กรณีตำรวจไม่ให้ประกันตัวคุณดา ตอร์ปิโด แต่กลับให้ประกันตัวนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในคดีเดียวกัน ได้ตอกย้ำให้ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวโลกให้ เห็นอย่างชัดเจนถึงความมีสองมาตรฐานในระบบยุติธรรมไทยอย่างล่อนจ้อน ความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมของไทยก็หมดไปโดยสิ้นเชิง มีแต่ความยุติธรรมในสายตาของใครเท่านั้น
กรณีนี้ยิ่งตอกย้ำให้กับคนในประเทศนี้ทราบว่า "ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศนี้มีการตั้งธงไว้ล่วงหน้าแล้ว” และจะนำความเสื่อมมาสู่สถาบันต่างๆ ต่อไป คาดว่าความน่าเชื่อถือขององค์กรต่างๆ จะหมดไปอย่างสิ้นเชิง สังคมนี้ไม่มีอะไรพอที่จะเป็นที่ยึดเหนี่ยวได้อีกต่อไปแล้ว ธรรมะที่พร่ำสั่งสอนกันมา ก็กลายเป็นแต่ลมปากที่หาสาระอันใดไม่ได้เท่านั้น
และนั่นคือ "ความไร้ขื่อแปร" ของบ้านเมืองก็จะตามมา ประชาชนคงให้ความเชื่อถือองค์กรใด หรือบุคคลใดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
แต่ผมก็ไม่แปลกใจอะไีีรนัก เพราะบ้านเมืองนี้มันไร้ขื่อแปรอยู่แล้ว
การให้อิสรภาพแก่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำหลักของพันธมิตรฯ ขุนพลเอกของระบอบเผด็จการศักดินาอำมาตยาธิปไตย ที่สร้างความวุ่นวายให้แก่บ้านเมืองมาอย่างต่อเนื่อง สร้างความแตกแยกให้กับสังคมไปทุกหย่อมหญ้า ในท่ามกลางข่าวลือที่ว่า “มีมือที่มองไม่เห็นเป็นเงาดำทะมึนอยู่เบื้องหลังของนายสนธิ ลิ้มทองกุล”
คนทั้งหลายเหล่านี้เลือกที่จะขังสตรีผู้หนึ่งต่อไปในคดีเดียวกัน ต่อไปนี้ระบบยุติธรรมจะทำอะไร มันจะมีคำถามตามมาตลอดถึงความน่าเชื่อถือ การมีธงล่วงหน้า การขังสตรีผู้หนึ่งไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก แต่เขาเหล่านั้นได้ทำลายศรัทธาของพวกตนที่เพียรสร้างสมมานาน
ระบบยุติธรรมของไทยและระบอบอำมาตยาธิปไตย เลือกที่จะฝังตัวเอง เพียงเพื่อต้องการที่จะช่วยเหลือนายสนธิ ลิ้มทองกุล เอาไว้เพื่อเป็นหมากทางการเมืองต่อไปเท่านั้น นั่นคือการทำฮาราคีรีความน่าเชื่อถือของตนอย่างเห็นได้ชัด
กรณี สนธิ ลิ้มทองกุล กับ คุณดา ตอร์ปิโด มันเป็นอะไรที่ Contrast กันมากจนเกินไป
แต่เมื่อเลือกที่จะเดินไปสู่เส้นทางแห่งความเสื่อม ก็คงไม่มีใครช่วยอะไรได้
สำหรับผมแล้วสังคมนี้ไม่มีอะไรเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวได้อีกแล้ว
กรณีสนธิ ลิ้มฯ ผมไม่ได้ถือว่า "ฝ่ายประชาธิปไตย" พ่ายแพ้แต่อย่างใด เพราะกรณีนี้มันจะตอกย้ำให้วิญญูชนที่รักความยุติธรรม และตาเริ่มสว่างแล้วทั้งหลายได้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลของระบบยุติธรรมไทย ว่ามีการตั้งธงกันไว้ล่วงหน้าอย่างที่คนทั้งหลายตั้งข้อสงสัยกันเอาไว้ บัดนี้ได้มีข้อพิสูจน์ที่ค่อนข้างชัดเจนแล้ว
ระบบที่ทำลายความเชื่อมั่นของตนเอง คาดว่าในที่สุดก็จะล่มสลายลง แม้จะไม่เร็วเกินไปนัก แต่พวกเขาผ่านเลยจุดสูงสุดไปแล้ว มีแต่จะเสื่อมถอยลง ไม่อาจฟื้นศรัทธาได้อีกต่อไป
จะแถลงการณ์อะไร ความน่าเชื่อถือมันก็จะไม่มีอีกต่อไปแล้ว
ผมไม่ได้กังวลว่า พวกอำมาตย์จะมีพลังอำนาจมากมายเพียงใด เพราะยิ่งพวกเขาแสดงอำนาจบาตรใหญ่กระทำการที่ฝ่าฝืนความยุติธรรมตามธรรมชาติมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งตอกย้ำถึงความไม่ชอบธรรม การมีธงมากยิ่งขึ้น สุดท้ายพวกเขาจะแพ้ภัยตัวเอง เพราะประชาชนจำนวนมากที่ไม่ยอมรับพวกเขาอยู่แล้ว ก็จะยิ่งไม่ยอมรับมากยิ่งขึ้น รังเกียจและสะอิดสะเอียนกับการกระทำของพวกนี้มากยิ่งขึ้น
