WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, January 15, 2011

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ขยายความ "ดินแดน-ชาตินิยม"

ที่มา มติชน



สัมภาษณ์พิเศษ โดย พนัสชัย คงศิริขันธ์, พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์

(ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 14 มกราคม 2554)



ไม่น่าเชื่อว่า "เส้น" บนแผนที่เพียงเส้นเดียว จะให้ชีวิตคนไทย 7 คน ต้องตกอยู่ในฐานะ "ตัวประกัน" จะทำให้คนเคยรักออกมาเดินขบวนขับไล่กัน

และยังทำให้ "กัมพูชา" มีอำนาจต่อรองเหนือ "ไทย" บนเวทีระหว่างประเทศ

"ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักประวัติศาสตร์อุษาคเนย์แถวหน้าของเมืองไทย เห็นปรากฏการณ์ "อคติ" เรื่องเชื้อชาติ-ดินแดน ต่อ "ความไม่รู้" ในเรื่องพรมแดน-แผนที่ และต่อ "ความพยายาม" ในการปลุกกระแสชาตินิยมขึ้นมา

จึงขอโอกาสอธิบายข้อมูล-ข้อเท็จจริง ถึงกรณีพิพาทดังกล่าว ในเชิงประวัติศาสตร์ โดยหวังเพียงว่าหากคนไทยได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าใจเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันกว่า 800 กิโลเมตรมากขึ้น

มีข้อสังเกตอะไรต่อกรณีคนไทย 7 คนถูกจับบ้างครับ

เกมนี้คงยาว เรื่องคงซับซ้อน พูดง่ายๆ คล้ายกับ 7 คนไปให้กัมพูชาจับเป็นตัวประกัน อำนาจต่อรองของรัฐบาลพนมเปญจึงสูงมาก มีไพ่อยู่ในมือ แต่ก็น่าสนใจว่า ตอนนี้ไพ่ชาตินิยมไทย-เสียดินแดน มีคนเล่นอยู่พวกเดียว นายกรัฐมนตรีก็ไม่เล่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ไม่เล่น ทหารก็ไม่เล่น ดังนั้น ถ้าดูไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็จะเห็นได้ว่ากระแสมันไม่ขึ้น จึงต้องไปดูว่าการชุมนุมใหญ่วันที่ 25 มกราคมนี้ กระแสจะขึ้นหรือไม่ เพราะเป็นไพ่ใบเดียวที่เหลืออยู่

ทำไมนายกฯกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไม่เล่นไพ่ใบนี้

เพราะการเล่นไม้แข็ง จนไปไกลถึงเกิดสงคราม มันเป็นสิ่งที่โลกปัจจุบันไม่ต้องการ เขาอยากให้มีการเจรจา ดังนั้นกระแสโลกก็ไม่ได้ มันเลยกลายเป็นเกมล้าสมัยมาก ที่เคยได้ผลในระหว่าง ค.ศ.1940-1960 คือสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามถึงสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ แต่สมัยนี้มันไม่ได้แล้ว มันกลายเป็นกระสุนด้าน

ทำไมเกมนี้จึงตกยุคและล้าสมัย

เขาก็อยู่ในฐานะลำบาก เพราะเป็นไพ่ใบเดียวที่เล่นได้ ไพ่อื่นก็ใช้ไปหมดแล้ว ทั้งไพ่สถาบัน ไพ่คอร์รัปชั่น ตอนนี้มันเหลือแค่ไพ่ชาตินิยม ซึ่งเสี่ยงต่อการเสียความนิยม เพราะนำมาซึ่งความแตกร้าวสามัคคีในหมู่คนไทย เหมือนอย่างการทุบตีกันที่บ้านภูมิซรอล อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว และเผชิญหน้ากันที่บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้วไม่นานมานี้

แต่ไพ่ชาตินิยมก็เคยโค่นรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ลงได้

ตอนนั้นเป้าอยู่ที่คุณสมัคร คุณนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แต่เป้าตอนนี้กลายเป็นกลุ่มที่เคยร่วมกันมาก่อน การกล่าวหาว่า คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณกษิต ภิรมย์ ขายชาติมันไม่ได้ผล มันกลายเป็นว่าแตกกันโกรธกัน เลยมาโจมตีกัน กลายเป็นปัญหาระหว่างกลุ่ม ไม่ใช่ปัญหาระดับชาติ

ความจริงปัญหาเรื่องเขตแดนและดินแดนเป็นปัญหาเรื่องเทคนิค ต้องรังวัด ทำพิกัด ต้องมีนายช่างเทคนิค แต่พอทำให้เป็นการเมืองปุ๊บ มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง มันกลับกลายเป็นว่ากัมพูชาถือไพ่เหนือกว่า ถ้าไทยไปทำอะไร เวทีระหว่างประเทศก็จะมองว่าไทยไปรังแกเขา ในแง่บริบทการเมือง ไทยไม่ได้คะแนน

ไพ่ 7 คนไทยจะถูกรัฐบาลกัมพูชานำมาใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง

ใช้ได้เยอะ สมเด็จฯฮุน เซน อยู่ในตำแหน่งนายกฯกัมพูชามานาน เรียนรู้มาตั้งแต่สมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ยังเป็นนายกฯ ฮอร์ นัม ฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ก็รู้จักรัฐมนตรีต่างประเทศไทยมาสัก 20 คนแล้วมั้ง ดังนั้น ความเจนจัดทางการเมืองของเขาจึงสูงมาก เพราะมีความต่อเนื่องมากกว่าเรา

ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา ในทางประวัติศาสตร์เกิดขึ้นได้อย่างไร

แต่ก่อนคำว่าเขตแดน มันไม่มี ขึ้นอยู่กับศูนย์กลางอาณาจักรว่ามีอำนาจแค่ไหน ถ้ามีมากก็ขยายกว้าง ถ้ามีน้อยก็หด ครั้งหนึ่งกัมพูชาก็เคยกว้างขวางใหญ่โตมาก พอเสื่อมก็หดอย่างที่เห็นปัจจุบัน ในอดีตรัฐแบบโบราณในอุษาคเนย์ไม่มีเขตแดน แต่เมื่อฝรั่งเข้ามาก็กำหนดว่าต้องมี เอาแผนที่ พิกัด การปักปันเขตแดนมา ไทยก็รับมรดกจากสยาม สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งสยามกับไทย มีวิธีคิดไม่เหมือนกัน ส่วนกัมพูชาก็รับมรดกจากฝรั่งเศส เมื่อต่างคนต่างอ้างแผนที่-สนธิสัญญา ซึ่งมาจากสมัยฝรั่ง ถ้ามีปัญหาก็ต้องเจรจา ไม่เจรจาก็ฟ้องศาล เหมือนที่ศาลโลกเคยตัดสินคดีปราสาทพระวิหารว่าเป็นของกัมพูชา ด้วยมติ 9:3 แต่ทั้งกรณี 4.6 ตารางกิโลเมตร และบ้านหนองจาน จะต้องเจรจา ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็อาจให้องค์กรที่ 3 เข้ามา บั้นปลายจริงๆ ถึงจะใช้สงครามตัดสิน ซึ่งต้องเอาให้เด็ดขาดไปถึงกรุงพนมเปญเลย แต่ผมไม่คิดว่าใครจะเอาด้วย เพราะความเสียหายมันมหาศาล ดังนั้น ต้องกลับไปเจรจา และให้คนที่รู้เรื่อง คือกรมแผนที่ทหาร และกรมสนธิสัญญามาเจรจา

ในอดีตไทยมักขัดแย้งกับพม่า แต่ทำไมสมัยใหม่ ไทยถึงขัดแย้งกับกัมพูชาแทน

เพราะเขมรถูกใช้เป็นเกมในการล้มรัฐบาลสมัคร ทั้งนี้ เกมชาตินิยมมันจะต้องถูกปลูกโดยผู้นำที่เป็นชาติ อย่างน้อยจบปริญญาตรี อยู่ในเมืองหลวง หรือถูกชุบตัวใน กทม.แล้ว ชาวบ้านทั่วไปหรือผู้หญิงปลุกไม่ได้

ทำไมต้องมีคุณสมบัติ 3 อย่างนั้น

มันผลิตมาโดยคนพวกนี้ ที่สำคัญมันต้องจินตนาการเยอะ ต้องคิดว่าตัวเองมีเชื้อชาติบริสุทธิ์ อพยพลงมาจากเมืองจีน ชาตินิยมต้องมีผู้นำ อย่างอาเจ็กข้างบ้าน คนขายข้าวเหนียวปิ้ง หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้างปากซอย คงไม่สนใจ และนำไม่ขึ้น

ประเมินว่าขบวนการชาตินิยม พ.ศ.นี้จะจบอย่างไร

คงต้องปล่อยให้มันเดินไปถึงที่สุดของมัน ธนูออกจากแล่งไปแล้ว มันก็ต้องวิ่งไปเรื่อยๆ จนหมดแรง หรือไปชนอะไรสักอย่าง

เบื่อเรื่อง ๗ คนไทยในคุกเขมรเต็มที โดย ร.ต.อ. ดร. นิติภูมิ นวรัตน์

ที่มา thaifreenews

โดย bozo



ศุกร์ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๔



วันอาทิตย์มะรืนนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์จัดงานวันครู
เวลา ๑๐.๓๐ – ๑๒.๐๐ น.นายกิติตพงศ์ พวงศิริ พูด ‘“ การพัฒนาครู...สู่ความก้าวหน้า...
ในการให้มีหรือเลื่อนวิทยฐานะของครูและบุคลากรทางการศึกษาตามแนวทางใหม่”

เวลา ๑๓.๐๐-๑๖.๐๐ น. นิติภูมิพูด "มิติโลก มิติรัฐ กับการจัดการศึกษาท้องถิ่นไทย"
ที่หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษามหาราชา ศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์



ผู้อ่านท่านที่เคารพครับ
เรื่องของ ๗ คนไทยนี่ดูเหมือนว่า
จะชักนำทำให้สถานะของราชอาณาจักรไทยตกต่ำในเวทีระหว่างประเทศ
ยากที่จะดึงขึ้นให้กลับมาสู่สถานะปกติดังเดิมแล้วนะครับ
อยู่ดีๆ ท่านเหล่านี้ก็เดินเข้าไปที่ชายแดน ไป
ทำให้คนไทยทั้งประเทศตกหลุมแห่งความอับอายขายขี้หน้า
ยิ่งมีคนไทยไปพูดจาเรื่องดึงกฎเจนีวามาอ้าง
มันยิ่งทำให้นานาอารยะประเทศมองเห็นเราเป็นพวกป่าเถื่อนที่ไม่มีความรู้
ทะลึ่งไปอ้างกฎที่ใช้กับเชลยศึกสงคราม
ทั้งคนเขมรและคนไทยก็เลยสงสัยว่าพวกเอ็งกลายเป็นเชลยศึกสงครามไปตั้งแต่เมื่อใด
ตอนจะไปสร้างเรื่องก่อราว คนไทยไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย มีเพียงนายกรัฐมนตรีเท่านั้นที่รู้
พอขัดสนอับจนปัญญาก็จะก็มาขอให้สหประชาชาติช่วย


สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี ราชอาณาจักรไทยของเรา
มีศัตรูประเทศคอมมิวนิสต์รอบข้าง


ประเทศไทยไชโยของเรามีสถานะดีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ในยุคพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัน ผู้ที่มีวิชั่นกว้างไกล
ทำให้สนามรบรอบบ้านกลายเป็นสนามการค้า
พอนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี อ้าว เราก็มีปัญหาระหองระแหง
กินแหนงแคลงใจกันระหว่างเพื่อนบ้านอีกแล้ว
กระทั่งสมัยของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ความสัมพันธ์ของไทยกับเพื่อนบ้านทุกประเทศ
จึงกลับมาเป็นปกติ และกับบางประเทศ เรามีความสัมพันธ์ดีกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ



การกระทำของ ๗ คนไทย + นายกษิต ภิรมย์ + กลุ่มพันธมิตรฯ ฯลฯ
ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทย
คนไทยที่ทำไว้ดีมากในเวทีโลกก่อนหน้านี้ต้องมลายหายไป
ผู้อ่านท่านลองนึกถึงคนไทยเหล่านี้ซีครับ
ดร.ศุภชัย พาณิชยภักดิ์ อดีต ผ.อ. การค้าโลก,
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน หรือแม้แต่
ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ที่ไต่ไปจนได้เป็นแคนดิเดทเลขาธิการของสหประชาชาติ
ท่านเหล่านี้สร้างชื่อเสียงในทางดีให้ประเทศชาติบ้านเมืองทั้งนั้น



ก่อนหน้ารัฐบาลยุคนี้
คนไทยและรัฐบาลไทยไปจีน จีนเกรงใจ
ไปญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเกรงใจ
ไปที่ไหนมีแต่รัฐบาลและประชาชนผู้คนของประเทศนั้นๆ เกรงใจ
เพราะในสมัยนั้นผู้นำไทยเข้มแข็ง เก่งทางด้านการเจรจาต่อรอง มีให้ มีรับ ฯลฯ



แต่พอมาถึงวันนี้ เรากลับมีสถานการณ์ในประเทศเป็นศัตรูกับเพื่อนบ้าน
เหมือนในยุคของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์
ซึ่งเป็นผลพวงมาจากสงครามเย็น
ซึ่งไทยเราเลือกข้างอยู่กับทางสหรัฐอเมริกา



ความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน + ศักดิ์ศรีของประเทศและประชาชนคนไทย
ที่เคยดีมากที่สุดในสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
และสมัยพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร
กลับมาละลายหายไปในยุคที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรีจนหมดสิ้น
คนไทยแทบไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรแล้ว
เดินทางไปประเทศไหนต้องเอาปี๊ปคลุมหน้าไปด้วย
มันน่าอายจริงๆ นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ และนายกษิต ภิรมย์
โดนสมเด็จฮุนเซ็นเอามือตบหน้าสั่งสอนเบาๆ แทบทุกวัน


แม้แต่วันพุธที่ผมกำลังเขียนต้นฉบับเปิดฟ้าส่องโลกของศุกร์วันนี้
สมเด็จฮุนเซ็นก็ออกแถลงการณ์ชี้แจงจุดยืนความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
แถมสมเด็จฮุนเซ็นยังเรียกกลุ่มคนไทยที่เคลื่อนไหวสร้างปัญหา
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอยู่ในขณะนี้ว่า เป็นพวกหัวรุนแรง


ผู้บริหารระดับหัวหน้ารัฐบาลและระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของฝ่ายไทย
พยายามบอกกับประชาชนคนไทยว่า
ไม่มีอะไรในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา เป็นความสัมพันธ์ขั้นปกติ
เพราะการไปเยือนของตน
ทว่าสมเด็จฮุนเซ็นออกแถลงการณ์ปฏิเสธอย่างเป็นทางการเลยนะครับว่า
เหตุที่ราชอาณาจักรไทยกับพระราชอาณาจักรกัมพูชากลับมามีความสัมพันธ์ขั้นปกติกันอีกนั้น
ไม่ใช่เพราะรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลชุดนี้
แต่มาจากการที่ทหารไทยถอนทหารที่ได้รุกล้ำในบริเวณพระเจดีย์วัดแก้วฯ
เมื่อ ๑๐.๓๐ น.ของวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓


ก็ไม่รู้ว่า รัฐบาลชุดนี้บริหารชาติบ้านเมืองกันเป็นมากน้อยแค่ไหน ถึงได้มีแต่ปัญหา
แตะไปตรงไหนในประเทศนี้เป็นได้เจอแต่น้ำหนองเยิ้มเลอะเปรอะมือมาด้วย
มีอย่างที่ไหน
วันดีคืนนี้ รัฐบาลก็ประกาศระงับการออกใบรับรองสุขอนามัยพืชผัก
อัก ๑๖ ชนิด ๕ กลุ่มที่จะส่งออกไปขายใน ๒๗ ประเทศที่เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป
โดยให้ระงับตั้งแต่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
กะเพรา โหระพา แมงลัก ยี่หร่า พริกชี้ฟ้า พริกขี้หนู
มะเขือยาว มะเขือเปราะ มะเขือม่วง มะเขือขาว ฯลฯ

แม้แต่พืชมูลค่าเล็กน้อยกระจอกงอกง่อยอย่างมะระขี้นกนี่ ก็ยังโดน


http://www.nitipoom.com/th/article1.asp?idOpenSky=3691&ipagenum=

ดินแดนที่ “เกือบไม่มี” เสรีภาพ

ที่มา thaifreenews

โดย bozo

Read more from ประเทศไทย, สิทธิมนุษยชน




วันนี้หนังสือพิมพ์และแหล่งข่าวหลายแห่งพากันกล่าวถึง
การจัดอันดับ “เสรีภาพในโลก” ขององค์กร
Freedom house ในวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา
ประเทศไทยยังคงถูกจัดอยู่ในประเภทของ “ประเทศที่มีเสรีภาพเพียงบางส่วน”
โดยอยู่ในประเภทดังกล่าวติดกันเป็นเวลา 4 ปี
ส่วนลำดับของสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพของพลเรือน
ยังอยู่ในลำดับเดิมตั้งแต่ปีที่แล้ว
องค์กร Freedom House กล่าวอย่างคร่าวๆว่า
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เสรีภาพของพลเรือนลดลงอย่างต่อเนื่อง
ในหลายปีที่ผ่านมา
ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ หากพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

แม้องค์กร Freedom House จะสังเกตเห็นว่า
ว่า ความเป็นประชาธิปไตยในประเทศไทยนั้นตกต่ำลง
แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ควรจะดีใจที่องค์กร Freedom House ไม่ได้ประนามรัฐบาลรุนแรงกว่านี้
เพราะมันยากที่จะเชื่อว่าเสรีภาพโดยรวมของประเทศไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากจากปีที่แล้ว
เพราะมีการใช้พรก.ฉุกเฉินติดต่อกันเป็นเวลาถึง 9เดือน จะเห็นว่า
รัฐบาลไทยได้ประโยชน์จากการจัดลับดับที่เต็มไปด้วยอคติขององค์กร Freedom House
ที่มีมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น นักรัฐศาสตร์อย่าง Kenneth Bollen ได้แสดงทัศนะว่า
องค์กร Freedom House มักจะผ่อนปรนกับเผด็จการที่เป็นมิตรกับรัฐบาลอเมริกามากกว่า
เราลองจินตนาการดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับการจัดลำดับเสรีภาพในเวเนซูเอล่า
หาก Hugo Chavez สังหารผู้ชุมนุมกว่า 90 รายบนท้องถนนกรุงคาราคัส
หรือบิดเบือนการใช้กฎหมายฉุกเฉิน
ข้อเท็จจริงคือ ลำดับของสิทธิพลเรือนในเวเนซูเอล่าลดลงอย่างต่อเนื่อง
ในหลายปีที่ผ่านมา แม้ Hugo Chavez ไม่ได้กระทำเรื่องดังกล่าวเลยก็ตาม

นอกจากนี้ ใครก็ตามที่หวังดีกับประเทศไทยอย่างแท้จริง
ก็ต้องรู้สึกแย่เมื่อต้องทนดูประเทศไทยกำลังจมดิ่งลงสู่หุบเหวภายการนำของรัฐบาลนี้
เพราะการจัดลำดับ “สิทธิทางการเมือง” ในประเทศไทย (ได้คะแนนลำดับ 5)
ถูกจัดให้อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศอย่างประเทศบูร์กินาฟาโซ, บุรุนดี,
สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, แกมเบีย, อูกานดา, กินี, อิรัค, โคโซโว,คีร์กีซสถาน,
เลบานอน, โมรอคโค, ไนเจอร์, สิงคโปร์, ศรีลังกา, โทโก และเวเนซูเอล่า

