WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, May 24, 2008

นักธุรกิจ ดูไบ เวิลด์ เข้าพบ สมัคร สนใจลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทย

ทำเนียบฯ 24 พ.ค.- โฆษกส่วนตัว “ทักษิณ ชินวัตร” นำ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ดูไบ เวิลด์ เข้าหารือ “สมัคร สุนทรเวช” แสงเจตนารมณ์เข้ามาลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น พร้อมระบุ นายกรัฐมนตรีสหรัฐอาหรับเอมิเรต์สนใจมาเยือนไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 10.0 น. วันนี้ (24 พ.ค.) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ และหารือเป็นการส่วนตัวกับ สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ดูไบ เวิลด์ (Dubai World) เป็นเวลาประมาณ 40 นาที โดยมีนายธีรพล นพรัมภา เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา และน.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมหารือด้วย

ทั้งนี้ นายพงศ์เทพ เปิดเผยภายหลังการหารือว่า สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม แจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบว่า นายกรัฐมนตรีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีความประสงค์จะเดินทางมาเยือนประเทศไทย ซึ่งนายสมัครยินดีต้อนรับ และยังได้ขอบคุณรัฐบาลไทย ที่ให้กลุ่มบริษัทดูไบ เวิลด์ ศึกษาความเป็นไปได้ในโครงการพัฒนาท่าเรือฝั่งทะเลอันดามัน และสะพาน เศรษฐกิจเชื่อมโยงท่าเรือฝั่งอ่าวไทย (แลนด์บริดจ์) ซึ่งเป็นการศึกษาในลักษณะให้เปล่า

“ดูไบยังได้แสดงเจตนารมณ์ ที่จะเข้ามาลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เพราะเห็นว่าการพัฒนาของประเทศไทยในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบกับหลายประเทศแล้ว ประเทศไทยมีการพัฒนามาตลอด โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน” นายพงศ์เทพ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้นำนักธุรกิจมาดูงาน และพบนายสมัคร จะทำให้ถูกโยงเป็นเรื่องทางการเมืองหรือไม่ นายพงศ์เทพ กล่าว ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พยายามชักชวนนักลงทุนให้มาลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนระยะยาว ที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย ถึงแม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่มีหน้าที่อะไร แต่ถือเป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่อะไรทำเพื่อประเทศชาติได้ก็จะทำ จึงได้ชักชวนนักลงทุนให้มาลงทุนในประเทศไทย เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์กับประเทศไทย

ส่วนที่มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดทางให้นักธุรกิจต่างชาติเข้ามาปลูกข้าว และมีการวิจารณ์ว่าเป็นการขายชาตินั้น นายพงศ์เทพ กล่าวว่า เรื่องข้าวคงจะเป็นการเข้าใจผิด นักธุรกิจต่างชาติที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เชิญมา เพื่อให้ซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากประเทศไทย เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่า การอยู่เบื้องหลังของ พ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการปูทางกลับเข้าสู่การเมือง นายพงศ์เทพ ย้ำว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันหลายครั้งแล้วว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง.

ชมรายละเอียด สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-24 11:16:16


ทัศนคติของจักรภพ อันตรายอย่างยิ่ง อันตรายต่อระบบอุปถัมป์ ต่ออำมาตยาธิปไตย


บทความโดย ...ลูกชาวนาไทย
คือ ผมได้ฟังคำบรรยายของจักรภพ ที่บรรยายต่อสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในปีที่แล้ว ผมฟังภาคภาษาอังกฤษ ผมไม่เห็นว่าจะมีส่วนไหนที่ไปกระทบต่อสถาบันแต่อย่างใด อย่างที่มีคนพยายามแปลแบบหาเรื่อง ว่า Patronage System คือ "ระบบเจ้า" คือ ผมฟังภาคภาษาอังกฤษ ในฐานะที่ผมก็เป็นักเรียนเก่าอังกฤษหลายปีเหมือนกัน ผมไม่เคยคิดว่า คำว่า Patronage System คือระบบเจ้า แต่มันแปลว่าระบบอุปถัมป์ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แน่นอนระบบอุปถัมป์นั้น มีอยู่ในทุกประเทศ ไม่ใช่เฉพาะประเทศที่มีกษัตริย์เท่านั้น แต่หนักบ้างเบาบ้างแตกต่างกันไป

คำบรรยายส่วนใหญ่ของจักรภพ คือ การอธิบายความเป็นมาของระบบอุปถัมปฺในประเทศไทย ที่พัฒนาการมาตั้งแต่ยุคสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ก็เหมือนกับที่พูดๆ กันในเมืองไทยมาตั้งนานแล้วเรื่องระบบอุปถัมป์ ว่ามันขัดขวางต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยอย่างไร

จักรภพสรุปว่า ทักษิณเป็นคนทำให้ระบบอุปถัมป์มีปัญหา ทักษิณทำให้ชาวบ้านเริ่มรู้สึกว่าพวกเขามีพลังอำนาจ มีสิทธิมีเสียงในสังคมนี้ นั้นคือสาระคำบรรยายของจักรภพ

สิ่งที่จักรภพสรุปคือ ระบบอุปถัมป์ในปัจจุบันมันขัดแย้งกับระบอบประชาธิปไตย

ผมได้ยิน คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงทัศนคติต่อความเห็นของคุณจักรภพว่าเป็นทัศนะคติที่อันตราย ซึ่งผมก็เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า ทัศนะคติของจักรภพนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อระบอบอุปถัมป์จริง คุณอภิสิทธิ์ เป็นคนที่เกิดและเติบโตทางการเมืองขึ้นมาได้ด้วยระบบอุปถัมป์ล้วนๆ เข้าเรียนอ็อกฟอร์ดได้ก็ด้วยระบบการแนะนำ (คือมหาวิทยาลัยอังกฤษไม่มีการสอบเข้าอยู่แล้ว ต้องมีคน Recommend จึงจะเข้าได้) เมื่อจบออกมาทำงานที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ก็ด้วยระบบอุปถัมป์เช่นกัน เพื่อให้พ้นจากการต้องถูกเกณฑ์ทหาร เมื่อเข้ามาทำงานการเมืองก็อยู่ภายใต้การอุปถัมป์ค้ำชูของนายชวน หลีกภัย ได้ตำแหน่งหัวหน้าพรรค ก็จากการอุปถัมป์ของนายชวน ชีวิตทั้งชีวิตของคุณอภิสิทธิ จึงอยู่ใต้ระบบอุปถัมป์อย่างเต็มที่ ทัศนะคติของคุณจักรภพ เพิญแข จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งในมุมมองของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งพรรคนี้ก็อยู่ใต้อุปถัมป์ค้ำชูของ พล.อ.ป. สี่เสาเหมือนกัน

นั้นคือมุมมองของอภิสิทธิ์

แต่อย่างไรก็ตามหากนั้นเป็นแค่มุมมองหรือทัศนะคติของคุณอภิสิทธิ์ มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะคนเราย่อมมีความเห็นที่แตกต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับกำเนิด รากฐานที่มี การเลี้ยงดู และประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน

เรื่องนี้มันจะไม่เป็นปัญหาหากเป็นแค่การวิจารณ์ทางวิชาการธรรมดาที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์แอบแฝงทางการเมือง ตอนนี้เราก็รู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ ต้องการนำเอาการบรรยายของจักรภพ เป็นการ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ให้ได้ โดยที่มีคนบางคนพยายามที่จะแปลคำว่า Patronage System เป็น ระบบเจ้าให้ได้

คือตอนนี้คนบางกลุ่มในบ้านเมืองนี้ ไม่รู้ว่าจะต่อสู้ทางการเมืองให้ชนะพรรคพลังประชาชนได้อย่างไร คนพวกนี้จึงพยายามลากพรรคพลังประชาชนไปชนกับสถาบันให้ได้ โดยใช้สถาบันเป็นเครื่องมือเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามให้ได้ เรียกว่า ใช้ความจงรักภักดี เป็นเครื่องมือประหัตประหารคู่ต่อสู้ทางการเมือง

ตอนนี้ประเทศไทยจึงแตกแยกความสามัคคีกันอย่างรุนแรง เพราะคนบางหมู่บางเหล่าใช้ "ความจงรักภักดี" เป็นเครื่องมือในการประหัตประหารศัตรูทางการเมืองของตน

ความจงรักภักดี แทนที่จะเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ปวงประชาชามอบให้องค์ราชันย์ด้วยใจบริสุทธิ์ มันก็ได้กลายเป็นหอก หรือเป็นอาวุธ กลับมาทิ่มแทงประชาชนเสียเอง

ผมไม่เคยคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่จะไม่มีความจงรักภักดี หรือต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบไปเป็นแบบอื่นแต่อย่างใด เพราะการเปลี่ยนแปลงระบอบนำมาซึ่งความวุ่นวายทางการเมือง การขาดเสถียรภาพทางการเมืองเป็นเวลานาน และสังคมไทยก็ชินกับระบอบกษัตริย์มาเป็นเวลานานแล้ว และระบอบกษัตริย์กับ "ระบอบประชาธิปไตย" นั้นไม่ได้ขัดแย้งกัน ตัวอย่างมีให้เห็นทั่วโลก เช่น ประเทศในยุโรปทั้งหลาย ที่ถือว่าเป็นชาติที่เจริญแล้ว เช่น อังกฤษ เนเธอแลนด์ เบลเยี่ยม หรือแม้แต่ประเทศที่ สแกนดิเนเวียทั้งหลายที่มีสำนึกของ "สังคมนิยม" และความเท่าเทียมกันอย่างมาก ทั้งนอร์เวย์ และสวีเดน ระบอบกษัติย์ก็ยังคงไปได้ด้วยดี

ส่วนที่เนปาลระบอบกษัตริย์ล่มสลาย เพราะกษัตริย์พิเรนทรา เข้ามาแทรกแซงทางการเมือง ซึ่งก็ส่งผลทันตาเห็น เนปาลที่เคยปกครองด้วยระบอบกษัติริย์แบบ "เทวะราชา" ก็ล่มสลายโดยพลัน

เมืองไทย ผู้คนยังคงให้ความจงรักภักดีในระบอบกษัตริย์อย่างเต็มที่

แต่สองปีที่ผ่านมา เกิดความแตกแยกทางการเมืองอย่างรุนแรง เพราะมีคนบางหมู่บ้างจำพวก "ดึงเอาสถาบันกษัตริย์" ลงมาสัมผัสทางการเมือง แม้ไม่ใช่เบื้องสูงเอง แต่คนใกล้ชิดทั้งหลายก็ไม่มีทางที่จะพ้นข้อกล่าวหาไปได้ การปฎิเสธ นั้น ในยุคข้อมูลข่าวสาร ทีมีทั้งคลิปเสียง คลิปวิดิโอ แพร่กระจายผ่านเว็บอย่างรวดเร็ว การปฎิเสธอย่างหน้าตาย ก็ไม่ช่วยให้คนเชื่อถือขึ้นมาได้

ตอนนี้ คนบางหมู่บางจำพวก ได้เอา "ความจงรักภักดี" มาใช้เป็นอาวุธ เพื่อทำลายคนอื่น ผู้คนเหล่านี้หากได้สนใจผลร้ายที่จะกระทบขึ้นไปยังสถาบันเองไม่ กลับใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมืองของตน

การใช้อาวุธนี้ รังแต่จะสร้างความเจ็บแค้น คับข้องใจให้กับประชาชน

การละเลย เพิกเฉย ปล่อยให้ กลุ่มหรือฝ่ายทางการเมืองหาประโยชน์จากการใช้ความจงรักภักดี ทำลายผู้อื่นย่อมนำความเสื่อมเสียมาสู่สถาบันอย่างเลี่ยงไม่ได้

ก็น่าแปลกใจที่ไม่มีใครคิดที่จะยับยั้ง การกระทำเช่นนี้เลย

จาก thaifreenews

ยังระแวงยี่ห้อ 'ทักษิณ'

ก็ของคนมันชอบ ห้ามกันลำบาก

ล่าสุดสำนักข่าวเอพีรายงานข่าวและภาพ “ลุงหมัก” นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เล่นบท “พระยาน้อย” เดินชมตลาดสดในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ระหว่างภารกิจการเดินทางเยือนประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนอย่างเป็นทางการ

ตามข่าวระบุด้วยว่า นายกฯไทย ลงทุนซื้อเนื้อหมูและผักสดหลายชนิดด้วยตัวเอง เพื่อจะนำมาประกอบอาหารเลี้ยงคณะเจ้าหน้าที่ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงมะนิลา

จิตฝักใฝ่อยู่กับเรื่องกับข้าวกับปลา

และถ้าได้ยินแล้วเจ้าตัวก็คงยิ้มกับข่าวดี “เจ๊สด” นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาแพลมไต๋ ขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้ส่งเอกสารชี้แจงการจัดรายการ “ชิมไปบ่นไป” แล้ว และไม่พบว่ามีการทำสัญญาผูกมัดกับบริษัท เฟรสมีเดีย

“ส่วนตัวดูแล้วไม่น่ามีปัญหาใดๆ คาดว่าน่าจะตรวจสอบเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้”

แนวโน้มรอดตายน้ำตื้น

“ลุงหมัก” ไม่ต้องตกเก้าอี้เพราะข้อหาควงตะหลิวทำกับข้าวโชว์ชาวบ้าน

แต่โดยวิบากกรรมที่ต้องเจออีกหลายด่าน อ่านจากคำทำนายสดๆร้อนๆของ “โหร คมช.” นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ เจ้าสำนักสุขิโต ดวงของ “ลุงหมัก” ที่จะเป็นนายกฯอยู่ครบเทอมเป็นเรื่องยาก

แค่เอาให้รอดปีนี้ก็ถือว่าลำบากแล้ว

จากคดีหมิ่นประมาท ต่อด้วยคดีรถดับเพลิง ตามด้วยคดีที่ดินทิ้งขยะ กทม. แล้วก็คดีนอมินี พรรคไทยรักไทย จนถึงคดีควงตะหลิวทำกับข้าวโชว์ออกทีวี

“ลุงหมัก” เจอวางเรือใบตลอดทาง

แล้วไหนจะต้องระแวงเกมเจาะยางกันเองในพรรคพลังประชาชน ที่รอยปริแยกเด่นชัด จากการที่ “ลุงหมัก” พลิกเกมขอทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ หักลำ ส.ส.ในสังกัด “เพื่อนเนวิน” ที่ชิงยื่นญัตติรื้อรัฐธรรมนูญกับ “ปู่ชัย” นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร

โทษฐานขวางทางสายฮาร์ดคอร์

“แก๊งไอ้ห้อยไอ้โหน” ตั้งแท่นตีหัว “ลุงหมัก” แน่

และไม่แน่ใจว่าจะได้อานิสงส์จากการเดินสายแก้บน ไหว้พระสะเดาะเคราะห์ 99 วัดหรือไม่ เพราะเที่ยวนี้ “โหรวารินทร์” ได้ทำนายดวงชะตาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะดีขึ้นในปี 2552

“ทักษิณ” จะตั้งหลักได้ในปีหน้า

ประกอบกับความเคลื่อนไหวของอดีตนายกฯที่เริ่มกลับมาเป็นข่าวรายวันบนหน้าหนังสือพิมพ์ นับตั้งแต่วันที่ไปนั่งชมสโมสรเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โม่แข้งโชว์กับรวมดาราไทยแลนด์ลีก