วิกฤตการณ์ทางการเมืองไทยในปี 2551 นี้ พวกอำมาตยาธิปไตย ได้พ่ายแพ้ต่อฝ่ายประชาธิปไตยในด้านพลังมวลชน แม้พวกเขาจะพยายามใช้เกมมวลชนปลุกม็อบขึ้น แต่มันก็เป็นเพียงม็อบจัดตั้งเท่านั้น ไม่มีผลต่อการชิงอำนาจในอนาคตมากมายนัก
เพราะฐานเสียงของผู้เลือกตั้งส่วนใหญ่ของประเทศ ได้อยู่ตรงข้ามพวกอำมาตยาธิปไตยทั้งสิ้น พวกนี้รักษาสภาพได้เพียงแต่ใช้ “คอนเน็กชั่น” จากระบอบเส้นสายที่โยงใยกันเอาไว้ กับระบบกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเท่านั้น แต่เมื่อ “ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ” ไม่ได้อยู่ข้างพวกเขา พลังเหล่านี้ของพวกอำมาตย์ ก็มีแต่เสื่อมถอยลง ยิ่งใช้อำนาจมาก ยิ่งเสื่อมถอยลงไปมาก สุดท้ายก็จะล่มสลายไปอย่างแน่นอน
ยิ่งพวกเขาแสดงให้เห็นถึง Connection ที่ไม่เป็นธรรม มากขึ้นเท่าใด พวกเขายิ่งสูญเสียความชอบธรรมและฐานสนับสนุนจากมวลชนมากขึ้นเท่านั้น
ในศตวรรษที่ 21 ท่ามกลางสังคมข้อมูลข่าวสารยุค Information Age ถึงอย่างไร ก็ไม่มีประเทศใดที่จะหลีกเลี่ยง ระบอบการเมืองที่มี “การเลือกตั้ง” ไปได้พ้น เพราะไม่อย่างนั้นจะต้องอยู่ย่างโดดเดี่ยวแบบพม่า ที่สุดท้ายก็โดนบีบให้มีการเลือกตั้งอยู่ดี เมื่อการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองจะต้องผ่านระบบเลือกตั้ง “มวลชน” ย่อมสำคัญกว่า “คอนเน็กชั่น” ในระบอบอำมาตยาธิปไตยมากมายยิ่ง และสุดท้ายมวลชนจะเป็นตัวตัดสิน
คอนเน็กชั่นแบบนี้ ไม่ทำให้พวกเขาชนะเลือกตั้ง แต่จะทำให้ผู้เลือกตั้งเกลียดชังระบอบอำมาตย์มากยิ่งขึ้น
ยิ่งเจ้ดา ตอร์ปิโด โดนกระทำอย่างขาดความอยุติธรรมมากเท่าใด และนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้รับการปกป้องมากขึ้นเท่าใด ผมว่าระบอบอำมาตย์ยิ่งไปตอกย้ำความเชื่อว่า "มีธง" มากยิ่งขึ้น
พวกเขาอาจช่วย “สนธิิ ลิ้มทองกุล" เอาไว้ได้ แต่พวกเขาก็ต้องสูญเสียความชอบธรรมไปมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ผมยังจำสุภาษิตบทหนึ่งได้ว่า "ลิงยิ่งขึ้นที่สูงก็ยิ่งเห็นชัดว่าเป็นลิง"
เมื่อเขายิ่งแสดงอำนาจที่ไม่ชอบธรรม คนก็ยิ่งเสื่อมศรัทธาลงไปเรื่อยๆ
พวกเขาอาจทำได้ทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้อย่างเีดียวคือ "เรียกศรัทธาที่สูญเสียไปแล้วกลับคืน"
เมื่อไม่มีศรัทธาหลงเหลืออยู่ หรือใช้มันหมดไป สุดท้ายก็เหมือนปลาที่ไม่มีน้ำ ซึ่งในที่สุดปลาก็ไม่สามารถที่จะอยู่โดยการขาดน้ำได้
ระบบที่พิกลพิการ ไม่มีอำนาจทางกฎหมาย มีแต่การใช้อำนาจมืด เมื่อศรัทธาและบารมีหมดไป ก็จะล่มสลายไปเอง
เหตการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองไทยขณะนี้ผมได้แต่วางอุเบกขา ครับ โวยวายไปก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด
แต่อย่างน้อย “ใจของผมก็เป็นอิสระ และไม่ได้เป็นทาสของใครอีกต่อไป” นั้นคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด ที่ผมได้จากวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ ถึงแม้ว่าผมตายจากโลกนี้ไป ผมก็ตายอย่างเสรีชน ที่ไม่ได้เกิดมาเป็นทานทางความคิดของใครอีกต่อไป
ปล. หลังจากเขียนบทความนี้เสร็จ ผมก็ได้ข่าวว่า พันธมิตรกับชมรมคนรักอุดร ได้ปะทะกันมีผลทำให้นักรบศรีวิชัย เสียชีวิตสองคน ผมทายไว้แล้วไม่ผิดว่า ในบทความก่อนหน้านี้ว่า “สงครามกลางเมืองไทยได้เกิดขึ้นแล้ว” และจะต้องมีคนที่สังเวยชีวิตแน่นอน และก็ไม่ผิดจากที่ผมทำนายเอาไว้