ในขณะที่คะแนนในเรื่อง “สิทธิพลเรือน” นั้นดีกว่านิดหน่อย (ได้ 4คะแนน)
และอยู่ในลำดับเดียวกับประเทศอาร์มาเนีย, บังคลาเทศ, โคลัมเบีย, โคโมรอส,
ติเมอร์ตะวันออก, ฟิจิ, กัวเตมาลา, กินี-บิสเซา, ฮอนดูรัส, โคโซโว, ลิเบอร์เลีย,
มาดากัสการ์, มาลาวี, มาเลเซีย, มัลดีฟส์, โมรอคโค, เนปาล, นิคาร์รากัวร์,
ไนเจอร์, ไนจีเรีย, สิงคโปร์, ศรีลังกา, โทโก, อูกานดา และแซมเบีย


แม้ว่ามาตรฐานของระบอบประชาธิปไตยของไทยจะตกต่ำเป็นเวลาหลายปี
แต่การที่ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ลำดับเดียวกับประเทศเหล่านั้นถือเป็นสิ่งที่น่าอับอาย

ประการแรกคือ ประเทศไทยพัฒนาไปไกลกว่าประเทศอื่นที่อยู่ในลำดับเดียวกัน
ในการจัดลำดับสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเรือน
ซึ่งยกเว้นประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ที่พัฒนากว่าประเทศไทย
ในแง่ของความมั่งคั่ง อายุขัยของประชากร และระบบการศึกษาเท่านั้น
แต่ทั้งสองประเทศนี้ไม่ได้เป็นประเทศตัวอย่างที่ดี
ในแง่ของเสรีภาพและระบอบประชาธิปไตยเลย ประเทศอย่างแซมเบีย,
แกมเบีย, มาลาวี, กินี,สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ,บูร์กินาฟาโซ,
ลิเบอร์เลีย, กินี-บิสเซา, บุรันดี และไนเจอร์
ถูกจัดให้อยู่ใน 20 ลำดับสุดท้ายของประเทศด้อยพัฒนาที่สุด

ประการที่สอง สถาบันทางประชาธิปไตยในประเทศไทยได้เริ่มพัฒนามายาวนาน
โดยประเทศส่วนใหญ่ที่ถูกจัดให้อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศไทยนั้น
ต่างเคยเป็นประเทศในอาณานิคมของตะวันตกมาก่อน
และเมื่อไม่นานมานี้มีเหตุการณ์วุ่นวาย
และสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นในบางประเทศเหล่านี้ด้วย
ส่งผลให้ประชาชนหลายแสนคนเสียชีวิต เป็นเวลากว่า 8ทศวรรษแล้ว
ที่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
แต่ประเทศไทยยังคงถูกจัดให้อยู่ในลำดับเดียวกันกับประเทศ
อย่างเลบานอน, ลิเบอร์เลีย, ไนจีเรีย หรือศรีลังกา

ประเทศที่องค์กร Freedom House จัดให้อยู่ในลำดับเดียวในประเทศไทยนั้น
อาจมีข้ออ้างที่ฟังขึ้นว่าเหตุใดจึงไม่มีความเป็นประชาธิปไตย
แต่ประเทศไทยนั้นหมดข้ออ้างไปนานแล้ว
ปัญหาของระเทศไทยไม่ได้อยู่ที่เรื่องความไม่พัฒนา
หรือขาดความคุ้นเคยกับประชาธิปไตย
แต่อยู่ที่ตัวของผู้นำกลุ่มอำมาตย์ที่ปกครองประเทศโดยไม่ฟังเสีียงประชาชน
มักชอบอ้างว่าตนเองนั้นเป็น “คนดี” และ “มีคุณธรรม”
ท้ายที่สุดแล้ว ประเทศไทยสมควรมีรัฐบาลที่ดีเท่ากับประชาชน
แต่เป็นที่ชัดเจนว่า หนทางนั้นยังอีกไกล



http://robertamsterdam.com/thai/?p=662

สินค้าปลอม โดย กาหลิบ

ที่มา thaifreenews

โดย bozo

เรียบเรียงโดย Nangfa





คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง สินค้าปลอม (ตอนที่ ๑)
โดย กาหลิบ

ในสมัยก่อน ผู้บริโภคที่พบสินค้าปลอมแปลงอาจจะโยนของชิ้นนั้นทิ้งไปโดยไม่คิดอะไรมาก
และไม่คิดจะดำเนินการอะไรต่อ หน้าที่ในการแจ้งความดำเนินคดีเป็นของฝ่ายรัฐ
และผู้ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ แต่บัดนี้ผู้บริโภคตระหนักในสิทธิของตน
และอันตรายในการสินค้าหลอกลวงเช่นนี้มากขึ้น
การประท้วงทวงสิทธิจึงเริ่มจะรุนแรงขึ้น
และได้ก้าวหน้าไปถึงขั้นที่ลากคนที่เกี่ยวข้องมากระทืบเสียแทบเป็นภัสม์ธุลี

สินค้าปลอมแปลงล่าสุดที่ถูกส่งสู่ตลาดใหญ่ที่มีผู้บริโภคถึง ๖๕ ล้านคน
และกำลังจะถูกประจาน ประณาม
และชี้ถึงอันตรายอันใหญ่หลวง ก็คือนโยบายล่าสุดของรัฐบาลไทยปัจจุบัน
ซึ่งเป็นกรรมต่อเนื่องของระบอบศักดินา-อำมาตยาธิปไตย ที่เรียกอย่างหรูว่า
โครงการประชาวิวัฒน์
และในชื่อจริงว่าโครงการเร่งรัดปฏิบัติการด่วนเพื่อคนไทยจำนวน ๙ ข้อ

๙ ข้อนี่แหละที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บอกว่าเป็นของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลของเขา
สู่ประชาชนผู้เสียภาษีอากร

ลองมาวิสัชนากันหน่อยปะไร แล้วจะรู้ว่าหาก ๙ ข้อนี่เป็นของขวัญ
ก็ไม่ต่างอะไรจากซื้อเหล้าเป็นของขวัญในเทศกาลต่างๆ
ซึ่งอาจจะลงท้ายด้วยอุบัติเหตุจราจรหรือเกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้รับขึ้นมาเฉยๆ

๑. “ให้ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมได้รับสิทธิประโยชน์
เจ็บป่วยเสียชีวิต รวมถึงเบี้ยชราภาพ
หรือประชาชนจ่ายเงิน ๑๐๐/๑๕๐ บาทต่อเดือน
จ่าย ๗๐ บาทรัฐสมทบ ๓๐ บาท
หรือ จ่าย ๑๐๐ บาทรัฐสมทบ ๕๐ บาท กรณีหลังจะประกันกรณีชราภาพด้วย”

นายอภิสิทธิ์ฯ รู้หรือไม่ว่า โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า
หรือโครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรคของรัฐบาลที่นำโดย ดร.ทักษิณ ชินวัตร
ซึ่งเขาพยายามเลียนแบบเพื่อเอาคะแนนนิยมสู่พรรคประชาธิปัตย์นั้น เป็นโครงการ
ที่มิได้แอบอิงทุนสะสมของกองทุนประกันสังคมเอาเลย
ผู้ใดที่เอะอะก็คว้าเอาเงินในกองทุนประกันสังคมมาใช้
ผู้นั้นก็คือมนุษย์ลวงโลกที่สะสมปัญหาไว้ให้ลูกหลานเหลนโหลนไปแก้ไขในวันข้างหน้า

กองทุนประกันสังคมถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความรับผิดชอบร่วมกัน ๓ ฝ่ายคือ
ระหว่างนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล เป็นเรื่องของความเป็นธรรม
ในหมู่ผู้สร้างงาน (productivity) ให้กับบ้านกับเมือง
มิได้ออกแบบมารองรับสิทธิในการรับการรักษาพยาบาลในกรอบใหญ่ขนาดทั้งประเทศไทย

หากนายอภิสิทธิ์ฯ จะแย้งว่าตนจะใช้เงินกู้ยืมจากต่างประเทศและในประเทศ
จะไม่แอบใช้ในกองทุนประกันสังคมเลย (ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้)
ก็จะเดินตรงไปสู่ปัญหาที่สอง คือโยนเงินกู้ที่ต้องชำระคืนพร้อมดอกเบี้ยเข้าสู่ระบบสาธารณสุขแห่งชาติ
ที่ยังฉ้อฉลและขาดประสิทธิภาพอย่างรุนแรง

รัฐบาลทักษิณจึงริเริ่มโครงการ ๓๐ บาท ซึ่งแท้ที่จริงคือ
วิธีการใหม่ในการบริหารต้นทุนและการบริการของระบบสาธารณสุขของประเทศ
หลักการที่สำคัญคือ ยึดเอาความพอใจและสิทธิของผู้ป่วยเป็นหลัก
ไม่ใช่เอาผลประโยชน์และความสะดวกของโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์เป็นหลัก
อย่างที่ทำมาตั้งแต่รัชกาลก่อนๆ
หลังจากนั้นแต่ละสถานพยาบาลเริ่มเรียนรู้ที่จะพัฒนาระบบบริการเพื่อผูกใจคน
เพื่อรักษา “ค่าหัว” ของผู้ป่วยแต่ละรายมารวมเป็นงบประมาณของตน

แต่วิธีการจอมปลอมของรัฐบาลอภิสิทธิ์
นอกจากจะทำให้เกิดระบบรักษาพยาบาลที่ด้อยประสิทธิภาพทั้งประเทศแล้ว
ยังสิ้นเปลืองเงินทุนมหาศาลจากกองทุนประกันสังคม และเงินงบประมาณอื่นๆ
จนอาจถึงขั้นทำให้กองทุนนั้นขาดทุนในระยะยาว รัฐบาลมีปัญหางบประมาณในระยะไกล
ส่งผลกระทบถึงสิทธิของผู้ใช้แรงงานในทุกระดับและประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ

ถ้าสื่อมวลชนและนักวิชาการส่วนใหญ่ของไทยยังมีมโนธรรมอยู่บ้าง
ขอให้ไปติดตามผลการดำเนินการของนโยบายข้อนี้อย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะการบริหารต้นทุนเอาเองเถิด แล้ว
จะเกิดสยองขวัญขึ้นเองว่าสิทธิของคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้กำลังจะถูกทำลายลงอย่างไร

ยังไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการแข่งขันของชาติที่จะถูกกระหน่ำซ้ำเติมอย่างหนัก (ยังมีต่อ)



http://democracy100percent.blogspot.com/2011/01/blog-post_15.html

อังกฤษเชิญ 'แม่เกด'ให้การคดี 6ศพ

ที่มา thaifreenews

โดย Friend-of-Red



โพสโดยคุณ NNAANN http://www.internetfreedom.us/thread-9381.html

การสอบสวนคดีทุจริต...ประสิทธิภาพที่ต่ำทราม!

ที่มา vattavan

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

ก่อนที่จะเข้าเรื่องที่ตั้งใจเขียน ขอย้อนไปถึงบทความสัปดาห์ที่แล้ว คือ “บริหารแบบไม่บริหาร!... สู้แม้วไม่ได้เลย!!” ซึ่งผมได้ยกคำพูดของ สนธิ ลิ้มทองกุล บอสใหญ่ของค่ายโพกผ้าเหลือง ที่ยืนยันผ่าน ASTV ว่าการบริหารงานของนายมาร์ค มุกควาย ไม่อาจเทียบได้กับนายกฯทักษิณ ชินวัตร ในทุกกระบวนท่า
มาถึงสัปดาห์นี้ เรื่องที่คนไทยกำลังตื่นกัน คือส.ส.หมาดๆของพรรคดักดาน ที่เคยมีบทบาทไล่ล่าคุณทักษิณ โดยหมายจะเอานายกรัฐมนตรีฯ ที่ถูกโค่นล้มด้วยปากกระบอกปืน กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย เขาผู้นั้นชื่อ
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์
อีตาคนนี้แกเบาปัญญา เพราะไปรับบัญชาของ เถนโพธิรักษ์ แล้วเซอะซะซุ่มซ่ามไปถูกจับกุม พร้อมกับคนไทยอีกหลายคนในดินแดนของกัมพูชา ทำให้เกียรติภูมิของชาติ ต้องตกต่ำลงไปอีก
ทุกขะโต ทุกขะฐานัง!
ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว อย่างพระท่านว่าจริงๆ จะเอาทักษิณเข้าคุก แต่ตัวเองต้องเข้าคุกเขมร ไปนอนให้หนูและแมลงสาป แทะหัวก่อน!!

ในกรณีดังกล่าว ผู้คนในบ้านเมืองที่กำลังร้าวฉานแบ่งค่ายแบ่งขั้วกันอย่างล้ำลึก ก็มีความรู้สึกแตกต่างกันไป
บางพวกก็ ‘สะใจ’ บ้างก็ห่วงใย!

content/picdata/273/data/cambodai.jpg

ได้มีการแสดงออกในรูปแบบต่างๆ แต่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือเสียงตำหนิแสดงความไม่พอใจ รวมทั้งการด่าทอบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศ ที่มีรัฐมนตรีพันธ์โลซก ซึ่งมักก่อเรื่องนรกด้วยการทะเลาะเบาะแว้งกับผู้คน และประเทศเพื่อนบ้านเขาไปทั่วเป็นประจำตามสันดานของแก
มาถึงวันนี้ ความเหนือชั้นในการบริหารประเทศของทักษิณฯ ตามบทความของผมในสัปดาห์ก่อนนั้น ได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริงอีกด้านหนึ่ง นั่นคือ
เรื่องกิจการต่างประเทศ
ทั้งนี้ เพราะคุณเตช บุนนาค ซึ่งเป็นที่เคารพของคนในกระทรวงการต่างประเทศ เพราะท่านเคยเป็นข้าราชการประจำที่มีตำแหน่งสูงสุด และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงบัวแก้ว ในสมัยรัฐบาลท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช มาก่อน
คุณเตชได้กล่าวยืนยัน เมื่อ 11 ม.ค.2554 นี้เองว่า...
การต่างประเทศของไทยตอนนี้ ถือว่าอยู่ในยุคตกต่ำอย่างมาก จากที่เคยขึ้นถึงจุดสูงสุดในช่วงปี 2546 ที่ไทยขึ้นมาเป็นผู้นำบนเวทีนานาชาติได้
ปี พ.ศ.2546 ประเทศไทยเรามีนายกรัฐมนตรีที่มีความสามารถสูง ชื่อ...
พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร!
มาถึงพ.ศ.นี้ การต่างประเทศของเรา ตกต่ำจนเป็นที่ดูถูกดูแคลนของคนทั่วโลก เพราะบ้านเราโชคร้ายสุดๆ ดันมีเคราะห์ไปได้ นายมาร์ค มุกควาย มาดำรงตำแหน่งสำคัญนี้
ขอให้พี่น้องผองไทยจำกันไว้ อย่าลืมเชียว ช่วยจำใส่ใจเอาไว้ และนำไปสอนลูกสอนหลานเรา ในวันข้างหน้าด้วย!

ากนี้ไป ผมก็จะเข้าเรื่องที่ตั้งใจจะเขียนถึงในวันนี้ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ไม่กี่วันนี้มีข่าวหนึ่ง ที่ควรจะกลายเป็นข่าวใหญ่ เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องคอรัปชั่น ของผู้บริหารในองค์กรการเมืองส่วนท้องถิ่น เลยขอนำข่าวมาเล่าเกริ่น สำหรับท่านผู้อ่าน ที่ไม่ได้ติดตามข่าวนี้มาก่อน นั่นคือ

การที่ตำรวจจับกุมตัว "นายเมธา ใจบริสุทธิ์”นายกเทศมนตรีเมืองคูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานีในข้อหาทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
ก่อนเข้าทำการจับกุม หลังจากที่ นายเจริญ โชคทวีวิศาลกุล อายุ 38 ปี เจ้าของบริษัทสันฐิตาจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างทั่วไป เข้ายื่นซองกระดาษสีน้ำตาลที่บรรจุเงินสดไว้ให้แก่นายเมธา ในห้องทำงาน ภายในสำนักงานเทศบาลเมืองคูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี
แผนการจับกุมครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เมื่อ นายเจริญ เข้าพบกับ พ.ต.อ.วีระพันธ์ ทันใจ ผกก.2 บก.ปปป. เพื่อขอหารือ หลังจากถูกกลั่นแกล้งจากผู้ที่เกี่ยวข้องในการตรวจงาน หลังจากประมูลงานชนะเข้าไปก่อสร้างโครงการโรงงานสูบน้ำ
"ผู้เสียหายเข้ามาปรึกษาหารือ เพราะทนไม่ไหวจากการที่ถูกอ้างว่ากลั่นแกล้ง ทำนองว่า งานไม่สมบูรณ์จนกระทั่งเสียค่าปรับ ซึ่งผู้เสียหายอ้างว่าบริษัทอื่นๆ ก็ถูกกระทำ ก็เลยบอกไปว่า ให้ไปรวมกันมาแจ้งความ แต่การจับกุมต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ ผู้เสียหายต้องให้ความร่วมมือ นายเจริญก็ขอกลับไปคิด แล้วก็เงียบหายไป" พ.ต.อ.วีระพันธ์ ระบุ
การเงียบหายไปของนายเจริญ ทำให้ตำรวจคาดว่า นายเจริญคงไม่อยากดำเนินคดี เพราะยังไงต้องประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ต้องประมูลงานตามสถานที่หน่วยงานราชการต่างๆ ในอนาคต แต่แล้วช่วงสายวันที่ 5 มกราคม 2554 นายเจริญได้เข้าพบ พ.ต.อ.วีระพันธ์ อีกครั้ง พร้อมขอร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีกับนายเมธา
หลังจากรับคำร้องทุกข์ พ.ต.อ.วีระพันธ์รายงานเหตุที่เกิดขึ้นต่อ พล.ต.ต.สุรชัย ควรเดชะคุปต์ ผบก.ปปป.ทราบ ก่อนได้คำสั่งให้เร่งสืบสวนจับกุม เมื่อนายเจริญนำเงินสด พร้อมซองเอกสารสีน้ำตาลที่บรรจุเงินสดไว้ถ่ายสำเนาทั้งหมดแล้วตำรวจนำไปจดในบันทึกประจำวัน ก่อนเดินทางไปที่สำนักงานเทศบาลเมืองคูคต หลังจากนั้นให้นายเจริญเข้าไปพบนายเมธาในห้องทำงาน พร้อมยื่นซองบรรจุเงินให้แก่นายเมธา แล้วนายเมธาก็นำเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานด้านขวา พ.ต.อ.วีระพันธ์จึงเข้าแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงาน พร้อมทั้งแจ้งให้ทราบว่า
นายเจริญแจ้งความร้องทุกข์กล่าวหาว่า นายเมธาเรียกรับผลประโยชน์
จากตัวอย่างที่เป็นเรื่องจริง ตามข่าวที่ลอกมานี้ ผมขอเล่าย้อนสักนิด เพื่อให้ท่านผู้อ่านทราบเกี่ยวกับหน่วยตำรวจ ที่ทำการจับกุมคดีดังไปทั่วประเทศ แบบคาหนังคาเขา ดังต่อไปนี้

ก่อนที่จะมีคณะกรรมการ ป.ป.ช.นั้น เดิมการสอบสวนคดีทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการนั้น “ตำรวจ” เป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวน และหน่วยที่รับผิดชอบในการดำเนินการ เพื่อต่อสู้กับปัญหาการทุจริตของชาตินั้น คือ
กองกำกับการที่ 6 กองบังคับการกองปราบปราม ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางอีกชั้นหนึ่ง
หน่วยงานที่มีหน้าที่ ปราบปรามคอรัปชั่น!
ใครเป็นนายตำรวจสมัยนั้น ก็ไม่อยากไปอยู่กองกำกับการนี้ เพราะไม่มีผลประโยชน์ หรือรายได้ทางอื่น นอกเหนือจากเงินเดือน และเบี้ยเลี้ยงที่จะได้รับ ก๋ต่อเมื่อออกจากที่ตั้งไปทำการสอบสวนในต่างจังหวัด
นายตำรวจส่วนใหญ่ของหน่วยนี้ จะต้องดำรงชีวิตเรียบง่าย เพราะจะถูกจับตาจากผู้บังคับบัญชา ที่ห่วงใยในเรื่อง “คอรัปชั่นซ้อน” แต่ก็มีนายตำรวจลูกหม้อจากกองกำกับการนี้ ชื่อ พล.ต.ต.สงวน คล่องใจ สามารถตีแหวกขึ้นมา ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบปรามได้
เป็นที่ฮือฮากันมาก!