เสียงเชียร์ “ทักษิณ” กลับมาเป็นนายกฯ กระหึ่มสนาม

แต่ดูเหมือนจะมองไปไกลกว่านั้นแล้ว

ประเมินจากแนวคิดชวนอดีตประธานาธิบดี อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศต่างๆตั้งชมรมอดีตผู้นำ เพื่อนำประสบการณ์และความรู้ที่มีมาเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

“ทักษิณ” มุ่งเอาดีเวทีโลก

และก็เป็นอะไรที่การันตีเครดิตระดับอินเตอร์ พิสูจน์จากบิ๊กโปรเจกต์ เช่าเกาะกงจากรัฐบาลกัมพูชาเพื่อเนรมิตเป็นกาสิโนคอมเพล็กซ์ การดึงเพื่อนสุลต่านมหาเศรษฐีกลุ่มบริษัท ดูไบ เวิลด์ มานำร่องโครงการสะพานเศรษฐกิจ (แลนด์ บริจด์) ภาคใต้ วางท่อน้ำมันระหว่างฝั่งอันดามันกับอ่าวไทย

ชื่อ “ทักษิณ” ขายได้ในหมู่นักลงทุนระดับโลก

แต่ในหมู่คนไทยด้วยกัน ชื่อ “ทักษิณ” ก็ยังเป็นที่หวาดระแวง หนีไม่พ้นคำถาม “คิดอะไรอยู่ในใจ”

กับแนวคิดดึงเศรษฐีน้ำมันซาอุดีอาระเบียลงทุนทำนาในเมืองไทย ที่ปรากฏในภาพข่าวอดีตนายกฯทักษิณพาเพื่อนชาวอาหรับไปดูงานที่หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีนายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย เป็นแม่งานต้อนรับ

ปรากฏ โดนถล่มเละ

ที่แน่ๆได้จังหวะลูกไหลเข้าทาง ซัดเต็มเหนี่ยวเลย นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.เกษตรและสหกรณ์ เด็กในคาถาของ “บิ๊กเติ้ง” นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ออกมาประกาศชัด

ไม่เห็นด้วย และจะต่อต้านให้ถึงที่สุด

ด่าแรงถึงขั้น เป็นแนวคิดของนายทุนขายชาติที่มุ่งทำลายวิถีชาวนาไทย กระทรวงเกษตรฯเตรียมใช้กฎหมายคุ้มครองอาชีพคนไทยมาคัดค้าน

“บรรหาร” ขย่ม “ทักษิณ” สนุกเลย.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน

“จักรภพ” นัดแถลงข่าวใหญ่ 26 พ.ค.

ส่วนกรณีที่นายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาว่ามีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบัน จนมีข่าวว่าถูกกดดันจากผู้ใหญ่ในพรรคพลังประ-ชาชนให้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯนั้น วันเดียวกัน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ได้รับการติดต่อจากนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่ฝากให้แจ้งต่อสื่อมวลชนว่า นายจักรภพจะแถลงแสดงความบริสุทธิ์ใจ พร้อม นำเสนอคำแปลบทบรรยายที่ไปพูดตามสถานที่ต่างๆ ที่มีการกล่าวหาว่ากระทบกระเทือนต่อสถาบัน ในวันที่ 26 พ.ค. เวลา 14.00 น. ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล โดยในช่วงเวลานี้นายจักรภพจะขอรวบรวมความถูกต้องของเอกสาร เพราะเป็นประเด็นละเอียดอ่อน จึงต้องตรวจสอบความหมายถ้อยคำ ให้ตรงกับเจตนารมณ์ของผู้บรรยายทุกตัวอักษร และจะขอชี้แจงทุกประเด็นทุกกรณี โดยได้ ขอถอนตัวจากการร่วมเดินทางไปประเทศฟิลิปปินส์กับนายกฯ เพื่อเตรียมการเรื่องนี้

แกนนำ นปก.ขอยืนเคียงข้าง “จักรภพ”

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ส่วนกระแสข่าวที่นายจักรภพจะขอลาออกจากตำแหน่งนั้น นายจักรภพได้ยืนยันว่ายังไม่มีการตัดสินใจเรื่องดังกล่าว รวมถึงไม่มีผู้ใหญ่ในพรรค พลังประชาชนหรือรัฐบาลมาเคลื่อนไหวกดดันให้ตัดสินใจทางการเมือง ดังนั้น จึงอยากให้นายจักรภพได้แสดงความบริสุทธิ์ใจต่อสังคมก่อน หากพบว่าทำผิดจริง ก็ไม่มีคนไทยคนใดยอมรับได้ จะต้องได้รับโทษสูงสุด โดยไม่มีข้อยกเว้น แต่ต้องให้กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่ ข้อกล่าวหาของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ส่วนกรณีที่สมา-ชิกพรรคพลังประชาชนบางส่วนต้องการให้นายจักรภพพิจารณาตัวเองนั้น นายจักรภพก็พิจารณาตัวเองมาตลอด โดยเห็นว่าจำเป็นต้องแถลงความบริสุทธิ์ใจด้วยตัวเอง เพราะข้อกล่าวหานี้ไม่ใช่ส่งผลให้พ้นจากตำแหน่งเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงทั้งชีวิต ครอบครัว วงศ์ตระกูลของผู้ถูกกล่าวหา จึงต้องให้โอกาส เวลา สำหรับเรื่องนี้ ทั้งนี้ ใน ส่วนแกนนำ นปก.ยืนยันว่าจะยืนเคียงข้างนายจักรภพตลอด จนกว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องนี้ เพราะมั่นใจในความ บริสุทธิ์ของนายจักรภพว่าไม่มีเจตนากล่าวกระทบสถาบัน

สตช.แปลปาฐกถา “จักรภพ” เสร็จแล้ว

พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวถึงคดีหมิ่นสถาบันของนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯว่า ขณะนี้เรื่องเข้าสู่ กระบวนการยุติธรรมของ สตช. ขอให้ปล่อยไปตามกระบวน การยุติธรรมต่อไป โดยขณะนี้การแปลเอกสารทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว กองการต่างประเทศจะได้ส่งคณะพนักงานสอบสวนต่อไปส่วนจะเข้าข่ายการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่ เป็นเรื่องของพนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐานต่อไป การดำเนินคดีต้องเป็นขั้นตอน ไม่มีการใช้สถาบันมาเป็นเครื่องมือโจมตีฝ่ายใด เมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นชั้นตำรวจ อัยการและศาลจะดำเนินการโดยหลักนิติธรรมทุกประการ ทั้งนี้ การแปลเอกสารจะใช้กองการต่างประเทศเป็นหลัก ส่วนเอกสารการแปลของผู้กล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหาหรือแหล่งข้อมูลอื่น พนักงานสอบสวนจะรวบรวมคำแปลเหล่านั้น เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพยานหลักฐานในคดี ผู้สื่อข่าวถามว่าจะใช้บรรทัดฐานใดว่าคำแปลใดถูกต้องหรือบิดเบือน รองโฆษก ตร.ตอบว่า คงไม่ใช่คำแปลอย่างเดียว ต้องดูองค์ประกอบอื่นด้วยคำแปลเป็นส่วนหนึ่งของหลักฐาน

ผบช.ส.ปิดปากผลสอบคดี “จักรภพ”

พล.ต.ท.ระพีพัฒน์ ปาลกะวงศ์ ผบช.ส. กล่าวถึงกรณีผลสอบสวนคดีหมิ่นสถาบันของนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯว่า สันติบาลได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาข้อความคำปราศรัยของนาย จักรภพ หากพบความผิดกระทบคดีหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ตำรวจสันติบาลจะรวบรวมข้อมูลร่วมกับ บช.ก. เพื่อเสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับทราบ ในการสอบสวนคดีนี้ไม่ได้หนักใจอะไร

พล.ต.ท.ระพีพัฒน์กล่าวถึงกรณีการดำเนินคดีเว็บไซต์ที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบันว่า ที่ผ่านมาได้ตั้งชุดเฉพาะกิจตำรวจสันติบาล ขึ้นมาตรวจสอบเว็บไซต์ต่างๆตลอด 24 ชั่วโมง คดีที่เกี่ยวข้องสถาบันดำเนินการไปแล้ว 28 เรื่อง โดยเว็บไซต์ที่เฝ้าดูแล้วมีเจตนาเข้าข่ายหมิ่นสถาบัน ทั้งในและต่างประเทศ มีจำนวน 20 เว็บไซต์ ได้แก่ ยูทูบ์ ประชาไท ฟ้าเดียวกัน พลเมืองวิวัฒน์ เปิดให้ คนเข้ากระทู้แสดงความคิดเห็น บางเว็บไซต์ยังเปิดดำเนินการอยู่ ส่วนเว็บไซต์ไฮทักษิณที่ปิดไปตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย. เจตนาเผยแพร่ข้อมูลที่มีผลกระทบทั้งปกติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ การสืบสวนพบข้อมูลเชื่อมโยงเป็นขบวนการที่มีเสนอข้อความในรูปแบบเว็บไซต์ สิ่งพิมพ์ ตำรวจสันติบาลมีข้อมูลผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดได้ประสานกระทรวงไอซีที เพื่อปิดเว็บไซต์เหล่านี้

“ทักษิณ” ปัดยังไม่ได้คุย “จักรภพ”

เย็นวันที่ 22 พ.ค. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่ระบุให้นายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ พิจารณาตัวเองหากไม่สามารถชี้แจงกรณีการหมิ่นสถาบันได้ว่า “ไม่ทราบ ยังไม่ได้คุยกับนายจักรภพเลย คิดว่านายจักรภพคงจะพูดกับสังคมเร็วๆนี้ แต่การเมืองอย่าเพิ่งเลย พอแล้ว การเมืองอย่าเพิ่ง” เมื่อถามว่าการเดินทางไปบ้านนายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย ที่จ.สุพรรณบุรี เพื่อไปเคลียร์ปัญหาความขัดแย้งในอดีต ระหว่างนายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กับนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า ไม่หรอก ไปดูเรื่องเกษตรกร เรื่องชาวนา ส่วนแนวคิดการตั้งชมรมอดีตผู้นำประเทศต่างๆนั้น ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการพูดคุยกับอดีตประธานาธิบดีและอดีตนายกฯหลายประเทศ ว่าเราจะมารวมกันตั้งชมรมอดีตผู้นำ เพื่อนำประสบการณ์และความรู้ที่มีมาเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมของโลก กำลังคุยกันอยู่ 4-5 คนแล้ว จะค่อยๆขยายวงออกไป เมื่อมีมากในระดับหนึ่งแล้วค่อยดำเนินการ ผู้สื่อข่าวถามว่าเกรงหรือไม่ว่าการจัดตั้งชมรมลักษณะดังกล่าวจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าตั้งขึ้นมาเพื่อกลับเข้าสู่การเมืองอีกครั้ง พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า “อดีตคือไม่ยุ่งแล้วไง อดีตนี่คือเลิกแล้ว ถ้ายังจะกลับเข้ามาการเมืองอยู่ ก็ไม่เข้าไปในชมรมอดีต อดีตคือจบแล้ว”

จี้รัฐบาลจัดการเช็กบิล “จักรภพ”

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านฯ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯและ รมว.กลาโหม ระบุว่าจะยังไม่มีการปลดนาย จักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯว่า เรื่องคดีอาจจะเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา และมีความซับซ้อนอยู่พอสมควร เพราะอาจจะไม่ใช่ข้อหาเดียว บางคนอ่านแล้วคิดว่า มีปัญหาว่าเป็นกบฏด้วยหรือไม่ เป็นต้น แต่ ประเด็นที่อยากยืนยันผ่านไปถึงนายกฯ คือในระยะหลังเมื่อไหร่ก็ตาม ที่คนที่อยู่ในตำแหน่งแล้วมีอำนาจถูกกล่าวหา คดีจะคืบหน้าช้ามาก แม้กระทั่งกรณีนี้หลับตานึกภาพว่า ถ้าไม่ใช่เป็นรัฐมนตรีป่านนี้คดีอาจจะสรุปแล้วก็ได้ และสิ่งที่เรียกร้องไป เพราะเห็นว่าเรื่องนี้ต้องแก้ด้วยทางบริหารจะไปโยนให้เป็นภาระของกระบวนการยุติธรรมคนเดียวไม่ได้ และคดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตำรวจก็มีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการตัดสินใจ อยากเห็นรัฐบาลมีความจริงจังในการแก้ปัญหา ที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนของประเทศ ไม่ใช่ปล่อยจนเกิดกระบวนการต่างๆ และมีความเหิมเกริมโดยเอาเรื่องต่างๆมาปะปนกัน

เชื่อ “จักรภพ” ไม่กล้าคิดไขก๊อก

“ผมยืนยันว่าเรื่องนี้ต้องการที่จะปลดชนวนความ ขัดแย้งของบ้านเมือง และเห็นว่าคนที่อยู่ในฐานะที่จะทำได้ก็คือหัวหน้ารัฐบาลให้ใช้การเมือง การบริหารแก้ปัญหา ถ้าผมคิดว่าคุณจักรภพมีความเป็นไปได้ที่จะพิจารณาตัวเอง ผมก็เรียกร้องคุณจักรภพ บังเอิญดูแล้วผมคิดว่าคุณจักรภพไม่ทำ และไม่มีความรู้สึกรู้สาเลย ยังกล้าปฏิเสธในสิ่งที่ตัวเองพูด ผมถึงต้องเรียกร้องหัวหน้ารัฐบาลให้ทำ แต่ถ้าเขาจะกลับใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นอกจากนี้มีผู้ใหญ่ในวงการเมืองที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายประชาธิปัตย์ ได้พูดส่งสัญญาณค่อนข้างชัดว่า คุณจักรภพกำลังเป็นปัญหา คำถามก็คือว่าเราจะให้บุคคลที่เป็นปัญหามาสร้างปัญหาให้กับส่วนรวมเพื่ออะไร คุณจักรภพไม่ได้มีความสำคัญ ในฐานะคู่แข่งทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ พฤติกรรมเป็นอย่างนี้เราเห็นว่าไม่เหมาะสม เราก็เสนอแนะ และเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณจักรภพพยายามวาดภาพว่า ถ้าเล่นงานคุณจักรภพแล้วต้องไปเล่นงานคนอื่นนั้นไม่มี เพราะถ้ามีคนที่มีพฤติกรรมอย่างคุณจักรภพ ก็ต้องถูกตรวจสอบอย่างนี้ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปดำเนินการ” นายอภิสิทธิ์กล่าว

อดีตแกนนำ นปก.จัดงานวันเกิดครบ 60 ปีให้ วีระ


เมืองทองธานี 23 พ.ค. - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวีระ มุสิกพงศ์ ได้จัดงานวันคล้ายวันเกิดปีที่ 60 ที่ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ อาคารคอนเวนชั่น เมืองทองธานี โดยใช้ชื่องานว่า “คือเรื่องราว ชาวระโนด มีไผ่ นา โหนด มีไข่มุกดำ” ภายในงานเลี้ยงเป็นการเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์ จัดโต๊ะไว้ 200 โต๊ะ และมีการจำหน่ายหนังสือเรื่อง “ชีวิตเพื่อประชาธิปไตย คน 4 คุก ไข่มุกดำ” ราคา 300 บาท

นายวีระ เปิดเผยว่า การจัดงานครั้งนี้ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน เป็นเจ้าภาพจัดงานให้ ซึ่งทั้งหมดเป็นอดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) อย่างไรก็ตาม ไม่ได้เชิญใครมาร่วมงานเป็นพิเศษ เพียงแต่ออกเป็นข่าวไปเท่านั้น

นายวีระ กล่าวว่า จะทำงานการเมืองต่อไป ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.หรือไม่ เพราะได้ยกชีวิตให้กับประชาชนที่สนามหลวงแล้ว ก็จะเคลื่อนไหวเพื่อรักษาประชาธิปไตยต่อไป อยากฝากบอกนักการเมืองว่า ประชาธิปไตยคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ ระบบรัฐสภาเป็นการทำงานตามระบอบ ดังนั้น หากเดินตามระบบก็ไม่มีปัญหา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก นอกจากแกนนำกลุ่ม นปก. อาทิ นายณัฐวุฒิ นายจตุพร จะมาร่วมงานแล้ว ยังมี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพ่อค้า ประชาชน มาร่วมงานจำนวนมาก

นายพงศ์เทพ เปิดเผยว่า ที่มาร่วมงานเพราะรู้จักกับนายวีระ มาในนามส่วนตัว ไม่ใช่ตัวแทน พ.ต.ท.ทักษิณ และไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาหรือไม่. - สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-23 20:14:35

สมัคร แย้มอาจออกพระราชกำหนดทำประชามติแก้ไข รธน.

