบ้านต่อการเลือกรับชมสื่อทีวีช่องนี้(มากกว่าช่องละครน้ำเน่า หรือเกมโชว์สมองฝ่อ) ทั้งนี้ เราก็เข้าใจว่าการทำข่าวใน 2 ครั้งที่ผ่านมาเป็นผลงานของสตริงเกอร์ที่อยู่อุดรฯ (สื่อส่วนใหญ่ในจังหวัดอุดรฯ ถูกบริษัทเหมืองแร่ซื้อตัวแล้ว) แต่เราก็ยังคลางแคลงใจและเห็นว่าหัวหน้าฝ่ายข่าว หรือใครก็ตามที่มีอำนาจหน้าที่ในตรงนี้ควรจะสกรีนข่าว และมีวิจารณญาณก่อนนำเสนอมากกว่านี้ เพราะเท่าที่ดูรายชื่อและเกียรติประวัติของฝ่ายข่าว Thai PBS แล้ว คงไม่ใช่ “นักข่าวพลเมือง” เป็นแน่
อย่างไรก็ดี เราไม่ได้บอกว่า Thai PBS จะต้องมาเข้าข้างพวกเราหรอก แต่ Thai PBS ควรนำเสนอในทุกแง่มุมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ให้สมกับที่บอกว่าเป็นช่องทีวีที่มี “คุณธรรม สร้างสรรค์สังคม” และควรสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะระบบสตริงเกอร์ข่าวที่หากินกับรัฐและทุนท้องถิ่น เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว Thai PBS ก็จะยังคงล้าหลังเหมือนสื่อช่องอื่นๆ อยู่ดี และเมื่อเป็นเช่นนี้ “เราจึงละล้าละลังที่จะวางใจคุณ”
สุดท้าย เราก็คงไม่เรียกร้องอะไรจาก Thai PBS เพียงแต่คาดหวังว่า Thai PBS หรือสื่อสารมวลชนทุกแขนงในบ้านเราจะมีทัศนคติที่ดีต่อการเคลื่อนไหวของขบวนการชาวบ้านที่รวมตัวกันลุกขึ้นมาปกป้องถิ่นฐาน และทรัพยากรท้องถิ่น ตลอดจนการมีจริยธรรมกับการทำสื่อ และจิตสำนึกสาธารณะ มากกว่าการสยบยอมเป็นเครื่องมือของรัฐและทุน... เพราะสื่อเป็นพลังสำคัญที่จะร่วมสร้างสังคมใหม่ให้เกิดความเป็นธรรมแก่ชุมชนท้องถิ่น และการปฏิรูปประเทศไทย
ด้วยจิตคารวะ
กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี
กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา
ศูนย์สื่อชุมชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ศสธ.)
กลุ่มสื่อคนฮักถิ่น นักข่าวพลเมือง จังหวัดอุดรธานี
จุดปฏิบัติการเรียนรู้วิทยุชุมชนคนฮักถิ่น
ศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ (ศสส.) อีสาน
ชมรมนักศึกษาเพื่อการพัฒนา (ชนพ.)
อาศรมบ่มเพาะความคิดและจิตวิญญาณ
อาศรมสหธรรมิก

จรัล ดิษฐาภิชัย: แถลงการณ์ 1 ปี ของการปราบปรามคนเสื้อแดง

ที่มา Thai E-News



โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
9 เมษายน 2554



วัน ที่ 10 เมษายน 2554นี้ เป็นวาระของการครบรอบ 1 ปีแห่งการเริ่มต้นการปราบปรามการชุมนุมของประชาชน ภายใต้การนำของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)หรือคนเสื้อแดง โดยชุมนุมประชาชน โดยสงบและปราศจากอาวุธมาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2553 เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา จัดการเลือกตั้งใหม่ คืนอำนาจธิปไตยแก่ประชาชน ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 25 คน บาดเจ็บกว่า 800 คน การปราบปรามดังกล่าวมาจากนโยบายและมาตรการทางการทหารของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เริ่มจากประกาศใช้ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร การประกาศภาวะฉุกเฉิน และใช้กำลังทหาร ตำรวจกว่า 50,000 นาย ปิดล้อมที่ชุมนุม โดยเฉพาะทหาร ใช้อาวุธสงคราม หนุ่วยแม่นปืน(สไนเปอร์ )ยิงฝูงชน เครื่องบินทิ้งระเบิดแก๊สน้ำตา และการปราบปรามดำเนินต่อมาถึงวันที่ 19 พฤษภาคม ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 91 คน และบาดเจ็บเกือบ 2000 คน และถูกจับกุมคุมขัง 400 กว่าคน พร้อมกับประกาศเคอร์ฟิวส์ ในหลายสิบจังหวัดทั่วประเทศ