ความซื่อสัตย์ของผู้การสงวนฯ เป็นที่เลื่องลือนัก เพราะท่านมีชีวิตที่เรียบง่าย ปกติแล้วจะรับประทานอาหารในที่ทำงาน โดยมักกินข้าวต้มกับถั่วลิสงคั่ว ทั้งมื้อกลางวันและเย็น จนเป็นที่ชินตาของลูกน้อง
ท่านเป็นคนร่างผอมสูง ถึงแม้จะเป็นผู้บังคับการแล้ว ก็สามารถใส่เสื้อผ้าสมัยเป็นนักเรียนนายร้อยได้ เพราะรูปร่างไม่เปลี่ยนแปลง สามารถรักษาน้ำหนัก ไว้คงเส้นคงวาได้ดีที่เดียว
วันหนึ่ง ท่านนั่งทำงานกลางดึกในกองปราบปราม สามยอด แล้วเป็นลมล้มตึงจากเก้าอี้ ลูกน้องต้องนำส่งโพงพยาบาล
ผลการวินิจฉัย แพทย์บอกว่า ท่านเป็น...
“โรคขาดอาหาร!”
จึงเป็นที่กล่าวขานกันนักว่า คนที่เป็น “ผู้บังคับการกองปราบปราม” เป็นโรคขาดอาหารอย่างไรกัน ไม่น่าเป็นไปได้
แต่ก็เป็นไปแล้ว!!

ที่เล่ามานี้ ก็เพื่อแสดงของผู้ที่ทุ่มเทชีวิตจิตใจในการสอบสวนคดีทุจริตของประเทศ ดำรงชีวิตเรียบง่าย ต้องทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ แต่วันเวลาเปลี่ยนไป นักการเมืองตั้งหน่วยงานใหม่ มารับโอนเอางานสอบสวนคดีลักษณะนี้ไป แต่กลับทำให้การสอบสวนปราบปรามคอรัปชั่น
ด้อยประสิทธิภาพลง อย่างน่าใจหาย!
เมื่อต้องโอนงานสอบสวนให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นั้น ตำรวจมีสำนวนการสอบสวนอยู่ระหว่างการดำเนินการเพียง 300 คดี และคดีระหว่างการสืบสวนประมาณ 600 คดี รวมกันไม่ถึง 1,000 เรื่อง
สำนวนการสอบสวนตำรวจ ไม่มีเรื่องเสียหาย และอนุกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ที่มารับมอบสำนวนการสอบสวนในครั้งนั้น ก็เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งต่อมาก็ได้รับการคัดเลือกจากวุฒิสภา ให้เป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. และได้รับการลงคะแนนเสียงจากคณะกรรมการ ให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช.อีกด้วย
หลังจากโอนงานสอบสวนไปยัง ป.ป.ช.แล้ว ตำรวจยังมีหน่วยสอบสวนคดีทุจริต โดยมีข้อจำกัด เพราะสอบสวนได้โดยมีกำหนด 30 วัน แล้วต้องส่งสำนวนการสอบสวนให้ ป.ป.ช. หน่วยงานนี้มีชื่อ เรียกว่า
กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ป.ป.ป.)
หน่วยตำรวจที่ทำการจับกุมตัว นายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองคูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี นั่นแหละครับ!

การสอบสวนที่อยู่กับตำรวจนั้น ไม่เคยคั่งค้าง จนได้รับความเสียหาย เพราะมีการกำกับดูแลตามลำดับชั้นเป็นอย่างดี มีการตรวจสอบสำนวนค้างเป็นรายสัปดาห์ และรายเดือน แต่เมื่อโอนงานมาอยู่กับ คณะกรรมการ ป.ป.ช.เพียงไม่กี่ปี กลับมีเรื่องคั่งค้างแบบดินพอกหางหมู อย่างน่าตกใจถึงกว่า 1 หมื่นเรื่อง
ทั้งนี้ เพราะกระบวนการสอบสวนของ ป.ป.ช. เป็นไปอย่างเยิ่นเย้อ ยืดยาด อีกทั้งเมื่อเริ่มตั้ง ป.ป.ช. คณะกรรมการก็ประชุมกันสัปดาห์ละครั้งเดียวเท่านั้น จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการ ก็มาเพิ่มเป็น 2 ครั้ง แต่ก็ยังไม่ทันการต่อสำนวนการสอบสวน ที่คั่งค้างมากมายขนาดนั้น
นี่ขนาดเพิ่งตัดโอนคดีทุจริต ของข้าราชการระดับ ซี 8 ลงไป ให้กับ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท) ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่ของกระทรวงยุติธรรม แต่ถึงกระนั้น เรื่องก็ยังคั่งค้างอยู่ที่สำนักงาน ป.ป.ช. อีกครึ่งค่อนหมื่น

ารสอบสวนคดีต่างๆของ ป.ป.ช. เป็นไปอย่างล่าช้า ยกตัวอย่าง เช่น
คดีของอดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งผู้ร่วมกระทำความผิดในฟากสหรัฐ รับโทษจำคุกไปเรียบร้อยแล้ว แต่ของเรายังเพิ่งเริ่ม และไม่รู้อนาคตด้วยว่า
จะต้องใช้เวลาไปอีกกี่ปี หรือกี่ชาติ!?
ถ้าตำรวจยังสอบสวนอยู่ ป่านนี้อดีตผู้ว่าการท่องเที่ยว ถูก รวบตัวและฟ้องร้องไปนานแล้ว
เช่นเดียวกับคดีนายอภิรักษ์ฯ อดีตผู้ว่า กทม. ป่านนี้จะต้องถูกจับกุม หรือศาลอาจพิพากษาเรียบร้อยไปแล้วก็ได้ เพราะเวลาผ่านไปหลายปีดีดักแล้ว!

ที่น่าเกลียดน่าชังมากคือ คดีที่เข้ามาสู่ ป.ป.ช.นั้น หากเป็นคดีการเมือง หรือฝ่ายตรงข้ามกับพรรคประชาธิเปรต คือพรรคพวกทักษิณ เป็นผู้ถูกกล่าวหา อย่างเช่นคดี พันตำรวจเอก ธนายุตม์ วุฒิจรัสธรงค์ (ฤทธิรงค์ เทพจันดา) หรือ “โอ๋ สืบหก” ก็จะถูกหยิบยกมาสอบสวนอย่างรวดเร็ว โดยนำมาพิจารณาก่อนเรื่องอื่นที่เข้าคิวรออยู่ก่อนหน้าเกือบหมื่นเรื่อง
อย่างนี้มันก็ทำกัน!
เดชะบุญที่ลงท้าย คณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยเฉพาะนายวิชา มหาคุณ ประธานอนุกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ กลับต้องฝ่ายเสียหน้าอย่างแรง เพราะนายตำรวจผู้นี้ ก็สามารถกลับมารับราชการได้ตามเดิม ตามคำสั่งคำพิพากษาของศาลปกครองเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ 332/2550 คดีหมายเลขแดงที่ 203/2551
(ดูคอลัมน์ ป.ป.ช. องค์กร ‘กบโปร่งใส’ หรือ ‘คางคกหนังหนา’ !!!?
http://vattavan.com/detail.php?cont_id=154)
เฉกเช่นเดียวกับคดีของ นายตำรวจอย่าง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ซึ่งมีนายอภิแสบ ภักดีโพเดียม หรือนายมาร์ค มุกควาย เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษเอง ซึ่งคณะกรรมการป.ป.ช. ชุดนี้ รีบเร่งหยิบยกมาสอบสวนดำเนินการก่อน ทำให้ผู้คนก็มองออกว่า
กรรมการคณะนี้ ทำลงไปเพื่อสนองความต้องการของฝ่ายพันธมาร และพรรคประชาธิเปรตเท่านั้น
หรือใครเถียงว่าไม่จริง!?

ที่รับกันไม่ได้ คือ
นายตำรวจอย่าง พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ อดีตผู้บังคับการอุดรธานี ที่ถวายอารักขาพระบรมวงศานุวงศ์อยู่แท้ๆ ซึ่งมีกรมวังผู้ใหญ่ให้การเป็นพยานด้วย แต่กลับถูกกล่าวหาว่า
ละทิ้งหน้าที่ เพราะไม่ไปดูแลพวกพันธมาร...เท่านั้น!
มันเห็นไอ้พวกนี้ สำคัญกว่าเรื่องเจ้านายหรือไง ก็ไม่ทราบ?
อย่างไรก็ตาม นายตำรวจเหล่านี้ ซึ่งทำงานเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินมาตลอด ก็ ‘พ้นพงหนาม’ ชีวิตไปได้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งตั้งแต่เกิดเรื่อง ผมได้เขียนบทความถล่มไอ้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดนี้อย่างไม่มีความเกรงอกเกรงใจ ทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์ และเว็บไซด์ของตัวเอง (ดูบทความ สุดกังขา…นายวิชา มหาคุณ!!!
http://vattavan.com/detail.php?cont_id=146)
ทั้งนี้ เพราะผมเห็นว่าคณะกรรมการโลซก ไม่ตรงไปตรงมา เพราะถ้าเป็นคดีของฝ่ายพรรคประชาธิเปรต ไอ้กรรมการชุดนี้ มันจะเร่งดำเนินการนัก แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้กล่าวหาบ้าง พวกมันกลับดำเนินการอย่างล่าช้า?
ยิ่งไปกว่านั้น...
คดีที่นักการเมืองพรรคร่วมรัฐบาล เป็นผู้ถูกกล่าวหา เช่น คดีทุจริตทางด่วน คดีทุจริตคดีทุจริตโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ก็จวนขาดอายุความ หรือข้อหาเล็กๆ อาจขาดไปแล้ว
คดีหลังนี่ นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช.ผู้รับผิดชอบออกมาให้ข่าวยืนยัน เมื่อ 22 ต.ค.2553 ว่า
จะเสร็จสิ้นภายในปีที่ผ่านมา
แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เสร็จตามคำแถลง แถมยังมีข่าว ซึ่งไม่ทราบว่านายวิชัยฯ รู้หรือเปล่าว่าการพยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่ ให้หน่วงเหนี่ยว หรือชะลอเรื่องเอาไว้

หึ่งออกมาอีก!

ที่ผมเห็นว่าเป็นความ “ระยำสุดๆ” คือ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้ ปล่อยให้คดีใหญ่มาก อย่างคดีธนาคารอาคารสงเคราะห์ขาดอายุความ ซึ่งผมได้เรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติ พิจารณาถอดถอนคณะกรรมการดังกล่าว ออกจากตำแหน่งเสียทั้งหมด (เว้นแต่ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาใหม่) เพราะถือว่า
กรรมการชุดนี้ ขาดสมรรถภาพ ในการเป็นเจ้าหน้าที่สำคัญของรัฐ อีกทั้งยังได้กระทำความผิดอาญาอีกด้วย
ผมจะไม่เล่าซ้ำ เพราะขนาดเขียนด่าว่า เป็นคณะกรรมการ “โลซก”
ไอ้พวกนี้ มันยัง ‘หน้าด้าน’ อยู่กันได้!
(กรณาดูบทความที่เกี่ยวข้องประกอบ “ซุปเปอร์...จังไร”
http://vattavan.com/detail.php?cont_id=246
ป.ป.ช.โลซก! (ไม่มีปัญญาจัดการ กะอีแค่ ‘คดีดินสอหนีบตูด’!!) http://vattavan.com/detail.php?cont_id=247)

content/picdata/273/data/cover.jpg

ากผมเป็นรัฐบาลในตอนนี้ จะต้องให้ตำรวจกลับมามีบทบาทสอบสวนคดีทุจริต เพราะในขณะนี้การสอบสวนคดีลักษณะดังกล่าว กำลังเสียหายอย่างร้ายแรง และตั้งแต่พรรคประชาธิเปรตวิ่งราวอำนาจมาได้ การทุจริตของรัฐบาล ก็เริ่มอย่างฉับพลันทันที และกระจายไปในแทบทุกกระทรวงทบวงกรม อย่างที่ผมบรรยายเอาไว้ ในข้อเขียนหลายต่อหลายตอน
แม้มันยากที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในเรื่องการสอบสวนคดีทุจริต เพราะดันไปถวายอำนาจ ให้ไอ้องค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. ซึ่งพวกมันได้ก่อความเสียหายร้ายแรง ชนิดอัปรีย์ต้องเรียก “พี่”
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำให้ “ตำรวจ” กลับมาสอบสวนคดีประเภทนี้อีกให้ได้!
ต้องขอให้ฝ่ายนิติบัญญัติ นักกฎหมาย และนักวิชาการ ทั้งหลาย จงช่วยกันตรองดู แล้วท่านจะเห็นจริงตามที่ผมแนะนำ

มื่อตอนเรียนกฎหมายใหม่ๆ ได้รับการสั่งสอนการดำเนินคดีหรือตัดสินคดีความต่างๆ จะต้องเป็นไปด้วยความรวดเร็ว และมีภาษิตกฎหมาย ที่ดูเหมือนจะกลายเป็น Cliché ไปแล้ว เพราะว่าได้ยินกันซ้ำๆซากๆ ว่า
"Justice delay is Justice Deny"
หรือความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม เป็นการปฏิเสธความยุติธรรม แต่ไอ้ คณะป.ป.ช.ที่ผมเห็นว่าเลวร้ายชุดนี้ นั่นมันไม่ได้แค่ล่าช้านะ เพราะมันปล่อยคดีขาดอายุความไปเฉยๆเลย ซึ่งเป็นเหตุให้รัฐเสียหาย ทำให้คนผิดยังลำพอง และเสวยสุขจากเงินที่เอาไปจากพี่น้องประชาชน
แล้วอย่างนี้ ประชาชนอย่างพวกเรา จะไปไว้ใจไอ้พวกเวรนี่ ให้มันทำหน้าที่ต่อไป...ได้อย่างไรกัน?

ผมเคยเรียกร้อง ให้บรรดาผู้แทนราษฎร วุฒิสมาชิกทั้งหลาย ช่วยกันลงนาม ในหนังสือยื่นรายชื่อถอดถอน ไอ้คณะกรรมการ ป.ป.ช. หอกหักหนักแผ่นดินชุดนี้ ให้พ้นจากหน้าที่ไปเสียโดยเร็ว พร้อมกับส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง
ให้ดำเนินคดีกับ ไอ้พวกโลซกนี้ โดยด่วนด้วย!

มาถึงวันนี้ แม้จะยังไม่มีการเคลื่อนไหว เพื่อถอดถอนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดที่ “ไอ้บัง กบฏ” มันแต่งตั้งนี้ก็ตาม แต่การที่พวกมัน ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในตำแหน่งนั้น ผมจึงต้องขอตะโกน บอกพี่น้องว่า...

“พวกมันหน้าด้าน...ชิบหายเลย!!”

**********

(คอลัมน์ การสอบสวนคดีทุจริต...ประสิทธิภาพที่ต่ำทราม! ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 15 มกราคม พ.ศ.2554)

พระคุณ ครู

ที่มา thaifreenews

โดย Maquid

16 มค. "วันครู" อุทิศบุญกุศล แด่ คุณครู

พระคุณครู
http://www.youtube.com/watch?v=lHiZ0eisc7E&feature=player_embedded#!

ตามรอยไม้เรียว
http://www.youtube.com/watch?v=wX0bfymJMj0&feature=related

พระคุณ ครู

“ปาเจราจริยาโหนฺติ คุณุตฺตรานุสาสกา ปญฺญาวุฑฺฒิกเร เต เต ทินฺโนวาเท นมามิหํ”

เด็กไทยที่ผ่านการศึกษาตามหลักสูตรจะจำ “บทสวดเคารพครู” เนื่องในวันครูได้ดี ซึ่งวันที่ 16 มกราคมของทุกปีถือเป็น “วันครูแห่งชาติ”

แม้เด็กนักเรียนวันนี้จะเข้าใจความหมาย “วันครู” น้อยลง ขณะที่ “ครู” ก็อาจไม่สนใจกับ “วันครู” เช่นกัน แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าครูในความรู้สึกของคนไทยนั้นเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่ 2 ของลูกหลาน เพราะครูคือผู้อบรมสั่งสอน ถ่ายทอดความรู้ และสร้างภูมิปัญญา เพื่อให้ลูกศิษย์เป็นคนดีและมีความรู้ความสามารถ

ครูจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งกับสังคม แม้วันนี้ครูจะมีความใกล้ชิดกับลูกศิษย์น้อยกว่าในอดีต แต่ครูยังเป็นผู้มีพระคุณอันสูงสุดกับลูกศิษย์ เพราะเป็นผู้ให้ทั้งความรัก ความเมตตา ความห่วงใย และความเสียสละ ไม่ใช่ทำหน้าที่แค่เป็นลูกจ้างหรือข้าราชการที่รับเงินเดือนเป็นค่าตอบแทนไปวันๆ

แม้ครูไทยจะมีปัญหามากมายจนถือว่าอยู่ในขั้น “วิกฤต” แต่ครูส่วนใหญ่ก็ยังทำหน้าที่อย่างไม่ท้อแท้ ทั้งที่ครูประสบปัญหาสารพัด ไม่ใช่แค่เรื่องรายได้ที่ไม่เพียงพอกับภาวะค่าครองชีพเท่านั้น แต่ปัญหาสำคัญคือนโยบายการศึกษาในทุกระดับยังเหมือนยืนตายซาก

เพราะที่ผ่านมาการปฏิรูปการศึกษาเป็นแค่เศษกระดาษหรือนโยบายที่สวยหรู และไม่มีรัฐบาลใดเลยที่สามารถปฏิรูปการศึกษาได้อย่างที่แถลง ระบบการศึกษาไทยจึงวิกฤตมาจนทุกวันนี้ ขณะที่ครูในฐานะผู้สอนและใกล้ชิดที่สุดกับลูกศิษย์ก็ต้องประสบปัญหาทั้งในระบบการศึกษาและระบบการบริหารภายในที่เหมือนหัวมังกุท้ายมังกร

แต่ไม่ว่าระบบการศึกษาจะวิกฤตและมีปัญหาอย่างไร ครูก็ยังเป็นครูที่ต้องให้การอบรมสั่งสอนและถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกศิษย์เหมือนลูกหลานของตัวเอง

ครูจึงเป็นปูชนียบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในทุกสังคม เพราะครูคือบุคคลแรกที่จะสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ

ครูจึงไม่ได้ให้การศึกษาแค่ด้านวิชาการ แต่ยังต้องมีความเสียสละในการดูแลอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ เพื่อให้ลูกศิษย์ได้แสงสว่างแห่งปัญญาและเป็นคนดีของสังคม