สุวรรณภูมิ 23 พ.ค.-นายกรัฐมนตรีประกาศเดินหน้าทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยอมรับไม่รู้มาก่อนว่าไม่มีกฎหมายรองรับ เตรียมเสนอให้ออกเป็นพระราชกำหนดแทน ขณะเดียวกัน ไม่ห่วงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน

นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากการเยือนประเทศฟิลิปปินส์ ถึงกรณีที่นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ยังคงเดินหน้าญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ ส.ส.พรรคพลังประชาชนว่า ไม่เป็นไร ให้ประธานรัฐสภาทำไป แต่เรื่องการทำประชามติ ตนจะไม่ถอย ซึ่งก่อนหน้านี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บอกว่า ต้องรอกฎหมายเกี่ยวกับการทำประชามติ ตนจึงคิดว่าจะทำอย่างไร จึงได้ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย

“ว่ากันตามจริง ก่อนหน้านี้ตนก็พูดไปตามสัญชาติญาณ ซึ่งคิดว่ามีกฎหมายประชามติอยู่ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร อาจจะออกเป็นพระราชกำหนดแทน เพราะยังมีเวลาที่จะให้มีการหยั่งเสียงดูว่า ใครเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” นายสมัคร กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (24 พ.ค.) จะหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า จะทำได้หรือไม่ ถ้าไม่เป็นปัญหา คิดว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 27 พฤษภาคม จะนำเสนอเข้าที่ประชุมได้

นายสมัคร กล่าวว่า ใครที่ไปใช้คำว่ารัฐบาลก้าวล่วงสภา ยืนยันว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ดูแลในเรื่องการดำเนินการตามกฎหมาย การที่จะเปิดประชุมคงเพราะมีกฎหมายคั่งค้าง ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล

ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะชุมนุมคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 25 พฤษภาคมนั้น นายสมัคร กล่าวว่า ตนไม่ห่วงสถานการณ์บ้านเมือง เพราะการที่ตนให้ลงประชามติก็เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ ใครมีความคิดเห็นว่าควรแก้ไขหรือไม่ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ให้ออกมาลงประชามติ เมื่อทำประชามติแล้วยังมีการก่อกวนสร้างความวุ่นวายก็ปล่อยเขาไป แต่เมื่อทำประชามติแล้ว ประชาชนเห็นอย่างไร คนที่ก่อความวุ่นวายจะรู้สึกละอายเอง และประชาชนจะคิดได้ว่า ใครที่หวังดีต่อบ้านเมือง ตนกำลังบริหารบ้านเมือง แล้วมีการมาก่อกวนอีก เรื่องนี้ไม่รู้จะว่าอย่างไร ต้องถามประชาชน.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-23 19:09:30


เปิดใจ! “สมัคร” ร่อนหนังสือถึง กกต. แจง 4 ข้อชัดเจน

“นายกฯ” เคลียร์ตัวเองนั่งพิธีกร “ชิมไปบ่นไป” ระบุรับงานด้วยปากเปล่า ตั้งแต่ปี 43 ยืนยันไม่มีเซ็นสัญญาว่าจ้างหรือไม่เคยมีตำแหน่งใด ๆ ในบริษัทของผู้ผลิตรายการ รับแค่ไม่เหมาะสม พร้อมยินดีเข้าให้ปากคำต่อ กกต. เปรยให้หาพรีเซนเตอร์คนใหม่แทน

วันนี้ (23 พ.ค.) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2551 ถึงนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อชี้แจงถึงกรณีที่มีผู้ร้องเรียนว่าเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ “ชิมไปบ่นไป” ทำให้ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายอภิชาตได้นำมาแจกกับกกต.ทั้ง 4 คนด้วยระหว่างการประชุม ซึ่งที่ประชุม กกต. ยังไม่ได้มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าว

สำหรับเนื้อหาที่นายสมัครได้ชี้แจงถึง กกต. ระบุว่า “ตามที่ผู้กล่าวหาว่ากระผมเป็นผู้จัดรายการเป็นการขัดต่อข้อกำหนดของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวหาว่ากระผมเป็นลูกจ้างบริษัทผู้ผลิตรายการนั้น กระผมจึงขอเรียนให้ท่านทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้

1. ผมได้รับการเชิญจากผู้เป็นเจ้าของรายการให้เป็นผู้แสดงการทำอาหารไทยให้กับผู้ที่สนใจได้ศึกษากับทางโทรทัศน์ตั้งแต่เมื่อกลางปี พ.ศ. 2543 ที่กระผมลาออกจากการเป็น ส.ส. มาลงสมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานคร

2. นับตั้งแต่การได้รับเชิญเป็นพิธีกรดังกล่าวเป็นการออกปากเชิญกันด้วยปากเปล่าและได้ทำรายการติดต่อกันมาเป็นเวลา 7 ปี โดยบางครั้งเมื่อเป็นผู้ว่าฯ กทม.แล้วมีหนังสือพิมพ์ลงตำหนิว่ากล่าว ผมก็ไม่รับเป็นพิธีกรอยู่จนพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ แล้วจึงได้กลับมารับเชิญใหม่ ซึ่งก็เป็นการเชิญปากเปล่าเหมือนเดิม ไม่เคยมีการเซ็นสัญญาว่าจ้างหรือไม่เคยมีตำแหน่งใดๆ ในบริษัท ของผู้ผลิตรายการไม่ว่าตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น

3. การรับเป็นพิธีกร ผู้เชิญก็ได้ให้ค่าน้ำมันรถในการไปถ่ายทำ ทำนองเดียวกันกับที่ผมไปเป็นผู้บรรยายทางหน่วยงานอื่นที่เชิญให้ไปพูด โดยได้รับค่าน้ำมันทุกคราที่ไปถ่ายทำ

4. เมื่อก่อนหน้าที่ผมจะได้รับเลือกเป็น ส.ส.ในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ประมาณ 2 - 3 วัน ผมได้รับจดหมายสอบถามจากเจ้าของรายการว่า ถ้าหากผมเป็น ส.ส. แล้วยังเป็นพิธีกร ให้เขาเหมือนเดิมหรือไม่ ซึ่งผมก็ตอบไปว่าเป็น ส.ส.ไม่เป็นไร แต่หากวันข้างหน้าไปทำหน้าที่รัฐมนตรีทางฝ่ายบริหารจะมีกฎระเบียบ ซึ่งแม้จะไม่เข้าเกณฑ์ต้องห้าม แต่อาจไม่เหมาะสม จึงมีหนังสือกลับไปว่าตอนที่ยังเป็นส.ส.อยู่นี้ รับดำเนินรายการเหมือนเดิมได้ แต่หากเป็นผู้บริหารระดับรัฐมนตรีแล้วก็คงจะต้องพิจารณากันอีกที โดยสรุปต่อจากนั้นจะทำรายการให้เปล่าๆ ไม่รับค่าน้ำมันรถ และขอให้เริ่มมองหาพรีเซนเตอร์คนใหม่เอาไว้ด้วย

โดยผมขอยืนยันว่าผมไม่เคยมีหรือเซ็นต์สัญญากับทางบริษัทและได้แจ้งไปแล้วว่าตั้งแต่รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ผมไม่ขอรับค่าตอบแทนแต่อย่างใด และยินดีที่จะนำหลักฐานและมาให้ปากคำกับกกต.เองหากต้องการทราบข้อเท็จจริง

พปช.แฉเล่ห์ “ส.ว.สรรหา” ล็อบบี้ถอนแก้ รธน.

“นิสิต สินธุไพร” แฉเล่ห์เหลี่ยม “ส.ว.สรรหา” วิ่งล็อบบี้ฝุ่นตลบ กดดัน ส.ส.-ส.ว. ในสภาถอดชื่อยื่นญัตติหนุนร่าง รธน. ฉบับ คปพร. เข้าสภา เผยใช้วิธีการขู่แจกใบเหลือง – แดง ขณะที่ “ผู้ใหญ่” บางคนสั่งบีบให้ถอย ยันล่ารายชื่อตามขั้นตอนถูกกฎหมาย ระบุ 164 คนได้อ่านญัตติครบถ้วน

วันนี้ (23 พ.ค.) นายนิสิต สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน ในฐานะแกนนำในการรวบรวมรายชื่อ ส.ส. และส.ว. เพื่อยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่มี ส.ส. และ ส.ว.จำนวนหนึ่งถอนชื่อออกจากญัตติ ว่า เป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. และ ส.ว. การดำเนินการรวบรวมรายชื่อนั้นตนได้ทำตามกระบวนการทุกขั้นตอน โดยแนบร่างรัฐธรรมนูญฉบับ คปพร.ไปด้วย ซึ่ง ส.ส. และ ส.ว.ทุกคนก็ได้เห็นร่างนั้นอย่างชัดเจนแล้วก่อนลงชื่อด้วยกัน 2 ชุด คือทั้งตัวจริงและตัวสำรอง ทั้งนี้ตนเห็นว่าทุกคนที่ร่วมลงชื่อต่างมีวุฒิภาวะด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นควรที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าวด้วย

ส่วนสาเหตุที่มีผู้ถอดชื่อหลายคนนั้น ตนทราบว่ามีเหตุมาจากการถูกกดดันอย่างหนัก โดยมีการหยิบยกเรื่องร้องเรียนใบเหลือง - ใบแดง ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขึ้นมาข่มขู่ รวมถึงการให้ผู้ใหญ่ที่เป็นที่ “อำนาจมืดในระบอบเผด็จการยังมีอยู่จริง และแทรกแซงการถอนชื่อของ ส.ส. ส.ว. ครั้งนี้ มีส.ว.เลือกตั้งโทรศัพท์มาขอโทษผม ที่ต้องถอนชื่อ และเล่าให้ผมฟังว่า มีส.ว.สรรหาบางคน มาขอให้ถอนชื่อออกไป แต่ขอยืนยันว่าการเข้าชื่อทำตามกระบวนการ ทุกคนที่ร่วมลงชื่อได้อ่านญัตติและยินดีที่จะเซ็นให้ ไม่ได้เซ็นลงบนกระดาษเปล่า แต่พอปรากฎเป็นข่าวก็บอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ถูกหลอกลวง ซึ่งผมก็เห็นว่าเป็นเหตุผลของคนที่ต้องการถอนชื่อเท่านั้น” นายนิสิตกล่าว

พร้อมยืนยันว่า แม้จะมี ส.ส. และ ส.ว.บางส่วน ถอนชื่อออกจากญัตติก็ไม่ส่งผลให้ญัตติตกไป เพราะกฎหมายกำหนดจำนวนไว้เพียง 96 คนเท่านั้น อย่างไรก็ตามยอมรับว่าขณะนี้พบปัญหารายชื่อส.ส. ซ้ำอยู่จำนวนหนึ่ง ในส่วนของพรรคพลังประชาชนหากจะนัดประชุม ส.ส. ของพรรคเพื่อหารือถึงความชัดเจน ในกรณีนี้อีกครั้งตนก็ยินดี และยืนยันว่าในพรรคไม่ได้เกิดความขัดแย้งขึ้น

นอกจากนี้ ตนสนับสนุนการทำประชามติ เพราะเป็นทางออกที่ดีจะสามารถคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งในสังคมได้ และพวกตนพร้อมที่จะรอให้มีการจัดการออกเสียงประชามติก่อนที่สภาจะพิจารณาญัตติเรื่องการแก้ไข รธน. แต่ยืนยันว่ากลุ่มตนไม่ได้ถอย แต่รอฟังเหตุผลของสังคม

โดยในวันที่ 5 - 8 มิถุนายนนี้ คณะกรรมการประสานงานภาคอีสาน พรรคพลังประชาชนจะจัดสัมมนาที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อหารือกันเรื่องการแก้ไข รธน. ปัญหาเศรษฐกิจ การทำงานในสภา และการพัฒนาพรรคพลังประชาชน โดยจะเชิญนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีไปร่วมงานด้วย

“หมอเหวง” แฉซ้ำ! พวก ส.ส.-ส.ว.พันธมาร ล็อบบี้ขวางแก้ รธน.

อัดซ้ำ ส.ส.ฟากพันธมิตร ใช้อำนาจเถื่อน – ร้อยเล่ห์เพทุบายทุกวิถีทาง ขวางยื่นญัตติร่าง รธน. ฉบับ คปพร. ชี้เป็นคนไร้ศักดิ์ศรี เชื่อมีเจตนาแอบแฝงชัดเจน เย้ยไม่มีวันทำสำเร็จแน่นอน เผยยังมั่นใจรายชื่อ ส.ส. – ส.ว. ทำถูกต้อง จวกกลับ “สาธิต” พ่นคำตอแหลล้ม รธน.