1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับความผิดในการปราบปรามคนเสื้อแดง เท่านั้น หากยังคงรักษากฎหมายความมั่นคง ข่มขู่คุกคามและจับกุมคุมขังคนเสื้อแดงอย่างต่อเนื่องมาอีกหลายเดือน แม้จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและปรองดองแห่งชาติ และการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปอีกหลายชุด แต่เป็นเพียงการหลอกหลวง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลเท่านั้น ไม่มีผลในทางปฏิบัติใดๆ

ขณะ เดียวกัน นปช. หรือ ขบวนการคนเสื้อแดงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว จนขยายตัวเติบใหญ่ เป็นขบวนการประชาธิปไตยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย คนเสื้อแดงเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เรียกร้องให้ดำเนินคดีผู้ร่วมสังหารประชาชนในกรณี10 เมษายน และ19 พฤษภาคม 2553 และขอให้ดำเนินคดีกับแกนนำและผู้ชุมนุมอย่างยุติธรรม มิใช่สองมาตรฐานเหมือนที่กระทำอยู่ ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายปกครองกับประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ยังคงเป็นวิกฤติการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นและดำรงมา 4 ปี เพื่อคลี่คลายวิกฤติ จะต้องดำเนินคดีกับผู้ปราบปรามอย่างนองเลือดในวันที่ 10 เมษายน จนถึง 19 พฤษภาคม 2553 รัฐสภาจะต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรมต่อผู้ชุมนุมทางการเมืองทุกฝ่าย และต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ขอ เรียกร้องต่อประชาคมโลก ทั้งภาครัฐและเอกชนให้สนใจวิกฤติการณ์ประเทศไทย โดยเฉพาะให้สนับสนุนการเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะมีขึ้น ให้เป็นไปโดยเสรีและยุติธรรม หากประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ ย่อมมีผลต่อเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอำนวยประโยชน์ต่อ นานาชาติไม่มากก็น้อย

จรัล ดิษฐาภิชัย

* * * * * * * * *

Statement on the First Anniversary of Red Shirts Suppression

10 April 2011 marks the first anniversary of the start of the suppression of people protest for democracy.

The protest was organized under the leadership of United Front for Democracy against Dictatorship (UDD) or the Red Shirts. The peaceful assembly began on 14 March 2010 without weapons.

They called for the government of Mr. Abhisit Vejjajiva to dissolve the parliament, returning the power to the people through new election, the result--- 25 deaths, and 800 injures.

The crackdown of the people derived from the strategy of not solving the political problems politically. They chose to use military force. Start with Internal Security Act. State of Emergency declared. More than 50,000 military and police personal deployed to surround the demonstrators. Armed with deathly weapons, sniper units, helicopters to drop tear gas, the crackdown continued until 19 May 2010, the death toll rose to 91, more than 2000 injures, and over 400 people arrested, dozens provinces throughout the country under curfew.

In the year past, the government not only not admitting the wrong doings in the cracking down of the Red Shirts, but also continued to use the Security Act to intimidate and made arbitrary arrests for months. Despite the setting up of Truth and Reconciliation Commission, and many others ‘Reform Commissions’, it is a trick to legitimize the government, and none of the recommendations have any practical effect.

In the mean time, the UDD or the Red Shirt movement revived rapidly. It became the largest Democracy Movement in Thailand for genuine democracy. They called for the prosecution of those involved in 10 April and 19 May 2010 massacre. They called for fair trials for all of arrested leaders, not double standard as is usually employed.

I urge the international community, both governmental and private, to pay attention to crisis in Thailand. Especially I urge all to support the upcoming election, and help ensure it is free and fair.

If Thailand were completely democratic, it would help stabilize Southeast Asian region, and will be beneficial to all International community. Jaran Ditapichai
* * * * * * * * *


ข่าวที่ผ่านมา จรัล ดิษฐาภิชัย: 4 ปี หลังการรัฐประหาร – 19 กันยายน 2549