วันที่ 16 มกราคมของทุกปีจึงไม่ใช่แค่เด็กจะต้องระลึกถึงพระคุณของครูเท่านั้น แต่ทุกคนในสังคมควรระลึกถึงพระคุณครูที่ต้องทำงานด้วยความเสียสละ เพื่อทำให้คนในสังคมเป็นคนดีและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่ใช่เก่งแต่โกงหรือเก่งแต่ชั่ว

โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

"ผบช.น."กาวใจ"เสื้อแดง-กลุ่มราชประสงค์" เดือด"จตุพร"ฉุน"ชาย"ผลัก"เสื้อแดง"เป็นผู้ร้าย

ที่มา มติชน

เมื่อวันที่ 14 มกราคม ที่ห้องประชุมปารุสกวัน 2 กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พร้อมคณะเป็นตัวกลางเจรจาระหว่างแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นำโดยนางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) กับตัวแทนผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ เพื่อทำความเข้าใจกรณีผู้ประกอบการได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง โดยนายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจย่านราชประสงค์ กล่าวว่า ผู้ประกอบการอยากสร้างความเข้าใจว่า 1.ไม่เคยต่อต้านหรือขัดขวางอุดมการณ์คนเสื้อแดง 2.ไม่ได้สนับสนุนพรรคการเมืองใดและไม่เป็นเครื่องมือทางการเมือง 3.ไม่ต่อต้านการชุมนุม และ 4.เป็นห่วงการชุมนุมทั้งประเทศ ไม่ใช่เฉพาะที่ราชประสงค์

ด้านนายจตุพรกล่าวว่า การไปพบนายกรัฐมนตรี เหมือนผลักไสให้คนเสื้อแดงเป็นผู้ร้าย เหมือนผู้ประกอบการใส่ชุดขาวไปล้างถนน คนเสื้อแดงไม่ใช่ชุมนุมแล้วไปปล้นสะดม จุดการชุมนุมเป็นการย้อนประวัติศาสตร์ จุดเทียนแล้วก็แยกย้ายกัน ต้องมาช่วยจัดการอำนวยความสะดวก ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันฉันมิตร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเจรจาผ่านไป 30 นาที ทั้งสองฝ่ายเริ่มมีอารมณ์ใส่กัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเชิญสื่อมวลชนออกห้องประชุม จากนั้น พล.ต.ท.จักรทิพย์กล่าวภายหลังการเจรจาว่า การหารือเป็นไปในทิศทางที่ดี การชุมนุมครั้งต่อไปในวันที่ 23 มกราคมนี้ จะลดความเดือดร้อนของประชาชนให้น้อยลง ฝ่ายเสื้อแดงยืนยันว่าจะชุมนุมต่อไป 2 ครั้งต่อเดือน ส่วนผู้ค้าก็พอใจระดับหนึ่ง โดยจะนัดพูดคุยกันก่อนในวันที่ 20 มกราคม

นายชายกล่าวว่า พอใจการเจรจาครั้งนี้ แต่ต้องดูในวันที่ 23 มกราคม เรื่องการจัดการ หลังจากนั้นค่อยคุยกันต่อไป ด้านนางธิดากล่าวว่า วันที่ 23 มกราคม คนเสื้อแดงนัดหมายเวลา 13.00 น.ที่ราชประสงค์ และเคลื่อนขบวนเวลา 15.00 น.ไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยอยู่ที่ราชประสงค์แค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น

ล้มฉุกเฉิน

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน

มันฯ มือเสือ




การเมืองตอนนี้มี 2-3 เรื่องใหญ่ให้ติดตามกันชนิดห้ามกะพริบตา

ประกอบด้วยเรื่องไทย-กัมพูชา การแก้ไขรัฐธรรม นูญ และกรณี 91 ศพเหยื่อพฤษภาཱ

ถ้ารัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคลียร์ไม่ได้หรือประมาทไม่ยอมหาข้อยุติที่ชัดเจนให้ได้โดยเร็ว

ลำพังแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งก็อาจทำให้รัฐบาลล้มทั้งยืน

อย่างกรณี 91 ศพ 8 เดือนผ่านไป 'ความจริง' เริ่มปรากฏชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อพฤหัสฯ ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนดีเอสไอเข้าให้ข้อมูลต่อกรรมาธิการของวุฒิสภา ระบุในจำนวน 91 ศพ มีอยู่ 13 ศพ

เชื่อได้ว่าเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ

ก่อนหน้านี้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ เคยนำสำนวนการสอบสวนออกมาเปิดเผยแล้วครั้งหนึ่ง แต่เพราะเป็นนายจตุพร ฝ่ายรัฐบาลก็เลยบิดพลิ้วได้

แต่พอเรื่องเดียวกันออกจากปากคนดีเอสไอ ก็ต้องรอดูกันว่ารัฐบาลจะหาทางตะแบงเอาตัวรอดได้อีกหรือไม่

ในจังหวะที่ศึกในกำลังกระเพื่อมหนัก

พรรคร่วมรัฐบาลจับมือกัน'กระชับวงล้อม'แก้ไขรัฐธรรมนูญ ผลักดันสูตรส.ส. 400+100 ขึ้นประชันกับสูตร 375+125 แบบไม่เกรงใจพรรคแกนนำ

จนเป็นเหตุให้มีการปล่อยข่าวข่มขู่กันกลายๆ

ว่าท้ายสุดถ้าเกมนี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ชนะ นายกฯอภิสิทธิ์ อาจตัดสินใจ'ยุบสภา' เพื่อคงสถานะความได้เปรียบของพรรคตนเองไว้ในการลงสู่สนามเลือกตั้ง

เรื่องสุดท้ายกรณี 7 คนไทย ถูกกัมพูชาจับตัวขึ้นศาลกรุงพนมเปญในข้อหารุกล้ำเขตแดน

หนำซ้ำคนของกลุ่มพันธมิตรฯ นายวีระ สมความคิด ยังถูกตั้งข้อหาจารกรรมเพิ่มอีกกระทง ในขณะที่ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ คนของพรรคประชาธิปัตย์ได้รับการประกันตัว

สองมาตรฐานที่กัมพูชาจัดให้

เป็นเหตุให้ 'กองทัพธรรม' ขุมกำลังใหญ่ของพันธมิตรฯ โผล่ออกมาจนได้

บรรดาสาวก 'พ่อท่าน' ยกพลออกมาล้อมทำเนียบรัฐบาล

ประกาศยกระดับการเคลื่อนไหวขับไล่นายกฯ อภิสิทธิ์ และนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ

ด้านสถานการณ์แนวชายแดน กลุ่มชาวบ้านก็ตั้งท่าพร้อมตะลุมบอนกับกลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติที่เข้ามาจุดชนวนก่อความเดือดร้อนถึงถิ่น

เงื่อนไขต่างๆ ใกล้สุกงอมเต็มที

ปลายปีที่แล้วรัฐบาลได้ฉายา' รอดฉุกเฉิน'

ขึ้นปีใหม่ไม่ทันไรหลายเรื่องรุมจนทำท่าจะ'ล้มฉุกเฉิน'ซะแล้ว

โอบามาร์ค

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม

สับไก กระสุนธรรม




เหตุการณ์หนุ่มอเมริกันบุกยิงส.ส.หญิงที่เป็นข่าวใหญ่ตลอดสัปดาห์นี้ สะท้อนว่า สังคมอเมริกันก็แบ่งขั้วเหมือนกัน

ถึงจะไม่ใช้ 'สี' เป็นสัญลักษณ์แบบของไทย แต่ขั้วการเมืองซ้าย-ขวาแบ่งชัดเจน

เป็นบรรยากาศที่ลากยาวมาตั้งแต่สงครามต่อต้านการก่อการร้ายปี 2544 ที่รัฐบาล (จอร์จ ดับเบิลยู. บุช) ในตอนนั้นปลุกกระแส "รักชาติ" ขึ้นมา

ชัยชนะของ บารัก โอบามา ในศึกประธานาธิบดีเมื่อปี 2551 ทำให้ฝ่ายขวา-อนุรักษ นิยม ไม่แฮปปี้

ประเด็นการใช้วาทะ-โวหารปลุกระดมทางการเมืองโหมจึงร้อนแรงขึ้นมาเรื่อยๆ

แม้การสอบสวนคดียิงส.ส.หญิง เกเบรียล กิฟ ฟอร์ดส์ ยังไม่สรุปว่า เชื่อมโยงกับบรรยากาศทางการเมืองที่ปลุกเร้ามือปืนหนุ่มวัย 22 ปี ให้ก่อเหตุมากน้อยแค่ไหน แต่ชาวอเมริกันจำเป็นต้องถกเถียงเรื่องนี้

ไม่ใช่วัวหายล้อมคอก แต่ต้องเรียนรู้เพื่อเข้าใจสังคมให้เป็นแนวทางแก้ไขปัญหา

เรื่องที่น่าติดตามคือประเทศประชาธิปไตยแบบสหรัฐจะเยียวยาอาการ 'แตกขั้ว-แบ่งแยก' นี้อย่างไร

บิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดี สนับสนุนว่า ความแตกต่างทางการเมืองไม่ควรเดินไปสู่การสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย

โดยเฉพาะในยุคที่อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อปลุกเร้าบรรยากาศให้ลุกลามได้รวดเร็ว

ส่วนท่าทีของระดับผู้นำคนปัจจุบัน บารัก โอบามา ไม่ตอกย้ำซ้ำแผลเดิม เพราะอยู่ในฐานะ 'หัว หน้าทีมเยียวยา'

ในขณะที่กลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวากล่าวโทษกันว่า ปลุกเร้าการเผชิญหน้าและเกลียดชัง โอบามาไม่ตำหนิว่าเป็นความผิดของฝ่ายไหน

แต่โอบามาไม่ถล่มซ้ำฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม ไม่มัวแต่ด่าคนร้าย

ทว่ากล่าวไว้อาลัยให้กับ'คนตาย' ก่อน

ตามด้วยวาทะ "ผมเชื่อว่าเราจะต้องดีขึ้น" ซึ่งเป็นการสร้างอารมณ์ร่วมของชาวอเมริกันโดยรวม

นอกจากนี้ ยังเลือกมุมมองที่ให้กำลังใจในเหตุการณ์ เช่น พลเมืองที่ช่วยกันระงับเหตุ ไม่ให้มือปืนยิงคนตายไปมากกว่านี้

เป็นการมองความหวังจากโศกนาฏกรรมที่ผ่านมา

'โอบามา'แสดงให้เห็นถึงภาวะผู้นำแล้ว 'โอบามาร์ค' น่าจะศึกษาดูบ้าง

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย วันที่ 15/01/54

ที่มา thaifreenews

โดย blablabla




นับว่ายัง โชคดี มีชีวิต
ตะโกนฟ้อง ตามสิทธิ์ พึงคิดได้
“ผมถูกยัด ข้อหา” ก็ว่าไป
น้ำตาไหล กู่ก้อง ร้องตะโกน....

ความชั่วช้า สามานย์ ประจานไว้
ปากจัญไร หลายหลาก มีมากล้น
ทั้งคนสั่ง คนทำ ระยำตน
เลวมากจน ไม่กล้า สาธยาย....

จึงเห็นความ แตกต่าง ระหว่างทุกข์
สิ่งผิดถูก ตามย่ำยี ไม่หนีหาย
แต่อีกฝั่ง ทุกข์ทน จนต้องตาย
ถูกใส่ร้าย ยัดข้อหา มานานวัน....

อยากตะโกน ออกไป ให้รู้บ้าง
ว่าเส้นทาง ชีวิต ลิขิตนั้น
ต่างอยากได้ ความจริง สิ่งเหมือนกัน
มิใช่กั้น ไพร่ฟ้า ประชาชน....

เมื่อเวรกรรม ตามไล่ ไม่หยุดหย่อน
ได้ยอกย้อน กลับไป ให้สับสน
จึงร้อนรุ่ม กลุ้มใจ ในบันดล
สนองคน อัปรีย์ ให้มีภัย....

๓ บลา / ๑๕ ม.ค.๕๔


บันทึกการเข้า

คนดีที่เห็นแก่ตัว คือคนชั่วของแผ่นดิน

บทความข่าวสด ตอก“พ่อค้าราชประสงค์”ไม่เห็นแก่ชีวิตคน ไล่ไปทวงความรับผิดชอบจากรัฐ

ที่มา thaifreenews

โดย lovethai

ไม่เห็นแก่ชีวิต


คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม

โดย เภรี กุลาธรรม


นายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบการวิสาหกิจราชประสงค์ นำพนักงานและผู้ประกอบการออกมาชุมนุมเคลื่อนไหว เรียกร้องให้รัฐบาลออกกฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะโดยเร็ว

นอกจากนี้ ยังเรียกร้องไม่ให้ใช้พื้นที่ราชประสงค์ในการชุมนุม

นายชายยังอ้างว่าการชุมนุมเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 ทำให้ผู้ประกอบการย่านราชประสงค์จำนวน 2,088 รายเสียหาย

คิดเป็นเงิน 11,275 ล้านบาท กระทบต่อความมั่นคงในอาชีพของพนักงานในธุรกิจจำนวน 30,661 คน

พร้อมกับออกแถลงการณ์ว่าการชุมนุมกันอย่างเรื้อรังต่อไปเดือนละ 1-2 ครั้ง ส่งผลโดยตรงต่อผู้ประกอบการ

กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว สูญเสียรายได้ การจราจรมีปัญหา และเกิดความไม่มั่นคงในอาชีพของผู้ประกบอการ

น่าสลดใจก็คือ แถลงการณ์และข้อเรียกร้องของนักธุรกิจกลุ่มนี้ ไม่มีข้อใดเลยที่แสดงความห่วงใยและเห็นใจต่อผู้สูญเสียและผู้ได้รับบาดเจ็บ

หรือเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม

ทั้งๆ ที่ความจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีผู้ตายกว่า 91 ศพ บาดเจ็บอีกกว่า 2 พันชีวิต

โดยเฉพาะที่ราชประสงค์นั้น เป็นพื้นที่ที่มีการสั่งใช้กำลังความรุนแรงจากรัฐบาล

มีคนตายและได้รับบาดเจ็บ

เป็นที่รับรู้ไปทั่วโลก

การออกมาชุมนุมและทวงถามความรับผิดชอบของผู้คนนับหมื่นๆ ก็เพื่อทวงถามความรับผิดชอบ

ทวงความยุติธรรมให้ผู้ตายและผู้ได้รับบาดเจ็บ

ถ้าไม่ชุมนุมที่ราชประสงค์แล้วจะให้ไปชุมนุมที่ไหน

ราชประสงค์ในปัจจุบัน จึงเป็นพื้นที่ทางการเมืองโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ตั้งแต่มีการปราบปรามประชาชน

ท่าทีของนักธุรกิจกลุ่มนี้ จึงเป็นการมองเฉพาะด้านมากเกินไป ยิ่งพูดแต่ตัวเลขธุรกิจ โดยมองข้ามชีวิตคนตาย ยิ่งดูแห้งแล้งไร้หัวจิตหัวใจ

อันที่จริงชาวราชประสงค์ต้องช่วยกันจี้รัฐบาลให้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้มากกว่า

อย่ารำคาญแต่การชุมนุมของชาวบ้าน ต้องมองไปที่ต้นตอปัญหาคือผู้มีอำนาจไม่ยอมรับผิดชอบ

ถ้ามีความเป็นธรรมเมื่อไร การชุมนุมที่ราชประสงค์ย่อมไม่ต้องมีอีกแน่นอน


(ที่มา ข่าวสดรายวัน , 13 มกราคม 2554)

เสร็จนา..ฆ่าโคถึก

ที่มา thaifreenews

โดย bozo



“ผมต้องพูดแรงนิดหนึ่ง
ผมว่ากระทรวงการต่างประเทศคือกระทรวงขายชาติ ทุกวันนี้
คุณกษิต ภิรมย์ นี่ผมผิดหวังในตัวคุณกษิตมาก
คุณกษิต ภิรมย์ กับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ
รู้เห็นเป็นใจกันทุกเรื่อง
คุณกษิต ภิรมย์ ฉกฉวยโอกาสในช่วงของการชุมนุมพันธมิตรฯไปสร้างชื่อตัวเอง
สมัยคุณกษิต ภิรมย์ อยู่ก็ขึ้นเวทีด่าเขมร อย่างโน้นด่าเขมรอย่างนี้
วันนี้คุณกษิต ภิรมย์ ออกมาพูดในเรื่องนี้เป็นการปกป้องเขมรหมด”

นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
แสดงความไม่พอใจอย่างมากกับท่าทีของรัฐบาลและกองทัพ
ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ทางเอเอสทีวีเมื่อวันศุกร์ที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา
กรณีกัมพูชาจับ 7 คนไทย
ที่มีนายวีระ สมความคิด กับนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพฯ
พรรคประชาธิปัตย์ รวมอยู่ด้วย แต่ท่าทีของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
โดยเฉพาะนายวีระ สมความคิด กับนางราตรี ไพรพัฒนไพบูลย์ ถูกตั้งข้อหาเพิ่มว่า
พยายามประมวลข่าวสารซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการป้องกันประเทศ
ตามมาตรา 27 และมาตรา 446 ของกฎหมายกัมพูชา

“เป็นเรื่องที่เจ็บช้ำน้ำใจที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา เจ็บช้ำน้ำใจตรงไหนรู้ไหม
ตรงที่ว่าพอมีเรื่องแล้วรัฐบาลไทย ทหารไทย ข้าราชการไทย
นักการเมืองไทยไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีศักดิ์ศรี เหมือนกับว่า
เรายอมเขมรมันหมดทุกเรื่อง แล้วเขมรคือใคร ไอ้ประเทศซึ่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มัน
จนทุกวันนี้มันยังไม่สามารถจะหาธรรมาภิบาลในประเทศชาติของมันได้เลย”

นายสนธิยังถามว่า นายอภิสิทธิ์และ พล.อ.ประวิตรมีหัวใจเป็นคนไทยหรือเปล่า

“การที่เขมรจะเอาคนทีมคุณวีระ คุณพนิชไปขึ้นศาล
ถ้านายกรัฐมนตรีมีความเป็นลูกผู้ชายแล้วกล้าปกป้องประเทศไทย
ถ้า พล.อ.ประวิตรเป็นอดีตทหารเสือราชินี เป็นทหารจริงๆ มีจิตใจเป็นทหาร
ถ้านายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง เป็นคนไทยจริงๆ
ต้องประกาศให้ชัดเจนว่าคุณเอา 7 คนไปขึ้นศาลไม่ได้ เพราะนี่ดินแดนไทย
ต้องปล่อยออกมาเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณไม่ปล่อยมีเรื่องกับเราทันที
เพราะนี่พื้นที่เรา บ้านเราเขาทำตรงกันข้าม
เขาไปเป็นพยานให้กับเขมรว่าคนไทยรุกดินแดนไทย นี่คุณหัวใจคนไทยหรือเปล่า”

ย้อนคดียิง “สนธิ”

คำพูดของนายสนธิยิ่งทำให้หลายคนต้องย้อนไปถึงการลอบสังหาร
นายสนธิเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2552 จนถึงวันนี้
ยังไม่สามารถจับคนยิงหรือคนบงการได้
อีกทั้งเรื่องยังเงียบหายไปอย่างน่าประหลาด
ทั้งที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยืนยันว่าคดีนี้จะไม่เป็นมวยล้ม
หลังจากมีการออกหมายจับนายทหารชั้นประทวน
สังกัดศูนย์สงครามพิเศษ จังหวัดลพบุรี
ซึ่งมีการพยายามพาดพิงไปถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น