หลังจากที่ กระบวนการอำนาจมืดยังคอยจ้องล้างจองผลาญขัดขวางการแก้ รธน.50 ล่าสุดได้ใช้วิธีการล็อบบี้ ส.ส. และ สว. ที่เข้าชื่อยื่นญัตติแก้ไข รธน.50 โดยหยิบยกเรื่องร้องเรียนใบเหลือง - ใบแดง ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขึ้นมาข่มขู่ รวมถึงให้ผู้ใหญ่ที่เป็นที่เคารพนับถือมาขอให้ถอนชื่อออก

ในเรื่องนี้ นพ.เหวง โตจิราการ คณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) ให้สัมภาษณ์ว่า พวกที่ออกมาล็อบบี้ ส.ส. และ ส.ว.ที่ลงชื่อเห็นด้วยกับการแก้ รธน.50 เป็นพวกที่สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งส่งผลให้หมดสง่าราศีและไร้ศักดิ์ศรีในตัวเอง ทั้งที่เป็น ส.ส.-ส.ว. แต่กลับสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เป็นพวกเดียวกับเผด็จการ

ทั้งนี้ ไม่แน่ใจว่าการกระทำเช่นนี้จะมีเจตนาแอบแฝงหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเชื่อว่าการกระทำเช่นนี้จะไม่มีวันประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน เพราะเชื่อมั่นในตัว ส.ส. และ ส.ว. ที่ร่วมลงชื่อสนับสนุน แต่ถึงกระทั้น แม้จะมีบางท่านถอดชื่อออกไปแล้วก็ไม่เป็นไร เนื่องจากตามกฎหมายใช้เพียง 150 ชื่อก็เพียงพอแล้ว

“ผมยังมองว่า ต่อไปจะมีการใช้ทั้งอำนาจมืด อำนาจเถื่อน ทำทุกวิธีทางที่จะขัดขวางการแก้ไข รธน. เพราะคนพวกนี้ไม่สนหรอกว่าจะขัดขวางเราด้วยวิธีใด ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา” นพ.เหวง กล่าว

พร้อมระบุถึง นายสาธิต วงศ์หนองเตย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาระบุถึงการแก้ไข รธน.เป็นการล้มรัฐธรรมนูญนั้น ตนอยากเรียนให้ทุกท่านได้เข้าใจตรงกันว่า การแก้ไข รธน.ในครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะล้มรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แต่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมในบางส่วนเท่านั้น

เนื่องจากที่มาของ รธน.ฉบับนี้เป็นเผด็จการ ซึ่งตามหลักกฏหมายแล้วแล้วไม่สามารถบังคับให้ย้อนกลับไปเอาความผิดได้ ซึ่งคำพูดของนายสาธิตเป็นคำพูดที่โกหก ตอแหล และพยายามสร้างความแตกแยกทางความคิดของภาคประชาชน




แฉ!พันธมิตรฯอ้างค้านแก้รธน.ปลุกปั่นจ้องล้มรัฐบาล

สมาพันธ์ประชาธิปไตย แถลงการณ์ดักคอพันธมิตรฯชุมนุม หวังโค่นล้มรัฐบาล ปลุกปั่นให้เกิดปฏิวัติ

แถลงการณ์สมาพันธ์ประชาธิปไตย

พันธมิตรฯกำลังสร้างเงื่อนไขโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และปลุกปั่นให้เกิดรัฐประหาร

รัฐธรรมนูญ2550มาตรา291 ได้ระบุไว้ชัดเจนในวรรคแรกว่า “การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้กระทำได้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังต่อไปนี้(1)ญัตติแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทังหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฏร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎและสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย”

ดังนั้น การเสนอ”ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ2550”โดย คณะกรรมการประชาชนเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ2550(คปพร.)เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2551พร้อมรายชื่อหนึ่งแสนห้าหมื่นชื่อก็ดี หรือการเสนอญัตติโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรและสมาชิกวุฒิสภารวมกัน164คน(ขณะนี้เหลือ150คน)ก็ดี ล้วนแต่เป็นการปฏิบัติไปตามรัฐธรรมนูญ2550มาตรา291ทั้งสิ้น และเนื้อหารายละเอียด ก็ไม่ได้ “เป็นการฉีกหรือล้มรัฐธรรมนูญ2550ดังที่พันธมิตรฯกล่าวอ้าง” “ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐดังที่พันธมิตรฯโจมตีแต่อย่างใด”การเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ2550จึงเป็นสิ่งที่ชอบธรรมทางการเมืองและตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญทุกประการ

การอ้างว่า “ ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารได้ดำเนินการเป็นอันตรายต่อสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญตลอดจนประชาชนอย่างชัดเจน” จึงเป็นการจงใจใส่ร้ายป้ายสี ที่จะสร้างสถานการณ์ให้เกิดความเลวร้ายอันจะนำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาล และรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เพราะเหตุผลที่นำมาอ้างถึงนั้นล้วนไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น ไม่ว่า จะเห็น “การล้มรัฐธรรมนูญครั้งนี้” “การลบล้างความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและพวกพ้องไม่ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและช่วยเหลือพรรคการเมืองให้หลบหนีคดียุบพรรคการเมืองจากกรณีกรรมการบริพรรคได้กระทำผิดต่อกฎหมายเลือกตั้ง”ก็ดี ล้วนเป็นเรื่องโป้ปดมดเท็จ ทั้งสิ้น เพราะคดีความของ ทักษิณ ชินวัตร และพรรคการเมืองต่างๆรวมไปถึงการยุบพรรคการเมืองได้ถึงมือของศาลที่ไม่อาจจะมีใครเข้าไปแทรกแซงได้ทั้งสิ้น

การกล่าวหาในเรื่อง “ทำให้เกิดความแตกแยกของศาสนิกชนของคนในชาติอย่างกว้างขวาง”ก็เป็นเรื่องที่จงใจปลุกปั่นให้คนในชาติแตกแยกกัน เพราะใน ร่างแก้ไขได้ระบุไว้ชัดเจนว่า ประชาชนย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน

การที่พันธมิตรฯปลุกปั่นให้ประชาชนมาชุมนุมกันในวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2551นี้แม้จะเป็นสิทธิที่ทำได้ แต่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็คือต้องการสร้างความแตกแยกในสังคม เพื่อเป็นเงื่อนไขในการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาล ดังที่ได้เคยกระทำมาแล้วจนก่อให้เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลแก่ภาวะเศรษฐกิจสังคมการเมืองและภาพพจน์ของประเทศ

นอกจากนี้รัฐบาลกำลังจะพิจารณาให้มีการทำประชามติว่าควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ2550หรือไม่ในวันอังคาร27พฤษภาคมนี้ ซึ่งเป็นเจตนารมณ์เดิมของพันธมิตรฯเองเว้นเสียแต่ว่าจะทรยศต่อสิ่งที่ตนได้ประกาศไปหลายครั้ง รวมทั้งองค์กรจำนวนมากในพันธมิตรฯก็ได้เคยประกาศไว้ก่อน การทำประชามติ19สิงหาคม2550 ว่าให้รับไปก่อนแต่ต้องไปแก้กันในภายหลังซึ่งหลายประเด็นก็คล้ายคลึงกับที่ คปพร.หรือสมาชิกรัฐสภาได้เสนอไปในคราวนี้

สมาพันธ์ประชาธิปไตยขอเรียกร้องให้พันธมิตรฯยุติ การกระทำทุกอย่างที่จะปลุกปั่นประชาชนให้เกิดความแตกแยก และใช้สถาบันต่างๆมาเป็นเครื่องมือเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนและสร้างความเสียหายแก่ประเทศ เพิ่มเติมจากที่ได้เคยทำไว้ครั้งก่อน

ประชาชนไทยไม่ยอมให้มีการรัฐประหารอีกต่อไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองต้องเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้นและรัฐบาลจักต้องรับผิดชอบไม่ให้เกิดการทำรัฐประหารขึ้นอีก

สมาพันธ์ประชาธิปไตย

23 พฤษภาคม 2551
เรียนกองบก.การเมืองที่นับถือ

ผมขอส่งแถลงการณ์มาให้พิจารณาตีพิมพ์เผยแพร่ต่อสาธารณะอย่างเหมาะสมครับ ขอแสดงความนับถือ นพ.เหวง โตจิราการ กรรมการสมาพันธ์ประชาธิปไตย

DSI ลุยสอบ สตง.โยง “สามีหญิงเป็ด”ส่อผลประโยชน์ทับซ้อน

ดีเอสไอเดินหน้าสอบ สตง. เอื้อประโยชน์เอกชนจัดฝึกอบรม หลังพบมีความสัมพันธ์เชื่อมโยง “บิ๊ก สตง.”จริง เล็งเสนอเป็นคดีพิเศษหลังถกครั้งสุดท้าย 2 มิ.ย. พ่วงกับคดีฮั้วพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ปิดข้อโต้แย้ง กกต. งัดข้อเรื่องอำนาจสอบสวน

วันนี้ (23 พ.ค.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยภายหลังประชุมคณะพนักงานสอบสวนกรณีมีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ตรวจสอบผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งมีพฤติกรรมช่วยเหลือบริษัทเอกชนให้ได้รับโครงการฝึกอบรมใน สตง.แบบผูกขาด ว่า พนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นเวลากว่า 1 เดือน พบความคืบหน้าการสอบปากคำพยานบุคคล และตรวจเอกสารทางบัญชีของบริษัท ที่ได้รับว่าจ้างให้จัดการฝึกอบรมให้เจ้าหน้าที่ สตง.

นอกจากนี้ ยังตรวจสอบความเกี่ยวข้องของพยานบุคคล พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้บริหาร สตง.ตามที่ถูกกล่าวหา การสอบสวนยังพบพิรุธ และมีข้อเชื่อมโยงหลายส่วน ที่ส่อไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ตามที่มีการกล่าวหาร้องทุกข์ ดังนั้น ตนจึงสั่งให้พนักงานสอบสวนเร่งรวบรวมหลักฐาน ทั้งเอกสารและพยานบุคคล ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เนื่องจากมีบางข้อกล่าวหา อาจต้องนำเข้าสู่การพิจารณาเพื่อรับเป็นคดีพิเศษของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) โดยจะประชุมติดตามความคืบหน้าอีกครั้งในวันที่ 2 มิถุนายนนี้

นายธาริต กล่าวอีกว่า หากมีการสอบสวนในคดีเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้อง เอื้อประโยชน์ให้เอกชน ดีเอสไอจะต้องรวบรวมข้อมูลและหลักฐานเบื้องต้น ก่อนนำสำนวนส่งต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รับไปดำเนินการ และเมื่อมีหลักฐานชัดเจนเพียงพอ พนักงานสอบสวนจะมีหมายเรียกหรือเชิญผู้บริหารระดับสูงของ สตง.ที่ถูกกล่าวหามาให้ปากคำ

ส่วนความคืบหน้าการสอบสวนคดีฮั้วประมูลการพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ว่า ดีเอสไอคงไม่จำเป็นต้องไปชี้แจงเรื่องอำนาจการสอบสวนคดีฮั้วประมูลกับนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)อีกแล้ว เพราะกกต.ทำหนังสือแย้งมาชัดเจนว่า ดีเอสไอไม่มีอำนาจสอบสวน เพราะการประมูลดังกล่าวมีวงเงินไม่ถึง 100 ล้านบาท ดังนั้น ดีเอสไอจะนำคดีดังกล่าวเสนอให้คณะกรรมการคดีพิเศษ ลงมติรับเป็นคดีพิเศษ เพื่อยุติข้อโต้แย้งเรื่องอำนาจสอบสวน

ก่อนหน้านี้ นายวันชัย จงจรูญหิรัณย์ กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อดีเอสไอ ถึงความไม่ชอบมาพากลใน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จากการที่บริษัท ออดิต แอนด์ แมเนจเม้นท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด ผูกขาดการจับอบรมให้กับบุคลากรของ สตง. มูลค่านับสิบล้านบาท และบริษัทดังกล่าวยังเช่าอาคารพาณิชย์ของ นายทรงเกียรติ เมณฑกา สามีคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่า สตง. ที่ส่อเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน






ปชป.โดดขวางสุดตัว! ใช้เหตุผลเดิมๆ ออกแถลงการณ์ต้านแก้ รธน.50

ปชป.เมินเสียงปชช. ฉายหนังซ้ำ ออกแถลงการณ์กลืนน้ำลายตัวเอง ประกาศจุดยืน 6 ข้อ หักกม.พุ่งเป้าถอนร่าง รธน.ที่กำลังเดินหน้าสู่กระบวนการรัฐสภา หน้าด้านอ้างทำเพื่อปากท้องประชาชน ประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ที่แท้หวังกลับคืนสู่อำนาจเก่า

ความพยายามคัดค้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 จากฝ่ายปฎิปักษ์ยังไม่หยุด เมื่อขั้วอำนาจในระบอบเผด็จการยังไม่ได้ถูกถอนรากถอนโคนอย่างหมดสิ้น ในที่สุดนอกจากความเคลื่อนไหวจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่กำลังขับเคลื่อนนัดชุมนุมใหญ่แล้ว ในฟากฝั่งของพรรคประชาธิปปัตย์ยังกำหนดท่าทีค้านในเรื่องนี้อย่างชัดเจน โดยไม่ฟังเสียงเรียกร้องของประชาชนที่เห็นด้วยกับการผลักดันให้มีการแก้ไขรธน.โดยเร็ว

วันนี้ (23 พ.ค.) นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงพรรคประชาธิปัตย์ได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ2550 ฉบับที่ 1 เรื่อง “ถอนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หยุดทำร้ายประเทศ!” โดยมีใจความว่า ในสถานการณ์ที่ประชาชนมีความเดือดร้อนจากวิกฤตปากท้องโดยขาดการเอาใจใส่ดูแลจากรัฐบาล กลับมี กลุ่ม ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และส.ว.บางส่วนเข้าชื่อกันเสนอร่างแก้ไข รธน. เพื่อหวังสร้างหลักประกันในการเอื้อประโยชน์ต่อพวกของตัวเองอย่างชัดเจน พรรคประชาธิปัตย์ขอประกาศจุดยืนของพรรค ดังนี้

1.ยังไม่จำเป็นที่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้ เพราะบทบัญญัติ รธน.50 ไม่มีมาตราใดที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการทำหน้าที่ของรัฐบาลในการขจัดความเดือดร้อนจากภาวะข้าวยากหมากแพง เศรษฐกิจตกต่ำ หรือการหยุดยั้งเหตุการณ์ไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เป็นเพราะความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลที่ทำให้ปัญหาเหล่านั้นไม่ได้รับการแก้ไข

2.เนื้อหาสาระของร่างแก้ไข รธน. ฉบับที่เสนอต่อสภาฯ มีเจตนาที่จะลบล้างกฎหมายที่มีบทลงโทษในคดีที่พวกพ้องของตนได้ทำผิดไปแล้ว ทั้งคดีทุจริตการเลือกตั้งและคดีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยถูกฟ้องร้องในข้อหาโกงชาติในขณะนี้ คือการตัดเนื้อหามาตรา 237 และมาตรา 309 ออกจาก รธน. และเพิ่มเติมบทบัญญัติที่จะเปลี่ยนแปลงองค์กรอิสระ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. กกต. ที่กำลังทำหน้าที่กีดมือขวางเท้าคนของพรรคพลังประชาชน

3.เจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ของกลุ่มผู้ยื่นเสนอญัตตินี้ยังสะท้อนให้เห็นจากการที่มีการฉ้อฉลลายมือชื่อของผู้เสนอชื่อ ส.ส. และ ส.ว.ในญัตตินี้ จนมีการถอนชื่อออกในภายหลัง

4.การแสดงความคิดเห็นของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่จะจัดให้มีการลงประชามติ ในขณะที่กระบวนการทางรัฐสภายังเดินหน้าต่อไป จึงไม่มีประโยชน์ใดๆ และเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ

5.ถ้าปล่อยให้ร่างแก้ไข รธน.ดังกล่าวเดินไปตามกระบวนการของรัฐสภา จะก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างกว้างขวางและอาจนำประเทศไปสู่สถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ เกิดผลร้ายต่อชาติและประชาชน พรรคจึงต้องต่อสู้คัดค้านการฉ้อฉลและการช่วยคนปล้นชาติในรูปแบบการแก้ไข รธน.จนถึงที่สุด