ขณะที่นายสนธิได้ออกมาแถลง
ถึงขบวนการสังหารตนเองหลังจากรักษาตัวและเก็บตัวเงียบมาระยะหนึ่ง
โดยยืนยันว่ามีผู้พยายามส่งเจ้าหน้าที่มาพูดคุยว่าผิดเป้าหรือไม่
แต่เชื่อว่าเป็นกฐินสามัคคี
ทั้งยังฝากถึงนายอภิสิทธิ์ว่าอย่าปกครองบ้านเมืองด้วยคำพูด
แต่ต้องจับคนยิงให้ได้
ไม่อย่างนั้นประเทศไทยก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านป่าเมืองเถื่อน
ที่ใครมีอำนาจ มีปืนก็ยิงใครก็ได้

“ขบวนการที่ยิงผม
เท่าที่ทราบมี 14 คน เป็นทหาร 13 คน เป็นตำรวจ 1 คน และทหาร
มีพื้นเพมาจากป่าหวายทั้งหมด
บางคนบอกว่าคนบางคนในดีเอสไอเป็นคนวางแผนฆ่าผม
แต่ผมบอกว่าคนในดีเอสไอคงจะไปสั่งทหารป่าหวายไม่ได้
ถ้าอย่างนั้นน่าจะเป็นกฐินสามัคคี
ผมไม่ติดใจอะไร จับได้ก็ได้ จับไม่ได้ต้องถือเป็นโชคร้ายของบ้านเมือง
คนอย่างผมถูกลอบสังหารได้
อย่างนายอภิสิทธิ์หรือสูงกว่านายกฯก็ต้องถูกสังหารได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

เกือบตายเพราะ “สี”

การลอบสังหารนายสนธิครั้งนั้นเชื่อว่า
มาจากการปราศรัยที่อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2552 โดยนายสนธิได้พูดเป็นปริศนาเรื่องของ “สี”
ซึ่งเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า

“ทำไมต้องจับมือกับเนวิน (ชิดชอบ)
และใครไปบังคับให้พรรคร่วมรัฐบาลมาร่วมกับประชาธิปัตย์
ทำไมถึงมี “สีน้ำเงิน” มาฆ่า “สีแดง”
และ “สีฟ้า” ขอยืม “สีกากี” มาฆ่า “สีเหลือง”
และพี่น้องจะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง อย่างลึกซึ้ง
เพราะว่าเรื่องพวกนี้ถ้าไม่อธิบายกันแบบป่าทั้งป่าจะไม่เข้าใจ
และผมอยากให้คนใต้ที่ไม่ชอบผมตอนนี้ให้ตั้งใจฟังดีๆ
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้ยืนบนเวที
หรือยืนบนพระแม่ธรณีเพื่อให้คนชอบหรือไม่ชอบ
แต่นายสนธิจะยืนอยู่บนความถูกต้อง”

นับตั้งแต่นั้นมานายสนธิก็ประกาศแตกหักกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างชัดเจน
เพราะแม้แต่ “เปลวสีเงิน” คอลัมนิสต์ชื่อดังใน “ไทยโพสต์” ยังตั้งข้อสังเกต
เกี่ยวกับวันที่ 18 เมษายน 2552 ว่าเป็นวิกฤตการเมืองที่ต้องเตือนสติ
ทั้งคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดง โดยใช้หัวข้อเรื่องว่า “ลับแลอำนาจ “ฆ่าสนธิ”
ปั่นเหลือง-แดงฆ่ากัน” โดยระบุว่า
คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงต่างตกเป็นเครื่องมือของคนบางคน
ที่จ้องฉกฉวยโอกาสหลอกล่อให้ฆ่ากันเอง ซึ่งเกิดจาก “มือที่มองไม่เห็น”
ที่สร้างสถานการณ์เพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง

พันธมิตรฯศัตรู ปชป.

ดังนั้น กว่า 2 ปีที่ผ่านมากลุ่มพันธมิตรฯ
โดยเฉพาะนายสนธิได้ออกมาโจมตีนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งนายสนธิประณามว่า ระบบการเมือง
ขณะนี้เป็นลักษณะการสืบทอดอำนาจต่อเนื่องจากตนเองไปที่เมีย ลูก เพื่อน
แล้วยังจับมือกันกินรถเมล์ 69,000 ล้านบาท
สนามบินรันเวย์ที่ 3 อีก 75,000 ล้านบาท
ถนนไร้ฝุ่นอีกกี่หมื่นล้านบาท เบ็ดเสร็จงบประมาณแผ่นดิน 180,000 ล้านบาท
ถูกชัก 10 เปอร์เซ็นต์คือ 180,000 ล้านบาท
หรือ 15 เปอร์เซ็นต์ 270,000 ล้านบาท
เอามาจัดสรรเข้ากระเป๋าพวกนักการเมือง
เพื่อเอาเงินก้อนนี้กลับไปซื้อเสียงอีกครั้งหนึ่ง
แล้วกลับมาเพื่อกินงบประมาณกันอีก

นายสนธิยังประณามว่า พรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้
เหมือนปล้นกลางแดด มือถือดาบ คาดผ้าประเจียด ไอ้เสือเอาวา ปล้น
ไม่เหมือนยุคทักษิณที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ใช้กฎหมายบีโอไอ
หรือแก้กฎหมายสรรพสามิตให้ไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานเพื่อเอื้อธุรกิจของตนเอง
แต่ยุคนี้เปลี่ยนเป็นการทำโครงการที่ใช้งบประมาณมากๆ เช่น
ถนนไร้ฝุ่น จำนำข้าว มือใครยาวสาวได้สาวเอา
นายอภิสิทธิ์จึงได้แต่นั่งทำตาปริบๆ เพราะกลัวพรรคร่วมรัฐบาลจะถอนตัว

แต่วันนี้นายสนธิคงไม่ปฏิเสธว่า
นายอภิสิทธิ์ไม่ใช่เป็น “ผู้นำฟันน้ำนม” หรือ “หุ่นเชิด” ที่ไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว
เพราะแม้แต่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย
และนายบรรหาร ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ยังออกปากอย่างเกรงขาม
และถากถางว่าใหญ่โตจนไม่เห็นหัวคนแก่แล้ว

ดังนั้น ใครจะเย้ยหยันว่า “รักนะ...เด็กโง่”
แต่สำหรับพันธมิตรฯและนายสนธิที่ประกาศชุมนุมใหญ่ทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
และกรณีชายแดนไทย-กัมพูชานั้นกลายเป็นเรื่องของการใช้หนี้แผ่นดิน
ซึ่งนายสนธิยืนยันว่าจะชุมนุมแม้จะมีไม่กี่คนก็ตาม
เพราะวันนี้บรรดาแม่ยกนายอภิสิทธิ์ต่างหลงใหลในกิเลส ซึ่งน่าสงสารที่สุดในโลก

“ในวันข้างหน้าถ้ามีคนหล่อกว่านายอภิสิทธิ์ พูดเพราะกว่า ก็จะเปลี่ยนไปชอบอีกคน
คนที่หนาด้วยกิเลสพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์
คนพวกนั้นมุ่งที่ความสวยงาม ความหล่อเหลา
มองคนที่ภายนอกจริงๆ
คนพวกนี้ผมรังเกียจมาก รู้ว่าไม่ควรพูดแต่ต้องพูด
เพราะรู้สึกว่าไม่อยากเสียเวลากับคนไร้สาระแบบนี้”

“อภิสิทธิ์โมฆะบุรุษ”

แต่สำหรับคนเสื้อแดงแล้วนายอภิสิทธิ์คือผู้ต้องหาในการสั่งฆ่าประชาชน
แม้วันนี้หลายฝ่ายจะเชื่อว่ายากจะเอาผิดได้ตามกระบวนการยุติธรรม
แต่ก็ดีกว่า “ตายฟรี” และถูก “ขังฟรี”
อย่างที่อาจารย์กฤตยา อาชวนิชกุล ศูนย์สิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึง
ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์
“เมษา-พฤษภาอำมหิต” 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน
สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการถูกยิงบริเวณศีรษะ
โดยใช้อาวุธสงคราม และแพทย์ยังให้ความเห็นว่า
ถูกกระสุนความเร็วสูง ซึ่งตรงกับผลการชันสูตรศพที่ถูกเปิดเผยออกมา
โดยเฉพาะกรณี 6 ศพในวัดปทุมวนาราม

ยิ่งหลังวันที่ 10 เมษายน รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ใช้วาทกรรม “ก่อการร้าย” กล่าวหา
และไล่ล่าคนเสื้อแดง
ขณะที่เหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ใช้คำว่า “ผู้ก่อความไม่สงบ” เท่านั้น
การที่รัฐบาลคิดคำนี้ขึ้นมา
เพื่อสร้างความสกปรกให้สะอาด สร้างความชอบธรรมให้รัฐบาล
แล้วสร้างความอัปลักษณ์ให้กับคนเสื้อแดง
ทั้งที่สิ่งที่รัฐบาลใช้อำนาจอำมหิต
จัดการกับประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่สกปรกและน่าผิดหวัง
ซึ่งประชาชนสามารถเกลียดรัฐบาลได้
แต่รัฐบาลไม่มีสิทธิเกลียดประชาชน
และไม่มีอำนาจสั่งฆ่าประชาชน

“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
เคยพูดกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี
ต่อเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ว่านายสมชายเป็นคนหรือไม่
แต่ดิฉันจะไม่ถามว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนหรือไม่ เพราะรู้ว่าเป็นคนอยู่แล้ว
นอกจากนี้ในสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี
นายอภิสิทธิ์ได้อภิปรายโจมตีนายบรรหาร ตอนหนึ่งนายอภิสิทธิ์กล่าวหา
นายบรรหารว่าเป็นโมฆะบุรุษ
แต่กับเหตุการณ์นี้มีการสั่งสลายการชุมนุมทำให้คนเสียชีวิตจำนวนมาก
แต่นายอภิสิทธิ์ยังอยู่ในอำนาจ นายอภิสิทธิ์จึงเป็นโมฆะบุรุษ
และรัฐบาลชุดนี้ก็เป็นโมฆะรัฐบาล”

เสร็จศึกฆ่าพันธมิตรฯ

กรณีกัมพูชาจับ 7 คนไทยจนถึงบทบาทของพันธมิตรฯวันนี้
จึงถูกเปรียบเปรยเหมือนคำพังเพย “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าพันธมิตรฯ”
อย่างที่พันธมิตรฯออกมาประณามพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ว่า “เนรคุณ”
ทั้งที่พันธมิตรฯเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
จนสามารถล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ขณะเดียวกันการชุมนุมยืดเยื้อนานเกือบ 200 วัน
จนสามารถล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช
และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
นายอภิสิทธิ์จึงได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นเพราะพันธมิตรฯเช่นกัน
แม้จะตั้งรัฐบาลโดยมีกองทัพจับมือกับกลุ่มนายเนวินก็ตาม

ชะตากรรมของกลุ่มพันธมิตรฯและนายสนธิ
ก็ไม่ต่างกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)
ที่เคยยิ่งใหญ่และกุมอำนาจเด็ดขาด แต่ปัจจุบันเป็นได้แค่หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ
ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อมีการเลือกตั้งจะเป็นพรรคต่ำสิบหรือต่ำห้า
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ถูกคาดการณ์ว่าจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนนายอภิสิทธิ์เสียอีก

จึงไม่แปลกที่นายสนธิจะแสดงความไม่พอใจ
และโจมตีนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ว่า
เนรคุณต่างๆนานา ทั้งยังโกหก ตระบัดสัตย์เป็นเนืองนิจ
โดยเฉพาะนายกษิตที่เป็นเหมือนคนของพันธมิตรฯแต่กลับออกมาตอบโต้
และกล่าวหากลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งกำลังสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมือง
เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงแล้วยังปลุกระดมให้เกิดความโกรธแค้น
และไม่สมควรจะเอากองทัพมากดดัน

มาร์คปุกคุ้ง

นายสนธิสรุปว่า นายกษิตกับนายอภิสิทธิ์เป็น “ของเก๊” ทั้งหมด
ทั้งตั้งฉายานายอภิสิทธิ์ว่า “มาร์คปุกคุ้ง” หมายถึงกระบี่วิญญูชนจอมปลอม คือ
นักการเมืองหรือผู้มีอำนาจฆ่าคู่ต่อสู้ทางการเมือง
ฆ่าญาติมิตร ฆ่าเพื่อนฝูงผู้หวังดี
แม้แต่คนที่ต่อสู้ให้ตนเองขึ้นมาใหญ่ก็ฆ่า
ในช่วงที่ตัวเองเป็นใหญ่ก็ต้องการโชว์ว่าซื่อสัตย์
แต่พอลับหลังก็แอบไปจับมือกับโจรเพื่อจะปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน

แกนนำพันธมิตรฯและกลุ่มประชาชนไทยหัวใจรักชาติ
จึงไม่เชื่อความจริงใจของนายอภิสิทธิ์
ทั้งยังมีบางคนมองว่านายอภิสิทธิ์และคนในกองทัพบางคนถือโอกาส
ยืมมือสมเด็จฮุน เซน ทำลายพันธมิตรฯ
เพราะหากปล่อยให้พันธมิตรฯกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจใหม่
ซึ่งไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มอีลิตอย่างปัจจุบัน
โดยกลุ่มพันธมิตรฯยืนยันจะชุมนุมใหญ่ยืดเยื้อในวันที่ 25 มกราคมนี้แน่นอน
เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเรียกร้องให้ยกเลิกบันทึกเอ็มโอยู 2543
แต่นายสนธิอาจลืมไปว่าความยิ่งใหญ่ของพันธมิตรฯก่อนหน้านี้
ส่วนหนึ่งมาจากบรรดาแม่ยกของนายอภิสิทธิ์ คนของพรรคประชาธิปัตย์
และกลุ่มอีลิตที่มีพลังมหาศาลจาก “สีพิเศษ”

“มันทุเรศไง เมืองไทยเป็นเมืองซึ่งด้อยปัญญา
รัฐบาลทำไมเราถึงมีนักการเมืองชั่วๆ ทหารเลวๆบางคนเกิดขึ้นมาได้
เหตุผลเพราะว่าคนไทยไร้ปัญญา
เมื่อคนไทยไร้ปัญญาแล้วมันหลอกเรื่องอะไรก็หลอกได้
แต่มันหลอกเรื่องกฎแห่งกรรมไม่ได้ ผมเชื่อเหลือเกินในเรื่องกฎแห่งกรรม
ผมคิดว่ามันใกล้มาแล้ว”

นายสนธิกล่าวอย่างเจ็บปวด ซึ่งคงไม่ปฏิเสธว่า
สภาพของคนเสื้อเหลืองวันนี้ไม่ได้แตกต่างจากคนเสื้อแดงมากนัก
ที่โดนต้ม โดนหลอกจากนักการเมืองเลวๆ กลุ่มอีลิต
และกองทัพที่วันนี้ปูอำนาจไว้อย่างมั่นคงแล้ว
จึงไม่จำเป็นต้องใช้บริการจากบรรดา “โคถึก” อีกต่อไป

พรรคประชาธิปัตย์จึงกล้าออกมาประกาศว่า
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส.ส.เขตต้องมี 375 คน และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 125 คน
รวมทั้ง ส.ว.สรรหาก็ยังมีอยู่ต่อไป
เพราะนั่นคือฐานอำนาจของกลุ่มอีลิตในรัฐสภา
อีกทั้งยังเป็นการลดอำนาจ
พรรคเพื่อไทยและกลุ่มที่ยังจงรักภักดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณอีกด้วย

เสียงขู่ของนายสนธิและกลุ่มพันธมิตรฯจึงมีแต่ลดลงเรื่อยๆ
เพราะกลุ่มที่เคยสนับสนุนค่อยๆถอยห่างออกไป
การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯและเครือข่ายจึงไม่มีพลังเหมือนในอดีต
ขณะที่พรรคการเมืองใหม่เองก็เหมือนแท้งตั้งแต่เกิด
จนถูกสบประมาทว่าอาจไม่ได้ ส.ส. แม้แต่ที่นั่งเดียวหากมีการเลือกตั้ง

“เหลือง-แดง” ปลดวิกฤต

จึงไม่สายเกินไปที่
นายสนธิจะกลับไปทบทวนที่เคยพูดถึงคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงว่า
มีอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันคืออุดมการณ์ที่ต้องการ “ปฏิวัติสังคม”
แม้ไม่ง่ายที่จะเปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืน

แต่ไม่ได้ปิดประตูตาย เพราะไม่ว่าเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงก็คือประชาชน
ที่ต้องการความยุติธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริง
ที่เป็นของประชาชน ไม่ใช่ให้พวกเหลือบการเมืองมาแสวงหาผลประโยชน์

ที่สำคัญคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงไม่เคยคิดจะเข่นฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย
ขณะที่นายอภิสิทธิ์และคนในกองทัพ
กลับไม่สะทกสะท้านกับการใช้กำลังปราบปรามประชาชนจนตายไปเกือบร้อย

การเดินหน้าปฏิวัติสังคม
โดยประชาชนจึงเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถปลดแอกการเมืองน้ำเน่า
ภายใต้เงาอุบาทว์ของกลุ่มอีลิตและ “มือที่มองไม่เห็น” ได้

เพราะไม่เช่นนั้น
นายสนธิและพันธมิตรฯก็ยากจะต้องรับชะตากรรมเช่นเดียวกับคนเสื้อแดง
ขณะนี้ที่ถูกยัดเยียดเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และติดคุกยาวเพื่อไม่ให้เป็น “หอกข้างแคร่”

แม้แต่นายอภิสิทธิ์เองก็ตาม
แม้วันนี้จะเป็น “คนโปรด” ของกลุ่มอีลิตและคนในกองทัพ
แต่เมื่อ “เสร็จศึก” ก็หนีไม่พ้น “กฎแห่งกรรม”
และเป็น “โคถึก” ที่มิแคล้วต้องถูกฆ่าเช่นเดียวกับนายสนธิในวันนี้

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 294 วันที่ 15-21 มกราคม พ.ศ. 2554
หน้า 16 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน


http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=9339

“บก.ลายจุด”วอนเห็นใจ“เสื้อแดง” แนะ“พ่อค้า”เอาสินค้ามาขายแทนปิดร้านหนี

ที่มา thaifreenews

โดย lovethai

“บก.ลายจุด”วอน“ผู้ประกอบการราชประสงค์”เห็นใจ“ม็อบแดง”

แนะเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสเอาสินค้ามาขายแทนปิดร้านหนี


เมื่อวันที่ 13 ม.ค.นายสมบัติ บุญงามอนงค์ บก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง เปิดเผยว่า จากกรณีที่กลุ่มผู้ประกอบการยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ดำเนินการกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมบริเวณสี่แยกราชประสงค์เดือนละ 2 ครั้ง เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สลายการชุนนุมคนเสื้อแดง เพราะทำให้ธุรกิจการค้าย่านราชประสงค์ได้รับผลกระทบอย่างหนักนั้น ทั้งนี้ในความคิดเห็นของตนมองว่าผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าวมีสิทธิที่จะแสดงออกหากเขาคิดว่าตัวเองได้รับความเดือนร้อนจากการชุมนุมดังกล่าว แต่การห้ามคนเสื้อแดงไปชุมนุมกันบริเวณราชประสงค์นั้นคงยาก เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่เป็นพื้นที่การค้าอย่างเดียว แต่เป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์การเมืองไทยไปแล้ว ผู้ประกอบการควรที่จะเปิดใจกว้าง และออมชอมเนื่องจากการชุมนุมในแต่ละครั้งชุมนุมเพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็สลายตัวไป

นายสมบัติ กล่าวต่อว่า ใจจริงการชุมนุมในแต่ละครั้งที่แยกราชประสงค์ก็ไม่อยากเห็นคนเสื้อแดงลงมาชุมนุมกันบพื้นถนน อยากให้มายืนชุมนุมกันบนฟุตบาท แต่ปรากฏว่ามีประชาชนเดินทางมาร่วมจัดกิจกรรมกันเป็นจำนวนมาก และหากจะมาห้ามให้หยุดชุมนุมหรือจัดกิจกรรมคงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาความเดือนร้อนของกลุ่มผู้ประกอบการครั้งนี้ขอรับไว้พิจารณา และจะพยายามหาทางพูดคุยกับกลุ่มผู้ประกอบการเพื่อให้เข้าใจในการชุมนุมของคนเสื้อแดง และคนเสื้อแดงที่มาร่วมชุมนุมในแต่ละครั้งนี้จะเห็นว่าผู้ร่วมชุมนุมนั้นเป็นคนฐานะระดับกลาง ทางกลุ่มผู้ประกอบการควรจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยเอาสินค้าที่มีอยู่ออกมาวางจำหน่าย ไม่ใช่ปิดร้านหนี ยกตัวอย่างกรณีร้านแม็คโดนัล บริเวณแยกราชประสงค์ ช่วงที่คนเสื้อแดงไปชุมนุมในแต่ละครั้งพบว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่าไม่เห็นต้องกลัวอะไร เพราะคนเสื้อแดงเป็นมิตรกับประชาชนทุกคน


(ที่มา ข่าวสด , 13 มกราคม 2554)

ท่าน ทักษิณ วิทพื้นโชว์ความแข็งแรง

ที่มา thaifreenews

โดย Nitikon_P









**********
http://www.internetfreedom.us/index.php

ความรู้ที่หาไม่ได้ในโรงเรียน............สู้ต่อไปครับ

ที่มา thaifreenews

โดย NuDang

ความรู้ที่หาไม่ได้ในโรงเรียน............สู้ต่อไปครับ





คลิปรายงานพิเศษ ผู้ค้าราชประสงค์เดือดร้อนเพราะเสื้อแดงชุมนุม จริงหรือ

ที่มา thaifreenews

โดย namome
สหายต๋าคำ

13 1 54 รายงานพิเศษ ผู้ค้าราชประสงค์เดือดร้อนเพราะเสื้อแดงชุมนุม จริงหรือ
http://www.youtube.com/watch?v=r5W1TF-PxmI&feature=player_embedded

คลิป นปช เสื้อแดงภาคตะวันตก(หลายจังหวัด) แถลงข่าว แรลลี่

ที่มา thaifreenews

โดย namome
สหายต๋าคำ

นปช เสื้อแดงภาคตะวันตก แถลงข่าว แรลลี่

http://www.youtube.com/watch?v=lk2sXP7BkxM&feature=player_embedded

เสียงจากนักโทษคดีหมิ่นฯ: ประวัติชีวิตบนเส้นทางสายแดง “ผิดด้วยหรือที่เลือกยืนฝั่งนี้” (1)

ที่มา ประชาไท

ชื่อบทความเดิม: จากชนชั้นกลางคนหนึ่งสู่เส้นทางไซเบอร์เสื้อแดง ผมเลือกทางนี้เอง ผิดด้วยหรือที่ผมเลือกยืนฝั่งนี้

จดหมายของนักโทษ ม.112 คดีหมิ่นเบื้องสูง “ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล” Single-Dad ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์นปช.ยูเอสเอ เขาเขียนบันทึกชิ้นนี้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 ด้วยความตั้งใจจะเปิดเผยตัวตนและความคิดทางการเมืองของเขาแก่คนร่วมชนชั้น ในฐานะ “มนุษย์ธรรมดา” คนหนึ่ง ปัจจุบันเป็นเวลากว่า 9 เดือนแล้วที่เขาถูกจองจำอยู่ในแดน 8 เรือจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนจะมีการสืบพยานในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้

1.พื้นเพ..ของผม
ย้อนหลังกลับไปก่อนปี 2552 ผมเองใช้ชีวิตอยู่กับลูกตามลำพังตามประสาพ่อลูก ภายหลังจากเกิดมรสุมชีวิตที่แม่ของลูกได้ตัดสินใจทิ้งผมและลูกชายไปมีครอบครัวใหม่ตอนลูกชายผมอายุ 4 ขวบ เมื่อปี 2546 หลังจากนั้นผมกับลูก (น้องเว็บ) ก็อยู่ด้วยกันมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนนั้นโดยไม่คิดจะนำลูกชายไปฝากให้คนอื่นเลี้ยง แต่ผมเลือกที่จะเลี้ยงลูกด้วยตัวของผมเองในบ้านหลังเล็กๆ ในอ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี
ด้วยความรู้ที่ผมมีทางด้านการเขียนโปรแกรมเว็บไซต์ รวมถึงการพัฒนาเว็บ จึงทำให้ผมตัดสินใจเปิดบริษัทของตัวเองขึ้นมาเพื่อรับงานโดยตรงทางด้านพัฒนาเว็บไซต์ โดยเปิดที่บ้านที่ผมอยู่นั่นเอง ทั้งนี้ เพื่อที่ว่าผมจะสามารถเลี้ยงดูเจ้าตัวน้อยของผมได้อย่างใกล้ชิด ทางเลือกนี้จึงเป็นทางที่เหมาะสมที่สุดทั้งตัวผมเองและลูกชาย
ผมเองไม่ค่อยมีสังคมสักเท่าไร เรียกได้ว่าไม่มีสังคมเลยก็ได้ อาจเป็นเพราะบ้านที่ผมอยู่มันห่างไกลความเจริญ รอบๆ หมู่บ้านรายล้อมไปด้วยทุ่งนา บรรยากาศสงบเงียบแม้จะเป็นหมู่บ้านใหญ่แต่ผู้คนก็ใช้อาศัยหลับนอนเท่านั้น ไม่ค่อยออกมาสุงสิงกันเท่าไหร่ ดังนั้น เวลาของผมเกือบทั้งหมดจึงหมดไปกับการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ดูหนังกับลูก และทำกิจกรรมกับลูก
ผมเป็นคนที่เกิดมาในครอบครัวใหญ่มีพี่น้อง 4 คนรวมผม เป็นชายล้วน ทุกคนล้วนทำงานเป็นหลักแหล่งและมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่อยู่ในขั้นดีมากยกเว้นผมที่ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด แล้วยังประสบปัญหาชีวิตจึงทำให้ผมไม่ค่อยเข้าถึงครอบครัวใหญ่สักเท่าไร อาจเป็นเพราะผมต้องการที่จะยืนหยัดฟันฝ่าชีวิตแต่เพียงลำพังก็ได้ จุดนี้เองเลยทำให้หลายครั้งผมถูกมองว่าเป็นคน “ดื้อ” ที่จะทำตามใจตัวเอง และเลือกในสิ่งที่ผมชอบหรือสบายใจ ผมจึงเป็นคนที่มีอิสระเต็มที่ในความคิด เพราะได้คิดและทำในสิ่งที่ใจตัวเองต้องการ แม้แต่ในช่วงที่ประสบปัญหาครอบครัว ผมยังเลือกที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเองไม่ทำให้ลูกต้องตกเป็นภาระของใคร
2. รักประชาธิปไตย ... แต่ไม่ไปเลือกตั้ง
สำหรับทางด้านการเมือง ผมเองถือว่าเป็นพวกที่ปากบอกว่ารักประชาธิปไตย แต่ไม่เคยไปเลือกตั้งคนหนึ่ง คล้ายๆ คนชั้นกลางทั่วไปเหมือนกันที่มีความคิดเห็นดุดันทางการเมือง กล้าตะโกนด่ารัฐบาล รัฐมนตรีที่โกงกินอย่างไม่อายใคร แต่พอถึงเวลาเลือกตั้งใช้สิทธิ ผมกลับไม่คิดจะไปเพราะกลัว “เสียเวลา”
จำได้ว่าครั้งแรกที่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งแรกและครั้งเดียวของผมคือการตั้งใจเดินทางกลับบ้านที่ปทุมธานี เพื่อไปใช้สิทธิเลือกผู้สมัครของ “ไทยรักไทย” ที่นามสกุล “หาญสวัสดิ์” ที่เป็นคู่แข่งของ “นักร้องชื่อดังของพรรคชาติไทย” แม้ส่วนตัวจะไม่ค่อยชอบคนของตระกูลนี้เท่าไหร่ (ในตอนนั้น) แต่ผมก็ไม่ลังเลที่จะเทคะแนนให้คนของพรรคไทยรักไทย และครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ทุกคะแนนเสียงในบ้านผม 5 เสียงเทให้ผู้สมัครของไทยรักไทยทั้งหมด แม้ท้ายสุดผลจะออกมาว่าไทยรักไทยแพ้ แต่เราก็รู้สึกภูมิใจว่าพวกเราครอบครัวเราทำเต็มที่แล้ว
เหตุการณ์และบุคคลที่ทำให้ผมจากคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ทำงานเอกชน หันมาสนใจการเมืองนั่นคือกระแสพลังธรรม โดยจำลอง ศรีเมือง ซึ่งมีการเปรียบเทียบกันระหว่างคุณจำลองกับคุณสมัคร สุนทรเวช และในขณะนั้นผมเลือกที่จะชื่นชมคุณจำลองมากกว่าคุณสมัคร อาจเป็นเพราะภาพลักษณ์ของคุณจำลองดูสมถะน่าเชื่อถือ ผมและคนทั้งบ้านต่างก็ชื่นชอบ เพราะดูจากภายนอกแล้วเป็นคนใสซื่อ มือสะอาด และมีธรรมะ ต่างจากคุณสมัครที่ออกในทำนองดุดันและปากจัด คุณสมัครจึงไม่เข้าตาผมและครอบครัวสักเท่าไหร่ เหล่านี้คือ จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มสนใจข่าวสารการเมือง
ข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองจึงเริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผม เริ่มตั้งแต่พฤษภาทมิฬ ปี 2535 ในครั้งนั้นผมก็แค่โวยวายอยู่กับบ้าน จำได้ว่าตอน พล.อ.สุจินดา ประกาศลาออกทางโทรทัศน์ ผมยังไปเดินช้อปปิ้งอยู่ที่มาบุญครองอยู่เลย ไม่เคยรู้ว่ามีพี่น้องของเราที่ไปร่วมชุมนุมในเหตุการณ์นั้น มีใครเจ็บใครตาย หรือทนทุกข์ทรมานอะไรบ้าง รู้แต่ว่าเหตุการณ์นั้น คุณจำลองคือฮีโร่ สุจินดาคือ ทรราชย์ รวมถึงการรับรู้เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นพรรคการเมืองที่ใช้ไม่ได้ ที่บอกว่า “จำลองพาคนไปตาย” และผมก็มีภาพติดลบกับพรรคนี้เรื่อยมา
จากพฤษภาทมิฬ’35 เรื่อยมาจนประเทศไทยได้รับรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนอย่างแท้จริง คือ รัฐธรรมนูญปี 2540 จริงๆ แล้วบอกตามตรง ผมเองไม่ได้รู้เรื่องอะไรหรอกว่ามันดียังไง รู้เพียงว่ามันถูกร่างขึ้นมาโดยความถูกต้องของภาคประชาชน ผมรู้เพียงเท่านี้ ไม่ได้เห็นความสำคัญอะไรมากมายนัก เพราะต้องทำมาหากิน เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ปากกัดตีนถีบเหมือนกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ
มารู้อีกทีก็ตอนรัฐบาลไทยรักไทยที่มีคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ตอนนั้นผมรู้อย่างเดียวว่าผมภูมิใจที่ได้นายกฯ คนนี้มาก เพราะก่อนหน้านี้ผมเองก็ชื่นชอบคุณทักษิณอยู่แล้ว จากความสำเร็จในกลุ่มธุรกิจชินวัตร ซึ่งผมเองก็ไม่รู้หรอกว่า จริงๆ แล้ว คุณทักษิณทำธุรกิจอะไรบ้าง รู้อย่างเดียวคือ ธุรกิจมือถือของ AIS แต่ได้เห็นสื่อไทยและต่างประเทศลงข่าวของเค้าอยู่เสมอในฐานะนักธุรกิจรุ่นใหม่ อัศวินคลื่นลูกที่ 3 และผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในอันดับต้นๆ ของประเทศไทย
3.คุณทักษิณ ... ใช่เลย ไอดอลของผม
ในฐานะที่ผมเองก็เป็นคนที่มีความทะเยอทะยานจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจกับเค้าเช่นกัน ผมมักจะศึกษาเรื่องราวของบุคคลต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจอยู่เสมอ นอกจากเจ้าสัวธนินท์ เจียรวรานนท์ อานันท์ กาญจนภาสน์ และคนอื่นๆ อีกมากมายแล้วหนึ่งในนั้นก็คือ คุณทักษิณ ชินวัตร แม้ผมจะไม่รู้เรื่องราวของเค้าอย่างละเอียดมาก่อนเลยก็ตาม
ยิ่งประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ได้เสียงอย่างท่วมท้นเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่มีประเทศไทยมา และนายกฯ คนนั้นชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ผมตื่นเต้น และดีใจเป็นที่สุด เพราะแน่ใจว่าภายใต้การนำพาประเทศไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ของคุณทักษิณ จะไม่เป็นแค่ความฝันของผมอีกต่อไป ในตอนนั้นความรู้สึกที่มีให้รัฐบาลคุณทักษิณ ผมให้กำลังใจเต็มร้อย เพราะมั่นใจในตัวเค้า รวมถึงทีมงานอีกหลายๆ คนอย่าง คุณปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์, คุณสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และคนอื่นๆ อีกมากมาย รัฐบาลชุดนี้จึงเป็นดรีมทีมของผมไปโดยปริยาย
เมื่อรัฐบาลไทยรักไทยได้เริ่มบริหารประเทศ มีโครงการต่างๆ ที่ออกมาช่วยเหลือประชาชนอย่างมากมาย ตามที่ได้ประกาศหาเสียงไว้ และทำได้จริง จึงทำให้ผมมีความหวังกับรัฐบาลชุดนี้มาก แม้ผมเองจะไม่เคยได้รับอะไรตรงๆ กับโครงการต่างๆ เหล่านี้เลย เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค, โอท็อป, กองทุนหมู่บ้าน หรือการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน แต่นั่นผมก็ยังได้รับเสียงสะท้อนจากชาวไร่ชาวนาในชนบทที่รู้จักกันว่า เป็นประโยชน์จริงๆ และสามารถทำให้คนจนลืมตาอ้าปากได้กว้างๆ กับเค้าเสียที
ในขณะที่ความนิยมชมชอบในพรรคไทยรักไทยมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในทางตรงกันข้าม ผมก็เกิดความเสื่อมขึ้นกับพรรคการเมืองอีกฝั่งหนึ่งนั่นคือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะค้านทุกเรื่อง ไม่มีการค้านในทางสร้างสรรค์เลย ที่ยังติดตาติดใจผมจนถึงตอนนี้คือภาพที่ส.ส.ประชาธิปัตย์ นำชื่อโครงการสมัยไทยรักไทยไปล้อเลียน โดยการแปะชื่อโครงการไว้ที่บันไดแล้วเดินลงบันไดกันมา มันเป็นภาพที่ทำให้ผมโกรธมาก เพราะโครงการที่มีประโยชน์ เห็นผลได้จริง ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนทำมาก่อน กลับถูกเหยียบย่ำดูถูกจากพรรคประชาธิปัตย์ ดูแล้วช่างน่าเสียใจกับคนที่เลือกพรรคนี้จริงๆ สิ่งต่างๆ ที่พรรคนี้แสดงออกมาทั้งหมด เป็นเหมือนการตอกตะปูปิดฝาโลงพรรคการเมืองนี้ว่าชาตินี้อย่าหวังเลยที่จะได้รับการสนับสนุนจากผม
4.”รัฐประหาร 19 ก.ย.49” คนไทยได้อะไร?
ภายหลังจากรัฐบาลไทยรักไทยอยู่จนครบวาระ 4 ปี และมีการเลือกตั้งใหม่ แล้วก็ได้รับเลือกกลับเข้ามาแบบถล่มทลายอีกครั้ง ในความคิดผมประเมินว่าประเทศไทยกำลังจะก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วหลังจากเป็นประเทศด้อยพัฒนา หรือกำลังพัฒนามาเป็นเวลานาน การที่ผมทำงานกับเพื่อนชาติต่างๆ อยู่หลายประเทศ ทำให้ผมรู้สึกได้ทันทีว่าพวกเขาเหล่านั้นต่างรู้จักเมืองไทยมากขึ้น จากนโยบายต่างๆ ที่คุณทักษิณได้คิดได้ทำในระดับนานาชาติ โครงการที่มีการดึงเอาประเทศต่างๆ เข้ามาร่วมมือกันโดยมีประเทศไทยเป็นแม่งาน จึงไม่แปลกที่ข่าวต่างๆ ที่เกี่ยวกับประเทศไทยจะได้รับการเผยแพร่ออกไปทั่วโลก ผมเชื่อเหลือเกินว่ามีคนไทยหลายๆ ล้านคนที่คิดไม่ต่างกับผม แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น สิ่งที่ผมคิดและคาดหวังเกี่ยวกับประเทศไทยในอนาคตก็มีอันมลายหายไป และทำให้ประเทศไทยเจริญย้อนหลังลงไปอย่างน้อย 6 ปี นั่นคือการใช้กำลังทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลของประชาชน ด้วยเหตุการณ์ รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยนายสนธิ บุญยรัตกลิน
5. ก้าวแรกกับการมีส่วนร่วมทางไซเบอร์
แม้ผมจะรับรู้และติดตามข่าวสารทางการเมืองมาโดยตลอดไม่เคยขาด ตลอดจนมีความคาดหวังที่จะให้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นคลี่คลายไปในแนวทางที่คล้ายๆ กับหลังเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ’35” ผมจึงได้แต่แอบให้กำลังใจพรรคไทยรักไทย คุณทักษิณ และคณะรัฐมนตรีที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จำนวน 111 คน ให้ได้กลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง ในขณะเดียวกันผมเองก็ต้องการทราบข้อเท็จจริงและเหตุผลที่ทำให้คณะทหารที่ใช้ชื่อตัวเองว่า “คมช.” ยึดอำนาจจากนายกทักษิณ ดังนั้น ผมจึงเริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยเว็บไซต์แรกที่ผมเข้าไปสมัครเป็นสมาชิกก็คือห้องราชดำเนิน เว็บไซต์ “พันทิป ดอทคอม” โดยยังเป็นการโพสต์แสดงความเห็นเป็นครั้งคราว หลังจากว่างจากการทำงานแล้วก็จะหาโอกาสเข้าเว็บไซต์นี้เพื่ออ่านกระทู้ต่างๆ ในแต่ละวัน และตรงนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นในการเรียนรู้ การใช้เทคโนโลยีทางอินเตอร์เน็ตในการเคลื่อนไหวทางการเมือง และแสดงความคิดเห็นต่างๆ ทางประชาธิปไตย และในขณะที่ผมได้รู้จักเว็บพันทิปที่ขณะนั้นดูเหมือนกระแสของสมาชิกในเว็บนี้จะเอนมาทางฝั่งคุณทักษิณ ผมยังได้รู้จักกับเว็บที่อยู่ตรงข้ามกันนั่นคือ เว็บไซต์ผู้จัดการ ของกลุ่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล อีกด้วย และตรงนี้แหละที่เป็นตัวจุดประกายให้ผมได้ตัดสินใจทำงานทางไซเบอร์ให้กับคนเสื้อแดงอย่างเต็มตัวในเวลาต่อมา
6. วางเม้าท์....พาลูกเราไปสนามศุภฯ
แม้ผมจะเริ่มมีความสนใจและกล้ามีส่วนร่วมทางการเมืองโดยผ่านทางโลกไซเบอร์มากเพียงใดก็ตาม มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ผมไม่แน่ใจที่จะออกไปร่วมชุมนุมกับเค้าเสียที นั่นก็คือด้าน “ความปลอดภัย” เพราะผมมีความจำเป็นจะต้องพาลูกของผมไปด้วย เพราะการจัดชุมนุมส่วนใหญ่จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ เมื่อไม่มีใครดูแลลูก ผมในฐานะ Single-Dad จึงต้องกระเตงลูกไปด้วย ผมพยายามชั่งใจอยู่หลายครั้ง จากธันเดอร์โดม เมืองทองธานี มาสนามรัชมังคลากีฬาสถาน แล้วก็มาวัดสวนแก้วใกล้บ้านผม ผมก็ยังไม่กล้าที่จะพาลูกไปร่วมชุมนุมด้วย อีกทั้งคนใกล้ชิดหลายๆ คนก็ห้ามเอาไว้ว่าอย่าเอาลูกไปเลย ถ้าจะไปก็ไปคนเดียว ผมก็คิดในใจว่าถ้าไม่เอาลูกไปด้วย แล้วลูกผมจะไปอยู่ที่ไหนกัน ?
แล้วก็มีสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจง่ายขึ้น นั่นคือ การตัดผังรายการ “ความจริงวันนี้” ทางช่อง NBT ในขณะนั้นออกจากผังรายการที่ออกอากาศเป็นประจำทุกวัน โดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การกระทำในครั้งนั้ทำให้ผมตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะเดินทางไปร่วมชุมนุมทางการเมืองเป็นครั้งแรกที่สนามศุภัชลาศัย โดยสอบถามความสมัครใจของลูก (แกมบังคับ) ว่าจะไปด้วยกันมั้ย? (แน่นอนคำตอบของลูกผมก็คือไป) เมื่อลูกวัย 8 ขวบตอบตกลง และผมได้ใคร่ครวญแล้วว่าการไปร่วมชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่น่าจะอันตรายอย่างที่เคยคิดไว้ โดยดูจากการชุมนุมทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา ดังนั้น ผมกับลูกจึงได้เตรียมตัว เสื้อแดงของผมกับลูกตัวแรกจึงพร้อมสำหรับวันนั้น เพราะมันหาไม่ยาก ผมกับลูกมีเสื้อแดงสำหรับใส่ในวันตรุษจีนอยู่แล้ว
ผมกับลูกออกเดินทางแต่เช้า ใส่เสื้อแดง หมวกแดง พร้อมกล้องคู่ใจ ออกจากบ้านพักในจังหวัดนนทบุรี ผมรู้สึกตื่นเต้น ลูกผมก็เช่นกัน เพราะคิดว่าหลังจากที่เราได้ดูการชุมนุมผ่านจอทีวีมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้แหละจะได้พบกับของจริงสักที ระหว่างทางที่ออกจากบ้านมา ผมกับลูกจะคอยดูสองข้างถนนแล้วนับจำนวนคนใส่เสื้อแดงกันอย่างเพลิดเพลิน ยิ่งรถวิ่งเข้ามาสู่เขตเมืองเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งพบเห็นคนใส่เสื้อแดงมากขึ้นเท่านั้น แถมบางคนยังมีอุปกรณ์ติดไม้ติดมือเพิ่มเข้าไปอีกนั่นคือ “ตีนตบสีแดง” ที่พบเห็นได้จากคนเสื้อแดงที่กระจัดกระจายคอยรถกันอยู่ข้างถนน
ผมมาต่อรถที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส เพราะตั้งใจจะโดยสารรถไฟฟ้ามาลงที่สนามศุภฯ ตามคำแนะนำของเพื่อนๆ ชาวไซเบอร์ ที่สถานีรถไฟฟ้านี้เอง ผมได้พบกับกลุ่มมวลชนที่ใส่เสื้อแดงกลุ่มใหญ่ มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ผู้สูงอายุ รวมกลุ่มกันปะปนกับคนที่แต่งตัวธรรมดา ผมกับลูกได้รับการต้อนรับทักทายกันเป็นอย่างดี รวมถึงการแสดงความยินดีที่ได้พบเพื่อนร่วมแนวคิดเดียวกัน โดยเฉพาะลูกชายผมได้รับความสนใจมีคนเข้ามาจับไม้จับมือ หยิกแก้ม ดึงผมกันจนเป็นที่สนุกสนาน ในฐานะ “เยาวชนเสื้อแดง” ผมกับลูกโดยสารรถไฟฟ้ามาพร้อมกับคนเสื้อแดงที่เรียกได้ว่าเต็มทุกโบกี้ ยิ่งใกล้สนามศุภฯ มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะระหว่างสถานีที่มีการจอดรับผู้โดยสารก็จะมีคนเสื้อแดงเดินเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนแทบไม่มีที่ยืน
และแล้วก็มาถึงสถานีปลายทาง สนามศุภฯ อยู่ข้างหน้าแล้ว พี่น้องเสื้อแดงทุกคนทยอยกันลงจากรถ บางคนเริ่มหยิบอุปกรณ์ประจำตัวออกมาจากกระเป๋า เช่น แถบผ้าสีแดง แล้วนำมาผูกไว้ที่ศีรษะ บางคนใส่แว่นแดง วิกแดง ผมยังได้พบเห็นหลายคนที่โดยสารมาพร้อมเราที่ไม่ได้ใส่เสื้อแดง แอบยืนอยู่ริมกำแพง แล้วหยิบเอาเสื้อแดงที่อยู่ในกระเป๋าขึ้นมาเปลี่ยนแทนเสื้อที่ใส่มา แปลงร่างเป็นคนเสื้อแดงแบบสดๆ ร้อนๆ กันที่สถานีรถไฟฟ้านี้เลย บรรยากาศที่นี่เริ่มดูคึกคักมากจริงๆ ผมได้ยินเสียงโห่ร้องสนุกสนานที่ดังมาจากทางด้านล่างสถานีรถไฟฟ้า ตลอดทางเดินที่จะมุ่งสู้ประตูทางเข้าสนามศุภฯ เต็มไปด้วยแผงขายสินค้าของคนเสื้อแดงวางเรียงรายแน่นไปหมดแทบไม่มีทางเดิน
นอกจากลูกชายผมที่ผมเองคิดว่าเป็นเด็กเล็กแล้ว ปรากฏว่ามีพ่อแม่เสื้อแดงอยู่หลายคนที่พาลูกของตัวเองไปด้วย บางคนยังเป็นเด็กทารกมาพร้อมกับรถเข็นก็มี บางคนมากันทั้งครอบครัวเลยก็มี น้องเว็บลูกชายผมไม่เหงาแล้วคราวนี้ ผมเดินตามกลุ่มคนเสื้อแดงลงมาทางบันไดทางลงที่มุ่งลงสู่สนามศุภฯ จำได้ว่าเดินตามหนุ่มสาวคู่หนึ่งมาที่เค้าทั้ง 2 คนดูเหมือนดารามากๆ ทั้งสวยทั้งหล่อทั้งคู่ แต่สองคนนี้ไม่ได้ใส่เสื้อแดง ผมเดินตามสองคนนี้มาเรื่อยๆ จนถึงทางเข้าสนามศุภฯ ในใจผมไม่คิดว่าพวกเขาจะเดินข้าไปในสนามแน่ คิดว่าคงจะเดินผ่านไป แต่ปรากฏว่าพวกเขาทั้ง 2 คนก็หันหน้าเดินเข้าสนามศุภฯ อย่างไม่ลังเล โดยมีผมเดินตามไปติดๆ สร้างความประหลาดใจให้ผมเหมือนกัน
และทันทีที่เดินผ่านทางเข้าประตูไป หนุ่มสาวคู่นี้ก็ได้หยิบบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาจากในกระเป๋าสะพายของเค้า มันคือผ้าคาดศรีษะสีแดง ภาพที่ผมเห็นจากหนุ่มสาวคู่นี้สร้างความประทับใจให้ผมมาก เพราะยืนยันว่าคนเสื้อแดงไม่ได้มีแค่เพียงคนจนรากหญ้าดังที่ฝ่ายตรงข้ามพูดถึงเท่านั้น แต่ยังคนอีกระดับที่มีการศึกษา มีหน้ามีตาทางสังคม นักธุรกิจ และคนรุ่นใหม่รวมอยู่ด้วย เมื่อเห็นหนุ่มสาวคู่นี้คาดผ้าสีแดงที่ศีรษะแล้วผมจึงได้เดินไปด้านหน้าของพวกเขาแบบห่างๆ เพื่อหวังจะถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึก ก็พบว่าข้อความที่สกรีนอยู่บนผ้าบางๆ เขียนว่า “คิดถึงทักษิณ” สั้นๆ แต่ได้ใจความ ไม่ต้องอธิบายอีก สุดแสนจะประทับใจผมเลยจริงๆ
หลังจากผมและลูกชายได้พักเหนื่อย กินน้ำ กินข้าวเหนียวหมูปิ้งกันจนอิ่มแล้ว เราก็ได้พากันเดินอยู่รอบนอกบริเวณสนามอยู่พักหนึ่ง มีการวางขายสินค้าเสื้อแดงมากมาย มีกลุ่มนักศึกษาวัยรุ่นนำของที่ระลึกมาขาย ผู้คนส่วนใหญ่ที่เดินทางมาถึงแล้วก็เดินจับจ่ายซื้อของสินค้าเสื้อแดงที่ตนเองสนใจ ผมเองก็ได้ซื้อเสื้อความจริงวันนี้ของผมและลูกคนละตัว ตีนตบ ผ้าโพกหัว ผ้าพันคอ หมดเงินไปหลายร้อย จนเมื่อเริ่มมีเสียงเพลงดังออกมาจากทางเวทีด้านในสนาม ผมจึงจูงมือลูกพากันเดินเข้าไปสู่ด้านในของสนามในทันที
7. ชุมนุมใหญ่ที่สนามศุภฯ .. ความประทับใจไม่มีวันลืม
ภาพแรกที่ได้เห็นทันทีที่เดินเข้าไปในสนามก็พบเห็นพี่น้องเสื้อแดงด้านขวาของสนามกว่าครึ่งสนามนั่งกันอยู่อย่างหนาแน่นเต็มอัฒจรรย์ มีเสียงตะโกนโห่ร้องแสดงการต้อนรับกลุ่มคนที่เดินเข้ามาในสนามอยู่เป็นระยะ พิธีกรบนเวทีจะคอยประกาศข่าวการมาถึงของกลุ่มคนเสื้อแดงจังหวัดต่างๆ ที่ทยอยกันเดินเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับผมและลูกชายอย่างมาก เราเดินเล่นอยู่กลางสนามเพื่อถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกมามายจนลูกชายเริ่มเหนื่อย ผมจึงพาลูกชายเดินขึ้นไปพักผ่อนบนอัฒจรรย์อีกด้านหนึ่งที่แดดยังส่องอยู่ เรานั่งอยู่จนผู้คนที่อยู่ด้านนอกทยอยกันเข้ามาสู่ในสนามจนแทบจะไม่มีที่ว่างให้ยืน ผมจึงคิดว่าได้เวลากลับบ้านแล้ว เพราะลูกชายผมเวลานี้ได้นอนหลับสลบอยู่คาอกของผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะเหนื่อยล้า ผมจึงได้อุ้มลูกน้อยเดินออกมาจากสนามเพื่อเดินกลับบ้านในทันที
คุ้มค่าจริงๆ สำหรับการตัดสินใจเดินทางมาร่วมชุมนุมในวันนี้ ถึงแม้ผมจะได้อยู่แค่ตอนเริ่มงานช่วงแรกๆ เท่านั้นก็ตาม และมีสิ่งหน่งที่ผมได้รับรู้ และเป็นคำถามขึ้นมาในตอนนั้นก็คือ ทำไมนนทบุรีบ้านผมถึงได้มีกลุ่มเสื้อแดงหลายกลุ่มนัก เช่น แดงบางกรวย แดงปากเกร็ด แดงบางใหญ่ และไม่ใช่ที่นนทบุรีจังหวัดเดียวเท่านั้นที่มีหลายกลุ่ม ยังมีอีกหลายจังหวัดที่มีกลุ่มย่อยๆ แต่มาจากจังหวัดเดียวกัน ซึ่งสังเกตได้จากป้ายต่างๆ ที่มีการถือกันอยู่ภายในสนาม เมื่อกลับมาถึงบ้านผมจึงได้คิดว่าทำอย่างไรที่จะทำให้กลุ่มย่อยต่างๆ เหล่านี้ รวมตัวกันให้เป็นกลุ่มในรูปแบบของกลุ่มจังหวัด โดยคิดกับจังหวัดนนทบุรีที่ผมอาศัยอยู่ก่อน และแล้วผมจึงได้ตัดสินใจว่า ผมจะลองทำเว็บไซต์ขึ้นมาสักเว็บหนึ่งเพื่อรวบรวมมวลชนเสื้อแดงในจังหวัดนนทบุรีให้มาอยู่ในที่เดียวกันผ่านช่องทางไซเบอร์ เพราะผมคิดว่าผมมีฝีมือพอที่จะทำเว็บง่ายๆ แบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไม่ยากนัก เพราะมีอาชีพทางด้านนี้อยู่แล้ว คืนนั้นเองผมจึงได้ตัดสินใจทำเว็บไซต์ตามแนวคิดของผมขึ้นมาใหม่ในทันทีโดยใช้ชื่อเว็บไซต์ว่า “เรดนนท์ ดอทคอม” หรือ “กลุ่มนักรบไซเบอร์ แดงนนท์” ที่มีชื่อ URL ว่า www.rednon.com
โปรดติดตามต่อในตอนหน้า
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องได้ที่: category/ ธันย์ฐวุฒิ-ทวีวโรดมกุล (คลิก)