6.ถ้าคนกลุ่มนี้สามารถแก้ไขกฎหมายสูงสุดของประเทศตามอำเภอใจเพื่อเอื้อประโยชน์ของตัวเอง ความเหิมเกริมของคนกลุ่มนี้จะทำร้ายประเทศต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

จึงขอเรียกร้องให้กลุ่มผู้ยื่นแก้ไข รธน.ถอนร่างฯ ฉบับนี้ออกจากกระบวนการพิจารณาของรัฐสภาทันที และให้นายสมัครในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชาชน พิสูจน์ความจริงใจในการกล่าวอ้างว่ารัฐบาลไม่มีส่วนรู้เห็นในการกำหนดท่าทีของพรรค โดยให้ลูกพรรคทำตามข้อเรียกร้องนี้ เพื่อให้รัฐบาลได้หันมาทุ่มเทเวลาในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน

จากนี้ไปพรรคประชาธิปัตย์จะเดินหน้าคัดค้านการแก้ไข รธน.ครั้งนี้อย่างเต็มที่ภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยจะร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่ยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ในการนำเสนอทางออกที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง

“ทักษิณ” คิดดี! เล็งตั้ง “คลับออฟลีดเดอร์” พัฒนาเศรษฐกิจไทย

ดึง “อดีตผู้นำ-นักธุรกิจ” ทั่วโลกร่วมแจม เชื่อ “คลับอดีตผู้นำประเทศ” (Club of ex-leader) จะสร้างกระบวนการคิดใหม่ๆ ได้ เตรียมเปิดบ้านต้อนรับ เหล่านักธุรกิจ – ผู้นำนานาประเทศ ตลอดสัปดาห์นี้ แจงไม่มีเอี่ยวในโครงการ “แลนด์บริดจ์” - ปัดสั่งทุบ “เขาพนมรุ้ง”

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการมูลนิธิ
ไทยคม กล่าวตอนหนึ่งในการเปิดงานปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “Evolutionary reform : the Dubai experience” ของนายสุลต่าน อาห์เหม็ต บิน สุลาเยม ประธานกลุ่มบริษัท ดูไบ เวิลด์ จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่า ได้ไปดูงานดูความเติบโตของประเทศต่างๆ รู้สึกเป็นห่วงคนและประเทศจึงอยากสร้างกระบวนการคิดใหม่ๆ

โดยเฉพาะในนักธุรกิจ ซึ่งตนได้ไปที่ดูไบหลายครั้งเห็นการสร้างเมืองที่ดี และตอนนี้ดูไบกำลังสนใจสร้างแลนด์บริดจ์เชื่อมช่องแคบมะละกากับอ่าวไทย ซึ่งตนเห็นด้วยแต่ไม่เกี่ยวข้องกัน ตนอยากเห็นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทย ชีวิตตนนั้นพอแล้ว แต่อยากเห็นประเทศเจริญ คนรุ่นหลังพัฒนา พร้อมกับระบุหลังจากนี้ จะเลี้ยงต้อนรับนักวิทยาศาสตร์ 2 คน ที่คิดค้นการทำจีโนมมนุษย์ และนักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นการทำแบคทีเรียให้เป็นพลังงานเชื้อเพลิงมาพบ จึงได้เชิญ รมว.พลังงาน มาร่วมด้วย

ขณะเดียวกันในรอบสัปดาห์นี้ยังได้เชิญนักลงทุนที่มีฐานจากประเทศอังกฤษ รวมทั้ง เจ้าหญิงคอรีน่า ที่เป็นผู้ดำเนินการกองทุนระหว่างสเปนกับซาอุดีอาระเบีย โดยเชื่อว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นความสัมพันธ์ในอนาคต และในวันอาทิตย์นี้ (25 พ.ค.) จะต้อนรับ นายฌอง เครเตียง นายกรัฐมนตรีแคนาดา รวมทั้งอดีตผู้นำปากีสถาน อดีตผู้นำเปรู (ฟูจิโมริ) ซึ่งตนคิดว่าในอนาคตอาจจะมีการจัดตั้ง “คลับอดีตผู้นำ” หรือ “คลับออฟลีดเดอร์” (Club of ex-leader) ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการเข้ามาดำเนินการลงนามบันทึกความเข้าใจการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากบริษัท ดูไบ เวิลด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อศึกษาความเหมาะสมแนวทางการพัฒนาท่าเรือฝั่งทะเลอันดามัน และสะพานเศรษฐกิจเชื่อมโยงท่าเรือฝั่งอ่าวไทย (โครงการแลนด์บริดจ์)

“รายการนี้ผมไม่มีเอี่ยว มีคนนำเรื่องทุบเขาพนมรุ้งมากล่าวหาว่าผมไปเกี่ยวข้อง โดยไปทุบเพื่อแก้เคล็ด มันบ้าไปกันใหญ่แล้ว ผมไม่เกี่ยว ผมเพียงอยากเห็นเม็ดเงินเข้ามาในประเทศ เรื่องนี้พอได้ดู ไม่รู้จะทำอะไร อยากเห็นคนรุ่นหลังได้พัฒนา ผมจึงไปพบสุลต่าน ดูไบ เวิล์ด และบอกว่าจะขอให้มาพูดในหัวข้อที่ผมเป็นคนตั้งขึ้นมา อยากให้เล่าว่าเติบโตอย่างไร อัศจรรย์อย่างไร เพราะผมเห็นเรื่องชาติสำคัญกว่า เรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องเล็ก” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว

ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดเเผยว่า อยากนำประสบการณ์ที่พบเห็นในต่างประเทศมาแลกเปลี่ยนให้กับนักธุรกิจไทยได้ทราบ แต่ที่ผ่านมาไม่ได้ดูทั้งต้นทั้งดอกในประเทศ เพราะเขาไม่ไห้ดู จึงต้องไปต่างประเทศ โดยเฉพาะไปประเทศดูไบ และยอมรับว่า โครงการแลนบริดส์ที่ทางดูไบ เวิลด์ สนใจนั้นไม่ใช่โครงการขุดคอคอดกระ เนื่องจากดูไบ เวิลด์เป็นรัฐวิสาหกิจที่เป็นธุรกิจ เขาจึงสนที่จะเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างอ่าวกัลฟ์ (อาหรับ) กับทะเลอันดามัน โดยใช้ท่าเรือน้ำลึกระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน เพราะจะใช้ระยะเวลาในการเดินทางเพียง 7-8 วันเท่านั้น

มท.1 ซัด กลุ่มต่อต้านแก้รธน.ตีรวนลงประชามติ/อัดนสพ.ผู้จัดการบิดเบือนข่าว

“เฉลิม” ย้ำ พปช.ขอประชามติแก้ไข รธน.ในการหาเสียงมาแล้ว จนได้รับเลือกตั้งท้วมท้น แต่นายกฯต้องการลดการลดความขัดแย้ง เพื่อภาพพจน์ประเทศ ถึงเวลาขอแจงทุกวรรคตอนการแก้ไข

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เสนอทำประชามติ แก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ความเป็นจริงพรรคพลังประชาชนได้ทำประชามติมาตั้งแต่ต้นแล้ว เมื่อครั้งใช้การหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา โดยได้บอกตลอดว่า หากเลือกพรรคพลังประชาชนจนเป็นเสียงข้างมาก พรรคจะแก้ไขบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งหากประชาชนเห็นด้วยก็ให้เลือกพรรคพลังประชาชน ซึ่งประชาชนได้เลือกมา 233 ที่นั่ง

“เห็นด้วยกับการทำประชามติ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี จะได้ลดความขัดแย้ง จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน จะได้ไม่ต้องมาชุมนุมเรียกร้องให้เกิดภาพลบต่อประเทศ ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญหากเสร็จแล้ว จะไปย้อนหลังไปแก้ไขคดีความของอดีตนายกรัฐมนตรีคงไม่ได้ คดีขึ้นศาลต้องอยู่ที่ศาล คดีอยู่ คตส.ขึ้นอยู่กับ คตส.“ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวถึง หนังสือพิมพ์ผู้จัดการด้วยว่า ที่ไปเสนอข่าวบอกการแก้ไขรัฐธรรมนูญนเป็นการฟอกตัวนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะคดีมีอยู่แล้ว โดยหากสมมุติว่า วันนี้ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เกิดกลั้นใจตายกันทั้งหมด คดีจะต้องไปอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) คดีที่มีอยู่จึงไปเลิกได้อย่างไร ขณะที่การจะยกเลิกองค์กรอิสระก็ไม่ใช่ เพราะอย่างไรองค์กรอิสระต้องมี แต่คนที่ทำหน้าที่ในองค์กรอิสระนั้นต้องมาจากการสรรหา โดยผ่านสภา ผ่านวุฒิสภา ไม่ใช่มาจากการแต่งตั้งของกลุ่มคนเพียงบางกลุ่มที่ไม่ได้มีฐานรากมาจากประชาชน

ส่วนที่กล่าวอ้างว่า การทำประชามติเป็นการเปลืองงบประมาณ รมว.มหาดไทย กล่าวว่า หากไม่ทำประชามติ ก็ด่าว่ารวบหัวรวบหาง แต่พอจะทำประชามติ ก็บอกว่าเปลืองงบประมาณ สรุปแล้วจะเอาอย่างไร บ้านเมืองจะได้สงบ

“ผมไม่เห็นด้วยจะตั้ง ส.ส.ร.3 เพราะรู้กันอยู่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร รัฐธรรมนูญปี 40 ดีให้เอามาเป็นตัวตั้ง แล้วเอารัฐธรรมนูญปี 50 ใส่เข้าไปบ้าง ส่วนองค์กรอิสระให้มีเหมือนเดิม แก้ไขรัฐธรรมนูญที่ให้ยุบพรรค ที่บ้านไหนเมืองไหน เขาไม่มี มีอยู่เมืองไทย” รมว.มหาดไทย กล่าว

ขณะที่ การเสนอทำประชามติจะระยะเวลาเท่าใดนั้น รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ต้องรอวันอังคารหน้า เพราะตอนนี้ยังไม่ทราบในรายละเอียด แต่ก็ไม่เห็นด้วย เพราะได้ขอประชามติมานานแล้วตั้งแต่สมัยเลือกตั้ง หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่แก้ก็ไม่เป็นไร พรรคพลังประชาชนจะแก้ แต่หากว่า แก้ไขในรัฐธรรมนูญแล้วไม่ดีเลือกตั้งรอบหน้าประชาชนก็ไม่เลือก

“ให้ถึงเวลาก่อน ผมจะอภิปรายเรื่องนี้โดยละเอียดว่า ทำไมถึงต้องแก้วรรคนี้ ทำไมถึงไม่แก้วรรคนี้ ตรงนี้ทำไมถึงเอาปี 40 มา ทำไมถึงไม่เอาปี 50 หรือทำไมต้องเอาปี 50 ไว้ คิดว่าไม่มีปัญหาเลย” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว

ฟื้นหวยบนดินเป็นจริง “หมอเลี๊ยบ” ดีเดย์ออนไลน์งวดแรก ก.ย.นี้

คอหวยบนดิน ได้เฮ รมว.คลัง เผย ใช้สลากออนไลน์งวดแรกได้เดือนกันยายนนี้ หลังไม่พบขัดข้อกฎหมาย
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล วันนี้ (22 พ.ค.) ว่า สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจะสามารถเริ่มจำหน่ายสลากพิเศษ เลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว หรือ หวยบนดิน ผ่านระบบออนไลน์ได้ในงวดวันที่ 1 ก.ย. 2551 หรือ งวดวันที่ 16 ก.ย. 2551

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวต่อว่า ภายหลังพิจารณาข้อกฎหมายในพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517 พบว่า ไม่มีข้อจำกัดในการดำเนินการดังกล่าว ดังนั้น ทางราชการจะให้เวลากับบริษัทผู้รับจ้างติดตั้งเครื่องจำหน่ายสลากออนไลน์ในการปรับปรุงระบบซอฟต์แวร์ประมาณ 3 เดือน

ทั้งนี้ นโยบายในการจำหน่ายสลากพิเศษ เลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว จะมีการกำหนดยอดขั้นสูงของการซื้อในแต่ละตัวเลข และเงินรางวัลจะผันแปรไปในแต่ละงวด ขึ้นกับจำนวนผู้ซื้อในแต่ละเลขนั้น


“สดศรี”หนุนทำประชามติ แนะทันใจนายกฯใช้ของง่ายพ.ร.บ.ออกเสียง 41

กกต.สดศรี เห็นด้วยข้อเสนอ”สมัคร”ทำประชามติแก้ไข รธน. ชี้ ธง เอา พ.ร.บ.ออกเสียงปี 41 มาขัดเกายกร่างส่งสภา 3 วาระรวด มีสิทธิ์ทันใจนายกฯเดือน ก.ค.

นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จะจัดให้มีการลงประชามติ เพื่อฟังความเห็นประชาชนว่าควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 หรือไม่ ว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีออกมาบอกว่าจะทำประชามติ อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สถานการณ์การเมืองคลี่คลายลง ไม่เกิดความขัดแย้งรุนแรง รวมทั้งลดภาวะความร้อนแรงทางการเมืองให้เบาลงได้

“เชื่อว่าการลงประชามติครั้งนี้ น่าจะมีประชาชนมาออกเสียงมากกว่าการครั้งก่อน เพราะครั้งนี้ ส.ส.คงจะพูดให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิลงประชามติมากขึ้น คาดว่าน่าจะมีผู้ออกมาใช้สิทธิไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 หากจะให้ง่ายขึ้น ควรถามให้ชัดไปเลยว่า จะแก้ไขโดยยึดรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ทั้งฉบับหรือใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2550 มากกว่าการถามประชาชนเรียงตามมาตรา” นางสดศรี กล่าว

นางสดศรี ยังกล่าวถึง การยกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ว่า เพื่อให้ง่าย ควรใช้ พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติของปี 2541 เป็นหลัก ซึ่งหากใช้วิธีนี้คาดว่า การยกร่างในส่วนของ กกต.จะแล้วเสร็จไม่เกินปลายเดือนมิ.ย. ซึ่งรัฐสภาก็ควรพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประชามติ แบบ 3 วาระรวด เพื่อให้ประกาศใช้ทันในเดือน ก.ค.ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ สำหรับงบประมาณที่รัฐบาลจะจัดสรรให้ กกต.จำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการจัดทำประชามติครั้งนี้คิดว่าเพียงพอ



Friday, May 23, 2008

ลดความร้อนแรง

มรสุมการเมืองกำลังโหมกระหน่ำใส่รัฐบาลจนเอียงไปเอียงมา

ทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านไปแค่ 3 เดือน แต่เหมือนกรำศึกมาแล้ว 3 ปี

สงสัยจะต้องเก็บฉากในอีกไม่ช้าไม่นาน??

แต่...นายกฯสมัคร สุนทรเวช ยังไม่ ถอดใจ!!

ยังพร้อมเดินหน้าฝ่ากระแสต้านพร้อมแอ็กชั่นท้าความตายโดยไม่หวั่นเกรง

ยังมั่นใจว่ารัฐบาลผสม 6 พรรค มีความแข็งแกร่งรับแรงเขย่าทางการเมืองถึงระดับ 6.5 ริกเตอร์ได้สบายๆ

แม้จะรู้ว่ากระแสคัดค้านการแก้ รัฐธรรมนูญจะรุนแรง แต่รัฐบาลก็ยังเข้า เกียร์เดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญสุดลิ่มทิ่ม ประตู

เพราะรัฐบาลไม่มั่นใจว่าจะอยู่ได้ อีกกี่วัน??