สถานการณ์เสรีภาพไทยตกต่ำเหตุใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม

ที่มา ประชาไท

องค์กรจัดอันดับด้านเสรีภาพ ฟรีดอมเฮาส์เผยรายงาน สถานการณ์เสรีภาพโลกประจำปี 2554 ระบุเสรีภาพในประเทศไทยตกต่ำลงเช่นเดียวกับอาฟกานิสถาน, กัมพูชา, ฟิจิ, แคว้นแคชเมียร์ของอินเดีย, ศรีลังกา

13 ม.ค. 2554 - ฟรีดอมเฮาส์ (Freedom House) แถลงข่าวพร้อมเปิดตัวรายงาน "สถานการณ์เสรีภาพโลกประจำปี 2554" ซึ่งเป็นรายงานประจำปีเกี่ยวกับเรื่องสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพพลเมืองทั่วโลก โดยระบุว่าในปี 2553 สถานการณ์เสรีภาพของโลกตกต่ำลงติดต่อกันเป็นปีที่ 5 แล้ว ถือเป็นความตกต่ำยาวนานติดต่อกันมากที่สุดในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้จำนวนประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศเสรี (Free Country) และประชาธิปไตยผ่านการเลือกตั้งมีจำนวนลดลง รวมถึงความตกต่ำของเสรีภาพโดยรวมในประเทศแถบแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลาง

โดยฟรีดอมเฮาส์รายงานอีกว่า มีประเทศ 25 ประเทศที่แสดงให้เห็นถึงความตกต่ำอย่างมีนัยสำคัญในปี 2553 ที่ผ่านมา ขณะที่อีก 11 ประเทศพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จำนวนประเทศที่จัดเป็นประเทศเสรีลดจำนวนลงจาก 89 ไปเป็น 87 ประเทศ จำนวนประชาธิปไตยผ่านการเลือกตั้งลดลงเหลือ 115 ต่ำกว่าในปี 2548 ที่มีอยู่ 123 นอกจากนี้แล้ว ประเทศที่มีรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จอย่างจีน, อียิปต์, อิหร่าน, รัสเซีย และ เวเนซุเอลลา เริ่มใช้มาตรการปราบปรามรุนแรงขึ้นโดยมีเสียงห้ามปรามเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจาประเทศประชาธิปไตย

ในการรายงานสถานการณ์เสรีภาพโลกประจำปีของฟรีดอมเฮาส์นั้น มีการแบ่งประเทศออกเป็นสามรูปแบบคือ ประเทศเสรี, ประเทศเสรีบางส่วน (Partly Free) และ ประเทศไม่มีเสรี (Not Free) ผ่านการวัดผลโดยหลักการประชาธิปไตย
ในปีที่ผ่านมา มี 4 ประเทศ ที่ตกต่ำลงจาก ประเทศเสรีกลายเป็นประเทศเสรีเพียงบางส่วน เช่นยูเครน, เม็กซิโก ประเทศเม็กซิโกตกต่ำลงเนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถหยุดยั้งความรุนแรงจากกลุ่มผู้ค้ายาได้ ขณะที่ยูเครนย่ำแน่ลงในแง่ของเสรีภาพสื่อ การโกงการเลือกตั้ง และการที่ศาลถูกการเมืองแทรกแซงมากขึ้น จีบูติ และ เอธิโอเปีย ถูกลดอันดับจากเสรีเพียงบางส่วนกลายเป็นประเทศไม่มีเสรี ประเทศอื่น ๆ เช่น บาห์เรน, โกตติวัวร์, อิยิปต์, ฝรั่งเศส, ศรีลังกา และเวเนซุเอลลา ก็ตกต่ำลงเช่นกัน
ขณะที่ภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือยังคงเป็นภูมิภาคที่มีอันดับต่ำสุดในเรื่องเสรีภาพในปี 2553 ซึ่งถือว่าย้ำแย่ลงไปอีกปีต่อปีจากที่มีระดับฐานประชาธิปไตยอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว

ฟรีดอมส์เฮาส์ยังกล่าวในรายงานอีกว่า ประเทศอำนาจนิยมหลายประเทศก็เพิ่มมาตรการขึ้นในปี 2553 เช่นในจีน ที่มีการกดดันรัฐบาลต่างประเทศในการบอยคอตต์รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่มอบให้กับหลิวเสี่ยวโป ผู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่ถูกกักขัง

ด้านฮิวโก้ ชาเวซ ของเวเนซุเอลลาก็ผลักดันร่างกฏหมายที่อนุญาตให้เขาดำรงตำแหน่งต่อและเข้มงวดต่อองค์กรเอกชนรวมถึงสื่อมากขึ้นด้วย รัสเซียก็มีกรณีที่ศาลถูกแทรกแซงในการดำเนินคดีกับนักวิจารณ์รัฐบาล มิคาอิล โคดอร์คอฟสกี ซึ่งคนจำนวนมากเห็นว่าการดำเนินคดีนี้เป็นไปอย่างไม่เป็นธรรม ส่วนอิยิปต์และเบลารุสก็มีการเลือกตั้งที่ขาดความโปร่งใส กรณีของเบลารุสนั้นหลังการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ก็ใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรงต่อผู้ชุมนุมที่ชุมนุมอย่างสงบ

นโยบายเรื่องผู้อพยพก็เป็นอีกเรื่องที่น่าเป็นห่วงในหลายประเทศ รวมถึงประเทศในยุโรปตะวันตกและสหรัฐฯ เช่นประเทศฝรั่งเศสมีคะแนนด้านเสรีภาพพลเมืองลดลงเนื่องจากปฏิบัติต่อชาวโรมาที่มาจากยุโรปตะวันออก รวมถึงปัญหาในการจัดการกับผู้อพยพจากตะวันออกกลางและจากอเมริกาเหนือ

มีเรื่องดี ๆ เล็กน้อยในรายงานชิ้นนี้ คือการที่ประเทศคีร์กีซสถาน และกีนี ถูกเปลี่ยนจากประเทศที่ไม่มีเสรีกลายเป็นประเทศที่มีเสรีบางส่วนหลังจากที่มีการจัดการเลือกตั้งที่ค่อนข้างเสรีและโปร่งใส รวมถึงประเทศอย่างเคนย่า, โมลโดวา, ไนจีเรีย และฟิลิปปินส์ และ ทาร์ซานเนีย ที่มีอันดับเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันฟรีดอมเฮาส์ก็กล่าวถึงประเทศไทยโดยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ตกต่ำลงในแถบเอเชียแปซิฟิก ร่วมกับ อาฟกานิสถาน, กัมพูชา, ฟิจิ, แคว้นแคชเมียร์ของอินเดีย, ศรีลังกา

โดย ในรายงานหน้า 7-8 ที่กล่าวถึงเอเชีย-แปซิฟิกนั้น ให้รายละเอียดว่า ในประเทศกัมพูชา, ไทย, ฮ่องกง และแคว้นแคชเมียร์ นั้นถดถอยลงเมื่อพิจารณาจากการให้พื้นที่ประท้วงอย่างสงบในประเด็นอ่อนไหวทางการเมือง โดยมีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าปราบปรามบางกรณีมีการจับกุม ใช้ความรุนแรงถึงชีวิต ในการสลายการชุมนุม

คว่ำบาตร1เดือนสะเทือนมาม่า ยกระดับบอยคอตสินค้าเครือสหพัฒน์ เริ่มวันนี้หยุดซื้อ'เปา'+90แบรนด์

ที่มา Thai E-News




โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
15 มกราคม 2554

เครือข่ายผู้บริโภคสีแดงประกาศยกระดับคว่ำบาตรสินค้าหนุนเผด็จการ จากเดือนแรกก่อผลสะเทือนมาม่า ยกสองขยายเวลา 3 เดือน พุ่งเป้าเครือสหพัฒน์ยกแผง คิกออฟวันนี้ถึง15เมษายนรวม3เดือน เน้นสินค้ามวลชนแบรนด์ดังทั้งมาม่า ผงซักฟอกเปา ยาสีฟันSALZ แป้งโคโดโมะ น้ำยาบ้วนปากSYSTEMA ชุดชั้นในสตรีWACOAL เสื้อเชิ้ตARROW-LACOSTE รองเท้าPAN ร้านสะดวกซื้อ108SHOP

เครือข่ายผู้บริโภคสีแดงประกาศว่า หลังจากคนไทยไม่ต่ำกว่า 20 ล้านคนเข้าร่วมรณรงค์คว่ำบาตรมาม่ามาเป็นเวลา 1 เดือน ระหว่างวันที่ 8 ธันวาคม 2553-8 มกราคม 2554 แม้จะก่อผลสะเทือนขนานใหญ่ ทว่าผู้บริหารในเครือสหพัฒนพิบูลยังไม่ได้แสดงความสำนึกหรือขอขมาต่อลูกค้าผู้บริโภคชาวไทยผู้มีพระคุณ ที่รักประชาธิปไตยชิงชังเผด็จการ และยังไม่ได้แสดงตนว่าจะยุติการรับใช้เผด็จการแต่อย่างใด ดังนั้นจึงเห็นสมควรเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรดังต่อไปนี้

1.ขยายเวลาการรณงค์หยุดซื้อ หยุดกินมาม่าออกไปอีก 3 เดือน ระหว่างวันที่ 15 มกราคม -15 เมษายน 2554 หรือจนกว่าผู้บริหารของมาม่า และสหพัฒน์จะสำนึกผิดและขอขมาคนไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศยุติการรับใช้เผด็จการ

2.ยกระดับคว่ำบาตรสินค้าเครือสหพัฒน์ทั้งหมด 90 แบรนด์สินค้า โดยระยะ 3 เดือนแรกให้เริ่มจากสินค้าที่เป็นสินค้ามวลชน ผู้บริโภคจดจำตราสินค้าได้ง่าย โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ดังนี้

2.1 ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ( ดูรายชื่อสินค้าหมวดนี้ของเครือสหพัฒน์ ) มุ่งโฟกัสการคว่ำบาตรมาม่า เป็นหลัก


2.2ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน ( ดูรายชื่อสินค้า ) มุ่งโฟกัสคว่ำบาตรหยุดซื้อ หยุดใช้ผงซักฟอกเปา รองลงมาคือน้ำยาล้างจานไลป้อน

2.3ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคล (ดูสินค้าหมวดนี้เครือสหพัฒน์) มุ่งเป้าโฟกัสการคว่ำบาตรหยุดซื้อหยุดใช้ ยาสีฟันSALZ และแป้ง+ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กKODOMO น้ำยาบ้วนปากSYSTEMA ชุดชั้นในสตรีWACOAL เสื้อเชิ้ตARROW-LACOSTE รองเท้าPAN เป็นต้น

2.4ธุรกิจค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ 108 SHOP หยุดเข้า หยุดซื้อ


"เหตุที่ต้องประกาศยกระดับการคว่ำบาตรเครือสหพัฒน์ในวันนี้ ก็เนื่องจากตรงกับวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภค โดยเฉพาะคุณแม่บ้านมักจะช็อปปิ้งในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หากคุณแม่บ้านเสื้อแดง หรือประชาชนไทยทั่วประเทศที่เคยเทคะแนนเสียงเลือกตั้งให้พรรคไทยรักไทย 19 ล้านเสียง บวกกับคนในครอบครัวอีกครอบครัวละ 3คน รวมกันราวๆ50ล้านคนทั่วประเทศ เริ่มหยุดซื้อมาม่า หยุดซื้อผงซักฟอกเปา หยุดซื้อยาสีฟันSALZ แป้งเด็กKODOMOในช่วง2วันของการเริ่มต้น คือ15-16มกราคมนี้ จะก่อผลสะเทือนแก่เครือสหพัฒน์แค่ไหน"เครือข่ายฯระบุ

เครือข่ายผู้บริโภคสีแดงกล่าวว่า จึงขอความร่วมมือคนเสื้อแดงร่วมกันคว่ำบาตรสินค้าเครือสหพัฒน์ตั้งแต่นี้ไป มีกำหนดระยะเวลา 3 เดือน หรือจนกว่าจะสำนึกกลับตัวกลับใจ แต่หากไม่ยอมกลับตัวกลับใจก็ต้องเจอแบนตลอดชีวิต

พร้อมกันนี้ได้ประกาศเตือนไปยังองค์กรธุรกิจต่างๆที่ยังทำตัวเป็นมือตีนสมุนรับใช้เผด็จการ เกื้อหนุนเผด็จการก็อาจตกเป็นเป้าหมายการคว่ำบาตรของประชาชนไทยเช่นกัน โดยมีบัญชีที่ต้องจับตา เช่น อินเตอร์เน็ตTRUE ห้างสะดวกซื้อ7-ELEVEN สินค้าเครื่องดื่มกระทิงแดง คาราบาวแดง เป็นต้น แต่ยังให้โอกาสปรับปรุงพฤติกรรมซักระยะก่อน หากยังไม่ดีขึ้น ก็ต้องขึ้นบัญชีดำบอยคอตแบบเครือสหพัฒน์ต่อไป

ลำดับเหตุการณ์และผลสะเทือนการคว่ำบาตรมาม่า 1 เดือนแรก

8 ธันวาคม 2553 คิกออฟคว่ำบาตรมาม่า-เครือข่ายผู้บริโภคสีแดง ได้ประกาศเริ่มมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อองค์กรธุรกิจที่ให้การสนับสนุนระบอบปกครองเผด็จการอำมาตย์ และได้รับการเกื้อหนุนจากฝ่ายเผด็จการ โดยประกาศเริ่มต้นคว่ำบาตรเศรษฐกิจต่อสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า ของบริษัท ไทยเพรสซิเด้นต์ฟู้ดส์ ในเครือสหพัฒนพิบูล ของตระกูลโชควัฒนา ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของประเทศ



สินค้าเผด็จการ-ลังมาม่าที่ผู้บริหารเครือสหพัฒน์ส่งไปบำรุงพันธมิตรในช่วงยึดสนามบินสุวรรณภูมิ


9 ธันวาคม 2553 มั่นใจเกิน 20 ล้านคนร่วมคว่ำบาตร-โดยเครือข่ายผู้บริโภคสีแดงกำหนดเวลาการคว่ำบาตร ไม่ซื้อ ไม่บริโภคเป็นเวลา 1 เดือน ระหว่างวันที่ 8 ธันวาคม 2553 ถึง 8 มกราคม 2554 โดยตั้งเป้าหมายเชิญชวนให้ผู้ที่เคยสนับสนุนพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล และถูกระบอบอำมาตย์กับกลุ่มทุนบริวารโค่นล้ม ไม่น้อยกว่า 20 ล้านคนทั่วประเทศเข้าร่วมการรณรงค์ครั้งนี้

13 ธันวาคม 2553 มาม่าเอะใจทำไมส่วนแบ่งการตลาดวูบ10%-ช่วงเดียวกันนี้มีการศึกษาวิจัยหัวข้อเรื่อง "เหตุใด ส่วนแบ่งทางการตลาดของมาม่าจึงมีสัดส่วนที่ลดลง" ทั้งนี้กลุ่มผู้ทำการศึกษาวิจัยได้เผยแพร่เอกสารดังกล่าวไว้ในระบบข้อมูลlearners ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระบุว่า ส่วนแบ่งการตลาดของมาม่าที่เคยสูงถึงง 60%ในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ลดวูบลงมาเหลือราว 50%ในปัจจุบัน

รายงานระบุว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของ “มาม่า” ลดลงอย่างต่อเนื่อง และค่อนข้างคงที่ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ”มาม่า” จึงต้องทำการวิจัยศึกษาว่า เพราะเหตุใด “มาม่า”จึงมีส่วนแบ่งทางการตลาดลดลง และจะสามารถแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร เพื่อให้ตนเองนั้นได้กลับมามีส่วนแบ่งทางการตลาดที่เท่าเดิม หรือมากกว่าเดิมได้

15 ธันวาคม 2553 ผู้บริหารมาม่าไหวตัวโดนรุมต้าน กระจายข่าวบิ๊กบริษัท-นางสาวพจนา พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการฝ่ายส่งออกของมาม่า และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพรสซิเด้นท์อินเตอร์ฟู้ด บริษัทในเครือของมาม่า ได้แจ้งต่อผู้ถือหุ้รายย่อยของบริษัทที่ร้องเรียนไปยังบริษัทมาม่าให้ชี้แจง หลังถูกบอยคอตว่า ขอขอบคุณที่ผู้ถือหุ้นไทยเพรสซิเดนท์ฟู้ดส์แจ้งข่าวการบอยคอตคว่ำบาตรมา ดิฉันจะส่งต่อ Link ข่าว ให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

18 ธันวาคม 2553 ผู้บริหารกราดใส่คนบอยคอตไร้การศึกษา-มีรายงานว่า บิ๊กของบริษัทระดับการศึกษาสูงได้แสดงปฏิกริยาในทางลบหลังจากได้รับหนังสือเวียนจากนางสาวพจนา โดยระบุว่า

"ขอบคุณมากสำหรับข้อมูลที่แจ้งมา

ฉันคิดว่า คุณคงทราบดี อะไรจริงไม่จริง ฉันไม่ได้สนใจหรอกว่า จะถูกประชาชนบอยคอตหากว่ามันมีเหตุผลที่ถูกต้อง หากกล่าวอย่างเกือบที่สุดแล้วก็คือว่า บริษัทของเรามีเอกลักษณ์ที่เป็นของตัวเอง หากเพียงเพราะว่ามาม่าเป็นส่วนหนึ่งของเครือสหพัฒนพิบูล แล้วพาเราไปสู่ความยุ่งยาก เราก็จะไม่ออกไปข้างนอกเพื่อแก้ไขความเข้าใจที่ผิดๆนี้

ฉันหวังว่า ผู้ที่มีการศึกษาจะสามารถทำในสิ่งที่ดีที่สุด และเลือกในสิ่งที่เป็นทางเลือกดีที่สุด"


ซึ่งได้สร้างปฏิกริยาต่อต้านให้ขยายวงออกไป เนื่องจากผู้บริโภคมาม่าส่วนใหญ่ไม่ได้มีดีกรีการศึกษาสูงระดับด๊อกเตอร์ แต่เป็นคนจน เกษตรกร แรงงาน นักศึกษา และผู้มีรายได้น้อย เป็นส่วนใหญ่

20 ธันวาคม 2553 สามนักวิชาการสาวชี้คว่ำบาตรมาม่าเทียบเคียงคานธีบอยคอตอังกฤษ-3 นักวิชาการสาว ผศ.ดร.สุดา รังกุพันธ์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อาจารย์หวาน) ,รศ.ดร.สุดสงวน สุธีสร อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อาจารย์ตุ้ม) และ ผศ.ดร.จารุพรรณ กุลดิลก อาจารย์พิเศษคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (อาจารย์จา)ดำเนินรายการที่นี่ความจริง ทางโทรทัศน์ Asia Update-DNN กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในแคมเปญการรณรงค์คว่ำบาตรมาม่า-สินค้ากลุ่มทุนที่สนับสนุนเผด็จการ



ทั้งนี้นักวิชาการทั้งสามชี้ว่า หากใครเห็นว่าเรื่องนี้ตลก หรือคงไม่มีผลในการเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ขอให้ลองย้อนมองไปถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สำคัญกรณีหนึ่ง คือกรณีที่ มหาตมะ คานธี เคยรณรงค์ในด้านเศรษฐกิจเพื่อเรียกร้องเอกราชอินเดียจากอังกฤษ

โดยมหาตมะ คานธี ใช้การดื้อแพ่งนำพาชาวอินเดียผลิตเกลือบริโภคเอง แม้อังกฤษจะมีกฎหมายบังคับให้ซื้อเกลือจากอังกฤษเท่านั้น และเป็นกรณีสำคัญที่นำไปสู่เอกราชของอินเดียใในเวลาต่อมา

22 ธันวาคม 2553 หุ้นมาม่าร่วง กลต.จี้เคลียร์ข่าว-ฐานเศรษฐกิจ รายงานว่า ราคาหุ้นมาม่าได้ร่วงลงหลังจากเสื้อแดงพากันคว่ำบาตร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)เปิดเผย มีนักลงทุนที่เป็นผู้ถือหุ้นมาม่าร้องเรียนมายังสำนักงานขอให้แจ้งต่อบริษัท ไทยเพรสซิเด้นต์ฟู้ดส์ชี้แจงเป็นการด่วนเรื่องมีกระแสข่าวถูกคว่ำบาตร

"ผู้ถือหุ้นของไทยเพรสซิเด้นต์ฟู้ดส์(TF)ร้องเรียนมายังสำนักงานฯว่า ปรากฎข่าวโจมตีบริษัทไทยเพรสสิเด้นฟู้ดส์แพร่หลายในอินเตอร์เน็ตและสื่อต่างๆ ชักชวนให้คนต่อต้านไม่ซื้อสินค้ามาม่า ซึ่งเป็นรายได้หลักของTF อ้างว่าสนับสนุนเผด็จการ โดยแจ้งว่าจะมีคนเข้าร่วมการคว่ำบาตรเกิน20ล้านคน จึงขอให้สำนักงานกลต.ได้แจ้งให้บริษัทชี้แจงแก้ไขข่าวด้วย เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย" รายงานจากกลต.ระบุ พร้อมทั้งเปิดเผยว่า ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินการ

ต่อมากลต.เผยว่าได้แจ้งไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ประสานงานกับTF เจ้าของมาม่าแล้ว

25 ธันวาคม 2553 เครือข่ายลูกค้ารายใหญ่ของมาม่า 36 องค์กรแถลงการณ์หนุนคว่ำบาตร-องค์กรเครือข่ายต่างๆ 36 องค์กร ซึ่งประกอบด้วย เครือข่ายองค์กรนิสิตนักศึกษา คนจนเมือง เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน และเครือข่ายประชาชนต่างๆรวมทั้งนักกิจกรรม และประชาชนทั้งในและต่างประเทศพากันออกแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง สนับสนุนกิจกรรมรณรงค์คว่ำบาตรมาม่า-สินค้าที่สนับสนุนเผด็จการ

7 มกราคม 2554 มาม่าประกาศตรึงราคาถึงสิ้นมี.ค. ส่อหนีตายไปหากินอินเดีย-นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ -"มาม่า" เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมตรึงราคามาม่าออกไปอีก 3 เดือน จนถึงวันที่ 31 มี.ค. 2554 แต่ยอมรับว่าในขณะนี้ต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตสินค้าปรับตัวขึ้นสูงมาก ทั้งน้ำมันปาล์ม และแป้งสาลี รวมทั้งราคาวัตถุดิบในด้านอื่นๆ ซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

วันเดียวกันนี้กระทรวงพาณิชย์อนุมัติให้ขึ้นราคาน้ำมันปาล์ม บรรจุขวดอีกขวดละ 9 บาท เป็น 47 บาท ทำให้ต้นทุนมาม่าพุ่ง ขณะที่ขึ้นราคาก็ไม่ได้ เพราะเจอแรงคว่ำบาตรกดดัน

นายพิพัฒกล่าวว่า มีแผนจะลงทุนในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นบริษัทมีแผนลงทุนในหลักหลายสิบล้านบาท เพื่อเปิดโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศอินเดีย

8 มกราคม 2554 คว่ำบาตรมาม่าต่อเฟส2ถึงสิ้นมีค54 ฮึ่มยกระดับคว่ำบาตรสหพัฒน์ทั้งเครือ-เครือข่ายผู้บริโภคสีแดงประเมินผลว่า ระยะ 1 เดือนแรกมีผลสะเทือนจากการคว่ำบาตรสูงเกินคาด จากการประเมินแล้ว มวลชนที่เข้าร่วมเกินกว่า 20 ล้านคน ต้องการให้บทเรียนสั่งสอนมาม่าต่อไปอีก 3 เดือน

'มีประชาชนที่ร่วมการรณรงค์เสนอเข้ามาว่าทำไมไม่แบนถาวร หรือบอยคอตยาวไปเลย คำตอบคือแคมเปญในลักษณะนี้ควรมีการกำหนดตัวสินค้าผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน จำกัดวง โฟกัสระยะเวลาที่แน่นอน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมรณรงค์มีความตื่นตัวที่จะเข้าร่วมกิจกรรม และก่อผลสะเทือนชัดเจน หากกระจายไปในหลายๆสินค้า และกำหนดกรอบกว้างๆเช่น แบนตลอดชาติ การตื่นตัวที่จะเข้าร่วมแคมเปญจะไม่ดีนัก"เครือข่ายฯระบุ

15 มกราคม 2554 ยกระดับคว่ำบาตรสินค้าสหพัฒน์ทั้งเครือเครือข่ายผู้บริโภคสีแดงประกาศคิกออเริ่มต้นการคว่ำบาตรสินค้าเครือสหพัฒน์ทั้งเครือ กำหนดระยะเวลาช่วงแรก 3 เดือน นับจากวันที่ 15 มกราคม2554 -15 เมษายน 2554 หรือจนกว่าเครือสหพัฒน์จะสำนึกกลับตัวกลับใจเลิกรับใช้เผด็จการ และประกาศขอขมาต่อประชาชนชาวไทยผู้รักประชาธิปไตย ชิงชังเผด็จการ