“แม่ลูกจันทร์” ห่วงว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะทำให้บ้านเมืองย้อนกลับไปจุดวิกฤติเดิมเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา

และจะกลายเป็นเงื่อนไขให้คนไทย ต้องเผชิญหน้ากันเอง

แต่ถ้าดูจากการวางหมากแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาลแล้ว ก็มีความยืดหยุ่นมากกว่าเดิม

คือ “แผนแรก” รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพแก้รัฐธรรมนูญ

แต่ก็กลัวถูกข้อกล่าวหาว่าแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ตัวเอง

ก็เลยเปลี่ยนเป็น “แผนสอง” โยนให้เป็นเรื่องของสภาฯ

โดยให้ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลทุกคนเข้าชื่อยื่นญัตติขอแก้รัฐธรรมนูญ

แต่มีพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคเห็นว่า แบบนี้รวบรัดเกินไป

สุดท้ายจึงเปลี่ยนไปใช้ “แผนสาม” คือให้ ส.ส.บวก ส.ว.เข้าชื่อเสนอญัตติแก้รัฐธรรมนูญกันเอง

ทำให้การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้มี ส.ส. จาก 4 พรรคร่วมรัฐบาล 134 คน บวกกับ ส.ว.อีก 30 คน รวมเป็น 164 คน เป็นผู้ยื่น ขอแก้รัฐธรรมนูญต่อประธานสภาฯ

ที่น่าแปลกใจคือไม่มี ส.ส.พรรคชาติไทย และพรรคประชาราชร่วมลงชื่อในญัตตินี้แม้แต่คนเดียว

แต่ปัญหาใหญ่ที่ต้องจับตาคือ ปัญหาขัดแย้งในพรรคพลังประชาชน

เพราะ “กลุ่มสายเหยี่ยว” ต้องการเปิดเกมลุย

ยื่นญัตติปุ๊บแก้รัฐธรรมนูญปั๊บให้รู้แล้วรู้แร่ดกันไปเลย

ปรากฏว่า งานนี้สายเหยี่ยวถูกเบรก อย่างจัง!!

นายกฯสมัคร ใช้อำนาจหัวหน้าพรรค ให้จัดออกเสียงประชามติ ถามความเห็นประชาชนทั่วประเทศ “ก่อน” จะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ

ถ้าเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยก็เดินหน้าเต็มเกียร์

แต่ถ้าเสียงส่วนใหญ่ไม่ให้แก้ รัฐธรรมนูญก็จะไม่ดันทุรัง

“แม่ลูกจันทร์” เห็นว่าการเปิดให้ ประชาชนทั่วประเทศลงประชามติ “ก่อน” แก้รัฐธรรมนูญเป็นทางออกที่ดี

เพราะถ้าใช้วิธีหักดิบ ยื่นปุ๊บแก้ ปั๊บ ก็เท่ากับปล่อยให้ความขัดแย้งยืดเยื้อ ต่อไป

พูดชัดๆคือ ให้ประชาชนตัดสินใจเอง ไม่ใช่รัฐบาลรวบรัดตัดสินใจแทนประชาชน

ไม่ว่าผลประชามติจะ “สีเขียว” หรือ “สีแดง” ก็จะเป็นข้อยุติตามกติกาประชาธิปไตย

“แม่ลูกจันทร์” มองข้ามช็อตว่าผลการออกเสียงประชามติครั้งนี้ขึ้นอยู่ที่ประเด็น แก้ไขรัฐธรรมนูญ

และขึ้นอยู่ว่าฝ่ายไหนจะมีเหตุผลโดนใจประชาชนมากกว่ากัน??

เอาเถอะ ถ้าจะต้องเสียเวลาไปอีก 2-3 เดือน ก็ยังไม่สายเกินเพล

แม้ต้องจ่ายเงินให้ กกต.จัดออกเสียง ประชามติอีกสองพันล้านบาท ก็ไม่น่าเสียดาย

ถ้าทำให้คนไทยไม่ต้องฆ่ากันเอง!!

แม่ลูกจันทร์


หวยบนดิน ออนไลน์1กย. ซื้อได้ทันที

รัฐบาลเตรียมเดินหน้าหวยบนดินผ่านระบบออนไลน์ แล้ว โดยผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค. นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ได้เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่มีนายปิยพันธุ์ นิมมานเหมินท์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นประธานกรรมการ ตั้งแต่เวลา 14.00 น. จนถึงเวลา 16.00 น. หลังจากประชุมเสร็จสิ้น นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า เห็นด้วยกับแนวทางของบอร์ดสำนักงานสลากฯที่จะมีการจำหน่ายสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2 ตัว หรือหวยบนดินอีกครั้ง ภายหลังจากรัฐบาลชุดที่แล้วได้ยกเลิกการจำหน่ายหวยบนดิน ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. 49 รวมระยะเวลา 18 เดือน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคา

นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า นับจากนี้ไปสำนักงานสลากฯ ต้องไปหารือเพิ่มเติมกับบริษัทล็อกซเล่ย์ จี เทค เพื่อดำเนินการปรับปรุงซอฟต์แวร์เดิมให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับการจำหน่ายหวยบนดินที่จะกลับมาดำเนินงานอีก ครั้ง โดยคาดว่าบริษัทล็อกซเล่ย์ จี เทค จะใช้เวลาในการปรับปรุงประมาณ 90 วัน เพื่อให้ระบบเสถียร โดยมีข้อผิดพลาดน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย ดังนั้น หวยบนดินงวดแรกที่จำหน่ายคือ งวดวันที่ 1 ก.ย. หรือไม่เกิน 16 ก.ย.ปีนี้

“สำหรับหวยบนดินที่จะนำมาจำหน่ายในครั้งนี้ ตนได้อนุมัติในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานสลากฯ และจะเสนอ ให้ ครม.รับทราบต่อไป โดยยึดหลักของการเป็นสลากกินแบ่ง ไม่ใช่สลากกินรวบเหมือนกับหวยบนดินในอดีต โดยอาศัย พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 2517 มาตรา 22 ที่มีการกำหนดสัดส่วนของรายได้ กล่าวคือ 60% นำไปจัดสรรเป็นเงินรางวัล 28% เป็นรายได้นำส่งคลัง และอีก 12% เป็นค่าจัดการและส่วนลด หรือกำไรของตัวแทนจำหน่าย ทำให้หวยบนดินใหม่นี้มีลักษณะเป็นหวยออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันมีจุดจำหน่าย 6,000 เครื่อง สามารถเดินไปซื้อหวยได้ทันที ส่วนคนเดินโพยอีก 200,000 ราย ก็สามารถจำหน่ายหวยบนดินได้ ด้วยวิธีการเขียนลักษณะคล้ายหวยบนดินเดิม แต่คนเดินโพยจะต้องรีบนำโพยหวย มาบันทึกลงเครื่องออนไลน์” รมว.คลังกล่าว

นพ.สุรพงษ์กล่าวอีกว่า ส่วนการจ่ายเงินรางวัลที่ชัดเจนนั้น สำนักงานสลากฯจะสรุปเงินรางวัลให้ได้ภายใน 1 เดือนนับจากวันนี้ โดยในเบื้องต้น เงินรางวัลจะเหมือนเดิม กล่าวคือ เลขท้าย 3 ตัวบนตรง บาทละ 500 บาท 3 ตัวบนโต๊ด บาทละ 100 บาท 2 ตัวบน และ 2 ตัวล่าง บาทละ 65 บาท แต่เนื่องจากมีการกำหนดการจ่ายเงินรางวัลไม่ให้เกิน 60% ของรายได้ ทำให้ยอดเงินรางวัลที่จะต้องจ่ายผันแปรตามเปอร์เซ็นต์ที่ขึ้นลงตามยอดการจำหน่าย ซึ่งทำให้เลขดัง หรือเลขที่คนนิยมแทงจำนวนมาก หากออกรางวัลมาตรงกับที่แทง ก็มีโอกาสได้รับเงินรางวัลน้อยลง ขณะเดียวกันหากรางวัลออกมาเป็นเลขที่คนไม่นิยม คนที่ถูกก็จะได้รับเงินรางวัลในสัดส่วนที่สูงขึ้น นอกจากนี้หากในช่วงระยะเวลาของการจำหน่าย ปรากฏว่าเงินรางวัลที่มีโอกาสถูกเกินกว่า 60% ระบบออนไลน์จะจำกัดการซื้อชั่วคราว จนกว่าสัดส่วนที่เป็นเปอร์เซ็นต์ของเงินรางวัลจะลดลง เนื่องจากมีคนแทงหรือซื้อหมายเลขอื่นเข้ามาเพิ่มเติม

ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ร.บ.สำนักงานสลากมี 2 ฉบับคือ พ.ร.บ.ปี 2517 กับ พ.ร.บ.ปี 2550 ที่กำลังอยู่ระหว่างการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีลักษณะการจ่ายเงินรางวัลยืดหยุ่นมากกว่า เพราะไม่ได้มีการกำหนดสัดส่วนการจ่ายเงินรางวัลที่ตายตัว เหมือนกับ พ.ร.บ.ปี 2517 นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า ในขั้นตอนของการจำหน่ายหวยบนดินจะจำหน่ายตามข้อกฎหมายของ พ.ร.บ.สำนักงานสลากปี 17 ตามมาตรา 22 เพื่อไม่ให้ขัดต่อกฎหมาย และหาก พ.ร.บ.ปี 50 มีผลบังคับใช้เมื่อใด การกำหนดการจ่ายเงินรางวัลก็จะปรับปรุงให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ฉบับใหม่ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า ส่วนกรณีที่มีคนเป็นห่วงว่าคนเดินโพยจะส่งโพยหวยให้กับเจ้ามือหวยใต้ดินแทนที่จะนำมาส่งให้จุดจำหน่าย ไม่น่าเป็นห่วง เพราะจะมีระบบป้องกันและปราบปรามเจ้ามือหวยบนดินออกมารองรับ ที่สำคัญคนเดินโพยเมื่อจำหน่ายหวยบนดินแล้ว ต้องรีบนำป้อนลงเครื่องออนไลน์ เพื่อป้องกันการถูกจำกัดซื้อชั่วคราว ในกรณีที่เป็นเลขดัง หรือเลขเด็ด

รมว.คลังกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะรับเรื่องร้องทุกข์จากบรรดาเอเย่นต์เดิมที่ต้องหยุดการจำหน่ายหวยบนดินนาน 18 เดือน จนมีปัญหาเรื่องฐานะ การเงิน อาจจะมีเข้าไปดูแล แต่การช่วยเหลือก็ต้องเป็น ธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งนี้ ตนขอยืนยันว่าการจำหน่ายหวยบนดิน เป็นอีกหนทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาการจำหน่าย สลากเกินราคาได้ เพราะในช่วงที่มีหวยบนดินนั้น ราคาสลากกินแบ่งรัฐบาลอยู่ในระดับที่ไม่แพงมาก บางงวดถึงขั้นขาดทุนด้วยซ้ำไป ที่สำคัญเงินจากหวยใต้ดินที่ตกอยู่ในมือของผู้มีอิทธิพลได้ถูกนำมาอยู่บนดิน รัฐบาลจะนำไปใช้ประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงาน ก่อนหน้าที่ นพ.สุรพงษ์จะเดินทาง มาที่สำนักงานสลากฯ ในช่วงเช้าของวันที่ 22 พ.ค. สำนักงานสลากฯ จัดงานสัมมนา เรื่องการปรับปรุงการออกรางวัลที่ 1 สลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการรวมชุดสลากฯ และปัญหาสลากเกินราคา โดยแนวทางในการปรับปรุงการออกรางวัลที่ 1 แบบใหม่ โดยใช้เครื่องออกรางวัลอัตโนมัติ Multipick แบ่งออกเป็น 2 แนวทาง ประกอบด้วย แนวทางที่ 1 การออกรางวัลที่ 1 จำนวน 46 รางวัล เงินรางวัล รางวัลละ 3,000,000 บาท และแนวทางที่ 2 การออกรางวัลที่ 1 เป็น 5 กลุ่ม จะได้รับเงินรางวัลทั้งเงินรางวัล รางวัลละ 3,000,000 บาท ได้แก่ชุดที่ 01-30 และชุดที่ 51-66 โดยกลุ่ม 1-4 มีจำนวนสลากกลุ่มละ 9 ล้านฉบับ ได้รับเงินรางวัลทั้งสิ้นกลุ่มละ 27 ล้านบาท และกลุ่มที่ 5 มีจำนวนสลาก 10 ล้านฉบับ จะได้เงินรางวัล 30 ล้านบาท โดยจะคัดเลือกชุดโดยใช้เครื่องออกรางวัลอัตโนมัติ Saturn อย่างไรก็ตาม ในการสัมมนายังไม่มีข้อสรุปว่าจะเลือกดำเนินการในแนวทางใด เนื่องจากทั้ง 2 แนว ทางก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน เช่น หากดำเนินการตามแนวทางที่ 1 คือการกระจายรางวัล ข้อดีคือ เป็นการเพิ่มจำนวนผู้ถูกรางวัลที่ 1 ให้มากขึ้น และลดปัญหาสลากเกินราคาเฉพาะประชาชนผู้บริโภคสลากชุดได้อย่างชัดเจน ส่วนข้อเสีย คือ อาจเกิดข้อสงสัยผลการออกรางวัล เพราะเป็นอุปกรณ์ทำจากอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์หากใช้เป็นจำนวนมากอาจเกิดความเสียหายได้ เป็นต้น ส่วนแนวทางที่ 2 ข้อดี คือ จะมีผู้ถูกรางวัลที่ 1 อย่างน้อย 5 คน ใช้เวลาในการออกรางวัลน้อย เพียง 3 นาที ส่วนข้อเสีย คือ ประชาชนจะเกิดความสับสนและอาจไม่สามารถลดปัญหาการรวมชุดของสลากได้

นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ นักวิชาการ กล่าวว่า การออกรางวัลที่ 1 แบบใหม่ทั้งแนวทางที่ 1 และแนวทางที่ 2 น่าจะสามารถแก้ไขปัญหาการรวมชุดสลากฯ เพื่อจำหน่ายและแก้ไขปัญหาสลากราคาแพงได้ แต่ก็เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น อีกทั้ง หากจะมีการปรับเปลี่ยนในการออกรางวัล จะต้องดำเนินการอยู่บนหลัก 3 ประการ คือ 1. จะต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ง่าย 2. เมื่อดำเนินการแล้วจะต้องไม่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเสียเปรียบ 3. หากมีการปรับเปลี่ยนแล้วจะต้องทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในเรื่องของอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ ทั้งนี้เห็นว่าการจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับสำนักงานสลากฯ ในระยะยาว คือจะต้องดำเนินการแก้ไข พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517 และปรับปรุงองค์กรให้มีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ


พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิเสธยังไม่ได้พูดคุยกับ จักรภพ


กรุงเทพฯ 22 พ.ค. - พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธว่า นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เดินทางมาพบ เพื่อหารือถึงกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นสถาบันเบื้องสูง และส่วนตัวก็ไม่ได้พูดคุยกับนายจักรภพ แต่คิดว่านายจักรภพคงจะพูดกับสังคมในเร็ว ๆ นี้

เมื่อถามถึงการเดินทางไปพบนายประภัตร โพธสุธน พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่ได้ไปพูดคุยเพื่อขอให้นายประภัตรเป็นกาวใจระหว่างนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย กับนายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย แต่อย่างใด.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-22 19:35:05

พรรคประชาธิปัตย์ประกาศจุดยืนค้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ

กรุงเทพฯ 22 พ.ค.-พรรคประชาธิปัตย์มีมติคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ ส.ส.พรรคพลังประชาชนจนถึงที่สุด หวั่นสร้างเงื่อนไขขัดแย้งให้บานปลาย เรียกร้องให้ ส.ส.ถอนชื่อ

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แถลงภายหลังการประชุม ส.ส.ประชาธิปัตย์ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ได้ยื่นญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และเห็นว่าเนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่มีเจตนาช่วยเหลือพวกพ้อง เพราะการเสนอร่างแก้ไขเจาะจงให้เฉพาะ ส.ส.ที่ไม่ใช่กรรมการบริหารพรรคร่วมลงชื่อ ซึ่งอาจหลีกเลี่ยงการถูกยื่นถอดถอนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 122

นายสาทิตย์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังเห็นว่าหากยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะยิ่งสร้างเงื่อนไขขัดแย้งให้บานปลายและจะซ้ำเติมวิกฤติเศรษฐกิจ พรรคจึงมีมติคัดค้านการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญจนถึงที่สุด และมีข้อเรียกร้องไปยัง ส.ส.ที่ร่วมลงชื่อขอให้ถอนญัตติและถอนชื่อตัวเองออกจากการเสนอญัตติ ซึ่งพรรคจะรอให้ผู้ที่ยื่นญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญถอนชื่อภายในเดือนนี้ จากนั้นจะกำหนดท่าทีต่อไป และเพื่อเป็นการย้ำจุดยืนของพรรค จะมีการจัดทำคำแถลงของพรรคในวันพรุ่งนี้เวลา 09.30 น. และพรรคจะจับตาดูการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างใกล้ชิด

“เราจะเรียกร้องให้ประธานรัฐสภาตรวจสอบรายชื่อ คนที่ร่วมลงชื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพราะทราบว่า บางคนมีชื่อโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่อง และข้อเรียกร้องของเราก็ขอให้คนที่เห็นแก่ประเทศชาติบ้านเมืองถอนรายชื่อ” นายสาทิตย์ กล่าว

นายสาทิตย์ กล่าวด้วยว่า พรรคยังมีการตั้งคณะทำงานยุทธศาสตร์วิเคราะห์และติดตามการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ จุดยืนของพรรคชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 มีปัญหาก็จริง แต่เป็นปัญหาการเมือง ซึ่งรอการแก้ไขได้

ส่วนพรรคจะไปร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือไม่นั้น นายสาทิตย์ กล่าวว่า พรรคมีทิศทางการทำงานในส่วนของพรรค ส่วนพันธมิตรฯ ก็มีทิศทางในส่วนของพันธมิตรฯ เป้าหมายอาจจะตรงกันในบางเรื่อง แต่ก็ไม่ได้ร่วมกัน ส่วนที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เสนอให้มีการทำประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมพรรคได้มีการหารือถึงเรื่องนี้เช่นกัน.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-22 19:27:46


ครม.-อดีต 111 ทรท.ร่วมรับฟังนักธุรกิจดูไบแสดงวิสัยทัศน์

กรุงเทพฯ 22 พ.ค. - “พ.ต.ท.ทักษิณ” เชิญนักธุรกิจใหญ่เมืองดูไบแสดงวิสัยทัศน์การทำธุรกิจและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีรัฐมนตรีและอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย รวมทั้งนักธุรกิจ เข้าร่วมรับฟังจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานจากศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ว่า ในช่วงเย็นวันนี้ (22 พ.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานมูลนิธิไทยคม ได้เชิญ สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ดูไบเวิลด์ มาแสดงปาฐกาถาพิเศษในหัวข้อเรื่อง “Evolutionary Reform The Dubai Experience” เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความสำเร็จของรัฐดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึงการส่งเสริมวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย

สำหรับการแสดงปาฐกถาครั้งนี้ มีนักธุรกิจเข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก รวมถึงคณะรัฐมนตรี อาทิ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.ท.หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย อาทิ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายเนวิน ชิดชอบ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา เข้าร่วมฟังปาฐกถาครั้งนี้ด้วย

ทั้งนี้ สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม วัย 53 ปี เป็นนักธุรกิจที่มีบทบาทโดดเด่นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของดูไบ มีอาณาจักรธุรกิจครอบคลุมกิจการแทบทุกสาขา และบริษัทในเครือเกือบ 100 แห่ง ที่มีการลงทุนทั้งในดูไบและต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวเปิดงานว่า หลังจากที่ต้องหลบอยู่ต่างประเทศ ตนเดินทางไปในหลายประเทศ เห็นนานาประเทศมีความเจริญ และได้มีโอกาสพบปะกับนักธุรกิจชั้นนำ จึงคิดว่าจะนำแนวความคิดและธุรกิจชั้นนำประเทศต่างมาแสดงวิสัยทัศน์และทำความรู้จักกับธุรกิจไทย ตอนที่ไปดูไบ ก็ได้เจอกับสุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม จึงได้เชิญมาแสดงปาฐกถา

“ผมต้องระหกระเหินไปดูไบตอนนั้น เพราะในประเทศไทย เขาไม่ให้ดูดอก ไม่ให้ดูต้น เลยต้องไปดูไบ ซึ่งก็เห็นดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สามารถพัฒนาประเทศด้วยขีดความสามารถที่ดี โดยเฉพาะดูไบเป็นพื้นที่ทะเลทราย แต่เขาก็ทำให้ประเทศเจริญได้ภายใต้คำที่ว่า ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้ ผมมีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติ หลังจากกลับมาก็คิดว่า จะทำงานทางด้านมูลนิธิ สังคม ช่วยประเทศชาติ เพราะถือว่าเรื่องประเทศชาติบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องเล็ก” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว.- สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-05-22 19:15:37


แฉ!นายทุนหนุน ‘พันธมิตร’ชุมนุม

* ‘เหวง’ฉะกลืนน้ำลายขวางประชามติ
คปพร.หนุนทำประชามติแก้ รธน. ร้องขอ “ลุงชัย” เปิดช่องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกรรมาธิการวิสามัญ พร้อมผลักดันร่าง รธน.40 ก. ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯ เล่นแรง ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 9 อ้างสถาบันชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ ปลุกคนร่วมชุมนุมบนถนนราชดำเนิน “เหวง” อัดพวกดื้อด้าน ดันทุรังสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง กลืนน้ำลายตัวเองที่เคยขอให้ทำประชามติ เชื่อเจตนาที่แท้จริงต้องการโค่นล้มรัฐบาล แฉมีนายทุนหนุนหลังการเคลื่อนไหว ขณะที่ สตช. ปรับแผน “กรกฎ” พร้อมรับมือม็อบป่วนเมือง

การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากกลุ่ม ส.ส.-ส.ว. ได้ร่วมกันลง
ชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภา รวมไปถึงการที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาประกาศว่า จะให้มีการทำประชามติเลือกรับร่างรัฐธรรมนูญ

ล่าสุดในวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่รัฐสภา นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ประธานคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำคปพร. ได้เข้าแสดงความยินดีโดยมอบกระเช้าดอกไม้ให้กับ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในโอกาสรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นประธานสภาฯ โดย นายจรัล และ นพ.เหวง ได้แสดงความเป็นห่วงสถานการณ์การเมืองการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550

พร้อมกันนี้ยังได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกเสนอข้อเรียกร้อง 5 ประการ คือ ประการแรกเรียกร้องให้นำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมรายชื่อจำนวน 1 แสนห้าหมื่นรายชื่อนำเสนอต่อ ส.ส.และส.ว. เพื่อนำร่างดังกล่าวเป็นญัตติแก้ไขเพิ่มเติมของสมาชิกทั้งสองส่วนตามรัฐธรรมนูญ 291 (1)

คปพร.ขอประชาชนมีส่วนร่วม
ประการต่อมาให้รัฐสภาพิจารณาแก้ไขข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.2544 ในหมวดที่ 6 ข้อที่ 91 โดยขอให้พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ที่จากเดิมมีเฉพาะส.ส.-ส.ว. ให้เพิ่มประชาชนผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 เพื่อประชาชนจะได้มีส่วนร่วมทุกภาคส่วน และขออนุญาตใช้ห้องประชุมของสองตึกรัฐสภาเพื่อดำเนินการทำประชาพิจารณ์ ในเรื่องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยคปพร.จะเป็นกองประสานงานและอำนวยความสะดวก เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมของสภาประกอบการพิจารณาแก้ไข

รวมไปถึงเรียกร้องให้มีการถ่ายทอดสดการทำประชาพิจารณ์ผ่านทางสถานีวิทยุของรัฐสภา และประการสุดท้าย หลังจากที่มีการบรรจุญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550 แล้ว ขอให้ประธานรัฐสภาเรียนไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ทำประชามติ เพื่อให้ประชาชนเลือกระหว่าง รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 และ 2550 เพื่อป้องกันการเผชิญหน้าอันจะนำไปสู่ความรุนแรง

นอกจากนี้กลุ่ม คปพร. ยังขอสนับสนุนกลุ่ม ส.ว. และ ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลจำนวน 164 คนที่ร่วมลงชื่อยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ที่ผ่านมาด้วย

“ลุงชัย”รับปากเร่งบรรจุวาระแก้รธน.
ทั้งนี้ นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา กล่าวภายหลังได้รับจดหมายเปิดผนึกว่า จะเร่งทำการพิจารณาเรื่องดังกล่าว โดยจะดำเนินการตามครรลองโดยขอเวลาในการตรวจสอบรายชื่อกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นคนให้เสร็จสิ้น ส่วนการยื่นญัตติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญภายหลังมี ส.ส.-ส.ว. ลงชื่อ จำนวน 164 คนนั้น ขณะนี้ต้องรอการประชุมก่อนแล้วจึงจะสามารถบรรจุเป็นวาระ ซึ่งเป็นเมื่อใดยังไม่สามารถกำหนดได้

สำหรับการทำประชามตินั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่สามารถทำได้ตามมาตรา 165 ในรัฐธรรมนูญแต่ความเห็นส่วนตัวก็คือต้องเป็นกลาง หากมองตามกฎหมายแล้วรัฐบาลก็มีช่องทางในการทำประชามติ

นายชัย กล่าวด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วงสถานการณ์ เชื่อว่าคงไม่มีการทำรัฐประหารแน่นอน เพราะทหารคงไม่ออกมาปฏิวัติอีกแล้ว ทหารส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการแสวงหาอำนาจ และเชื่อว่าผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบันคงไม่ยอมให้มีการปฏิวัติ

ยันทำประชามติไม่ต้อถอนญัตติ
ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้ทำประชามติเพื่อขอความเห็นประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในส่วนของภาคประชาชน และส.ส.ที่ยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ จะต้องถอนญัตติก่อนหรือไม่ นายชัย กล่าวว่า การดำเนินการจะเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2544 โดยจะต้องบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมภายใน 15 วัน การทำประชามติเป็นเรื่องของฝ่ายรัฐบาลที่ต้องการให้บ้านเมืองมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และต้องการฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เพราะการทำประชามติที่ผ่านมามีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

“ส.ส.และภาคประชาชนไม่จำเป็นต้องถอนญัตติ ขณะนี้มีความเข้าใจไขว้เขวกัน หากดูข้อบังคับการประชุมรัฐสภาปี 44 จะเห็นว่าต้องบรรจุญัตติเข้าสู่วาระการประชุมภายใน 15 วันเมื่อมีการเปิดสมัยประชุมสภา ไม่ใช่นับจากวันยื่นญัตติ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องถอนญัตติ” นายชัย กล่าว

เมื่อถามว่าหากมีการทำประชามติก่อนการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญจะไม่มีปัญหากับญัตติใช่หรือไม่ นายชัย กล่าวว่า ญัตติยังคงอยู่เพราะยังไม่ได้บรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระ ถึงบรรจุแล้วก็ยังอยู่ ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ไม่มีการเสนอญัตติซ้อนญัตติ

ข้อเสนอนายกฯ เป็นไปตาม ม.165
ส่วนจำเป็นต้องเร่งรีบบรรจุวาระหรือไม่ นายชัย กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ เพราะขณะนี้ยังไม่ได้เปิดสมัยประชุม และยังไม่รู้ว่าจะเปิดประชุมสมัยวิสามัญเมื่อใด ตราบใดที่ยังไม่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เปิดประชุมเราบอกไม่ได้ เมื่อเปิดแล้วก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการ ไม่จำเป็นต้องรอให้ทำประชามติก่อน การแก้ไขกฎหมายต้องใช้เวลา ส่วนหากประชาชนไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส.ส.ก็ต้องฟังเสียงประชาชน และคงไม่ยกมือผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแน่

เมื่อถามว่า การไม่ชะลอนำญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญบรรจุเข้าสู่วาระการประชุม แสดงให้เห็นว่าฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหารมีความเห็นขัดกันหรือไม่ นายชัย กล่าวว่า ไม่มีนายกรัฐมนตรีเคยบอกว่าสถาบันทั้ง 3 แยกกันทำหน้าที่ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย นายชัย กล่าวอีกว่า การเสนอให้ทำประชามติของนายกรัฐมนตรีไม่ใช่การคิดนอกลู่นอกทางแต่เป็นการเสนอตามรัฐธรรมนูญมาตรา 165 ถือเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวเป็นคนกลางคงให้ความเห็นในเรื่องนี้ไม่ได้

“เหวง”ฉะพันธมิตรกลืนน้ำลายตัวเอง
ด้าน นพ.เหวง กล่าวถึงการที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมครั้งใหญ่เพื่อต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้ว่ารัฐบาลประกาศจะทำประชามติแล้วก็ตาม ว่าตนอยากขอทวงถามสัจจะของกลุ่มพันธมิตรฯ หลังที่ประกาศจะจัดการชุมนุมครั้งใหญ่ เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลบอกแล้วว่าจะทำประชามติ ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มพันธมิตรฯเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการมาโดยตลอด และเหตุใดจึงทรยศกับสัจวาจาของตนเอง

เมื่อขณะนี้มีการทำตามเสียงเรียกร้องทุกประการ แล้วทำไมจึงยังคงสร้างเงื่อนไขเพื่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก ส่วนที่จะมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรนั้น โดยหลักประชาธิปไตยก็มีสิทธิ แต่ทั้งนี้ควรเป็นไปตามครรลองรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

“การที่พันธมิตรฯ จะเคลื่อนไหวชุมนุมครั้งใหญ่ ทั้งๆ ที่รัฐบาลจะทำประชามตินั้น สะท้อนถึงจิตวิญาณที่ไม่เคารพครรลองประชาธิปไตย เมื่อรัฐบาลยอมทำตามข้อเรียกร้อง ยังดื้อด้าน ดันทุรังในการสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง แสดงว่าไม่มีความจริงใจในระบอบประชาธิปไตย ท้ายที่สุดแล้วคุณต้องการปั่นสถานการณ์เพื่อโค่นล้มรัฐบาล และระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นเอง ทำไมไม่ไปเคลื่อนไหวในกลุ่มของตนเองล่ะว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 50 ดีเลิศ มาสร้างกระแสทำไม” นพ.เหวง กล่าว

พร้อมหยุดหาก ปชช.ไม่แก้ รธน.
พร้อมกันนี้ยังสนับสนุนการทำประชามติ โดยระบุว่าจะทำให้ยุติความรุนแรง ทั้งนี้ หากมีการทำประชามติ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยควรยุติการเคลื่อนไหว หยุดความรุนแรง หยุดดึงฟ้าต่ำ หยุดเอาสถาบันมาเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมในการเคลื่อนไหว และหากความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญกลุ่มตนก็พร้อมจะหยุดการเคลื่อนไหวต่างๆเช่นกันเพราะกลุ่มเคารพการตัดสินใจของคนส่วนใหญ่

ด้าน พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 กล่าวว่า การทำประชามติว่าจะแก้ไขหรือไม่ถือว่าเป็นเรื่องดี และพันธมิตรฯ ก็เรียกร้องให้ทำประชามติ แต่พอรัฐบาลจะทำกลับไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่รู้จะมีการเปิดประชุมสมัยวิสามัญหรือไม่ ถ้าจะเปิดเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2552 อาจจะเปิดเพียง 3 วันเพื่อตั้งคณะกรรมาธิการ ก็ได้ ซึ่งตนก็ยังไม่ทราบ เพราะขึ้นอยู่กับรัฐบาล

มท.1โต้แก้รธน.ฟอกผิดไม่ได้
“การทำประชามติผมไม่ทราบรัฐบาลจะทำลักษณะไหน จะตั้งหัวข้อว่าแก้หรือไม่แก้ ผมคิดว่าควรจะตั้งเป็นหัวข้อมันจะได้ชัดเจน เช่น ส.ว.ควรจะมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดหรือเปล่า ยกมาเป็นประเด็นเลย และถามประชาชนว่าเห็นด้วยกับการแก้ไขหรือไม่ ผมคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่เช่นนั้นจะเหมือนกับมัดมือชก ผมยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะทำอย่างไร” พ.อ.อภิวันท์ กล่าว

ทางด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แสดงความเห็นด้วยกับแนวคิดในการทำประชามติ ก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อจะลดปัญหาความขัดแย้ง ส่วนการทำประชามติแล้ว กลุ่มพันธมิตรฯ จะยังคงชุมนุมอยู่ คงไม่สามารถจะไปห้ามได้

ร.ต.อ.เฉลิม ยังยืนยันอีกครั้งว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่สามารถช่วยฟอกความผิดหรือยกเลิกคดีที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้

กกต.เร่งยกร่าง พ.ร.บ.ประชามติ
ทางด้าน กกต.นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกต. เห็นควรให้เร่งยกร่างพระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติให้เร็วขึ้น จากเดิมจะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม เพื่อส่งให้ทางรัฐสภาพิจารณา หลังจากนายกรัฐมนตรีระบุว่าต้องการให้มีการทำประชามติในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ซึ่งตนคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และคงต้องขึ้นอยู่กับทางสภาด้วย

ขณะที่ นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ระบุว่า หากมีการนำพระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติปี 2547 มาเป็นหลักในการพิจารณาและแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ก็คาดว่าจะเสร็จภายในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ พร้อมเชื่อว่า หากมีการออกเสียงประชามติก็จะเห็นชอบจากประชาชนเกิน 70%

นายโสภณ เพชรสว่าง อดีต ส.ส. จ.บุรีรัมย์ และอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีรัฐบาลประกาศจะทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น นายโสภณกล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยเพราะการทำประชามติมีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป ทางที่ดีรัฐบาลควรประกาศยุบสภา และให้ทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายที่เห็นด้วยกับฝ่ายที่คดค้านทำการชี้แจงถึงสาเหตุที่แต่ละฝ่ายเสนอ และให้ประชาชนตัดสิน เพื่อลดอุณหภูมิทางการเมือง เพื่อไม่ให้เป็นไปอย่างที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวว่าจะเกิดการรัฐประหาร เพราะตนเองก็ไม่ชอบการรัฐประหารและไม่อยากเห็นการนองเลือด

ค้านเพราะกลัวไม่มีที่ซุกหัวนอน
อย่างไรก็ดี ขณะที่กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญกำลังเดินหน้าท่ามกลางความยินดีของหลายฝ่าย ขณะเดียวกันกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย และ นายสุริยะใส กตะศิลา กลับไม่สนกระแสเรียกร้องความสงบสุข ออกแถลงการณ์ปลุกปั่นฉบับที่ 9 นัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 25 พฤษภาคม โดยหยิบยกเอาทั้งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มาเป็นข้ออ้าง ในขณะที่เรื่องราวต่างๆ ล้วนเป็นเรื่องเก่าและจับต้องไม่ได้ สอดรับกับข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ว่าในบรรดาแกนนำเสียงแตก เนื่องจากบางคนเห็นว่ายังไม่มีมูลเหตุเพียงพอที่จะอ้างการออกมาชุมนุม

ต่อกรณีดังกล่าว นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชาชน แกนนำกลุ่มมหาประชาชนร่วมพิทักษ์ประชาธิปไตย กล่าวว่า เป็นพฤติกรรมที่ใช้ข้ออ้างเหมือนเช่นเคย ตนรู้สึกเวทนากลุ่มพันธมิตรฯ แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องออกมาปกป้อง รธน.50 ที่มาจากเผด็จการ เพราะถ้าไม่เคลื่อนไหวก็จะไม่มีที่ซุกหัวนอน เนื่องจาก รธน.50 และรัฐประหารครั้งที่ผ่านทำให้คนกลุ่มนี้มีอำนาจและบทบาทในสังคม

เชื่อมีกลุ่มนายทุนอยู่เบื้องหลัง
“มีกลุ่มนายทุนอยู่เบื้องหลัง เป็นกลุ่มที่ไม่ต้องการจะเสียผลประโยชน์ และมักใหญ่ใฝ่สูง การกล่าวหาพาดพิงถึงบุคคลอื่นโดยอ้างว่าเป็นการหมิ่นสถาบันเบื้องสูง คนกลุ่มนี้ต่างหากที่เป็นเอง นายสนธิก็เคยมีคดีเกี่ยวกับการกล่าวอ้างเบื้องสูง ตอนนี้คดีอยู่ในศาล หรือการแสดงออกของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ว่าจะเป็นผูกผ้าสีเหลือง หรืออะไรก็แล้วแต่ มองว่าได้กระทำการหมิ่นและลบหลู่เบื้องสูงทั้งนั้น” นายป

พร้อมระบุถึงเหตุผลที่พันธมิตรฯ ใช้อ้างออกมาเคลื่อนไหวไม่มีเรื่องอะไรใหม่ การออกมาพูดหรือปลุกระดมไม่มีความชอบธรรม ไม่มีข้ออ้างที่ฟังแล้วมีน้ำหนัก มีเหตุผล มันเป็นสันดานของคนกลุ่มนี้ไปแล้ว ดีแต่ออกมาสร้างความวุ่นวายในสังคม ส่วนประชาชนที่คิดจะออกมาร่วมชุมนุมในครั้งนี้ หากคิดว่าออกมาแล้วจะช่วยให้เรื่องปากท้องหรือความเป็นอยู่ของตนดีขึ้น ก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าคิดว่าออกมาแล้วไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใดๆ ก็หยุดเถอะ อย่าได้ออกมาสร้างความวุ่นวายเลย

นายประชา กล่าวต่อว่า สถานการณ์ในตอนนี้สังคมก็ไม่มีความน่าเชื่อถือแล้ว หยุดเคลื่อนไหวได้แล้ว อย่าให้คนภายนอกมองว่าคนกลุ่มนี้อยู่เหนือประชาธิปไตย มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นมากมาย เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาก็ไม่ไปใช้สิทธิ ส่วนที่ออกมากล่าวหาว่าการแก้ไข รธน. เป็นการฟอกความผิดให้กับคนในกลุ่มของตัวเองนั้น อยากจะย้อนถามกลับแล้วที่พันธมิตรฯ ออกมาคัดค้านการแก้ รธน. ปกป้องผลประโยชน์ให้กับใครหรือเปล่า

เข้าชื่อประณามพวกทำลายชาติ
“หยุดอ้างประชามติ 14 ล้านเสียงเสียที หน้าไม่อาย การเลือกตั้งที่ผ่านมาได้แสดงเจตจำนงอยู่แล้วว่าต้องการให้มีการแก้ไข รธน.50 พูดไปก็เท่านั้นเหมือนสีซอให้ควายฟัง เพราะคนกลุ่มนี้ไม่รับฟังอะไรทั้งสิ้น รู้อย่างเดียวว่าจะต้องออกมาสร้างความวุ่นวายให้กับสังคม หวังให้ทหารเข้ามายึดอำนาจ เปิดทางให้กลุ่มอำนาจเก่า พฤติกรรมที่พยายามปกป้องทายาทเผด็จการ คือ รธน.50 เพราะถ้ามีการแก้ไขสำเร็จจริง ตัวเองจะไม่มีแผ่นดินอยู่” แกนนำกลุ่มมหาประชาชนฯ กล่าว

พร้อมระบุถึง พฤติกรรมก่อนหน้านี้ก็ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลต้องทำประชามติ มาถึงตอนนี้ก็ออกมากล่าวหาต่างๆ นานา ไม่มีสัจจะ ไม่มีเครดิตที่จะไว้ใจได้ คนไม่กี่คนพยายามทำตัวเองว่ามีอำนาจเรียกร้องให้รัฐบาลทำตาม ฉะนั้น จึงอย่าได้ไปให้ความสำคัญอะไรกับคนกลุ่มนี้ ทั้งนี้ กลุ่มริบบิ้นเขียวจะเฝ้าติดตามพฤติกรรมและใช้มาตรการทางสังคม เปิดเวทีระดมความคิดเห็นสาธารณะ และเปิดช่องทางให้ประชาชนแสดงความคิดทางไปรษณีย์เพื่อประณามและเนรเทศคนกลุ่มนี้ให้พ้นจากความเป็นคนไทย อีกทั้งจะรณรงค์ให้คนไทยร่วมกันอธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องสังคม

พันธมิตรทำไมไม่รอประชามติ
ด้าน นายภิรมย์ พลวิเศษ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ย้อนถามว่าจะออกมาชุมนุมทำไม ทั้งที่ควรจะรักษากติกา ทางที่ดีควรรอฟังเสียงประชามติเสียก่อน และควรต่อสู้กันในระบบของสังคม ทั้งนี้ หากไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็ควรที่จะรณรงค์เฉพาะกลุ่มของตนเองเพื่อชี้แจงต่อประชาชนว่ารัฐบาลไม่ควรแก้ไข รธน. นี้เพราะเหตุใด มันไม่มีเหตุผลที่ดีพอ เป็นการฉุดให้เศรษฐกิจที่กำลังจะเดินหน้าของรัฐบาลต้องสะดุด

ทั้งที่มีเหตุผลที่แท้จริงคือ ต้องการเรียกร้องผลประโยชน์และอำนาจที่ตนเองกับพวกพ้องได้รับหลังการรัฐประหารกลับคืนมาเท่านั้น เกือบ 2 ปีที่ผ่านมาหลังรัฐประหาร องค์กรต่างๆ ที่เป็นผลผลิตของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)ไม่ว่าสมาชิกสภาสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หรือแม้แต่ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ก็ล้วนไม่มีผลงานที่โดดเด่นและเป็นประโยชน์เลย

“สสร. หรือ แม้แต่ สนช. ทำอะไรได้บ้าง ร่าง พ.ร.บ. ที่ออกไปก็ถูกยกเลิก กฎหมายเป็นโมฆะ เพราะองค์ประชุมไม่ครบ ผลงานของ คตส. ก็เช่นกันมีแต่เรื่องทุจริตที่ดินรัชดาฯ ที่ตะแบงกันทำ ชี้ให้เห็นว่ามาเพื่อทวงอำนาจ เงินทอง ที่ตัวเองเสพสุขคืน ไม่ใช่เพื่อประชาธิปไตย แต่เพื่อเผด็จการ” ส.ส. พรรคพลังประชาชนกล่าว

พันธมิตรอ้างสถาบันลูกไม้เก่า
พร้อมระบุทางตนและ ส.ส. ในพรรคจะช่วยกันรณรงค์ให้ความรู้กับพี่น้องประชาชนว่า ควรแก้ รธน.50 เพราะเหตุใด เป็นการต่อสู้ตามกติกาและให้ประชาชนตัดสินโดยการลงประชามติ

เช่นเดียวกับ นายอภิศักดิ์ สุขเกษม กรรมการบริหารภาคกลางสมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ปี 2551 กล่าวในประเด็นเดียวกันว่า ก่อนหน้าที่จะมีการทำประชามติรับร่าง รธน.50 นายสุริยะใสและพรรคพวกก็เคยออกมากล่าวถึงที่มาของ รธน. นี้ไม่ชอบ เพราะมาจากการรัฐประหารและให้ประชาชนรับไปก่อนเพื่อให้มีการเลือกตั้งแล้วค่อยกลับมาแก้ไข

“ขณะนี้ พันธมิตรฯ กำลังส่อเจตนาปกป้อง รธน. ที่มาจากเผด็จการ และกลัวระบอบทักษิณจะกลับมาอีกมากเกินไป และสุดท้ายการกล่าวอ้างเรื่องหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ก็เนื่องจากว่ามีน้ำหนักพอที่จะให้ทหารเข้ามายึดอำนาจและทำการปฏิวัติได้ เป็นลูกไม้เดิม ที่แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ (ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) เคยโดนมาเช่นกัน” กรรมการ สนนท. กล่าว

งัดแผน “กรกฎ”สยบม็อบพันธมิตร
ทั้งนี้ มองว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เหมือนกับการที่พันธมิตรฯ ออกมาเคลื่อนไหวให้เกิดรัฐประหารครั้งที่ผ่านมา ส่งผลให้เศรษฐกิจตกต่ำมาก เพราะต่างชาติไม่ไว้วางใจในการลงทุน ส่วนการเสนอให้มีการทำประชามตินั้น เป็นเรื่องที่ดีที่จะได้แสดงออกในความคิดเห็นของประชาชน และอย่าไปเชื่อคำพูดของนักกิจกรรมทางการเมืองบางท่านที่มีจุดยืนไม่ชัดเจน คนกลุ่มนี้ก็เป็นคนที่มาร่วมร่าง รธน.50

อย่างไรก็ดี ทาง สนนท. จะแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร และไม่เอา รธน.50 และนำ รธน.40 กลับคืนมา และหวังว่าการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตร จะไม่นำไปสู่ชนวนให้เกิดรัฐประหารอีกครั้ง วันนี้ระบอบประชาธิปไตยบอบช้ำเหลือเกิน

ในอีกด้านหนึ่ง พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตรียมความพร้อมรับมือกับการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตรียมมาตรการ “แผนกรกฎ” ดูแลกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้น และมั่นใจจะเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย